-15-
เสียงประตูจากภายนอกเรียกให้บุคคลภายในห้องต่างสะดุ้งไปตาม ๆ กัน เว้นแต่เพียงเซซิลิโอซึ่งเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชายหนุ่มดูสงบเสงี่ยม ไม่แสดงอาการเดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ เรียกได้ว่า นิ่งสงบเกินไปสำหรับคนที่อยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อพวกเขาถามว่าข้างนอกมีอะไรบ้าง เจ้าตัวก็ไม่ยอมตอบ เหมือนกับว่าพฤติกรรมอกสั่นขวัญแขวนของพวกเขากลายเป็นของแก้เบื่อสำหรับอีกฝ่ายในยามที่ต้องนั่งรออยู่เฉย ๆ และทำอะไรไม่ได้เลย
และเมื่อประตูเปิดออก เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ไม่มีใครสักคนที่เชื่อว่าถึงเวลาที่จะได้เป็นอิสระแล้วจริง ๆ ทว่า...พวกเขาก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าปาฏิหาริย์ยังมีอยู่
“ชิงหลง? คุณโจเซ?” เซินหมิงเฟิ่งมองบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างไม่เชื่อสายตา
“สวัสดีครับมิน เอสตาเตด้วยนะ” โจเซหัวเราะกับทั้งสองก่อนจะเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อไม่ได้ยินคิมหันต์พยายามแก้ชื่อของตนเองให้ถูกต้อง แต่เขาก็คิดได้ในวินาทีต่อมาว่า คนที่ถูกกักขังมานานจะถืออะไรกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ แค่มีคนช่วยให้เป็นอิสระได้ก็เหมือนสวรรค์โปรดแล้ว แต่ว่าทั้งสองคนในห้องก็ยังนิ่งสนิทไม่มีการเคลื่อนไหว มองก็รู้ได้ทันทีว่าคงกำลังไม่เชื่อสายตาตัวเอง โจเซหันไปข้างตัว เห็นชิงหลงก็นิ่งอยู่เหมือนกันแต่ฝ่ายนี้นิ่งเพราะเป็นบุคลิกนิสัยเฉพาะตัวเสียมากกว่า
ให้ตายสิ...
ไม่รู้จักโอ๋คนเสียบ้างเลย
โจเซพึมพำในใจก่อนจะสะกิดแขนชิงหลงเบา ๆ แล้วกระซิบ
“ฉันว่านายควรจะเข้าไปรับเขาออกมานะ”
ชิงหลงเหลือบสายตากลับมาทางเขาเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เพราะเซินหมิงเฟิ่งไม่ยอมออกมาเสียทีและเอาแต่ยืนค้างแบบนั้น เจ้าตัวจึงยอมเดินเข้าไปเองเพราะไม่อยากจะเสียเวลาให้กับความซาบซึ้งมากเกินไปแบบในละครน้ำเน่าที่จะต้องจ้องตากันจนจบเพลงแล้วถึงจะวิ่งเข้ามาโอบกอดกันท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชมและกลีบดอกไม้ปลิวกระจาย
ชายหนุ่มวางมือลงบนบ่าเซินหมิงเฟิ่งที่เลื่อนสายตาขึ้นมามองเขาเสมือนยังไม่ตื่นเต็มตา หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่
“กลับกันได้แล้ว”
โจเซถึงกับยกมือตบหน้าผาก
นี่พูดให้นุ่มนวลกว่านี้ไม่เป็นแล้วหรือยังไงกัน!
แต่ถึงโจเซจะไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกของเจ้าตัวยังไง เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ชิงหลงแค่เพียงกุมบ่าอีกฝ่ายไว้เช่นนั้นและจ้องมองไปยังคิมหันต์ซึ่งสภาพไม่ได้ต่างกับเซินหมิงเฟิ่งมากเท่าไหร่
“เรามีเรื่องจะต้องคุยกันหลังจากนี้ ตอนนี้คุณควรกลับไปกับพวกเราก่อน”
คิมหันต์รู้ดีว่าตนมีความผิดที่ไม่อาจดูแลปกป้องคุ้มครองเซินหมิงเฟิ่งให้ปลอดภัยได้ ถึงในตอนนี้ชิงหลงจะยังไม่เห็น แต่ภายใต้เสื้อนั่น ร่างกายของเซินหมิงเฟิ่งมีแต่รอยฟกช้ำ ตัวเขาที่อ่อนแอคงไม่แคล้วถูกตำหนิ ลดขั้น หรืออย่างร้ายก็ถูกไล่ออก....
บอดี้การ์ดหนุ่มก้มศีรษะรับคำสั่งด้วยท่าทางสงบนิ่งก่อนจะค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องเป็นคนแรก
โจเซมองคิมหันต์ที่เดินออกมาด้วยใบหน้าของคนที่เตรียมใจจะโดนประหารด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เพราะทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเจ้านายตัวเองแท้ ๆ แต่กลับต้องกลายเป็นแพะอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะนึกรู้ว่าชิงหลงกล้าเอาคนของตัวเองมาใช้เป็นเครื่องมือได้ถึงขนาดนี้กันล่ะ
แต่ความจริง...คิมหันต์ก็เคยถึงขนาดส่งตัวไปอยู่กับอีกฝ่ายนานสิบกว่าปี เรื่องแบบนี้อาจจะไม่ไกลเกินคาดถึงก็ได้
โจเซละสายตาจากคิมหันต์แล้วเลื่อนไปมองเซซิลิโอที่เดินออกมาสมทบเพราะไม่รู้จะนั่งอยู่ในห้องต่อไปทำไม
“ไง รู้สึกยังไงบ้าง?” เขายิ้มให้มือขวาตัวเอง
“รู้สึกว่าบอสควรรักษาเวลามากกว่านี้ครับ”
คำตอบนี้...ก็ไม่ไกลเกินคาด...
ชิงหลงจับบ่าแล้วรุนแผ่นหลังเซินหมิงเฟิ่งออกมาจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาหันไปมองราฟาเอลที่มีชนักติดหลังยืนหน้าซีดอยู่ที่มุมหนึ่งโดยอาติโนทำสีหน้าลำบากใจอยู่ห่าง ๆ แน่นอนว่าอาติโนคงไม่ได้คิดอยากให้เป็นเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาสามารถเดาใจราฟาเอลได้เก่งกว่าและกุมจุดอ่อนได้อยู่หมัดโดยที่ไม่ต้องเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้เลยสักก้าวจนกระทั่งถึงจุดไคลแม็กซ์ หลังจากนี้เขาก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่โจเซจัดการต่อไป เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินความผิดของคนในองค์กรประเทศนี้แต่ต้นแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นผู้เสียหายในสายตาคนอื่นก็ตาม
“ดอนบราซินี เอาไว้ผมจะติดต่อมาใหม่ แต่ระหว่างนี้ ช่วยดูแลเขาไว้ก่อนก็แล้วกัน” โจเซกล่าวกับอาติโน ซึ่งความหมายของมันก็คือ ห้ามให้ทางหนีทีไล่แก่คนผิดอย่างเด็ดขาด แล้วเขาจะกลับมาตัดสินลงโทษเอง ซึ่งอาติโนทำได้เพียงรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก
พวกเขากลับขึ้นรถหลังจากจบเรื่องแล้ว และสามารถแน่ใจได้ว่า เหตุการณ์นี้เสมือนการเชือดไก่ให้ลิงดู จะเป็นการส่งสัญญาณให้มาเฟียคนอื่น ๆ ไม่กล้าลองดีกับดอนมอเรสซาเรไปอีกสักระยะ รวมทั้งไม่กล้าเข้ามาแทรกแซงเรื่องของชิงหลงด้วย
“ฉันขอแยกตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
“จะกลับไปก่อนหรือ?” โจเซเลิกคิ้วแล้วเลื่อนสายตาไปมองเซินหมิงเฟิ่งซึ่งยังมีท่าทางอกสั่นขวัญแขวนไม่หายก็พอเข้าใจ เจ้าตัวคงอยากจะกลับไปพักที่ห้อง อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย และไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายอะไรอีก ซึ่งการกระทำของชิงหลงในครั้งนี้ เรียกว่าให้ผลตามที่คาด เพราะการทำให้ตัวเองกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทำให้ถึงแม้จะเปิดกรงทิ้งไว้ นกก็จะไม่บินหนีไปไหน
“ฉันมีธุระอื่นต้องจัดการ” ชิงหลงว่าแล้วจึงพาตัวเองเข้ารถไป
“ตามสบายก็แล้วกัน ฉันจะรอการติดต่อจากนาย” คำพูดของโจเซเป็นสิ่งที่พวกเขารู้กันเพียงสองคน มันคือการทวงถึงคำสัญญาที่จะแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง กับการที่เขาจะยอมยื่นมือเข้าร่วมแผนการนี้ ที่ถึงแม้เขาจะไม่ได้เสียอะไร แต่ถ้าช่วยฟรี ๆ ก็คงจะไม่ได้
หลังจากนั้น โจเซและชิงหลงจึงแยกกันกลับบ้าน ชิงหลงพาเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์กลับไปยังที่พักของตน
เมื่อกลับมาถึง ชิงหลงก็สั่งให้คนพาคิมหันต์ไปพัก ส่วนเซินหมิงเฟิ่ง เขาเป็นคนพากลับห้องด้วยตัวเอง
ตลอดทางที่กลับมา เซินหมิงเฟิ่งไม่เปิดปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังโกรธ หรือยังขวัญเสียไม่หายกันแน่ แต่จะเป็นอะไรก็ตาม ชิงหลงก็พากลับมาถึงห้องจนได้โดยที่เจ้าตัวไม่มีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมือนจะยอมร่วมมือโดยดีเสียอีก
“คุณควรจะไปอาบน้ำก่อน หรือจะนอนก่อนก็ได้ ผมจะให้คนไปสั่งอาหารมาให้” ชิงหลงว่าพลางรุนหลังเซินหมิงเฟิ่งเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู ทันใดนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็เหมือนจะขยับตัวเป็นครั้งแรกเหมือนหุ่นยนต์ที่เพิ่งใส่ถ่าน ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาและโผเข้ากอดชิงหลงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว กระนั้นตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่ได้นึกอายหรือเสียศักดิ์ศรีในการกระทำของตนเองเลย เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ และกลัวว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาจะยังพบตัวเองในสถานที่นั้น ซึ่งจะมีผู้ชายร่างใหญ่เข้ามาทำร้ายเขาอีก แต่ยังโชคดีที่เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้ร้องไห้ออกมา เขากลืนเก็บเอาความกลัวส่วนนั้นไว้แล้วกำเสื้อชิงหลงแน่นไม่ยอมปล่อยมือ
“คุณเซิน?” ชิงหลงแตะอีกฝ่ายเบา ๆ และรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเทา ไม่น่าแปลกเลยที่จะหวาดกลัวถึงขนาดนี้ เพราะผู้ชายคนนี้เคยมีชีวิตอย่างสงบสุขมาตลอด...
การเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผู้เป็นพ่อปูไว้ให้ ก็เหมือนเดินลงไปในขุมนรกดี ๆ นี่เอง....
“ผมขอโทษ...” เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ ขยับตัวถอยห่างออกมา “ผมไม่เป็นไรแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นถอดเสื้อให้ผมดูหน่อย”
ตอนแรก เซินหมิงเฟิ่งก็อิดออดจะไม่ยอมถอด เขารู้สึกแย่ที่จะให้คนอื่นรู้ว่าเขาถูกทำร้ายโดยไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ แต่เมื่อเห็นชิงหลงยืนมองมานิ่ง ๆ เหมือนการบังคับด้วยสายตา เขาจึงยินยอมถอดเสื้อออก ซึ่งเป็นเสื้อที่เรียกได้ว่าเริ่มจะเน่าแล้วเนื่องจากสวมใส่ซ้ำไปซ้ำมาหลายวัน เมื่อสลัดออกจากร่างกายได้ ชิงหลงก็เขี่ยมันไปไกล ๆ ทันทีเพราะกลิ่นของมัน
รอยฟกช้ำบนร่างกายของเซินหมิงเฟิ่งมีหลายรอยที่จางไปแล้ว และหลายรอยที่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ ความจริงการใช้กำลังไม่ใช่สิ่งที่ชิงหลงคิดไม่ถึง เขาจึงไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายจะมีรอยฟกช้ำเต็มตัวแบบนี้ แต่เพราะมันเกิดเฉพาะภายใต้ร่มผ้า แปลว่าคนกระทำต้องการหลบซ่อนมันจากสายตาคนอื่น
คงจะเป็นฝีมือราฟาเอล ลับหลังอาติโนตามเคย
“ผมจะให้หมอมาดูวันพรุ่งนี้ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”
เซินหมิงเฟิ่งจะว่าอะไรได้ เขาได้แค่พยักหน้ารับเงียบ ๆ
“ตอนนี้คุณไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน ผมจะสั่งไม่ให้ใครเข้ามารบกวน” ว่าแล้ว ชิงหลงก็หันหลังเดินกลับไป แต่เซินหมิงเฟิ่งก็เดินมาดึงแขนไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะถึงประตู
ชายหนุ่มหันกลับมาหาคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว
“อย่าทำโทษคิมหันต์เลยนะครับ ผมว่าแค่นี้เขาก็รู้สึกไม่ดีมากพอแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งพูดพลางก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน มันเป็นภาพที่ดูแปลกที่เขาจะอ้อนขอร้องชิงหลงอย่างนี้ แต่จากสิ่งที่ผ่านมา เขารู้ว่าคิมหันต์ไม่ได้ผิดอะไรเลย และเขาไม่อยากจะให้ฝ่ายนั้นต้องถูกทำโทษอีก หากว่าตามจริงแล้ว ถ้าเขาไม่มีคิมหันต์อยู่ด้วย เขาอาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็ได้
“เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ผมต้องจัดการ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องกังวลหรอก” ชิงหลงดึงมือเซินหมิงเฟิ่งออกจากแขนตัวเองอย่างสุภาพ
“คุณไม่เข้าใจ...”
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”
“เพราะคุณไม่ได้อยู่ที่นั่น!” เซินหมิงเฟิ่งขึ้นเสียงอย่างไม่อาจหยุดตัวเองได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาเพิ่งจะหลุดพ้นจากมันมา “คุณไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย คุณจะมารู้อะไร คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมกับเขาต้องเจออะไรบ้าง! แล้วคุณจะยังทำโทษเขาได้อีกหรือครับ คุณมัน.....”
“เลือดเย็น?” ชิงหลงเลิกคิ้ว ทำให้เซินหมิงเฟิ่งชะงักไป
“ผมไม่ได้จะพูดแบบนั้น....”
จริงอยู่ว่าเขาเคยคิดว่าชิงหลงเลือดเย็น แต่ว่าอีกฝ่ายก็ตามมาช่วยเขาไม่ใช่หรือ? ถึงจะมาช้าและเขาต้องเฝ้ารอคอยจนแทบจะสิ้นหวัง แต่ชิงหลงก็มาช่วยเขาจริง ๆ ไม่ได้ทอดทิ้งเขาไปอย่างที่คิดเลย ทำให้เขาไม่อาจปรามาสด้วยคำนั้นได้เต็มปากนัก
“ถ้าอย่างนั้นจะพูดอะไรก็รอให้ตัวเองหายดีก่อนก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นผมจะรอฟัง แต่ตอนนี้ช่วยพักผ่อนก่อนเถอะ ผมเองก็มีงานค้างอยู่เหมือนกัน” ชิงหลงกล่าวจบก็เดินออกไป
เซิ่นหมิงเฟิ่งได้แต่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องที่เงียบสงัด แม้ว่าในตอนนี้เขาจะถูกพามาขังไว้อีกครั้ง แค่การบ้ายจากห้องขังหนึ่งมายังอีกห้องขังหนึ่ง แต่ว่า...เขากลับรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่ เพราะถึงแม้ชิงหลงจะน่ากลัวอย่างไร ก็ไม่เคยใช้กำลังกับเขาเลย
--------------------------->
จากช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางอิตาลีเหมือนจะมีอะไรคืบหน้าไปหลายส่วน แต่เมื่อย้อนกลับมาทางฮ่องกง ซากุระรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย
ในอาทิตย์หนึ่ง เธอจะไปเยี่ยมเยียนหลางเมี่ยวอิน หรืออีกฝ่ายมาเยี่ยมเธอ สักครั้งหรือสองครั้ง ซึ่งเป็นช่วงในและนอกเวลางานแล้วแต่โอกาสจะอำนวย แน่นอนว่าตอนนี้ทั้งสองคนสนิทสนมกันดีเสียจนใคร ๆ ต่างพูดว่าตัวติดกันแทบจะเป็นฝาแฝดแทนที่หลางเมี่ยวเจินไปแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะทั้งสองพบกันในที่สาธารณะไม่ได้คิดปิดบังฐานะตัวเอง โชคดีก็แต่ตัวซากุระยังไม่ได้แต่งงานกับเซินหมิงเฟิ่งและเข้าเป็นสะใภ้เต็มตัว ไม่อย่างนั้นหนังสือพิมพ์คงได้เอาไปประโคมข่าวว่าสะใภ้บ้านตระกูลเซินอาจมีกุ๊กกิ๊กกับคุณหนูเล็กบ้านตระกูลหลางก็เป็นได้ ถึงแม้หัวข้อข่าวจะดูไร้สาระ แต่นักข่าวขอแค่มีอะไรเขียนก็เขียนได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ซากุระต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับหลางเมี่ยวอินดำเนินมาไกลมากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะเธอและอีกฝ่ายต่างก็เกิดในฐานะที่ใกล้เคียงกัน เป็นผู้หญิงเหมือนกัน มีความกดดันในแบบคล้าย ๆ กัน และ...รู้สึกเหงาเหมือนกัน
จนถึงตอนนี้ เธอจึงเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่พยายามจะใช้หลางเมี่ยวอินเป็นบันไดไปสู่สิ่งที่เธอต้องการ
นี่เธอทำตัวเหมือนพวกนักธุรกิจขึ้นทุกวันแล้วสินะ....
ซากุระถอนหายใจกับตัวเอง
“เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?” มิเอะเห็นหญิงสาวทำท่าหนักใจก็รู้สึกเป็นห่วง จึงถามไถ่ตามประสา
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย” ซากุระยิ้มให้กับแม่บ้านสูงวัยเพื่อให้เธอสบายใจ “จะว่าไป เพราะงานแต่งยังกำหนดวันไม่ได้ คุณพ่อก็เลยยังกลับญี่ปุ่นไม่ได้เสียที แบบนี้คงจะต้องเลื่อนไปเรื่อย ๆ หรือเปล่าคะ?” โดยปกติแล้ว ฐานธุรกิจของมินาโมโตะอยู่ที่ญี่ปุ่น การมาเปิดธุรกิจในฮ่องกงนี้ก็เพื่อขยายฐานให้กว้างขึ้น ซึ่งหลังจากลงตัวเรียบร้อยแล้ว มินาโมโตะ โชโก พ่อของซากุระก็จะกลับไปที่ญี่ปุ่นเพื่อดูแลกิจการของตัวเอง และส่งคนมาประจำที่นี่แทน แต่เดิม เจ้าตัวมีกำหนดกลับเมื่อสิ้นสุดงานแต่งงานของลูกสาว ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าจูเชว่จะไม่บิดพลิ้ว แต่เมื่องานแต่งต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด กำหนดการกลับก็ต้องเลื่อนด้วย
“ความจริงแล้ว....” มิเอะทำท่าลำบากใจ “คุณพ่อของคุณหนูบอกว่าสิ้นเดือนนี้จะกลับแล้วล่ะค่ะ”
“สิ้นเดือน?” ซากุระเลิกคิ้ว “ฉันไม่ได้ยินข่าวเลย”
“...ท่านจะไม่พาคุณหนูกลับไปด้วย” หญิงสูงวัยเผยสีหน้าคับอกคับใจออกมา “ถึงท่านจะเย็นชากับคุณหนูมากแค่ไหนก็ไม่น่าทำกันถึงขนาดนี้ ท่านจะกลับไปแล้วก็จะพามิเอะกับพวกการ์ดบางส่วนกลับไปด้วย ทิ้งคุณหนูไว้กับพวกที่เหลืออย่างนี้ได้ยังไงกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้น....”
“ใจเย็นก่อนสิคะ” ซากุระรีบปรามไม่ให้อีกฝ่ายคร่ำครวญมากเกินไปเหมือนตีตนไปก่อนไข้ “ฉันเองก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเป็นครั้งแรก อีกอย่าง คุณพ่อก็ทิ้งการ์ดไว้จำนวนหนึ่งไม่ใช่หรือคะ คนรับใช้ด้วย แล้วอีกเดี๋ยวก็จะมีผู้จัดการสาขาลงมาจัดการเรื่องงานต่อ ฉันไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะ”
“แต่ว่า....คุณหนูก็ต้องอยู่คนเดียว คุณเซินก็ใจร้ายจริง ๆ หายตัวไปในเวลาแบบนี้ ไม่มาดูดำดูดีสักนิด” มิเอะยังคงคร่ำครวญต่อไปโดยที่ซากุระไม่อาจห้ามได้ เธอได้แต่ยิ้มแกน ๆ เพราะไม่สามารถบอกความจริงใด ๆ ให้กับมิเอะได้เลย
“แต่คุณเซินจงก็ให้ฉันไปพึ่งพาได้ทุกเมื่อเหมือนสะใภ้แต่งแล้วนะคะ แล้วตอนนี้ฉันก็สนิทสนมกับหลางเมี่ยวอินดีด้วย ฉันอยู่ได้ค่ะ คุณมิเอะเลิกห่วงได้แล้วนะคะ”
สิ่งที่ได้ยินไม่ได้ทำให้มิเอะคลายกังวลลงเลย กลับยิ่งกังวลกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะหลางเมี่ยวอินคนนั้นเธอก็ไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่รู้ว่าคุณหนูของเธอไปสนิทสนมด้วยตอนไหน แล้วเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ยังไม่รู้ เกิดคุณหนูของเธอโดนหลอกเข้าจะว่ายังไง
“เลิกคิดมากแล้วไปทำขนมดีกว่าค่ะ ฉันเริ่มหิวแล้วสิ”
ดูเหมือนสิ่งเดียวที่ทำให้มิเอะยอมละวางลงได้จะมีแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบโดยตรงของตัวเอง อย่างการดูแลไม่ให้คุณหนูของตนเองต้องทนหิวจนท้องกิ่ว ซากุระที่รู้เรื่องนี้ดีจึงยกมาเป็นข้ออ้าง ถึงแม้บ่ายนี้เธอจะมีนัดกับหลางเมี่ยวอินที่จะมารับถึงที่บ้านก็ตามที และเป็นอย่างที่คิด มิเอะทำท่าตกอกตกใจ ยกมือทาบอกแล้วรีบเดินเข้าครัวไปอย่างรวดเร็ว
ซากุระถอนหายใจอย่างโล่งอก
พ่อของเธอจะกลับสิ้นเดือนนี้หรือ?
หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองปฏิทิน ซึ่งดำเนินมาถึงกลางเดือนแล้ว อีกไม่นานพ่อของเธอกับมิเอะก็จะกลับญี่ปุ่น และบ้านหลังนี้ก็จะเหลือเธอเพียงคนเดียวจริง ๆ ถึงแม้จะมีการืดและคนรับใช้อยู่ แต่พวกเขาก็จะเพียงแค่ทำงานในส่วนของตัวเองเท่านั้น...
อยู่ ๆ ความรู้สึกหนาวเย็นก็เข้าเกาะกุมร่างกาย ความมั่นใจว่าจะอยู่ได้เพียงลำพังค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความกลัวอย่างช้า ๆ
เธอไม่ใช่แค่ต้องอยู่คนเดียว...แต่ต้องจัดการเรื่องราวทุกอย่างเพียงลำพังด้วย...
ตอนนี้ ถึงเธอจะรู้สึกกลัวที่จะต้องเดินไปตามแผนของจูเชว่ แต่เมื่อกลับมาบ้าน อย่างน้อยก็มีมิเอะที่เป็นห่วงเธออย่างจริงจัง และเป็นที่พักใจแม้ว่าจะไม่สามารถพูดอะไรได้ด้วยมากนัก แต่หลังจากนี้ล่ะเธอจะเหลือใคร เมื่อกลับมาบ้านที่ว่างเปล่า...เธอจะหลบซ่อนตัวเองจากความจริงได้ที่ไหนอีก...
น่ากลัวเหลือเกิน...
ในขณะที่คิดเช่นนั้น เสียงแตรรถจากประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น มิเอะผลุนผลันออกมาจากห้องครัวแล้ววิ่งไปที่ประตูรั้ว ซากุระหันมองนาฬิกา
ถึงเวลานัดแล้วหรือ?
หญิงสาวสูดหายใจลึก เพื่อกำจัดความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ให้ออกไปจากใบหน้าและท่าทางของตัวเอง
เธอถอยกลับไม่ได้แล้ว...
อย่างไร...เธอก็มีค่าเพียงแค่เป็นแผนการของใครบางคนมาตั้งแต่ต้น ถึงจะร้องอุทธรณ์อะไรออกไป ใครล่ะจะมารับฟัง จะมีก็แต่ความน่าสมเพชเท่านั้นเอง
------------------------------>