Inspiration of Flood ภาพฝัน…วันน้ำท่วม
ผมแค่อยากจะให้เวลาเดินช้ากว่านี้…
ผมแค่อยากจะให้ทุกคนได้เข้าใจอะไรมากกว่านี้…
ผมก็แค่ …
คนธรรมดาคนหนึ่ง จะมีสิทธิ์ไปขออะไรได้มากมายขนาดนั้นกันล่ะ ? “ ไอ้เฟียร์ รีบๆขนของสิ มึงจะยืนเก๊กท่าเป็นพระเอกเอ็มวีอีกนานมั้ย ” ไอ้ปอร์เช่ เพื่อนสนิทของผมตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย ตะโกนเรียกผมในขณะที่ผมกำลังยืนเหม่อมองสายน้ำที่กำลังไหลเอื่อยๆเบื้องหน้า สายน้ำได้เข้าท่วมเกือบทุกพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ทำให้ผมและเพื่อนๆต้องรีบขนย้ายของจากหอพักนักศึกษาไปพักบ้านไอ้ปอร์เช่ที่จังหวัดชลบุรี
“ เออ…ไปเดี๋ยวนี้แหละ ” ผมรีบยกกล่องใส่ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นที่พอจะรวบรวมได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน เพราะเมื่อคืนน้ำได้ไหลเข้ามาถึงบริเวณหอที่ผมอยู่จนถึงรุ่งสางน้ำก็ท่วมจนเกือบถึงชั้นสองแล้ว
“ เฮ้ย…ไอ้เฟียร์ วันมึงไปรับน้องแพรหน่อยได้มั้ย เห็นบอกว่าจะรออยู่ที่คอนโด..xxx น่ะ ” ไอ้ชัยมันหันหน้ามาพูดกับผม ส่วนมือมันก็กำลังยกของขึ้นท้ายรถจนเป็นระวิง แล้วน้องแพรที่ว่านี่ก็หมายถึงแฟนสาวของไอ้ชัยที่เพิ่งคบกันมาได้ประมาณหกเดือนครับ แต่ความหวานที่ก็เกินบรรยายครับ เหมือนคู่รักที่เพิ่งฮันนีมูนกันมาหมาดๆ ผมนึกแปลกใจว่าทำไมไอ้ชัยมันไปรับเอกง ทั้งๆที่มันก็ออกจะรักน้องแพรขนาดนั้น ขนาดที่ว่าเรียนคนละมหาวิทยาลัยกันมันก็ยังมีเวลาไปรับไปส่งน้องแพรได้ทุกวัน
“ ทำไมมึงไม่ไปรับเองวะ ” ผมแหกปากถามไอ้ชัยแข่งกับเสียงรถบรรทุกที่วิ่งฝ่าน้ำจนสาดกระเซ็นมาทางที่พวกผมยืนที่ยืนขนของอยู่
“ ไอ้เหี้ยเอ้ยยยย เห็นมั้ยว่ามีคนยืนหัวโด่อยู่เนี่ย ” ไอ้ปอร์เช่สบถด่ารถบรรทุกคนนั้นพร้อมกับยกนิ้วกลางให้คนขับ ซึ่งผมก็ค่อนข้างจะปลงกับนิสัยของคนพวกนี้แล้วครับ ที่ไม่เห็นใจคนอื่นเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง เหมือนกับสังคมสมัยนี้ที่บางคนก็เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่เหลียวแลคนรอบข้าง จ้องแต่จะตักตวงผลประโยชน์โดยไม่ลืมหูลืมตา หากไม่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมนี้ก่อน ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าคนพวกนี้จะตักตวงผลประโยชน์ไปได้มากน้อยแค่ไหนกัน
…มนุษย์ก็เป็นแบบนี้เสมอแหละ
“ ไอ้เฟียร์กูสั่งให้มึงไปรับน้องแพร กูไม่ว่างเนี่ย เดี๋ยวแม่กูก็สั่งให้กูไปขนของที่บ้านแถวๆรังสิตอีก ถ้ากูไปช้ากูได้โดนแม่กูสวดยาวแน่ มึงจะไปหรือไม่ไป ” ไอ้ชัยทำท่าฟึดฟัดใส่ผม ซึ่งผมพยักหน้าเข้าใจทันทีว่าที่แท้ให้ชัยมันก็กลัวแม่ของมันนี่เอง เพราะแม่ของไอ้ชัยนี่จะออกแนวห้าวๆแบบถึงไม้ถึงมือ และถ้าลูกชายคนเดียวของตัวเองทำอะไรให้ไม่พอใจแล้วล่ะก็…หึหึ…คงรู้ละครับว่าไอ้ชัยจะโดนอะไรบ้าง ทำให้ผมต้องรีบเดินฝ่าน้ำไปยังลานจอดรถที่น้ำไม่ท่วม พร้อมกับขี่รถฝ่าสถานการณ์น้ำท่วมออกไปช้าๆ
รถของผมมาจอดเทียบหน้าคอนโดแถวๆใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ผมเดินขึ้นบันไดหนีไฟขึ้นไปยังห้องของน้องแพรที่ไอ้ชัยมันได้บอกมา เมื่อถึงหน้าห้องผมก็ยกมือขึ้นเคาะประตูเพราะคิดว่าน้องแพรน่าจะเก็บของเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว
“ ค่า รอแป๊บนะคะ ” เสียงเจื้อยแจ้วของน้องแพรดังลอดมาจากในห้อง ผมยืนยิ้มให้กับความน่ารักสดใสของน้องเพราะในสถานการณ์น้ำท่วมแบบนี้ คงมีน้อยคนนักที่จะยิ้มออกมาจากใจได้จริงๆ
“ ตุบ!!! ” ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเหมือนของแข็งร่วงกระทบพื้น เสียงนั่นไม่ได้มาจากห้องของน้องแพร แต่มันมาจากห้องข้างๆที่อยู่ติดกันต่างหาก
“ แควก!!! ” เสียงเหมือนกับเล็บครูดไปตามพื้นเบี่ยงเบนความสนใจของผมไปจนไม่ได้ยินเสียงจากห้องของน้องแพรเลยแม้แต่น้อย
“ ปัง!!! ” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อยๆเดินไปจนถึงหน้าประตูห้องนั้น พร้อมกับหยุดยืนมองบานประตูสีครีมอ่อนสักครู่หนึ่ง
“ ช่วย…ด้วย! ” เสียงแหบพร่าดังมาจากห้องนั้น ผมผงะถอยหลังทันที เพราะเสียงนั้นฟังดูน่ากลัวจนทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว ผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะแตะมือลงบนลูกบิดประตูอย่างกล้าๆกลัวๆว่าจะเข้าไปดูดีมั้ย เค้าจะหาว่าเราไปยุ่มย่ามเรื่องของคนอื่นหรือเปล่า
“ พี่เฟียร์จะทำอะไรคะ !?!?! ” เสียงน้องแพรดังมาจากข้างหลังผมทำเอาผมสะดุ้ง น้องแพรเดินมายืนข้างๆผมพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ เขาน่าสงสารนะคะ ” น้องแพรพูดออกมาแต่สายตาของน้องกลับมองไปที่บานประตูนั้นเหมือนกับผม
“ น้องหมายถึงใครหรอ ” ผมถามแบบงงๆ
“ คนในที่อยู่ห้องนี้นะค่ะ เค้าประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อหลายเดือนก่อน ทำให้ขาเป็นอัมพฤกษ์เดินไม่ได้ จากนั้นพ่อแม่ของเค้าก็ทิ้งเค้าไว้ในคอนโดนี้คนเดียวโดยไม่ได้กลับมาดูแลบ้างเลย แค่เอาเงินค่าใช้จ่ายมาให้เดือนละครั้งเท่านั้นเอง ” น้องแพรเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ท้ายประโยคดูเหมือนว่าจะพูดออกมาลำบาก สังเกตจากน้ำเสียงของน้องที่ค่อนข้างแผ่วเบาไปมากเลยทีเดียว
“ …แล้วใครหาข้าวหาปลาให้เค้ากินกันล่ะ ” ผมยังไม่เลิกสงสัย จึงถามออกไปต่อ
“ ไม่มีหรอกค่ะ จะมีก็แต่…น้าสาวของเขาที่สองสามวันจะเข้ามาหาที ”
“ น่าสงสารเนอะ ” ผมถอนหายใจแบบปลงๆกับเรื่องที่น้องแพรได้เล่าออกมา เพราะโลกมันเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ คนที่อยู่สูงก็อยู่สูงจนใครหลายคนเอื้อมไม่ถึง ส่วนคนที่อยู่ต่ำก็ต่ำเสียจนไม่มีใครเหลียวแล
“ ไปกันเถอะค่ะ ” น้องแพรสะกิดผมเบาๆ จากนั้นผมก็เดินตามหลังน้องแพรไปเงียบๆพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ผมยืนอยู่ที่ลานจอดรถพร้อมกับช่วยน้องแพรขนของขึ้นรถ หลังจากที่เรายกประเป๋าสัมภาระของน้องแพรขึ้นรถแล้ว ผมก็เหลือบไปเห็นบานหน้าต่างชั้นสอง ซึ่งอาจจะเป็นห้องข้างๆของน้องแพร ปรากฏใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งผ่านทางกระจก สายตาของเขาเหม่อลอยพลางทอดออกไปในท้องฟ้าที่ค่อนข้างจะครึ้มไปด้วยเมฆฝน ใบหน้าของเขาขาวซีดราวกับไม่เคยถูกแสงแดด ผมสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ยับยู่ยี่ หากจะมองให้ละเอียดไปมากกว่านี้รอยยับนั่นแท้จริงแล้วคือรอยขาดเสียมากกว่า
“ น้องแพรยืนรอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ ” ในที่สุดผมก็อดทนต่อไปไม่ไหว สองขาพาผมเดินขึ้นบันไดไปจนถึงห้องที่ผมเห็นผู้ชายคนนั้น อย่างที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิดเมื่อผู้ชายคนนั้นคือคนที่น้องแพรเล่าให้ฟังเมื่อกี้นั่นเอง ผมยกมือขึ้นเคาะประตูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไร้ซึ่งคนมาเปิดให้
ผมยกมือแตะลูกบิดด้วยความรู้สึกที่สับสนต่างนานา แต่ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน เผยให้เห็น…
…พระเจ้า!!! นี่มันไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ
ร่างกายของผู้ชายคนนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจนเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างของเขาอยู่บนพื้นห้องที่มีรถเข็นสำหรับคนพิการที่ตั้งอยู่ไว้ไม่ไกล ผมจึงนึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมเขาถึงไม่ใช่รถเข็น แล้วรอยแผลบนตัวเขาอีก นี่มัน…อะไรกัน
“ สะ...สวัสดี ” ผมพูดออกมาอย่างเก้ๆกังๆ
“ …. ” ผู้ชายคนนั้นมองหน้าผม ดวงตาสีดำขลับของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผมอ่านไม่ออก
“ ผมชื่อ…เฟียร์ ” ดูจากรูปร่างและหน้าตาแล้ว ผู้ชายคนนั้นน่าจะอายุมากกว่าผมสักปีสองปีเห็นจะได้ ส่วนสูงที่น่าจะมากกว่าผมประมาณเกือบสิบเซนเท่าที่ผมสังเกตดู
“ บะ....บาส ” เขาคนนั้นแค่นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก ผมสังเกตเห็นเล็บของเขากุดเข้าไปจนเห็นเนื้อที่ปูดออกมา แสดงว่าเสียงครูดที่ผมได้ยินอาจจะเป็นเสียงจากเล็บของเขาก็เป็นได้
“ นายอยู่ในนี้หรอ ” ผมถามพลางประคองเขาไปนั่งบนรถเข็นคนพิการ หัวใจของผมเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความสงสาร ส่วนอีกใจก็อดที่จะนึกรังเกียจความไม่ยุติธรรมบนโลกใบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
“ …. ” บาสไม่ตอบ หากแต่พยักหน้าเบาๆแทนคำตอบว่า ‘ใช่’
“ นายไม่อยากออกไปข้างนอกหรอ ” ผมพาบาสไปนั่งข้างๆหน้าต่างแล้วเปิดผ้าม่านให้กว้างที่สุดจนเห็นท้องฟ้าสีเทาหม่นเต็มสายตา เฉกเช่นกับหัวใจของผมตอนนี้
“ อยาก…แต่ ออกไปไม่ได้ ” ผมไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่บาสพูดออกมามากนัก แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าคงจะเป็นเพราะเขาเดินไม่ได้เขาถึงออกไปไม่ได้ละมั้ง
“ แล้วนายไม่ออกไปจากที่นี่หรอ น้ำกำลังจะท่วมนะ ถ้าน้ำท่วมแล้ว...เรื่องอาหารการกินจะลำบากขึ้น แล้วนี่…. ” ผมรีบกลืนคำพูดที่จะพูดต่อลงไปในลำคออย่างรวดเร็ว เพราะว่าถ้าผมถามออกไปก็ดูเหมือนจะยิ่งสร้างแผลให้กับคนตรงหน้ามากขึ้นเท่านั้น
‘แล้วนี่...ไม่มีคนมาคอยดูแลนายเลยหรอ’
ผมตั้งใจจะพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากจะยืนยันให้แน่ชัดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า
“ ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว ” จู่ๆบาสก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
“ แล้ว... ”
“ ไม่มีใครมาสนใจฉันหรอก ฉันก็แค่คนพิการ ” รอยยิ้มขมขื่นที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบาสนั้นช่างดูไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิดเดียว เพราะผมพยายามจะจินตนาการเวลาที่บาสยิ้มอย่างคนปกติทั่วไป รอยยิ้มของเขาต้องสว่างไสวและเจิดจรัสเหมือนกับดวงอาทิตย์แน่ๆ
“ ฉันอยากเห็นทะเล น้ำทะเลที่สะท้อนแสงอาทิตย์ ” จู่ๆบาสก็พูดต่อราวกับว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน ดวงตาสีดำขลับของเขาทอดออกไปไกลราวกับตัวเขากำลังจินตนาการว่าได้ยืนอยู่บนหาดทรายจริงๆ
“ งั้นเราก็ออกไปจากที่นี่กัน ฉันกำลังจะไปชลบุรี นายจะไปกันฉันไหม ” ความสงสารที่ก่อตัว ทำให้ผมเอ่ยปากชวนออกไป ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นการยากที่จะพาคนที่เพิ่งรู้จักกันไปไหนต่อไปในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้ แต่ผมก็แค่ … อยากทำความปรารถนาของคนตรงหน้าให้เป็นจริงขึ้นมาก็เท่านั้น
…เพราะว่าผมสงสารยังไงล่ะ
บาสมีปฏิกิริยามากกว่าที่ผมคิด เมื่อใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแห้งๆที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นั่นก็ดูเหมือนจะทำให้เขาคลายความกังวลได้ไม่มากก็น้อย
“ ฉัน… ”
“ เอาน่า ไม่ต้องคิดไรมากๆ ” ผมตบบ่าบาสเบาๆ เจ้าตัวก็หันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวแบบที่ผมวาดภาพเอาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่คิดว่าเรื่องมันจะกลายมาเป็นแบบนี้ หลังจากที่ผมเอาบาสติดรถมาทะเลด้วยเหตุผลที่ค่อนข้างจะไม่เป็นเหตุผลสักเท่าไร ผมต้องปั้นน้ำเป็นตัวบอกกับเพื่อนๆว่าบาสอยากมาเที่ยวทะเลแล้วผมก็อยากจะได้เพื่อนเล่นตอนอยู่ที่นี่ด้วย แม้ว่าคำโกหกคำโตของผมมันจะไม่น่าเชื่อเลยก็ตาม แต่พวกเพื่อนของผมก็เลือกที่จะไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผมออกมาเลยนับตั้งแต่เรามาถึงที่นี่
แต่ความจริงแล้ว สาเหตุจริงๆที่ผมพาบาสมาที่นี่ก็คือ … ผมสงสารบาส
เป็นเหตุผลที่ผมจะไม่มีวันพูดออกมาให้ใครได้ยินเป็นอันขาด เพราะกลัวว่าคำพูดนี้อาจจะไปทำร้ายใครคนหนึ่งเข้าโดยที่มีผมเป็นต้นเหตุ
“ ชอบที่นี่ไหม ” ผมไม่เข้าใจตัวเองจริงๆว่าความสงสารของผมนั้นถึงขนาดพาคนที่เพิ่งรู้จักมาด้วยกันได้ง่ายๆแบบนนี้เลยหรอ? มันจะใช่ความสงสารอย่างที่ผมรู้สึกจริงๆหรือว่า หรืออาจจะมีบางอย่างที่ผมคิดไม่ถึงอีก ?
หรือว่าอาจจะเป็นเพราะ…บาสก็ไว้ใจผม
ผมส่ายหัวสลัดความคิดนั่นเอาไป เพราะใจผมก็คิดเพียงอย่างเดียวว่า … ผมอยากจะทำให้คนๆหนึ่งได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขก็เท่านั้น
“ ชอบมากเลยล่ะ ” ผมหันหน้ามาพูดกับผมขณะที่ตนเองนั่งอยู่บนรถเข็นคนพิการ แต่ใบหน้าของเขาดูไม่เหมือนคนพิการเลยสักนิด คิ้วเข้มๆที่รับกับสันจมูกโด่งของเขาขับให้ใบหน้าของเขาดูมีเสน่ห์ยามอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ริมฝีปากบางๆที่ดูเหมือนจะยกยิ้มขึ้นน้อยๆทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามเขาด้วยไม่ได้
ตอนนั่งมองท้องทะเลกับบาสผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมรีบวิ่งเข้าไปในบ้านพร้อมกับหยิบกระเป๋าสัมภาระของตนเอง ควานหาของบางอย่างที่อยู่ในนั้น
ผมหยิบเอาสมุดวาดรูปปกแข็งออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับสีอะคริลิคติดมือออกมาด้วย แล้วก็อุปกรณ์วาดรูปนิดๆหน่อยๆที่ผมเอาออกมาเผื่อ
ผมทิ้งตัวลงนั่งเยื้องๆกับบาส พร้อมกับจัดแจงอุปกรณ์วาดรูปให้เข้าที่ จากนั้นผมก็ลงมือวาด ภาพของบาสกับท้องทะเลแห่งนี้
“ ทำอะไรหรอ ” บาสชะโงกหน้ามามองผมแล้วทำหน้าสงสัย คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย จนผมต้องเอามือไปนวดคลึงให้คลายออกจากกัน
“ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวภาพออกมาไม่สวยกันพอดี ” ผมตวัดดินสอลากเป็นลายเส้นคร่าว ๆจากนั้นก็เริ่มลงรายละเอียดลงไปทีละน้อย จากนั้นก็ค่อยๆลงสีให้ดูสมจริงมากที่สุด
เวลาผ่านไปเกือบสี่ชั่วโมง ภาพวาดที่ผมตั้งใจจะวาดก็ออกมาเสร็จสมบูรณ์ มันคือภาพของบาสที่กำลังนั่งกอดเข่ามองดูดวงอาทิตย์ยามเย็นที่จรดกับผืนน้ำที่กับทอประกายแข่งกัน แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดสำหรับภาพวาดนี้ก็คือ…บาสไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็นคนพิการ แต่เขากับนั่งอยู่บนขาของตัวเอง
…เขาจะต้องเป็นแบบนั้นในอีกไม่ช้า ผมมั่นใจ
ผมภาวนาในใจก่อนจะยื่นภาพวาดที่วาดเสร็จแล้วให้คนตรงหน้าดู ดวงตาสีดำขลับเปล่งประกายวิบวับราวกับเด็กที่ได้ของเล่น
“ เฟียร์ … ” บาสจ้องหน้าผมไม่วางตาจนผมรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“ ผมให้!!! ” ผมยื่นภาพวาดให้กับบาส แต่ทำไมมันดูเหมือนว่ารุ่นน้องกำลังให้ดอกไม้แก่รุ่นพี่ที่แอบชอบไปซะได้หว่า อ๊ะ!ช่างมันเถอะ
“ ขอบใจนะ ” บาสส่งยิ้มมาให้ผม ทำให้นั้นก็ดึงมือของผมเข้าไปจับ มือของบาสอุ่นมากในเวลานี้ บวกกับลมจากทะเลที่พัดหอบเอาความไม่สบายใจของผมไปจนหมดสิ้น ผมหลับตาลงพร้อมกับสูดกลิ่นอายนี้เพื่อให้ซึมซับไว้ให้นานที่สุด
“ ฉันอยากหยุดเวลาเอาไว้อย่างนี้ ” ผมเหมือนจะได้ยินเสียงพึมพำเบาๆของบาส แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะสิ่งเดียวที่ผมสนใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ…ผมสามารถทำให้คนๆหนึ่งยิ้มอย่างมีความสุขได้แล้ว
หลังจากที่ผมขอตัวกลับกรุงเทพไปก่อนด้วยคำโกหกที่ผมปั้นขึ้นมาสดๆร้อนๆว่า…ผมจะกลับไปเอาของแล้วจะกลับไปหาแม่ที่ปทุมธานี ผมก็เลยกลับมาพร้อมกับบาสโดยอ้างเหตุผลอีกเช่นกันว่า…บาสต้องกลับไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลต่อ ทั้งๆที่เหตุผลนั้นจะฟังดูไม่ขึ้นเลยก็ตาม
ที่จริงแล้ว…บาสบอกผมว่าตัวเองต้องกลับไปที่คอนโดก่อนที่น้าตัวเองจะกลับมาแล้วไม่เจอเขา จากนั้นก็จะอาละวาดโวยวายทำลายข้าวของ รวมไปถึง…ทำร้ายร่างกายของเขา
ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าเขาได้แผลบนร่างกายมาได้อย่างไร
…บางเรื่อง เราไม่จำเป็นต้องพูดให้ใครรู้ แต่เขาจะรู้เองเมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง
“ น้าอ้อ ” ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป ผมก็เห็นร่างของหญิงสาววัยกลางคนนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตรงมุมห้อง ดวงตาคมกริบของเธอจับจ้องมายังผมราวกับจะแทงตัวผมให้ทะลุ
“ แกไปไหนมา ” ผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อ ‘อ้อ’ เดินเข้ามาหาบาสที่นั่งอยู่บนรถเข็นคนพิการ จากนั้นนิ้วมือของเธอที่เคลือบด้วยน้ำยาทาเล็บสีแดงก็จิกกระชากหัวของบาสเต็มแรงแล้วเหวี่ยงร่างของเขาไปกองอยู่กับพื้น
“ นี่คุณ!!! ” ผมอดที่จะพูดออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นการกระทำอันไร้จิตใจของคนตรงหน้า
“ นี่มันเรื่องของฉัน อย่ามาเสือก ” พูดไม่จบ รองท้นส้นสูงแบรนด์ดังก็กระแทกเข้าไปบนใบหน้าของบาสที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้นก่อนที่ส้นปลายแหลมของรองเท้าคู่นั้นจะกดใบหน้าของบาสให้ตรึงนิ่งเอาไว้
“ โครม!!! ” ผมวิ่งเข้าไปผลักร่างของผู้หญิงคนนั้นจนเซถลาล้มไปกับพื้น เธอลุกขึ้นมามองผมด้วยสายตาอาฆาตก่อนที่จะตวาดผมเสียงดังราวกับคนเสียสติว่า
“ มึงออกไปเลยนะ ถ้ามึงมายุ่มย่ามอีกล่ะก็…กูไม่เอามึงไว้แน่ ”
“ ก็เอาสิครับ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะได้โทรแจ้งตำรวจไปทีเดียวเลย ข้อหาทำร้ายร่างกาย ” ผมแสยะยิ้มราวกับผู้ชนะ ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นที่มีแววหวั่นวิตกอย่างชัดเจน
“ กะ แก!!! ”
“ เอาสิ เอาสิ!!! ปากดีไม่ใช่หรอ พูดต่อสิ ” ผมตวาดเสียงดังจนบาสเงยหน้าขึ้นมามองผม สงสัยว่าเขาจะไม่เคยเห็นผมในแง่มุมแบบนี้มาก่อน
“ แก!!! ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้เด็กระยำ!!! ” จากนั้นผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าน้าอ้อก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปอย่างไม่พอใจ ไม่วายที่จะกระแทกประตูปิดเสียงดังไล่หลัง
“ เจ็บมั้ย!!! ” ผมประคองบาสขึ้นมานั่งบนโซฟาพร้อมกับลงไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลในรถที่จอดเอาไว้ชั้นล่าง
“ ชินแล้ว! ” คำพูดเพียงประโยคเดียวที่ดูเหมือนจะพูดออกมาง่ายๆ แต่กลับทำให้หัวใจของผมกระตุกอย่างบอกไม่ถูก
“จะชินได้ยังไงกัน นี่มันมากเกินไปแล้วนะ” ผมพูดขณะที่กำลังทำแผลให้บาส
“ น้าอ้ออยากให้ฉันตาย น้าเค้าจะได้หมดภาระแล้วทิ้งฉันไปเหมือนกับพ่อแม่ของฉัน ” ใบหน้าของบาสเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มากเสียจน…ผมอยากจะเบือนหน้าหนี
…แต่ผมก็ทำไม่ได้
หยดน้ำใสๆหยดลงบนหลังมือของผมขณะที่ผมกำลังติดปาสเตอร์ให้ ดวงตาสีดำขลับของบาสแดงก่ำไปด้วยหยดน้ำใสที่รื้นขึ้นมา จากนั้นเสียงร้องไห้ก็ค่อยๆดังขึ้นราวกับมันถูกเก็บเอาไว้มานานแสนนานในส่วนที่ลึกที่สุดที่ไม่มีใครเข้าไปค้นเจอ
…นอกจากผม
“ หมับ!!! ”
ผมกระชากตัวของบาสเข้ามากอดพร้อมกับปลอบเขาเบาๆ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อน้ำร้อนๆเริ่มไหลออกมาจากดวงตาของผมเป็นสาย
“ ไม่ร้องไห้นะ ” ผมพยายามบอกให้คนตรงหน้าหยุดร้องโดยที่เสียงตัวเองก็สั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่
“ ฮึก ฮือ … ฉัน ไม่มีค่า แล้ว…. ทำไมฉันต้องเกิดมาด้วย ทำไม ฮือ ” บาสกอดรัดผมแน่นขึ้น อ้อมกอดนั้นอบอุ่นและอ้างว้างในเวลาด้วยกัน บาสไม่ได้อ่อนแอ แต่ความแค่อยากจะระบายความอ่อนแอออกทั้งหมดก็เท่านั้น เพราะต่อไปเขาจะยืนหยัดขึ้นมาใหม่ด้วยความเข้มแข็งที่ปราศจากความอ่อนแออย่างแท้จริง
หัวใจของผมรู้สึกร้อนเหมือนถูกไฟเผา แต่ถึงกระนั้นผมก็ตระหนักความจริงข้อหนึ่งที่ว่า…
…เมื่อสองคนสองคนได้ร้องไห้ด้วยกันเป็นครั้งแรก พวกเขาจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้เพราะความสงสารหรืออะไรกันแน่ !?!?!?!
ผมแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือนดูแลบาสบ่อยๆในตอนเย็นของทุกๆวัน จนชักจะกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว นี่เวลาก็ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้ว ไม่มีวี่แววว่าน้าอ้ออะไรนั่นจะกลับมาทำร้ายร่างกายบาสอีกแล้ว อาจคงเป็นเพราะเธออาจจะทิ้งบาสไปแล้วก็ได้
“ วันนั้นมีผัดไทกับหอยทอด ชอบหรือเปล่า ? ” ผมหิ้วถุงพลาสติดใบเขื่องเข้ามาในห้องของบาส พบว่าเจ้าตัวกำลังนั่งดูรูปวาดที่ผมวาดให้ ซึ่งหลังจากกลับมาผมก็ได้ใส่กรอบแล้วเอาไปแขวนไว้ให้
“ อะไรที่เฟียร์ซื้อมา บาสกินได้หมดแหละ ” ผมหันมายิ้มให้ผมเหมือนอย่างเคย เพราะเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมาทำให้เราสองคนสนิทมากขึ้นและสรรพนามที่บาสใช้เรียกผมก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปด้วย รวมทั้งเราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน
“ ครับ ได้ครับ ขอบพระคุณมากๆครับ ” ผมกรอกเสียงใส่ปลายสายโทรศัพท์พร้อมกับรีบมุ่งหน้าไปยังคอนโดที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นบ้านของผมไปแล้ว หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมผ่านพ้นไป ผมก็ได้มีเวลามาเยี่ยมบาสมากขึ้น จนพี่ชายของผมรู้เรื่องนี้จากเพื่อนของผมที่โทรไปเล่าให้ฟัง พี่ชายก็เลยโทรมาถามไถ่ผมเสียยกใหญ่ จนกระทั่งรู้ว่าบาสเป็นคนพิการเดินไม่ได้ พี่ชายก็เลยแนะนำให้ไปพบแพทย์แทบจะในทันที เพราะพี่ชายของผมก็เป็นแพทย์เหมือนกัน
ผมหิ้วไก่ทอดที่ถืออยู่ในมือไปยังรถของผมที่จอดเอาไว้บริเวณทางเท้า ก่อนที่จะขับรถมุ่งหน้าไปยังคอนโดด้วยความดีใจที่คับแน่นอกไปหมด
ระหว่างทาง ผมเห็นกลุ่มควันดำลอยขึ้นมาจากเบื้องหน้า ยิ่งผมเข้าใกล้มันมากเท่าไหร่ ใจของผมก็ร้อนรนจนแทบทนไม่ไหวอีกต่อไป เพราะกลุ่มควันนั้นมาจาก…คอนโดของบาสอย่างแน่นอน
“ ไม่!!! ” ทันทีที่ลงมาจากรถ แสงไฟสีแดงตรงหน้ากูวูบวาบทำเอาผมขาสั่นแทบจะยืนไม่อยู่ เมื่อไฟสีแดงนั้นลุกโชนออกมาจาก ออกมาจากห้องของบาส
ผมรีบวิ่งฝ่าวงล้อมเข้าไปถึงชั้นสอง ควันตลบอบอวนทำเอาผมแสบตาจนเกือบลืมตาไม่ได้ ผมไม่รีรอรีบวิ่งเข้าไปกระแทกประตูห้องของบาสจนเปิดออกทันที
ห้องของบาสเต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลุกไหม้วอลล์เปเปอร์บนผนังจนเกรียม ผมกวาดตามองหาร่างของบาสอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป ผมกระโจนเข้าไปคว้าที่ร่างของบาสทันทีที่เห็น
ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าแทบจะทำผมตะลึงค้างทันที ร่างของบาสนอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ เสื้อผ้าของเขาปรากฏรอยเขม่าควันดำๆอยู่เต็มไปหมด แต่…แต่ ในมือของเขากำลังกอดภาพวาดที่ผมเคยวาดให้เอาไว้แนบอก ภาพวาดของเขาที่กำลังนั่งอยู่บนหาดทรายราวกับกลัวว่ามันจะถูกไฟไหม้อย่างไรอย่างนั้น
…ทำไม ทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนี้ !?!?!
น้ำตาของผมหยดไหลอาบแก้มอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพียงแค่ต้องการจะปกป้องภาพวาดนั้นเอาไว้หรือยังไงกัน ไม่กลัวว่าตัวเองจะรับอันตรายเลยบ้างหรือไง
ทำไมถึงได้โง่แบบนี้…
ผมเข้าไปลากร่างของบาสด้วยความยากลำบาก อาจจะเป็นเพราะบาสตัวใหญ่กว่าผมทำให้ตัวของเขาค่อนข้างหนัก
“ พรึ่บ!!! ”
เปลวไฟลุกโหมมาจากด้านหลังที่ผมยืน ผมเอาร่างของผมบังบาสเอาไว้จนรู้สึกได้ถึงความแสบร้อนที่แล่นผ่านแผ่นหลังมาจนถึงปลายประสาท
“ เฟียร์… ”
บาสกระซิบข้างหูของในขณะที่ผมเอาเจ้าตัวขี่คออย่างยากลำบากฝ่าวงล้อมของเปลวไฟออกมาจากห้องๆนั้น
“ ขอโทษนะ ”
เสียงนั้นดังอีกครั้ง แต่โชคดีที่ผมออกมาจากห้องได้อย่างหวุดหวิด แล้วผมก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถดับเพลิงที่เพิ่งจะมาถึง
ชั้นที่ผมยืนอยู่นั้นไม่มีผู้คนอยู่แล้ว เนื่องจากผมสังเกตเห็นตอนขึ้นมาว่าผู้คนได้ทยอยลงไปจากตึกจนหมด
ผมออกมาจนถึงบริเวณบันไดลงชั้นล่าง ขาของหมดก็หมดแรงจนร่างของผมทรุดลงกับพื้น ร่างของบาสก็ล้มลงกับพื้นตามผม แต่เจ้าตัวก็กลับล้มทับผมซะงั้น
…ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวอีก
ให้ผมได้เจ็บแทนมั่งเถอะ แบ่งเบาทุกอย่างที่นายแบกรับมันเอาไว้มาที่ตัวของผมเอง
ผมยิ้มให้กับคนตรงหน้าที่ดวงตาดำขวับของเขาในตอนนี้กลับสู่ความหมายชัดเจนออกมามากกว่าเมื่อก่อนมาก
“ บาสอยากจะปกป้องความทรงจำของบาสกับเฟียร์ที่มีทั้งหมดเอาไว้ ” ผมหลับตาลง แล้วผมก็สัมผัสได้ถึงอะไรนุ่มๆมาประทับลงบนริมฝีปากของผม ผมรับรู้ได้อีกอย่างว่าหัวใจของผมพองโตจนคับแน่นอกไปหมด จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
…ทิ้งให้จูบของเราสองคนถูกห้อมล้อมด้วยเปลวไฟที่ลุกโหมอย่างเร่าร้อน
ผมฟื้นขึ้นมาในห้องสีขาว ข้างๆตัวปรากฏร่างของบาสที่นั่งอยู่บนรถเข็นคนพิการ ผมยิ้มอย่างมีความสุขให้กับเจ้าตัวที่กำลังจ้องมาทางผม
“ เฟียร์หาคนมารักษาบาสได้แล้วนะ ” คำแรกที่พูดออกมาจากปากกลับเป็นประโยคนี้ ไม่ใช่เพราะว่าวันนั้นผมดีใจหลังจากที่ผมได้รู้ว่าพี่ชายของผมหาแพทย์ที่เชี่ยวชาญมารักษาบาสได้แล้วไม่ใช่หรือ
…สิ่งที่ผมอยากจะพูดกับบาสตั้งแต่วันนั้นคือประโยคนี้เพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“ เฟียร์ ” บาสขยับตัวมาใกล้ผมพร้อมกับยื่นมือลูบไปตามใบหน้าของผมที่ดูเหมือนจะเปียกชื้นเพราะหยดน้ำตาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ผมนี่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เอะอะไรก็จะร้องไห้อย่างเดียว
“ ไม่ต้องปกป้องบาสอีกแล้ว ต่อไปนี้ให้บาสอยากจะขอปกป้อง ปกป้องเฟียร์ด้วยหัวใจของบาสได้ไหม ” บาสยกมือผมไปทาบทับบนหน้าอกแน่นของเขา ผมรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เต้นอยู่ภายในนั้น จังหวะของมันหนักแน่นเหมือนกับคำพูดของเจ้าของ
“ บาส… ” บาสทาบทับริมฝีปากของเขาลงบนกลีบปากของผมก่อนที่จะสอดลิ้นเข้ามาตวัดเลียจนทั่ว จูบของเราสองคนอบอุ่นจนผมลืมหายใจ ความรู้สึกที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือความรู้สึกของอะไรกันแน่ เพียงแต่ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่า … ผมอยู่ต่อไปโดยไม่มีบาสไม่ได้อีกแล้ว
ไมรู้ว่าเมื่อไร่ที่บาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม ความรู้สึกนี้มันก่อตัวขึ้นเมื่อไหร่ผมไม่อาจรู้ได้ มันอาจจะเริ่มต้นแค่เพียงการที่เราสองคนได้พูดคุยกันจนได้เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย จากนั้นเรื่องก็ดำเนินไปจนถึงจุดของมัน จุดที่เราสองคนเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตนเอง
“ บาสรักเฟียร์นะ ”
บาสประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของผมจนผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้ล่องลอยอยู่ในอณูของอากาศที่ว่างเปล่า จากนั้นก็ร่วงหล่นอยู่บนปุยเมฆที่แสนนุ่มละมุน
มีต่อ
v
v