รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รวมเรื่องสั้นคั่นเวลา: เรื่องสุดท้าย: บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนจบ P.4 (20/6/55)  (อ่าน 30720 ครั้ง)

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
ท่าทางงานนี้จะดราม่าจัดเต็ม... :sad2:
ปองซึ่งยึดอ๊อดไว้เป็นทุกอย่างของชีวิต แต่อ๊อดมีพ่อที่ต้องแคร์และไม่อยากทำให้ผิดหวัง
เข้าใจความลำบากใจของอ๊อดและรับรู้ถึงความร้าวรานของปอง แต่ยังมองไม่เห็นทางออกของคู่นี้เลย
จะเศร้าอย่างไงก็ขออย่าให้ถึงกับไปโดดสะพานก็แล้วกัน... :sad4:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
อ่านเรื่องนี้แล้วได้บรรยากาศย้อนยุคนิดๆ พอถึงสะพานสารสินก็นึกถึงเพลงเหมือนกัน
แต่ชีวิตมันต้องมีทางออกที่ดีกว่าในเพลงสิน่า ปองกับอ๊อดสู้ๆ  :L2:

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
อ่านเม้นต์เจอว่าเศร้า เลยเตรียมใจไว้ก่อนอ่าน
แต่ก็เศร้าอยู่ดี
เอาใจช่วยทั้งสองคนแล้วกัน
 :pig4:

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
สถานการณ์แบบนี้แหละที่กลัวที่สุด

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ภูเก็ต ตอนจบ

วันหมั้นของอรรถพลกับหน่อยใกล้เข้ามาทุกวัน พร้อมกับความเศร้าซึมของว่าที่เจ้าบ่าว ที่เหมือนจะหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้เมื่อต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับหัวใจ
สมปองยังคงมารับเขาทุกวัน หากแต่ระหว่างทางของทั้งคู่ปราศจากซึ่งบทสนทนาใดๆ และอ๊อดเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในใจเขานั้นไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ และหลายๆครั้งมันก็กลั่นออกมาเป็นน้ำใสๆที่หางตาของครูหนุ่ม
“หยุดทำไมปอง” ชายหนุ่มถามขึ้น เมื่อคนขับสองแถวเลือกที่จะจอดรถกลางสะพานสารสิน สายลมยามเย็นยังหนาวยะเยือกคละคลุ้งด้วยกลิ่นไอทะเล สมปองสูดเอาอากาศเหล่านั้นเข้าปอดยาวๆ ก่อนจะเอนหลังพิงกับเบาะคนขับอย่างเหนื่อยอ่อน
“ผมอยากอยู่กับอ๊อดนานๆ นานที่สุดเท่าที่ผมพอจะรั้งไว้ได้”
“อ๊อดก็เหมือนกัน ....เพิ่งรู้สึกนะว่าเหมือนหนึ่งสัปดาห์มันไวเหลือเกิน”
สมปองก้าวลงจากรถ พร้อมกับอีกคนที่ตามออกมา ทั้งคู่เหม่อมองเกลียวคลื่นที่ไหลริ้วปะทะสะพานสารสินด้วยความคิดที่เหม่อลอยไร้จุดหมาย
“ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ”
“ฟ้าคงลิขิตไว้มั้งปอง” อรรถพลใช้มือสองข้างปิดหน้าตัวเองอย่างอับจน “ว่ามันต้องจบลงแบบนี้”
“มันจะจบแบบที่เราสองคนต้องจากกันจริงๆหรออ๊อด”
อรรถพลเลื่อนมือทั้งสองข้างออกเพื่อมองคนรัก เขาหลับตาลงช้าๆก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น สมปองก้มมองตอสะพานอีกครั้งด้วยแววตาเลื่อนลอย
“อ๊อดว่า วิญญาณโกไข่กับครูอิ๋วจะยังอยู่ที่นี่มั้ย ทั้งคู่จะรับรู้เรื่องของเราหรือเปล่า”
“อ๊อดไม่รู้ ...อ๊อดไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นตอนนี้”
“อ๊อดคิดเหมือนผมเลย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมรู้ว่า เรื่องของทั้งคู่นั้นไม่ว่าใครก็รู้จัก เพราะความรักบริสุทธิ์ของทั้งคู่สังเวยด้วยความตาย” ชายหนุ่มหยุดกลืนก้อนในลำคอ ก่อนจะพูดต่อ “แต่อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่ได้แยกจากกัน”
สายลมและเสียงคลื่นชัดเจนในโสตประสาทของคนทั้งคู่ อรรถพลและสมปองมองตากันท่ามกลางรถที่แล่นไปมาอย่างไม่พลุกพล่านนัก แววตาของคนขับสองแถวนั้นว่างเปล่าหากมีความหมายโดยนัยให้อีกฝ่ายได้ตีความและรู้สึกสะท้อนใจ
“ผมไม่อยากให้เราแยกจากกัน ... บางทีเราอาจจะต้องเป็นคนที่เขียนตำนานขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยที่สุด ในวันข้างหน้าจะได้ไม่มีใครต้องเจ็บปวดเหมือนกับเราสองคน”
สมปองพูดจบพร้อมกับบีบมือของคนข้างๆไว้แน่น หยดน้ำใสหลั่งรดหลังมือของอรรถพลจนเขาต้องหันมามองคนรัก ดวงตาของสมปองคลอชื้นหากแต่ไร้ซึ่งอาการสะอื้นไห้ อ๊อดบีบมือกลับด้วยความรู้สึกใจหายกับหนทางที่คนรักได้เลือกแล้ว
“...มาเจอกับผมที่นี่สี่วันจากนี้ตอนเที่ยงคืน เราจะเขียนตำนานอีกครั้งด้วยกันที่นี่”
“ปอง...”
“ผมรักคุณมากอ๊อด ผมเสียใจที่ผมทำหน้าที่คนรักของคุณได้เท่านี้จริงๆ แต่ผมสัญญาว่าเราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกันตราบจนนิรันดร์”
.
.
.
“ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ตึ่ง .... ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ตึ่ง”
เสียงออดของคาบบ่ายดังขึ้นทำลายภวังค์ของครูอรรถพลที่นั่งเหม่อลอยจนหมดพักเที่ยง เขานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆแต่ก็เหมือนไม่ได้คิดอะไร เพราะอันที่จริงเขาก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
“ไม่มีสอนหรอคะ ครูอ๊อด” ครูสาวที่นั่งอยู่ข้างๆทักขึ้น
“เอ่อ....” อรรถพลเรียกความคิดที่หลุดลอยให้เข้าที่เข้าทาง เขามองไปที่ตารางสอนของตัวเอง ก่อนจะอุทานอย่างลืมตัว “ตายล่ะ ผมเกือบจะลืมเลยว่ามีสอนคาบบ่าย”
“ใจลอยไปถึงไหนคะ” ครูสาวอมยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “แต่ก็นะ คนกำลังมีความสุข อีกไม่กี่วันก็จะมีงานใหญ่แล้วนี่คะ”
“เอ่อ ครับ ขอบคุณครับ”
“ไปกันเถอะค่ะ”

อรรถพลมาถึงสายกว่าสิบห้านาที เด็กๆในห้องส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวหากแต่เสียงอื้ออึงดังกล่าวก็สงบลงในเวลาไปนาน
“นักเรียนเคารพ!!!”
“สวัสดีครับ/ค่ะ คุณครู”
“สวัสดีตอนบ่ายครับทุกคน” อรรถพลเอ่ยเรียบๆ “ขอโทษด้วยที่ครูมาสายไปหน่อย”
“ครูครับ/คะ” เด็กชายหญิงคู่หนึ่งรีบปรี่เข้ามา เมื่อชายหนุ่มนั่งลงที่โต๊ะหน้าห้อง
“มีอะไรฮึเรา”
“ครูช่วยเฉลยหน่อยค่ะ ว่าอะไรที่มันบาปกว่ากัน ระหว่างฆ่าตัวตายกับฆ่าคนอื่น”เด็กหญิงเอ่ยถาม
“ฆ่าคนอื่นสิ เพราะคนที่ฆ่ามันเป็นฆาตรกรที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน” เด็กชายที่มาด้วยเริ่มวิวาทะทางคารม
“แกไม่เคยอ่านหนังสือหรอ เค้าบอกว่าถ้าฆ่าตัวตายน่ะ ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ แล้วแบบนี้แกจะยังบอกอีกหรอ ว่าฆ่าตัวตายบาปน้อยกว่า” เด็กหญิงเถียงเสียงแข็ง “ครูคะ เฉลยทีค่ะ ว่าใครกันแน่ที่เข้าใจผิด”
“เอ่อ...” อรรถพลอึกอัก “ครูคิดว่า”
ชายหนุ่มครุ่นคิด ความจริงคำถามนี้ไม่ควรจะมาจากปากของเด็กๆเลย แต่น่าจะมีอิทธิพลมาจากสื่อที่เด็กๆเสพอยู่ทุกวัน หากในเวลาปกติ ชายหนุ่มคงจะตอบได้โดยไม่ลังเลแต่ในเวลานี้ เขากลับต้องฉุกคิดเกี่ยวกับคำสอนของตัวเอง
“พวกเธอจะเถียงกันทำไม ในเมื่อไม่ว่าแบบไหนก็ไม่น่าทำทั้งนั้น ประเด็นคือพวกเราควรจะหลีกหนีการกระทำทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทั้งฆ่าคนอื่นหรือฆ่าตัวเอง .... ไม่ว่าใครก็มีคนที่รักทั้งนั้น แล้วเราจะทำให้ตัวเองหรือคนอื่นตายทำไม และคงไม่มีใครอยากจะเห็นคนที่เรารักเสียใจหรอก จริงมั้ย”
.
.
เหตุผลที่อรรถพลบอกกับเด็กนักเรียนไปทำให้เขาเหม่อลอยมาถึงสะพานสารสินเพียงลำพัง อ๊อดแอบมาคนเดียวในตอนหัวค่ำหลังจากที่คนรักมาส่งที่บ้าน เขาครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหาทางออกให้ตัวเอง แต่ทะเลสีดำก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรนอกจากความว่างเปล่า
ความสูงจากสะพานลงไปยังผิวน้ำทำให้ชายหนุ่มที่ชะโงกดูรู้สึกถึงความเวิ้งว้างและดำดิ่งอย่างไร้จุดหมาย เขากลืนน้ำลายช้าๆเมื่อคำนึงไปว่า อีกไม่กี่วัน เขาจะต้องทอดกายใต้สะพานแห่งนี้
เสียงเพลงภูเก็ตแว่วดังมาในมโนสำนึก เนื้อเพลงนั้นช่างหดหู่และเชิญชวนต่อการทอดร่างลงใต้สะพานหากนั่งฟังด้วยอารมณ์เศร้าโศก อีกทั้งสายลมยามค่ำคืนยังโลมกายและกรีดใจจนเหมือนจะร้าวชาไปเสียทุกส่วน
“ร่างกายของฉัน ชีวิตของฉัน ลมหายใจของฉัน ... มันกำลังจะหยุดลงที่นี่อีกไม่ช้าใช่ไหมครับ สวรรค์”
เขาระพึงกับตัวเองเหมือนคนเสียสติ
“อรรถพล มึงเลือกที่จะตายเพื่อความรักจริงๆใช่มั้ย”
มีเพียงคำถามที่พร่ำถามตัวเองของอรรถพลที่ดังแว่วประสานกับเสียงลมกรรโชกและคลื่นที่กระทบฝั่ง หากแต่คำตอบนั้น ไม่ว่าสวรรค์ โกไข่กับครูอิ๋ว หรือแม้แต่ใครก็ไม่อาจได้ยินหรือล่วงรู้...
.
.
.
คนงานจำนวนหลักร้อยที่ขวักไขว่กับการเตรียมงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่ของบ้านท่าฉัตรไชยที่กำลังจะเกิดในวันรุ่งขึ้น โดยเฉพาะนายหัวทองที่ดูจะวุ่นวายกว่าใคร ในขณะที่ตัวเจ้าบ่าวเองกลับแสดงท่าทีเรียบๆไม่เปิดเผยสักเท่าไหร่
เขาเดินเข้าห้องนอน พลางมองไปที่ชุดเข้าบ่าวของตนเองด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะจรดปากกาลงบนกระดาษ....

เมื่อเย็นที่ผ่านมา
อรรถผลทอดน่องไปยังหน้าโรงเรียนช้าๆ เบื้องหน้าสมปองยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญเหมือนเคย
“เชิญครับ”
ชายหนุ่มก้าวขึ้นรถอย่างไร้ซึ่งสรรพเสียงและการพูดจาใดๆ ต่างคนต่างรู้ถึงหนทางและนาฬิกาที่หมุนวนเหมือนจะถอยหลัง เป็นการบอกให้รู้ว่า ลมหายใจของสองชีวิตบนโลกกำลังจะปลิดปลิวไปในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
“มีใครทำอะไรกับนาฬิกาหรือเปล่าก็ไม่รู้เนาะอ๊อด ทำไมผมรู้สึกเหมือนเวลามันเดินเร็วจัง”
“ฮ่ะๆ นั่นน่ะสิ” อรรถพลหัวเราะเบาๆ และเป็นเสียงหัวเราะสุดท้ายของคนทั้งคู่ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงไป...ตลอดกาล
“ผมจะรอคุณที่นี่.... และขอโทษที่ผมทำหน้าที่คนรักของคุณได้เท่านี้ สุดที่รักของไอ้ปอง” สมปองพยายามยิ้มทั้งน้ำตา “แล้วเจอกันคืนนี้ครับ”

 

อรรถพลออกจากบ้านไปในตอนเที่ยงคืนหลังจากที่ทุกคนในบ้านหลับสนิท เขาขับรถมอเตอร์ไซค์ไปตามทางเรื่อยๆ ด้วยดวงใจที่เหม่อลอย สายลมยามราตรีหนาวเน็บจนเจ็บขั้วหัวใจหากแต่มันคงจะปวดจนชาเสียจนชายหนุ่มไม่รู้สึกใดในตอนนี้ และเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เขาจอดรถทิ้งไว้ ก่อนจะหันหลังมามองช้าๆ
“ลาก่อน ....ภูเก็ต”
.
.
.
ข่าววันหมั้นที่ล่มไม่เป็นท่าดังกระฉ่อนพอๆกับข่าวก่อนหมั้น เมื่อเจ้าบ่าวหายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่มีใครล่วงรู้ นายหัวทองถึงกับเป็นลมหมดสติเมื่อได้รู้ข่าว ความอับอายไม่โหดร้ายเท่ากับดวงใจที่แตกสลายเมื่อไม่เห็นเงาของลูกชายคนเดียวที่รักและหวงปานดวงใจของตน

ตำรวจตามรอยจากเบาะแสอันน้อยนิด และไม่นาน ก็โยงไปถึงชายที่เหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของอรรถพล ...นายสมปอง .... ซึ่งก็หายไปจากบ้านเช่นกัน
แต่ตำรวจก็ไปพบเขาที่เกาะกลางทะเล ไม่ไกลจากภูเก็ตมากนัก ?!

“ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ... ไม่รู้จริงๆ”
ชายหนุ่มตอบเหมือนคนเพ้อ หากแต่ตำรวจก็ไม่พบเจอสารเสพติดในร่างกายของเขา .... ร่องรอยเดียวที่อรรถพลทิ้งไว้ที่ภูเก็ต มีเพียงรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้ไม่ไกลจากขนส่งภูเก็ตเท่านั้น
.
.
.
สถานีขนส่งหมอชิตใหม่ จตุจักร
ชายหนุ่มที่มีเพียงเสื้อผ้าติดตัวมามองซ้ายมองขวาราวกับมองหาใครสักคนซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเขามองหาใคร เนื่องจากบางที ทางที่เขาเลือกเองนั้น อาจจะเป็นทางเดินที่ต้องเดินทางเพียงลำพัง...
หลังจากที่ถอนเงินสดออกจากธนาคารมาจนหมด เขากำถุงเงินจนแน่นพลางหยิบใส่กระเป๋าอย่างระแวดระวังพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับแสงแดดจ้าในเมืองหลวง
“เราจะไปที่ไหนต่อดีนะ” เขาบอกกับตัวเอง
ภาพชายอันเป็นที่รักลอยเข้ามาในหัวยิ่งสร้างความคิดถึงระคนหดหู่ เขาไม่รู้ว่าต้องไกลจากสมปองสักเท่าไหร่ ถึงจะตัดใจได้ง่ายขึ้น และต้องใช้เวลานานสักเพียงไหน ถึงจะทำใจได้ในสักวัน
“.... เชียงรายเที่ยวเร็วที่สุดกี่โมงครับ”
“อีกหนึ่งชั่วโมงรถออก จะไปเลยมั้ยครับ”
“หนึ่งที่ครับ”
อรรถพลจ่ายเงินก่อนจะรับตั๋วมา เขาล้วงเอาจดหมายจากในกระเป๋าสองฉบับพลางมองมันด้วยดวงใจที่เหมือนจะเจ็บหน่วง .... เขายิ้มให้กับจดหมายอีกครั้งก่อนจะหย่อนจดหมายลงในตู้ไปรษณีย์
.
.
.
กว่าสองสัปดาห์ที่สมปองนั่งเหม่อลอยอยู่ในบ้านและแทบจะไม่แตะต้องอาหารที่พ่อกับแม่หามาให้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นกับเขา แต่หลายคนน่าจะพอเข้าใจเลาๆเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นว่าต้องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของลูกชายคนเดียวของนายหัวทอง .... ทั้งการฆาตรกรรมและชู้สาว
..... และคนที่กุมคำตอบไว้อย่างสมปอง ก็ตอบกับทุกคนได้เพียง “ไม่รู้”
เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าดวงใจของเขาหายไปอยู่ที่ไหน?
“ปอง... ปอง”
เสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้น หากแต่ไม่ได้ทำให้ชายผู้ดวงใจแตกสลายใส่ใจในการร้องเรียกนั้นเลย จนผู้เป็นแม่ถอดใจ
“มีจดหมายมาถึงแก ... แม่จะวางไว้ตรงนี้นะ”
คล้อยหลังนางไป ดวงตาที่เหม่อลอยของสมปองค่อยๆเบนกลับมายังจดหมายที่ไม่ได้จ่าหน้าว่ามาจากใคร หากแต่เขาก็เลือกที่จะเปิดมันออกมา....
“ถึงปอง .... คนที่อ๊อดรักสุดหัวใจ
ก่อนอื่น อ๊อดคงต้องขอโทษปองที่ทำแบบนี้ สัญญาคืนนั้น อ๊อดขอโทษที่ปฏิเสธที่จะทำตาม อ๊อดอาจจะไม่ได้บูชาความรักขนาดนั้น หรือปองจะเข้าใจว่าอ๊อดตาขาวก็ได้ แต่อย่างไรเสีย อ๊อดก็ทำใจไม่ได้ที่จะเลือกความตายเป็นทางออกสำหรับความรักของเรา
และอ๊อด....ตอบตามตรงว่าอ๊อดรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ที่ปองบอกกับอ๊อดอย่างนี้ ผมคิดว่าทุกปัญหามีทางออก หรืออย่างน้อยที่สุด ทำไมเราถึงไม่สู้กับมันสักตั้ง ก่อนที่จะจบปัญหาแบบนี้ 
อ๊อดอาจจะวาดหวังความรักของเราไว้มาก และอ๊อดก็รู้ อ๊อดเป็นแบบนี้ อ๊อดอยากให้คนที่อ๊อดรักปกป้องอ๊อดได้ ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ชายที่มีอุดมการณ์เหมือนในนิยาย โกไข่กับครูอิ๋วอาจจะเป็นตำนานที่ใครๆก็กล่าวถึง .... แต่ถ้าเป็นในสมัยนี้ อ๊อดคิดว่าคงไม่มีใครใส่ใจกับคนที่เลือกความตายเป็นทางออกของปัญหาแน่ๆ
อ๊อดไม่ได้มองว่าใครเป็นนผิดในเรื่องนี้ แต่อ๊อดคิดว่า เราทุกคนต่างก็มีทางมีความคิดมีทางออกของตัวเอง และอ๊อดก็คิดว่าบางที ถ้าอ๊อดหนีมาแบบนี้ ปองอาจจะเลือกที่จะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ อ๊อดไม่อยากให้ใครต้องตายรวมถึงตัวอ๊อดเองด้วย นอกจากอ๊อดจะรักปอง รักพ่อ อ๊อดก็รักตัวเองเหมือนกัน อ๊อดเชื่อว่าหากเรายังมีชีวิตอยู่ เราน่าจะยังเจอเรื่องดีๆในชีวิตแน่ๆ
และความรู้สึกของอ๊อดที่มีต่อปอง ก็ยังเหมือนเดิมเสมอ
อ๊อดขอหายไปจากภูเก็ตสักพักเถอะนะ แล้ววันหนึ่งอ๊อดจะกลับมา
รัก...และอยากให้ปองมีลมหายใจต่อไป
....อ๊อด....ของปอง”

สมปองกำจดหมายแน่นเมื่ออ่านข้อความข้างในจบพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมา
“ผมขอโทษ อ๊อด เพราะผมเอง เรื่องทั้งหมดถึงเป็นแบบนี้”
.
.
.
“ตื่นแต่เช้าทุกวันเลยนะครับ ครูอ๊อด”
“อ้อ ครับ ลุงหวัง” อรรถพลหันมายิ้มให้กับนักการ ที่ควบหลากหลายตำแหน่ง ณ โรงเรียนบนดอยแห่งนี้  ชายกลางคนยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างๆพร้อมกับทอดตามองทิวหมอกกลางหุบเชาเบื้องหน้า
“ใจหายเหมือนกันนะครับ สี่ปีแล้วที่ครูอ๊อดมาสอนที่นี่ เด็กๆคงจะคิดถึงครูมาก”
“ผมก็คิดถึงพวกเขาครับ แต่มันคงถึงเวลาที่ผมต้องกลับไปรับความจริงเสียที” อรรถพลยิ้มให้กับทะเลหมอกเบื้องหน้า
“หรอครับ .... ผมดีใจที่ครูคิดได้แบบนั้น ความจริงสำหรับหลายๆคนเป็นสิ่งที่โหดร้ายจนเลือกที่จะหนีไม่กล้าเจอ”
นักการหวังกอดอกเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา “แล้วบ้านครูอ๊อดอยู่ที่ไหนนะครับ”
“ผมเป็นคนภูเก็ตครับ”
“ภูเก็ตงั้นหรอ” ชายกลางคนเหมือนจะตกใจเล็กน้อย “มิน่า ผมถึงถูกชะตากับครูนัก เราเป็นคนบ้านเดียวกันนี่เอง ผมก็เป็นคนภูเก็ตเหมือนกัน”
“จริงหรอครับ ไม่น่าเชื่อ โลกเรานี่แคบจริงๆ” ครูหนุ่มยิ้ม
“ครูอ๊อดทำให้ผมนึกถึงบ้าน นึกถึงใครบางคนเมื่อสามสิบปีที่แล้ว .... จะว่าไปผมก็อยากกลับไปภูเก็ตเหมือนกัน” ลุงหวังยิ้มเศร้าๆ
“ไปด้วยกันมั้ยครับ ผมยินดีออกเรื่องค่าเดินทางให้ถ้าลุงหวังไม่มีเงินนะครับ”
“อย่าเลยครับครู ผมไม่มีคนรู้จักที่นั่นแล้ว หรือไม่เค้าอาจจะไม่ได้อยู่รอผมแล้วล่ะ” นักการหวังฝืนยิ้มพลางกลืนน้ำลายลงลำคอ “ผมไปทำงานก่อนดีกว่า ขอให้พรุ่งนี้ครูอ๊อดเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”

อรรถพลมองแผ่นหลังของชายวัยกลางคนด้วยความรู้สึกสงสัย หากแต่ความหนาวเย็นมาทำให้ความใคร่รู้นั้นจางหายไป รวมถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นภายในวันสองวันนี้ก็ทำให้เขาต้องถอนหายใจ
สี่ปีที่จากมา ภูเก็ตจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างนะ

ลมยามบ่ายพัดทิวสนภูเขาลิ่วลมและรุนแรง ลุงหวังนั่งพักผ่อนอยู่ในเพิงไม่ไกลนักพลางหลับตา เขานึกถึงเสียงคลื่นจากบ้านเกิดที่ตนจากมา ที่แห่งนั้น .... และรักแรกของลุงหวัง อันเป็นสาเหตุให้ลุงหวังมาอยู่ที่นี่
มือกร้านของเขาหยิบเอาจี้ล๊อกเก็ตที่เป็นรูปของเขากับหญิงที่ตนรัก .... และรูปข้างๆเขานั้น คนในรูปมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับใบหน้าของมารดาของอรรถพลที่ติดไว้ที่วัดไม่มีผิด ?!
ลุงหวังยิ้มให้กับล๊อกเก็ตที่คอ พลางร้องเพลงเสียงสั่นในบทเพลงที่เป็นความหลัง....อันแสนขมขื่นของลุง
“ภูเอ๋ย ภูเก็ต อาณาเขตที่เรารักกัน
โธ่เอ๋ยสะพานสารสินเป็นถิ่นรื่นรมย์
ลาแล้วลาก่อน คงไม่ย้อนหวนคืนมาชม
ลาแล้วหนอความขื่นขม ทุกข์ระทมสิ้นสุดกันที....”
.
.
.
งานศพนายหัวทองจัดขึ้นเงียบๆในหมู่ญาติ ผู้เป็นลูกชายเดินเข้ามาในงานช้าๆท่ามกลางสายตาที่เหมือนจะชิงชังชายคนนี้ที่ทำอะไรตามใจตนเองจนพ่อตรอมใจตาย .... แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวอีกทั้งนายหัวทองเองก็เขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้แก่ผู้เป็นลูกด้วย
ธูปหนึ่งดอกถูกจุดขึ้น ควันธูปลอยพลิ้วขึ้นไปช้าๆก่อนจะม้วนตัวหายไปเมื่อถึงเพดานศาลา อรรถพลกำจดหมายที่ผู้เป็นพ่อเขียนไว้ก่อนตายนอกเหนือจากพินัยกรรม พลางหลับตาลงช้าๆ คำลงท้ายในจดหมายที่นายหัวทองเขียนไว้ว่า “.....แทนคำขอโทษทั้งหมด....จากพ่อ” ทำให้ชายหนุ่มคิดว่า หากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นคดีความ ใครกันนะที่เป็นคนผิด พ่อ ปอง ตัวเขาเอง หรือความรัก....

อรรถพลหลุบตาต่ำ เขาพบกับขาของชายคนหนึ่งที่ทรุดตัวลงข้างๆเพื่อมากราบศพพ่อของเขา ชายหนุ่มค่อยๆช้อนตาขึ้นมามองช้าๆ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เสียใจด้วยนะอ๊อด”
“ขอบใจนะปอง”

สี่ปีที่หายไปทำให้ปองดูแปลกตาไปเล็กน้อย สมปองไว้หนวดเครารกครึ้มและดูกร้านคล้ำลงไปมาก หากแต่ลึกลงไปในแววตาคู่นั้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าทุกอย่าง....ยังเหมือนเดิม

อาจจะด้วยความเคอะเขิน หรือเกิดระยะห่างระหว่างทั้งคู่ ทำให้ต่างฝ่ายต่างเงียบแม้จะได้กลับมาเจอกัน ...
...จนกระทั่งเสร็จงาน สมปองเป็นฝ่ายที่เริ่มบทสนทนาขึ้นหลังจากที่อรรถพลส่งแขกจนหมด
“อยู่คุยกันหน่อยได้มั้ย”
อรรถพลถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่าย “ได้สิครับ”

ทั้งคู่เดินมาหยุดที่ซุ้มศาลาที่ทางวัดจัดไว้สำหรับญาติโยมที่มาทำบุญ อรรถพลเดินเข้าไปนั่งด้านในก่อนจะมองไปรอบๆ
“ที่นี่ยังร่มรื่นเหมือนเดิมเลย”
“ไม่ได้มีแต่ที่นี่ที่เหมือนเดิม ผมเองก็ไม่เปลี่ยนไปหรอกอ๊อด” สมปองกุมมือลูกชายนายหัวที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับส่งสายตาขอคำตอบ “ผมยัง....รักอ๊อดเหมือนเดิม”
“อ๊อดรู้ .... ดวงตาของปองบอกอ๊อดหมดแล้ว” อรรถพลยิ้ม ก่อนที่จะดึงมือของตัวเองออก “แต่....”
“แต่อะไรหรออ๊อด”
“อ๊อดคิดว่าทางเดินของเรามันแยกมาไกลจนเกินกว่าที่เราจะกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง อ๊อดรู้ว่าไม่มีใครผิด ....แต่ความรักของเรามันได้ทำร้ายใครต่อใครมากมายเหลือเกินปอง....” ชายหนุ่มพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอและกลั้นน้ำตาในขณะที่พูด เขายิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะจับมืออีกฝ่ายไว้
“อ๊อดยังรู้สึกกับปองเหมือนเดิมนะ .... แต่อ๊อดก็ไม่รู้ว่าการที่อ๊อดกับปองจะยังใช้คำว่าแฟนกัน มันจะต่างอะไรจากที่เราเป็นเพื่อนกัน เราไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียน ไม่สามารถไปป่าวร้องบอกใครได้ แล้วก็ความรักของเราสองคนนี่แหละที่ทำให้พ่ออ๊อดต้องมานอนอยู่ในศาลานั่น”
สมปองเงยหน้ามองฟ้าด้วยดวงตาประกายชื้น “....อ๊อดทำให้ผมรู้สึกว่า เป็นแบบนี้มันแย่กว่าตายอีก ลมหายใจที่ไม่มีอ๊อดน่ะ”
“....ไม่จริงหรอกปอง ตราบที่เรายังมีลมหายใจ อ๊อดเชื่อว่าต้องมีอะไรดีๆเกิดขึ้นกับเราในวันข้างหน้าแน่” อรรถพลยิ้มให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะพูดต่อ “อ๊อดดีใจนะ ที่วันนี้เราทั้งคู่ยังมีลมหายใจ และปองก็ไม่เลือกที่จะตายเพื่อความรัก”
“แล้วทำไมเราจะรักกันไม่ได้ ในเมื่อไม่มีใครที่จะขวางเราอีกแล้ว”
“เรายังรักกันนี่ปอง ผมยังยืนยันว่าผมยังเหมือนเดิม เพียงแต่....” อรรถพลสูดลมหายใจเข้าปอด “ถ้าให้พูดตามตรง อ๊อดรู้สึกผิดนะ ที่การทำตามใจของอ๊อด ทำให้ใครต่อใครต้องเจ็บปวด ....เราเป็นคนที่คอยห่วงใยกันแบบนี้ดีแล้วล่ะ มันไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนหรอก ต่างคนต่างห่วงใยกันและกันไปจนแก่จนเฒ่า แต่อย่าให้อ๊อดใช้คำนั้นเลย ...”
“อ๊อด ...ผมไม่...”
“สี่ปีที่ผ่านมา อ๊อดได้รู้จักหลายมุมของความรัก มันทำให้อ๊อดรู้สึกว่า เจ้าความรักมันน่ากลัวพอๆกับความสวยงามที่เรามองเห็นเลย เหมือนภูเก็ต ทะเลที่นี่สวยงามแต่ครั้งหนึ่งภูเก็ตก็เคยกลบกลืนชีวิตคนนับพันนับหมื่นคนให้ตายลงอย่างน่ากลัว ทุกสิ่งบนโลกไม่มีอะไรที่สวยงามเพียงด้านเดียว ....และอ๊อดก็...เกลียด...และกลัวด้านร้ายของมันมาก”
ชายขับสองแถวใช้มือสองข้างปืดหน้าตัวเอง พลางลูบลงปาดดวงตาที่ชื้นแฉะ ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่น
“แล้วอ๊อดต้องการให้มันเป็นยังไงต่อไป”
“เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตลอดไป....ปอง”
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มฝืนยิ้ม ก่อนจะคว้าคนตรงหน้ามากอดจนแน่น “แต่ผมขอกอดอ๊อดเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ ทูนหัวของไอ้ปอง”
.
.
.
“ตึ๊ง ตึ่ง ตึง ตึ่ง .... ตึ่ง ตึง ตึ๊ง ตึ่ง”
ออดของโรงเรียนดังขึ้น ครูอรรถพลปล่อยนักเรียนให้กลับบ้านก่อนที่จะพาตัวเองมายังหน้าโรงเรียน ...ที่เดิม รถสองแถวบุโรทั่งสีแดงก็ยังจอดอยู่ไม่ไปไหน จะมีที่เปลี่ยนไปก็เพียงสถานะของผู้โดยสารขาประจำกับเจ้าของรถ ที่เขยิบถอยออกมา เป็นเพียงเพื่อนที่สนิทสนมรู้ใจกัน...เท่านั้น
....คำว่า “คนรัก” ของทั้งคู่อาจจะหายไปกับเกลียวคลื่นใต้สะพานสารสิน
แต่ความรู้สึกดีๆที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้น ... จะยังคงอยู่ตลอดไป....

.....อวสาน


อา... จบลงแล้ว กับเรื่องสั้นที่น่าจะดราม่าที่สุดที่จะเขียนแล้ว
มันบีบคั้นอารมณ์ที่สุดแล้ว สำหรับเรื่องนี้
(คือเป็นเรื่องที่เขียนแล้วเครียด มากกว่าเขียนเรื่องไอ้บอยเสียอีก)

แต่ด้วยฟังเพลงภูเก็ตแล้วปิ๊งพลอตขึ้นมา เลยอยากเขียนในมุมมองของคนสมัยใหม่บ้าง
ในมุมของผมคิดว่า หากทั้งโกไข่และครูอิ๋เกิดในยุคสมัยปัจจุบัน
ทั้งคู่คงจะมีทางออกที่ดีกว่าความตายแน่ๆ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ
ส่วนที่พี่ yeyong แซวว่าทำตัวแก่กว่าวัยนั้น ไม่เถียงเลยครับ
เพราะชีวิตจริงก็ทำตัวแบบนั้นแหละ ฮาๆๆ

(นอกจากทำตัวแก่แล้วช่วงนี้ยังทำหน้าแก่เลยวัยด้วยนะผมน่ะ  :laugh:)

 :L2:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
เป็นเรื่องที่เศร้ามาก ๆ และดราม่าจริง ๆ จัง ๆ ( จำแนกตาม Genre : Drama )
คงเพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่สามารถหาทางออกที่สวยงามได้สักเท่าไร
ทางเลือกของอ๊อด ไม่สามารถบอกได้ว่า ถูกหรือผิด ( ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคลจริง ๆ )
แต่ที่แน่ ๆ เรารู้สึกสงสารปองที่สุด เพราะ พี่ท่านเป็นประเภทรักไม่ยอมเปลี่ยน
มีหลายครั้งที่อ๊อดบอกให้ปองเลิกรัก แต่เขาก็ยังยืนยันว่าจะรัก ไม่ว่าจะอะไร ยังไง ก็ไม่มีทางหยุดรัก
ความรักของปองยิ่งใหญ่มากนะ แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับสถานการณ์ที่เป็นก็ได้...





ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
 :monkeysad: เศร้าปวดใจที่สุด

+1และเป็ด

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
ตอนที่ปองนัดเจอคิดว่าจะพาหนีไปเสียอีก
 :เฮ้อ:
:pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
เศร้า... :o12:
อ๊อด...ความคิดเราอาจคล้ายๆกัน
รู้เห็นเรื่องความรักมามากมาย 
ด้านดี ก็ยากได้รักมาเชยชม
ด้านขม ก็ขมเสียจนปางตาย
ถ้าครั้งหนึ่งความรักจะมาเยือน ขอปฎิเสธรัก เก็บความหวานปนขมไว้ในใจก็เพียงพอ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
ชีวิตคนเรามันสั้น อย่าสร้างเงื่อนไขชีวิตที่มากมายเลย
 :monkeysad:
+1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2012 14:21:44 โดย Horizon »

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
โอ๊ย คือแบบ  :sad4: อยากให้เขาได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็แอบเข้าใจที่ตัดสินใจแบบนั้น
ขอบคุณมากสำหรับเรื่องนี้จ้ะ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เอ่อ! ในความคิดเรานะ นั่นคือความรู้สึกของปองที่มีต่ออ๊อดมันเปลี่ยนไปแล้วอ่ะตั้งแต่ไปใช้ชีวิตที่อื่นมา  ในขณะที่อ๊อดยังเหมือนเดิม  การขอเป็นเพื่อนกันก็หมายถึงจะไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมาเกี่ยวข้องอีกต่อไป  คงเป็นวิธีการชดเชยความรู้สึกผิดของปองที่มีต่อพ่อ ซึ่งอ๊อดคงทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเองก็ด้อยกว่าอีกฝ่ายทุกทางอยู่แล้ว 

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
 :เฮ้อ: อะไรจะดราม่าขนาดนี้ เศร้าใจจริงๆเลย

ออฟไลน์ kanunsak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
 :o12:  สงสารตัวเอง  อินอีกแล้ว ทำไมคนเขียนใจร้ายงี้อ่ะ  ตั้งกะบอยลมแล้วอ่ะ  ลุงเต้ก็อีก ( ดีนะที่จบแบบ happy )


แต่...


แต่..... คุณอ๊อดเนี่ย...   :z3: :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2012 16:42:57 โดย kanunsak »

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5

ออฟไลน์ naTerquelA

  • If you ..... love me?
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เศร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

มันก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน เฮ้อออ...

LUCKY STAR

  • บุคคลทั่วไป

เพื่ออะไร ???

ชดใช้ความผิดเหรอ ???
พ่อที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้รึไง ???
แล้วให้ปองรอเพื่อ ???

ถ้าอย่างงั้นอย่ากลับมาเลยจะดีกว่าไหม ???

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nco1236

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
เรื่องสุดท้ายพูดไม่ออก...บอกไม่ถูกเลย

ออฟไลน์ pedgampong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :sad11: เห๊อออออออออออ น่าเศร้าจิงๆ คนๆนึงบอกรักด้วยการกระทำ ส่วนคนๆนึงบอกรักด้วยคำพูด

 :กอด1: มาติดตามค่าา ชอบวิธีการเล่าเรื่องมากๆ :)

kimyunjae

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ LittlePrince

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ชอบเวลาคนเขียนเอาหยิบเอาเรื่องเล็กๆ ของใกล้ๆตัวอะไรบางอย่างมาผูกเป็นนิยายได้ครับ
ผมว่ามันเท่ดี เหมือนเรื่องที่สองที่มาจากน้ำท่วมหรือเรื่องสุดท้ายที่เอามาจากเพลงจากตำนานของภูเก็ต

เรื่องแรกจบสวยดีครับ คือถึงแม้ใจในจะรู้สึกอยากให้ไนซ์กระโจนกอดเก่งแล้วบอกว่า "กรูก็รักมึงมานานแล้วเหมือนกัน"
แต่ถ้ามันจบแบบนั้นจริงๆ คงจะทะแม่งๆด้วยความที่มันดูไม่สมูธเท่าไหร่

เรื่องที่สองนี่หวานจริงจัง โชคดีที่อ่านรวดเดียวจบ ไม่งั้นคงทรมานตอนที่ไม่รู้ว่าจอมเป็นยังไงบ้างน่าดู
ชอบตอนจีบกันครับ น่ารักมากๆ

เรื่องสุดท้ายถึงแม้จะดูจบเศร้า(ตามความถนัดของผู้แต่ง) ซึ่งมันก็บีบคั้นอารมณ์ไปทางหนึ่ง ถือว่าสำเร็จเหมือนกัน
เพียงแต่ถ้าอยากจะมองเข้าข้างตัวเองสักหน่อยให้มันไม่เจ็บปวดนัก การที่คนทั้งสองกลับมาอยู่ด้วยกัน
ถึงแม้จะเปลี่ยนสถานะ แต่จริงๆแล้วด้วยความรู้สึกเดิมๆ อะไรๆมันก็จะไม่ต่างไปจากเดิมหรอก ต่างแค่คำเรียกเท่านั้นเอง
แล้วตอนจบก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้น ผมเชื่อว่าเค้าอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้เรื่อย คนรักกันมันก็ไม่มีเหตุผลจะให้ไม่รักหรอก

แต่ถ้าเอาจบแบบนั้นจริงๆ seriously ผมก็ออกจะไม่ค่อยชอบอ๊อดนิดหน่อย
เพราะเค้าแค่เอาคำว่าไม่อยากให้ความรักทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเจ็บปวด แต่มาทำเอาตอนที่สายไปแล้ว
ตอนนี้คนที่เดือดร้อนหรือเจ็บปวดเพราะความรักจริงๆก็มีแต่เค้าสองคนนั่นแหละ
กับการที่มาตั้งเงื่อนไขไปเอง(โดยไม่ค่อยจะมีสาระเท่าไหร่)ว่าต้องเป็นเพื่อนกัน
เหมือนกับเป็นการทำเพื่อชดเชยความผิดที่มีต่อพ่อ แต่นั่นก็ยิ่งเป็นการย้ำว่าอ๊อดแค่ทำให้ตัวเองเจ็บเพื่อให้ตัวเองสบายใจ
มันก็ดูเห็นแก่ตัวกับปองมากไปหน่อย

ผมคิดมากไปไหมเนี่ย เอาเป็นว่าจะรอเรื่องต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ pedgampong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :sad11: พึ่งเห็นว่ามีตอนต่อเรื่องที่หนึ่งด้วย แล้วอ่านรวดเลยทีเดียว
เรื่องแรก เรานึกว่ามันจบแล้วซะอีก แห่ะๆๆ จิงๆสารภาพเราว่า เราชอบการที่จบแบบไม่มีตอนที่สองนะ แบบตอนที่สองเราว่ามันแปลกๆนิดหน่อย (อาจจะเป่นแค่เราเองที่รุ้สึกนะ)
เรื่องที่สอง แอบน่ารักนิดหน่อย หวานๆกันไป
ส่วนเรื่องสุดท้าย เอา :กอด1: เราไปเลยดราม่าได้อีก :'( แต่เราแอบบรุ้สึกว่าครูคนนั้นเค้าเหมือนทำเพื่อตัวเอง แต่ก้อเข้าใจ แต่ปองน่าสงสานมาก  :เฮ้อ:
 :man1: รออ่านเรื่องต่อไปจ้า :)

ออฟไลน์ Yร้าย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ข้าพเจ้าชอบทั้ง 3 เรื่องเลยนะ....
แต่ขอบอกว่าสุดท้ายก็ไม่พอใจที่อ๊อดทำแบบนี้..
ความรักไม่ได้ทำร้ายใครมีแต่คนที่ก่อให้เกิดความรักทำร้ายกันเอง...
เหมือนที่อ๊อดกำลังทำร้ายปองนี่ไง..อ๊อดทำได้รับสภาพได้เพราะตัวเองเป็นคนที่ตัดใจเอง...
แต่ปองล่ะจะรับได้แค่ไหนกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รับสิทธิ์เลือก....เฮ้อ!!!เหนื่อยใจกับความรักนะ... :o12:

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
อ่า ในที่สุดผมก็ผ่านเรื่องของนักเขียนที่ตัวเองชื่นชมมากที่สุดในเวลานี้จนครบทุกเรื่องที่จะหาอ่านได้

ยังยืนยันว่าชื่นชมผลงานการเขียนของคุณหนิงหน่อง (ผมคงพิมพ์ชื่อไม่ผิดนะครับ) ภาษาสวยงามทำและถ่ายทอดได้อย่างดี

ทำให้คนอ่าน(อย่างผม ซึ่งไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นมั๊ย?) เข้าถึงมัน เหมือนตัวเองเป็นอีกตัวละครในนั้น

ตัวละครทุกตัวเหมือนกับมีชีวิต หลาายสถานที่ที่ผมเองไม่เคยไป และหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้ คุณได้พาผมไปรู้จักทั้งหมดจริงๆครับ

ผมชอบนิยายของคุณทุกเรื่อง และอีกเรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือความน่ารักของคนเขียน

เท่าที่ผมตามอ่านมา แม้ว่าผมจะมาตามอ่านที่หลังแต่ก็เห็นอยู๋ดีว่านักเขียนเองใส่ใจคนอ่านที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยนิยายขนาดไหน

แม่จะมาต่อช้าในบางตอน แต่มันก็มีอะไรที่ทำให้คนอ่าน หรือแม้กระทั้งคนตามอ่านอย่างผมรู็สึกดีมากๆ

ผมจะตามผลงานไปเรื่อยๆนะครับ  :3123:


มาถึงเรื่องสั้น เรื่องแรก

เอ๋ บรรยากาศคุ้นๆเหมือนมหาวิทยาลัยบูรพา (ผมเรียนอยู่ครับ) ก็บางแสน? ทะเล? แต่บัวเหล็กคืออะไร? แต่ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้

ความรักของเก่งดีลึกซึ้งกินใจจริง ๆ แต่ก็นะก็ไนซ์กว่าจะพอ กว่าจะหยุด และเกือบที่จะเลือกทำลาย

มันก็เป็นเรื่องของจังหวะหล่ะมั๊งครับ ผมเองยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในหลาย ๆ ความคิด แต่ก็ชื่นชอบเก่งมาก

ดีใจที่คู่นี้มีความสุข แต่แอบหมันใส้ไนซ์ ที่ยังต้องเริ่มต้นใหม่อีก แหม่ะ พ่อหล่อเลือกได้ :a6:


เรื่องสั้นเรื่องที่ 2

เรื่องนี้น่ารักมาก รักเกษตรหนุ่มจัง ไม่สิ เค้าหนุ่มตอนผม 4 ขวบ ถ้าเค้าเป็นคนที่มีชีวิตอยู่จริง ๆ ตอนนี้น่าจะ 40 ขึ้นไปหน่ะนะ

เค้าช่างเป็นคนน่ารักและอบอุ่น มั่นคงในรัก ใจดี โอ๊ยยยยย คลั่ง  :impress2:

ส่วนพ่อค้าพวงมาลัย แหม่ะช่างน่ารักเหมาะสม ผมดีใจมาก ๆ อีกครังที่เรื่องนี้มีความสุข  :L1:


เรื่องสั้นเรื่องที่ 3

 :เฮ้อ: ผมเป็นคนชอบอ่านนิยายทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นดราม่า หรือรักใส ๆ นั่นคงเป็นเพราะผมอยากอ่านเรื่องราวที่หลากหลาย

เพราะว่าแน่นอนในชีวิตจริง ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องราวของทุกชีวิตหรอกที่จะสมหวังไปทุกอย่าง

หลาย ๆ คนที่ไม่ชอบอ่านนิยายดราม่าก็คงคล้าย ๆ กับอ๊อดที่กลัวด้านมืด

แน่นอนหล่ะ ถ้าเลือกได้ ใครก็อยากจะให้ทุกสิ่งสวยงามดังใจตน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริงแน่นอน

ครูอ๊อดก็คงอับจนด้วยหนทาง และทางออกที่มีก็คงมีเท่านั้นจริง ๆ หลายคนที่อยู่ในปัญหาไม่มีทางมองเห็นทางออกหรอกเนอะ

เหมือนในใจผมที่คิดว่า "ทำไมไม่บอกพ่อ?" "ทำไมไม่สารภาพความจริง?" "ทำไมไม่เลือกที่จะตายไปกับคนรัก?"

"ทำไมไม่หนีไปด้วยกัน?" ทำไม ทำไม และทำไม แต่ผมลอง ๆ มาคิดดูแล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่เผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง

ก็อย่าไปว่าคนอื่นเลยว่าทำเช่นนั้นไปทำไม ผมเลยเก็บทำไมทั้งหลายลงท้องไป (แล้วพิมพ์ออกมาทำไม? :m20:)

สงสารปอง อ๊อดเองก็เช่นกัน แล้วก็สงสารพ่อด้วย อยากให้อาม่ามาจัดการตอนดูตัวบ้าง เผื่อเรื่องมันจะสวยงาม ( :z6:)


ความเห็นยาวจนน่าเบื่อก็ขออภัยด้วยนะครับ พอดีอินจัด :m23:

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนแรก


สายลมกลางฤดูใบไม่ร่วงทำให้ประชาชนในกรุงลอนดอนพากันแต่งกายด้วยเสื้อโคทสองชั้นกันความหนาวเย็นแต่ไม่ถึงกับหนาวจนชาผิว ทว่าความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่ค่อนข้างน้อยก็ทำให้ต้องสวมใส่อาภรณ์ป้องกันไว้บ้าง

ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทสีดำและหมวกปีกแคบสีเดียวกับชุดเดินออกมาจากประตูแม่เหล็กไฟฟ้าหลังจากที่เขาใส่รหัสถูกต้อง พนักงานในอาคารค้อมตัวแสดงความเคารพก่อนจะเดินหลบทางให้อย่างนอบน้อม ชายหนุ่มหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มให้กับพนักงานของเขาเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาไปข้างหน้าเพื่อให้คนเหล่านั้นไม่รู้สึกอึดอัดต่อการมีตัวตนของเขา

ประตูบานวนหมุนเป็นวงเปิดทางให้ชายในเสื้อโคทสีดาเดินออกมาสู่ภายนอก เขาเดินทอดน่องมาเรื่อยๆบนถนน Byward จนมาถึงทางขึ้นสะพานทาวเวอร์บริดจ์ ผืนน้ำในแม่น้ำเทมส์ทอประกายสีทองอ่อนเมื่อรับกับเปลวแดดยามพระอาทิตย์ย่ำสายัณห์ มีผู้คนออกมาจ๊อกกิ้งบ้าง ที่ม้านั่งริมแม่น้ำชายหนุ่มมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังป้อนไส้กรอกให้แก่เจ้าไซบีเรียนฮัสกี้ตัวโตด้วยรอยยิ้มเมื่อสุนัขของหล่อนขอบคุณเจ้านายของมันด้วยการเลียมือซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่สายลมยามเย็นจะพัดโชยมาทำให้หลายๆคนพากันกระชับเสื้อคลุมของตนเพื่อบรรเทาความเย็นจากสายลมที่พายพัดผิวกาย ชายหนุ่มแสร้งทำตามคนเหล่านั้นราวกับว่าเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกหนาวเย็นไม่ต่างจากคนทั่วไป

เขาเดินขึ้นไปบนสะพานทาวเวอร์บริดจ์อย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะหยุดยืนมองผืนน้ำเบื้องล่างด้วยแววตาที่ไร้ก้นบึ้ง ไม่ไกลกันนักมีสะพานลอนดอนที่สร้างจากคอนกรีตแทนสะพานเดิมที่ถล่มลง เขาครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆในลอนดอนและประเทศอังกฤษที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่ตามสัจธรรมแห่งจักรวาลอันประกอบด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และสูญไป และกฎข้อนี้ก็เป็นเหมือนกติกาแห่งพระเจ้าที่มอบให้แก่มนุษย์อย่างเท่าเทียม แต่กฎที่จริงแท้และเป็นนิรันดร์กว่านั้นคือทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่กฎแห่งความไม่เที่ยงก็ตาม

“เหวอออ!!!” เสียงใสๆของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ก่อนหันมาตามเสียงก็พบกับผ้าพันคอไหมพรมถักสีเทาดำลอยมาพาดกับใบหน้าของเชาพอดี
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เผอิญผมกำลังรีบน่ะครับ” เขาออกตัวขอโทษพลางหายใจอย่างเหนื่อยหอบ “ขอผ้าพันคอคืนด้วยครับคุณ”
“รีบไปไหนกันล่ะเจ้าหนู” ชายหนุ่มในเสื้อโคทสีดาเอ่ยถามขึ้นโดยที่ยังไม่ได้มอบผ้าพันคอผืนนั้นคืน
“เจ้าหนู?” เด็กหนุ่มย่นคิ้วอย่างสงสัยในสรรพนามที่ชายแปลกหน้าใช้กับตน “เอ่อ ผมต้องรีบไปที่ร้านครับ เผอิญจักรยานผมเกิดยางแตกที่โบสถ์ซัทเบิร์ค แล้วผมก็มีเวลาไม่มากแล้วด้วย ยังไงผมขอผ้าพันคอคืนด้วยนะครับ”
“อื้ม ... เอาไปเถอะ” ชายหนุ่มส่งคืนให้แต่โดยดี
“ขอบคุณครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มกล่าวคำอำลาก่อนจะวิ่งตื๋อโดยไม่หันมามองด้านหลัง ทว่าด้วยความรีบร้อนนั้นก็ทำให้ผ้าสีดำผืนหนึ่งหลุดออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่เจ้าตัวเสียบไว้หลวมๆและหลุดปลิวมาตามแรงลมโดยที่เจ้าหนูไม่รู้ตัว โชคยังดีที่ชายหนุ่มในเสื้อโคทดำคว้ามันไว้ได้ทันอีกครั้ง

“เฮ้ เจ้าหนู เดี๋ยว!” เขาร้องเรียก ทว่าสายไปเสียแล้ว เพราะเจ้าหนูคนนั้นไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขา และเขาเองก็คร้านจะวิ่งตาม เพราะสำหรับชายหนุ่ม ... มันเนิ่นนานมาแล้วที่เขาเลิกนับวันเวลา และลืมไปแล้วว่าความรีบร้อนนั้นมีประโยชน์อะไรต่อเขา

เขาคลี่ผ้าผืนนั้นออกดู ก็พบว่าเป็นผ้ากันเปื้อนสกรีนลายแก้วกาแฟสีขาว ด้านล่างเป็นคำว่า “Gregory Coffee” เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกโทรศัพท์ของตนขึ้นมา
“ทอม คุณช่วยค้นหาร้านกาแฟชื่อเกรกอรี คอฟฟี่ให้ผมหน่อย ถ้าเจอแล้วมารับผมที่สะพานทาวเวอร์บริดจ์ด้วยนะ”
.
.
รถโรลส์ลอยซ์สีบรอนซ์มันเงาจอดเทียบที่จอดรถเล็กๆในบริเวณสวนสาธารณะ ก่อนที่ชายหนุ่มในเสื้อโค้ทสีดำจะลงจากรถ
“คุณผู้ชายจะไปนานไหมครับ” เสียงคนขับรถถามขึ้น ก่อนที่ชายหนุ่มที่นั่งข้างหลังจะก้าวขา
“คงไม่นานหรอกมั้ง เดี๋ยวชั้นคืนผ้ากันเปื้อนให้เจ้าหนูนั่นก็จะกลับมา นายรออยู่ที่นี่แหละทอม”
“ให้ผมไปเองไหมครับ ผมไม่เห็นว่า คุณผู้ชายไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาผ้ากันเปื้อนถูกๆไปคืนเจ้าเด็กนั่นด้วยตัวเองเลย” ทอมออกความเห็นด้วยใจจริงในฐานะคนสนิทที่รับใช้กันมานาน
“ไม่เป็นไรหรอกทอม วันเวลาในชีวิตของชั้นมันเดินเป็นเส้นตรงมานานหลายปีแล้ว นายก็รู้ ให้ชั้นได้ทำอะไรบ้างเพื่อแต่งแต้มวันเวลาที่หยุดเดินของชั้นเถอะ” คนที่ถูกแทนตัวว่าคุณผู้ชายตอบด้วยรอยยิ้มที่เกือบจะเป็นเส้นตรงบนใบหน้า
“ผมขอโทษครับที่ออกความเห็น ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเถอะครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะก้าวลงจากรถและเดินช้าๆไปยังร้านกาแฟตามพิกัดที่ทอมหาตำแหน่งมาให้ ร้านดังกล่าวเป็นร้านเล็กๆ ป้ายหน้าร้านเป็นไฟ LED หลากสีเรียงกันเป็นชื่อร้าน ผนังทำด้วยกระจกใสและมีโต๊ะให้นั่งจิบกาแฟอยู่สองสามตัว ชายหนุ่มมองเข้าไปข้างในก็พบกับคนที่ลืมของไว้กับเขา  เขายิ้มเล็กน้อยให้กับความเลินเล่อแบบเด็กๆของพนักงานร้านกาแฟคนนั้นก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน
“สวัสดีครับ เชิญครับ” เสียงใสๆที่เพิ่งจะได้ยินเมื่อบ่ายดังขึ้นเชื้อเชิญเขา ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเห็นใบหน้าของลูกค้าที่เข้ามาก็ต้องอุทานขึ้นมา...
“คุณเมื่อเย็นใช่มั้ยครับ?”
“ใช่แล้วเจ้าหนู” เขายิ้มให้เล็กน้อย “ชั้นเอามาคืนนาย มันปลิวหลุดตอนที่นายรีบวิ่งมาทำงานน่ะ”
“โอ้ ... ขอบคุณมากเลยครับ” เขารับผ้ากันเปื้อนไปและขอบคุณจากใจจริง “นี่ผมโกหกพี่เจ้าของร้านว่าผมลืมหยิบมานะเนี่ย ไม่งั้นผมได้เสียค่าผ้ากันเปื้อนผืนใหม่อีกตั้งสองสามปอนด์แน่ะ”
“ดีใจด้วยนะเจ้าหนู ถ้าอย่างนั้นชั้นขอตัวก่อนนะ” ชายหนุ่มกล่าวอำลา แต่พนักงานร้านกาแฟคนนั้นก็ร้องทักไว้
“ให้ผมเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วนะครับ ขอบคุณสำหรับเรื่องที่คุณเอาผ้ากันเปื้อนมาคืนผมไง”
“เอ่อ ... ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหนู”
“เรียกเจ้าหนูอีกแล้ว ... คุณจะอายุเท่าไหร่กันเชียว ผมเดาคร่าวๆอย่างมากก็ไม่เกินสามสิบหรอกน่า” เด็กหนุ่มพ้อด้วยรอยยิ้มกว้าง “ลองชิมดูหน่อยเถอะครับ กาแฟร้านผมอ่ะอร่อยนะ ได้ชิมแล้วจะติดใจ แล้วยิ่งสำหรับคุณด้วยแล้ว ผมจะทำให้สุดฝีมือเลยล่ะ”
“เอ่อ ... ก็ได้” ชายหนุ่มตอบรับอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณชอบดื่มอะไรครับ มอคค่า คาปูชิโน่ ลาเต้ อ้อ ... แต่ห้ามสั่งเอกซ์เพรสโซ่นะ ไม่งั้นตาค้างทั้งคืนแน่เลยล่ะ”
“อะไรก็ได้ เจ้าหนู ... อันที่จริงชั้นไม่ได้กินกาแฟมานานมากแล้วล่ะ”
“งั้นหรอครับ แต่ถ้าคุณได้ชิมกาแฟที่ผมชงให้แล้วล่ะก็ คุณจะต้องหันมาชอบกาแฟแน่ๆเลยล่ะ... งั้นเอาเป็นคาปูชิโน่แล้วกันนะครับ ไม่แรงมาก”
“ก็ได้”

ไม่นานนัก แขกโต๊ะข้างๆเรียกเก็บเงิน ทำให้ทั้งร้านเหลือเพียงชายหนุ่มยิ้มยากกับพนักงานยิ้มง่ายเพียงสองคน เด็กหนุ่มนำกาแฟมาวางตรงหน้าชายในเสื้อโคทก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ผมชื่อบิลครับ บิล เลย์ตัน” เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าหนู ชั้นชื่อ บ๊อบ วิลเลี่ยม” อีกฝ่ายแนะนำตัวบ้าง ก่อนจะมองแก้วคาปูชิโน่ที่ถูกวาดลวดลายเป็นรูปตัวการ์ตูนยิ้มกว้างด้วยชอคโกแลต
“คุณวิลเลียมจะยิ้มเหมือนกาแฟที่ผมทำมาให้ก็ได้นะครับ” บิลท้าวคางพูดพลางทำหน้าเป็นเหมือนรูปบนแก้วกาแฟ
“ชั้นเป็นแบบนี้แหละเจ้าหนูบิล” บ๊อบพูดพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่มอึกใหญ่
“นี่คุณวิลเลี่ยม ทำไมคุณดื่มเป็นดื่มน้ำแบบนั้นล่ะ นี่มันกาแฟนะ ...กาแฟร้อนด้วย!” เด็กหนุ่มเลิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นลักษณะการกินกาแฟของคนตรงหน้า
“เอ่อ...” ชายหนุ่มอึกอักเมื่อลืมที่จะเลียนแบบท่าทางของคนปกติ “คือ...”
บิลเอื้อมมือไปแตะแก้วกาแฟของบ๊อบ ก่อนจะเอามือออกอย่างรวดเร็วและสลัดมือไปมาด้วยความร้อน “โอ๊ย ยังร้อนอยู่จริงๆด้วย คุณกินเข้าไปแบบนั้นได้ยังไง”
“ชั้นขอตัวก่อนนะเจ้าหนู ชั้นกลับก่อนล่ะ” ชายหนุ่มตัดบท ก่อนจะรีบลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณวิลเลียม ... “ เขาร้องทักไว้อีกครั้ง “เช็ดปากของคุณก่อนเถอะครับ ที่ปากของคุณเลอะครีมอยู่”

บิลส่งกระดาษทิชชู่ให้แก่ชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าสับสน เขารับกระดาษมาเช็ดปากช้าๆ ก่อนที่เจ้าหนูบิลจะถามต่อ
“คุณดูเป็นคนลึกลับจังเลยนะครับ แล้วก็แปลกมากด้วย”
“ชั้นน่ะหรอเจ้าหนู นายคิดไปเองซะล่ะมั้ง”
“ไม่เลยครับ ที่ผมเห็นน่ะ มันฟ้องจากแววตาของคุณนั่นแหละ คุณวิลเลียม ไม่ว่าคุณจะยิ้มหรือหัวเราะให้ผมเห็น แต่แววตาของคุณเหมือนกับซ่อนอะไรไว้อยู่ตลอด” 

บ๊อบ วิลเลียมหลบดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ทว่าบิลกลับไม่หยุดพูดต่อ
“ไหนจะสรรพนามที่คุณเรียกผมว่าเจ้าหนู ผมโตแล้วนะครับ คุณวิลเลียม และผมก็คิดว่าคุณก็ไม่แก่คราวลุงถึงขนาดจะเรียกผมอย่างเอ็นดูขนาดนั้นด้วย” บิลพูดเสียงกร้าว ทำให้ชายในเสื้อโคทสีดำเปลี่ยนสีหน้าเป็นราบเรียบและเศร้าสร้อย
“เอ่อ ... ผมขอโทษนะครับคุณวิลเลี่ยม ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ผมแค่รู้สึกว่าคุณน่าจะยังไม่แก่ถึงขนาดเรียกเด็กมหาลัยอย่างผมด้วยคำที่พูดประหลาดๆแบบนั้น .... หรืออันที่จริง ...โอเคๆ ผมพูดตามตรงแล้วกัน ผมว่าคุณเป็นคนที่แปลกอยู่สักหน่อย”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แล้วถ้าหากว่า ชั้นลืมนับอายุไปแล้วล่ะ ว่าชั้นอายุเท่าไหร่ ... แต่ถ้านายอยากจะนับแทนชั้น ชั้นก็จะบอกนายก็ได้ว่าชั้นเกิดตอนคริสตศักราช 2116”
“2116....” เด็กหนุ่มทวนคำ ก่อนจะอุทานด้วยดวงตาเบิกโพลง “คุณจะบ้าหรอ นี่มันปี 2224 แล้วนะ”
“หน้าชั้นดูเป็นคนโกหกมากเลยหรอ”
“แล้วทำไม... คุณถึงได้ ยังหนุ่มอยู่แบบนี้ล่ะครับ” บิลพูดอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก
“นายรู้จักแอนดรอยด์ไหมล่ะเจ้าหนู”
“แอนดรอยด์.... ไม่จริงน่า คุณวิลเลียม” บิลส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “โอกาสสำเร็จของการปลุกคนขึ้นมาจากความตายด้วยการเปลี่ยนเป็นแอนดรอยด์นี่มันน้อยกว่า....”
“หนึ่งในสิบล้าน เจ้าหนู และไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับโอกาส จะต้องมีเงินมากพอที่จะเสี่ยงในการผลลัพธ์อันน้อยนิดที่ว่า ดังนั้น อมนุษย์อย่างชั้นจึงมีไม่อยู่เยอะนักหรอกบนโลก ... และสำหรับชั้น ชั้นเป็นคนที่สามที่ทำเร็จบนโลกใบนี้” วิลเลียม บ๊อบเฉลยให้ฟังพร้อมกับถกชายเสื้อโคทขึ้นสูงจนถึงคอเพื่อเผยให้เห็นแผงไมโครชิบบริเวณอกข้างซ้ายที่ทำงานแทนหัวใจ เด็กหนุ่มตรงหน้าบ๊อบทำตาเบิกโพลงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ในขณะที่บ๊อบรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด มันไม่น่าภูมิใจเลยสักนิดกับการบอกใครสักคนว่าตัวเองไม่ใช่”คน”เช่นนี้

“เข้าใจหรือยัง ว่าทำไมชั้นถึงเรียกนายว่าเจ้าหนู เพราะหากชั้นไม่ได้เป็นแอนดรอยด์ เราสองคนคงจะนับศักดิ์กันเป็นตาหลานก็ไม่แปลก” บ๊อบถอนหายใจเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะมองลึกลงไปในแววตาของเด็กหนุ่ม “รังเกียจชั้นมั้ยล่ะ พอได้ยินแบบนี้”
“ทำไมต้องรังเกียจล่ะครับ” บิลยิ้มกว้าง หลังจากปรับความรู้สึกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่องราวต่างๆได้แล้ว “ผมกับคุณปู่วิลเลียมไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย ดูสิเรามีมือเท่ากัน มีตาเท่ากัน ไอ้เรื่องที่ว่าคุณปู่เคยตายมาแล้วรอบหนึ่งน่ะ ผมไม่นับหรอก”
“เจ้าหนู .... นายนี่มัน” บ๊อบยิ้มกว้างให้กับความคิดของเจ้าหนู “ร้านปิดกี่ทุ่มล่ะ เดี๋ยวชั้นไปส่งนายเองที่บ้าน”
“ใกล้จะเลิกแล้วครับ หากคุณปู่วิลเลียมไม่รังเกียจที่จะรอผมสักครู่ ผมก็ยินดีครับ”
“แล้วนายกินข้าวหรือยังล่ะเจ้าหนู ... แถวนี้พอจะมีร้านอร่อยๆแนะนำชั้นบ้างมั้ย” บ๊อบทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งพลางไขว้ห้างอย่างอารมณ์ดี
“ไม่รู้สิครับ ปกติผมไม่ค่อยได้ไปกินข้าวนอกบ้านหรอก ก็นะ ...ผมมันก็แค่นักเรียนทุนจนๆ” บิลยักไหล่อย่างไม่แคร์นัก ก่อนจะเริ่มลงมือทำความสะอาดเครื่องทำกาแฟ “แต่ก็ดีอย่างนะครับ ตรงที่สิ่งที่เราขาดก็ทำให้เราได้สิ่งอื่นมาแทน แล้วถ้าคุณปู่ไม่รังเกียจ สนใจจะชิมอาหารเลิศรสจากเชฟบิลมั้ยล่ะครับ”
“เชฟบิล?” มนุษย์แอนดรอยด์เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ก็ผมไง ผมน่ะทำอาหารอร่อยนะ เดี๋ยวขากลับเราแวะที่มินิมาร์ท   หาเนื้อมาทำสเต็กกินกัน สนใจมั้ยครับ”
“ฮ่าๆๆ นายนี่มัน” เขาหัวเราะอย่างจริงใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคุยโวถึงฝีมือการทำอาหาร “ไม่กลัวหรอ เราเพิ่งรู้จักกันนะ”
“ไม่หรอกครับ ห้องผมไม่มีอะไรให้ขโมยหรอก แถมผมว่าเท่ออกจะตายไป .... ได้เลี้ยงข้าวแอนดรอยด์เชียวนะ”

ทั้งคู่ต่างหัวเราะให้กันอีกครั้ง พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ของบ๊อบก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกข้าวของทอมผู้ภักดีนั่นเอง ชายหนุ่มในเสื้อโคทพยายามหยุดหัวเราะ ก่อนจะรับสายนั้น
“ทำไมนานนักล่ะครับคุณผู้ชาย”
“อ้อ โทษที ชั้นลืมนายไปเลยทอม พอดีคุยกับเจ้าหนูนี่นานไปหน่อย เดี๋ยวชั้นกำลังจะกลับแล้วทอม” เขากรอกเสียงกลั้วรอยยิ้มไปในสาย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปมองแผ่นหลังของพนักงานร้านกาแฟที่แสนจะมองโลกในแง่ดีคนนี้ “แค่นี้นะทอม”

บ๊อบวางสายคนสนิท ก่อนจะหันมาเจรจากับบิลด้วยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่าไว้โอกาสหน้าชั้นจะไปกินสเต็กฝีมือนายแล้วกันนะเจ้าหนู เพราะผู้ปกครองชั้นเริ่มไม่พอใจชั้นเสียแล้วที่ออกมาเถลไถลนานขนาดนี้”

“ผู้ปกครองหรอครับ?” บิลหันมาทำสีหน้างง “ก็ในเมื่อคุณปู่บ๊อบอายุร่วมร้อยกว่าปีแล้ว ทำไมพ่อกับแม่คุณปู่ถึง ... เอ่อ หรือท่านก็เป็นแอนดรอยด์เหมือนกันครับ”
“ฮ่าๆๆๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง “นายนี่มันจริงๆเลยนะ ... พ่อกับแม่ชั้นตายไปนานแล้วล่ะ ผู้ปกครองที่ชั้นบอกเขาไปคนสนิทของชั้นเอง ... อ้อ ชั้นว่าเดี๋ยวนายก็คงต้องถามเรื่องอายุของทอมเหมือนกัน คือทอมเป็นพ่อบ้านประจำตระกูลของชั้นรุ่นที่หกแล้ว จะมีก็แต่ชั้นนี่แหละที่อยู่ยงคงกระพันมาเนิ่นนานเหลือเกิน”
“น่าอิจฉาคุณปู่นะครับ ที่สามารถเอาชนะความตายได้แบบนี้” เด็กหนุ่มพูดขณะที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนของตนออก พลางเสมองออกไปนอกกระจกร้าน
“อย่าอิจฉาชั้นเลยเจ้าหนู นายไม่รู้หรอกว่าบนเส้นทางแห่งความนิรันดรที่ชั้นยืนอยู่มันทั้งเจ็บปวดและเงียบเหงาแค่ไหน” บ๊อบยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ชั้นไปส่งนายกลับบ้านเองวันนี้ นายคงปิดร้านเสร็จแล้วใช่มั้ย”
“ครับผม”
.
.
ท่อนฟืนในเตาผิงที่ก่อด้วยอิฐส่งเสียงปะทุเบาๆแต่มันก็ดังพอเมื่อบรรยากาศในห้องเงียบงันไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ บ๊อบกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมสีแดงในเสื้อคลุมยาวสีขาวหม่น พลางเหม่อมองไปยังทิวสนสลับซับซ้อนนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกเงียบเหงาเสียยิ่งกว่าการอยู่คนเดียวบนดาวเคราะห์ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ มันเนิ่นนานเหลือเกินหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและแปลกใหม่ในยุคนั้น การเปลี่ยนมนุษย์เป็นแอนดรอยด์เมื่อศตวรรษที่ 21 นั้นถือเป็นเรื่องที่น้อยคนนักที่จะทำ เนื่องจากโอกาสสำเร็จที่มีเพียงน้อยนิดและค่าใช้จ่ายที่มหาศาล ทว่า.. เขาก็ได้รับสิทธิ์นั้นเพราะความรักของพ่อกับแม่ที่ยอมเสี่ยงกับเงินจำนวนมหาศาลที่จะต้องเสียไปเพื่อแลกกับชีวิตของเขา

“คุณวิลเลียม คุณแน่ใจแล้วใช่มั้ยครับ” นายแพทย์อดัมเอ่ยขึ้นในห้องทำงานของเขา เบื้องหน้ามีสองสามีภรรยาตระกูลวิลเลียมนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
“ใช่ครับ คุณหมอ ... ผมได้อ่านข้อตกลงทั้งหมดและตัดสินใจแล้วว่าผมจะเสี่ยง” นายวิลเลียมย้ำคำหนักแน่น
“ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าโอกาสสำเร็จมันน้อยมาก” นายแพทย์อดัมจ้องมองสองสามีภรรยาลอดกรอบแว่นด้วยสีหน้าจริงจัง พลางยื่นเอกสารในมือเข้าไปใกล้ๆทั้งคู่ “ผมให้คุณตัดสินใจอีกครั้ง...ก่อนจะเซนต์ชื่อลงไป”
นายวิลเลียมไม่ได้ตอบคำถามของนายแพทย์อดัมด้วยคำพูด เขาจรดปากกาลงบนเอกสารสัญญาด้วยแววตาที่แน่วแน่ ก่อนจะถามขึ้น “คุณหมอจะเริ่มรักษาลูกชายของผมเมื่อไหร่ครับ”
“อีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ครับ” นายแพทย์วัยกลางคนยิ้มพลางถอนหายใจเบาๆ “ผมขอให้คุณโชคดีนะครับ”


“ยังไม่นอนเหรอทอม” บ๊อบพูดโดยไม่ได้หันไปมองข้างหลัง เขายังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างโดยแทบไม่ไหวตัว
“สัมผัสทั้งห้าของคุณผู้ชายยังเฉียบไวเหมือนเคยนะครับ” พ่อบ้านวัยสามสิบกว่าเอ่ยขึ้น
“ถ้านายได้อยู่บนความเงียบงันมาเป็นร้อยปีเหมือนชั้น นายก็คงทำได้เหมือนชั้นแหละ” บ๊อบยังคงไม่หันไปมองหน้าพ่อบ้านทอม
“เด็กคนนั้นร่าเริงดีนะครับ” พ่อบ้านทอมพูดต่อไปโดยไม่ได้สนใจว่าคู่สนทนาจะไม่หันมามอง “ผมว่าคุณผู้ชายดูคุยถูกคอกับเด็กคนนั้นอยู่ไม่น้อย”
“ก็อาจจะ ... เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เห็นหัวใจแอนดรอยด์ของชั้นแล้วยังกล้าคุยด้วย แถมยังมาตีสนิทแบบนี้”
“เจ้าหนูนั่นอาจจะอ่านการ์ตูนมากไป แต่ก็นั่นแหละ บางทีเด็กคนนั้นอาจจะอยากตีสนิทเพราะเห็นรถโรลส์รอยซ์ของคุณผู้ชายก็ได้”
 “ก็แค่สมมติฐานไม่ใช่หรอทอม ... ชั้นมีสิทธิ์ที่จะให้โอกาสเค้านี่ ถ้าเค้ายินดีที่จะรู้จักชั้นจริงๆ” บ๊อบหันมามองพ่อบ้านทอมด้วยใบหน้าราบเรียบ “นายก็รู้บนเส้นทางสายนี้ของชั้น ... มันอ้างว้างขนาดไหน”
“ผมไม่อยากให้คุณผู้ชายต้องเจ็บปวดใจอีก คนทุกคนย่อมแสวงหาอนาคต คนทุกคนต้องการมีครอบครัวที่มีความสุข มีลูกที่น่ารัก ซึ่งทรัพย์สมบัติของคุณผู้ชายไม่สามารถซื้อสิ่งเหล่านั้นให้คนเหล่านั้นได้ ... เหนือสิ่งอื่นใด สักวันหนึ่งเขาจะตายจากคุณผู้ชายไปสักวัน” ทอมพูดเตือนสตินายของตน
“ชั้นรู้ดีทอม ... แต่มันจะต่างอะไรล่ะหากต้องเหงาและปวดใจไปตลอดกาล กับการจะอ้าแขนรับความสุขไว้แล้วทำใจยอมรับความเจ็บปวดที่ไม่รู้จะมาถึงวันไหน ... นายไปเถอะทอม ขอบใจมากสำหรับคำแนะนำ” บ๊อบพูดก่อนจะกล่าวคำอำลาแก่พ่อบ้านทอม
.
.
รถโรลส์ลอยซ์ของบ๊อบจอดที่หน้ามหาวิทยาลัยลอนดอน ความโอ่อ่าหรูหราของรถคันนี้ทำให้นักศึกษาหลายๆคนพากันหันมาดูและนึกสงสัยว่าใครกันที่เป็นเจ้าของรถสุดหรูคันนี้
“นายกลับไปก่อนทอม เดี๋ยวชั้นจะโทรเรียกเอง” บ๊อบพูดก่อนจะเปิดประตูรถออกไป เขาค่อยๆสาวเท้าเข้าไปยังคณะวิทยาศาสตร์ และเหมือนอะไรๆดูจะเป็นใจ เมื่อเขาได้พบกับชายหนุ่มที่อยากจะรู้จักให้มากกว่านี้กำลังเดินลงมาจากอาคารและโบกมือลาเพื่อนร่วมคณะ

“สวัสดี เจ้าหนู”
“อ้าว คุณปู่บ๊อบ มาได้ยังไงครับนี่” บิลทักทายกลับด้วยเสียงใสอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
“ก็ชั้นว่างๆ แล้วเมื่อวานที่ร้านกาแฟเรายังคุยกันได้ไม่เท่าไหร่เอง” วิลเลียมบ๊อบพูดพลางเกาหัวแก้เก้อ
“เรารู้จักกันจะเดือนแล้วนี่เนาะ ... “ เด็กหนุ่มทำหน้าครุ่นคิด พลางนับนิ้วมือตัวเอง “คุณปู่ไม่เบื่อหรอ มาหาผมทุกวันแถมยังต้องมานั่งตอบคำถามเด็กเจ้าปัญหาอย่างผมอยู่เรื่อย”
“ไม่เบื่อหรอก” ชายผู้ลืมนับอายุตัวเองยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไม่อย่างนั้นจะมาหานายถึงที่นี่หรอ”
“ฮ่ะๆ ครับ” เด็กหนุ่มยิ้มตอบ
“ไปเดินเล่นกันหน่อยมั้ย ชั้นจำได้ว่าวันนี้วันหยุดของนาย”
“แต่ ... ผมเอาจักรยานมาด้วย แล้วจักรยานของผมก็มีแค่เบาะเดียว”
“ชั้นชวนนายไปเดินเล่นนี่นา ไม่ได้ชวนไปขี่จักรยานเล่น” บ๊อบหัวเราะเบาๆ “เดี๋ยวชั้นจูงให้เอง”
.
.
ฟุตบาทริมถนนในยามเย็นมีผู้คนเดินอยู่พอสมควร ทั้งสองคนพากันเดินข้ามสะพานทาวเวอร์บริดจ์ก่อนที่บ๊อบจะชวนให้เด็กหนุ่มหยุดพักที่กลางสะพาน
“เหนื่อยมั้ย” บ๊อบถามคนที่เดินเป็นเพื่อน
“นิดหน่อยครับ แล้ว.... อ้อ ผมลืมทุกทีสิน่า ว่าคุณปู่ไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย น่าอิจฉาจริงๆ” บิลเกาหัวแก้เก้อ
“ไม่น่าอิจฉาเลยสักนิด เจ้าหนู ... จริงอยู่ว่าการพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายถือเป็นสิ่งที่ใครก็ใฝ่หา ... ใครต่างพากันอิจฉาชั้น เพราะเมื่อชั้นกลายเป็นแอนดรอยด์ ชั้นจะไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตายอีก แต่นายไม่รู้หรอก ว่าดำรงอยู่บนคำว่านิรันดร์มันก็แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ใครไม่มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีทางเข้าใจทั้งนั้น” วิลเลียมบ๊อบพ่นระบายความรู้สึกในใจเหมือนลูกโป่งที่ใช้มือบีบปากไว้แล้วปล่อยมือออก เขามองผืนน้ำฝั่งตะวันตกยามพระอาทิตย์กำลังค่อยๆซ่อนส่วนโค้งลงใต้แม่น้ำเทมส์ด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

“ผมก็อยากถามคุณปู่เหมือนกัน ว่าทำไมคุณปู่ถึงดูเศร้าตลอดเวลา คุณปู่รู้ไหมครับ ว่าแววตาของคุณปู่ไม่เคยสดใสเลยสักครั้งไม่ว่าคุณปู่จะยิ้มหรือหัวเราะก็ตาม” บิลพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มและมองลึกเข้าไปในแววตาของคนตรงหน้า

“นายนี่.... เพราะแบบนี้แหละมั้งชั้นถึงชอบอยู่กับนาย ชอบคุยกับนาย เจ้าหนู” เขาพูดพลางใช้มือข้างหนึ่งขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าอย่างเอ็นดู ก่อนจะหันไปมองผืนน้ำอีกครั้ง
“เมื่อก่อนนี้ ชั้นคิดว่าชั้นช่างโชคดีนัก ชั้นเหมือนได้รับของขวัญที่ล้ำค่าจากสวรรค์ ...ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ที่ใครๆก็ต่างฝันหา และตัวชั้นเองก็เป็นเหมือนของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับพ่อกับแม่อีกที ... โชคสองชั้นเลยใช่มั้ยล่ะ แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่เลย ... แล้วสุดท้ายชั้นก็เข้าใจ ว่าสิ่งที่ชั้นได้รับ มันคือทัณฑ์ของพระเจ้าโทษฐานบิดเบือนกฎแห่งจักรวาลมากกว่า... เจ้าหนู นายรู้มั้ยว่าสิ่งที่ชั้นเรียนรู้จากชีวิตอันเป็นนิรันดร์นี้คืออะไร” วิลเลียมหันมาถามเด็กหนุ่มที่ยืนฟังอย่างตั้งใจอยู่ข้างๆ และเจ้าหนูบิลก็ส่ายหน้าอย่างนึกคำตอบไม่ถูก

“วันเวลาผ่านไปพร้อมกับที่มันได้พรากชีวิตของคนที่ชั้นรักทีละคนๆ เริ่มจากพ่อ แม่ ญาติสนิท และสุดท้ายชั้นก็ไม่เหลือใครเลย .... ความทุกข์อย่างแรกที่ชั้นได้รับคือความเจ็บปวด บิล... การเสียคนที่รักไปทีละคนๆ มันทรมานเหลือเกิน และยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆจนชั้นลืมที่จะนับไปแล้ว ... สิ่งที่ชั้นต้องทนทุกข์ทรมานไปจนกว่าโลกใบนี้จะแตก คือความเหงาไงล่ะบิล”

“ผมพอจะเข้าใจคุณปู่ครับ .... “ บิลพูดพร้อมกับใช้มือข้างที่ติดกันกุมมือของแอนดรอยด์ผู้เศร้าศร้อยอย่างให้กำลังใจ
“ขอบใจนายมาก ... เจ้าหนู ... นายรู้มั้ยตอนที่ชั้นไม่เหลือใคร ไอ้ความรู้สึกทั้งเศร้า ทั้งเหงามันทรมานมาก นายคงจินตนาการความรู้สึกของชั้นไม่ออกแน่ๆว่าชั้นรู้สึกยังไง ชั้นอยากร้องไห้ ชั้นอยากจะทำอะไรบ้างเพื่อบรรเทาความรู้สึกเหล่านั้น แต่มันไม่ทางเลยเจ้าหนู เพราะแอนดรอยด์อย่างชั้นไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ชั้นไม่มีน้ำตาและไม่สามารถร้องไห้ได้” บ๊อบ วิลเลียมกำราวสะพานแน่นอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดที่มือเลย หากแต่ความปวดร้าวในหัวใจนั้นคงเทียบไม่ได้กับความปวดร้าวใดๆบนโลก

“ฮิฮิ” บิลเสตาขึ้นมองชายผู้มีชีวิตเป็นนิรันดร์ที่กำลังมีสีหน้าเศร้าหมองข้างๆตน พลางอมยิ้มเหมือนกับเด็กที่นึกอะไรสนุกๆขึ้นมาได้
“ขำอะไรของนายฮึ เจ้าหนู” บ๊อบหันมาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ผมฟังเรื่องราวของคุณปู่แล้ว ผมไม่ยักจะรู้สึกว่ามันแย่นักเลยครับ...  คุณปู่รู้มั้ยว่าคุณปู่เหมือนกับปีเตอร์แพนเลย”
“ปีเตอร์แพนงั้นเหรอ ทำไมนายคิดแบบนั้นล่ะบิล” เขาถามพลางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ก็... ถ้าหากว่าคุณปู่ไม่สามารถที่จะร้องไห้ได้ ทำไมคุณปู่ไม่ยิ้ม ไม่ทำชีวิตให้มีความสุขทุกวันล่ะครับ เหมือนกับปีเตอร์แพนไงครับ ... มีความสุขไปทุกๆวันในเนเวอร์แลนด์” 

บิล เลย์ตันยิ้มสดใสเหมือนไฟแสงสว่างที่ประดับประดาพระราชวังบักกิ้งแฮมยามค่ำคืน ดวงตาของเขาโค้งมนไปตามรอยยิ้มบนใบหน้าและส่งประกายแวววาวไปยังอีกคนที่ค่อยๆเผยอปากยิ้มตามความสดใสของเด็กหนุ่มผู้แสนจะมองโลกในแง่ดีอย่างบิล ดวงตาของบ๊อบที่เคยลึกลับไร้ก้นบึ้งค่อยๆมีแววขึ้นมาเล็กๆเหมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ ก่อนที่เขาจะหัวเราะเสียงดังลั่น และกระชับร่างเล็กของบิลให้ชิดกับตนแล้วกอดคอเด็กหนุ่มไว้

“ความคิดของนายเข้าท่าดี บิล ... ชั้นไม่ได้หัวเราะเสียงดังๆแบบนี้มานานมากแล้ว” เขาขยับมือข้างที่กอดคอเด็กหนุ่มมาลูบผมที่นุ่มลื่นของเจ้าหนูบิล “อย่างน้อยตอนนี้ชั้นก็ได้เจอความสุขอย่างแรกแล้วล่ะ ... ชั้นดีใจจริงๆที่ได้เจอนาย”
 


เข้ามาแก้คำผิด ปรากฏว่าเกิน 20000 ตัวอักษร ขออนุญาติลบคุยท้ายตอนนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2012 10:29:41 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

ออฟไลน์ NewYearzz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +346/-2
ตอนแรกตกใจตรงชื่อว่า "เรื่องสุดท้าย" กลัวจะไม่ได้อ่านอีก  :o12:

เรื่องนี้น่ารักมากนะครับ อ่านแล้วอบอุ่นมาก ๆ เลย

เคยเขียนมาแล้วด้วยหรอครับ ผมจะตามหาอ่านได้หรือเปล่าน้า?

อ่านแค่ตอนแรกชอบเลย (เป็นมาทุกเรื่องของพี่อะครับ :laugh:)

รอตอนต่อไปครับ  :L2:

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
บนเส้นทางสายนิรันดร ตอนที่ 2

ต้นไม้ใหญ่น้อยในสวนสาธารณะเซนต์เจมส์พาร์คต่างพากันแข่งกันผลิใบอ่อนหลังจากที่พวกมันเป็นต้นไม้หัวโกร๋นมาหลายเดือน ไม้ดอกหลากสีนานาพรรณเริ่มผลิดอกตูมต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่เวียนมาบรรจบอีกครั้งท่ามกลางอากาศอุ่นสบาย น้ำพุขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นมากลางทะเลสาบกลางสวนสาธารณะยามเย็นตัดกับฉากพื้นหลังของลอนดอนอาย ความงามเหล่านี้ดึงดูดให้ผู้คนผลัดกันมาพักผ่อนหย่อนใจจากภาระกิจที่หนักหน่วงมาทั้งวันของตน ประหนึ่งหมู่ภมรที่ชื่นชมความงามของมวลไม้ดอก

บ๊อบ วิลเลียมนั่งพิงหลังกับต้นไม้พลางอ่านหนังสือเงียบๆไม่ไหวติง ข้างกันนั้นเจ้าหนูเลย์ตัน บิล กำลังนอนลากดินสอขยุกขยิกบนกระดาษปอนด์ พลางสลับมามองแอนดรอยด์หนุ่มด้วยใบหน้าขบขัน ทว่าคนที่ถูกมองไม่ได้รู้สึกตัวเลย

“อ๊ะ ... คุณปู่ อย่าเพิ่งขยับตัวสิครับ” เด็กหนุ่มร้องทักไว้เมื่อเห็นว่าบ๊อบกำลังจะลุกยืนขึ้น
“อะไรของนาย เจ้าหนู” เขาย่นคิ้ว
“เดี๋ยวๆ “ บิลยังไม่เฉลย เขาลากดินสอไปมาอย่างรวดเร็ว “โอเค ...เสร็จเรียบร้อย”

บิลยื่นกระดาษในมือให้แก่บ๊อบด้วยรอยยิ้มกว้าง และรอยยิ้มนั้นก็ได้ประทับลงบนใบหน้าของอีกคนเช่นกันเมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฎบนกระดาษแผ่นนั้น
“นายน่าจะบอกชั้นสักหน่อยว่าจะเอาชั้นเป็นนายแบบ ชั้นจะได้ยิ้มกว้างๆ”
“ผมเปล่าซะหน่อย ผมจะวาดรูปวิว คุณปู่เป็นองค์ประกอบของภาพเฉยๆหรอก”
“องค์ประกอบที่อยู่กลางรูปเลยนี่นะ ... ไม่รู้แหละเจ้าหนู ชั้นทึกทักไปแล้วว่านายวาดรูปชั้น”
“ตามใจคุณปู่แล้วกัน” เด็กหนุ่มตอบ พลางล้มตัวลงนอนหนุนตักของแอนดรอยด์ร่างหนาเหมือนลูกแมวอ้อนเจ้าของ “บรรยากาศดีจังเลยนะครับ คุณปู่ว่ามั้ย”
“ใช่ ... ทั้งที่ความจริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชั้นมาที่นี่ ... บางทีบรรยากาศมันก็คงเหมือนเดิม ต่างกันที่วันนี้ชั้นได้รู้จักนายไงบิล”
“ฮิฮิ ... การมีผมอยู่ทำให้คุณปู่รู้สึกดีขนาดนั้นเลยหรอครับ” บิลแหงนไปมองหน้าของคนที่เขาหนุนตักอยู่
“นายรู้มั้ยบิล ... สำหรับชั้น ฤดูใบไม้ผลิไม่ได้เพิ่งเริ่ม แต่มันเริ่มมานานแล้ว ... ตั้งแต่วันที่ชั้นได้เจอนาย” เขาก้มหน้ามามองคนตัวเล็กที่จ้องมองเขาตาแป๋ว
“ถ้าเพราะผมทำให้เกิดความรู้สึกดีๆในชีวิตคุณปู่แบบนั้น ผมก็ยินดีครับ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง
“ชีวิตของชั้นน่ะนะบิล... หลังจากที่ชั้นฟื้นขึ้นมาจากความตาย ชั้นทำงานอย่างไม่รู้จักเหนื่อยเพื่อเป็นการใช้หนี้ชีวิตคืนให้กับเงินที่เสียไปกับการชุบชีวิตของชั้นขึ้นมา ... กว่าจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่หาได้ยากกว่าเงิน...นั่นคือมิตรภาพต่างหาก”
“ชีวิตคนเราก็ตลกดีนะครับ ... พอผมมาฟังคุณปู่เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังยิ่งอิจฉาเข้าไปใหญ่ คุณปู่มีในสิ่งที่ผมขาดมาตลอดชีวิต ทั้งเงิน... และชีวิตใหม่หลังความตาย” บิลพูดขึ้นก่อนจะเสตาไปมองทะเลสาบเบื้องหน้า
“ชั้นพอจะเข้าใจอย่างแรก ... แต่ชีวิตใหม่หลังความตายนี่มันยังไง..?”

บิลยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะเล่าเรื่องของตนให้บ๊อบฟังบ้าง “ผมเกิดที่หมู่บ้านคลิบส์แลนด์ มณฑลรัทแลนด์ บ้านผมเป็นกระท่อมสไตล์สก๊อตแลนด์ขนาดเล็กๆ เราอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกและมีความสุขกันตามอัตภาพ ... แต่ถ้าคุณปู่พอจะจำได้ เมื่อสิบปีก่อน เกิดเหตุพายุถล่มรัทแลนด์อย่างหนัก ... ผมเป็นหนึ่งในครอบครัวผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ”

เด็กหนุ่มกลืนสะอื้นลงคออย่างยากลำบาก ดวงตาที่เคยเป็นประกายหม่นลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “จากเหตุการณ์นั้น ผมก็ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ทั้งพ่อแม่และทรัพย์สิน ผมได้รับทุนรอนนิดหน่อยจากรัฐบาลและได้มาอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า โชคยังเป็นของผมอยู่บ้างที่พอผมบรรลุนิติภาวะผมก็สอบได้ทุนเรียนต่อ ไม่งั้นอนาคตของผมคงได้เป็นแค่พนักงานร้านกาแฟจนๆคนหนึ่ง”

วิลเลียมลูบหัวเด็กน้อยผู้อาภัพอย่างเอ็นดู ก่อนจะปลอบใจด้วยสิ่งที่ตนได้เรียนรู้มา “เจ้าหนู นายอาจจะอิจฉาชั้นที่ชั้นมีเงินมากกว่านาย ... แต่ชั้นยังยืนยันว่าชีวิตปกติคือสิ่งที่ชั้นปรารถนามากกว่า”
“ไม่ ... คุณปู่ไม่เข้าใจ ... ถ้าขอพรได้เหมือนอย่างคุณ ผมก็อยากให้พ่อกับแม่กลับมาจากโลกหลังความตายเหมือนคุณ” น้ำใสๆคลอหน่วยตาของบิล ก่อนที่มันจะค่อยๆไหลเป็นทางที่หางตาของเด็กหนุ่ม
“โอเค ชั้นเข้าใจนาย เจ้าหนู ... ชั้นว่าการที่เรามาเจอกันนี่ล่ะ ที่ถือเป็นการปลอบประโลมจากสวรรค์ เพราะเราสองคนจะมาเติมเต็มกันและกันในสิ่งที่เราขาดหายไปไง” บ๊อบใช้นิ้วหัวแม่มือของตนไล้ไปตามคราบน้ำตาของเด็กหนุ่มก่อนจะกุมแก้มขาวอมชมพูของเขาไว้อย่างทนุถนอม
“ ผมก็คิดแบบนั้น .... ตั้งแต่วันที่ผมพบกับคุณปู่” เขากลับมายิ้มอีกครั้ง แล้วใช้มือของตนสัมผัสกับมือหนาของบ๊อบ “ไม่สิ ต่อจากนี้ผมจะไม่เรียกนายว่าคุณปู่อีกแล้ว นายไม่เห็นจะเหมือนคุณปู่สักนิด ... ถ้าไม่นับเรื่องที่นายชอบคิดมากเหมือนคนแก่ล่ะก็นะ”
“โอเค ชั้นก็จะเลิกเรียกนายว่าเจ้าหนูเสียที ก็นายโตแล้วนี่นา”
เสียงหัวเราะสองเสียงดังประสานกันจากหัวใจสองดวง ดวงหนึ่งเป็นหัวใจที่มีเลือดเนื้อ และอีกดวงเป็นหัวใจเทียมที่เกิดจากการประดิษฐ์พัฒนาด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์ มิตรภาพของมนุษย์หนึ่งและแอนดรอยด์หนึ่งผลิดอกบานท่ามกลางหมู่พฤกษาในฤดูใบไม้ผลิ ... ก่อนจะเริ่มต้นนับหนึ่งเพื่อจะไปถึงวันสุดท้ายของลมหายใจแห่งชายผู้มีหัวใจเป็นเลือดเนื้อ
.
.
 น้ำในอ่างจากุซซี่เต็มไปด้วยฟองอุ่นๆจากอุณหภูมิของน้ำในอ่าง ก่อนที่บ๊อบจะหย่อนตัวลงไปช้าๆระดับน้ำสูงขึ้นจนเกือบจะแตะราวนม ซึ่งคนที่เตรียมน้ำไว้รู้ดีว่า ระดับน้ำสูงขนาดเท่าไหร่ จึงจะไม่เป็นอันตรายต่ออวัยวะเทียมในร่างกายของเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ยังมีการป้องกันตรงส่วนหน้าอกไว้ด้วยพลาสติกชนิดพิเศษที่สามารถกันน้ำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์พันรอบหน้าอก

ชายหนุ่มร่างเปลือยเปล่าในอ่างพ่นลมหายใจเสียงดังด้วยความรู้สึกผ่อนคลายก่อนที่พ่อบ้านทอมจะนำฟองน้ำสีน้ำตาลอ่อนมาถูส่วนหลังของผู้เป็นนายช้าๆ

“ดูเหมือนความสัมพันธ์ของคุณผู้ชายกับเจ้าเด็กบิลจะเป็นไปด้วยดีนะครับ”
“ทำไมนายคิดอย่างนั้นล่ะทอม ” บ๊อบถามขึ้นโดยไม่ได้มองคนที่กำลังถูหลังให้
“ผมไม่เคยเห็นคุณผู้ชายยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้มาก่อน... จริงๆผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าความสุขของคุณผู้ชายเป็นแบบไหน แต่ผมรู้แค่ว่าเด็กคนนี้ทำให้คุณรู้สึกดีมากกว่าใครๆที่ผ่านมา”
“นั่นสินะทอม... ที่ผ่านมาพอชั้นบอกว่า ชั้นเป็นอะไร กว่าครึ่งค่อยๆหลบหน้าชั้นไป บางคนก็หวังในเงินทองของชั้นจนออกนอกหน้า แต่กับบิล ... นายรู้มั้ย ดินเนอร์ล่าสุดระหว่างชั้นกับเจ้าหนูนั่นเป็นร้านเบอร์เกอร์ริมทางแถมเค้ายังไม่ยอมให้ชั้นเลี้ยงด้วย”
“ถ้าเค้าเป็นอย่างที่คุณผู้ชายเห็นจริงๆผมก็ดีใจด้วยครับ ... ว่าแต่ คุณผู้ชายจำคำพูดที่เคยบอกผมได้มั้ยครับ”
“อะไรหรือทอม”
“หึ ... คุณผู้ชายมัวแต่ดื่มด่ำกับรสชาติแห่งความสุขจนลืมไปแล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้นผมจะย้ำให้ฟังอีกครั้ง ว่าสักวันหนึ่ง ... ร่างกายและจิตใจของคนที่คุณผู้ชายรักย่อมจะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ในขณะที่คุณผู้ชายจะต้องเดินทางต่อไปบนถนนแห่งกาลเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุดและต้องทนอยู่กับความโดดเดี่ยวเพียงลำพัง”
“....” บ๊อบนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำเตือนของทอม เขาค่อยๆมุดลงไปในน้ำอย่างไม่กลัวว่าอวัยวะเทียมจะได้รับความเสียหาย  ก่อนจะพูดขึ้นมา..
“ความสุขมันน่ากลัวเหมือนกันนะ พอเราได้รับมันมา ... เราก็ไม่อยากจะเสียมันไป บางทีชั้นอาจจะทำไม่ได้อย่างที่เคยบอกนายหรอก ... ชั้นไม่กล้ารับปากหรอกนะว่าชั้นจะเสียใจแค่ไหนถ้าความสุขในมือของชั้นจะหลุดลอยไป”
“แล้วคุณผู้ชายจะยัง...”
“คนทั่วไปเลือกที่จะระวังตัวอยู่ในทางสายกลาง เพราะเขารู้ว่าเวลาชีวิตของเขามีจำกัด ... แต่สำหรับชั้น แม้จะเสียใจ แต่ชั้นมีเวลาไม่จำกัดที่จะลุกขึ้นมาใหม่ .... ต่อให้ชั้นไม่มั่นใจนักว่าชั้นจะเจ็บปวดใจมากขนาดไหนในวันที่ต้องเสียสิ่งที่รักไป แต่ชั้นก็ยังยืนยันตามเดิมว่าชั้นจะไม่เดินหนีความสุขแน่ทอม”
“ผมเข้าใจแล้วครับ .... ต่อให้คุณผู้ชายจะเลือกทางไหน ผมก็จะอยู่ข้างคุณผู้ชายจนถึงลมหายใจสุดท้ายของผมแน่นอน”
“ขอบใจนายมากทอม นายอยู่เคียงข้างชั้นมาตลอด นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นจริงๆ ... แต่อย่าให้ชั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเลย ชั้นยินดีถ้านายจะมีครอบครัว มีคนที่นายรัก มีลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่า ... ชั้นจะมีความสุขมากถ้าได้เห็นนายมีความสุขเช่นกัน”
“ผมก็เหมือนคุณผู้ชายนั่นแหละครับ ผมจะไม่ยอมมีความสุขก่อนแน่ๆถ้าคุณผู้ชายยังจมอยู่กับความรู้สึกทุกข์ทรมาน” พ่อบ้านทอมแตะบ่าของผู้เป็นนายอย่างให้กำลังใจ
“อย่าให้ชั้นเป็นเงื่อนไขในชีวิตนายสิทอม ถ้านายมัวแต่คิดแบบนี้ ... แล้วจะมีโทมัส ทอมรุ่นที่เจ็ดมาดูแลบ้านวิลเลียมหรอ” บ๊อบหันมายิ้มให้และพูดอย่างติดตลก ทว่าพ่อบ้านทอมกลับหลบตาคู่นั้นก่อนจะรับคำแน่นหนัก
“ครับผม .... ผมรู้ดี ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณผู้ชายอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครดูแลหรอก”
.
.
หมวกปริญญาปีกกว้างสีดำนับร้อยใบถูกโยนขึ้นพร้อมกันในวันประสาทปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยลอนดอน บ๊อบมองเหล่าบัณฑิตอยู่ไกลๆด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก ความสดใสแห่งวัยเริ่มต้นเหมือนแสงแดดยามสายที่สดใสและมีพลัง ภาพตรงหน้าทำให้เขานึกถึงความหลังเมื่อสมัยที่เขายังมีลมหายใจ ... เหนือสิ่งอื่นใด หนึ่งในคนกลุ่มนั้นทำให้ความหวังในชีวิตของเขาที่เคยมอดไปลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

“ยินดีด้วยนะบิล”
“ขอบใจนะบ๊อบ” บัณฑิตหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้เป็นวันพิเศษของผม ดังนั้น ผมจะยอมให้คุณเลี้ยงข้าวผมตามที่ผมเคยสัญญา”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันเนิ่นนานเวลารอบตัวราวกับหยุดเดินมีเพียงสายลมที่พัดโชยมาให้รู้สึกผ่อนคลาย ก่อนที่บิลจะเขย่งขาเล็กน้อยแล้วโอบไหล่ของอีกคน
“ไปกันเถอะ บ๊อบ ผมหิวข้าวชะมัด”
“ตกลง บิล”
.
.
บิล เลย์ตันเข้ามาทำงานในบริษัทผลิตยาของ บ๊อบ วิลเลียมหลังจากเรียนจบ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินไปอย่างเรื่อยๆแต่ก็อิ่มเอมใจกันทั้งสองฝ่าย เพราะทั้งคู่ต่างรู้ว่าต่างคนต่างก็เป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างโหยหามิตรภาพท่ามกลางเส้นทางที่โดดเดี่ยวที่เดินมาเพียงลำพัง

ดวงอาทิตย์ค่อยๆจมหายไปในแม่น้ำเทมส์อีกครั้งก่อนที่แสงไฟหลากสีจะค่อยๆทยอยสว่างขึ้นมาประดับประดาลอนดอนยามค่ำคืน บ๊อบและบิลกำลังก้าวข้ามประตูเหล็กเข้าไปในแคปซูลของลอนดอนอาย ชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรป เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยกับการได้มาอยู่บนสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ เนื่องจากค่าตั๋วในการมาเที่ยวที่นี่นั้นถือว่าแพงอยู่ไม่น้อยทำให้นี่เป็นครั้งแรกของการที่จะได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์ลอนดอนอายของเขา

“ชอบใช่มั้ย ... ดูนายตื่นเต้นจนเก็บอาการแทบไม่อยู่เลยนะ” บ๊อบทุ้งศอกใส่บิลเบาๆ
“ชอบมากๆเลยแหละ บ๊อบ” เขาตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย

แคปซูลหนึ่งในสามสิบสองที่ทั้งคู่โดยสารค่อยๆยกขึ้นเป็นวิถีโค้งช้าๆ บิลไม่ได้ชวนบ๊อบคุยเรื่องอะไรอีก เขายังคงตื่นเต้นกับการได้ขึ้นมาบนนี้อย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มรัวชัตเตอร์ด้วยกล้องถ่ายรูปที่เพิ่งเก็บเงินซื้อมาได้ไม่นานด้วยเงินออมของตน ท่าทีตื่นเต้นและการรัวชัตเตอร์ของเขาทำให้ชายหนุ่มอีกคนต้องแอบอมยิ้มอย่างมีความสุข เพราะมันดูขบขันอยู่ไม่น้อยเมื่อบิลทำตาโตและอุทานอย่างตื่นเต้นราวกับว่าตนไม่ใช่คนของสหราชอาณาจักร

“ถ้าเราอยู่ที่สูง เราก็จะเห็นสิ่งเดิมๆในมุมมองที่ต่างไป ... จริงๆด้วยนะบ๊อบ” บิลพูดขึ้นระหว่างที่ยังมองไปยังทิวทรรศน์เบื้องล่าง
“แต่สำหรับบางคนที่เขาอยู่สูงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน แม่น้ำเทมส์หรือหอนาฬิกาบิ๊กเบนมันก็คือๆกันนั่นแหละบิล”
“ครับ ผมทราบดี ... แต่ยังไงผมก็ยังดีใจอยู่ดีที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ ... สิ่งแปลกใหม่ในชีวิตถ้ามันไม่ทำร้ายเรา ผมมองว่ามันสวยงามทั้งหมดนั่นแหละ”
“แล้วชั้นล่ะบิล เป็นสิ่งสวยงามที่เข้ามาในชีวิตนายด้วยหรือเปล่า” บ๊อบพูดขึ้นพลางโอบไหล่ของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ
เด็กหนุ่มหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆก่อนจะยิ้มให้แก่เขา พลางหลบตาไปมองภาพเบื้องหน้าต่อ
“ของขวัญจากพระเจ้าเลยล่ะ”
“ขนาดนั้นเลยรึ ... ทำไมนายคิดแบบนั้นล่ะ”
“เพราะผมกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่รักไปไงล่ะครับ ... ไม่ใช่มีแต่คุณหรอกที่เคยเห็นการลาจากของคนที่เรารัก ผมยังจำได้ดี ถึงคืนที่พ่อกับแม่ทิ้งผมไว้บนโลกใบนี้ลำพัง ผมไม่เคยลืม...” บิลพูดพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งแตะกระจกที่คั้นกลางระหว่างบริเวณภายในแคปซูลกับความสูงร้อยกว่าฟุตเหนือแม่น้ำเทมส์
“แล้ว... นายไม่เคยมีแฟนเหรอ บิล”
“ไม่ครับ ... ไม่เคยเลย ผมอาจจะชอบที่จะมีเพื่อนแท้เป็นความเหงาก็ได้ อย่างน้อยถ้าผมกอดความเหงาไว้ความเหงาก็จะไม่ทิ้งเรา ... แต่ถ้าผมกอดความรักไว้ ผมว่ามันไม่นิรันดร์ สักวันหนึ่งมันก็คงจากเราไป .... สักวัน”
“ถ้าความรักของนายจะเป็นนิรันดร์ล่ะ... ความรักของนายจะไม่มีวันแก่ ไม่มีวันตาย คนๆนั้นจะอยู่ดูแลนายจนกว่านายจะสิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของเค้าล่ะ? บิล นายจะยังปฏิเสธความรักมั้ย” บ๊อบพูดพลางค่อยดุนใบหน้าของอีกคนให้หันมาสบตาของตน
“บ๊อบ คุณลืมไปแล้วเหรอ คุณถามผมว่ารู้สึกยังไงกับคุณ ... แล้วผมก็บอกว่า คุณเป็นของขวัญจากพระเจ้า คุณนี่ลืมง่ายจริง”
“นายหมายความว่า?”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ เขาหลบตาและถามเรื่องอื่นแทน 
“ทำไมคุณถึงเลือกผมล่ะบ๊อบ”
“เพราะชั้นอยู่กับนายแล้วชั้นมีความสุข ... ความรู้สึกที่ชั้นลืมมันไปนานแล้วว่ามันเป็นยังไง”
“แต่วันหนึ่ง... ผมก็จะตายจากคุณไป ถ้าคุณรักผม คุณก็จะต้องเสียใจเพราะผมในสักวัน และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่จะมีใครมาทำให้คุณมีความสุขแทนผม ... แล้วแบบนี้ คุณก็ยังจะ...”
“เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครทำให้ชั้นมีความสุขได้เหมือนนายไงบิล ... ต่อให้ความงดงามของความสุขจะเหมือนดอกไม้ไฟงานวันส่งท้ายปีเก่าที่สวยงามเพียงชั่วครู่แล้วก็ดับไป แต่ใครต่อใครก็ยังรอคอยให้วันที่ 31 ธันวาคมเวียนมาถึงทุกปีไม่ใช่หรอ” แอนดรอยด์ผู้เดินทางผ่านสายธารแห่งกาลเวลามาเนิ่นนานให้เหตุผลแก่เด็กหนุ่มผู้ยังสงสัยในความสุขที่บ๊อบปรารถนาจะมอบให้
“คุณแน่ใจใช่มั้ย ว่าคุณจะเลือกให้เราจะเดินทางไปด้วยกัน วันหนึ่งถ้าสวรรค์พรากลมหายใจของผมไป คุณจะไม่เสียใจ”
“ชั้นจะไม่สัญญาแบบนั้น เพราะชั้นคิดว่าชั้นคงจะเสียใจจนอยากจะร้องไห้ ... แต่ชั้นจะเสียใจกว่า หากนายรู้สึกเช่นเดียวกับชั้นแต่นายกลับปฏิเสธที่จะปล่อยให้หัวใจของเราสองคนเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน”
บิลถอนหายใจเบาๆ เขาหลุบตาลงมองเท้าทั้งสองข้างของตนอย่างครุ่นคิด ทำให้อีกคนที่รอคำตอบเลือกที่จะตีกรอบความคิดของคนตรงหน้าด้วยคำขอร้อง
“ได้โปรดเถิดบิล ... ถ้านายจะเห็นใจหัวใจหนึ่งดวงที่มันไร้เลือดเนื้อมานานแสนนานของฉัน ช่วยให้มันได้รู้จักกับความอิ่มเอมบ้าง อย่าให้มันชินชากับความอ้างว้างแต่เพียงอย่างเดียวเลย”
เด็กหนุ่มบิลสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เขาหลับตาลงโดยไม่ได้ตอบคำขอร้องของอีกคนที่ยืนอยู่กับเขา ... เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนแคปซูลของลอนดอนอายค่อยๆหมุนลงไต่ระดับจากจุดสูงสุดช้าๆ
“นาย... ไม่ตกลง ... เหรอบิล ทำไมนายไม่บอกชั้นล่ะ” เขาพูดเสียงเศร้า

บิลปรือตาข้างหนึ่งขึ้นมาทำให้ใบหน้าของเขาย่นยู่ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้แอนดรอยด์หนุ่มยิ้มออกมา
“ผมหลับตารอให้คุณจูบผมต่างหาก”

ริมฝีปากของเด็กหนุ่มถูกประทับลงด้วยปากของคนตัวสูงกว่า บ๊อบไม่พูดร้องขออะไรอีก เมื่ออีกฝ่ายยินยอมให้เขาได้กระทำในสิ่งที่แสดงออกซึ่งการเป็นคนรักแล้ว ร่างเล็กๆของบิลถูกกระชับให้แนบแน่นกับแผงอกของอีกคนเข้าไปอีกด้วยวงแขนของบ๊อบ ก่อนที่คำสัญญาจากหัวใจที่ไร้เลือดเนื้อของวิลเลียมบ๊อบจะถูกกล่าวขึ้นเหนือแม่น้ำเทมส์อันมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยปี
“ผมสัญญา บิล ผมจะดูแลคุณจนกว่าคุณจะสิ้นลมหายใจ”
“ผมเชื่อคุณ บ๊อบ” บิลซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างของบ๊อบ เขาไม่ได้รู้สึกว่าหัวใจดวงนั้นเต้นอยู่ แต่ความร้อนของตัวไมโครชิบก็ทะลุชั้นผิวหนังออกมาจนเขารู้สึกได้
“แล้วคุณก็เลิกพูดได้แล้ว ว่าหัวใจของคุณมันไม่มีเลือดเนื้อ ผมน่ะรู้สึกได้ถึงความร้อนจากหน้าอกข้างซ้ายของคุณ ... คุณก็เป็นคนๆหนึ่งนี่แหละ ที่มีหัวใจอยู่ที่อกข้างซ้าย... เหมือนกับผม บ๊อบ”
วิลเลียม บ๊อบยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของบิล เขาผละตัวออกมาช้าๆก่อนจะคว้ามือของเด็กหนุ่มมาแนบกับอกข้างซ้ายของตนไว้
“ช่วยดูแลมันให้ดีๆนะครับ หัวใจของชั้นดวงนี้... เป็นของนายแล้ว”
.
.
ประตูห้องน้ำของบริษัทวิลเลียมฟาร์มาซีชั้นบนสุดถูกเปิดออก บิลที่เพิ่งทำธุระส่วนตัวเสร็จกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของร่างกายตนเองอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา ทว่า เขาก็พบกับใครคนหนึ่งที่ยืนคอยเขาอยู่ที่หน้าประตู
“คุณทอม” บิลเอ่ยชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“ครับ ผมเอง... ขอโทษที่มาดักรอแบบนี้ ผมก็แค่มีเรื่องอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว คุณเลย์ตันพอจะให้ผมรบกวนเวลาทำงานสักครู่ไหมครับ” ทอมกล่าว
“เอ่อ ... ด้วยความยินดีครับ”
.
.
โทมัส ทอมพาบิล เลย์ตัน มายังร้านกาแฟไม่ไกลจากบริษัทนัก เด็กหนุ่มยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นกาแฟคั่วจากเครื่องทำกาแฟ กลิ่นจางๆที่สัมผัสประสาทการรับกลิ่นทำให้เขานึกถึงภาพเก่าๆสมัยที่ยังเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟเกรกอรี ไม่นานนัก ทอมก็วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะเบื้องหน้าบิล
“ขอบคุณครับ” เขารับแก้วกาแฟและยกขึ้นสูดกลิ่นกาแฟในแก้ว “ที่ร้านที่ผมเคยทำงานหอมกว่านิดหน่อย”
“น่าเสียดายที่ชั้นยังไม่เคยชิมกาแฟที่ร้านนั้น ... เดี๋ยวนี้ยังเปิดอยู่ใช่มั้ย” ทอมพูดพลางจิบกาแฟช้าๆ
“ก็ยังเปิดบริการตามปกติครับ”
“อืม...” ทอมดูไม่ได้ใส่ใจต่อคำตอบที่ได้รับนัก ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่อง “ผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
“เอ่อ... ครับ”
“คุณรักคุณวิลเลียมจริงๆหรอครับ” คำถามของทอมทำให้บิลถึงกับสำลักเมื่อถูกถามตรงๆเช่นนี้
“เอ่อ ... ครับ ผมรู้สึกดีกับบ๊อบ ... เอ่อ คุณวิลเลียมตั้งแต่แรกๆที่ได้เจอได้คุยกัน แล้ว ก็... เอาเป็นว่า ผมตอบว่าใช่แล้วกันครับ”
“งั้นหรอครับ” ทอมย้ำคำถามอีกครั้งพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ “ผมขอโทษที่แอบสืบประวัติคุณมาบ้าง ... ชีวิตคุณที่ผ่านมาอาภัพอยู่ไม่น้อย แต่ถ้ามองอีกมุม เพราะคุณไม่มีอะไรมาเลย บางทีคุณอาจจะคิด... ขอโทษที่ต้องเรียนถามตามตรง คุณอาจจะเข้ามาปอกลอกก็ได้”
“ผมเข้าใจครับ คุณทอม” บิลยิ้มกว้างให้กับทอมที่กำลังตั้งแง่ใส่ “แต่ผมยังยืนยัน ว่าผมไม่เคยคิดแย่ๆแบบนั้นกับคุณวิลเลียมเลย ... ผมก็ไม่สามารถยืนยันได้หรอกนะ ว่าผมจะใช้อะไรพิสูจน์ แต่ถ้าผมมีโอกาสที่จะร้องขอการยืนยันตัวเองจากคุณ ผมคงขอแค่เวลา... ว่าผมก็อยากจะอยู่ข้างๆเจ้านายของคุณ คอยดูแลนายของคุณอีกคนหนึ่งเหมือนที่คุณทำมาตลอด”

ทอมจ้องลึกลงไปในดวงตาของบิล เลย์ตันอีกครั้งอย่างค้นหาความโป้ปดที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใจ และสุดท้ายเขาก็หลับตาลง ก่อนจะกล่าวขึ้น
“ผมไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรแล้วครับคุณบิล ขอโทษที่คลางแคลงต่อความรู้สึกของคุณ และขอบคุณสำหรับคำตอบ ช่วยดูแลคุณผู้ชายให้ดีเหมือนที่คุณบอกผมด้วยนะครับ คุณเลย์ตัน”
“ด้วยความเต็มใจครับ”
.
.
“อ้าว บิล หายไปไหนมา ผมตามหานายแทบแย่” วิลเลียม บ๊อบเอ่ยขึ้น หลังจากที่พบบิลที่หน้าประตูบริษัท เขายิ้มกว้างเมื่อตามหาบิลพบเสียที ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นพ่อบ้านทอมเดินตามมา
“อ้าว แล้วไหง มากับพ่อบ้านทอมได้ล่ะบิล”
“เอ่อ... ผมไปเจอคุณทอมโดยบังเอิญน่ะครับ คือผมอยากดื่มกาแฟ ... คิดถึงอดีตน่ะ” บิลยิ้มกลบเกลื่อน “ผมแอบหนีงานแบบนี้ ท่านประธานคงไม่ไล่ผมออกใช่มั้ยครับ”
“ไม่ ... ผิดก็ต้องเป็นผิด ผมจะย้ายคุณไปช่วยทอมดูแลบ้านของเรา ...ดีมั้ย?” บ๊อบหัวเราะอย่างมีความสุขพลางยักคิ้วให้คนตัวเล็กที่ทำหน้าง้ำหน้างออย่างไม่สบอารมณ์ “อ้อ ทอม ขอบใจมากที่พาคุณบิลมาส่งนะ”
“ครับ” เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะมองทั้งสองคนเดินขึ้นลิฟท์ไปด้วยแววตาที่ว่างเปล่า จนประตูลิฟท์ปิดลง ... ทอมจึงพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่และส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปจากบริษัทเงียบๆ



ตอนที่สองคลอดไวมาก แต่ก็เพราะอย่างที่เคยบอกว่าชอบเรื่องนี้มาก

เหมือนเป็นลูกรักคนหนึ่ง

สำหรับที่น้องนิวถามว่า จะตามอ่านได้มั้ย ขอตอบว่าไม่แน่ใจว่าทางโมลบไปหรือยัง เพราะนานมากจริงๆ

แต่เนื่อเรื่องจะต่างจากที่เขียนนี้มากนะครับ แต่แนวคิดเรื่องชีวิตนิรันดร์ยังเหมือนเดิม

แอบสงสัยว่าเขียนไม่ดีหรือเปล่า ไม่ค่อยมีเมนท์ หรืออาจจะรอตอนจบ

แต่ไม่เป็นไร เรื่องสั้นเรื่องนี้ถือเป็นความหน้ามึนของคนเขียนเอง ที่ชอบพลอตเรื่องนี้มากๆ

สำหรับเรื่องนี้ ตอนหน้าจะจบแล้ว

และถ้าลงจนจบ จะย้ายไปห้องนิยายจบแล้วครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2012 23:04:35 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด