กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10  (อ่าน 125765 ครั้ง)

ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
«ตอบ #30 เมื่อ27-11-2011 21:03:23 »

กำลังลุ้นตัวเกร็งเลยล่ะค่ะเนี่ย
สนุกซ่อนเงื่อนเหมือนเดิมเลย :')

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
«ตอบ #31 เมื่อ28-11-2011 04:34:34 »

ใครพระใครนายใครจะรุกใครจะรับหล่ะเนี่ย  :undecided:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
«ตอบ #32 เมื่อ29-11-2011 00:19:36 »

อ่านบทสนทนาระหว่างชิงหลงกับไป่หู่ ยังกะตีความรหัสมอส (แผนการลับนี่เนอะ :undecided: )
คงอีกนาน(พอสมควร)กว่าความจริงเบื้องลึกเบื้องหลังจะกระจ่าง ฉนั้นรอลุ้นเหตุการณ์ที่ไม่อาจจะคาดเดากันต่อไป...

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #33 เมื่อ07-12-2011 14:26:52 »

-5-



   ซากุระรู้สึกแปลกใจเมื่อได้รับโทรศัพท์จากคนของจูเชว่ เธอเพิ่งจะได้พบกับพวกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนในงานเลี้ยง จากวันนั้น เธอรู้สึกว่าหลาย ๆ  อย่างรอบตัวสงบอย่างผิดปกติจนน่าแปลก ไม่มีการติดต่อจากทางบ้านตระกูลเซินทั้งที่โดยปกติแล้ว เซินหมิงเฟิ่งน่าจะโทรหาเธอบ้างหลังจากทำความรู้จักกันไปพอสมควร แม้จะไม่ใช่โดยความต้องการของตนเอง ก็น่าจะเป็นความต้องการของจูเชว่ แต่ช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ ไม่มีการติดต่อเลยสักครั้งเดียว แต่แล้วอยู่ ๆ กลับมีสายโทรศัพท์มาหาเธอ พร้อมคำเชิญไปที่บ้านโดยไม่ได้ระบุชื่อของเซินหมิงเฟิ่งแต่ระบุว่าเป็นคำเชิญของจูเชว่ มันยิ่งทำให้เธอแปลกใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นหรือไม่

   “ทางเราจะส่งรถไปรับในอีก 30 นาทีนะครับ”

   “ค่ะ ได้ค่ะ” แม้ซากุระจะยังกังขากับสถานการณ์ แต่เธอก็ตอบรับคำเชิญ การเดินทางไปที่บ้านของจูเชว่ อาจค้นพบคำตอบว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงได้เย็นชาและทำตัวห่างเหินกับเธอถึงขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่คิดว่านี่เป็นสัญญาณของการถอนหมั้น เพราะหากใช่ พ่อของเธอน่าจะออกอาการบ้าง

   ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ซากุระรีบจัดการแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้วลงมานั่งรอในห้องนั่งเล่น

   พ่อของเธอออกไปทำงานตั้งแต่เช้า และคงจะกลับมาตอนดึก หญิงสาวไม่คิดว่าจะต้องโทรรายงาน แต่ก็บอกฝากคนรับใช้ในบ้านไว้เผื่อว่าพ่อของเธออาจจะโทรกลับมาตามตัวให้ไปจัดการธุระบางอย่างให้ ถึงแม้โดยอายุแล้ว เธอจะยังอยู่ในเกณฑ์ศึกษาเล่าเรียน แต่เพราะพ่อของเธอบริหารงานเพียงลำพังและยากจะหาคนไว้ใจทำงานบางอย่างแทนให้ เธอจึงถูกบังคับให้สอบเทียบเมื่ออายุยังน้อย เรียกว่าอายุต่ำสุดของเกณฑ์การสอบเทียบมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว จึงเรียนจบเร็วและเข้าสู่ชีวิตการทำงานโดยไม่มีคนที่เรียกได้ว่าเพื่อนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว

   ซากุระค่อนข้างคุ้นชินกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่แตกต่างจากผู้หญิงวัยเดียวกันคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งพ่อของเธอตัดสินใจเดินทางมาที่ฮ่องกงและฝากงานที่ญี่ปุ่นให้ญาติคนหนึ่งดูแลแทนชั่วคราว ตอนแรกเธอคิดว่าจะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มีโอกาสได้กลับสู่ชีวิตเก่า ๆ อีกเมื่อพ่อของเธอตัดสินใจยกเธอให้เป็นคู่หมั้นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น

   มาเฟีย

   คำเรียกที่ถูกต้องกว่า

   ซากุระรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนักจึงเข้าหาจูเชว่เสียแต่แรกเพื่อปรับตัวให้ได้โดยเร็วและเรียนรู้ในสิ่งที่เธอควรจะรู้ในฐานะนายหญิงของบ้านตระกูลเซินในอนาคต

   การได้พบกับเซินหมิงเฟิ่งค่อนข้างนำพาความสบายใจมาให้ ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันไม่มีท่าทีของความหยิ่งยโสและการใช้อำนาจอย่างพร่ำเพรื่อ เขาค่อนข้างจะเป็นคนสุภาพและเป็นกันเองมากกว่าที่คิด และซากุระพึงพอใจที่ได้ชายคนนี้เป็นคู่ครอง แต่จะพึงพอใจมากกว่าหากได้คบหาในฐานะเพื่อนถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม เธอดีใจที่เซินหมิงเฟิ่งไม่ปฏิเสธมิตรภาพที่เธอหยิบยื่นให้

   ถึงตอนนี้ เธอได้แต่หวังว่าเซินหมิงเฟิ่งจะไม่มีปัญหาอะไร การเงียบหายอย่างน่าแปลกใจทำให้รู้สึกใจไม่ดีอยู่เล็กน้อย แต่เพราะเป็นระยะเวลาที่ไม่ได้นานผิดปกติจนเกินไป เธอถึงพยายามที่จะไม่คิดมากจนกระทั่งคนของจูเชว่โทรมาหา

   “คุณมินาโมโตะ ผมมาจากคุณเซินครับ” ชายคนหนึ่งจอดรถที่หน้าบ้านและเดินมากดอินเตอร์โฟนที่หน้าประตู

   “ดูแลบ้านให้เรียบร้อย แล้วก็ถ้าพ่อกลับมาก่อนฉัน รบกวนเรียนท่านด้วยนะว่าฉันติดธุระกับคุณเซินอยู่” เธอกำชับคนรับใช้อีกครั้งก่อนจะเดินออกไปหาคนที่มารับ “รบกวนด้วยนะคะ”

   “เชิญที่รถเลยครับ” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเรียบกริบผายมือให้หญิงสาวไปขึ้นรถซึ่งจอดไว้ที่ทางออกและติดฟิล์มมืดสนิท เธอเขม่นมองเข้าไปด้านในแต่มองไม่เห็น จึงมองไปรอบตัวก็ไม่มีรถคันอื่น

   “อ้อ เดี๋ยวก่อนนะคะ” ซากุระยิ้มบางแล้วมองชายหนุ่มที่มารับ “โดยปกติแล้วคนของจูเชว่จะมีสัญลักษณ์บนร่างกาย ฉันไม่ทราบว่า....”

   “ขออภัยด้วยครับ” ชายหนุ่มว่าแล้วแกะกระดุมแขนเสื้อก่อนถลกขึ้น ซากุระโล่งใจนิด ๆ เมื่อเห็นรอยสักรูปหงส์สีแดงซึ่งคุ้นตาดี เมื่อเธออยู่ในฐานะคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่เต็มตัว ความระวังตัวก็ต้องเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ระบบรักษาความปลอดภัยที่บ้านยังต้องเปลี่ยนใหม่หมด แต่เดิมคนที่มารับที่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องแสดงสัญลักษณ์ ถึงอย่างนั้นเมื่อฐานะเปลี่ยนไป เธอก็ต้องปรับตัวตาม

   ซากุระเดินขึ้นนั่งบนรถแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายพาเธอไปยังจุดหมายปลายทาง

-------------------------->

   หวางซือออกมารอต้อนรับที่หน้าประตูของตัวบ้าน เมื่อรถขับวนเข้ามาจอด ซากุระก็เดินลงจากรถ

   “สวัสดีค่ะคุณหวาง” หญิงสาวเอ่ยทักทายชายชรา “ท่านจูเชว่เรียกหาฉันกะทันหัน มีธุระอะไรเร่งด่วนหรือคะ?”

   คำถามนั้นทำให้หวางซือแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา เขาโค้งให้ญิงสาว

   “เรื่องนั้น ผมคงตอบให้ไม่ได้ครับ เชิญคุณมินาโมโตะเข้าไปข้างในดีกว่า นายท่านรออยู่นานแล้ว” หวางซือไม่ยอมตอบออกมาทำให้ซากุระค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเรื่องสำคัญและไม่ใช่เรื่องดี เธอเดินตามชายชราผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่เข้าไปด้านใน พวกเขาเดินผ่านห้องโถงไปยังห้องรับแขกซึ่งเซินจงนั่งรออยู่

   “นายท่าน...”

   “ให้เข้ามา” หวางซือยังรายงานไม่จบคำ เซินจงก็เอ่ยคำอนุญาตทันที เพราะเขารู้ดีว่าคนที่ตนเองเรียกมาเป็นใครและไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นคนอื่น

   “สวัสดีค่ะคุณเซิน” ซากุระเดินเข้าไปในห้องก่อนที่หวางซือจะหับประตูปิด

   เซินจงผายมือไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้ลุกขึ้นยืน หญิงสาวยิ้มให้กับกิริยานั้นก่อนจะเดินไปนั่งตรงจุดที่ถูกเชิญ ใบหน้าของเซินจงบ่งบอกความลำบากใจในหลาย ๆ อย่าง เขาไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากแสดงถึงท่าทางของการครุ่นคิดและยังตัดสินใจไม่ได้ บางที คงจะอยู่ในท่านี้มาตั้งแต่ก่อนเธอจะเดินทางมาถึงแล้ว หญิงสาวรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเวลาจึงเพียงแค่นั่งเฉย ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

   หวางซือสั่งให้คนนำขนมและน้ำชาเข้ามา มันถูกนำมาตั้งก่อนที่คนรับใช้จะออกไปอย่างรวดเร็ว

   ซากุระมองดูควันร้อนที่ลอยกรุ่นพร้อมกับการรอคอยคำพูดสักคำจากผู้ชายตรงหน้า

   “ความจริงแล้ว เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก” ไม่นานนักหลังจากนั้น เซินจงก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ทั้งที่วันงานเลี้ยงยังดูน่าเกรงขามถึงขนาดนั้น แต่ไม่กี่วันผ่านมากลับเหนื่อยล้าผิดหูผิดตา ซากุระรู้สึกว่าลางสังหรณ์ของเธออาจถูกต้อง มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเซินหมิงเฟิ่งอย่างแน่นอน

   “เรื่องที่พวกเราจะพูดคุยกันต่อไปนี้ ผมอยากให้คุณช่วยรับปากว่ามันจะไม่แพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด”

   ซากุระเผลอกลั้นหายใจก่อนจะรับปาก

   “ค่ะ ฉันรับรอง”

   เซินจงพยักหน้าเนือย ๆ ก่อนยกชาอุ่นขึ้นจิบให้รู้สึกคล่องคอมากขึ้น

   “คุณคงรู้ว่าผมเป็นคนบังคับให้อาหมิงตอบรับการหมั้น คุณเป็นคนฉลาด คุณต้องดูออกแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าอาหมิงไม่ได้รังเกียจคุณ เขาไม่ได้ขอให้ผมถอนหมั้น”

   “ค่ะ ฉันเข้าใจ” ซากุระกล่าวเพื่อให้เซินจงสบายใจว่าเธอไม่ได้กังขากับความสัมพันธ์และการตอบรับของทางเซินหมิงเฟิ่ง

   “ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะให้เขาติดต่อกับคุณ ทำความรู้จักคุณให้มากขึ้น แต่ว่า....” เซินจงหยุดพูดไปแล้ววนมือไปมาคล้ายกำลังพยายามคิดหาคำพูดที่เหมาะสม “....เขาหายตัวไป ไม่ใช่หายตัวไปด้วยความตั้งใจของตัวเองแต่ว่า....”

   “ลักพาตัวหรือคะ?” ซากุระมุ่นคิ้ว

   “...ใช่....”

   ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมห้องรับแขก ทั้งสองต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปในสถานการณ์เช่นนี้ ซากุระครุ่นคิดกับตนเองเงียบ ๆ ในใจเช่นเดียวกับเซินจง

   “พอจะทราบไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น?”

   เซินจงส่ายศีรษะ เขารู้ว่าจะไม่เป็นการดีหากพูดเรื่องคิมหันต์ออกไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่จะไม่แพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาดก็ตาม มันเป็นเรื่องของการหยามเกียรติขั้นรุนแรงสำหรับเขา คนที่เลี้ยงดูมากับมือ ให้ทำงานใกล้ชิดและผลักดันให้ก้าวหน้า กลับเป็นสุนัขที่มีเจ้าของอยู่แล้ว

   “บางที เสวียนอู่ ไป๋หู่ หรือชิงหลง อาจจะมีใครสักคนที่มีส่วนในเรื่องนี้ก็ได้สินะคะ” การกล่าวชื่อผู้ต้องสงสัยของซากุระทำให้เซินจงเงยหน้าขึ้นมองว่าที่ลูกสะใภ้ตนเอง เขาไม่ได้ชี้นำให้อีกฝ่ายคิดเช่นนั้น แต่ราวกับว่าหญิงสาวคิดขึ้นมาได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนมาบอกให้เสียเวลา

   “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”

   “เพราะคุณลังเลที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คุณถึงได้เรียกฉันมาเพื่อปรึกษาไม่ใช่แค่อยากจะบอกข่าวร้ายให้ฉันทราบ และ...เพราะคุณไม่มีการเคลื่อนไหวในการส่งคนของคุณออกไปตามหา มันอาจเป็นเรื่องที่คุณออกหน้าทำด้วยตัวเองไม่ได้” ซากุระกล่าวสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา เธอไม่สงสัยเลยว่าหากเป็นคนอื่น ใครสักคนที่คิดจะลักพาตัวเซินหมิงเฟิ่ง คน ๆ นั้นจะถูกตรวจสอบหาอย่างรวดเร็วและถูกจัดการอย่างเงียบสนิทที่สุด จะต้องมีเหตุผลที่ทำให้เซินจงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้เองได้ “คุณต้องการความช่วยเหลือจากฉัน”

   เซินจงไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกอย่างไร ลูกสะใภ้ที่เขาเลือกมากับมือเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวกว่าที่คิดเอาไว้ เขาทอดสายตาอ่อนแสงมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะช้า ๆ

   “ก็ไม่เชิง” เขาว่า “ฉันต้องการปิดข่าวเพราะฉันรู้ว่าจะมีคนฉวยโอกาสในสถานการณ์แบบนี้ การปิดข่าวไว้เฉพาะวงในทำให้ข่าวลือเกิดน้อยลง”

   “ฉันอยากจะช่วยค่ะ”

   “อันตรายเกินไป” เซินจงว่าแล้วโบกมือ

   “แต่คุณเชิญฉันมาที่นี่ เพราะอยากให้ฉันช่วยไม่ใช่หรือคะ? ฉันคิดว่าฉันสามารถทำได้ในสิ่งที่คนของคุณทำไม่ได้ อีกอย่าง เซินหมิงเฟิ่งเป็นคู่หมั้นของฉัน ฉันไม่อยากเป็นแค่ผู้หญิงที่นั่งรอให้คนมาปกป้อง หรือทำได้แค่นั่งสั่งงานคนอื่นไปวัน ๆ” ซากุระกล่าวแล้วยิ้มออกมา “ฉันมีวิธีการของฉันเอง ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ”

   เซินจงผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ทั้งที่เขาคาดเดาไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นไปแบบนี้ และเขาจงใจให้เป็นไปแบบนี้ แต่ว่าเขากลับรู้สึกลังเลและหนักใจเมื่อซากุระกลับเสนอตัวเองก่อนที่เขาจะร้องขอ

   “ผมขอคำสัญญาข้อหนึ่งได้ไหม?”

   “คะ?”

   “อย่าพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์อันตราย ที่...มีอาวุธและความรุนแรง อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกระดับล่าง คนพวกนั้นไม่เข้าใจธรรมเนียมของเราและทำได้ทุกอย่างเพื่อความพึงพอใจ พยายามอยู่ให้ใกล้ชิดกับกลุ่มหัวหน้าและสืบหาจากที่นั่น” เซินจงกำชับที่คล้ายกับเป็นกฎเกณฑ์บังคับสำหรับซากุระซึ่งเป็นหญิงสาว การที่ผู้หญิงลงมือทำบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวเองจะเกิดปัญหาหลายประการ และไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่เรียนรู้จักการให้เกียรติผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกคนที่ทำงานในตำแหน่งล่าง ๆ

   “ฉันสัญญาค่ะ” ซากุระเข้าใจความหมายของเซินจง เธอตอบรับอย่างง่ายดายและตั้งใจจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกมาเฟียระดับล่างล้วนแต่ยากจะเชื่อใจ ถึงแม้เธอจะมีดีกรีว่าเป็นคู่หมั้นของวาที่จูเชว่ ก็ใช่ว่าจะทำให้ความเป็นผู้หญิงในตัวเธอลดน้อยถอยลงไป

   “ผมจะให้คนไปส่งที่บ้าน”

   “ขอบคุณค่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะคุณเซิน” ซากุระเดินไปขึ้นรถที่ถูกนำมาจอดรอที่หน้าบ้าน เซินจงมองส่งจนกระทั่งลับสายตาไปแล้วจึงเดินโขยกเขยกเข้าบ้านด้วยการพยุงของหวางซาน ส่วนหวางซือเดินเลียบอยู่ใกล้ชิดไม่ยอมห่าง

   “เธอยอมร่วมกับเราแล้ว” เซินจงกล่าว แต่ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขากลับไม่ได้รู้สึกสบายใจเลย...

------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #34 เมื่อ07-12-2011 14:29:13 »

   ซากุระเอ่ยขอบคุณคนขับรถที่มาส่งก่อนจะเดินเข้าบ้าน เธอใช้เวลาไปไม่มากนักในการเดินทางและสนทนา ทำให้เวลานี้ยังเป็นเวลาเพียงบ่ายแก่ ๆ และพ่อของเธอยังไม่น่าจะกลับมาบ้าน คนรับใช้ในบ้านค่อนข้างแปลกใจเมื่อเห็นว่าเธอกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้

   “ไม่ได้พบคุณเซินหมิงเฟิ่งหรือคะ?” คนรับใช้เก่าแก่ในบ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าคุณหนูของตัวเอง การที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายแยกกันกลับเร็วเช่นนี้ในการพบหน้ากันครั้งแรก ๆ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์เลย

   “ฉันไม่ได้ไปพบคุณเซินหมิงเฟิ่งหรอก ฉันไปพบคุณเซินจงต่างหาก” หญิงสาวช่วยไขข้อข้องใจให้อีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว และจะล้างเครื่องสำอางออกด้วย

   “เอ๋? ทางนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”

   “ไม่มีหรอก แค่เรียกไปคุยตามปกติ ฉันจะอาบน้ำเสียหน่อย ช่วยลงไปเตรียมของหวานให้ฉันทีได้ไหม?” เมื่อเห็นว่าคนรับใช้ของตนเองเอาแต่ตั้งคำถามไม่ลดละ ซากุระจึงบอกปัดไปแล้วขอให้อีกฝ่ายไปทำหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบหมายแทน แม้ว่าในที่สุดคนรับใช้ที่ดูแลเธอเสมือนแม่จะยินยอมละวางความสงสัยและไปทำตามคำสั่งแต่โดยดี ซากุระก็ยังเกรงว่าเรื่องนี้หากถึงหูพ่อเธอคงไม่ดีเป็นแน่

   “เดี๋ยวก่อน คุณมิเอะ ช่วยเก็บเรื่องนี้อย่าบอกคุณพ่อด้วยนะ” เธอรีบกำชับ

   “เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ” ตอนแรกเธอคิดจะไม่ตอบรับ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณหนูของเธอ มิเอะก็จำต้องรับปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในบ้านนี้ต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าความสัมพันธ์ของคุณมินาโมโตะและลูกสาวไม่ค่อยเป็นไปในทางที่ดีนัก เหมือนกับกำลังเล่นบทพ่อลูกกันอยู่เท่านั้น หญิงรับใช้ที่ทำงานให้บ้านนี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ก็ยังไม่อาจเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ได้ ทำได้เพียงมองดูอยู่ห่าง ๆ

   เมื่อเห็นคนรับใช้เดินจากไป ซากุระจึงกลับเข้าห้อง อาบน้ำแต่งตัวใหม่ให้สบายตัวขึ้นแล้วจึงลงมาข้างล่าง ซึ่งมิเอะจัดเตรียมขนม นม เนย ไว้พรักพร้อมแล้ว

   “คุณมิเอะลองทำขนมเองหรือคะ?” ซากุระเห็นขนมที่วางบนโต๊ะก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่ามันเป็นขนมญี่ปุ่นไม่ใช่ขนมคนจีนอย่างที่กินเป็นประจำตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่

   “ใช่แล้วค่ะ ฉันลองออกไปหาวัตถุดิบดู กินขนมแข็ง ๆ ฝืดคอพวกนั้นทุกวันก็คิดถึงขนมหวานอร่อยของที่บ้านขึ้นมา ฉันก็เลยไปค้นตำราออกมาน่ะค่ะ แต่ว่าอาจจะรสชาติไม่เหมือนกับที่ญี่ปุ่นเพราะวัตถุดิบบางอย่างฉันก็หาไม่ได้” มิเอะอธิบายไปก็จัดการจัดขนมเลื่อนไปตรงหน้าหญิงสาว “แล้วก็ชาเขียวฉันเตรียมมาเยอะก็เลยยังมีเหลืออยู่ ทานกับขนมญี่ปุ่นแบบนี้ถึงจะเข้ากันนะคะ”

   “คุณมิเอะนี่ก็ชาตินิยมเอาเรื่องเหมือนกันนะคะ” ซากุระหยอกเย้า

   “คุณหนูนี่ ฉันไม่ได้ชาตินิยมเสียหน่อย แต่ของที่เคย ๆ กันอยู่มันก็ต้องคิดถึงบ้างสิคะ” มิเอะยิ้มรับคำหยอกของคุณหนู

   “ถ้าฉันแต่งงานไปคงต้องแย่งตัวคุณมิเอะจากคุณพ่อเสียแล้วสิ”

   “โถ คุณหนู ถ้าคุณหนูแต่งงานไป ฉันก็ต้องตามคุณหนูไปอยู่ด้วยสิคะ” ซากุระยิ้มให้เมื่อมิเอะว่าเช่นนั้น แต่เธอไม่คิดว่าบ้านตระกูลเซินจะยินยอมให้คนรับใช้ของเธอไปอยู่ด้วย พวกเขาทำธุรกิจที่คนนอกไม่ควรรู้ และในบ้านหลังนั้นก็เต็มไปด้วยความลับมากมายซึ่งไม่ควรมีใครเข้าไปแตะต้องโดยไม่จำเป็น

   “คิดถึงรสหวานนุ่มแบบนี้จริง ๆ ด้วยนะคะ” ซากุระเปลี่ยนเรื่อง ถึงแม้กลิ่นรสจะเพี้ยนไปจากที่เธอจำได้ แต่การกินขนมที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศตัวเองด้วยวัตถุดิบจากประเทศอื่นก็คงคาดหวังให้รสเหมือนต้นกำเนิดไม่ได้ “ความจริงแล้วที่นี่มีห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ ฉันจะลองส่งคนไปหาของดูดีไหม?”

   “ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ” มิเอะว่าแล้วหัวเราะเบา ๆ “ไว้ว่าง ๆ ฉันลองไปดูเองดีกว่าค่ะ”
   ซากุระยิ้มบาง แม้ว่าภายนอกแล้วดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดอะไรและเป็นปกติ กระนั้นภายในใจของเธอกลับกำลังคิดเรื่องมากมายอยู่ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอ จะสามารถทำอะไรได้บ้างนะ? ถึงแม้จะรับปากกับจูเชว่ไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนี่ไม่ใช่เพียงแค่การเจรจางานกับคู่ธุรกิจแบบที่เธอถนัด แต่เป็นการก้าวขาสู่โลกของมาเฟียด้วยฐานะที่ยังไม่เต็มตัว

-------------------------------->

   “เซินหมิงเฟิ่งเป็นยังไงบ้าง?” นั่นคือคำถามแรกที่ชิงหลงเอ่ยกับคิมหันต์เมื่อเขามาถึงห้องสูทที่เขาซื้อเอาไว้และดัดแปลงห้องหนึ่งเพื่อใช้งานเฉพาะอย่าง

   “คุณเซินพยายามถามเสมอว่าคุณคิดจะทำยังไงกับเขาครับ” คิมหันต์รายงานตามความจริง วันที่ผ่านมา เท่าที่เขาจำได้เมื่อนำอาหารหรือของจำเป็นเข้าไปให้ เซินหมิงเฟิ่งมักจะหาทางตะล่อมถามเขาอยู่เสมอถึงสถานการณ์ด้านนอก เขาเองก็พอเข้าใจอีกฝ่ายที่ถูกกักขังไว้เหมือนนักโทษ แม้แต่หน้าต่างก็ถูกปิดไว้สนิทจนมองไม่เห็นอะไร คนเดียวที่เซินหมิงเฟิ่งสนทนาด้วยมีเพียงเขา และเขาเป็นคนเดียวที่เป็นสื่อกลางระหว่างเซินหมิงเฟิ่งกับโลกภายนอกที่เจ้าตัวไม่สามารถติดต่อด้วยได้

   “แต่ไม่ได้อาละวาด?” ชิงหลงเลิกคิ้ว เขาคิดว่าเซินหมิงเฟิ่งจะมีความอดทนน้อยกว่านี้และคงจะอาละวาดไปแล้ว แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้รับรายงานความประพฤติที่ก่อความวุ่นวายของเซินหมิงเฟิ่งแม้แต่สายเดียว
   “ไม่มีการอาวะลาดเลยครับ แล้วยัง....”

   “ยัง?”

   คิมหันต์ถอนหายใจเฮือก

   “เหมือนคิดอะไรคนเดียวบ่อย ๆ ผมอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”

   ชิงหลงพยักหน้ารับ คิมหันต์ไม่ใช่คนประเภทที่จะอ่านใจคนได้ เจ้าตัวถูกฝึกมาให้ทำภารกิจให้สำเร็จไม่ได้ฝึกมาให้คิดเรื่องซับซ้อน คิมหันต์อาจแสดงละครเก่งซึ่งเจ้าตัวแสดงให้เห็นแล้วจากการอาศัยอยู่บ้านตระกูลเซินถึงสิบกว่าปี แต่ก็อ่านบทละครของคนอื่นไม่ขาด

   “วันนี้ผมมาชั่วคราว เดี๋ยวต้องออกไปสะสางงานที่เหลือ” ชิงหลงบอกแล้วกวักมือเรียกการ์ดอีกคนเข้ามา “แต่ผมมีงานให้คุณทำคิมหันต์ เขาจะช่วยคุณจัดการให้เรียบร้อย”

   “ครับ...ผมเข้าใจแล้ว” คิมหันต์รับรู้หน้าที่อย่างรวดเร็ว ชิงหลงนึกชื่นชมตระกูลเซินในใจที่สั่งสอนอีกฝ่ายมาได้ดี

   “จัดการให้เรียบร้อย ผมหวังว่าเมื่อคุณกลับมา ผมจะได้เห็นในสิ่งที่ถูกที่ควร” ชิงหลงตบลงบนบ่าคิมหันต์หนัก ๆ 2 ครั้ง การสัมผัสตัวเช่นนี้จากผู้เป็นนายซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเกินเอื้อมเป็นการให้กำลังใจและการฝากฝังภาระที่ทำให้ฮึกเหิมไปพร้อม ๆ กับความหนักอึ้งบนบ่า แม้ว่าคำสั่งในครั้งนี้ของชิงหลงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ กระนั้นมันก็มีผลกับตัวเขานับแต่นี้ไปจนวันตาย

   ชิงหลงโบกมือให้ทั้งสองคนออกไป เสร็จแล้วจึงเดินไปทางห้องของเซินหมิงเฟิ่ง

   “ฉันจะเข้าไปข้างในคนเดียว ไม่ต้องให้ใครตามเข้ามา” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

   “ทำไมพวกคุณถึงไม่หัดเคาะประตูเหมือนที่คนของคุณทำบ้าง” เซินหมิงเฟิ่งต่อว่าทั้งที่คาบแปรงสีฟันไว้ในปาก อย่างน้อยอีกฝ่ายควรให้เวลาเขาแปรงฟันให้เสร็จก่อนจะบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่ใช่ที่ของเขาก็ตาม

   “เพราะที่นี่เป็นห้องของผม ไปบ้วนปากให้เรียบร้อยก็ได้ ผมจะรอ” ชิงหลงว่าก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงแล้วหยิบหนังสือบางเล่มขึ้นมาเปิดผ่าน ๆ ทุกเล่มเป็นหนังสือของเขาและเขาเคยอ่านมาหมดแล้ว แทบจะจำเนื้อหาทั้งหมดได้เสียด้วยซ้ำ

   “ดูเหมือนว่าคุณมีอะไรจะคุยกับผมนะ หลังจากที่คุณทิ้งผมไว้ที่นี่แล้วก็หายหน้าไปหลายวัน” เซินหมิงเฟิ่งล้างปากอย่างรวดเร็วแล้วออกมาเผชิญหน้ากับคนที่เป็นผู้ร้ายลักพาตัว

   ชิงหลงวางหนังสือในมือลงบนกองแล้วประสานมือบนตักแบบที่ชอบทำเสมอเวลาที่กำลังจะพูดเรื่องสำคัญ

   “ผมได้ยินมาว่าคุณเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ”

   “ใช่ ในรอบ 8 ปีที่ผมไม่ได้เหยียบเกาะฮ่องกงเลย” เซินหมิงเฟิ่งพ่นลมหายใจออกมาแล้วเดินไปที่หน้าต่าง “เรื่องของผม มันคงไม่ได้สำคัญเท่ากับผลประโยชน์ของคุณ ผมได้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านแค่อาทิตย์เดียว เจอหน้าคู่หมั้นหนึ่งคืน และโชคดีก็วิ่งมาหา ได้รู้ว่าคนในบ้านตัวเองเป็นคนทรยศ และได้รู้จักชิงหลงแบบใกล้ชิด” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะประชดประชันเมื่อเขารู้สึกเก็บกดมาสามวัน นั่นยังไม่รวมเวลาที่เขาหลับไปหลังจากถูกลักพาตัว

   “ผลประโยชน์ของผม? คุณรู้หรือว่าผมต้องการอะไร” ชิงหลงจงใจลองถาม แม้ใจเขาจะรู้ดีว่าเซินหมิงเฟิ่งไม่มีทางรู้ความจริง

   “ไม่รู้สินะ บางทีคุณอาจจะอยากตกลงบางอย่าง เช่น...แบ่งปันผลประโยชน์กับจูเชว่”

   คำพูดของเซินหมิงเฟิ่งทำให้ชิงหลงนึกขัน อีกฝ่ายรู้จักการใช้คำพูดแบบของพวกเขานั่นแสดงว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยลืมฐานะของตัวเองตลอดเวลาที่ไปอยู่อังกฤษ หรือไม่ เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่กลับมาก็ทำให้อีกฝ่ายสำนึกรู้ถึงจุดที่ตัวเองยืนอยู่ได้

   “ผมต้องการอะไรจากจูเชว่?”

   “เรื่องนั้นผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน” เซินหมิงเฟิ่งไหวไหล่ “อำนาจการดูแลล่ะมั้ง?”

   “ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ คุณคาดเดาไว้แค่นี้เองหรือ?” ชิงหลงเลิกคิ้วคล้ายจะท้าทายอีกฝ่าย

   “ผมไม่คิดว่าคุณอยากจะให้ผมรู้อะไรนักหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคุณน่าจะบอกผมแต่แรกแล้ว คุณบอกผมแค่ว่าคุณต้องการทวงถามสิ่งแลกเปลี่ยน บางทีอาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่แลกกับตัวผมได้ล่ะมั้ง? อะไรที่มีค่าเทียบเท่ากับทายาทของจูเชว่อีก? คงมีค่าเทียบเท่ากับลูกของคุณ”

   “ผมยังไม่มีลูก” ชิงหลงว่าแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งจากในกอง

   “งั้นผมก็เดาไม่ออกแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งกลอกตารอบหนึ่ง ความจริงเขาคาดเดาอะไรไว้มากมายแต่เขารู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องตอบอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหาจุดเชื่อมโยงกับการคาดเดาทั้งหมดไม่ได้ อุปสรรคแรกนั่นคือ ทุกครั้งที่เขาคิดขึ้นมาจะต้องมีสิ่งที่คัดค้านได้ทุกครั้ง การที่เขาจากที่นี่ไปนานและแม่ของเขาก็ไม่อยากให้เขาเอาเรื่องมาเฟียเข้าไปในบ้าน ทำให้เขาแทบไม่รู้เรื่องของทางนี้เลย พูดง่าย ๆ คือ เขารู้แค่เรื่องพื้นฐาน แต่เรื่องลึก ๆ เกี่ยวกับผู้นำแต่ละคนไม่ได้อยู่ในสมองเขาแลยแม้แต่คนเดียว

   หากว่าเขาอยู่ที่บ้าน แค่ยกหูโทรศัพท์ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว

   หรือไม่ก็ให้หวางซือจัดการ

   เส้นสายของจูเชว่สามารถทำได้เกือบทุกอย่างที่มนุษย์ทำได้ ปัญหาก็คือ ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้อำนาจของจูเชว่ได้ และเขาไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดจะคิดได้ด้วยตัวคนเดียวเหมือนพ่อ

   ทำไมเขาถึงไม่สืบหาข้อมูลของคนอื่น ๆ มากกว่านี้นะ

   ก็แน่ล่ะ เขามองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนทอดสายตามองไปยังชิงหลงซึ่งเปิดหนังสือในมือท่าทางสนอกสนใจ หรือไม่ อีกฝ่ายก็กำลังมองหาอะไรบางอย่าง ความจริงเขาคิดว่าชิงหลงจะมีบางอย่างจะคุยกับเขา แต่บางที อีกฝ่ายคงแค่อยากจะเข้ามาหาหนังสืออ่าน

   “ถ้าคุณเจอเล่มที่ต้องการแล้วก็เอาไปเลยแล้วกัน ผมอ่านเกือบหมดแล้ว”

   “เกือบหมดแปลว่ายังไม่หมด” ชิงหลงว่าทั้งที่ยังพลิกเปิดหนังสือในมือ

   “บางทีรสนิยมของผมกับคุณคงต่างกัน คุณอ่านแต่....” เซินหมิงเฟิ่งทำมือผายไปยังกองหนังสือแล้วตีหน้าหลากอารมณ์ “เอาเป็นว่ามันไม่ใช่อะไรที่ผมชอบอ่าน”

   “เสียใจด้วยนะ” ชิงหลงพูดเสียงเรียบตามมารยาท ไม่ได้บ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เลยสักนิดเดียว ความจริงแล้วชิงหลงอาจจะกำลังคิดว่าตัวเองมีน้ำใจมากพอแล้วที่เอาของส่วนตัวมาแบ่งปันให้ตัวประกันกิตติมศักดิ์อย่างเขาร่วมใช้ด้วย เซินหมิงเฟิ่งได้แต่กลอกตาไปมาเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อ ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่รสนิยมด้านการอ่านของเขา

   “คุณเซิน”

   “ครับ?” แต่แล้วฝ่ายนั้นกลับเป็นผู้ต่อบทสนทนาที่ขาดหายไปเสียเอง

   “คุณเคยไปอิตาลีไหม?”

   “ยัง ผมอยู่ที่อังกฤษตลอด 8 ปี นอกนั้นก็ที่ฮ่องกง คุณถามผมทำไม?” เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ชิงหลงก็พูดถึงอิตาลีขึ้นมา ชื่อประเทศนั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นธุระระหว่างพวกเขาทั้งสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเขาและจูเชว่ซึ่งไม่มีส่วนไหนเกี่ยวข้องกับอิตาลีเลยแม้แต่ธุรกิจที่ทำอยู่

   “เวเนเซีย” ชิงหลงว่าแล้วยกหนังสือในมือขึ้น หน้าที่เปิดอยู่เป็นเมืองเวนิสในอิตาลี

   “ถ้าคุณอยากจะไปเที่ยว คุณไม่ต้องบอกผมก็ได้” เซินหมิงเฟิ่งรีบโบกไม้โบกมือ เขาไม่ได้อยากจะรู้กำหนดการณ์ของอีกฝ่ายสักนิด หากว่านั่นหมายถึงการที่เขาต้องแกร่วอยู่ที่นี่ไปอีกสักหลายอาทิตย์

   “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้จะปล่อยคุณไว้ที่นี่หรอก” คำพูดของชิงหลงทำให้เซินหมิงเฟิ่งหมุ่นคิ้ว อีกฝ่ายคงไม่ได้หมายความว่า....

   เซินหมิงเฟิ่งชิงหัวเราะออกมาก่อนอีกฝ่ายจะพูดต่อ

   “ผมไม่ยอมไปไหนกับคุณหรอกนะ”

   “แต่ผมมีวิธี ถ้าคุณไม่ยอมไปดี ๆ ผมก็ทำให้คุณไปจนได้” ชิงหลงพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้ทำสีหน้าลำบากใจแม้แต่น้อย ขนคิ้วสักเส้นก็ไม่กระดิก นั่นหมายความว่า อีกฝ่ายวางแผนเอาไว้หมดแล้ว และหากเขาขัดขืนอีกฝ่ายก็มีแผนสำรองมากมายในหัว

   เซินหมิงเฟิ่งกลั้นหายใจ....

   “เตรียมตัวไว้ให้ดีด้วย” ชิงหลงไม่สนใจปฏิกิริยาตอบกลับของอีกฝ่าย เขาวางหนังสือลงทีเดิมแล้วเดินไปที่ประตู “อ้อ หนังสือพวกนั้น คุณน่าจะลองอ่านดู เผื่อว่าคุณจะหาช่องทางหนีผมได้ในเวเนเซีย”

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #35 เมื่อ07-12-2011 14:59:55 »

อั๊ยยะ
ชิงหลงจะทำอะไรนะ พาคุณเซินไปอิตาลีแบบนี้
คิดอะไรกับเค้ารึเปล่าตัวเอง 555

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #36 เมื่อ07-12-2011 20:58:56 »

เรื่องนี้ทั้งลึก ทั้งลับจริง ๆ ผ่านไป 5 ตอนแล้ว ยังไม่มีความลับอะไรเปิดเผยมาเลย  :undecided:

ชิงหลงเอาอาหมิงมาขังแบบไม่รู้จุดประสงค์ซะหลายวัน อยู่ ๆ ก็จะพาหนีไปไกลถึงอิตาลี
แล้วแบบนี้ คุณหนูซากุระจะตามคู่หมั้นตัวเองเจอได้อย่างไง ?
 

MaeMoo

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #37 เมื่อ07-12-2011 22:44:34 »

เห็นชื่อเซียร์ รีบตามมาทันที
ไม่ผิดหวัง เหมือนได้เจออาเฟยอีกหน
รออ่านต่อนะคะ

 :L1:

ออฟไลน์ thaitanoi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #38 เมื่อ08-12-2011 02:33:31 »

ลึกลับเสียจนงงไปหมดแล้ว ต้องรอลุ้นกันต่อไป

Jacknight

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #39 เมื่อ16-12-2011 01:46:48 »

เผยควาามลับหน่อยเหอะค้าบ สักนิดก็ยังดี

ตอนนี้คนอ่านเริ่มจะมืดแปดด้านแล้ววว

รออ่านตอนต่อไปนะคับ  มาต่อเร็วๆเน้อออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
« ตอบ #39 เมื่อ: 16-12-2011 01:46:48 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #40 เมื่อ16-12-2011 13:58:43 »

กลับมาอีกครั้งกับนิยายลึกลับซ่อนเงื่อน~ จำเรื่องก่อนไม่ค่อยได้แล้วอ่ะ  ใครเป็นใครกันนะ.....

Pizeiro

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #41 เมื่อ16-12-2011 14:06:57 »

เห็นชื่อเรื่องแล้วรีบคลิกเข้ามาอ่าน !@!

แนวจีนๆแบบนี้ชอบอ่านมาก ^^

เนื้อเรื่องซับซ้อน เดาไม่ออกเลยว่าใครจะคู่กับใคร O^o

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #42 เมื่อ16-12-2011 23:44:29 »

ชิงหลงเป็นพระเอกปะคะ เหอะๆ ถ้าใช่ ขอบอกว่าเป็นพระเอกที่กวนส้น... มากๆค่ะ 5555 อยากตื้บสักที

ออฟไลน์ Lilyrum

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #43 เมื่อ18-12-2011 14:58:03 »

เนื้อเรื่องซับซ้อนมากกก
แต่ก็ยังขอติดตาม ^^

มาอัพเร็วๆนะคะ ^^

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #44 เมื่อ18-12-2011 16:27:56 »

อ่านเอาเป็นเอาตายต่อไป ประเด็นมันอยู่ที่ไหน ทำไมต้องจับตัวมาด้วยล่ะ อยากรู้ๆ

LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
«ตอบ #45 เมื่อ18-12-2011 21:05:16 »

กำลังหนุกอยุเลย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #46 เมื่อ20-12-2011 17:46:04 »

-6-


เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังนั่งทอดหุ่ยอยู่คนเดียว เขากลอกตาแล้วบอกให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ คิมหันต์จึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง

“คุณหายไปไหนมาตั้งหลายวัน?” นั่นเป็นคำถามแรกที่เซินหมิงเฟิ่งถามเมื่อเห็นหน้าคนที่เขาไม่ได้เจอมา 2-3 วัน ทั้งที่ผู้ชายคนนี้ได้รับคำสั่งมาให้ดูแลเขา ช่วงที่หายไป มีคนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทนซึ่งคนเหล่านั้นต่างก็ทำหน้าเคร่งขรึมเหมือนสตาฟเอาไว้ และไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว แค่เอาอาหารเข้ามาแล้วก็เก็บออกไปวันละสามเวลา มันทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกกดดันเหมือนอยู่ในคุกที่มีผู้คุมเข้มงวดมากกว่าเดิม

“ผมได้รับคำสั่งให้ไปทำงานน่ะครับ” คิมหันต์ว่าแล้วเอากระเป๋ามาวางบนเตียง “นี่สำหรับคุณ”

“เขาจะเอาผมไปอิตาลีจริง ๆ” เซินหมิงเฟิ่งเม้มปากขณะมองกระเป๋าใบนั้น

“ผมจะช่วยเก็บของนะครับ” ชายหนุ่มบอดี้การ์ดเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบของในนั้นออกมาวางเรียง “กำหนดเดินทางคือมะรืนนี้ ชิงหลงเป็นคนตรงต่อเวลามาก เขาคงไม่พอใจถ้าเราเตรียมตัวไม่ทัน”

เซินหมิงเฟิ่งมองไปยังคิมหันต์ เขารู้สึกแปลกกับอีกฝ่าย เหมือนกับว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกเป็นกังวลและไม่คุ้นเคย

“เขาส่งคุณไปทำงานอะไร?”

“ขอโทษด้วยครับ” คิมหันต์ตอบเพียงสั้น ๆ ซึ่งเขารู้ว่าคำตอบเพียงแค่นี้เซินหมิงเฟิ่งก็เข้าใจความหมาย ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งกลับรู้สึกได้ถึงอาการลุกลี้ลุกลนในดวงตาของคิมหันต์ คนเราจะรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่กันนะ? เหมือนกับคนที่รู้สึกว่ามีบางอย่างใกล้ตัวเปลี่ยนแปลงไปและพยายามทำใจให้คุ้นชินกับมัน

ชายหนุ่มหรี่ตาลง มองอากัปกิริยาของฝ่ายตรงข้าม คนเรายิ่งถูกจับจ้องก็จะยิ่งแสดงพิรุธมากขึ้น

“เปิดเสื้อออกหน่อยได้ไหม?”

ทันทีที่เซินหมิงเฟิ่งสั่งเช่นนั้น คิมหันต์ก็สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็มากพอจะสังเกตเห็นได้ แต่ชายหนุ่มผู้เป็นบอดี้การ์ดก็รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิเสียงที่จะปฏิเสธ และถึงไม่เปิดเผยในวันนี้ วันอื่น ๆ ที่เขาต้องพะว้าพะวงว่าอีกฝ่ายจะรู้เมื่อไหร่ก็คงไม่จบสิ้น

คิมหันต์ยืดตัวตรง และค่อย ๆ เปิดเสื้อตนเองออก เริ่มจากเสื้อนอกและเสื้อเชิ้ต ทำให้เซินหมิงเฟิ่งได้เห็นสิ่งที่แปลกตา

รอยสักที่อยู่บนอก ที่เคยเป็นรูปหงส์สีแดงเพลิง บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นลายมังกรสีเขียวเข้ม

เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจเข้าลึก

“ออกไป”

“คุณเซิน ของพวกนี้....”

“ออกไป เดี๋ยวผมจัดการเอง” เสียงของเซินหมิงเฟิ่งนิ่งสนิท และราบเรียบเสียจนน่าหวั่นใจ คิมหันต์จำใจต้องเดินออกไปตามคำสั่งแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่นายของเขาอีกแล้ว

เซินหมิงเฟิ่งล้มนอนบนเตียง รู้สึกล้าและว้าเหว่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

การถูกกักขังทำให้เขาไร้อิสรภาพ แต่อย่างน้อยคิมหันต์ก็เป็นคนหนึ่งที่เขารู้จักดีและสามารถพูดคุยด้วยได้แม้ว่าจะรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนของชิงหลงและเลือกที่จะทรยศจูเชว่ก็ตาม แต่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถคิดแบบนั้นได้อีกต่อไป ชิงหลงได้พรากความเป็นจูเชว่ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของคิมหันต์ไปแล้ว และทำให้กลายเป็นคนของชิงหลงอย่างเต็มตัว สัญลักษณ์มังกรบนอกนั้นตอกย้ำให้เซินหมิงเฟิ่งรับรู้สถานะของตนเอง ว่าในตอนนี้ตัวเขาไม่มีอะไรสามารถปกป้องคุ้มครองได้อีกต่อไปนอกจากตัวเองเท่านั้น

ความอ้างว้างถาโถมเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เซินหมิงเฟิ่งรีบลุกจากเตียงทันที เพราะรู้ว่าการอยู่เฉย ๆ จะยิ่งทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นชัดเจนมากขึ้น

เขามองไปยังเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย บางส่วนถูกวางลงไปในกระเป๋าแล้ว

เวนิส...

ชายหนุ่มเม้มปาก

ที่นั่นเขาเลวร้ายยิ่งกว่าเพราะเป็นอาณาเขตของคนอื่นโดยสิ้นเชิง เขาจะเอาตัวรอดได้ยังไง? จะออกไปจากสถานะแบบนี้ได้ยังไง?

เขาจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน...

---------------------->

“คุณหนู โทรศัพท์ค่ะ” มิเอะถือโทรศัพท์วิ่งเข้ามาหาซากุระและพูดด้วยเสียงที่เบาที่สุด ท่าทางของฝ่ายนั้นดูเร่งร้อนและระมัดระวัง ทำให้ซากุระเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเรื่องใด เธอรับโทรศัพท์มาแนบหู

“ฉันจะออกไปพบคุณในอีก 10 นาที” หลังจากพูดเพียงประโยคสั้น ๆ ซากุระก็ส่งโทรศัพท์คืนแก่แม่บ้านแล้วลุกขึ้น “ไม่ต้องเตรียมรถนะคะ ฉันจะออกไปคนเดียว”

“แต่ว่า....”

“ถ้าเตรียมรถ พ่อจะต้องรู้แน่ ๆ ฉันไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ฝากดูแลด้วยนะคะ” หญิงสาวว่าแล้วก็รีบขึ้นไปแต่งตัวก่อนจะออกไปใช้บริการแท็กซี่ ในเวลาเพียงไม่นาน เธอก็เดินทางมาถึงร้านคอฟฟี่ชอปเล็ก ๆ ที่ตั้งริมทาง มีลูกค้านั่งอยู่หน้าร้านประปราย เป็นเด็กสาวเสียส่วนมาก หรือไม่ก็เป็นเด็กสาวเด็กหนุ่มกำลังนั่งกระหนุงกระหนิงกัน เพราะคอฟฟี่ชอปแห่งนี้เป็นร้านที่ตั้งเอาใจวัยรุ่นในย่านนี้ ซึ่งจะไม่มีใครให้ความสนใจใคร ทุกคนจะคุยกันอยู่เฉพาะในวงสนทนาของตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกเป็นส่วนตัวแม้จะอยู่ในที่ชุมชน

เมื่อเธอเดินเข้าไปในร้าน ก็สามารถสังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งได้ทันที คนที่แตกต่างจากลูกค้าทั่วไปในร้าน แต่ไม่ได้ดูแปลกตาจนผิดสังเกต

หญิงสาวเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงตรงหน้า

“มิลค์เชคค่ะ” ซากุระออร์เดอร์กับพนักงานที่เดินเข้ามา แล้วจึงหันไปหาชายหนุ่ม “ขอบคุณที่มานะคะ”

“ผมยินดีอยู่แล้วครับ นี่ของคุณ” ชายหนุ่มยื่นซองเอกสารให้ซากุระก่อนจะหันกลับไปจิบกาแฟร้อนในแก้วของตัวเอง รอให้ซากุระเปิดของข้างในออกดู หญิงสาวไม่รอช้า ค่อย ๆ เปิดซองนั้นออกและได้เห็นรูปภาพไม่กี่ใบในซอง โดยปกติแล้ว จำนวนรูปภาพแค่นี้คงไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่เมื่อมองภาพดี ๆ ก็พบว่าเป็นภาพที่หาได้ยากและเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ซากุระพิจารณารูปภาพเหล่านั้นอยู่นานอย่างชั่งใจ

พนักงานนำมิลค์เชคมาเสิร์ฟ ทำให้ซากุระรีบหย่อนรูปภาพกลับเข้าไปอย่างแนบเนียน รอจนกระทั่งพนักงานเดินจากไปจึงหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง

“แปลกนะคะที่คุณได้ภาพดีถึงขนาดนี้แต่กลับไม่เอาไปขายหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์”

“ผมก็มีจรรยาบรรณอยู่นะคุณหนูมินาโมโตะ” ชายหนุ่มหัวเราะ เขาทำอาชีพนักสืบอิสระมาตั้งแต่อายุยังน้อย ย่อมรู้ดีกว่าอะไรสมควรหรือไม่ การซื่อสัตย์ต่อลูกค้าจะทำให้เขาได้รับการไว้วางใจและมีเส้นสายได้มากมาย อีกอย่าง ข่าวพวกนี้หากนำไปขายสถานีโทรศัพท์หรือสำนักข่าวอื่น ๆ ก็เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง เขายังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร และสำนักข่าวพวกนั้นก็เหมือนกัน

“ขอบคุณสำหรับงานของคุณนะคะ แล้วมีอะไรฉันจะติดต่อไปอีก” ซากุระว่าก่อนจะวางซองเอกสารลงบนโต๊ะแล้วดื่มมิลค์เชคอย่างไร้พิรุธให้ใครผิดสังเกตว่ากำลังสนทนาเรื่องอะไรอยู่ หากมองเผิน ๆ พวกเขาก็เหมือนคนสองคนที่มาเดทกันตามปกติของสถานที่แบบนี้

“ผมจะไม่ถามหรอกนะครับว่าคุณคิดจะทำอะไร แต่ผมขอเตือนว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลยจะดีกว่า”
ซากุระยิ้มให้กับคำเตือนนั้น อีกฝ่ายคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเธอเป็นใคร อยู่ในฐานะไหน การเตือนนี้คงไม่ได้คาดหวังให้เธอปฏิบัติตาม เพียงแต่นิ่งดูดายไม่ได้เท่านั้น

“ฉันจะโอนเงินที่เหลือเข้าบัญชีภายในเย็นวันนี้นะคะ” เธอว่าก่อนจะลุกขึ้น “ฉันขอตัวก่อนค่ะ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปส่งถึงแท็กซี่ ซากุระเอ่ยขอบคุณอีกครั้งก่อนจะจากกัน

ระหว่างที่อยู่บนรถแท็กซี่ ซากุระก็ดึงภาพออกมาดูอีกครั้ง ชายหนุ่มสองคนในภาพดูจะเป็นมากกว่าเพื่อนกัน ผู้หญิงอย่างเธอมีเซนส์เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจก็คือ เธอรู้จักทั้งสองคนในภาพนั้นดี ผู้ชายตัวสูงดูโดดเด่นและเรือนผมสีขาวนั่นเป็นมากกว่าเอกลักษณ์ประจำตัว และอีกคนหนึ่งซึ่งเธอได้พบเมื่อไม่นานมานี้ บางที เธออาจจะสามารถใช้เรื่องนี้เพื่อแผนขั้นต่อไปได้

รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าบ้านพักชั่วคราวของครอบครัวมินาโมโตะซึ่งทางจูเชว่จัดหาให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึง ซากุระเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นรถคันหนึ่งซึ่งไม่ควรอยู่ที่นี่กลับจอดรออยู่เหมือนเพิ่งกลับมาและกำลังจะออกไปอีกครั้ง

ซากุระเดินเข้าไปในตัวบ้าน และเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ พ่อของเธอกลับมาและกำลังจัดกระเป๋าอยู่

“ลืมของหรือคะ?”

“ใช่ นิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปต่อแล้ว” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะยกกระเป๋าลงจากโต๊ะแล้วขยับเนคไท สายตาของเขาเหลือบไปเห็นซองเอกสารในมือซากุระพอดีในจังหวะนั้น “นั่นอะไร?”

“ไม่มีอะไรค่ะ หนูแค่ฝากคนส่งของมาให้นิดหน่อย” เธอรีบบอกปัด

“ของที่ต้องออกไปเอาเองน่ะหรือ? เหอะ” มินาโมโตะผู้พ่อทำเสียงขึ้นจมูก “คงไม่ได้เกี่ยวกับจูเชว่หรอกนะ ไม่รู้ว่าทางนั้นจะเอายังไงกันแน่ ตั้งแต่วันงานก็ไม่ได้เห็นหัวเจ้าเด็กที่เป็นทายาทคนนั้นอีกเลย ถ้าคิดจะถอนหมั้นล่ะก็ ได้มีปัญหากันแน่”

“ไม่หรอกค่ะ หนูคิดว่าทางจูเชว่คงจะมีปัญหาติดขัดนิดหน่อย”

“ให้มันนิดหน่อยจริงก็แล้วกัน” เขาว่าแล้วก็เดินผ่านซากุระไป “อ้อ ระยะนี้พยายามตีสนิทกับพวกเสวียนอู่ ชิงหลง แล้วก็ไป๋หู่ด้วยล่ะ เผื่อจูเชว่เกิดเล่นแง่ขึ้นมาฉันจะได้หาสามีใหม่ให้ได้ง่าย ๆ”

ซากุระเม้มปากฝืนยิ้มแกน ๆ รอให้ผู้เป็นพ่อเดินออกไปแล้วจึงถอนหายใจออกมา

ผู้ชายคนนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็จะแสดงตัวเป็นพ่อที่แสนดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ครอบครัวของเธอไม่ได้เป็นอย่างที่คนภายนอกเห็นแม้แต่น้อย พ่อของเธอเย็นชาต่อเธอเป็นอย่างมาก ไม่เคยมองดูหรือเรียกหาเหมือนลูกกับพ่อสักครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เธอกับเขาก็ไม่ได้มีความผูกพันกันทางสายเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว แม่ของเธอคบชู้ทั้งที่ยังไม่ได้หย่ากับพ่อ และเมื่อเธอเกิดมา ผู้ชายคนนี้ก็เรียกตัวเธอเป็นเงื่อนไขในการยอมให้แม่ของเธอหย่าได้ แน่นอน พ่อของเธอรู้ว่าลูกสาวนั้นใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเงินทองของมีค่าใด ๆ ในโลกนี้ เป็นต้นทุนที่หากำไรได้อย่างไม่สิ้นสุดหากวางลงในมือของคนถูกคน

และตอนนี้ พ่อของเธอเลือกวางเธอลงในมือของจูเชว่ ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดหนึ่งในสี่คนของฮ่องกง เพียงแต่ว่า หากพ่อของเธอรู้ว่าเซินหมิงเฟิ่งหายตัวไป จะต้องเดือดดาลมากเป็นแน่ เพราะพ่อของเธอเกลียดความไม่แน่นอนมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวางต้นทุนก้อนใหญ่เช่นเธอลงไปแล้วเช่นนี้...

“ฉันจะขึ้นไปบนห้อง อย่าให้ใครขึ้นไปรบกวนฉันนะคะ” ซากุระหันไปสั่งกับมิเอะ “พอถึงเวลาอาหารเย็นฉันจะลงมาเอง”

“ทราบแล้วค่ะ”

เมื่อมิเอะรับคำ ซากุระก็ปลีกตัวขึ้นห้องไป หูของเธอแว่วเสียงรถยนต์เคลื่อนอออกไปจากตัวบ้าน แสดงว่าพ่อของเธอไปทำงานแล้ว และเธอจะมีเวลาเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องระแวงว่าอีกฝ่ายจะระแคะระคายเรื่องใด ๆ จนกว่าจะถึงช่วงค่ำหรือดึก

หญิงสาวลงกลอนประตูห้องนอนเพื่อป้องกันคนที่อาจจะเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ คนรับใช้ที่นี่ส่วนใหญ่ยังเด็กและอาจจะมีเรื่องที่รู้และไม่รู้ต่างกัน มิเอะที่มีหน้าที่สั่งสอนคงไม่สามารถกำชับข้อห้ามได้ทุกข้อ เพียงแต่หากเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็จะถูกดุไปตามระเบียบ

รูปภาพทั้งหมดถูกเรียงลงบนเตียง จำนานภาพไม่กี่ใบช่วยให้สามารถสรุปได้เพียงผิวเผิน กระดาษใบเล็ก ๆ ที่แนบมกับซองเอกสารบอกสถานที่และเวลาที่ได้ภาพมาอย่างแม่นยำ

เธอชื่นชมการทำงานที่ละเอียดลออของนักสืบเอกชนคนนี้ และอาจจะใช้บริการอีกหากมีอะไรที่เธอไม่สามารถค้นหาคำตอบด้วยตัวเองได้ กระนั้น ซากุระก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยินดีนักหากถูกร้องขอให้ไปสืบสาวเอาความกับพวกมาเฟียอีกเช่นนี้ เพราะหากถูกจับได้คงไม่จบลงแค่การยึดกล้องและอุปกรณ์ทำงาน ถือเป็นการเสี่ยงชีวิตเลยก็ว่าได้ ดังนั้นหากให้สืบลึกลงไปกว่านี้ อีกฝ่ายคงไม่ยอมรับงาน

แต่ว่า...เธอกลับอยากได้ข้อมูลที่มากขึ้น

การเดินด้วยกันและความสนิทสนมอาจไม่มากพอที่เธอจะสามารถแทรกแซงเข้าไปได้ บางที เธออาจต้องลงมือด้วยตัวเองตั้งแต่ขั้นตอนนี้

ซากุระหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหาใครบางคนที่อาจจะช่วยเธอได้

ถึงแม้เธอและพ่อเพิ่งจะเดินทางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงไม่กี่ปี แต่ก็มีเส้นสายมากพอในฮ่องกงด้วยการใช้อำนาจของจูเชว่เข้าช่วยเล็กน้อย ซึ่งมันช่วยได้ในหลาย ๆ ด้านทั้งการงานและส่วนตัว

“ฉันมินาโมโตะ ซากุระค่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปก่อนจะเม้มปากเล็กน้อยอย่างชั่งใจและกล่าวต่อ “ช่วยหาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของหลางเมี่ยวอินให้หน่อยได้ไหมคะ?”

เธอรู้สึกเหมือนปลายสายจะดูลำบากใจเล็ก ๆ

โดยปกติแล้ว เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของบุคคลเหล่านี้มักจะได้รับการดูแลปกป้องอย่างดีเพื่อป้องกันคนที่หวังจะรบกวนหรือก่อความไม่สงบ ถึงอย่างนั้น ซากุระก็ค่อย ๆ หว่านล้อมจนปลายสายรู้สึกไว้วางใจมากพอว่าเธอจะไม่ใช้ไปในทางที่อาจก่อปัญหาหรือให้สืบสาวไปถึงตัวคนประสานงานได้ เธอต้องถือสายรอถึงครึ่งชั่วโมงอย่างอดทนกว่าที่เบอร์โทรศัพท์ของคนที่เธอต้องการจะถูกส่งมาให้

หญิงสาวจดลงกระดาษแล้วทวนมันซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยการพูดแต่ไม่เมโมรี่ลงในโทรศัพท์ เพราะหากมันบังเอิญตกไปอยู่ในมือของคนอื่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

ซากุระทวนซ้ำจนจำได้ก่อนจะจัดการฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วทิ้งลงถังขยะ

กระนั้นเธอกลับไม่ได้กดโทรไปหาคนที่ต้องการแต่อย่างใด หญิงสาวเงยหน้ามองนาฬิกา เวลานี้หลางเมี่ยวอินน่าจะยังอยู่ในเวลางาน การโทรไปรบกวนคงไม่เป็นการดี

แต่แทนที่ซากุระจะลงไปพักผ่อนหรือหาอย่างอื่นทำ หญิงสาวกลับเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องและเปิดให้มันทำงาน

เสียงคอมพิวเตอร์รันตัวเองอยู่ไม่กี่นาที ก่อนจะปรากฏหน้าจอเดสก์ทอปสีสบายตาขึ้นและไอคอนโปรแกรมสำคัญไม่กี่ตัว ซากุระไม่ค่อยนิยมทำไอคอนที่หน้าเดสก์ทอปนัก เพราะเธอรู้สึกว่ามันรกสายตา ดังนั้นจึงมีแต่เพียงโปรแกรมที่สำคัญและใช้งานบ่อยเท่านั้นที่จะอยู่บนนี้ได้ แต่วันนี้เธอไม่ได้สนใจโปรแกรมบนหน้าเดสก์ทอป หญิงสาวเปิดเบาว์เซอร์อินเทอร์เน็ตขึ้นมาและกดค้นหาชื่อคนคนหนึ่ง

สิ่งที่เธอต้องการตอนนี้ คือข่าวจากหนังสือพิมพ์และอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่อันตรายคนนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายจะรู้เรื่องเกี่ยวกับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งจริงหรือไม่ กระนั้นเธอก็ต้องลองดูและพยายามลดความเสี่ยงของตัวเองให้มากที่สุด

------------------------>

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #47 เมื่อ20-12-2011 17:48:17 »

ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแทบตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน มีเที่ยวบินมากมายจอดลงที่นี่และนำผู้คนจากทั่วสารทิศมายังเกาะเล็ก ๆ ที่เจริญไปด้วยการหมุนเวียนของเงินตราและเศรษฐกิจ แม้แต่เวลาเช้าตรู่ที่ฟ้ายังไม่สว่างมากนัก

ชิงหลงอยู่ในเสื้อโค้ทยาวสีดำสนิท ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าไกลด้านทิศตะวันตก

เขากำลังรอเซินหมิงเฟิ่งอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปรับอีกฝ่ายด้วยตัวเองเพราะเขาเพิ่งสะสางงานสุดท้ายเสร็จเมื่อเวลาดึกคืนที่ผ่านมา การได้นอนเพียง 5 ชั่วโมงทำให้เขาตัดสินใจเดินทางตรงมาที่นี่และส่งคนที่ไว้ใจได้ไปรับเซินหมิงเฟิ่งจากที่อาศัยชั่วคราวแทน เขาไม่ต้องกังวลเรื่องเวลามากนักก็จริงเพราะตั้งใจที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว กระนั้นเพราะนิสัยเจ้าระเบียบและตรงต่อเวลาทำให้เขาหงุดหงิดใจเล็ก ๆ ที่เซินหมิงเฟิ่งยังมาไม่ถึงสนามบินทั้งที่เลยเวลาที่กำหนดมา 15 นาทีแล้ว

“โทรหาคิมหันต์” เขาสั่งคนสนิทคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

เมื่อได้รับคำสั่ง ชายหนุ่มก็ยกโทรศัพท์ขึ้นทันที แต่แล้วสายตากลับเลื่อนไปพบกลุ่มคนที่กำลังรออยู่พอดี เขาจึงลดโทรศัพท์มือถือลงแล้วกระซิบกับผู้เป็นนาย

ชิงหลงกวาดสายตาเฉียบขาดไปยังกลุ่มคนทีเดิมเข้ามา การ์ดสามคนที่มีหน้าที่ไปรับเซินหมิงเฟิ่งต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อรู้ว่าเจ้านายกำลังโกรธเรื่องเวลา ส่วนเซินหมิงเฟิ่งซึ่งเป็นตัวการกลับทำหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัดและดูเหมือนจะยังไม่ตื่นดี

“ทำไมถึงช้า”

“พวกเราต้องช่วยกันจัดกระเป๋าเดินทางใหม่ครับ” คิหันต์ตอบ “คุณเซิน...ไม่ได้จัดเอาไว้”

“งั้นหรือ” ชิงหลงรับคำสั้น ๆ ก่อนจะมองไปยังตัวต้นเหตุ “ผมเคยบอกเอาไว้แล้วคุณเซิน ว่าถึงคุณจะขัดขืนยังไง ผมก็จะทำให้คุณเดินตามที่ผมวางเอาไว้อยู่ดี เลิกทำอะไรที่เปล่าประโยชน์เสียที”

“ความจริงคงจะง่ายกว่านี้ถ้าคุณไม่กำหนดเวลาเดินทางเช้าตรู่แบบนี้” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วกอดอกก่อนจะมองไปยังการ์ดรอบ ๆ “คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเขาแทบจะลากผมออกมาทั้งชุดนอน”

“นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขา” ชิงหลงไม่นึกโทษคนของตนเองในข้อนั้น “ไปกันได้แล้ว”

เมื่อเซินหมิงเฟิ่งเห็นว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเห็นใจเขาแม้แต่น้อย เขาก็ได้แต่ปลงในชะตากรรมของตนเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงอิตาลีเขาจะเป็นยังไง บางที ก่อนที่ชิงหลงจะนึกขึ้นได้ว่าจะทำอะไรกับเขา เขาอาจจะขาดใจตายเสียเองเพราะการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว

เซินหมิงเฟิ่งถูกพาขึ้นไปบนเครื่องบินส่วนตัวของชิงหลง ซึ่งมีที่นั่งอยู่ไม่กี่ทีสำหรับบริเวณส่วนตัวของชิงหลงและบริเวณสำหรับการ์ด

“พาการ์ดไปด้วยแค่นี้เองหรือ?” เขาเอ่ยถามเพราะอดจะสงสัยไม่ได้

“ที่เหลือจะตามไปทีหลัง” ถึงจะตอบเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่ได้คิดจะขนการ์ดไปจำนวนมากนัก ส่วนที่มาตามมาก็มีเพียงไม่กี่คน นั่นเพราะถึงแม้อิตาลีจะอยู่นอกเขตการปกครองและค่อนข้างเสี่ยงอันตราย แต่อิตาลีก็มีกลุ่มองค์กรของตนเองในแต่ละเขตพื้นที่ซึ่งขับเคี่ยวและคานอำนาจกันอยู่แล้ว มาเฟียอิตาลีไม่ค่อยเห็นความสำคัญของมาเฟียจากซีกโลกตะวันออกมากนัก เหตุผลหนึ่งเพราะพื้นที่ที่ห่างไกลกันจนเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีการทับซ้อนเขตพื้นที่ และภูมิภาคที่แตกต่างทำให้แทบจะไม่มีธุรกิจใด ๆ ร่วมกันเลย ดังนั้น หากให้พูดตามจริง มาเฟียอิตาลีแทบจะไม่แลตำแหน่งชิงหลงหรือจูเชว่ด้วยซ้ำไป

นอกจากนี้ ตัวชิงหลงเองมีเชื้อสายครึ่งหนึ่งเป็นชาวอิตาเลี่ยนซึ่งมาจากสายทางแม่ นั่นหมายความว่าเขามีเส้นสายอยู่บ้างในอิตาลี ตามที่มีการเล่าลือถึงเขาในวงสนทนาเรื่องที่เขาเดินทางไปอิตาลีบ่อยครั้ง

“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงต้องพาผมไปที่เวนิส? คุณไม่ต้องบอกก็ได้ว่าที่นั่นมีอะไร” เซินหมิงเฟิ่งไม่อาจทนกับความเงียบที่น่าอึดอัดได้นานนัก สมัยอยู่อังกฤษ บ้านของแม่เขาจะมีเสียงเอะอะแทบตลอดเวลาเพราะเด็ก ๆ ที่แทบจะไม่ยอมอยู่นิ่งยกเว้นตอนหลับไปแล้ว

“ฉันมีญาติอยู่ที่นั่น”

“ญาติ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่า เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชิงหลงนอกจากมีเส้นสายกับมาเฟียอิตาลีแล้วยังมีญาติอยู่ที่นั่นด้วย ไม่สิ หากอีกฝ่ายมีแม่เป็นชาวอิตาเลี่ยน การมีญาติคนอื่น ๆ อยู่ในอิตาลีจะมีอะไรน่าแปลก

เซินหมิงเฟิ่งเอนตัวลงบนเบาะแล้วเสมองออกนอกหน้าต่าง ชิงหลงไม่ยอมพูดอะไรต่ออีก สงสัยว่ากลัวเขาจะเอาไปใช้เป็นข้อมูลหลบหนี หรือนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในภายหลังเมื่อเขาได้เป็นจูเชว่

แต่บนเครื่องบินแบบนี้เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว

เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจหลับตาลงและนอนเก็บแรง เขาถูกลากลงมาจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่มีการบอกล่วงหน้า ซ้ำยังถูกโยนเข้าไปในห้องน้ำแล้วบังคับให้จัดการตัวเองให้เสร็จภายใน 5 นาที ให้ตายเถอะ แม้แต่เวลาทำธุระส่วนตัวยังถูกจำกัดจนเขาแทบจะทำทุกอย่างพร้อมกันทั้งที่สติมีอยู่ครึ่งเดียว หลังจากนั้นก็โดนโยนขึ้นรถแล้วตะบึงอย่างเร็วมาถึงสนามบิน สมองเขาโคลงเคลงไปหมดจนแทบจะอ้วกออกมา และจนถึงตอนนี้เขาก็ฝืนสังขารตัวเองมาเต็มที่แล้ว ขอพักต่ออีกสักหน่อยอีกฝ่ายคงไม่ว่าอะไร

และก็เป็นอย่างที่เซินหมิงเฟิ่งคิด ชิงหลงเหลือบมองอีกฝ่ายหลับตาลงโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ถึงแม้เขาจะเข้มงวดและเจ้าระเบียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกำกับการกระทำผู้อื่นไปเสียทุกอย่างทุกวินาที ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะให้อีกฝ่ายทำอะไร เขาก็ปล่อยให้พักผ่อนไปก่อน เพราะเดี๋ยวเซินหมิงเฟิ่งจะต้องเผชิญกับสภาพเวลาที่ตรงกันข้ามของสองซีกโลกทั้งที่เพิ่งปรับตัวกับเวลาของฮ่องกงได้ ถึงตอนนั้นจะเพลียยิ่งกว่านี้เสียอีก

---------------------->

เมื่อเครื่องมาถึงอิตาลีและลงจอดที่สนามบินเวนิส มาร์โคโปโล เซินหมิงเฟิ่งก็ถูกปลุกให้ตื่นหลังจากหลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทางเนื่องจากไม่ชินกับการนอนบนเครื่องบิน เขามองออกไปนอกหน้าต่างและพบว่าเครื่องบินมาถึงจุดหมายปลายทางแล้วจึงลุกขึ้นอย่างอ่อนเพลียแล้วเดินตามชิงหลงลงไป เซินหมิงเฟิ่งพบว่าด้านล่างนั้นมีคนมารอต้อนรับอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นการ์ดที่สวมเสื้อผ้าดูเคร่งขรึม และในจำนวนการ์ดทั้งหมด มีผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแตกต่าง

คน ๆ นี้ แม้จะสวมสูทเรียบกริบแต่ก็มีท่าทีสบาย ๆ สวมแว่นดำทรงทันสมัย รูปร่างค่อนข้างสูงและมีผมสีบลอนด์ไม่เหมือนคนอิตาลีส่วนใหญ่ที่มีเชื้อสายลาตินซึ่งจะมีผมดำและรูปร่างเล็กกว่าคนยุโรปทั่วไป

ชิงหลงเดินตรงไปหาในขณะที่ฝ่ายนั้นอ้าแขนรับราวกับเป็นเพื่อนรักกันมานาน

“ไงเวย์ เพิ่งกลับไปไม่นานเองนะ” ชายหนุ่มผมบลอนด์ทักทายด้วยภาษาอิตาลี

“มีธุระนิดหน่อย ครั้งนี้คงอยู่นานกว่าเดิม” ชิงหลงตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วหันไปทำสัญญาณให้คนอื่น ๆ ไปที่รถก่อน

“เฮ้ ฉันไม่เคยเห็นหน้าสองคนนี้เลยนะ” ชายผมบลอนด์หันไปเห็นคิมหันต์และเซินหมิงเฟิ่ง “ใครน่ะ? การ์ดใหม่ของนายเหรอเวย์?”

“ไม่เชิง คิมหันต์” ชิงหลงโบกมือเรียกให้คิมหันต์เดินมาหา “เขาเป็นคนของชิงหลงมานานแล้วแต่เพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่นานนี้”

“ชื่ออะไรนะ?” ชายหนุ่มชาวยุโรปมุ่นคิ้วก่อนจะถามเป็นภาษาอังกฤษ

“คิมหันต์ครับ”

ผู้ฟังทำสีหน้าแปลกนิด ๆ เพราะลิ้นของเขาคงไม่อาจออกเสียงชื่อนี้ได้ถูกต้องอย่างแน่นอน

“หมายถึงฤดูร้อนน่ะ” ชิงหลงแปลความให้

“อ้อ เอสตาเต” ชายหนุ่มร่างสูงพูดออกมาเป็นภาษาอิตาลีแล้วหัวเราะ “เรียกแบบนี้ง่ายกว่าเยอะ แล้วอีกคนล่ะ? ดูไม่เหมือนการ์ดเลยนะ”

“นั่นเซินหมิงเฟิ่ง จะอยู่ในฐานะไหนคงบอกนายไม่ได้ เอาเป็นว่า เขาคือสาเหตุที่ฉันต้องมาที่นี่” ชิงหลงไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ให้อีกฝ่ายรู้ นั่นเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเปิดเผย เขาเพียงแต่มาอาศัยเขตพื้นที่ของตาตัวเองและคน ๆ นี้เป็นคนดูแลในฐานะดอนคนใหม่เท่านั้น ทั้งเขาและผู้ชายคนนี้ต่างเป็นมาเฟียโดยสายเลือดด้วยกันทั้งคู่จึงต่างรู้ขอบเขตของตนเองดีและไม่คิดจะก้าวก่ายกันมากเกินควร

“เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มว่าก่อนจะยกมือแล้วขยับผ้าคล้องคอ “ตามที่นายบอก ฉันเตรียมโรงแรมไว้ให้นายโดยเฉพาะ ฉันจะไปกับนายด้วยแล้วเดี๋ยวเราไปเยี่ยมอเล็กซานโดรด้วยกัน”

“เขารู้หรือว่าฉันมา?”

“ฉันไม่คิดว่าเขาไม่รู้หรอก”

ชิงหลงพยักหน้ารับคำแล้วส่งสายตาให้คิมหันต์กลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ

“นั่นใครหรือ?” เมื่อคิมหันต์เดินกลับมาประกบเซินหมิงเฟิ่ง เจ้าตัวก็เอ่ยถามขึ้นทันทีเพราเขาไม่อาจฟังการสนทนาด้วยภาษาอิตาลีได้ และถูกกันไว้ไกลเกินกว่าจะเห็นหรือได้ยินอะไรชัดเจน

“ดอนมอเรสซาเรน่ะครับ ชื่อจริงว่าโจเซ มอเรสซาเร” คิมหันต์อธิบายให้ฟังขณะกำลังเดินไปที่รถ “ถือว่าเป็นญาติคนหนึ่งของท่านชิงหลงก็ว่าได้ และเป็นคนที่ดอนคนเก่าไว้ใจจนมอบตำแหน่งให้ดูแลทั้งที่ยังอายุน้อย ผมเองก็ไม่รู้จักเขามากนัก”

“เวนิสเป็นเขตของเขาสินะ?” เซินหมิงเฟิ่งพอจะทำความเข้าใจได้แล้วว่าทำไมชิงหลงถึงพาเขามาที่นี่ ที่แท้ก็เพราะเป็นสถานที่ที่ครอบครัวฝ่ายแม่ตัวเองมีอิทธิพลอยู่นี่เอง

“ความจริงแล้วจะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิงหรอกครับ อิตาลีมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเรโจนีหรือแคว้น ดอนมอเรสซาเรคนเก่ามีอิทธิพลมากในแถบเวเนโตเรโจนี โดยมีเวนิสเป็นศูนย์กลาง” คำพูดของคิมหันต์ทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะการที่มอเรสซาเรแฟมิลี่มีอิทธิพลถึงระดับแคว้นย่อมไม่ได้หมายถึงเวนิสเท่านั้น แต่ทั้งบริเวณที่เรียกว่าเวเนโตเรโจนีคืออาณาเขตที่เขาไม่มีทางดิ้นหลุดไปจากสายตาของชิงหลงไปได้ แบบนั้นดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่คิดว่าอีกฝ่ายมีญาติอยู่ที่เวนิสเสียอีก

เซินหมิงเฟิ่งถูกนำตัวขึ้นรถโดยที่ยังไม่ได้ละสายตาจากผู้ชายที่ชื่อโจเซ หากผู้ชายคนนั้นคือผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดในตอนนี้ มีมากยิ่งกว่าชิงหลงเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่แท้จริงโดยการมอบอำนาจจากดอนคนเก่า นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนั้นคือบัตรผ่านทางเพื่อออกจากใต้เงาชองชิงหลงและกลับบ้านอย่างปลอดภัย

แต่คนที่เป็นดอนตั้งแต่อายุน้อยแสดงว่าได้รับความไว้วางใจจากหลายฝ่ายและแทบจะไม่มีข้อกังขาในการอยู่ในตำแหน่ง นั่นหมายถึงความฉลาดเฉลียว ความเฉียบขาด และอำนาจในการควบคุมผู้คน ตัวเขาจะสามารถหลอกใช้อีกฝ่ายได้ไหมนะ?

โจเซเองก็เหมือนจะรู้ว่าตนเองได้รับความสนใจ ชายหนุ่มมองมาทางเซินหมิงเฟิ่งด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งไม่อาจตีความหมายได้ชัดเจน นั่นอาจเพราะอีกฝ่ายสวมแว่นดำเอาไว้ด้วย

โรงแรมที่โจเซเตรียมเอาไว้เป็นห้องสูทของโรงแรมระดับ 5 ดาวซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เซินหมิงเฟิ่งยังไม่เคยมีโอกาสได้พักในโรงแรมเช่นนี้มาก่อนจึงค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ กระนั้นเขาก็พบว่าคงยากที่จะหนีไปจากที่นี่เพราะอยู่ชั้นบนสุดซ้ำยังไม่มีอาคารรอบข้างที่สูงทัดเทียมกัน การปีนหน้าต่างออกไปถือเป็นเรื่องโง่เรื่องสุดท้ายที่เขาจะเลือกทำอย่างแน่นอน

เซินหมิงเฟิ่งเดินรอบ ๆ และพบว่ามีห้องนอนอยู่ห้องเดียว

“อย่าบอกนะว่าคุณจะนอนกับผม?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วมองไปยังชิงหลง

“เสียใจด้วยแต่ผมมีห้องของตัวเอง” โดยนิสัยแล้วชิงหลงเป็นคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาจะไม่ร่วมห้องกับคนอื่นเป็นอันขาดเว้นแต่จะแต่งงานและร่วมเตียงกับภรรยานั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้แต่ตอนเรียนที่อิตาลีเขายังแบ่งส่วนห้องกับรูมเมทโดยไม่ก้าวก่ายเขตของกันและกัน ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ใจชื้นได้ไม่นานนักเมื่อชิงหลงเอ่ยประโยคต่อมา “แต่จะมีการ์ดเข้ามาอยู่ในห้องนี้ตลอด 24 ชั่วโมง คิมหันต์จะเฝ้าคุณอยู่ตลอด คุณจะให้เข้านอนในห้องหรือให้นอนที่โซฟาข้างนอกก็แล้วแต่”

หลังจากสั่งเสร็จ ชิงหลงก็เดินออกไปเพื่อจัดการส่วนของตนเอง ในตอนนั้นโจเซกลับเป็นคนเข้ามาในห้องแทนและไม่มีใครกล้าห้ามปรามโดยที่ชิงหลงไม่ออกคำสั่งเพราะที่นี่โจเซเป็นใหญ่ที่สุด

โจเซถอดแว่นกันแดดออกทำให้เห็นดวงตาสีเขียวที่ทำให้เจ้าตัวดูไม่มีเค้าของคนละตินเลย

“สวัสดีคุณ....”

“เซินหมิงเฟิ่งครับ แต่แม่ของผมเรียกผมว่ามิน”

โจเซเลิกคิ้วก่อนพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “คุณพูดสำเนียงอังกฤษคล่องมากทีเดียว คุณเคยเรียนอยู่ที่นั่นหรือครับ?”

“ครับ ผมเรียนอยู่ 8 ปี และแม่ของผมก็เป็นคนอังกฤษ” เซินหมิงเฟิ่งว่า “คุณเองก็พูดภาษาอังกฤษได้คล่องเหมือนกันนะครับ แต่สำเนียงของคุณ...”

“แม่ของผมเป็นคนฝรั่งเศส ผมติดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบนี้มาจากท่านน่ะครับ” โจเซหัวเราะ “เวย์พูดได้ใกล้เคียงสำเนียงต้นฉบับมากกว่า”

“หมายถึงชิงหลงน่ะหรือครับ?

“นั่นเป็นชื่อตำแหน่งของเขาสินะ? ใช่ผมเคยได้ยินมาแบบนั้น” ชายหนุ่มคล้ายจะทบทวนความจำตัวเองเกี่ยวกับเรื่องราวทางฝั่งพ่อของญาติตัวเอง “มันเป็นชื่อตำแหน่งที่เลียนแบบมาจากชื่อสัตว์ที่ดูแลทิศทั้งสี่ในคติโบราณของประเทศจีนสินะครับ?”

“คุณดูจะรู้เรื่องแบบนี้ดีกว่าที่ผมคิดเสียอีก” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มออกมา ผู้ชายคนนี้ดูเป็นมิตรกว่าที่คิดและดูจะค่อนข้างสนใจเขา หรือไม่ก็ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิงหลง หากเขาลองเสนอบางสิ่งที่ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกได้ประโยชน์คงจะยืมมือได้บ้าง

“โจเซ ไปกันได้แล้ว” ชิงหลงส่งเสียงเข้ามาในห้อง ดูเหมือนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว

“แล้วพบกันใหม่นะครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวลาโดยเลือกจะใช้คำนี้อย่างจงใจ

“แล้วพบกันใหม่” โจเซสวมแว่นกันแดดก่อนจะเดินออกไปจากห้อง และมีการ์ดจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาแทนที่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม และแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกถึงสภาพนักโทษของตัวเองอีกครั้ง

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #48 เมื่อ20-12-2011 18:22:28 »

แอร๊ยยย
เรื่องนี้มันช่างลึกลับซับซ้อนน
อยากอ่านต่อจริงจัง!!!

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #49 เมื่อ20-12-2011 19:23:24 »

มึนงงสับสนจริงจรี๊งงงงงงงงงงงงง  แล้วตอนหลังจะรักกันอีท่าไหนได้นะ ( ? _ ? )

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
« ตอบ #49 เมื่อ: 20-12-2011 19:23:24 »





ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #50 เมื่อ21-12-2011 19:44:13 »

ตัวละครเพิ่ม ตัวแปรเพิ่ม เปลี่ยนโลเคชั่นอีกต่างหาก เดาไม่ออกอีกตามเคยสิน่า... :serius2:

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #51 เมื่อ27-12-2011 18:09:45 »

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #52 เมื่อ27-12-2011 18:37:15 »

เข้ามานั่งรอค่า~

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
«ตอบ #53 เมื่อ03-01-2012 00:19:52 »

ชอบแนวเจ้าพ่อๆจังเลยค่าา :-[

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
«ตอบ #54 เมื่อ04-01-2012 17:45:55 »

-7-



“เอาเป็นว่าฉันจะไม่ถามอะไรมากหรอกนะเวย์ แต่เขาเรียกนายว่า ชิงหลง นั่นแสดงว่าเป็นคนในวงการล่ะสิ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องระหว่างแก๊งค์แล้วหนีมากบดานที่อิตาลีเพื่อจัดการอย่างเงียบ ๆ น่ะ แม่น้ำในเวเนเซียไม่ได้เอาไว้ถ่วงศพใครนะ” ทั้งที่พูดถึงความเป็นความตายของคนอื่น แต่สีหน้าโจเซกลับยังคงรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนแม้แต่น้อย ทั้งยังจุดบุหรี่สูบอย่างสบายอารมณ์เสียอีก “แบบว่า ตอนนี้แม่น้ำก็เต็มไปด้วยขยะอยู่แล้ว นายคงเข้าใจนะว่าถ้ามีศพคนโดนยิงลอยตุ๊ปป่องไปชนกอนโดราเข้า ฉันจะงานเข้าเอา”

“ฉันรู้แล้ว ขอสักมวนสิ ฉันลืมพกออกมา” ชิงหลงไม่ได้คิดมากกับการสาธยายยืดยาวของญาติตัวเอง เขารับบุหรี่มามวนหนึ่งก่อนจะจุดไฟแล้วโยนไฟแช็คคืนเจ้าของไป

“ถ้านั่นเป็นคนธรรมดาฉันคงไม่อะไรกับนายหรอกนะ แต่เป็นคนในวงการเดียวกัน นายไม่คิดหรือว่าน่าจะบอกอะไรกับฉันสักหน่อย โดยเฉพาะเอาเขาเข้ามาในเขตของฉันแบบนี้ นายเองก็คงไม่ยินดีจริงไหมถ้าฉันเอาคนในวงการเข้าไปกักขังในเขตของนาย” โจเซเก็บบุหรี่และไฟแช็คลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วพ่นควันสีขาวยาวเป็นลำออกมา ที่เขาพูดนั้นแม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงเป็นงานเป็นการ แต่เขาก็ต้องการคำตอบจริง ๆ ไม่ใช่แค่บ่นผ่าน ๆ

“ฉันคงเค้นคำอธิบายจากนาย”

โจเซพยักหน้า “แล้ว?”

“นายรู้ระบบองค์กรในฮ่องกงดีอยู่จริงไหม? ตระกูลเซิน เป็นเจ้าของตำแหน่งจูเชว่”

“หืม? มาเฟียที่นั่นอายุสั้นกันหมดหรือยังไงกัน จูเชว่ถึงได้อายุน้อยขนาดนั้น” เท่าที่เขารู้ มาเฟียของฮ่องกงจะสืบทอดตำแหน่งต่อเมื่อคนเดิมเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น ไม่เหมือนทางนี้ที่มอบตำแหน่งต่อได้เมื่อต้องการและในเวลาที่เหมาะสม

“เขาเป็นทายาท”

“อ้อ” โจเซรับคำสั้น ๆ “นายคิดจะเปิดสงครามหรือยังไง?”

“เปล่า”

“แล้วนายคิดจะทำอะไร? ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับพวกมาเฟียจีนที่หนุนหลังจูเชว่อยู่หรอกนะ นายรู้ใช่ไหมว่าถ้าปัญหาบานปลายฉันจะไม่เข้าข้างนาย” จริงอยู่ว่ามาเฟียบนเกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับมอเรสซาเรแฟมิลีแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นพวกมาเฟียฮ่องกงก็มีอิทธิพลกับทางตะวันออกของเอเชียมากอยู่และยังมีเส้นสายกับพวกมาเฟียจีนทั้งสิ้น เขาเองก็มีธุรกิจที่เกี่ยวพันกับมาเฟียจีนอยู่ เขาคงไม่สามารถเสี่ยงเอากิจการของแฟมิลีไปจมกับปัญหาส่วนตัวของญาติตัวเองได้

“นายเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชิงหลงหมายถึงคนที่วิ่งหางจุกก้นมาขอความช่วยเหลือจากคนที่เป็นใหญ่กว่าตนเอง

แน่นอน โจเซรู้จักญาติคนนี้ของตัวเองดี มีหรือที่ผู้ชายคนนี้จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นโดยง่าย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชิงหลงก็จะแก้ไขด้วยตนเองเสมอตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ใช่ เขาจำได้ สมัยที่ชิงหลงมาอยู่ที่นี่ในช่วงสั้น ๆ ของฤดูร้อน เด็ก ๆ ที่นี่มักไม่รู้วิธีปฏิบัติตนกับคนที่ดูเหมือนอ่อนแอกว่า และพากันกลั่นแกล้งเด็กชาวเอเชียตัวเล็ก ๆ ที่เหมือนจะไร้ทางสู้

ชิงหลงทนโดนกลั่นแกล้งอยู่สักระยะหนึ่ง ก่อนที่วันหนึ่ง เด็กพวกนั้นก็ไม่กล้าแกล้งอีกฝ่ายอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าชิงหลงจัดการเด็กพวกนั้นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เขารู้ว่าเด็กพวกนั้นได้เรียนรู้วิธีการของมาเฟียที่แท้จริงตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างแน่นอน

บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าปรากฏอยู่เบื้องหน้า บริเวณกว้างขวางภายในรั้วสูง ขนาดของตัวบ้านและการออกแบบร่วมสมัย รวมทั้งจำนวนการ์ด สุนัขเฝ้าบ้าน และกล้องวงจรปิดที่ส่ายไปมาบนรั้วไม่เคยหยุดบ่งบอกได้ถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของ

อเล็กซานโดร มอเรสซาเร อดีตดอนมอเรสซาเรผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในเวเนโตเรโจนี

“ดับบุหรี่ได้แล้ว” ชิงหลงว่าแล้วเดินลงจากรถเมื่อรถจอดสนิท

สาวใช้คนหนึ่งเดินออกมารับพวกเขาเข้าไปในบ้าน ชิงหลงมองไปรอบตัว ตอนที่เขามาครั้งที่แล้วคี่มาติดต่อธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงรีบมารีบกลับไปให้ทันแผนการของตนเองที่วางไว้สำหรับเซินหมิงเฟิ่ง ทำให้เขาไม่ได้เข้ามาพบอเล็กซานโดรเลย บางที พอรู้ว่าเขากลับมาอีกครั้ง เจ้าตัวอาจจะกำชับโจเซให้พาเขามาพบให้ได้กระมัง เขาเองก็คงต้องเตรียมตัวถูกตำหนิเรื่องนั้นเอาไว้

“สวัสดีครับปู่” โจเซเอ่ยทักชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่นเล่น ทำให้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองแล้วส่งยิ้มให้

“ว่ายังไงโจเซ เวย์ด้วย ถ้าไม่เรียกหาตัวคงไม่มาหาฉันสินะ?”

“ขอโทษด้วยครับที่คราวก่อนผมไม่ได้มาทักทาย”

อเล็กซานโดรแม้ว่าอายุมากแล้วแต่ก็ยังสุขภาพแข็งแรงดี เดินเหินคล่องแคล่ว ไม่มีวี่แววของความเสื่อมถอยในช่วงวัยบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถเป็นดอนต่อได้อีกหลายปีเสียด้วยซ้ำ กระนั้นกลับยกตำแหน่งให้หลานชายคนโตที่เกิดจากลูกชายคนเดียวของตนเอง ส่วนชิงหลงซึ่งเป็นหลานที่เกิดจากลูกสาวคนเล็กนั้นได้ธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปบริหารโดยไม่เกี่ยวข้องกับแฟมิลีโดยตรง นั่นเพราะชิงหลงมีอำนาจของตนเองในฮ่องกงแล้วและไม่สามารถดูแลการงานของทางนี้ได้

“แล้วคราวนี้ไม่ได้พามาเรียมาด้วยหรือ?”

มาเรียคือชื่อแม่ของชิงหลงที่แต่งงานแล้วเดินทางไปอยู่ที่ฮ่องกง

“ขอโทษด้วยครับ”

“เรานี่นะ ไม่ต้องขอโทษด้วยท่าทางแบบนั้นหรอก ฉันเป็นตานะไม่ใช่หัวหน้าแก๊งค์” อเล็กซานโดรพูดเหมือนงอนหลานชายตัวเอง แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนแค่หยอกเล่นเท่านั้น ความจริงเขาเองก็ชินกับลักษณะเป็นแบบแผนของอีกฝ่ายตั้งแต่แล้ว เพราะหลานชายของเขาคนนี้ถอดแบบนิสัยมาจากลูกเขยเขาไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งความเจ้าระเบียบนั่นยิ่งเหมือน “เอ้า เข้ามานั่งข้างในนี่สิ ปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย”

ชิงหลงและโจเซมองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนโซฟาด้านตรงข้าม

“ทั้งสองคนทำอย่างกับมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอย่างนั้นแหละ”

บางครั้งอเล็กซานโดรก็เหมือนมีตาทิพย์ สามารถมองผู้คนได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ในความเป็นจริง มันคตือการสั่งสมประสบการณ์อันยาวนานในชีวิตวงการใต้ดินของเขา

“ใครจะปิดบังปู่ได้ล่ะครับ” โจเซหัวเราะ

“งั้นใครก็ได้ บอกฉันมาหน่อยสิว่าเวย์มาทำอะไรที่นี่ทั้งที่เพิ่งกลับไปไม่นาน ไม่น่าจะเป็นเรื่องการจัดการธุรกิจไม่เรียบร้อยหรอกนะ จริงไหม?”

โจเซหันไปมองหน้าชิงหลง เป็นเชิงให้เจ้าของเรื่องจัดการเอง

“ผมคงจะยังบอกอะไรไม่ได้มากครับ เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับจูเชว่ที่ฮ่องกง ผมแค่จำเป็นต้องเปลี่ยนที่อยู่ชั่วคราว แต่ผมคิดว่าคงจะไม่รบกวนนานเกินไป” คำตอบของชิงหลงไม่ได้ทำให้อเล็กซานโดรพึงพอใจนัก เห็นได้จากรอยยิ้มที่จางลงทันทีที่กล่าวจบ เขาพรูลมหายใจออกมาคล้ายระอาใจเล็ก ๆ กับความชอบเก็บงำของหลานชายที่อยู่ห่างไกลตัว สำหรับชิงหลงที่ไม่ไว้ใจใครแล้ว แม้แต่เขาที่เป็นตาแท้ ๆ ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงติดนิสัยแบบนี้มาจากชิงหลงรุ่นก่อนที่เป็นพ่อเสียได้

แต่เมื่อดูจากสีหน้าโจเซแล้ว อเล็กซานโดรก็เดาได้ว่าคงจะได้รับข้อมูลมากกว่าที่เขารับรู้เมื่อครู่

นิสัยที่มองทุกอย่างเป็นงานเป็นการไปเสียหมดของชิงหลงทำให้เขารู้สึกหนักใจขึ้นมา บางที ที่โจเซได้รับข้อมูลมากกว่าอาจเพราะตอนนี้เจ้าตัวเป็นดอนเจ้าของพื้นที่ที่ชิงหลงต้องการใช้สอย ในขณะที่เขาซึ่งสละตำแหน่งแล้วเจ้าตัวคงไม่อยากให้แทรกแซงเรื่องภายในองค์กร

“เอาล่ะ ฉันจะไม่ซักไซ้ก็แล้วกัน” อเล็กซานโดรต้องยอมแพ้กับความหัวดื้อนั้น “ถ้ามีอะไรก็บอกกับโจเซไว้ ตอนนี้เขาเป็นคนตัดสินทุกอย่างในแฟมิลี”

“ผมทราบแล้วครับ”

“งั้นวันนี้ เราสองคนมากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกัน”

คำขอของอดีตดอนมอเรสซาเร ใครจะกล้าปฏิเสธ

--------------------->

ในร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่ง เด็กสาวกำลังนั่งรอใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ เธอรู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกที่คน ๆ นั้นโทรมาหา และยิ่งแปลกใจมากขึ้นที่คน ๆ นั้นขอนัดเธอออกมาพบในสถานที่เช่นนี้ แต่ว่า จุดประสงค์ที่เธอถูกเชิญออกมาอาจจะคาดเดาไม่ยากก็เป็นได้

หลังจากจิบกาแฟปั่นผสมนมไปแก้วหนึ่ง คนที่นัดเธอก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าโต๊ะพร้อมรอยยิ้มตามแบบฉบับซึ่งใครเห็นก็ชวนให้หลงรักและเอ็นดู

“ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า คุณหลาง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็เพิ่งมาเมื่อครู่นี้เอง” หลางเมี่ยวอินหัวเราะเบา ๆ แล้วผายมือให้หญิงสาวนั่งลง “คุณมินาโมโตะนัดฉันออกมาแบบนี้ น่าแปลกใจจังเลยนะคะ”

“ในวงการนี้หาผู้หญิงยากนี่คะ” ซากุระหัวเราะตอบ “ฉันเลยคิดว่าเราน่าจะสนิทกันไว้สักหน่อย เพราะฉันเองก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก อาจจะต้องขอคำแนะนำจากคุณหลางในบางเรื่อง”

หลางเมี่ยวอินเลิกเรียวคิ้วบางขึ้นสูงคล้ายแปลกใจที่ซากุระเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องนี้

“จะว่าไป พี่หมิงไม่มาด้วยหรือคะ?”

คำถามนั้นทำให้ซากุระชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“คุณเซินคงไม่ว่างน่ะค่ะ ฉันเองก็ยังไม่ได้พบเลย แต่ว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมืองนา คุณพ่อของคุณเซินคงจะอยากให้เขาเรียนรู้งานภายในให้มากที่สุด เห็นว่ากำลังเรียนรู้การบริหารงานของบริษัทอยู่ คงจะไม่มีเวลาออกมาข้างนอกกับฉันหรอกค่ะ” เมื่อกล่าวไป หญิงสาวก็ทำหน้าแง่งอนเล็ก ๆ เสมือนกำลังรู้สึกว่าถูกลดทอนความสำคัญจากคู่หมั้นไปเพราะงานของอีกฝ่ายจริง ๆ

“คุณมินาโมโตะคงจะเหงาแย่เลย” หลางเมี่ยวอินว่า “ฉันเองก็รู้สึกแย่เหมือนกันตอนที่เจินเจินไปช่วยงานท่านตาแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียว” เธอถอนหายใจออกมา ถึงแม้เธอและพี่ชายจะเป็นฝาแฝดกันและเกิดห่างกันแค่ไม่กี่นาที แต่การปฏิบัติระหว่างพวกเธอสำหรับคนในบ้านกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ในตอนนั้นทั้งที่พ่อและแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทายาทเพราะคนที่เป็นคนในจริง ๆ คือแม่ซึ่งเป็นผู้หญิงและตาของเธอก็ไม่มีลูกชายคนอื่นอีก เมื่อหลางเมี่ยวเจินเกิดมาเขาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นทายาทตั้งแต่ยังไม่รู้ความ

ชีวิตทายาทของแต่ละฝั่งไม่ได้ต่างกันมากนัก ตั้งแต่วัยเด็กเมื่อเริ่มรู้ความ หลางเมี่ยวเจินจะถูกดึงตัวไปเรียนรู้งานกับเสวี่ยนอู่ซึ่งอายุมากขึ้นทุกวัน เด็กชายตัวน้อยแทบจะไม่มีเวลาได้ละเล่นเหมือนอย่างเด็กทั่วไป และมีเวลาเพียงน้อยนิดที่สองพี่น้องฝาแฝดจะได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ โดยไม่มีผู้ใหญ่มากำหนดว่าอีกกี่นาทีจะต้องไปทำอะไร

หลางเมี่ยวอินในวัยเด็ก แม้จะมีพี่ชายอยู่ตรงหน้าก็เสมือนไม่มี เธอได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเต็มที่ราวกับเป็นลูกโทน ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เธอได้รับของขวัญอะไร จะมีของขวัญที่เหมือนกันเป็นส่วนของหลางเมี่ยวเจินเสมอ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอจดจำได้ว่าเธอยังมีพี่ชายอยู่อีกคนหนึ่ง ทว่า เมื่อพ่อและแม่ของเธอจากไปด้วยอุบัติเหตุ ระยะห่างระหว่างพี่น้องก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีทายาทตัวสำรองในบ้านหลังนี้ และหลางเมี่ยวเจินจะต้องทำหน้าที่เสวียนอู่คนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นโชคดีของเธอที่เสวียนอู่ผู้เป็นตาเข้าใจถึงความว้าเหว่ที่ถูกกีดกัน จึงดึงเธอเข้าสู่เส้นทางธุรกิจ แม้จะเป็นวิธีเลือกที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกญาติและคนในองค์กรเลิกหาข้ออ้างกีดกันเธอออกจากพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเอง และทำให้เธอและพี่ชายสามารถกลับมาสนิทสนมกันได้อีกครั้งหนึ่ง

“คุณหลาง เป็นอะไรไปหรือคะ?” ซากุระเห็นหลางเมี่ยวอินเงียบไปจนผิดปกติจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย เพิ่งจะมีประสบการณ์บริหารด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกก็เลยมีเรื่องให้คิดเยอะน่ะค่ะ” หลางเมี่ยวอินแย้มยิ้มกลบเกลื่อนสิ่งที่คิดอยู่ในใจเมื่อครู่

“ทางคุณเองก็ลำบากเหมือนกันนะคะ ฉันคงรบกวน...”

“ไม่เลย” หลางเมี่ยวอินโบกมือ “ฉันให้คนที่ร้านช่วยดูแลให้แล้ว ผู้ช่วยที่ท่านตาหามาให้ทำงานได้ดีจนฉันวางใจได้แทบทุกเรื่องเลยล่ะ”

“ผู้ช่วยหรือคะ?”

“ค่ะ เป็นผู้หญิงที่อายุมากกว่าฉัน และฉลาดมากทีเดียว” ดูเหมือนหลางเมี่ยวอินจะพึงพอใจที่ได้ผู้ช่วยอย่างที่ต้องการ เพราะเกิดในบ้านที่ค่อนข้างหัวโบราณทางด้านสถานะทางเพศ หลางเมี่ยวอินจึงค่อนข้างเป็นคนที่หัวแข็งทางด้านความเท่าเทียมทางเพศ และมักคัดเลือกคนใกล้ตัวเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมากกว่าผู้ชาย กระทั่งหัวหน้าการ์ดของเธอยังเป็นผู้หญิงที่สามารถล้มผู้ชายตัวโต ๆ ได้สบาย

“ฉันเองก็อยากจะมีผู้ช่วยเป็นผู้หญิงบ้างเหมือนกัน เวลาอยู่ท่ามกลางผู้ชายแล้วทำให้ฉันรู้สึกติดขัดหลาย ๆ อย่าง” ซากุระแสดงความเห็นสอดคล้องกับค่านิยมของหลางเมี่ยวอิน เธอเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจดีว่าการที่ผู้หญิงต้องทำงานท่ามกลางผู้ชายเป็นเช่นไร

สำหรับกรณีของซากุระ อาจจะเลวร้ายกว่าหลางเมี่ยวอินในหลาย ๆ ด้าน

หลางเมี่ยวอินเป็นหลานแท้ ๆ ของเสวียนอู่ และทางเสวียนอู่ก็ให้ความสำคัญ ดังนั้นแล้วใครเล่าจะกล้าขัดใจ เพียงเธอออกคำสั่ง ทุกคนก็พร้อมประเคนในสิ่งที่เธอต้องการ กระทั่งการคัดเลือกบุคลากรเพศหญิงที่เปี่ยมคุณภาพเข้ามาทำงานเคียงข้าง ทว่าซากุระนั้นเป็นลูกนอกกฎหมายของแม่ซึ่งเลือกจะทิ้งเธอไปอยู่กับคนรัก พ่อของเธอก็ไม่ได้ใยดีกับเธอมากนักนอกจากว่าจะสามารถทำประโยชน์ให้ได้ ซ้ำเธอยังเกิดมาในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเพศสูง ทำให้ตลอดชีวิตของเธอต้องอยู่ท่ามกลางผู้ชายที่มองว่าเธอเป็นสิ่งของ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ ซ้ำยังถูกลวนลามทางสายตาและคำพูดบ่อยครั้งจนซากุระรู้วิธีที่จะจัดการกับความตะขิดตะขวงใจเหล่านั้นอย่างแนบเนียนโดยไม่ทำให้ผู้ที่สนทนาด้วยรู้สึกในทางลบมากเกินไป

“ท่าทางคุณมินาโมโตะกับฉันจะมีอะไรเหมือนกันหลาย ๆ อย่างนะคะ” หลางเมี่ยวอินยิ้มกว้าง

ตอนนั้นเองที่ซากุระรู้สึกว่าแผนการตนเองสำเร็จไปขั้นหนึ่ง เธอสามารถคาดเดาหลางเมี่ยวอินได้ถูกต้องและหาวิธีที่จะเข้าหาอย่างสนิทใจได้ในที่สุด เธอคิดถูกจริง ๆ ที่ใช้ความเป็นเพศหญิงของเธอเข้าหาผู้หญิงด้วยกัน ผู้หญิง...ที่ต้องอยู่ท่ามกลางอำนาจและอิทธิพลที่ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ชาย

-------------------------->

เซินหมิงเฟิ่งถูกทิ้งไว้ในห้องของโรงแรมหรู ซึ่งหากให้พูดตามตรง เขารู้สึกดีกว่าตอนอยู่ในห้องปิดตาที่ฮ่องกงหลายเท่า เพราะแม้ห้องนี้จะมีการ์ดเฝ้าประตูตลอด 24 ชั่วโมง แต่เขาก็มีบริเวณกว้างขวางที่จะใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ และยังมีหน้าต่างบานใหญ่ที่เขาสามารถมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างอิสระ แม้ว่าประตูระเบียงจะถูกลงกลอนเอาไว้ก็ตามที

คิมหันต์ดูจะได้รับสิทธิพิเศษในการดูแลเขามากกว่าคนอื่น เพราะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมใด ๆ ที่เขาทำอยู่ได้ตามความเหมาะสมหรือได้รับการร้องขอ ในขณะที่การ์ดคนอื่นได้แต่ปฏิเสธคำขอของเขาว่าตนเองไม่มีหน้าที่ที่จะกระทำเช่นนั้น

สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกพึงพอใจอีกอย่างก็คือเรื่องอาหาร

จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนฮ่องกง แต่ชีวิตเกือบครึ่งของเขาที่ผ่านมานั้นอยู่ที่อังกฤษและกินอาหารแบบตะวันตกมาตลอดจนแทบจะลืมรสชาติอาหารจีนไปแล้ว ดังนั้น การต้องกินอาหารอุดมชีสสไตล์อิตาเลี่ยนจึงไม่ใช่เรื่องน่าลำบากของเขา ซ้ำยังเป็นอาหารของโรงแรมระดับห้าดาวที่เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสในสมัยที่อยู่กับแม่ เพราะครอบครัวนั้นมีฐานะระดับปานกลาง ให้หรูก็แค่ทำอาหารพิเศษในครอบครัวเท่านั้นเอง

เรียกได้ว่าชีวิตของเขาที่นี่ดูจะสุขสบายกว่าตอนถูกขังที่ฮ่องกง

ทว่า...ถึงเขาจะหลอกตัวเองว่าสุขสบายแค่ไหน การถูกขังก็คือถูกขังอยู่ดี

“คุณว่าชิงหลงจะให้ผมใช้สระน้ำไหม?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถามขณะม้วนเส้นพาสต้าด้วยปลายส้อม คาโบนาร่าสไตล์อิตาเลี่ยนให้ความรู้สึกเข้มข้นถึงรสชาติชีสจนต้องจิบไวน์ตาม

“บางทีถ้าท่านชิงหลงอนุญาตคุณเซินอาจจะไม่อยากไปใช้ก็ได้” คิมหันต์เป็นการ์ดคนเดียวที่ร่วมโต๊ะอาหารกับเขาในขณะที่การ์ดคนอื่นจะกินอยู่วงนอก ถึงอย่างนั้นการที่ตระหนักในบางจังหวะว่าคิมหันต์ไม่ใช่คนของจูเชว่อีกแล้วก็ทำให้เขารู้สึกวูบเล็ก ๆ ในอก

“คุณไปเห็นสระน้ำไปแล้วหรือ?” เขาเลิกคิ้วสงสัย

“เปล่าหรอกครับ แต่ว่าท่านชิงหลงคงจะให้การ์ดตามไปเฝ้าข้างสระหลายคน แบบนั้นผมคิดว่าคุณคงจะว่ายน้ำไม่ออก....”

ได้ยินคิมหันต์เล่ามาแบบนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็ถอนใจอย่างระอา ยิ่งพอนึกภาพตัวเขาที่เดินไปยังสระว่ายน้ำพร้อมการ์ดชุดดำตามหลังเป็นขบวนยิ่งกว่าลูกชายคนโปรดของประธานาธิบดีอเมริกา คนทั้งสระคงหันมามองเขาเหมือนตัวประหลาดและเต็มใจหลีกทางให้เพราะนึกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมาจากที่ไหนสักแห่ง ถึงแม้แขกที่เข้าพักโรงแรมนี้จะเป็นพวกคนร่ำคนรวยทั้งหลายก็ใช่ว่าจะชินกับภาพผู้ชายที่มีขบวนการ์ดอารักขา แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประหลาดเมื่อนึกถึงภาพแบบนั้น....

และใช่....เขาคงไม่อยากว่ายน้ำแน่...

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
«ตอบ #55 เมื่อ04-01-2012 17:48:06 »

เซินหมิงเฟิ่งขมวดปลายเส้นพาสต้าเข้าปากแล้วเคี้ยวไปนึกไปว่าจะทำอย่างไรในระหว่างนี้ เขารู้ว่าตัวเองควรหาทางหนีแต่เมื่อโจเซ มอเรสซาเรไม่อยู่ เขาก็คงหาวิธีอื่นไม่เจอ ผู้ชายลูกครึ่งอิตาเลี่ยนคนนั้นเป็นคนเดียวที่เป็นใบเบิกทางสำหรับเขาไปสู่การกลับบ้าน ปัญหาคือ ที่นี่เขาไม่อาจใช้อำนาจของจูเชว่เข้าล่อลวงหรือแลกเปลี่ยนได้ อำนาจของจูเชว่มีแต่ในเกาะฮ่องกงและน่านน้ำโดยรอบเท่านั้น อย่าว่าแต่อิตาลีเลย แม้แต่บนแผ่นดินจีน หากไม่ใช่กลุ่มที่ทำธุรกิจร่วมกันก็ยังแทบจะเจรจาด้วยไม่ได้

“คุณว่าดอนมอเรสซาเรเป็นคนยังไง?”

“ทำไมถึงถามถึงเขาล่ะครับ?” คิมหันต์ดูแปลกใจที่เซินหมิงเฟิ่งให้ความสนใจกับดอนมอเรสซาเร

“ก็เขาเป็นญาติของชิงหลงไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างนั้น การที่ชิงหลงมาใช้พื้นที่ของตัวเองแบบนี้ ดอนมอเรสซาเรคงจะเรียกอะไรบางอย่างตอบแทนแน่ ๆ ถึงผมจะไม่ใช่คนในวงการเต็มตัว...แบบว่า ที่ผมใช้ชีวิต 8 ปีที่อังกฤษทำให้ผมไม่ค่อยรู้เรื่องในวงการนัก แต่คงไม่มีมาเฟียคนไหนให้อะไรใครฟรี ๆ” แน่นอนอยู่แล้ว มาเฟียเป็นอาชีพนอกกฎหมายที่ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ขององค์กร ไม่ใช่นักบุญหรือมูลนิธิการกุศล

“ผมไม่รู้จักเขา คงจะให้คำตอบอะไรมากไม่ได้...” ชายหนุ่มเชื้อสายไทยนิ่งไปเล็กน้อย “ที่ผมเล่าให้คุณฟังที่สนามบิน เป็นข้อมูลที่ท่านชิงหลงบอกมาอีกทีก่อนจะมาที่นี่ แต่นอกจากนั้น...เพราะผมอยู่กับตระกูลเซินมาตลอดทำให้ผมไม่รู้เรื่องภายในระหว่างชิงหลงกับมอเรสซาเรแฟมิลีเลย”

“คุณไม่รู้หรือไม่อยากจะบอกผม?” ท่าทางของคิมหันต์บ่งบอกว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง เซินหมิงเฟิ่งจึงเอ่ยทัก

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ แต่ผมแค่ไม่แน่ใจว่าคุณอยากจะรู้หรือเปล่า”

เพราะความไม่แน่ใจถึงได้เผยพิรุธออกมาสินะ?

เซินหมิงเฟิ่งคิดอยู่ในใจ เพราะหากเป็นเรื่องที่จงใจปกปิดและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่พูด คิมหันต์คงจะไม่มีพิรุธออกมาให้เห็น เขาคงจะลืมไปไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในบ้านตระกูลเซินได้ถึง 13 ปีโดยที่ไม่มีใครจับได้เลยว่าเป็นแผนการของชิงหลง เมื่อเซินหมิงเฟิ่งคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและเหมือนคิมหันต์จะสังเกตได้อย่างรวดเร็วจึงปิดปากเงียบทันทีด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจที่เขาปิดบัง และหากอ้าปากพูดก็ไม่แน่ว่าจะยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเพราะความจริงมันไม่ใช่ข้อมูลสำคัญอะไรเลย

คิมหันต์ก้มหน้าลงจัดการกับพาสต้าในจานเงียบ ๆ ทำให้เซินหมิงเฟิ่งพลอยอึดอัดไปด้วย

“คุณว่าจะบอกอะไรผมนะ?” เขาทำเป็นเตือนความจำขึ้นมาเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

“....แม่ของท่านชิงหลงเป็นคนอิตาลี เป็นน้องสาวของพ่อของดอนมอเรสซาเรคนปัจจุบันน่ะครับ” ความจริงแล้วมันก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรู้กันอยู่แล้ว แต่สำหรับเซินหมิงเฟิ่งที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเทือกเถาเหล่ากอคนอื่นจึงเป็นข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ เขารู้แล้วว่าทำไมคนครึ่งอิตาเลี่ยนฝรั่งเศสกับชิงหลงที่อยู่ในฮ่องกงถึงเป็นเครือญาติกันได้ทั้งที่ภายนอกดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด

“แสดงว่า...ลุงของชิงหลงเป็นดอนคนเก่า?” เซินหมิงเฟิ่งนับลำดับญาติอยู่ในใจ

“เปล่าหรอกครับ ตาของท่านชิงหลงต่างหาก”

ผู้ฟังขมวดคิ้วทันที เพราะตาของชิงหลงก็คือปู่ของโจเซ ทำไมถึงมีการโยนตำแหน่งแบบข้ามรุ่นแบบนั้น?
“ปู่สืบให้หลาน มันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือ?”

คิมหันต์แสดงความแปลกใจออกมาเล็กน้อยทางสายตาเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่ามันดูแปลกอย่างที่เซินหมิงเฟิ่งว่ามา

“เรื่องนั้นผมไม่ทราบรายละเอียดหรอกครับ ถ้าคุณเซินสงสัย คงจะต้องสอบถามจากท่านชิงหลงหรือดอนมอเรสซาเรเอง”

เซินหมิงเฟิ่งโคลงหัว ก็จริงที่เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกแต่เขาก็เดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น บางที ลุงของชิงหลงอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นทำให้หมดสิทธิที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อ อย่างไรคนตะวันตกก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องสายเลือดเหมือนคนตะวันออก เขายังเคยรู้มาว่ามีการสืบทอดตำแหน่งด้วยความดีความชอบด้วยซ้ำไป แค่การสืบจากปู่ไปหลานคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใดสำหรับคนที่นี่

หลังจากคนในเสร็จสิ้นจากการกินอาหารมื้อค่ำ รถเข็นก็ถูกเก็บออกไปอย่างเรียบร้อยและทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพปกติ เซินหมิงเฟิ่งเดินไปที่กระเป๋าซึ่งเขายังจัดเสื้อผ้าไม่เสร็จ และรื้อที่เหลือออกมาจัดเรียงใส่ตู้ เสื้อผ้าที่นำมาด้วยมีจำนวนไม่มากนัก แค่ 4-5 ชุดที่ชิงหลงซื้อมาให้ตอนที่เขาอยู่ในห้องปิดตายนั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้นึกเดือดร้อนเพราะเขาคงจะไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว

“จะว่าไป ชิงหลงออกไปนานเอาการเลยนะ” เซินหมิงเฟิ่งว่าพลางแขวนเสื้อไว้ในตู้

“เห็นว่าออกไปพบกับดอนคนก่อนน่ะครับ” คิมหันต์ตอบ “คงจะถูกเชิญให้ทานอาหารเย็นที่นั่น”

เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับโดยไม่รู้สึกสงสัยอะไร การไปพบคนใหญ่คนโตกว่า เมื่อถูกเชิญให้ทำอะไรบางอย่างก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้นอกจากจะมีธุระสำคัญจริง ๆ และดูเหมือนว่า ธุระเดียวของชิงหลงที่เดินทางมาที่นี่จะเป็นแค่การหาที่เก็บตัวเขาให้ห่างจากหูตาของเครือข่ายตระกูลเซินและจูเชว่ เจ้าตัวจึงไม่น่าจะมีข้ออ้างให้ปลีกตัวออกมาจากที่นั่นและทำให้ดอนคนเก่าซึ่งเป็นตาของตนเองขุ่นเคืองใจโดยใช่เหตุ

------------------>

กว่าที่ชิงหลงและโจเซจะเสร็จธุระจากบ้านของอเล็กซานโดรก็ค่อนข้างดึกแล้ว ทั้งสองกล่าวอำลาญาติผู้ใหญ่ที่เป็นมากกว่าญาติก่อนจะเดินทางกลับ

“นายคิดว่าปู่จะไม่สงสัยเรื่องของนายหรือไงถึงพูดไปแบบนั้น” โจเซหมายถึงที่ชิงหลงพูดอย่างกำกวมที่อเล็กซานโดรถามเอาไว้ “นายน่าจะบอกไปตามตรงนะ ฉันว่าปู่ก็แค่อยากจะรู้คำตอบเพราะเป็นห่วงนายเท่านั้นแหละ อย่าคิดว่าตัวเองอยู่ในโลกนี้คนเดียวสิเวย์” เขารู้ว่าญาติคนนี้ของตัวเองเกิดมาในโลกที่ไว้อาจไว้ใจใครได้ แน่นอน เขาเองก็เกิดมาในโลกนั้นเช่นกัน แต่การปกครองขององค์กรสองฝั่งโลกนั้นไม่เหมือนกัน ทั้งที่เป็นคนตะวันออกซึ่งให้ความสำคัญกับตระกูล แต่กลับปกครององค์กรเหมือนระบบศักดินา แต่คนตะวันตกปกครององค์กรแบบครอบครัวจึงเรียกว่าแฟมิลี ถึงแม้ภายในจะไม่ต่างกันมากนัก แต่วิธีการปกครองก็ส่งผลต่อจิตใจผู้ใต้ปกครองรวมทั้งผู้ปกครองด้วย

ชิงหลงเหมือนผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ และมีข้าทาสบริวารล้อมรอบ กระทั่งแม่ของตนเองเจ้าตัวยังไม่ค่อยจะเล่าเรื่องงานให้ฟัง โจเซที่เป็นญาติก็ยังรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเข้าหาชิงหลงได้เลย แม้แต่อเล็กซานโดรก็ยังยืนอยู่ห่าง ๆ ไม่ยื่นมือเข้าใกล้มากเกินไป ทั้งนี้ทังนั้น ชิงหลงคงจะมองพวกเขาเหมือนองค์กรอีกองค์กรหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนในของตนเองทั้งที่มีสายเลือดเกี่ยวพันใกล้ชิด

“ที่ฉันไม่พูดให้หมดเพราะมันเป็นเรื่องภายในองค์กรของฉัน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่นายหรือตาเป็นคนของมอเรสซาเรหรอก” เหมือนกับเดาใจอีกฝ่ายได้ ชิงหลงพูดออกมาลอย ๆ โดยที่โจเซไม่ได้เกริ่นถึงเรื่องแฟมิลีขึ้นมาก่อนเลย เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายตระหนักถึงความเป็นครอบครัวเท่านั้น

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเสียหน่อย” โจเซว่าแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้ มองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างรถยนต์ เมืองเวเนเซียยามค่ำคืนก็ยังคงสวยงามไม่แพ้ในเวลากลางวัน

“นายไม่ต้องอ้าปากฉันก็รู้แล้วว่านายคิดอะไรอยู่” ชิงหลงพูดขณะประสานมือไว้บนตัก “โดยเฉพาะเวลาที่นายหันมองไปทางอื่นแบบนั้นแปลว่าฉันเดาความคิดนายถูก”

โจเซเบะปากน้อย ๆ เหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่าทำผิด

“นายมันบุคคลอันตรายชะมัดเลยเวย์”

“คนอย่างนายพูดแบบนั้นกับฉันได้ด้วยหรือไง ดอนมอเรสซาเร” ชายหนุ่มยอกย้อน หากพูดถึงเรื่องสถานภาพทางตำแหน่ง โจเซกับเขานั้นไม่ได้ต่างกันเลย และจากสิ่งที่เขาเคยได้เรียนรู้จากอเล็กซานโดรในช่วงสั้น ๆ เขาก็รู้ว่าโจเซจะได้รับอะไรมาบ้างจากผู้ชายซึ่งเคยเป็นตำนานของเวเนโตเรโจนี ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่เคยเชื่อท่าทางหยิบโหย่งสบาย ๆ ที่อีกฝ่ายแสดงออกเป็นฉากหน้าเลยแม้แต่น้อย

โจเซให้รถมาส่งชิงหลงแค่หน้าโรงแรมโดยที่เขาไม่ได้ลงไปด้วย

“แล้วเจอกันใหม่เวย์” เขาบอกลาก่อนจะให้คนรถขับออกไป

ชิงหลงเดินเข้าไปในโรงแรม ผ่านห้องโถงโอ่อ่าที่เงียบสนิทเพราะแขกขึ้นห้องพักไปเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่นั่งสนทนากันตามมุมต่าง ๆ และพนักงานที่ทำงานในกะนี้ ลิฟต์นำตัวเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นสำหรับแขกพิเศษอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาเดินออกมา ก็คิดอยู่สักพักว่าควรจะกลับห้องหรือไปดูเซินหมิงเฟิ่งเสียหน่อย ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำข้อหลังก่อน

“กลับมาแล้วหรือครับท่านชิงหลง” การ์ดที่เฝ้าหน้าประตูโค้งเคารพเมื่อเขาเปิดเข้ามา

“คิมหันต์กับคุณเซินล่ะ?”

“อยู่ในห้องนอนครับ”

หลังจากได้รับคำตอบไม่นาน คิมหันต์ก็เดินออกมาจากห้องพอดี เขารีบโค้งให้ชิงหลงอย่างรวดเร็วเพราะไม่ทันนึกว่าอีกฝ่ายจะกลับมาแล้วเข้ามาที่นี่

“เป็นยังไงบ้าง?” ชิงหลงเอ่ยถาม

“คุณเซินเพิ่งหลับไปเมื่อครู่ครับ เห็นว่าเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับการรายงานแล้วตบบ่าคิมหันต์

“คุณเองก็พักผ่อนเสีย ถ้ามีอะไรผิดปกติก็มารายงานผมได้ทุกเมื่อ” หลังจากว่าเช่นนั้น ชิงหลงก็เดินกลับออกไปจากห้องโดยไม่ได้แวะเข้าไปดูเซินหมิงเฟิ่งในห้องนอน สำหรับเขาในตอนนี้ หากอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะทำอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาให้เขาผิดแผน เขาก็ยังไม่ต้องจัดการอะไรให้มากความ กระนั้นเขากลับรู้สึกว่ามีใครบางคนติดตามเขามาตั้งแต่บ้านของอเล็กซานโดร และคงไม่ใช่คนของมอเรสซาเรแน่ ไม่อย่างนั้นโจเซน่าจะบอกเขาแล้ว เขาคงจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก่อนเพื่อดูท่าทีอีกฝ่าย แล้วค่อยคิดอีกทีว่าควรจะทำเช่นไร

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
«ตอบ #56 เมื่อ04-01-2012 19:05:42 »

วู้วว
เรื่องนี้ก็ยังลึกลับไม่เปลี่ยน
เมื่อไหร่ อะไรๆ จะเป้นรูปเป็นร่างเสียทีนะ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
«ตอบ #57 เมื่อ04-01-2012 19:24:10 »

ความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ตอนแรก ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกที ๆ อยากรู้ความจริงเร็ว ๆ อ่ะ o9
เหตุผลของการลักพาตัวอาหมิงก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผย
แถมการลากมาถึงอิตาลียังทำให้ดูมีลับลมคมในยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งอ่าน ยิ่งลุ้นระทึก  :z3:

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
«ตอบ #58 เมื่อ06-01-2012 20:06:23 »

อัพตอนต่อไปเร็วๆนะ

hven

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
«ตอบ #59 เมื่อ09-01-2012 02:48:56 »

 :t3:นานจังเลยนะค่ะไม่ค่อยออกเลยอะ
รออยู่นะเป็นกำลังใจให้อยู่ค่ะ ติดตามทั้งของนาบู
เลยนะค่ะ  :z3: :z10:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด