กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10  (อ่าน 125779 ครั้ง)

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
«ตอบ #120 เมื่อ03-06-2012 20:12:43 »

โห
กำลังมันกันเลยทีเดียว 555
จะยอมเปิดปากแล้วสินะ หึหึ

ออฟไลน์ BBSS

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
«ตอบ #121 เมื่อ03-06-2012 20:38:23 »

ได้เวลาสารภาพแล้ว ว่ะฮ่ะฮ่ะ

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
«ตอบ #122 เมื่อ03-06-2012 21:22:51 »

โจเซกะชิงหลงสมแล้วที่เป็นพี่น้องกันทั้งใจเย็นและเลือดเย็นทั้งคู่เลย :sad4:

 

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
«ตอบ #123 เมื่อ03-06-2012 21:26:52 »

ค้างงงงงงงงงงงงงง แต่ดีใจมาก ได้อ่านต่อแล้ว ><
อิตาชิงหลงนี่ก็แอบนิสัยเด็กนะ อยากให้คนอื่นโดนเหมือนที่ตัวเองเคยโดนมั่งเนี่ย -*- ตอนหน้าเซินเฟิ่งหมิงจะได้ออกจากห้องขังแล้วใช่มั๊ย ดีใจด้วย  :mc4:
อยากอ่านตอนหน้าแล้วอ่ะ แต่เรื่องเรียนก็สู้ๆนะคะ  o13
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย :L2:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
«ตอบ #124 เมื่อ03-06-2012 21:29:06 »

ขออีกได้มั๊ย อยากอ่านมาก

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
«ตอบ #125 เมื่อ04-06-2012 02:27:22 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด :impress2:  :impress2: ในที่สุดสิ่งที่รอมานานก็มาสักที
 o18  รีบๆมาแต่งต่อนะค่ะค้างมากๆๆ :z3: :z3:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #126 เมื่อ04-06-2012 17:58:49 »

-15-


   เสียงประตูจากภายนอกเรียกให้บุคคลภายในห้องต่างสะดุ้งไปตาม ๆ กัน เว้นแต่เพียงเซซิลิโอซึ่งเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชายหนุ่มดูสงบเสงี่ยม ไม่แสดงอาการเดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ เรียกได้ว่า นิ่งสงบเกินไปสำหรับคนที่อยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อพวกเขาถามว่าข้างนอกมีอะไรบ้าง เจ้าตัวก็ไม่ยอมตอบ เหมือนกับว่าพฤติกรรมอกสั่นขวัญแขวนของพวกเขากลายเป็นของแก้เบื่อสำหรับอีกฝ่ายในยามที่ต้องนั่งรออยู่เฉย ๆ และทำอะไรไม่ได้เลย

   และเมื่อประตูเปิดออก เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ไม่มีใครสักคนที่เชื่อว่าถึงเวลาที่จะได้เป็นอิสระแล้วจริง ๆ ทว่า...พวกเขาก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าปาฏิหาริย์ยังมีอยู่

   “ชิงหลง? คุณโจเซ?” เซินหมิงเฟิ่งมองบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างไม่เชื่อสายตา

   “สวัสดีครับมิน เอสตาเตด้วยนะ” โจเซหัวเราะกับทั้งสองก่อนจะเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อไม่ได้ยินคิมหันต์พยายามแก้ชื่อของตนเองให้ถูกต้อง แต่เขาก็คิดได้ในวินาทีต่อมาว่า คนที่ถูกกักขังมานานจะถืออะไรกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ แค่มีคนช่วยให้เป็นอิสระได้ก็เหมือนสวรรค์โปรดแล้ว แต่ว่าทั้งสองคนในห้องก็ยังนิ่งสนิทไม่มีการเคลื่อนไหว มองก็รู้ได้ทันทีว่าคงกำลังไม่เชื่อสายตาตัวเอง โจเซหันไปข้างตัว เห็นชิงหลงก็นิ่งอยู่เหมือนกันแต่ฝ่ายนี้นิ่งเพราะเป็นบุคลิกนิสัยเฉพาะตัวเสียมากกว่า

   ให้ตายสิ...

   ไม่รู้จักโอ๋คนเสียบ้างเลย

   โจเซพึมพำในใจก่อนจะสะกิดแขนชิงหลงเบา ๆ แล้วกระซิบ

   “ฉันว่านายควรจะเข้าไปรับเขาออกมานะ”

   ชิงหลงเหลือบสายตากลับมาทางเขาเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เพราะเซินหมิงเฟิ่งไม่ยอมออกมาเสียทีและเอาแต่ยืนค้างแบบนั้น เจ้าตัวจึงยอมเดินเข้าไปเองเพราะไม่อยากจะเสียเวลาให้กับความซาบซึ้งมากเกินไปแบบในละครน้ำเน่าที่จะต้องจ้องตากันจนจบเพลงแล้วถึงจะวิ่งเข้ามาโอบกอดกันท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชมและกลีบดอกไม้ปลิวกระจาย

   ชายหนุ่มวางมือลงบนบ่าเซินหมิงเฟิ่งที่เลื่อนสายตาขึ้นมามองเขาเสมือนยังไม่ตื่นเต็มตา หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่

   “กลับกันได้แล้ว”

   โจเซถึงกับยกมือตบหน้าผาก

   นี่พูดให้นุ่มนวลกว่านี้ไม่เป็นแล้วหรือยังไงกัน!

   แต่ถึงโจเซจะไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกของเจ้าตัวยังไง เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ชิงหลงแค่เพียงกุมบ่าอีกฝ่ายไว้เช่นนั้นและจ้องมองไปยังคิมหันต์ซึ่งสภาพไม่ได้ต่างกับเซินหมิงเฟิ่งมากเท่าไหร่

   “เรามีเรื่องจะต้องคุยกันหลังจากนี้ ตอนนี้คุณควรกลับไปกับพวกเราก่อน”

   คิมหันต์รู้ดีว่าตนมีความผิดที่ไม่อาจดูแลปกป้องคุ้มครองเซินหมิงเฟิ่งให้ปลอดภัยได้ ถึงในตอนนี้ชิงหลงจะยังไม่เห็น แต่ภายใต้เสื้อนั่น ร่างกายของเซินหมิงเฟิ่งมีแต่รอยฟกช้ำ ตัวเขาที่อ่อนแอคงไม่แคล้วถูกตำหนิ ลดขั้น หรืออย่างร้ายก็ถูกไล่ออก....

   บอดี้การ์ดหนุ่มก้มศีรษะรับคำสั่งด้วยท่าทางสงบนิ่งก่อนจะค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องเป็นคนแรก

   โจเซมองคิมหันต์ที่เดินออกมาด้วยใบหน้าของคนที่เตรียมใจจะโดนประหารด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เพราะทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเจ้านายตัวเองแท้ ๆ แต่กลับต้องกลายเป็นแพะอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะนึกรู้ว่าชิงหลงกล้าเอาคนของตัวเองมาใช้เป็นเครื่องมือได้ถึงขนาดนี้กันล่ะ

   แต่ความจริง...คิมหันต์ก็เคยถึงขนาดส่งตัวไปอยู่กับอีกฝ่ายนานสิบกว่าปี เรื่องแบบนี้อาจจะไม่ไกลเกินคาดถึงก็ได้

   โจเซละสายตาจากคิมหันต์แล้วเลื่อนไปมองเซซิลิโอที่เดินออกมาสมทบเพราะไม่รู้จะนั่งอยู่ในห้องต่อไปทำไม

   “ไง รู้สึกยังไงบ้าง?” เขายิ้มให้มือขวาตัวเอง

   “รู้สึกว่าบอสควรรักษาเวลามากกว่านี้ครับ”

   คำตอบนี้...ก็ไม่ไกลเกินคาด...

   ชิงหลงจับบ่าแล้วรุนแผ่นหลังเซินหมิงเฟิ่งออกมาจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาหันไปมองราฟาเอลที่มีชนักติดหลังยืนหน้าซีดอยู่ที่มุมหนึ่งโดยอาติโนทำสีหน้าลำบากใจอยู่ห่าง ๆ แน่นอนว่าอาติโนคงไม่ได้คิดอยากให้เป็นเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาสามารถเดาใจราฟาเอลได้เก่งกว่าและกุมจุดอ่อนได้อยู่หมัดโดยที่ไม่ต้องเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้เลยสักก้าวจนกระทั่งถึงจุดไคลแม็กซ์ หลังจากนี้เขาก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่โจเซจัดการต่อไป เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินความผิดของคนในองค์กรประเทศนี้แต่ต้นแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นผู้เสียหายในสายตาคนอื่นก็ตาม

   “ดอนบราซินี เอาไว้ผมจะติดต่อมาใหม่ แต่ระหว่างนี้ ช่วยดูแลเขาไว้ก่อนก็แล้วกัน” โจเซกล่าวกับอาติโน ซึ่งความหมายของมันก็คือ ห้ามให้ทางหนีทีไล่แก่คนผิดอย่างเด็ดขาด แล้วเขาจะกลับมาตัดสินลงโทษเอง ซึ่งอาติโนทำได้เพียงรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก

   พวกเขากลับขึ้นรถหลังจากจบเรื่องแล้ว และสามารถแน่ใจได้ว่า เหตุการณ์นี้เสมือนการเชือดไก่ให้ลิงดู จะเป็นการส่งสัญญาณให้มาเฟียคนอื่น ๆ ไม่กล้าลองดีกับดอนมอเรสซาเรไปอีกสักระยะ รวมทั้งไม่กล้าเข้ามาแทรกแซงเรื่องของชิงหลงด้วย

   “ฉันขอแยกตรงนี้เลยก็แล้วกัน”

   “จะกลับไปก่อนหรือ?” โจเซเลิกคิ้วแล้วเลื่อนสายตาไปมองเซินหมิงเฟิ่งซึ่งยังมีท่าทางอกสั่นขวัญแขวนไม่หายก็พอเข้าใจ เจ้าตัวคงอยากจะกลับไปพักที่ห้อง อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย และไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายอะไรอีก ซึ่งการกระทำของชิงหลงในครั้งนี้ เรียกว่าให้ผลตามที่คาด เพราะการทำให้ตัวเองกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทำให้ถึงแม้จะเปิดกรงทิ้งไว้ นกก็จะไม่บินหนีไปไหน

   “ฉันมีธุระอื่นต้องจัดการ” ชิงหลงว่าแล้วจึงพาตัวเองเข้ารถไป

   “ตามสบายก็แล้วกัน ฉันจะรอการติดต่อจากนาย” คำพูดของโจเซเป็นสิ่งที่พวกเขารู้กันเพียงสองคน มันคือการทวงถึงคำสัญญาที่จะแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง กับการที่เขาจะยอมยื่นมือเข้าร่วมแผนการนี้ ที่ถึงแม้เขาจะไม่ได้เสียอะไร แต่ถ้าช่วยฟรี ๆ ก็คงจะไม่ได้

   หลังจากนั้น โจเซและชิงหลงจึงแยกกันกลับบ้าน ชิงหลงพาเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์กลับไปยังที่พักของตน
   เมื่อกลับมาถึง ชิงหลงก็สั่งให้คนพาคิมหันต์ไปพัก ส่วนเซินหมิงเฟิ่ง เขาเป็นคนพากลับห้องด้วยตัวเอง

   ตลอดทางที่กลับมา เซินหมิงเฟิ่งไม่เปิดปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังโกรธ หรือยังขวัญเสียไม่หายกันแน่ แต่จะเป็นอะไรก็ตาม ชิงหลงก็พากลับมาถึงห้องจนได้โดยที่เจ้าตัวไม่มีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมือนจะยอมร่วมมือโดยดีเสียอีก

   “คุณควรจะไปอาบน้ำก่อน หรือจะนอนก่อนก็ได้ ผมจะให้คนไปสั่งอาหารมาให้” ชิงหลงว่าพลางรุนหลังเซินหมิงเฟิ่งเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู ทันใดนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็เหมือนจะขยับตัวเป็นครั้งแรกเหมือนหุ่นยนต์ที่เพิ่งใส่ถ่าน ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาและโผเข้ากอดชิงหลงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว กระนั้นตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่ได้นึกอายหรือเสียศักดิ์ศรีในการกระทำของตนเองเลย เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ และกลัวว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาจะยังพบตัวเองในสถานที่นั้น ซึ่งจะมีผู้ชายร่างใหญ่เข้ามาทำร้ายเขาอีก แต่ยังโชคดีที่เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้ร้องไห้ออกมา เขากลืนเก็บเอาความกลัวส่วนนั้นไว้แล้วกำเสื้อชิงหลงแน่นไม่ยอมปล่อยมือ

   “คุณเซิน?” ชิงหลงแตะอีกฝ่ายเบา ๆ และรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเทา ไม่น่าแปลกเลยที่จะหวาดกลัวถึงขนาดนี้ เพราะผู้ชายคนนี้เคยมีชีวิตอย่างสงบสุขมาตลอด...

   การเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผู้เป็นพ่อปูไว้ให้ ก็เหมือนเดินลงไปในขุมนรกดี ๆ นี่เอง....

   “ผมขอโทษ...” เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ ขยับตัวถอยห่างออกมา “ผมไม่เป็นไรแล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้นถอดเสื้อให้ผมดูหน่อย”

   ตอนแรก เซินหมิงเฟิ่งก็อิดออดจะไม่ยอมถอด เขารู้สึกแย่ที่จะให้คนอื่นรู้ว่าเขาถูกทำร้ายโดยไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ แต่เมื่อเห็นชิงหลงยืนมองมานิ่ง ๆ เหมือนการบังคับด้วยสายตา เขาจึงยินยอมถอดเสื้อออก ซึ่งเป็นเสื้อที่เรียกได้ว่าเริ่มจะเน่าแล้วเนื่องจากสวมใส่ซ้ำไปซ้ำมาหลายวัน เมื่อสลัดออกจากร่างกายได้ ชิงหลงก็เขี่ยมันไปไกล ๆ ทันทีเพราะกลิ่นของมัน

   รอยฟกช้ำบนร่างกายของเซินหมิงเฟิ่งมีหลายรอยที่จางไปแล้ว และหลายรอยที่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ ความจริงการใช้กำลังไม่ใช่สิ่งที่ชิงหลงคิดไม่ถึง เขาจึงไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายจะมีรอยฟกช้ำเต็มตัวแบบนี้ แต่เพราะมันเกิดเฉพาะภายใต้ร่มผ้า แปลว่าคนกระทำต้องการหลบซ่อนมันจากสายตาคนอื่น

   คงจะเป็นฝีมือราฟาเอล ลับหลังอาติโนตามเคย

   “ผมจะให้หมอมาดูวันพรุ่งนี้ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”

   เซินหมิงเฟิ่งจะว่าอะไรได้ เขาได้แค่พยักหน้ารับเงียบ ๆ

   “ตอนนี้คุณไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน ผมจะสั่งไม่ให้ใครเข้ามารบกวน” ว่าแล้ว ชิงหลงก็หันหลังเดินกลับไป แต่เซินหมิงเฟิ่งก็เดินมาดึงแขนไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะถึงประตู

   ชายหนุ่มหันกลับมาหาคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว

   “อย่าทำโทษคิมหันต์เลยนะครับ ผมว่าแค่นี้เขาก็รู้สึกไม่ดีมากพอแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งพูดพลางก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน มันเป็นภาพที่ดูแปลกที่เขาจะอ้อนขอร้องชิงหลงอย่างนี้ แต่จากสิ่งที่ผ่านมา เขารู้ว่าคิมหันต์ไม่ได้ผิดอะไรเลย และเขาไม่อยากจะให้ฝ่ายนั้นต้องถูกทำโทษอีก หากว่าตามจริงแล้ว ถ้าเขาไม่มีคิมหันต์อยู่ด้วย เขาอาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็ได้

   “เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ผมต้องจัดการ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องกังวลหรอก” ชิงหลงดึงมือเซินหมิงเฟิ่งออกจากแขนตัวเองอย่างสุภาพ

   “คุณไม่เข้าใจ...”

   “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”

   “เพราะคุณไม่ได้อยู่ที่นั่น!” เซินหมิงเฟิ่งขึ้นเสียงอย่างไม่อาจหยุดตัวเองได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาเพิ่งจะหลุดพ้นจากมันมา “คุณไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย คุณจะมารู้อะไร คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมกับเขาต้องเจออะไรบ้าง! แล้วคุณจะยังทำโทษเขาได้อีกหรือครับ คุณมัน.....”

   “เลือดเย็น?” ชิงหลงเลิกคิ้ว ทำให้เซินหมิงเฟิ่งชะงักไป

   “ผมไม่ได้จะพูดแบบนั้น....”

   จริงอยู่ว่าเขาเคยคิดว่าชิงหลงเลือดเย็น แต่ว่าอีกฝ่ายก็ตามมาช่วยเขาไม่ใช่หรือ? ถึงจะมาช้าและเขาต้องเฝ้ารอคอยจนแทบจะสิ้นหวัง แต่ชิงหลงก็มาช่วยเขาจริง ๆ ไม่ได้ทอดทิ้งเขาไปอย่างที่คิดเลย ทำให้เขาไม่อาจปรามาสด้วยคำนั้นได้เต็มปากนัก

   “ถ้าอย่างนั้นจะพูดอะไรก็รอให้ตัวเองหายดีก่อนก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นผมจะรอฟัง แต่ตอนนี้ช่วยพักผ่อนก่อนเถอะ ผมเองก็มีงานค้างอยู่เหมือนกัน” ชิงหลงกล่าวจบก็เดินออกไป

   เซิ่นหมิงเฟิ่งได้แต่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องที่เงียบสงัด แม้ว่าในตอนนี้เขาจะถูกพามาขังไว้อีกครั้ง แค่การบ้ายจากห้องขังหนึ่งมายังอีกห้องขังหนึ่ง แต่ว่า...เขากลับรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่ เพราะถึงแม้ชิงหลงจะน่ากลัวอย่างไร ก็ไม่เคยใช้กำลังกับเขาเลย

--------------------------->

   จากช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางอิตาลีเหมือนจะมีอะไรคืบหน้าไปหลายส่วน แต่เมื่อย้อนกลับมาทางฮ่องกง ซากุระรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย

   ในอาทิตย์หนึ่ง เธอจะไปเยี่ยมเยียนหลางเมี่ยวอิน หรืออีกฝ่ายมาเยี่ยมเธอ สักครั้งหรือสองครั้ง ซึ่งเป็นช่วงในและนอกเวลางานแล้วแต่โอกาสจะอำนวย แน่นอนว่าตอนนี้ทั้งสองคนสนิทสนมกันดีเสียจนใคร ๆ ต่างพูดว่าตัวติดกันแทบจะเป็นฝาแฝดแทนที่หลางเมี่ยวเจินไปแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะทั้งสองพบกันในที่สาธารณะไม่ได้คิดปิดบังฐานะตัวเอง โชคดีก็แต่ตัวซากุระยังไม่ได้แต่งงานกับเซินหมิงเฟิ่งและเข้าเป็นสะใภ้เต็มตัว ไม่อย่างนั้นหนังสือพิมพ์คงได้เอาไปประโคมข่าวว่าสะใภ้บ้านตระกูลเซินอาจมีกุ๊กกิ๊กกับคุณหนูเล็กบ้านตระกูลหลางก็เป็นได้ ถึงแม้หัวข้อข่าวจะดูไร้สาระ แต่นักข่าวขอแค่มีอะไรเขียนก็เขียนได้ทั้งนั้น

   อย่างไรก็ตาม ซากุระต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับหลางเมี่ยวอินดำเนินมาไกลมากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะเธอและอีกฝ่ายต่างก็เกิดในฐานะที่ใกล้เคียงกัน เป็นผู้หญิงเหมือนกัน มีความกดดันในแบบคล้าย ๆ กัน และ...รู้สึกเหงาเหมือนกัน

   จนถึงตอนนี้ เธอจึงเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่พยายามจะใช้หลางเมี่ยวอินเป็นบันไดไปสู่สิ่งที่เธอต้องการ

   นี่เธอทำตัวเหมือนพวกนักธุรกิจขึ้นทุกวันแล้วสินะ....

   ซากุระถอนหายใจกับตัวเอง

   “เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?” มิเอะเห็นหญิงสาวทำท่าหนักใจก็รู้สึกเป็นห่วง จึงถามไถ่ตามประสา

   “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย” ซากุระยิ้มให้กับแม่บ้านสูงวัยเพื่อให้เธอสบายใจ “จะว่าไป เพราะงานแต่งยังกำหนดวันไม่ได้ คุณพ่อก็เลยยังกลับญี่ปุ่นไม่ได้เสียที แบบนี้คงจะต้องเลื่อนไปเรื่อย ๆ หรือเปล่าคะ?” โดยปกติแล้ว ฐานธุรกิจของมินาโมโตะอยู่ที่ญี่ปุ่น การมาเปิดธุรกิจในฮ่องกงนี้ก็เพื่อขยายฐานให้กว้างขึ้น ซึ่งหลังจากลงตัวเรียบร้อยแล้ว มินาโมโตะ โชโก พ่อของซากุระก็จะกลับไปที่ญี่ปุ่นเพื่อดูแลกิจการของตัวเอง และส่งคนมาประจำที่นี่แทน แต่เดิม เจ้าตัวมีกำหนดกลับเมื่อสิ้นสุดงานแต่งงานของลูกสาว ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าจูเชว่จะไม่บิดพลิ้ว แต่เมื่องานแต่งต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด กำหนดการกลับก็ต้องเลื่อนด้วย

   “ความจริงแล้ว....” มิเอะทำท่าลำบากใจ “คุณพ่อของคุณหนูบอกว่าสิ้นเดือนนี้จะกลับแล้วล่ะค่ะ”

   “สิ้นเดือน?” ซากุระเลิกคิ้ว “ฉันไม่ได้ยินข่าวเลย”

   “...ท่านจะไม่พาคุณหนูกลับไปด้วย” หญิงสูงวัยเผยสีหน้าคับอกคับใจออกมา “ถึงท่านจะเย็นชากับคุณหนูมากแค่ไหนก็ไม่น่าทำกันถึงขนาดนี้ ท่านจะกลับไปแล้วก็จะพามิเอะกับพวกการ์ดบางส่วนกลับไปด้วย ทิ้งคุณหนูไว้กับพวกที่เหลืออย่างนี้ได้ยังไงกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้น....”

   “ใจเย็นก่อนสิคะ” ซากุระรีบปรามไม่ให้อีกฝ่ายคร่ำครวญมากเกินไปเหมือนตีตนไปก่อนไข้ “ฉันเองก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเป็นครั้งแรก อีกอย่าง คุณพ่อก็ทิ้งการ์ดไว้จำนวนหนึ่งไม่ใช่หรือคะ คนรับใช้ด้วย แล้วอีกเดี๋ยวก็จะมีผู้จัดการสาขาลงมาจัดการเรื่องงานต่อ ฉันไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะ”

   “แต่ว่า....คุณหนูก็ต้องอยู่คนเดียว คุณเซินก็ใจร้ายจริง ๆ หายตัวไปในเวลาแบบนี้ ไม่มาดูดำดูดีสักนิด” มิเอะยังคงคร่ำครวญต่อไปโดยที่ซากุระไม่อาจห้ามได้ เธอได้แต่ยิ้มแกน    ๆ เพราะไม่สามารถบอกความจริงใด ๆ ให้กับมิเอะได้เลย

   “แต่คุณเซินจงก็ให้ฉันไปพึ่งพาได้ทุกเมื่อเหมือนสะใภ้แต่งแล้วนะคะ แล้วตอนนี้ฉันก็สนิทสนมกับหลางเมี่ยวอินดีด้วย ฉันอยู่ได้ค่ะ คุณมิเอะเลิกห่วงได้แล้วนะคะ”

   สิ่งที่ได้ยินไม่ได้ทำให้มิเอะคลายกังวลลงเลย กลับยิ่งกังวลกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะหลางเมี่ยวอินคนนั้นเธอก็ไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่รู้ว่าคุณหนูของเธอไปสนิทสนมด้วยตอนไหน แล้วเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ยังไม่รู้ เกิดคุณหนูของเธอโดนหลอกเข้าจะว่ายังไง

   “เลิกคิดมากแล้วไปทำขนมดีกว่าค่ะ ฉันเริ่มหิวแล้วสิ”

   ดูเหมือนสิ่งเดียวที่ทำให้มิเอะยอมละวางลงได้จะมีแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบโดยตรงของตัวเอง อย่างการดูแลไม่ให้คุณหนูของตนเองต้องทนหิวจนท้องกิ่ว ซากุระที่รู้เรื่องนี้ดีจึงยกมาเป็นข้ออ้าง ถึงแม้บ่ายนี้เธอจะมีนัดกับหลางเมี่ยวอินที่จะมารับถึงที่บ้านก็ตามที และเป็นอย่างที่คิด มิเอะทำท่าตกอกตกใจ ยกมือทาบอกแล้วรีบเดินเข้าครัวไปอย่างรวดเร็ว

   ซากุระถอนหายใจอย่างโล่งอก

   พ่อของเธอจะกลับสิ้นเดือนนี้หรือ?

   หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองปฏิทิน ซึ่งดำเนินมาถึงกลางเดือนแล้ว อีกไม่นานพ่อของเธอกับมิเอะก็จะกลับญี่ปุ่น และบ้านหลังนี้ก็จะเหลือเธอเพียงคนเดียวจริง ๆ ถึงแม้จะมีการืดและคนรับใช้อยู่ แต่พวกเขาก็จะเพียงแค่ทำงานในส่วนของตัวเองเท่านั้น...

   อยู่ ๆ ความรู้สึกหนาวเย็นก็เข้าเกาะกุมร่างกาย ความมั่นใจว่าจะอยู่ได้เพียงลำพังค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความกลัวอย่างช้า ๆ

   เธอไม่ใช่แค่ต้องอยู่คนเดียว...แต่ต้องจัดการเรื่องราวทุกอย่างเพียงลำพังด้วย...

   ตอนนี้ ถึงเธอจะรู้สึกกลัวที่จะต้องเดินไปตามแผนของจูเชว่ แต่เมื่อกลับมาบ้าน อย่างน้อยก็มีมิเอะที่เป็นห่วงเธออย่างจริงจัง และเป็นที่พักใจแม้ว่าจะไม่สามารถพูดอะไรได้ด้วยมากนัก แต่หลังจากนี้ล่ะเธอจะเหลือใคร เมื่อกลับมาบ้านที่ว่างเปล่า...เธอจะหลบซ่อนตัวเองจากความจริงได้ที่ไหนอีก...

   น่ากลัวเหลือเกิน...

   ในขณะที่คิดเช่นนั้น เสียงแตรรถจากประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น มิเอะผลุนผลันออกมาจากห้องครัวแล้ววิ่งไปที่ประตูรั้ว ซากุระหันมองนาฬิกา

   ถึงเวลานัดแล้วหรือ?

   หญิงสาวสูดหายใจลึก เพื่อกำจัดความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ให้ออกไปจากใบหน้าและท่าทางของตัวเอง

   เธอถอยกลับไม่ได้แล้ว...

   อย่างไร...เธอก็มีค่าเพียงแค่เป็นแผนการของใครบางคนมาตั้งแต่ต้น ถึงจะร้องอุทธรณ์อะไรออกไป ใครล่ะจะมารับฟัง จะมีก็แต่ความน่าสมเพชเท่านั้นเอง

------------------------------>

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
«ตอบ #127 เมื่อ04-06-2012 18:01:35 »

   มิเอะออกไปรับแขกที่มาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า ความซื่อสัตย์และรับผิดชอบต่อหน้าที่พาให้เธอไปถึงประตูอย่างรวดเร็วแม้จะถูกเตือนบ่อย ๆ ว่าที่นี่ไม่เหมือนที่ญี่ปุ่นและฐานะของซากุระก็มีความเป็นไปได้ที่จะนำภัยมาถึงตัว จึงควรจะให้การ์ดเป็นคนออกไปรับหากมีแขกมาโดยไม่ได้นัดหมาย กระนั้น หญิงสูงวัยก็ลืมคำเตือนอยู่เสมอจนการ์ดทั้งหลายพากันเหนื่อยที่จะเตือน

   เธอมองลอดซี่กรงออกไป เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ แต่เธอไม่คุ้นเลขทะเบียนเลย

   การ์ดคนหนึ่งเดินออกประตูเล็กไปเพื่อดูว่าผู้มาเยือนคือใคร เขาบอกให้คนขับลดกระจกลง และเจรจาสอบถามอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่งสัญญาณเข้ามาในบ้านให้เปิดประตูรั้วได้

   มิเอะเดินหลบทางให้กับรถยนต์ที่ไม่คุ้นตา เธอชะโงกไปกระซิบถามการ์ดคนข้าง ๆ ที่เป็นคนเดียวกับคนที่ออกไปถามไถ่เจ้าของรถ

   “นั่นใครกัน?”

   “หลางเมี่ยวอิน เพื่อนของคุณหนูครับ”

   หลางเมี่ยวอิน?

   มิเอะเกิดความกระตือรือร้นและสนใจขึ้นมาอย่างทันที เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนของคุณหนูแล้ว เธอควรจะทำความรู้จักไว้ เพื่อที่จะประมาณนิสัยได้ หากเป็นคนไม่ดีจะได้ตักเตือนคุณหนูได้ทันเวลา เมื่อคิดเช่นนั้น มิเอะจึงเดินตามรถเข้าไปจนถึงหน้าทางเข้าตัวบ้าน

   คนขับรถเดินออกมาแล้วหมุนตัวกลับไปเปิดประตูด้านหลัง

   หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากรถในลักษณะท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการ สีสันเสื้อผ้าสื่อถึงความอ่อนเยาว์สดใส และใบหน้าผู้สวมใส่ก็ยังอายุน้อย อาจจะเป็นวัยเดียวกันกับคุณหนูของเธอหรืออ่อนกว่าเล็กน้อย หรือว่าจะเป็นเพื่อนทางธุรกิจ?

   การที่นักธุรกิจหญิงจะมีเพื่อนเป็นเพศเดียวกันและอาชีพเดียวกันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนัก เนื่องจากในวงการนี้ ผู้ครองตลาดส่วนใหญ่เป็นเพศชาย และผู้หญิงถูกบังคับให้แสดงความสามารถให้เหนือชั้นกว่าจึงจะเทียบเทียมได้ ดังนั้น ผู้หญิงที่อยู่ในวงการธุรกิจชั้นนำมักจะมีความเป็นเฟมินิสต์สูง และมักจะคบหาเพื่อนเพศเดียวกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และติดต่องานที่สะดวกสบาย

   ถึงอย่างนั้นมิเอะก็ไม่วางใจ

   ผู้หญิงที่ฉลาดมากก็ยิ่งไม่ต่างกับงูพิษ หากเกิดคิดร้ายขึ้นมา คุณหนูของเธออาจจะแย่ได้ กระนั้นเธอจะสื่อสารกับอีกฝ่ายอย่างไรดีล่ะ? เพราะเธอพูดภาษาอื่นนอกจากญี่ปุ่นไม่ได้เลย

   ระหว่างที่มิเอะกำลังคิดทบไปทบมา ซากุระก็เดินออกมาต้อนรับเพื่อนสาวด้วยตนเอง

   “มาถึงไวกว่าที่คิดไว้นะคะคุณหลาง” เธอยิ้มแล้วหันไปมองมิเอะ “คุณมิเอะ ขอเครื่องดื่มเย็น ๆ หน่อยนะคะ แล้วก็ขนมหวานด้วย”

   แน่นอนว่ามิเอะไม่รู้ว่าซากุระพูดอะไรกับหลางเมี่ยวอิน เช่นเดียวกัน หลางเมี่ยวอินก็ไม่รู้ว่าซากุระพูดอะไรกับมิเอะ แต่ด้วยน้ำเสียงทำให้เธอพอจะอนุมานได้ว่าหญิงสาวสูงวัยตรงนั้นคงจะเป็นแม่บ้านที่ซากุระให้ความเคารพ เธอจึงหันไปหาแล้วยิ้มทักทายพลางผงกศีรษะเล็กน้อยพอเป็นพิธี

   มิเอะค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัดที่สนทนาไม่ได้ แต่ก็ได้แต่โทษความรู้น้อยของตนเองแล้วเดินไปทำตามคำสั่งด้วยการหาเครื่องดื่มและขนมมารับแขก

   ซากุระเดินนำหลางเมี่ยวอินเข้าไปในห้องรับแขก

   “ขนมฝีมือคุณมิเอะอร่อยมากเลยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากหรือเปล่าเพราะไม่ใช่ขนมเค้กแบบตะวันตกเสียด้วยสิ คุณมิเอะถนัดขนมญี่ปุ่นมากกว่า” เธอว่าพลางนั่งลงที่โซหาฝั่งตรงข้าม “ตอนแรกฉันว่าจะชวนคุณหลางออกไปหาอะไรทานข้างนอก แต่เปลี่ยนใจแบบนี้คงไม่ว่าอะไรนะคะ”

   “ไม่หรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้มีธุระอะไร แค่อยากจะมาชวนไปเที่ยวเท่านั้นเอง” หลางเมี่ยวจินหัวเราะ “ทานขนมญี่ปุ่นก็ดีเหมือนกันนะคะ เพราะฉันเองก็เคยแต่ได้ยินชื่อ ไม่เคยได้ลองทานเลย”

   “วันนี้งานยุ่งหรือเปล่าคะ?”

   “ไม่เลย วันนี้ลูกค้าค่อนข้างน้อยด้วยซ้ำไป จะว่าไปแล้วคงเพราะช่วงกลางเดือนเงินเดือนก็จะน้อยลงตามไลฟ์สไตล์ล่ะมั้งคะ” หลางเมี่ยวอินคิดไปก็นึกขำ ดูเหมือนชีวิตคนเมืองที่เป็นมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่จะเหมือน ๆ กันคือมีเงินตอนเงินเดือนออก แล้วพอถึงกลางเดือนก็เริ่มจะร่อยหรอเพราะเผลอใช้ตามใจตัวไปตอนต้นเดือนแล้ว ถึงแม้สินค้าของเธอจะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ก็เป็นที่ต้องการของคนหลายวัยหลายกลุ่มฐานะ เนื่องจากมีทั้งแบบเป็นทางการสำหรับออกงานและแบบแฟชั่นสำหรับวัยหนุ่มสาว ทำให้เห็นวิธีการใช้เงินของคนในแต่ละวัย แต่ละการงานอาชีพอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องทำแบบสอบถามเลยสักนิด

   ระหว่างการสนทนาสัพเพเหระ มิเอะก็นำน้ำผลไม้เย็นฉ่ำ และขนมหวานแบบญี่ปุ่นเข้ามาเสิร์ฟ เป็นขนมหวานที่ใช้แป้ง น้ำตาล และถั่วกวนเป็นหลักตามแบบอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ แต่จัดแต่งหน้าตาไว้อย่างสวยงามจนหลางเมี่ยวอินคาดเดารสชาติไปก่อนแล้ว

   “ขอบคุณค่ะคุณมิเอะ” ซากุระกล่าวขอบคุณแล้วหันมาทางแขกของตน “หวังว่าคงไม่รังเกียจของหวานแบบนี้นะคะ”

   “ขึ้นชื่อว่าของหวาน คงไม่มีผู้หญิงคนไหนเกลียดลงหรอกค่ะ”

   “ก็ไม่แน่นะคะ ถ้ากำลังไดเอท” ซากุระหัวเราะแล้วยื่นขนมให้ชิ้นหนึ่ง “ลองดูสิคะ”

   หลางเมี่ยวอินเห็นอีกฝ่ายคะยั้นคะยอแบบนั้นก็อดจะหัวเราะไม่ได้ แต่ก็รับขนมมากินแต่โดยดี เมื่อคำแรกเข้าปากเธอก็รู้สึกถึงแป้งเนื้อเนียนเหนียวนุ่มเหมือนจะละลายได้ รสหวานซ่านบนปลายลิ้น แม้จะไม่ได้หวานละมุนละไมแบบขนมของตะวันตก แต่ก็เป็นความหวานเฉพาะแบบที่บ่งบอกเชื้อชาติได้อย่างดี

   ถัดจากคำแรกที่เป็นเนื้อแป้ง คำที่สองก็ถึงไส้ที่ทำจากถั่วแดงกวนจนเหนียว รสหวานยิ่งมากกว่าเนื้อแป้งอย่างเห็นได้ชัด

   เธอเริ่มสงสัยแล้วสิว่า ทำไมผู้หญิงญี่ปุ่นถึงไม่อ้วนกันในเมื่อกินแต่ของอุดมน้ำตาลแบบนี้กันบ่อย ๆ

   “เป็นยังไงคะ?” ซากุระรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

   หลางเมี่ยวอินยกน้ำดื่มขึ้นจิบแล้วจึงค่อยตอบ

   “เนื้อแป้งละเอียดดีทีเดียวค่ะ รสหวานในถั่วแดงกวนก็ดูเข้ากันดี ฉันคงต้องขอสูตรไปลองทำบ้างแล้วสิ”

   “คุณมิเอะคงไม่ให้สูตรง่าย ๆ หรอกค่ะ” ซากุระกล่าวแล้วหันไปแปลข้อความของหลางเมี่วอินให้มิเอะฟัง หญิงสูงวัยหน้าแดงนิดหน่อยด้วยความเขินก่อนจะตอบอ้อมแอ้มกลับมา ซึ่งซากุระหัวเราะให้ก่อนจะนำความมาแปลให้หลางเมี่ยวอินเข้าใจอีกทอดหนึ่ง “คุณมิเอะบอกว่าคงบอกไม่ได้ เพราะเป็นสูตรที่ตกทอดมาในครอบครัวของเธอน่ะค่ะ แต่ว่าถ้าคุณหลางไปเป็นสะใภ้ที่บ้านคงจะได้สูตรมาง่าย ๆ เลย จะลองดูไหมคะ?” แน่นอนว่าประโยคหลังเธอเติมเอง เพราะมิเอะไม่กล้าพูดล้อเล่นแบบนี้แน่ ๆ

   “ในบ้านคุณมิเอะมีผู้ชายที่สูงเกิน 180 เซนติเมตรไหมล่ะคะ ฉันเป็นพวกหลงชอบผู้ชายตัวสูง ๆ น่ะค่ะ”

   ซากุระนำไปแปลให้มิเอะฟังอีกทอด

   “สูงถึง 175 ก็ดีแล้วล่ะค่ะในบ้านดิฉันน่ะ” เธอโบกไม้โบกมือ เพราะบ้านของเธอมีแต่สายญี่ปุ่นแท้ ๆ ไม่มีผสม อย่างมากก็คงผสมกับพวกคนจีนอพยพหรือเกาหลีที่ย้ายเข้ามาเมื่อในอดีต ทำให้ผู้ชายในบ้านเธอตัวเล็กเหมือนกับบรรพบุรุษไม่ผิดเพี้ยน

   หลางเมี่ยวอินหัวเราะออกมา

   “ไม่ต่างกับบ้านฉันเท่าไหร่เลยสินะคะ” เธอพูดได้แค่นั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หญิงสาวหันไปหากระเป๋าถือแล้วหยิบออกมาดู รอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปากสีสดครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะกดรับอย่างไม่รีบร้อนแต่เต็มไปด้วยท่าทางของคนที่กำลังดีใจเล็ก ๆ

   เธอใช้เวลาคุยโทรศัพท์แค่เพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นคำตอบรับสั้น ๆ ก่อนที่จะวางสายไป

   “สงสัยว่าเย็นนี้เราจะได้ไปทานอาหารข้างนอกแล้วล่ะค่ะ” หลางเมี่ยวอินบอกกับซากุระ

   “เอ๋ ทำไมหรือคะ?” ซากุระนึกสงสัย ถึงแม้เธอจะไม่ขัดข้องหากจะต้องออกไปทานอาหารค่ำนอกบ้านก็ตาม เพราเธอยังไม่ได้นึกเลยว่าเย็นนี้จะให้มิเอะทำอะไร และพ่อของเธอก็คงจะมีธุระกับลูกค้า หรือไม่ก็คู่เจรจาทางธุรกิจตามเคยเหมือนทุกที

   “เจินเจินโทรมา บอกว่าอยากให้ฉันไปดินเนอร์ด้วยกัน แบบว่า พวกเรานัดกันแบบนี้ได้แค่นาน ๆ ครั้งเพราะส่วนใหญ่เวลาว่างไม่ค่อยตรงกันนักน่ะค่ะ” ท่าทางของหลางเมี่ยวอินดูมีความสุขเมื่อพูดถึงพี่ชายซึ่งต่างก็มีภาระหน้าที่ของตนเอง “ฉันบอกเขาไปแล้วว่า ฉันอยากจะเซอร์ไพรซ์เขาด้วยการแนะนำเพื่อนสนิทของฉันให้รู้จัก คุณจะสะดวกไปกับฉันไหมคะ?”

   ซากุระยิ้มออกมาน้อย ๆ

   หลางเมี่ยวเจิน....

   “ยินดีค่ะ”

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #128 เมื่อ04-06-2012 18:34:59 »

อ่า เนื้อรเรื่องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ยังอยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้อีกเยอะๆจัง
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #129 เมื่อ04-06-2012 21:11:36 »

อ๊ากกกกกกกก :z3: :z3:ไม่น่ะอย่าไปเชื่อชินหลงง่ายๆซิเซินเซิน
หมอนั้นมันโหดร้ายที่สุดนะ o22 o22  รอมาต่อนะค่ะ :z2: :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
« ตอบ #129 เมื่อ: 04-06-2012 21:11:36 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BBSS

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #130 เมื่อ05-06-2012 01:15:14 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #131 เมื่อ05-06-2012 13:49:26 »

เรื่องราวเริ่มลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ  :z3:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #132 เมื่อ07-06-2012 22:29:33 »

เริ่มหวานรึยังหว่า

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #133 เมื่อ08-06-2012 23:09:35 »

ลุ้นมากๆ
เซินหมิงเฟิ่งกับชิงหลงเริ่มจะหวานมานิดๆ(แล้วมั้ง?) แต่ตาชิงหลงนี่เลือดเย็นจริง ไม่ทิ้ง แต่ตัวเองนั่นแหละเป็นคงส่งไป สงสารหมิงเฟิ่ง โดนขังตลอด  :เฮ้อ:
ให้กำลังใจซากุระ ประทับใจผู้หญิงคนนี้จริงๆนะ

รอตอนหน้าจ้า  o13

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #134 เมื่อ09-06-2012 12:20:30 »

โหยยยยยยยยยยยยยยยยยย ดีใจอ่ะะะะ

มาต่อแล้ว^__________________^

ขอบคุณมากครับ เซินน่ารักอ่ะ

รอตอนต่อไปคร๊าบบบ

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #135 เมื่อ09-06-2012 17:35:15 »

ได้อ่านต่อแล้ว

อยากกระตืบชิงหลงมากกกกกก

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
«ตอบ #136 เมื่อ09-06-2012 23:51:57 »

หลังจากรอมา 5  วันก็ยังไม่มา   :z3: :z3: :z3: ฆ่ากันดีกว่า :monkeysad: :monkeysad:
รีบๆมาต่อที่นะค่ะ รออยู่ :m15: :m15:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #137 เมื่อ10-06-2012 22:01:09 »

-16-


   ร้านอาหารหรูหราตั้งอยู่บนถนนสายหลักสายหนึ่งซึ่งซากุระไม่รู้จัก แต่ที่เธอได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตก็เพราะคำเชิญชวนของบุคคลหนึ่งซึ่งเธอต้องการจะรู้จักมากกว่าร้านอาหาร หญิงสาวมองดูรอบด้านด้วยการกลอกสายตาขณะที่รถยนต์ส่วนตัวของหลางเมี่ยวอินขยับเข้าไปจอดที่หน้าร้าน พนักงานของภัตตาคารเดินเข้ามาเปิดประตูด้านหลังให้ ซากุระจึงยิ้มขอบคุณแล้วเบี่ยงตัวลงจากรถ

   “ฉันไม่เคยรู้จักที่นี่มาก่อนเลย” เธอว่า

   “ก็เป็นหนึ่งในการลงทุนของตระกูลหลางนี่คะ” หลางเมี่ยวอินหัวเราะเบา ๆ “ฉันคิดว่าคุณคงคุ้นเคยกับสิ่งที่อยู่ในครอบครองของตระกูลเซินมากกว่า”

   เป็นดังที่หลางเมี่ยวอินว่า ซากุระรู้จักธุรกิจต่าง ๆ ในเครือตระกูลเซินมากกว่าของคนอื่น ๆ เพราะในระหว่างการติดต่อธุรกิจ พ่อของเธอเทียวไปเทียวมากับเซินจงอยู่เสมอ ทำให้เธอพลอยต้องเดินทางไปด้วยเพราะพ่อของเธอพยายามให้เธออยู่ในสายตาของเซินจงมากกว่าหญิงสาวคนอื่น

   จนถึงในตอนนี้ พ่อของเธอได้อย่างที่ต้องการแล้ว เธอได้กลายเป็นคู่หมั้นของเซินหมิงเฟิ่ง ทายาทตระกูลเซินคนต่อไป

   หากว่าเซินหมิงเฟิ่งไม่หายตัวไป จนถึงตอนนี้ เธอก็คงจะมีชีวิตในวังวนของเครือตระกูลเซินไปเรื่อย ๆ

   “คิดอะไรอยู่คะ เราเข้าไปกันเถอะ” หลางเมี่ยวอินเอ่ยเรียกหลังเห็นซากุระนิ่งไปครู่หนึ่ง หญิงสาวชาวญี่ปุ่นยิ้มรับเงียบ ๆ ก่อนจะเดินตามหลังเข้าไปข้างใน

   บริกรนำทางทั้งสองมาจนถึงส่วนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวสำหรับแขก VIP ที่นั่นมีคนกำลังรอพวกเขาอยู่แล้ว

   หลางเมี่ยวจินรอจนบริการเดินออกไป เธอจึงโผเข้าไปหาแล้วกอดชายหนุ่มอย่างรักใคร่สนิทสนม

   “เจินเจินกว่าจะหาเวลาว่างได้นะ” เธอว่าพลางหัวเราะแล้วหันมาหาซากุระ “ไม่รู้ว่าเจินเจินจำได้หรือเปล่า นี่คุณมินาโมโตะ คู่หมั้นของพี่หมิง”

   “จำได้สิ ตอนนั้นคุณดูโดดเด่นมากทีเดียว” หลางเมี่ยวเจินยิ้มให้ซากุระแล้วผายมือไปทางเก้าอี้ “เชิญนั่งก่อนครับ เราจะได้สนทนากัน”

   ซากุระยิ้มรับแล้วเดินไปนั่งตามคำเชิญ

   “ผมสั่งไวน์ชาโตพาลเมร์เอาไว้ หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจนะครับ” หลางเมี่ยวเจินเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวขณะหลางเมี่ยวอินมานั่งกับซากุระที่อีกฝั่ง

   “ไม่หรอกค่ะ”

   โดยปกติแล้วซากุระไม่นิยมดื่มของมึนเมาระหว่างการพบปะสนทนากับใครก็ตาม ดังนั้นแม้แต่ในวงสาเกเธอก็ยังทำแค่นั่งเฝ้าพ่อดื่มและคอยเตือนไม่ให้เมาเกินไป และแม้จะเป็นไวน์ เธอก็เคยจิบแค่นิด ๆ หน่อย ๆ และไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก จึงไม่เคยรู้เลยว่าตนเองดื่มไวน์ของยี่ห้อไหนจากเมืองใดมาบ้าง แต่ขึ้นชื่อว่าทายาทเสวียนอู่และมาภัตตาคารในเครือตระกูลตัวเองแบบนี้ เห็นทีจะไม่ใช่ไวน์ราคาถูกที่หาซื้อกันเกลื่อนตลาดเป็นแน่ กอปรกับเมื่อฟังจากชื่อแล้วเธอพอรู้ได้บ้างว่าเป็นไวน์จากฝรั่งเศส

   “ดีแล้วล่ะครับ เพราะบางทีผมเจอคนที่ดื่มแต่ไวน์ขาว ทำเอาลำบากเหมือนกันที่ต้องขอเปลี่ยนออร์เดอร์ทั้งที่พนักงานเปิดขวดไวน์มาแล้ว”

   “แบบนั้นก็ต้องจ่ายเป็นสองขวดน่ะสิคะ” ซากุระทำหน้าเสียดาย

   “บางทีก็ต้องยอมน่ะครับ เพื่อให้คู่เจรจาพึงพอใจ” หลางเมี่ยวเจินหัวเราะเบา ๆ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ยังไม่เจนจัดในทางธุรกิจ ที่จะต้องยอมให้กับคนที่ยื่นมือเข้ามาร่วมงานด้วยในบางครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจและยินยอมรับข้อเสนอ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่ได้เอาคืนเมื่อถึงโอกาส แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเล่าออกไปให้ซากุระรับรู้ด้วย และตัวเขาในตอนนี้ที่ได้กลายเป็นทายาทเต็มตัว ก็ไม่ค่อยประสบเหตุการณ์แบบนั้นอีก เพราะคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำให้เขาไม่พอใจเป็นแน่

   “ทำพูดไป เจินเจินน่ะพูดเก่ง ใคร ๆ ก็รักชอบทั้งนั้น” หลางเมี่ยวอินหยอกล้อพี่ชายฝาแฝดตนเอง “ฉันสิลำบากกว่า ไปไหนก็มีแต่คนมองว่าเป็นผู้หญิง”

   ซากุระรับฟังและมองหลางเมี่ยวอินด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ

   “ฉันกับคุณหลางประสบปัญหาไม่ค่อยต่างกันหรอกค่ะ”

   “ฟังเรียกคุณหลางแบบนี้แล้ว ทำให้ผมพลอยสะดุ้งไปด้วย” หลางเมี่ยวเจินว่า “พอเจอคนนามสกุลเดียวกันอยู่ด้วยกันแบบนี้คงงงแย่”

   “จะว่าไปก็งงอยู่ค่ะ สมัยฉันอยู่ญี่ปุ่นเคยเจอคนที่ทำงานคุณพ่อ มีคนนามสกุลเดียวกันอยู่ในแผนกเดียวกันถึงสามคน ตอนเรียกต้องระบุหมายเลขไว้ด้วยเลยล่ะค่ะ แบบว่า คุณซาซากิเบอร์ 1 อะไรแบบนี้ ก็เป็นที่ขบขันของพนักงานกัน” เล่าไปซากุระก็หัวเราะไป หลางเมี่ยวอินกับหลางเมี่ยวเจินก็บอกว่าเป็นเรื่องขำขันเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลก

   “หวังว่าคุณมินาโมโตะคงไม่เรียกพวกฉันว่าคุณหลางเบอร์ 1 คุณหลางเบอร์ 2 แบบนั้นหรอกนะคะ” หลางเมี่ยวอินบิดริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนมันดูแย่มากหากเธอจะหลายเป็นคุณหลางเบอร์ 2

   “หรือคุณหลางชาย คุณหลางหญิง” หลางเมี่ยวเจินเสริม

   “งั้นเป็นต้าหลางกับเสี่ยวหลางไหมล่ะคะ? เหมือนต้าเฉียวกับเสี่ยวเฉียว (ไต้เกี้ยวกับเสียวเกี้ยว)” ซากุระนึกถึงหนังสือพงศาวดารจีนที่เคยอ่านแล้วคิดถึงวิธีเรียกแบบนี้

   “มันก็ดูน่าสนใจหรอกนะครับ แต่ผมไม่เอาด้วยดีกว่า” หลางเมี่ยวอินรีบปฏิเสธตำแหน่งต้าหลางอย่างสุภาพ “คุณเองก็สนิทสนมกับเสี่ยวอินอยู่ น่าแปลกนะครับที่ยังไม่เรียกชื่อกันตรง ๆ”

   “ฉันเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทน่ะค่ะ เพราะฉันไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมของที่นี่สักเท่าไหร่”

   “ฉันเองก็ไม่รู้ธรรมเนียมของญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ว่า ถ้าคุณมินาโมโตะอยากจะเรียกชื่อฉันเฉย ๆ เรียกฉันว่าเมี่ยวอินก็ได้ค่ะ” หลางเมี่ยวอินให้ทางเลือก

   “ถ้าอย่างนั้นคุณหลาง....เอ่อ...เมี่ยวอิน เรียกฉันว่าซากุระก็แล้วกัน”

   ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก หลางเมี่ยวเจินได้แต่มองแล้วส่ายศีรษะ บางครั้งเขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าบทสนทนาของผู้หญิงยากที่ผู้ชายจะเข้าแทรกแซงหรือทำความเข้าใจได้ หลางเมี่ยวเจินระยะหลัง ๆ เขาไม่ได้พูดคุยกับน้องสาวฝาแฝดของตนเองบ่อยนัก ทำให้เขาไม่อาจทำความเข้าใจเพศหญิงได้มากเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าโชคดีกระมังที่หลางเมี่ยวอินได้เจอเพื่อนสาวถูกใจ

   ถึงแม้ว่าเพื่อนสาวคนนั้น...จะมีลับลมคมในที่น่าสงสัยก็ตาม

   สำหรับหลางเมี่ยวเจินแล้ว ซากุระกับหลางเมี่ยวอินไม่ใช่คนที่จะพบคบหากันโดยบังเอิญเป็นแน่ หากไม่ใช่ความตั้งใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

   กระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่จิบไวน์เงียบ ๆ ระหว่างที่หญิงสาวสองคนพูดคุยกันไปตามประสาราวกับว่าเขากลายเป็นอากาศธาตุในโลกของพวกเธอเสียแล้ว

   เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ หลางเมี่ยวอินและซากุระจึงกลับมาในโลกที่มีคนสามคนอีกครั้ง

   “พวกเราคุยกันเพลินจนเจินเจินเบื่อเสียแล้ว” เธอกระซิบกับซากุระเมื่อเห็นหลางเมี่ยวอินสะบัดผ้าปูลงบนตักอย่างเงียบ ๆ

   “ตายจริง ฉันขอโทษนะคะ” ทั้งที่หลางเมี่ยวอินแค่หยอกเอินพี่ชาย แต่สำหรับซากุระที่โตมากับสังคมเคร่งครัดกฎระเบียบอย่างคนญี่ปุ่นแล้ว การทำให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหารรู้สึกเบื่อหน่ายและเหมือนเป็นส่วนเกินนับเป็นการกระทำที่เสียมารยาทอย่างมาก หญิงสาวจึงมีสีหน้ารู้สึกผิดอย่างเต็มที่จนหลางเมี่ยวอินเผลอยกมือปิดปากไม่รู้ว่าตนเองเผลอพูดอะไรกระทบความรู้สึกอีกฝ่ายออกไป

   “เสี่ยวอินก็เป็นแบบนี้เสมอแหละครับ พอมีเพื่อนทีไรก็คุยจนลืมพี่ชายทุกที” หลางเมี่ยวเจินพูดพลางหัวเราะขำขันเพื่อคลายบรรยากาศ

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันไม่ควร....”

   “อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยค่ะ เรามาทานอาหารกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นชืดเสียหมด” หลางเมี่ยวอินร่วมมือกับพี่ชายเป็นอย่างดี เธอคีบอาหารใส่จานซากุระไปด้วยเพื่อให้อีกฝ่ายหันมาจนใจอาหารก่อนที่เธอจะใส่จนล้นจาน

   “ไม่ต้องมากขนาดนี้หรอกค่ะ” ซากุระเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ต้องตกใจกับสิ่งของในจานตนเอง

   “คุณซากุระตัวบอบบางขนาดนี้ ทานเข้าไปเยอะ ๆ เถอะค่ะ ฉันสิ ระยะนี้ทานแต่ของหวาน” หลางเมี่ยวอินถอนหายใจเฮือก

   “พูดไปแบบนั้น เสี่ยวอินเองก็ไม่เห็นจะอ้วนขึ้นสักเท่าไหร่” หลางเมี่ยวเจินนึกภาพน้องสาวฝาแฝดที่ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย เขาไม่เห็นจะรู้สึกว่ารูปร่างเธอเปลี่ยนไปนอกจากสูงขึ้น แต่ผู้หญิงก็มักจะมีปัญหากับความอ้วนกันอยู่แล้ว เขาที่ทำงานในธุรกิจเสื้อผ้าอาภรณ์มักจะเจออยู่บ่อย ๆ

   “เจินเจินไม่เข้าใจผู้หญิงหรอกน่า” หลางเมี่ยวอินสวนทันที

   ซากุระได้ฟังบทสนทนาสองพี่น้องก็ได้แต่หัวเราะ ตอนหลางเมี่ยวอินอยู่กับคนอื่นจะมีท่าทางเป็นหญิงสาวสังคมสูงที่ดูเข้าถึงยาก คำพูดคำจาเป็นงานเป็นการและมั่นอกมั่นใจ ทว่าพอถึงคราวพูดคุยกับพี่ชายฝาแฝดตัวเอง หลางเมี่ยวอินก็แสดงแง่ที่เป็นเด็กของตัวเองออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   การมารับประทานอาหารค่ำในครั้งนี้ ทำให้หญิงสาวได้รับความบันเทิงใจจนเกือบจะลืมจุดประสงค์ของตนเองไปเสียสนิท ได้รู้สึกอยู่ชั่วขณะหนึ่งว่าตนเองเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ

   และถ้าหากว่าได้เป็นแบบนั้นจริง ๆ ในสักวัน จะดีสักเพียงใด

--------------------->

   “วันนี้สนุกมาก ขอบคุณทั้งสองคนมากนะคะ” ซากุระกล่าวลาเมื่อออกมาถึงหน้าร้าน และเห็นว่ารถของที่บ้านมารอรับแล้ว

   “ไม่หรอกค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ ปกติฉันกับเจินเจินมากินกันสองคนก็เหมือนไม่ค่อยมีสีสันใหม่ ๆ สักเท่าไหร่ คุณซากุระทำให้พวกเราสนุกมากเลยค่ะ” หลางเมี่ยวอินพูดหลางยิ้มกว้างแล้วเดินไปส่งซากุระถึงรถ ทั้งสองลากันเล็กน้อยก่อนที่รถจากบ้านมินาโมโตะจะเคลื่อนตัวออกไป หญิงสาวจึงเดินกลับมาสมทบกับพี่ชายซึ่งจะนั่งรถของทางบ้านกลับด้วยกัน

   “ดูสนิทกันดีเชียว คบกันนานหรือยัง?” หลางเมี่ยวเจินเอ่ยถามขณะมองรถของตนเองเคลื่อนเข้ามาจอดรับเจ้านาย

   “ก็สักเดือนกว่า ๆ ได้แล้ว แต่ฉันว่าเจินเจินน่าจะระวังตัวมากกว่าฉันนะ” หลางเมี่ยวอินคาดเดาได้นิดหน่อยว่าพี่ชายฝาแฝดของตนตั้งใจจะพูดอะไร เธอจึงดักคอเอาไว้ก่อน

   “ฉันน่ะหรือ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

   “ก็ถ้าคุณมินาโมโตะคนพ่อรู้ว่าเจินเจินเข้ามาสนิทกับคุณซากุระด้วย แถมพี่หมิงก็ข่าวคราวหายเงียบเชียบแบบนี้ เขาอาจจะเบี่ยงเป้าหมายมาหาเจินเจินแทนก็ได้ ยังไงเจินเจินก็เป็นทายาทของเสวียนอู่ แล้วคุณตาก็อายุมากแล้ว น่าจะเดาออกนะว่าฉันหมายถึงอะไรน่ะ” หลางเมี่ยวอินว่าพลางเดินไปที่รถ ซึ่งคนรถเดินออกมาเปิดประตูรออยู่แล้ว ส่วนหลางเมี่ยวเจินอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง

   เขาฟังแล้วก็หัวเราะออกมาน้อย ๆ

   “พูดเป็นเล่นไป ฉันอายุน้อยกว่าเขาอีกนะ”

   “สมัยนี้เขาคิดถึงอายุกันเสียที่ไหน” ถึงจะว่าอย่างนั้น หลางเมี่ยวอินก็ยังหัวเราะตามพี่ชายไป

   “ถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก” หลางเมี่ยวเจินโบกมือไหว ๆ “เธอก็รู้นี่ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่น่ะ เสี่ยวอิน แล้วอีกอย่าง....”

   “เรื่องแบบนั้นไม่ต้องย้ำกับฉันบ่อย ๆ หรอกน่า” หญิงสาวมุ่ยหน้าเหมือนไม่พอใจมากนัก “ฉันรู้ดีอยู่แล้ว แล้วถึงฉันจะคัดค้านไปมันก็ไม่มีประโยชน์”

   หลางเมี่ยวเจินยิ้มเฉพาะริมฝีปากก่อนจะเบือนหน้าออกไปข้างนอก

   กระจกหน้าต่างสะท้อนเงาหญิงสาวผู้น้องซึ่งนั่งถอนหายใจเหมือนไม่พอใจกับบทสนทนาเมื่อครู่นี้นัก

   ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองไปยังหมู่ตึกสลับซับซ้อนในแสงประดิษฐ์ซึ่งส่องสว่างยิ่งกว่ายามกลางวัน

   ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏตอนนี้ และต่อไปในภายภาคหน้า

   ทุกอย่างของตระกูลหลางมันจะไม่ใช่ของของเขา...

   ....มันเป็นของของเธอ เสี่ยวอิน...

   นั่นคือทางเดียวที่ทั้งฉันและเธอจะได้สถานที่ที่เราจะสามารถยืนอยู่ในจุดที่เราต่างต้องการได้

   เธอต้องการยืนอยู่บนจุดที่เหนือกว่าบุรุษเพศ เหนือทุกผู้คนซึ่งเคยมองว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งและอาจไร้ความสามารถ เพื่อที่เธอจะได้พิสูจน์ตนเอง

   ส่วนของฉัน....

   หลางเมี่ยวเจินหลับตาลงแล้วหันกลับเข้ามาในรถ เขาเอนหลังพิงพนักก่อนจะปรือเปลือกตาขึ้นอีกครั้งและเห็นสายตาของหลางเมี่ยวอินที่กำลังมองมาทางตน

   “มีอะไรหรือ?”

   “วันนี้ไม่ได้ไปที่นั่นหรอกหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว “ฉันนึกว่าเจินเจินจะปลีกตัวมาแปบเดียวแล้วก็ไปอีกเหมือนทุกครั้งเสียอีก”

   “ไม่เอาหรอก ไปบ่อย ๆ เดี๋ยวจะน่าเบื่อ อีกอย่างเวลาว่างฉันมันชักจะหายากเต็มที อยากจะกลับไปนอนพักสบาย ๆ ที่บ้านแล้วตื่นมาเหมือนคนว่างงานบ้างน่ะ” ขณะที่พูดแบบนั้น หลางเมี่ยวเจินก็ทำสายตาซุกซนเป็นประกายวาววับ

   “คุณตาชอบบ่นว่าเจินเจินไม่ค่อยดูแลตัวเองอยู่บ่อย ๆ ด้วยสิ ระยะหลังนี่น่ะ”

   “กว่าฉันจะกลับบ้าน คุณตาก็เข้านอนแล้วทุกทีนี่นา สำหรับคุณตาที่อายุมากแล้ว ไลฟ์สไตล์ของฉันมันคงจะไม่ค่อยอนามัยเท่าไหร่”

   พวกเขาเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องสัพเพเหระ เหมือนทุกครั้งที่พอพูดจาไม่ถูกหูกัน พวกเขาจะพากันเงียบไป แล้วต่างคนจะเริ่มหาหัวข้อใหม่ที่จะพูดคุยกันอีกครั้งโดยลืม ๆ เรื่องที่พูดเมื่อครู่นั้นไปเสีย พี่น้องทั่ว ๆ ไปคงทะเลาะกันเป็นประจำกับเรื่องแบบนี้ แต่พวกเขาเมื่อโตขึ้นถึงวัยหนึ่งก็ไม่เคยอีกเลย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะว่า พวกเขาตระหนักว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันนั้นมีน้อยเพียงใด

   “เอาน่า ห่วงตัวเองดีกว่านะเสี่ยวอิน เดี๋ยวอ้วนหรือผอมเกินแล้วหนุ่ม ๆ จะไม่มองกัน”

   แต่บางครั้งเขาก็อดหยอกให้หลางเมี่ยวอินหน้าบูดไม่ได้

------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #138 เมื่อ10-06-2012 22:02:24 »

   ซากุระกลับมาถึงบ้านเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 3 ทุ่ม ถือว่าไม่ดึกมากนักแต่ถึงอย่างนั้นเมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปในบ้านและมองดูตู้รองเท้า ก็พบว่าพ่อของเธอยังคงไม่ได้กลับมา คืนนี้คงจะกลับดึกมากอีกตามเคยพร้อมกลิ่นเหล้ามีราคาและเอกสารในกระเป๋า สิ่งที่แตกต่างกันคงจะเป็น รอยยิ้มที่แสดงถึงการประสบความสำเร็จ หรือความบูดบึ้งที่บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่เสียเปรียบ

   หญิงสาวถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในบ้าน และเห็นมิเอะวิ่งออกมา

   “กลับมาแล้วหรือคะคุณหนู มิเอะเป็นห่วงแทบแย่” หญิงสาวสูงวัยยกมือทาบอกอย่างโล่งใจ “ทานอาหารมาอิ่มไหมคะ ถ้ายังไม่อิ่มมิเอะจะเตรียมอาหารให้”

   “อิ่มแทบแย่แล้วค่ะ” ซากุระหัวเราะ “คุณมิเอะเถอะ ทานอะไรหรือยังคะ”

   “มิเอะเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน แต่คุณมินาโมโตะยังไม่กลับมาเลยค่ะ”

   “เรื่องนั้นฉันทราบแล้วค่ะ” ซากุระตอบพลางนั่งลงบนโซฟา “ระยะนี้คุณพ่อคงต้องเร่งมือ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะกลับญี่ปุ่นแล้ว คุณพ่อยิ่งไม่ค่อยไว้ใจใครอยู่แล้วด้วย ถึงจะบอกว่าจะส่งคนอื่นมาดูแลสาขานี้แทนต่อไป แต่เอาเข้าจริงก็คงวางใจไม่ลงทั้ง 100% หรอกค่ะ”

   “เรื่องแบบนั้นมิเอะไม่เข้าใจหรอกค่ะ” มิเอะส่ายหัว

   “ช่างเถอะค่ะ ฉันก็พูดเรื่อยเปื่อย คงเพราะดื่มไวน์มานิดหน่อยด้วยเลยมึน ๆ แล้วสิ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันขอตัวขึ้นนอนเลยก็แล้วกันนะคะ คุณมิเอะเองก็ขึ้นนอนเถอะค่ะ คุณพ่อน่ะ กลับมาก็คงทานมาแล้วตามเคย” พูดจบ ซากุระก็ลุกขึ้นยืน มิเอะเห็นว่าคุณหนูของตนคงเหนื่อยแล้วจึงไม่คิดรั้งเอาไว้อีก เธอกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วเดินเข้าครัวไป คงจะไปจัดการจัดอะไรให้เรียบร้อยก่อนขึ้นนอน

   ซากุระเดินกลับขึ้นห้องตัวเอง ความรู้สึกเงียบเหงาเย็นเยียบจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง แต่เธอก็ทำเพียงพยายามจะไม่สนใจมันและหวังว่ามันจะผ่านพ้นไป

---------------------->

   “ท่านชิงหลงเรียกผมหรือครับ?” คิมหันต์เปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งชิงหลงจับจองไว้เพียงลำพังเพื่อทำงานและพักผ่อนส่วนตัว การ์ดหรือผู้ติดตามไม่สามารถเข้ามาในห้องนี้ได้หากชิงหลงไม่อนุญาต และทุกคนก็รู้กันดีว่าเจ้านายของตนโลกส่วนตัวสูงแค่ไหน จึงไม่มีใครอยากจะขัดใจ และน้อยครั้งที่ชิงหลงจะเรียกคนอื่นเข้ามาเพียงลำพัง ส่วนใหญ่จะเรียกเข้ามาเป็นกลุ่มเพื่อสั่งกระจายงาน แต่วันนี้ชิงหลงกลับเรียกคิมหันต์เข้ามาคนเดียว ซึ่งทุก ๆ คนต่างรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก่อนหน้านี้จึงไม่มีใครแปลกใจ

   คิมหันต์รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง บางทีเวลาที่เขาจะต้องถูกลงโทษคงมาถึงแล้ว ถึงแม้เซินหมิงเฟิ่งจะปลอดภัยดี แต่เขาก็บกพร่องในหน้าที่ที่ทำให้เซินหมิงเฟิ่งถูกจับตัวไปโดยที่ไม่ยอมต่อต้านให้ถึงที่สุด ซ้ำในห้องขังนั้น....เซินหมิงเฟิ่งยังถูกทำร้ายต่อหน้าโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้

   เขาเตรียมใจไว้แล้ว...

   เพราะความผิดครั้งนี้เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงอะไรได้...

   “เข้ามาสิ” เสียงเรียบเย็นชาของชิงหลงไม่ได้แฝงด้วยแววคุกคาม เป็นเพียงโทนเสียงปกติที่เจ้าตัวพูดกับคนอื่น ๆ ที่มีฐานะเท่าเทียมหรือต่ำกว่าตน

   “ขออนุญาตครับ” คิมหันต์เดินเข้าไปแล้วปิดประตูเบา ๆ ให้มีเสียงน้อยที่สุด ราวกับว่าหากมีเสียงดังมากกว่าเสียงลมหายใจดังขึ้นมาจะมีบางอย่างเกิดขึ้น

   “เซินหมิงเฟิ่งเป็นยังไงบ้าง? หายผวาหรือยัง?” ชิงหลงนั่งอยู่บนโซฟา ด้านหน้าเป็นโต๊ะกระจกที่มีแต่แก้วกาแฟวางอยู่อย่างเงียบงัน ไม่มีควันลอยอ้อยอิ่มขึ้นมาแปลว่ามันคงจะหมดถ้วยไปแล้ว หูจับสะท้องแสงแดดที่ส่องผ่านม่านเข้ามาเป็นประกายสว่าง แสงยามเช้าไม่มากพอจะให้ความสว่างได้ทั่วทั้งห้อง ทำให้ใบหน้าซีกหนึ่งของชายหนุ่มถูกทาบด้วยเงาสลัว

   “ครับ...ผมคิดว่าคุณเซินคงจะไม่ผวาแล้ว แต่ผมไม่คิดว่าคุณเซินจะลืมความรู้สึกที่เจอในตอนนั้นไปง่าย ๆ” คิมหันต์ตอบตามที่คิด เพาะความหวาดกลัวนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดมันออกไป

   ชิงหลงพยักหน้ารับ

   “แล้วคุณล่ะ?”

   “ครับ?” เมื่อได้ยินเสียงถามกลับมา คิมหันต์ก็เงยหน้าสงสัย

   “คุณเองก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน ตัวคุณเองปกติดีหรือยัง?” ชิงหลงถามซ้ำพลางเอนตัวพิงพนักโซฟา ยกข้าข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างแล้วประสานมือบนตัก ท่วงท่าเช่นนี้มักแสดงถึงความจริงจังเป็นงานเป็นการของเจ้าตัวไปพร้อม ๆ กับความเฉียบขาด

   “...ครับ ผมปกติดีแล้ว” ฐานะของคิมหันต์ไม่ได้เอื้อให้ตอบอะไรนอกเหนือจากนี้

   “ก็ดีแล้ว เห็นว่าโจเซสั่งให้คนของตัวเองจับตาดูราฟาเอล จอร์จิโออย่างใกล้ชิด พูดกลาย ๆ แล้วก็เหมือนการกักบริเวณลิดรอนอิสรภาพ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา ผมแค่อยากจะบอกคุณให้รู้ไว้ว่าโจเซไม่ได้ปล่อยปละเรื่องนี้ไปเฉย ๆ” ในสังคมของมาเฟียแล้ว สิ่งใดที่ถูกกระทำจะต้องกระทำตอบโต้ เพื่อประกาศว่าตนเองไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายเหนือกว่า การกระทำของโจเซแม้จะไม่ได้โหดร้ายเด็ดขาดอย่างที่ใคร ๆ คิดถึง แต่ก็เป็นมาตรการที่มีประโยชน์ยิ่งกว่า เพราะหากลงมือรุนแรงก็แค่ทำให้คน ๆ หนึ่งเดือดร้อน แต่วิธีนี้ทำให้แฟมิลีของดอนบราซินีหลบเร้นจากสายตาของโจเซไม่ได้อีกจนกว่าการจับตาดูราฟาเอลจะสิ้นสุดลง

   “อย่างนั้นหรือครับ ถ้าคุณเซินได้ยินคงจะเบาใจขึ้นมาก”

   เพราะอย่างน้อย ใจของเซินหมิงเฟิ่งก็จะรู้สึกว่าคนที่ทำร้ายตนเองไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คุณไปบอกข่าวดีนี้กับเขา แต่ก่อนหน้านั้นผมมีงานให้คุณทำ” ชิงหลงกล่าวแล้วเอื้อมมือไปข้างตัว ก่อนจะหยิบซองเล็ก ๆ ขึ้นมาซองหนึ่ง

   คิมหันต์พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชิงหลงจึงเรียกตนเองมาถามว่าสภาพปกติดีหรือยัง เพราะคนที่สภาพจิตใจไม่พร้อมทำงานจะไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจใด ๆ และหากเป็นเช่นนั้นนานเข้าก็จะถูกจัดเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ซึ่งมีโอกาสถูกกดระดับลงไปได้ทุกเมื่อ

   “จะให้ผมทำอะไรครับ?”

   เขาไม่อยากเป็นคนไร้ประโยชน์...

   ขอเพียงเจ้านายสั่งมา ชีวิตของเขาก็พร้อมพลีให้ภารกิจได้ทุกเมื่อ สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเขายังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

   “นี่เป็นของที่ผมต้องให้กับโจเซเป็นการตอบแทนกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นและยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คุณต้องส่งให้ถึงมือ” ชิงหลงวางซองลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปยังฝั่งตรงข้าม ซองนั้นมีสีขาว ขนาดเล็กเท่าซองโปสการ์ด ความหนาของมันไม่ได้บ่งบอกเลยว่าบรรจุอะไรอยู่ในนั้น เพราะแทบจะเหมือนไม่ได้บรรจุอะไรเลย จนคิมหันตต์นึกแปลกใจว่ามันคืออะไร แต่เขาไม่มีหน้าที่สงสัย จึงสงบปากสงบคำเช่นเดิม

   “ต้องไปในทันทีไหมครับ?”

   “ภายในก่อนเที่ยง ระหว่างนั้นคุณจะทำอะไรก็ได้ นอกจากนั้นผมคงไม่ต้องสั่งให้มากความใช่ไหม?” ชิงหลงเอ่ยถาม

   “ครับ ผมทราบแล้ว” คิมหันต์รับคำแล้วเดินเข้าไปหยิบซองขึ้นมาก่อนสอดไว้ในเสื้อสูท

   คำสั่งอื่น ๆ นอกจากนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว อย่างเช่น ห้ามเปิดดูเด็ดขาด ต้องส่งให้ถึงมือด้วยตนเอง หรือห้ามทำหาย ชิงหลงจึงไม่มีความจำเป็นต้องสำทับอะไรเขาอีก

   “เสร็จแล้วไม่ต้องกลับมารายงานผม เดี๋ยวโจเซจะโทรมาบอกเอง”

   “ครับ...” เขารับคำอีกครั้งก่อนชิงหลงจะโบกมือเป็นสัญญาณว่าหมดเรื่องแล้ว คิมหันต์จึงโค้งรับแล้วเดินถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ

   เขาเดินกลับไปที่ห้องของเซินหมิงเฟิ่งท่ามกลางสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น ๆ

   มันก็ควรแปลกอยู่ เพราะการถูกเรียกเข้าไปพบชิงหลงตามลำพังเป็นสิ่งที่เดาได้สองอย่างคือ เลวร้ายมาก และดีมาก ซึ่งคนอื่นคงสงสัยว่าเขาเจอแบบไหนมา

   คิมหันต์ยกมือขึ้นเคาะประตู

   “เข้ามาสิครับ”

   เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากข้างใน คิมหันต์ก็เดินเข้าไป

   “คุณไม่เห็นต้องเคาะประตูเลย คุณเองก็เป็นผู้อาศัยห้องนี้เหมือนกันนี่” เซินหมิงเฟิ่งว่าขณะกำลังสวมเสื้อแสดงว่าเจ้าตัวเพิ่งจะตื่น ถึงคิมหันต์จะรายงานชิงหลงไปว่าเซินหมิงเฟิ่งหายผวาแล้ว แต่เอาเข้าจริงเจ้าตัวก็ยังนอนไม่ค่อยหลับดีนัก จึงตื่นเช้ากว่าปกติ

   “ผมชินน่ะครับ รอยช้ำพวกนั้นจางลงเยอะแล้วนะครับ”

   พอได้ยินเรื่องรอยช้ำ สีหน้าของเซินหมิงเฟิ่งก็เหมือนจะปรากฏแววของความกลัวขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

   “ก็ทายาที่หมอให้มาน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งตอบแล้วรีบดึงเสื้อลงปกปิดรอยเหล่านั้นจากสายตาของคิมหันต์
   “เมื่อครู่ผมไปพบท่านชิงหลงมา”

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วทันที

   “ทำไมคุณชิงหลงถึงอยากพบคุณล่ะครับ?”

   “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับคุณเซิน ท่านชิงหลงแค่อยากรู้ว่าคุณเซินดีขึ้นแค่ไหนแล้ว ถึงจะเห็นเย็นชาอย่างนั้นแต่ก็เป็นห่วงคุณเซินนะครับ” คิมหันต์ไม่อยากให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกไม่ดีกับเจ้านายตนเองมากเกินไป “นอกจากนั้นก็ยังบอกว่า ดอนมอเรสซาเรจัดการราฟาเอลให้แล้ว แล้วก็มีงานให้ผมทำด้วย”

   “งาน? แต่คุณเพิ่งจะ...”

   “มันไม่เกี่ยวหรอกครับ คุณเซินเองก็น่าจะทราบสถานะของผมดี” คิมหันต์พูดดักทางไว้ก่อน ทำให้เซินหมิงเฟิ่งอับจนคำพูดจะตอบโต้

   จริงอย่างที่คิมหันต์ว่า ในสังคมมาเฟียนั้นแบ่งคนออกเป็นระดับชั้นอย่างค่อนข้างชัดเจนด้วยหน้าที่ ซึ่งหาไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองได้ ก็ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ที่สมควรจะถูกนำมาแก้ตัว ดังนั้นถึงแม้คิมหันต์จะเพิ่งผ่านเรื่อยร้าย ๆ มา เขาก็ยังต้องทำหน้าที่ของตนเองต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในความเป็นจริงเซินหมิงเฟื่งควรจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ทว่าเพราะเขาออกไปอยู่ในสังคมปกติมาตลอด เขาจึงไม่อาจจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้นัก และคิดว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

   “แล้วมันอันตรายหรือเปล่า?”

   “แค่ส่งของน่ะครับ ไม่มีอะไรมากมาย” คิมหันต์บอกเพียงแค่นั้น เพราะเนื้อหาอื่น ๆ เช่นเป็นอะไร หรือส่งถึงใคร เขาไม่มีสิทธิบอกให้คนอื่นได้รับรู้ การที่ชิงหลงเรียกเขาเข้าไปสั่งงานตามลำพังนั่นเป็นการกระทำที่บ่งบอกชัดเจนมากพออยู่แล้ว

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ

   “ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไปก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวอาหารจะมาส่งแล้ว” เขาว่าแล้วหันมองนาฬิกา ซึ่งอาหารจะมาส่งตรงเวลาทุกวันเสมอ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเลือกเมนูไว้ให้เขาก็ตาม

   คิมหันต์ได้ยินดังนั้นจึงตกลงใจจะกินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปส่งของ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีงานอื่นให้ทำต่อเนื่องกันอีกหรือเปล่า อย่างไรชิงหลงก็ให้เวลาเขาถึงก่อนเที่ยง แปลว่าไม่ได้เร่งด่วนมากมาย เพราหากเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ชิงหลงมักจะกำชับด้วยคำว่า ‘เดี๋ยวนี้’

   เมื่อกินอาหารเสร็จก็เป็นเวลา 10 โมงเข้าไปแล้ว คิมหันต์จึงรีบลุกขึ้นแล้วผลุนผลันจะออกไป

   “ต้องไปแล้วหรือ?” เซินหมิงเฟิ่งเห็นความรีบร้อนนั้นก็อดถามไม่ได้ อีกข้อหนึ่งคือ ตลอดช่วงของความยากลำบาก คิมหันต์อยู่กับเขาเสมอ พอถึงเวลาที่คิมหันต์ต้องทำงาน เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไปนานแค่ไหน ตอนนั้นเขาคงจะว้าเหว่มากทีเดียว

   “เดี๋ยวจะไม่ทันน่ะครับ แล้วเจอกันนะครับคุณเซิน” คิมหันต์พูดเร็ว ๆ แล้วเปิดประตูออกไป

   “แล้วเจอกัน” เขาได้เพียงตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจ หวังแต่ว่าคิมหันต์จะรีบ ๆ กลับมาเขาจะได้ไม่รู้สึกเหงามากเกินไปนัก

   ตอนนี้เขาติดนิสัยแบบนี้ไปแล้วหรือ? ทั้งที่ก่อนนี้เขาโกรธคิมหันต์จนไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำไป รวมถึงชิงหลงด้วย...ที่ตอนนี้เขาคาดหวังจะได้คุยกับอีกฝ่ายมากขึ้น...

TBC

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #139 เมื่อ10-06-2012 22:42:25 »

แอบสงสารนายเอก 55555 :z2: :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
« ตอบ #139 เมื่อ: 10-06-2012 22:42:25 »





ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #140 เมื่อ10-06-2012 22:57:04 »

เฮ้ออ
ได้แค่นี้ 55 ถอนหายใจและรอตอนต่อไป อิอิ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #141 เมื่อ11-06-2012 00:25:09 »

อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ  :serius2:
ข่าวลือเรื่องของบ้านเสวียนอู่ จะมาเฉลยในเรื่องนี้นี่เอง ตื่นเต้นๆ :-[
ชิงหลงทำตัวน่ารักๆหน่อยนะจ๊ะ ไม่งั้นจะเชียร์คิมหันต์แล้ว 555

รอตอนหน้าค่า ให้กำลังใจซากุระและคนเขียน ^^

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #142 เมื่อ11-06-2012 03:24:29 »

มาแล้ว มาแล้ว  อ๊ากกกกกกกกกกกก o18 o18 o18

รีบมาต่อนะ ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย :serius2: :serius2:

ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างชินหลง กะ โจเซ    :o8: :o8:

คิมหันขอให้นายกลับมาโดยสวัสดิ์ภาพนะ  :call: :call: :call:

ออฟไลน์ BBSS

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #143 เมื่อ11-06-2012 07:13:43 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #144 เมื่อ11-06-2012 11:06:21 »

ชอบช่วงเวลาระหว่าง เซิน-ชิงหลง อยู่ด้วยกันมากอ่ะ

อยากรู้จะรักกันได้ริป่าว...?  หรือจะเป็นพวกเดียวกันไปเลย

แต่ที่แน่ ๆ อยากให้มีเรื่องรัก ๆ เข้ามาเกี่ยวด้วยอะนะ 555+


รอตอนต่อไปคร๊าบบบ

papark

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #145 เมื่อ13-06-2012 01:45:18 »

อ๊า..สงสัยจังเลย!

ทำไมทำไมทำไมกันน๊า ~

สนุกดีครับ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #146 เมื่อ13-06-2012 08:54:36 »

รอตอนต่อไปจ้า :z2:

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
«ตอบ #147 เมื่อ13-06-2012 17:37:55 »

คิมหันต์จะถูกส่งตัวไปอยู่กับดจเซรึเปล่า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #148 เมื่อ13-06-2012 22:19:22 »

-17-


   กิจวัตรในยามเช้าของชิงหลงเป็นกิจวัตรที่ค่อนข้างเรียบง่ายและเงียบสงบ เขาตื่นขึ้นมาเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 6 โมง ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาจำต้องบังคับตัวเองให้เป็นไปอย่างนั้นด้วยในปัจจุบัน เพราะโซนเวลาที่ต่างกันส่งผลกับนาฬิการ่างกายของเขามากพอดู ในตอนแรกจึงทำให้เขารู้สึกเพลีย กระนั้นเมื่อผ่านไปไม่นานเขาก็ปรับตัวได้ คงเพราะความเคยชินจากการเดินทางข้ามโซนเวลาบ่อยครั้ง

   เมื่อตื่นแล้ว สิ่งต่อมาที่ชิงหลงทำคือการอาบน้ำและแต่งตัวใหม่ทันที

   เขาติดนิสัยเจ้าระเบียบมาจากพ่อ ดังนั้นจึงไม่เคยยอมปล่อยตัวเองในสภาพไม่น่าดูให้ใครเห็นแม้แต่คนใกล้ชิดหรือคนดูแลห้อง

   จากนั้นอาหารเช้าจึงมาส่ง เป็นอาหารเช้าแบบง่าย ๆ สไตล์ตะวันตก พร้อมกาแฟหอมกรุ่นที่เขาชงให้ตัวเอง เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขาดอุปกรณ์ฆ่าเวลายามเช้า สำหรับบ้านปกติทั่วไป คงคุ้นเคยกับภาพของชายผู้เป็นเสาหลักของบ้านนั่งไขว่ห้างที่โต๊ะอาหาร ดื่มกาแฟ มีจานไข่และเบคอนวางตรงหน้า ในมือถือหนังสือพิมพ์กรอบเช้าอยู่ฉบับหนึ่ง สำหรับชิงหลง เขาเองก็มีภาพพจน์แบบนั้นในยามเข้าเช่นกัน แต่สิ่งที่อยู่ในมือของเขาไม่ใช่หนังสือพิมพ์ ทว่าเป็นงานของเขาเอง

   ชิงหลงไม่ชอบอ่านอะไรในคอมพิวเตอร์ ถึงแม้นี่จะเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีแล้วเขาก็ยังนิยมที่จะอ่านทุก ๆ อย่างผ่านกระดาษมากกว่า

   เช้าวันนี้ก็เหมือนเช้าวันอื่น ๆ

   ชิงหลงทำกิจวัตรปกติของตนเองอย่างสงบไม่มีใครรบกวน จนกระทั่งเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง เรียวคิ้วของชายหนุ่มมุ่นเข้าหากันทันที

   “มีอะไรกัน?” เขาเดินออกไปถามคนที่มีหน้าที่พิทักษ์ประตูเพื่อความสงบของเขา แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเจอตัวต้นเหตุที่ทำลายความสงบยามเช้า

   เซินหมิงเฟิ่ง

   ไม่ใช่อะไรที่น่าแปลกใจเท่าไหร่....

   “ขอโทษด้วยครับท่านชิงหลง คุณเซินยืนยันจะพบกับท่านให้ได้” การ์ดผู้มีหน้าที่ดูแลประตูกล่าวพร้อมค้อมหัวปะหลก ๆ อย่างสำนึกผิด

   “นี่เพิ่งจะ 7 โมง คุณมีอะไรเร่งด่วนถึงขนาดนั้น?” สายตาที่ชิงหลงมองไปยังเซินหมิงเฟิ่งแฝงด้วยแววตำหนิเล็ก ๆ ถึงคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ กระนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ไมได้สนใจแววตาและน้ำเสียงเชิงติเตียน เขามีเรื่องอื่นที่กำลังรบกวนจิตใจมากกว่า

   “เขาไม่กลับมา”

   ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “คุณหมายถึงใคร?” เขาเอ่ยถามทั้งที่ในใจก็คาดเดาเอาไว้แล้ว

   “อย่ามาทำไก๋ไปหน่อยเลย คุณเองก็รู้ดี” เซินหมิงเฟิ่งพูดเสียงกึ่งตะคอก “คุณส่งคิมหันต์ไปทำงานอะไร นี่ก็ข้ามวันแล้วเขายังไม่กลับมา คุณไม่คิดจะเป็นห่วงบ้างหรือ?”

   ชิงหลงมองดูรอบตัว เห็นว่าการ์ดบางคนทำหน้าแปลกใจบ้าง สงสัยบ้าง ก็นึกรำคาญใจที่จะคุยกันตรงนี้ เขาไม่ชอบการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้ฟังมากเกินไป จึงเหลือบสายตากลับมามองคนต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตยามเช้าของเขาหมดความสงบไปโดยปริยายก่อนเดินถอยไปยังประตู

   “เข้ามาคุยกันข้างใน”

   ได้ยินดังนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็มุ่นคิ้วสงสัยว่าทำไมจึงต้องไปคุยเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อนึกอีกที งานของคิมหันต์อาจจะเป็นความลับที่ให้ใครล่วงรู้ไม่ได้ เขาอาจจะทำไม่เหมาะสมนักที่ตะโกนโหวกเหวกหน้าห้องจนคนอื่น ๆ นึกสนใจประเด็นนี้ขึ้นมา แต่หากไม่ทำอย่างนี้ มีหรือชิงหลงจะยอมออกมาพบเขา และที่ชิงหลงต้องการคุยเป็นการส่วนตัวก็คงจะเพื่อหลบความอยากรู้อยากเห็นของคนรอบข้างที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา คิดได้ดังนั้น เซินหมิงเฟิ่งจึงเดินตามเข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย

   ชิงหลงปิดประตู ทำให้ความสงบหวนกลับมาอีกครั้ง

   อาหารเช้ายังคงวางอยู่ที่เดิม มันเย็นชืดเพราะอากาศภายในห้อง รวมถึงถ้วยกาแฟที่เหลือควันลอยอ้อยอิ่งเพียงเล็กน้อย

   “นั่งลงสิ”

   เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาตามคำสั่งโดยไม่อิดออด เพราะน้ำเสียงที่ชิงหลงใช้ไม่ได้กระโชกโฮกฮากหรือให้ความรู้สึกไม่ดีเกินไปนักในตอนนี้

   “งานที่คุณให้คุณคิมหันต์ไปทำ เป็นความลับหรือครับ?”

   “ไม่เชิง เพียงแค่คนอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้” ชิงหลงนั่งลงจิบกาแฟของตนต่อ “แต่ผมจะบอกคุณตามตรงก็แล้วกัน ว่าเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว”

   ไม่กลับมาอีกแล้ว?

   สมองของเซินหมิงเฟิ่งคล้ายไม่สามารถแปลคำศัพท์ได้ชั่วขณะ เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ชิงหลงพูดเลยว่าหมายความว่าอย่างไร

   “ไม่กลับมาอีกแล้ว?” เขาถามย้ำ

   “ใช่ ผมหมายความตามนั้น”

   เซินหมิงเฟิ่งนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ดูเหมือนว่าคำเมื่อครู่เพิ่งจะเดินทางมาถึงส่วนองการประมวลผล

   ไม่กลับมาอีกแล้ว....

   หรือว่า....

   “อย่าบอกนะว่าคุณ......!” เขาแทบจะกระโดดผลุงจากเก้าอี้แล้ววิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อคนอีกฝั่งหากไม่ติดว่ามีโต๊ะกระจกขวางอยู่ระหว่างเขาทั้งสอง ทำให้เซินหมิงเฟิ่งทำได้เพียงกระแทกมือลงบนกระจกโดยไม่ได้เกรงกลัวว่ามันอาจจะแตกและบาดมือเข้า

   “ผมไม่ได้ฆ่าเขา ไม่ได้สั่งให้ใครทำอะไรด้วย เขายังปลอดภัย ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณอยากได้ยิน” เสียงของชิงหลงที่ตอบกลับมายังคงเนิบช้าอย่างเย็นใจราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นปกติธรรมดาไม่ต่างจากที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าและลับหายไปในตอนเย็น

   เซินหมิงเฟิ่งโล่งใจไปหนึ่งเปราะ...

   “ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงจะไม่ได้กลับมา? คุณส่งเขาไปไหน? ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าลงโทษเขาแบบนี้น่ะ!” ท้ายประโยคเซินหมิงเฟิ่งเผลอขึ้นเสียงอย่างไม่ทันได้ยั้งคิด

   ชิงหลงตวัดสายตาเฉียบคมมองกลับทันที

   “คุณมีหน้าที่ตัดสินคนของผมตั้งแต่เมื่อไหร่”

   คำพูดนั้นทำให้เซินหมิงเฟิ่งชะงักไป เขาขบริมฝีปากอย่างอดกลั้น

   “คิมหันต์เป็นคนของคุณ แต่คุณไม่ได้เห็นค่าเขาเลย”

   “คุณตัดสินผมง่ายเกินไป” ชิงหลงไม่ได้แสดงท่าทางอนาทรร้อนใจกับคำปรามาสนั้นสักนิด เขาจิบกาแฟแล้วหยิบซองเอกสารบนโต๊ะไปวางที่อื่น เผื่อว่าเซินหมิงเฟิ่งจะเกิดมือซนอยากมาเปิดงานของเขาดูเข้า ถึงตอนนั้นแหละเรื่องใหญ่ของจริง เขาถึงไม่ชอบให้ใครเข้ามาในห้องส่วนตัว

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อธิบายมาสิ คุณเอาคิมหันต์ไปไว้ที่ไหน ทำไปเพื่ออะไร” สายตาของเซินหมิงเฟิ่งมองตรงไปยังชิงหลงอย่างไม่ลดละ และพยายามจะหาคำตอบจากการกระทำของอีกฝ่าย

   “คุณจะรู้ไปทำไม”

   วันนี้เองที่เซินหมิงเฟิ่งได้รู้ว่า ภายใต้ใบหน้าเคร่งครัดเย็นชาของอีกฝ่าย ได้ซุกซ่อนนิสัยยียวนกวนประสาทอยู่ด้วยเหมือนกัน

   “ถ้าคุณไม่บอก ผมจะไม่อยู่สงบเลย” แต่เขาเองก็จับจุดอ่อนได้เหมือนกัน ชิงหลงเป็นคนรักความสงบและมีโลกส่วนตัวสูงอย่างยิ่ง ความจริงแล้วทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาเอาจากพฤติกรรมที่น้อยครั้งจะออกมาจากห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย รวมทั้งนิสัยที่เหมือนจะจบบทสนทนาได้ทุกเมื่อ และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคาดเดาได้ถูกต้อง เพราะชิงหลงเหมือนจะทำหน้าเหนื่อยใจออกมาแวบหนึ่ง

   “ถ้าผมบอก คุณสัญญาได้ไหมว่าคุณจะอยู่ในโอวาทของผม”

   .....

   อะไรนะ....

   เซินหมิงเฟิ่งเกือบจะอ้าปากค้างกับข้อต่อรอง หากไม่ใช่เขารู้ตัวเสียก่อนว่าไม่ควรทำท่าทางแบบนั้นให้อีกฝ่ายเห็น เพราะอาจจะเป็นการแสดงความเสียเปรียบออกไป กระนั้นมันก็สายเกินไป เพราะชิงหลงสามารถมองเห็นความรู้สึกที่แสดงออกมาเพียงเสี้ยววินาทีได้อย่างรวดเร็ว

   “พูดตามตรง ผมค่อนข้างจะรำคาญใจถ้าคุณก่อความวุ่นวาย และถ้าคุณโดนจับตัวไปอีกผมก็จะเดือดร้อนอีก” คำพูดของชิงหลงคล้ายจะตำหนิเซินหมิงเฟิ่งถึงเรื่องเก่าอีกครั้ง ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าโต้แย้ง

   “มันออกจะแปลกไปหน่อยหรือเปล่าครับ ผมกับคุณอายุไม่ได้ต่างกันขนาดจะใช้คำว่าโอวาทได้หรอกนะ” เมื่อเถียงเรื่องเดิมไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนประเด็นเสีย

   “แต่ประสบการณ์ผมมากกว่าคุณอย่างเทียบไม่ติด”

   ที่ชิงหลงพูดมาทำให้เซินหมิงเฟิ่งถึงกับสะอึก เขาเองก็อายุ 20 เข้าไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังกระทำเหมือนเขาเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ความจริงในสายตาของเซินหมิงเฟิ่งแล้ว ชิงหลงต่างหากที่ความคิดความอ่านเกินวัยไปมาก ปกติคนอายุ 20 ต้น ๆ แบบพวกเขายังถือว่าอยู่ในวัยเรียนรู้ วัยค้นหาเส้นทางชีวิตด้วยซ้ำไป แต่พอมองชิงหลงแล้ว เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ได้ยังไง

   ส่วนตัวเขาเอง....เขาไม่เคยคิดสนใจเลยว่าอาชีพของพ่อเป็นยังไงบ้าง เขารู้แต่เพียงว่าเขาจะไม่มีความสุขกับมันอย่างแน่นอน แต่เขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงพยายามจะเป็นคนปกติเท่าที่ทำได้

   และเมื่อกลับมาฮ่องกง ชีวิตปกติของเขาก็พังทลายลงด้วยการประกาศหมั้นแบบสายฟ้าแลบ ก่อนโดนคนลักพาตัวมา และโดนลักพาตัวอีกทอด

   ดูเหมือนประสบการณ์ของเขาเองก็เข้าใกล้ความเป็นมาเฟียเข้าไปทุกวันแล้ว

   แต่นั่นหมายความว่าตัวชิงหลงที่มีประสบการณ์มาก จะเจอมาเยอะกว่าเขาไม่รู้กี่เท่าหรือเปล่า?

   ทั้งการโดนหมายหัวจากศัตรู วิ่งหลบกระสุนสังหาร หรือกระทั่งการที่มีคนกำหนดอนาคตให้อย่างเรียบร้อยโดยที่ตนเองไม่มีสิทธิเลือก

   “ถ้าต้องมีประสบการณ์แบบคุณ ผมก็ไม่อยากจะมีหรอก” เซินหมิงเฟิ่งสรุปออกมาแบบนั้นหลังจากคิดเปรียบเทียบประสบการณ์ของตนเอง “แต่เอาเถอะ เถียงเรื่องนี้ไปก็ไม่จบ ผมจะตกลงยอมอยู่ในขอบเขตสายตาของคุณก็แล้วกัน”

   ชิงหลงเลิกคิ้วน้อย ๆ คล้ายแปลกใจที่เซินหมิงเฟิ่งตัดบทสนทนาเช่นนี้เป็นแล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต่อความยาวสาวความยืดเพื่อให้ตัวเองชนะไปเรื่อย ๆ เสียอีก

   ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งที่โซฟาแล้ววางแก้วกาแฟที่หมดแล้วลงบนโต๊ะ

   “คิมหันต์อยู่กับโจเซ”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว

   “หมายความว่ายังไงครับ?”

   “อธิบายให้คุณฟังไปอาจจะเสียเวลาเปล่าก็ได้” ชิงหลงว่าอย่างนั้นแต่ก็พูดต่อ “ว่าง่าย ๆ คือ เขาเป็นสิ่งที่ใช้ตอบแทนการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือของโจเซ”

   “แปลว่าคุณยกคิมหันต์ให้คุณโจเซไปแล้ว?” เซินหมิงเฟิ่งถามย้ำแบบสั้น ๆ เพราะเขารู้สึกว่าบางครั้งชิงหลงก็พูดอะไรยืดยาวเกินไป และเมื่อชิงหลงพยักหน้ารับ เขาก็ถึงกับของขึ้น “อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ! คิมหันต์ไม่ใช่สิ่งของที่คุณจะยกให้ใครก็ได้ คุณมีสิทธิอะไรที่จะ......” แต่เขาก็พูดได้แค่นั้น เพราะเมื่อพูดถึงสิทธิในตัวคิมหันต์ ชิงหลงย่อมมีสิทธิอย่างเต็มที่ในฐานะเจ้าของตระกูลที่ช่วยเหลือชุบเลี้ยงมา รวมทั้งยังเป็นเจ้านายเหนือชีวิตอีกด้วย ตัวเขาต่างหากที่ไม่มีสิทธิในตัวคิมหันต์มาแต่ต้นแต่คิดว่าตัวเองมี...

   “แน่นอนว่าผมมีสิทธิเต็มที่ คุณก็รู้แก่ใจ” ท่วงท่าของชิงหลงตอนนี้บ่งบอกถึงอารมณ์สบาย ๆ ไม่เคร่งเครียดนัก แต่ถ้อยคำก็ยังทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกโมโหได้อยู่ดี

   “ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ แล้วเขาก็ซื่อสัตย์กับคุณมาตลอด”

   “เพราะอย่างนั้นผมถึงรู้ว่าผมไว้ใจเขาได้”

   ยิ่งพูด เซินหมิงเฟิ่งก็ยิ่งสับสน

   ยกให้คนอื่น แล้วบอกว่าไว้ใจ มันหมายความว่ายังไงกัน? เพราะโดยปกติ การยกคนของตัวเองให้คนอื่น หากไม่ใช่ว่าเป็นคนที่เกรงจะทรยศตนเองแล้ว ก็จะส่งไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

   เพื่อผลประโยชน์หรือ?

   “คุณส่งคิมหันต์เข้าไปเป็นหนอนในมอเรสซาเรด้วย?” เซินหมิงเฟิ่งตกตะลึงกับความคิดของตนเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจถึงขนาดนี้ โจเซเป็นญาตของตนเองแท้ ๆ และมอเรสซาเรก็เป็นแฟมิลีที่แม่ของตัวเองเคยอาศัยอยู่ เมื่อเจ้าตัวมาอิตาลีก็ได้มอเรสซาเรคุ้มหัว การที่ชิงหลงทำตัวแบบนี้มันเป็นการเนรคุณผู้มีบุญคุณของตัวเองชัด ๆ เซินฟมิงเฟิ่งรู้สึกเสื่อมศรัทธาในตัวอีกฝ่ายขึ้นมา

   “คุณคิดตื้นเกินไป” ชิงหลงว่า

   “ผมคิดตื้น?” เรียวคิ้วทั้งสองขมวดมุ่นเข้าหากัน เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัยว่าตนคิดตื้นยังไง ปกติแล้วมาเฟียไม่ได้คิดกันอย่างนี้หรอกหรือ? เขาไม่คิดว่าคนอย่างชิงหลงจะใจบุญสุนทาน นึกอยากยกคนเก่ง ๆ ดี ๆ ให้กับคนอื่นเพื่อจะได้ไปช่วยเหลือเปล่า ๆ ได้

   “บางทีผมก็รู้สึกว่า น่าจะลองปล่อยให้คุณคิดเองบ้าง บอกคุณไปหมดทุกอย่างเดี๋ยวคุณจะสมองฝ่อเอาเปล่า ๆ” ว่าแล้ว ชิงหลงก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังประตู เขาเปิดออกพลางผายมือเหมือนเชิญให้แขกในห้องกลับออกไปได้แล้ว และเจตนาจริง ๆ ของเขาก็เป็นเช่นนั้น

   “แต่ผมอยากรู้” เซินหมิงเฟิ่งยืนยัน

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #149 เมื่อ13-06-2012 22:21:15 »

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรค้นหาด้วยตัวเอง มันคงทำให้เวลาว่างของคุณน้อยลงบ้าง” ชิงหลงเปิดประตูค้างไว้ และแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะไม่ตอบคำถามไปมากกว่านี้ เซินหมิงเฟิ่งเห็นดังนั้นจึงจำต้องยิมลุกจากโซฟาแล้วเดินไปทางประตูอย่างที่เจ้าของห้องต้องการ

   “ผมขอถามอีกข้อ”

   “อะไรหรือ?”

   “จนถึงตอนนี้ คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าจุดประสงค์ของคุณคืออะไร” เซินหมิงเฟิ่งหมุนตัวกลับมายืนเผชิญหน้ากับชิงหลง สายตาของเขาแน่วแน่มั่นคงต่อคำถามซึ่งเขาปรารถนาจะรู้คำตอบมาโดยตลอด เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเอาแต่ซึมเซากับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจนแทบจะไม่มีอารมณ์อยากจะไปคิดถึงมันก็เท่านั้น แต่ในตอนนี้ อย่างน้อยเขาอยากรู้ว่าทำไมเขาจึงต้องมาเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ เรื่องต่าง ๆ ซึ่งนำพาความสงบสุขและความเป็นปกติชนไปจากชีวิตของเขาทีละน้อย

   แววตาของชิงหลงไหววูบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

   “เหตุผลที่กฎนั้นถูกตั้งขึ้น คุณเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า?” แทนที่จะตอบคำถามโดยตรง ชิงหลงกลับย้อนถามกลับมา

   “หมายถึงกฎที่บอกให้เรากระทำต่อผู้อื่นแบบเดียวกับที่ถูกกระทำน่ะหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเหมือนจะเคยได้ยินถึงมันมาบ้างนาน ๆ ครั้ง มีพื้นฐานมาจากกฎหมายเก่าแก่ของบาบิโลเนียซึ่งบัญญัติขึ้นโดยพระเจ้าฮัมมูราบี แน่นอนว่าเขาได้ยินมันบ่อยกว่าในชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์โลก “สำหรับพวกเราแล้ว คงเป็นการคานอำนาจระหว่างกันก็ว่าได้ เพื่อที่คนหนึ่งจะไม่เอาเปรียบอีกคนตามใจชอบซึ่งจะนำไปสู่การทำให้เกิดสงครามระหว่างแก๊งค์อย่างไม่มีเหตุผลที่มากพอ และเป็นการไม่ปล่อยให้แก๊งค์อื่นเข้ามาแทรกแซงได้ด้วย”

   “นั่นถือว่าเป็นเหตุผลหลักของมัน สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดเมื่อมันถูกตั้งขึ้นมา” ชิงหลงกล่าวเสียงเรียบ

   “แปลว่ามีเหตุผลอื่น?”

   ชิงหลงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดันเซินหมิงเฟิ่งให้พ้นกรอบประตู

   “เพื่อให้คนหนึ่งเข้าใจความรู้สึกของอีกคน” เขาทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะปิดประตูลง

   เซินหมิงเฟิ่งยืนอึ้งอยู่หน้าประตูสักพักก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองถูกเชิญออกมานอกห้องเป็นที่เรียบร้อย การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูสะกิดบ่าเขาเบา ๆ อย่างเกรงใจแล้วทำมือบุ้ยใบ้ว่าจะพากลับไปที่ห้องราวกับเกรงว่าเสียงของตนจะผ่านเข้าไปหลังประตูบานนั้น

   เซินหมิงเฟิ่งยอมกลับห้องแต่โดยดี กระนั้นก็ยังมีสิ่งที่ค้างคาใจของเขาอยู่

   เรื่องแรก คือเรื่องที่ชิงหลงบอกเขาเมื่อครู่ เจ้าตัวต้องการให้ใครคนหนึ่งรับรู้ความรู้สึกของตนเองอย่างนั้นหรือ? แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตัวเขาด้วย? ในเมื่อเขาและชิงหลงเพิ่งจะเคยพบกันจริง ๆ ก็ตอนที่ถูกลักพาตัวมาเท่านั้นเอง หรือว่าจะเป็นใครในครอบครัวของเขากันนะ?

   ส่วนเรื่องที่สอง เขายังคงสงสัยจุดประสงค์ของชิงหลงไม่หาย ว่าเจ้าตัวส่งคิมหันต์ไปให้โจเซทำไม ทั้งที่คิมหันต์ตั้งใจทำงานเป็นหนอนในบ้านของจูเชว่ถึงสิบกว่าปีเพื่อที่จะได้กลับมารับใช้นายที่แท้จริงอีกครั้ง การตัดสินใจเช่นนั้นจะไม่เย็นชาเกินไปหน่อยหรือ?

   แต่สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งสงสัยนั้น เขาคงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าชิงหลงมีคำตอบของตนเองอยู่แล้ว

   โจเซแสดงความสนใจในตัวคิมหันต์นั้นมีเหตุผลอยู่ หลังจากที่เขาบอกเล่าประสบการณ์การทำงานและหน้าที่ของคิมหันต์ให้เจ้าตัวฟัง โจเซก็คล้ายจะแสดงความต้องการออกมานิดหน่อย เพราะน้อยคนนักที่จะสามารถเลี้ยงให้กลายเป็นนักสอดแนมชั้นยอดที่แฝงตัวเข้าไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามเป็นสิบกว่าปีได้ อย่างน้อยคน ๆ นั้นจะต้องมีความซื่อสัตย์อยู่ในขั้นสูง มีความจงรักภักดี และไม่โอนอ่อนไปตามภาวะอารมณ์ ใช่ว่าทุกคนที่ถูกชุบเลี้ยงตั้งแต่เด็กจะสามารถใช้งานแบบนี้ได้ และแน่นอนว่าองค์กรแบบพวกเขา ย่อมต้องการคนที่มีความสามารถแบบนี้มาทำงานให้สักคนหรือสองคน และตัวโจเซเองก็เพิ่งจะเสียคนแบบนั้นไปเมื่อไม่นานมานี้

   แต่ถึงอย่างนั้น โจเซก็มีความหยิ่งทะนงในตัวเองมากพอที่จะไม่เอ่ยปากขอจากใครฟรี ๆ

   เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยแสดงความต้องการที่จะขอตัวคิมหันต์จากชิงหลงเลย หรือไม่ก็คงจะรอวาระโอกาสที่เหมาะสม ที่ตนเองจะมีอะไรบางอย่างแลกเปลี่ยนได้

   และแล้วโอกาสนั้นก็มาถึง

   ชิงหลงได้วางแผนให้เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ถูกจับตัวไป ซึ่งโจเซเองก็รู้เจตนานั้นจึงยอมร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อชิงหลงเสนอจะให้คิมหันต์เป็นค่าตอบแทน

   สำหรับชิงหลงแล้ว อาจจะเรียกได้ว่ายอมขาดทุนเสียด้วยซ้ำ เพราะค่าตัวของคิมหันต์ไม่ใช่น้อย ๆ เพียงแค่นี้แน่ แต่เขามีเป้าหมายอื่นอีกที่ประทำเช่นนี้

   อย่างแรก คือการบั่นทอนความมั่นคงในจิตใจของเซินหมิงเฟิ่ง เมื่อถูกพรากจากคนใกล้ชิดไป คนทุกคนย่อมเกิดความสั่นคลอนในใจไม่มากก็น้อย และในตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งก็จะเหลือเขาเพียงคนเดียวที่ไม่อยากจะพึ่งพิงแต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

   ส่วนอย่างที่สองนับเป็นผลพลอยได้ที่คุ้มค่า เพราะการที่เขายอมขาดทุน ทำให้มอเรสซาเรเหมือนเป็นหนี้เขาอยู่กลาย ๆ และหากคิมหันต์ทำงานให้โจเซได้เป็นผลสำเร็จ ชิงหลงก็จะได้ผลประโยชน์ไปด้วยโดยปริยาย ทั้งความไว้วางใจ และความกลัวเกรง อิทธิพลของอิตาลีที่ขึ้นกับมอเรสซาเรจะมีชิงหลงพ่วงไปด้วยหากสิ่งนั้น ๆ ได้มาด้วยฝีมือคนของเขา โจเซเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ แต่ที่ยินยอมเป็นหนี้ก็เพราะหากแฟมิลีอื่นไม่เกรงชิงหลงบ้าง ก็จะลุกขึ้นมาต่อต้านอีกเรื่อย ๆ เหมือนอย่างดอนบราซินี และตัวชิงหลงเองก็อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะฝังรากอิทธิพลของตนลงในแผ่นดินแห่งนี้ได้ โจเซจึงไม่มีอะไรต้องกังวล พวกเขาจึงเหมือนต่างคนต่างก็ได้ประโยชน์ไปคนละเล็กละน้อยจากตัวหมากตัวหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าที่ตนเองคาดคิด

   กระนั้น การที่ส่งคิมหันต์ไปให้โจเซ ชิงหลงก็ยังมีจุดประสงค์แฝงอีกข้อ นั่นคือ เขาไม่สามารถไว้วางใจคิมหันต์ได้อย่างเต็มที่นัก เพราะคิมหันต์ก็เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ และการถูกเลี้ยงดูโดยจูเชว่ทำให้ใจของเจ้าตัวเอนเอียงไปไม่น้อย โดยปกติก็คงจะวางใจได้ แต่การอยู่ใกล้ชิดกับเซินหมิงเฟิ่ง หลายต่อหลายครั้งที่เขาจับความรู้สึกได้ว่าคิมหันต์มีใจเอนเอียงไปให้เล็กน้อย ทั้งความห่วงใย ความเห็นใจ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้ชิงหลงตัดสินใจว่า จะเป็นการดีมากกว่าที่จะส่งคิมหันต์ไปอยู่ไกลตัวเซินหมิงเฟิ่งเสีย

   หากเซินหมิงเฟิ่งรู้ทั้งหมดนี้ ฝ่ายนั้นก็คงบอกว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นตามเคย

   แต่มันเป็นเป็นวิถีที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ในโลกเช่นนี้

--------------------------->

   กลับไปทางฮ่องกง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งเป็นตายร้ายดีอย่างไร นอกหนือจากการทำงาน เซินจงยังคงเก็บตัวอยู่คนเดียวราวกับกลายเป็นกิจวัตรของเขาไปเสียแล้ว และในห้องที่เงียบสงัดนั้น เขาจ้องมองรูปภาพของหญิงสาวคู่ชีวิตเขาทั้งสองคน จนถึงตอนนี้ เขารู้สึกว่าตนเองมีดวงไม่ค่อยดีกับผู้หญิงนัก เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็จะรู้สึกว่าตนเองทำผิดต่อหญิงสาวที่ใกล้ชิดเขาอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะเป็นภรรยาคนแรกผู้เป็นแม่ของลูกชายเขา หรือคนที่สองซึ่งได้อยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ปี เขาก็รู้สึกว่าตนเองผิดต่อพวกเธอทั้งสิ้น

   และตอนนี้ เขาก็กำลังทำผิดต่อหญิงสาวอีกคนหนึ่ง....

   “นายท่าน” พ่อบ้านหวางเคาะประตูไม้พลางเอ่ยเรียก

   “มีอะไรเหล่าซือ ใครมาหาหรือ?” เซินจงหมุนตัวไปหาพ่อบ้านสูงอายุที่ค่อย ๆ เปิดประตูเข้ามาอย่างแปลกใจเมื่อพบว่าเจ้านายของตนไม่ได้ล็อคห้องไว้อย่างเคย

   “คุณซากุระมาพบครับ” หวางซือรายงาน

   เซินจงพยักหน้า แม้จะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่ซากุระมาหาแต่เขาก็ไม่ได้นึกอยากขับไล่ไสส่ง

   “เชิญคุณซากุระไปรอที่ห้องรับแขก หาน้ำชากับขนมไปรับรองด้วย เดี๋ยวฉันจะตามไป” เขากล่าวแค่นั้นแล้วโบกมือวูบเป็นการสั่งให้หวางซือไปทำตามคำสั่งโดยทันที และไม่มีคำสั่งอื่นใดต่อ และเมื่อประตูถูกหับลง เซินจงก็เบือนสายตากลับไปมองรูปภาพเหล่านั้นอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนไปยังรูปถ่ายของเด็กชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสท่ามกลางแสงแดดเป็นประกาย

   มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ

-------------------------->

   “ขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวน” ซากุระกล่าวกับหวางซืออย่างนอบน้อมขณะพวกเขาเดินไปทางห้องรับแขกของบ้านใหญ่

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณมินาโมโตะเองก็เหมือนจะเป็นคนในบ้านอยู่แล้ว จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ครับ” หวางซือพูดกับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนคนแก่เอ็นดูเด็ก ๆ ซากุระทำให้เขาอดนึกถึงลูกสะใภ้ขึ้นมาไม่ได้ ฮว่าเหม่ยเองก็เป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เพียงแต่ไม่ได้มีหน้าตาสะสวยดึงดูดใจแบบซากุระเท่านั้น เทียบกันแล้ว ฮว่าเหม่ยค่อนข้างจะหน้าตาธรรมดา แต่เพราะยิ้มเก่งและอัธยาศัยดีจึงมีแต่คนรักใคร่

   จะว่าไป ซากุระมีส่วนคล้ายนายหญิงคนที่สองของบ้านมากกว่า เธอทั้งสวยและอ่อนโยนราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย ถึงอย่างนั้นก็มีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ชายจะคาดคิดถึง

   เสียดายที่อายุสั้นทั้งคู่....

   หวางซือถอนหายใจ

   “เป็นอะไรไปหรือคะ?” ซากุระตกใจที่อยู่ ๆ หวางซือก็ทำหน้าเศร้าแล้วถอนหายใจออกมา

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแก่แล้ว บางทีก็เลยคิดถึงเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมา” หวางซือว่าพลางหัวเราะแหะ ๆ “เชิญคุณหนูรอในห้องรับแขกก่อน เดี๋ยวผมจะไปเร่งน้ำชากับขนมมาให้ ไม่รู้เจ้าเด็กพวกนั้นมัวทำอะไรกันอยู่” เขาพูดพลางมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเอาสำรับมารับแขกเลย

   “ไม่ต้องเร่งหรอกค่ะ ฉันเพิ่งจะทานอาหารมาเมื่อครู่นี้เอง”

   “คุณมินาโมโตะไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอกครับ เชิญนั่งก่อน ๆ” หวางซือรีบพาซากุระเข้าไปนั่งข้างในห้อง แล้วผลุนผลันออกไปอย่างรวดเร็วผิดกับสังขารภายนอกอย่างสิ้นเชิง

   ซากุระนั่งรอในห้องพลางมองไปรอบ ๆ ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มาหาเซินจง เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมอีกเลย ใจของเธอรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ทอดทิ้งชายที่เพิ่งถูกแย่งลูกไปให้อยู่เพียงลำพัง ถึงแม้ตัวเธอเองจะมีการงานและยังต้องสืบสาวเรื่องเซินหมิงเฟิ่ง แต่ในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้แล้ว ซากุระก็รู้สึกว่าตนเองละเลยเซินจงมากเกินไป เมื่อหาเวลาได้จึงรีบรุดมาพบอย่างทันที

   “ขออนุญาตค่ะ” เด็กสาวอายุน้อยกว่าเธอค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดน้ำชาและขนมที่ทำจากแป้งคล้ายขนมเปี๊ยะ ใบหน้าเด็กสาวติดจะบูดอยู่นิด ๆ ท่าทางจะโดนดุมาแน่ ๆ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นว่าเธอมองอยู่ เด็กคนนั้นก็รีบยิ้มออกมาแล้วทำหน้าเขินอายก่อนจะรีบเดินออกไป

   เซินจงเดินเข้ามาในห้องหลังจากนั้น ทันแผ่นหลังไหว ๆ ที่วิ่งไปทางครัว

   เขาอดจะส่ายศีรษะไม่ได้ หากหวางซือเห็นเขาไม่วายโดนดุเข้าอีก พ่อบ้านของเขายิ่งไม่ชอบเห็นคนรับใช้วิ่งในบ้านอยู่ด้วย

   ซากุระเห็นว่าเซินจงมาแล้วจึงลุกขึ้นโค้งให้

   “สวัสดีค่ะคุณเซิน”

   “สวัสดีคุณซากุระ วันนี้มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า?” เซินจงพูดพลางเดินเข้าไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ซากุระจึงนั่งลงเช่นกัน

   “เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะมาเยี่ยมคุณเซินเท่านั้น หวังว่าฉันคงจะไม่ได้มารบกวนอะไรนะคะ” ซากุระกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

   “ไม่เลย วันนี้ผมกำลังพักผ่อนพอดี” เซินจงยิ้มจางแล้วยกชาขึ้นจิบ พาให้ซากุระยกชาอีกถ้วยขึ้นจิบตาม

   “จริงสิคะ ฉันเองไม่รู้ว่าจะเอาอะไรติดไม้ติดมือมาฝากดี ก็เลย...” หญิงสาวหันไปหยิบถุงข้างตัวขึ้นมา “เอาขนมของแม่บ้านที่บ้านของฉันมาแบ่งให้ เธอชอบทำขนมมาก ขนมญี่ปุ่นแบบไหนก็ทำอร่อยไปทุกอย่าง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะถูกปากคนที่บ้านนี้หรือเปล่า”

   “ถ้าคุณซากุระรับรองถึงขนาดนั้นก็ต้องอร่อยแน่นอนอยู่แล้ว” เซินจงว่าแล้วจึงรับถุงขนมไปวางข้างตัว “ระยะนี้สบายดีไหม? เห็นว่าไม่ได้มาเสียนาน”

   “สบายดีค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้ทำงานหนักหนาอะไร จะว่าไป ระยะนี้ฉันค่อนข้างจะสนิทสนมกับคุณหลางเมี่ยวอินมากทีเดียว” ซากุระบอกเล่าด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเด็กที่เล่าให้ผู้ปกครองฟังว่าตนเองได้พบเพื่อนใหม่ หรือมีเพื่อนสนิทคนใดบ้าง “แล้วก็เพิ่งจะได้พบกับคุณหลางเมี่ยวเจินอีกครั้งเมื่อวันก่อนนี้เองค่ะ” เธอเสริมขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ แต่ตัวเธอยังไม่แน่ใจนักว่ากับหลางเมี่ยวเจินจะถือว่ารู้จักในระดับไหน

   “อย่างนั้นหรือ? ผมเองก็เป็นห่วงว่าคุณซากุระจะเหงา เพราะอาหมิงไม่อยู่แบบนี้ แต่ได้เพื่อนก็ดีแล้ว” เซินจงกล่าวตอบ บทสนทนาของทั้งสองแม้จะดูปกติธรรมดา แต่ทั้งสองก็รู้ว่ามีความหมายแอบแฝงที่พวกเขารู้กัน การรายงานเรื่องความสนิทชิดเชื้อกับเพื่อนใหม่ของซากุระ บ่งบอกเซินจงว่าเธอกำลังกำเนินแผนการของตนอยู่ ถึงแม้เซินจงจะนึกสงสัยว่าทำไมจึงได้เข้าทางคนตระกูลหลาง แต่เขาเชื่อว่าซากุระมีเหตุผลของตนเอง ไม่ได้ทำไปตามอารมณ์ที่อยากจะเข้าหาผู้หญิงด้วยกันเท่านั้น

   “ฉันต่างหากที่เกรงว่าคุณเซินจะเหงา คุณเซินหมิงเฟิ่งไม่อยู่แบบนี้ ทั้งที่เพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศและได้พบหน้ากันในรอบหลายปี” ซากุระกล่าวพลางมองเซินจงด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เพราะตัวเธอเองก็เข้าใจความรู้สึกที่ต้องห่างไกลจากครอบครัว

   เซินจงได้ฟังก็รู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย ทั้งที่เขาจงใจใช้ประโยชน์จากเธอ แต่ซากุระนอกจากจะน้อมรับโดยดีแล้ว ยังหันมาเป็นห่วงเป็นใยเขาเสียอีก

   “คุณซากุระชิมขนมนี่หน่อยไหม? อาจจะร่วนฝืดคอไปหน่อย แต่ดื่มน้ำชาตามแล้วจะหวานอร่อยดีทีเดียว” เขาปกปิดอารมณ์ของตนด้วยการเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าเด็กสาว ซึ่งเธอก็ยิ้มรับแล้วหยิบขนมชิ้นเล็กไปจากจานกระเบื้องเคลือบลายสวยงาม

   “อร่อยจริง ๆ ด้วย ขอบคุณมากนะคะ” เธอกล่าวพลางยิ้มกว้าง สำหรับซากุระแล้ว เธออาจจะกำลังมองเซินจงเป็นตัวแทนพ่อก็เป็นได้ เพราะตัวเธอนั้นไม่เคยได้รับความรักจากพ่อที่แท้จริงเลย เมื่อเซินจงแสดงความเอ็นดูกับเธอ เธอจึงไม่อิดออดเลยที่จะตอบรับมันเอาไว้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดประสงค์บางอย่างอยู่ก็ตาม สำหรับเธอแล้ว ความรักความอบอุ่นอันน้อยนิดนี้ สูงค่าเกินกว่าจะปฏิเสธได้ลง

   เซินจงทอดสายตาอ่อนโยนมองดูหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าว่าที่ลูกสะใภ้

   นี่คือหญิงสาวอีกคน...ที่เขากำลังกระทำผิดต่อเธอ....

TBC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด