กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10  (อ่าน 126589 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #60 เมื่อ11-01-2012 16:32:55 »

-8-


   “สวัสดีมิสเตอร์เซิน” โจเซเอ่ยทักทายเมื่อเข้ามาในห้อง เจ้าตัวถอดแว่นดำออกแล้วโปรยยิ้มให้แก่เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ซึ่งกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เล่นเกมกระดานแก้เบื่อกันอยู่ โชคดีที่คนของชิงหลงไปหาหมากรุกมาให้เล่นได้ไม่อย่างนั้นวันหนึ่ง ๆ ของเขาคงจะเฉาตายเป็นแน่ แต่เมื่อพบว่าในวันนี้เขามีแขกทั้งที่ต้องอยู่อย่างเฉา ๆ มาหลายวัน เซินหมิงเฟิ่งก็ดูกะตือรือร้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคน ๆ นั้นคือคนที่เขาอยากจะผูกมิตรเพื่อแผนการที่อาจมีขึ้นในภายภาคหน้าและเวลาที่เหมาะสม

   “เรียกผมว่ามินเถอะครับ ดอนมอเรสซาเร” เซินหมิงเฟิ่งลุกขึ้นเดินไปทักทายแขกของตน ในขณะที่คิมหันต์ก้มหน้าลงเก็บหมากกระดานเงียบ ๆ เพื่อเคลียร์โต๊ะให้ทั้งสองอย่างรู้หน้าที่ ซึ่งเมื่อคิมหันต์เก็บของเสร็จเรียบร้อย เซินหมิงเฟิ่งก็เชิญโจเซมานั่งที่โต๊ะ

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรเรียกผมว่าโจเซด้วย” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนการเรียกชื่ออย่างสนิทสนม โจเซจึงให้เซินหมิงเฟิ่งเรียกตนในระดับเดียวกัน

   “ได้สิครับ จะรับเครื่องดื่มหรือ.....ไม่สิ ผมลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านผม” เซินหมิงเฟิ่งพูดไปสักพักก็ชะงัก โดยปกติหากเป็นบ้านของแม่ที่อังกฤษ เวลามีแขกมาก็จะมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มบางอย่าง อาจจะเป็นน้ำเปล่า น้ำอัดลม กาแฟ หรือชา กับขนมอบอื่น ๆ ส่วนที่บ้านใหญ่ก็จะมีการเสิร์ฟชาจีนกับขนมให้กับแขกหรือผู้มาเยือน ทำให้เขาชินที่จะถามแบบนี้กับคนที่มาเยี่ยมเยือนและลืมไปช่วงหนึ่งว่าตนเองไม่ได้มีอิสระที่จะเดินเหินออกไปหาสำรับมาบริการแขกตามที่ตนออกปากถามได้

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” โจเซหัวเราะ “ผมกินมาเรียบร้อยแล้ว พอดีมีเวลาว่างผมก็นึกได้ว่าคุณอยู่เฉย ๆ คงจะเหงาก็เลยแวะมาเยี่ยม” ท่าทางของโจเซเวลาพูดแบบนั้นดูเป็นมิตรและเปิดเผยจนเจ้าตัวดูไม่เหมือนมาเฟียสักนิดเดียว และทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกมั่นใจขึ้นที่จะผูกสัมพันธ์ด้วย

   “ชิงหลงอนุญาตหรือครับ?”

   “มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราน่ะครับ” ชายหนุ่มชาวยุโรปยิ้มกว้าง นึกถึงตอนที่เขาเอ่ยเรื่องนี้กับญาติตัวเอง

   เพราะชิงหลงเอาคนเข้ามาในเขตเขาด้วยธุระของตนเองโดยไม่บอกให้เขารู้ก่อน ทำอย่างกับว่าเขาจะดูไม่ออกว่าเจ้าตัวมีลับลมคมใน เขาจึงอยากจะแก้เผ็ดบ้าง และสังเกตเห็นอยู่ว่าเซินหมิงเฟิ่งค่อนข้างให้ความสนใจกับเขาและเต็มใจจะผูกมิตรด้วย ดังนั้นเขาจึงออกปากบอกชิงหลงว่า หากต้องการให้เขาเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับเรื่องนี้ เขาจะต้องสามารถเข้าหาเซินหมิงเฟิ่งได้อย่างอิสระ แน่นอน ภายใต้ข้อตกลงว่า ภายในอาณาเขตที่ชิงหลงกำหนดเอาไว้ เจ้าตัวไม่ไว้ใจกระทั่งเขาว่าอาจจะพาตัวประกันของตนเองหลบหนีไป

   “พวกคุณดูสนิทกันดีนะครับ ทั้งที่อยู่คนละซีกโลกแบบนี้”

   โดยปกติแล้ว แค่อยู่คนละเมืองหรือคนละรัฐ พี่น้องก็แทบจะไม่รู้จักกันแล้วหากไม่ได้เยี่ยมเยียนกันบ่อย ๆ แต่เขารู้สึกว่าโจเซกับชิงหลงดูสนิทสนมกันจนถึงขั้นรู้กันไปเสียหมดราวกับพี่น้องที่อยู่ด้วยกันมาเกือบตลอดชีวิต ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากการติดต่อกันนาน ๆ ครั้ง หรือแค่เดินทางมาติดต่อธุรกิจอย่างที่เขาคิดในตอนแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าชิงหลงไว้ใจให้โจเซเข้ามาถึงตัวเขาได้แบบนี้

   “ความจริงแล้ว ตอนเด็ก ๆ เวย์เคยมาอยู่ที่นี่น่ะครับ พวกเราก็เลยสนิทสนมกันอยู่ช่วงหนึ่ง เรียกได้ว่าตัวติดกันจนโดนพวกญาติ ๆ แซวว่าเป็นฝาแฝดคนละฝั่งโลกกันเลย” เมื่อพูดถึงตอนนั้น โจเซก็หัวเราะออกมา ตัวเขากับชิงหลงในเวลานั้นเหมือนกับเด็กทั่วไปจริง ๆ ทั้งที่ต่างคนต่างรู้ว่าเมื่อตนเองโตขึ้นจะเป็นสิ่งใด “ผมจำได้ว่าตอนเขาต้องกลับฮ่องกง ผมร้องไห้งอแงจะตามเขาไป ถึงจะรู้ว่าฤดูร้อนต่อมาเขาจะเดินทางกลับมาเยี่ยมอีกก็ตาม”

   “น่าอิจฉาจังนะครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งพูดจากใจจริง ตัวเขานั้นถึงจะได้อยู่กับพี่น้องที่อังกฤษแต่ก็เป็นลูกของแม่กับสามีคนใหม่ ซึ่งหลังจากจากกัน เขาก็รู้ว่าคงไม่สามารถกลับไปหาได้อีก เพราะเขาไม่อยากให้สามีของแม่ยุ่งยากใจถึงแม้ฝ่ายนั้นจะไม่เคยแสดงออกในแง่ลบและใจดีกับเขาเสมอก็ตาม เขารบกวนถึง 8 ปีนี่ก็มากพอแล้ว แต่อยู่ที่ฮ่องกง เขาก็เป็นลูกโทน หวางซิงที่โตขึ้นก็ติดเรียนติดงานและดูเจ้าระเบียบขึ้นจนเขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาซึ่งเขาจำต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักระยะ แต่กลับโดนลักพาตัวมาเสียก่อน

   “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” โจเซเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย

   “เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมแค่รู้สึกว่าอยากจะมีพี่น้องที่สนิทใจแบบนั้นบ้าง”

   “สนิทใจ?” ชายหนุ่มทวนคำแล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง “สำหรับผมกับเวย์คงเรียกว่าสนิทใจไม่ได้หรอก”

   ไม่ต้องมีใครบอกโจเซก็รู้ดี ใช่ เขารู้จักชิงหลงดีอาจจะเรียกได้ว่ามากที่สุดหากไม่นับรวมชิงหลงคนก่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว และเขาก็รู้ว่าชิงหลงไม่อาจเรียกว่าสนิทใจกับใครได้เลย

   “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ?”

   “เอ...คุณคงไม่ได้กำลังหาข้อมูลของเวย์ผ่านทางผมอยู่หรอกนะครับ”

   เมื่อโจเซเริ่มแสดงท่ารู้ทัน เซินหมิงเฟิ่งจึงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน

   “ผมก็ถามไปเรื่อยตามประสาน่ะครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี”

   “ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรอก ผมก็หยอกเล่นเท่านั้นเอง” โจเซทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงอย่างเป็นธรรมชาติ “แต่ว่า ไหน ๆ คุณก็หลอกล่อให้ผมเล่าอะไรเยอะแยะขนาดนี้แล้ว คุณลองเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังบ้างสิ”

   “เรื่องของผม?” เซินหมิงเฟิ่งกลอกตาคิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ เอาเป็นว่าคุณถามผมดีกว่าผมจะได้ตอบได้ถูก”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมเริ่มจากเขาแล้วกัน” โจเซใช้เวลาคิดหัวข้ออยู่ไม่กี่นาทีแล้วเบือนสายตาไปทางคิมหันต์ที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง “อย่าหาว่าผมซอกแซกเลยนะ แต่ผมสังเกตว่าการ์ดคนนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น เขาเป็นคนเดียวที่ใกล้ชิดคุณและสนทนากับคุณตลอดตั้งแต่ที่สนามบินแล้ว และทั้งที่เขาเป็นคนของเวย์แต่คุณกลับไม่แสดงอาการต่อต้านเขามากเท่ากับคนอื่น ๆ”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วสูง นึกชื่นชมความช่างสังเกตสังกาของอีกฝ่ายขึ้นมา ผู้ชายคนนี้มีตาที่แหลมคมมากทีเดียว และอาจจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวหากเขาคิดอะไรขึ้นมาแล้วอีกฝ่ายสังเกตได้และนำไปบอกกับชิงหลง

   “เรื่องของเขาค่อนข้างจะซับซ้อน ถ้าเล่าอาจจะยาวสักหน่อยนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเฝื่อน ๆ เพราะคนที่เป็นหัวข้อนั้นคือคนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

   “ผมรอฟังอยู่” โจเซแสดงท่าทางสนอกสนใจด้วยการปรับเปลี่ยนท่านั่งให้สบายตัวขึ้นแล้วประสานมือบนตักรอฟังเรื่องราวอย่างสงบเสงี่ยม

   “ตอนแรกเขาเป็นคนของบ้านผม....ไม่สิ ไม่เชิงแบบนั้นหรอก ทุกคนคิดแบบนั้นเสียมากกว่า เขาเป็นการ์ดที่บ้านผมถึง 13 ปี ก่อนที่เขาจะย้ายตัวเองกลับไปหานายเก่าด้วยการลักพาตัวผมออกมา” ในตอนที่เซินหมิงเฟิ่งเล่าถึงตรงนี้ โจเซสังเกตเห็นถึงความไหววูบในดวงตาของคิมหันต์เพียงแค่ชั่ววินาทีโดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเลย แสดงว่าเจ้าตัวก็รู้สึกหวั่นไหวกับการกระทำของตนเองอยู่ลึก ๆ

   “ซับซ้อนจริง ๆ ด้วยนะครับ”

   “แบบนั้นแหละครับ และผมก็เลยเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนของชิงหลง...เต็มตัว” เซินหมิงเฟิ่งอดจะนึกถึงรอยสักมังกรที่มาแทนที่รูปหงส์สีแดงไม่ได้

   โจเซก็ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงปฏิกิริยากับการทอดคำหลังจนผิดสังเกต แต่เขาคิดว่าไม่ถามจะดีกว่า อย่างไรข้อสงสัยของเขาก็กระจ่างแล้วว่าทำไมการ์ดคนนี้ถึงได้รับสิทธิเข้าใกล้ตัวประกันมากกว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าชิงหลงไว้ใจมากหรือจงใจทดสอบความภักดีกันแน่ แต่การจัดคนสองคนที่อยู่ในสถานะใกล้เคียงกันไว้ด้วยกันแบบนี้ จะทำให้เจ้าตัวสามารถจับตาดูทั้งคู่ได้พร้อมกันโดยไม่ต้องเสียแรงเลยสักนิด ซ้ำยังมีเป้าหมายคนหนึ่งเป็นหูตาแทนอีกต่างหาก

   ชายหนุ่มผมทองลอบมองสังเกตคิมหันต์อยู่เงียบ ๆ นึกสงสัยว่าชิงหลงจะมีแผนการอะไรสำหรับคน ๆ นี้อีก เพราะชิงหลงไม่น่าจะเป็นคนที่ปล่อยสถานการณ์ดำเนินไปเฉย ๆ แบบนี้ ยิ่งเหตุการณ์เรียบร้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีคลื่นใต้น้ำมากเท่านั้น ชิงหลงจึงมักจะมีแผนการทำให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเสมอสำหรับคนนอกที่มีสถานะอยู่ในกำมือของตนเอง

   “เมื่อกี้ พวกคุณเล่นหมากรุกกันอยู่หรือครับ?” เนื่องจากการทิ้งช่วงความเงียบทำให้โจเซตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูดเสีย

   “ใช่ครับ ผมเพิ่งได้มาเมื่อวันก่อนนี้เอง”

   “ถ้าอย่างนั้น ลองเล่นกับผมหน่อยไหม? ผมไม่ได้เล่นมานานแล้วกลัวฝีมือจะตกไปซะก่อน”

   เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเจื่อน

   “ผมเล่นไม่เก่งหรอกนะครับ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือเสียว่าเล่นกระชับมิตร” โจเซจงใจเน้นประโยคหลัง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาต้องการผูกสัมพันธ์จริง ๆ แล้วหันไปหาคิมหันต์ “ค.....อา....เอสตาเต ช่วยหยิบกระดานหมากให้ทีได้ไหม? ฉันจะเล่นกับคุณมินเสียหน่อย”

   คิมหันต์ขมวคคิ้วนิด ๆ เขารู้สึกว่าโจเซพูดกับตนเอง แต่ชื่อที่ใช้กลับไม่ใช่ของเขา ไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ จะว่าเรียกผิดสำเนียงก็ไม่ใช่

   “หมายถึงผมหรือครับ?” เขาจำต้องถามซ้ำให้แน่ใจ

   “ชื่อของเธอมันเรียกยากนี่นา เอสตาเตในภาษาอิตาเลี่ยนหมายถึงฤดูร้อน น่าจะใช้แทนชื่อของเธอได้นะ” โจเซว่าพลางหัวเราะเมื่อเห็นคิมหันต์ทำสีหน้าแปลก ๆ

   “ทราบแล้วครับ” แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงแค่รับคำสั้น ๆ แล้วเดินไปหยิบกระดานหมากที่ตนเองเพิ่งเก็บไปเมื่อครู่กลับมาวางบนโต๊ะตัวเดิม พร้อมกับตัวหมากทั้งหมด โจเซเลื่อนหมากสีขาวไปให้เซินหมิงเฟิ่ง เป็นการแสดงว่าจะเพลามือให้โดยให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มเดินก่อน

   ทั้งสองจัดเรียงหมากทั้ง 16 ตัวลงในกระดานของฝั่งตัวเอง ก่อนที่เซินหมิงเฟิ่งจะเริ่มเดินเบี้ยไปด้านหน้าสองก้าว

   “คุณมินเคยเล่นหมากรุกจีนหรือเปล่าครับ” โจเซถามขณะเลื่อนเบี้ยไปด้านหน้า

   “หมากรุกจีน...ผมแค่เคยเห็นคนเล่น แต่เล่นเองไม่เป็นหรอกครับ ผมรู้สึกว่ากลยุทธ์มันเยอะเกินไปจนผมเวียนหัว ซ้ำยังมีกติกายิบย่อยอีก” เซินหมิงเฟิ่งว่า “แต่ผมเล่นเว่ยฉีพอได้บ้าง”

   “เว่ยฉี?”

   “อา....หมากล้อมน่ะครับ ภาษาจีนเรียกแบบนั้น”

   “ผมคิดว่าหมากล้อมดูพลิกแพลงมากกว่าหมากรุกจีนอีกนะครับ” โจเซหัวเราะเมื่อนึกถึงหมากกระดานที่พาให้ลายตา ชิงหลงเคยนำมาจากฮ่องกงและชวนเขาเล่น เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถเข้าใจกติกาของมันทั้งหมดได้ แต่ก็ยังไม่เคยเอาชนะชิงหลงได้เสียที ยิ่งพอโตขึ้นพวกเขาก็ไม่ค่อยได้พบกัน เขาจึงร้างราจากเกมกระดานชนิดนั้นไปเลยจนแทบจะเล่นไม่ได้แล้ว

   “แต่ว่า คนทางตะวันตกรู้จักมากกว่าก็เลยพอมีโอกาสได้เล่นมากกว่าน่ะครับ”

   “มันก็จริงอย่างคุณว่า” ชายหนุ่มผมทองพยักหน้า “น่าเสียดายที่ผมไม่ค่อยมีโอกาส”

   “ถ้าผมมีโอกาสผมจะสอนคุณก็แล้วกัน” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วหัวเราะ เพราะในใจเขารู้ดีว่าตนเองคงจะไม่ได้ทำตามสิ่งที่พูดออกไป โจเซกับเขาได้เจอกันก็เพราะชิงหลงพาเขามาที่นี่ แต่เดิม จูเชว่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกับมาเฟียฝั่งยุโรปอยู่แล้ว ดังนั้นหากเขาสามารถเดินออกไปจากเงื้อมมือของชิงหลงได้เมื่อไหร่ ทั้งโจเซ และทุกสิ่งที่พูดเอาไว้ที่นี่ก็คล้ายจะกลายเป็นโมฆะทันที

----------------------->

   ชิงหลงเดินออกมาจากอาคารสูงแห่งหนึ่งโดยมีคนเดินตามออกมาส่งเป็นกลุ่ม คนที่อยู่หน้าสุดเป็นชาวยุโรปรูปร่างไม่สูงมากนักและมีเชื้อสายละติน เขาจับมือกับชิงหลงอย่างพึงพอใจก่อนจะส่งชายหนุ่มจากฮ่องกงขึ้นรถไปแล้วจึงเดินกลับเข้าตึก

   เพราะไหน ๆ ก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ชิงหลงจึงไม่อยากเสียเวลาเปล่า ๆ ไปกับการนั่งเฝ้าเซินหมิงเฟิ่งเท่านั้น เขาจึงเดินทางไปหาคนที่เป็นคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อพบปะและแสดงความเอาใจใส่ต่ออีกฝ่าย ซึ่งจะมีผลดีต่อการประสานงานและทำธุรกิจกันต่อไปในภายภาคหน้า คนที่เขามาพบวันนี้ก็นับเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของเขาซึ่งมีสาขาอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น และประเทศเล็ก ๆ ในเอเชียรวมถึงเกาะฮ่องกง เจ้าตัวเป็นคนไม่เรื่องมากและพูดคุยง่าย มีเหตุมีผล ชิงหลงจึงพึงพอใจที่จะทำงานด้วยและมักจะมาพบทุกครั้งที่เดินทางมาที่อิตาลี

   แต่อีกเหตุผลที่ชิงหลงเดินทางออกมาข้างนอกทุกวันไม่ใช่เพียงเพื่อพบปะสนทนากับคู่ค้าเท่านั้น เขายังคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติด้วย

   หลายวันมาแล้ว นับแต่เขามาถึงฮ่องกงก็ว่าได้ มีบุคคลกลุ่มหนึ่งคล้ายกำลังจับตาดูพวกเขาอยู่ทุกฝีก้าว กระทั่งในวันนี้เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงรถที่ตามเขาอยู่ไม่ห่าง แต่ก็ทิ้งระยะจนไม่ผิดสังเกต เขาเองหากไม่จับจ้องดี ๆ ก็อาจจะคิดว่าเป็นรถที่ขับไปทางเดียวกันเฉย ๆ เรียกว่าติดตามแบบมืออาชีพจริง ๆ

   “ฉันจะแวะที่อื่นก่อน ยังไม่ต้องกลับโรงแรม” เขาสั่งคนขับรถแล้วบอกสถานที่ไป

   เมื่อได้รับคำสั่ง รถก็เปลี่ยนเส้นทางออกถนนอีกสาย และเป็นจริงดังที่คาด รถคันนั้นขับตามออกเส้นทางมาจริง ๆ ทั้งที่ตอนแรกไม่มีท่าทีว่าจะเลี้ยวเลย

   สิ่งที่เขาอยากจะแน่ใจในตอนนี้ก็มีเพียงเท่านี้

   “กลับโรงแรม”

   “เอ๋? ครับ?” เพราะคำสั่งที่ขัดกับตอนแรกอย่างสิ้นเชิงทำให้คนขับรถงงงวยว่าตนเองควรจะทำอะไร

   “พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่าเอาไว้วันหลังจะดีกว่า” ชิงหลงไม่คิดอธิบายอะไรให้มากความ เขาตัดบทสั้น ๆ แต่เพิ่มคำสั่งใหม่เข้าไป “ไม่ต้องเข้าถนนเส้นเดิม ขับอ้อมไปดีกว่า ฉันอยากจะชมเมือง” ทั้งที้ทั้งนั้น เพื่อไม่ให้รถที่ตามมารู้สึกผิดสังเกตที่หักออกจากถนนเส้นหลักแล้วยังขับวนกลับไปอีก เขาจึงจงใจทำให้ดูเหมือนว่าตนเองอยากจะชมทิวทัศน์ของเมืองจึงขับรถอ้อมเส้นทางจะดีกว่า

   คนขับรถแม้จะรู้สึกสงสัย แต่หน้าที่ที่เขาได้รับจากดอนมอเรสซาเรคือการทำตามคำสั่งชิงหลง เขาจึงไม่ได้ถามอะไรออกมาและกระทำตามตามคำสั่งทุกอย่าง ด้วยการขับรถไปตามปกติและวนรอบ ๆ เมืองไปเรื่อย ๆ ให้ผู้โดยสารได้ดูสถานที่ต่าง ๆ

   ตัวชิงหลงเองนั้น สายตาก็ไม่ได้มองไปนอกหน้าต่างเปล่า ๆ เขาลอบสังเกตรถคันนั้นจากกระจกด้านข้างรถแทบตลอดเวลา

   คำถามต่อมาที่เขาต้องการคำตอบคือ...

   เป็นคนของใคร...

------------------------->

   หลังจากวนรอบเมืองจนชิงหลงพอใจแล้ว รถก็พากลับมาที่โรงแรม

   การ์ดจำนวนหนึ่งลงมารับที่ชั้นล่างเมื่อมีการโทรบอกว่าชิงหลงกลับมาถึงแล้ว

   “วันนี้ดอนมอเรสซาเรมาขอพบครับ” การ์ดคนหนึ่งรายงานขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ ชิงหลงเลิกคิ้ว ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมาวันนี้

   “แล้วตอนนี้อยู่ไหน?”

   “อยู่ในห้องของคุณเซินครับ”

   “อ้อ....” ชิงหลงทอดเสียงเหมือนคาดการณ์ไว้แล้ว ก่อนหน้านี้โจเซเคยบอกเขาว่าต้องการเข้าหาเซินหมิงเฟิ่งอย่างอิสระ และเขาก็ออกปากอนุญาตเพื่อให้โจเซเลิกถือสาเอาความกับเขาที่พาทายาทมาเฟียอีกคนเข้ามาในเขตของมอเรสซาเร

   ชิงหลงเปิดประตูเข้าไปในห้อง และได้เห็นโจเซกับเซินหมิงเฟิ่งกำลังประลองหมากรุกกันอย่างจริงจัง หรือหากพูดอีกอย่าง มีเพียงเซินหมิงเฟิ่งที่ดูจริงจัง เจ้าตัววางสีหน้าเคร่งเครียดขณะจับจ้องกระดานหมากอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้างกระดานมีหมากบางตัวที่ถูกดึงออกจากตารางมาวางเอาไว้ อีกฝั่งหนึ่ง โจเซนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางสบาย ๆ ทอดสายตาทอยิ้มมองดูกระดานอย่างพึงพอใจอย่างที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เซินหมิงเฟิ่งถูกโจเซเล่นเข้าให้แล้ว เจ้าตัวชอบบอกใครต่อใครว่าเล่นหมากกระดานฝีมืองั้น ๆ แต่ความจริงกลยุทธ์ที่โจเซถนัดคือการเปิดทางให้ดูแพ้ทางก่อนจะค่อยๆไล่ต้อนให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างช้า ๆ

   ชายหนุ่มเดินเข้าไปแล้วยืนมองกระดานอยู่ห่าง ๆ หากสายตาของเขาดีพอ เซินหมิงเฟิ่งหมดทางชนะโดยสิ้นเชิงเพียงแต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น

   “อ้าว กลับมาแล้วหรือ?” โจเซเป็นคนแรกที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นชิงหลง อาจเพราะเขาไม่ได้ใช้สมษธิกับเกมมากนัก จึงยังสามารถรับรู้ถึงการมาเยือนของบุคคลอื่นได้อยู่ ในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งด่ำดิงสู่เกมกระดานอย่างสิ้นเชิงและไม่รู้ถึงการมีตัวตนของชิงหลงเลยจนกระทั่งได้ยินเสียงโจเซ

   “สนุกหรือเปล่า?” ชิงหลงถามเสียงเรียบ สายตาเจ้าตัวบ่งบอกถึงการรู้ผลแพ้ชนะล่วงหน้าอย่างชัดเจน

   “สนุกมากเลยล่ะ คุณมินฝีมือดีทีเดียว ฉันเกือบพลาดท่าตั้งหลายครั้ง” โจเซพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนานและจงใจแสดงความรู้สึกโล่งอกเล็ก ๆ ให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกดีไปด้วย

   “ขอบคุณมากนะครับที่สละเวลา” เซินหมิงเฟิ่งลุกขึ้นเมื่อโจเซยันตัวขึ้นจากเก้าอี้

   “ไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนผมจะต้องไปแล้ว แล้วพบกันใหม่นะครับ” โจเซจับมือกับเซินหมิงเฟิ่ง เป็นจังหวะพอดีที่คิมหันต์เข้ามาในห้อง

   “ไปไหนมา?” ชิงหลงมุ่นคิ้วถาม เพราะเขาสั่งให้คิมหันต์อยู่ข้างตัวเซินหมิงเฟิ่งตลอดเวลา แต่ตอนเขากลับมาเขากลับไม่เห็นอีกฝ่ายเลย


ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #61 เมื่อ11-01-2012 16:34:41 »

   “ดอนมอเรสซาเรสั่งให้ผมลงไปซื้อกาแฟครับ” คิมหันต์ตอบตามตรงและรู้ว่าตนเองมีความผิดที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด “ขอโทษด้วยครับท่านชิงหลง”

   ชิงหลงได้ฟังดังนั้นก็หันไปหาโจเซที่ยังยืนหน้าเป็นอยู่ข้างตัว

   โจเซเห็นว่าตอนนี้โทษมาตกกับตนเองก็ทำสีหน้าสบาย ๆ แล้วสวมแว่นกันแดดก่อนจะเดินไปรับแก้วกาแฟ

   “ขอบใจนะเอสตาเต” เขาจิบอึกหนึ่งแล้วหันมาหาชิงหลง “เอาเถอะน่า ฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคนกับการ์ดของนายอีกเป็นขบวน ให้เอสตาเตออกไปดูโลกภายนอกบ้างจะเป็นไรไป”

   “จำได้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องของนายนะ”

   โดยสวนเข้าไปแบบนี้ โจเซก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเดินมาคล้องคอชิงหลง

   “นายเองก็อยากรู้ไม่ใช่หรือไงว่าเขาจงรักภักดีกับนายจริงหรือเปล่า” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กระซิบเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ

   “นายก็เลยปล่อยให้เขาออกไปเดินเล่น?” ชิงหลงเลิกคิ้ว ความจริงเรื่องที่คิมหันต์ออกไปข้างนอกตามคำสั่งโจเซนั้นเขาไม่ได้ถือโกรธอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่เขาสงสัยว่าทำไมโจเซถึงต้องเจาะจงคิมหันต์ทั้งที่การ์ดตัวเองก็มีให้ใช้งานอยู่ และยังการ์ดของเขาอีก

   “ไม่เสียหายอะไรนี่” โจเซไหวไหล่ “เอาล่ะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไว้คราวหน้าฉันจะมาตอนนายอยู่ที่ห้องแล้วกันนะ” หลังจากพูดจบ เจ้าตัวก็เดินออกไปทันที ตอนี้จึงเหลือคิมหันต์กับเซินหมิงเฟิ่งอยู่ในห้อง และชิงหลงซึ่งกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเพียงลำพัง แต่ความคิดนั้นก็พลันแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเสียงของเซินหมิงเฟิ่งแทรกเข้ามาในห้วงความคิดโดยไม่ได้รับเชิญ

   “คุณเลิกถือโทษคิมหันต์ได้แล้ว เขาแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง”

   “ผมจำได้ว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะมาตัดสิน” ชิงหลงตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง ทำให้เซินหมิงเฟิ่งชักสีหน้าไม่พอใจทันที แต่ก็ตอบโต้อะไรออกไปไม่ได้

   ชิงหลงปรายสายตาไปยังกระดานหมาก ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงฝั่งที่โจเซนั่งก่อนหน้านี้

   “คุณจะแก้เกมให้ผมหรือไงกัน?” เซินหมิงเฟิ่งเห็นเข้าก็อดถามไม่ได้

   “เรื่องนั้นคงยาก เพราะจากที่ผมเห็น คุณไม่มีทางเอาชนะได้เลย และอีกแค่ 5 ตาเดินคุณก็แพ้แน่แล้ว” โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมากมาย ชิงหลงก็บรรยาออกมาเสร็จสรรพทำให้ผู้ฟังถึงกับสะอึกเพราะแน่ใจว่าตนเองน่าจะพอพลิกกระดานได้บ้าง หากมองจากจำนวนหมาก เขาเองก็มีมากกว่าแท้ ๆ

   “คุณอาจจะมองผิดก็ได้” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ทำท่าจะเดินต่อแต่ชิงหลงกลับยกมือปรามแล้วกวาดหมากทั้งหมดออกจากกระดาน

   “คุณต่างหากที่มองผิด โจเซเล่นหมากรุกเป็นงานอดิเรกมาตั้งแต่เด็ก ดอนมอเรสซาเรคนก่อนเป็นคนสอนมากับมือ คุณคิดว่าเขามีฝีมือเท่าเด็กประถมหรือ?” ชิงหลงว่าไปก็เรียงหมากลงบนกระดานทีละช่องทั้งฝ่ายดำและขาวจนทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งเริ่มต้น ฝ่ายขาวอยู่ในมือเซินหมิงเฟิ่งเหมือนกับที่โจเซจัดไว้ตอนแรก “คุณคงรู้กติกานะ เชิญเดินก่อนตามสบาย”

   เซินหมิงเฟิ่งหรี่ตาลง

   “คุณจะสอนผมเล่น?”

   “เปล่า ผมจะเล่นให้คุณดู”

   คำพูดของชิงหลงน่าหมั่นไส้แบบแปลก ๆ แต่เขาก็ไม่รู้จะตอบโต้อะไร ในที่สุดจึงเลื่อนเบี้ยตัวหนึ่งขึ้นบนสองช่องดังที่เล่นเป็นปกติ

   “โจเซคงบอกคุณว่าเขาไม่ค่อยได้เล่นเลยอยากขัดเกลาฝีมือ” ชิงหลงว่าพลางเลื่อยเบี้ยไปด้านหน้า
   “ครับ...”

   “เขาก็บอกผมแบบนั้นเหมือนกัน ตอนเจอกันครั้งแรก” ชายหนุ่มคิดไปถึงสมัยเด็กที่เดินทางมาอิตาลีและได้เจอลูกพี่ลูกน้องตัวเอง ฝ่ายนั้นชวนเขาเล่นหมากรุกซึ่งตัวเขาไม่เคยเล่นมาก่อน ตอนอยู่ฮ่องกงเขาเล่นแต่หมากรุกจีนกับหมากล้อมกับพ่อเท่านั้น

   “....แล้ว...เป็นยังไงบ้าง?” เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกแปลกที่อยู่ ๆ ชิงหลงก็มานั่งตรงหน้าเขา และพูดคุยสัพเพเหระทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาแทบจะไม่ได้เผชิญหน้ากันตรง ๆ เลยสักครั้ง

   “เขาชนะขาดลอย” ชิงหลงไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เป็นที่แน่นอนว่าเขาแพ้ และโจเซชนะ ส่วนรายละเอียดที่ว่าเขาถูกไล่ต้อนเหมือนหมาป่าต้อนกระต่ายนั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง โจเซนิสัยเสียแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่อเล็กซานโดรยังว่าไว้เช่นนั้น

   เซินหมิงเฟิ่งเงียบไปเล็กน้อย เขากำลังพิจารณาหมากบนกระดานว่าควรจะเดินตัวไหนก่อนจะเลือกขยับม้าออกมาเพราะม้าเดินได้พลิกแพลงกว่าตัวอื่น ๆ

   “แล้วคุณทำยังไง? คนอย่างคุณคงไม่ยอมให้เขาชนะเฉย ๆ แบบนั้นแน่ แล้วยังรู้ว่าเขาจงใจเอาเปรียบคุณด้านประสบการณ์ด้วย” แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชิงหลงดีนัก แต่เขาก็พอมองคนเป็น คนอย่างชิงหลงคงจะคิดแผนการเอาคืน  ไม่มีทางยอมถูกเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่

   “ครั้งถัดมาที่ผมมาอิตาลี ผมท้าเขาเล่นเว่ยฉี”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

   “คุณใจร้ายกับเขาเอาเรื่องเลยนะครับ” เว่ยฉีหรือหมากล้อมเป็นเกมที่อาศัยกลยุทธ์หลายอย่าง ใช่สักแต่รู้กติกาก็จะเล่นชนะได้ การที่ชิงหลงชวนโจเซเล่นเกมนี้แสดงว่าจงใจจะบอกให้รู้ว่าตนเองเหนือกว่าอย่างทาบไม่ติด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชิงหลงชนะในเกมนั้น

   “ก็แค่ตอบแทนสิ่งที่เขาทำ” ชิงหลงกล่าวขณะดันเรือออกมาจากจุดเริ่มของมัน

   หลังจากการสนทนาเรียบง่ายไม่กี่ประโยค ทำให้เซินหมิงเฟิ่งสรุปนิสัยชิงหลงในใจได้อย่างคร่าว ๆ ว่า เป็นคนไม่ยอมคน แม้ภายนอกจะดูเรียบเฉยคล้ายไม่ใส่ใจอะไรมากนัก แต่จริง ๆ แล้วเหมือนจะเจ้าคิดเจ้าแค้นมากกว่าที่เห็นหลายเท่า หากถูกกระทำเมื่อไหร่ก็พร้อมจะตอบโต้กลับไปอย่างสาสม ผู้ชายคนนี้นับว่าเป็นคนที่อันตรายกว่าที่เขาคิดไว้ เพราะเจ้าตัวแทบจะไม่แสดงออกด้านอารมณ์ทางสีหน้าเลย ดังนั้นจึงไม่อาจรู้ได้ว่าขณะนี้ ชิงหลงกำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังวางแผนอะไรไว้ ไม่รู้กระทั่งว่าสิ่งที่ตนเองทำในตอนนี้ ฝ่ายนั้นจะนำกลับไปคิดบัญชีหรือไม่ มิน่าเล่า พวกการ์ดถึงได้ดูกริ่งเกรงเจ้านายคนนี้นัก ไม่ใช่แค่เพียงตำแหน่งที่ชิงหลงถือครอง แต่ทั้งบุคลิกลักษณะ รวมถึงวิธีการคิดตัดสินใจล้วนแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงทั้งสิ้น

   ระหว่างที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังคิดอยู่นั้น เบี้ยสีขาวก็ถูกนำออกไปจากกระดาน และตาเดินต่อมา ม้าของเขาตัวหนึ่งก็ถูกนำออกไปเช่นกัน

   เซินหมิงเฟิ่งเผลอหายใจกระตุก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรุกใส่เร็วถึงขนาดนี้ ตอนที่เขาเล่นกับโจเซ เขาเป็นฝ่ายได้กินตัวแรกก่อนด้วยซ้ำไป และไม่เคยถูกกินสองตัวติดกันแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เขาเคยเล่นมา กระทั่งตอนเล่นกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนในอังกฤษก็ตาม

   การเสียม้าไปตัวหนึ่งอย่างรวดเร็วทำให้เซินหมิงเฟิ่งหยุดการสนทนาและเพ่งสมาธิกับกระดานมากขึ้น เขาเดินบิชอปออกมาดักหน้าเพื่อไม่ให้มีการรุกเข้าใกล้คิงมากกว่านี้ ชิงหลงเดินเบี้ยหลบหลีกโดยไม่แยแสว่าบิชอปตัวนั้นอาจจะกินเรือของตนเองเข้าไป

   “ไม่ต้องใจร้อนหรอก ผมไม่ได้รีบไปไหน” ชิงหลงพูดเหมือนเย้า แต่อารมณ์เซินหมิงเฟิ่งตอนนี้จดจ่อแต่กับกระดานหมากจนไม่ได้สนใจฟัง

   ชิงหลงเงยหน้าขึ้นไปหาคิมหันต์

   “รินน้ำให้ฉันหน่อย” เขารู้สึกคอแห้งขึ้นมาเพราะไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายชั่วโมงแล้ว

   คิมหันต์เดินไปทำตามคำสั่งในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งเริ่มเดินต่อ ชิงหลงหันกลับไปเลื่อนตัวหมากโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมาก เหมือนกับว่าเจ้าตัวคิดล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ท่าทางการเดินแบบนั้นยิ่งทำให้เซินหมิงเฟิ่งกดดันมากขึ้น โจเซไม่ได้กดดันเขาเลยในช่วงต้นเกม พวกเขาเล่นกันแบบสบาย ๆ จนกระทั่งถึงช่วงท้าย ๆ ที่เขาไม่รู้จะเดินตัวไหนถึงจะเข้าหาคิงได้ง่ายที่สุด แต่ชิงหลงกลับกดดันเขาแบบไม่ยอมละเว้นให้สักตาเดียว หมากเขาเสียไปแล้วสองตัว ซ้ำหนึ่งในนั้นไม่ใช่เบี้ยธรรมดาแต่เป็นม้า

   ในที่สุดเซินหมิงเฟิ่งก็ตัดใจกินเรือที่ยืนยั่วน้ำลายอยู่นานสองนาน พอดีกับจังหวะที่คิมหันต์นำน้ำมาเสิร์ฟให้ชิงหลงและเซินหมิงเฟิ่งคนละแก้ว

   หลังจากนำเรือสีดำออกไปจากกระดานแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็โล่งใจได้ไม่นาน เพราะบิชอปของเขาถูกเบี้ยที่ดักรออยู่กินไปทันที

   เซินหมิงเฟิ่งถึงกับพูดไม่ออกกับความสะเพร่าของตนเองที่ลืมมอง ซ้ำยังถูกเบี้ยกินอีก เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าอัปยศอย่างที่สุด

   ชิงหลงจิบน้ำอย่างสบายใจ มองดูตาเดินที่คาดการณ์ไว้ได้อีกหลายอย่าง

   ในที่สุดเซินหมิงเฟิ่งจึงเปลี่ยนกลยุทธ์โดยเล่นเกมให้ช้าลง เขาเอาเบี้ยนำเปิดทางแล้วค่อยนำหมากใหญ่ที่เหลือประกบคิงไว้ ใช้ม้าและบิชอปออกมาเป็นทัพหน้า แต่ชิงหลงก็เหมือนไม่สะทกสะท้าน เจ้าตัวยังคงเดินหมากอย่างช้า ๆ ไม่เร่งร้อนและไม่แสดงอาการร้อนใจ

   และเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เกมก็จบลงโดยที่หมากบนกระดานของชิงหลงแทบจะไม่เสียตัวใหญ่ไปเลย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขายอมเสียตัวใหญ่บางตัวเพื่อเปิดทางให้เบี้ยเดินไปจนสุดกระดานและกลายเป็นควีนตัวใหม่ซึ่งใช้ประโยชนืได้คุ้มค่ากับหมากที่เสียไป ส่วนฝั่งของเซินหมิงเฟิ่ง นอกจากจะเสียหมากไปเกือบหมดกระดานแล้ว คองยังถูกต้อนให้จนมุมไม่เหลือที่ให้เดิน ไม่ว่าขยับไปตรงไหน คำว่า ‘รุกฆาต’ ก็จะดังขึ้นทันที จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสียเวลาเล่นให้จบเกมอีก

   “คุณโกหกผมแน่ ๆ”

   ชิงหลงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำประท้วง

   “ผมโกหกอะไร?”

   “คุณบอกว่าคุณโจเซเก่งมากจนคุณเอาชนะไม่ได้ แต่ตอนที่ผมเล่นกับคุณโจเซ เขาไม่ได้ไล่ผมจนจนตรอกแบบนี้เลย ผมยังพลิกเขาได้หลาย ๆ ครั้ง” เซินหมิงเฟิ่งขมวดคิ้วแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาของชิงหลงซึ่งไม่ได้แสดงอะไรออกมาให้ผิดสังเกตเลย

   “คุณอ่อนหัดกว่าที่ผมคิดไว้ คุณเซิน”

   อยู่ ๆ ถูกต่อว่ากลับมาแบบนี้ ชายหนุ่มก็ถึงกับผงะ การที่เขาเล่นหมากรุกได้ไม่ดี ถึงกับกลายเป็นคนอ่อนหัดไปเลยหรือ?

   “การเป็นคนเก่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปิดเผยออกมาทั้งหมดในคราวเดียว แต่การที่เขาควบคุมเกมให้เป็นไปได้ตามต้องการ ทำให้คุณคิดว่าเขาออมมือให้ และไล่ต้อนคุณจนพบกับความพ่ายแพ้โดยไม่รู้ตัว นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเรียกว่าเก่ง หากให้เขาเอาจริง คงเอาชนะได้โดยที่คุณยังไม่ทันขยับคิงเสียด้วยซ้ำไป” ชิงหลงกล่าวตอบทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนโดนสั่งสอนอยู่กลาย ๆ และในนาทีต่อมา ความรู้สึกชาวูบจากปลายเท้าก็ปรากฏอย่างช้า ๆ เมื่อเขาตระหนักว่าหากเอาปัญญาที่เล่นหมากรุกไปใช้ในโลกจริงล่ะจะเกิดอะไรขึ้น...

   คนที่สามารถควบคุมหมากบนกระดานได้ทั้งหมดทั้งของตนเองและฝ่ายตรงข้าม...

   เซินหมิงเฟิ่งอดเหลือบตามองชิงหลงไม่ได้

   หมากรุกสากล ชิงหลงอาจแพ้โจเซก็จริง แต่หมากล้อม โจเซก็เอาชนะชิงหลงไม่ได้ นั่นอาจหมายความว่าคนทั้งสองอันตรายแทบจะพอ ๆ กัน บางที วิธีเดียวที่จะเอาชนะสองคนนี้ได้คือทำให้แตกคอกันเอง แต่ปัญหาก็คือ สมองของเขาในตอนนี้คิดเรื่องแบบนั้นไม่ออกเลย!

TBC

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #62 เมื่อ11-01-2012 21:08:53 »

การดำเนินเรื่องนี้ คงเหมือนชิงหลง ดูเฉย ๆ เรื่อย ๆ แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความลับและที่สำคัญ คือ คาดเดาอะไรไม่ได้
คนอ่านก็เหมือนอาหมิง ที่ยังเดาสถานการณ์อะไรไม่ถูก ไม่รู้เบื้องลึก เบื้องหลัง
ฉนั้นคนอ่านและอาหมิง จึงต้องมาสืบหาความเป็นไปพร้อม ๆ กันสินะ   :a5:

ออฟไลน์ davina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #63 เมื่อ11-01-2012 21:52:03 »

ชอบการบรรยายของเรื่องนี้จริงๆ สุดยอดมาก

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #64 เมื่อ15-01-2012 12:16:48 »

โจเซกับชิงหลงเล่นเก่งจริงๆ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #65 เมื่อ15-01-2012 12:34:24 »

ตอนแปดแล้วแต่ยังเหมือนไม่รู้อะไรกันเลย
เฮือกก ลุ้นกันต่อไป

ออฟไลน์ thanagorn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #66 เมื่อ15-01-2012 19:08:43 »

พาไปล่องเรือชมเมืองเส้นมักกะโรนี :laugh:และสวมแหวนใต้เงาสะพาน.....อัยย่า...อิอิ : :n1:

Jacknight

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #67 เมื่อ15-01-2012 20:56:57 »

จะครบสิบตอนแล้วง่ะ แต่ทำไมยังมีเงื่อนงำไม่หายซะทีน้อ...

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #68 เมื่อ16-01-2012 20:39:41 »

เข้มข้นตั้งแต่ต้นเรื่องเลย แต่งสนุกเหมือนเดิมเลยค่ะ ^^

nuttinee_k

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
«ตอบ #69 เมื่อ04-02-2012 22:27:32 »

 o18 เข้ามาส่องรอบที่ 3 แร้ววว   :z3: 

รอต่อปายยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
« ตอบ #69 เมื่อ: 04-02-2012 22:27:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
«ตอบ #70 เมื่อ07-02-2012 17:22:44 »

-9-


ชิงหลงนั่งอยู่ในห้องพักของโรงแรม ชายคนหนึ่งยื่นเอกสารให้เขาอย่างเงียบงันและค่อย ๆ ถอยออกไปยืนห่าง ๆ เขาจึงเปิดซองเอกสารออกแล้วอ่านสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เร่งร้อน

“เราควรบอกเรื่องนี้กับดอนมอเรสซาเรไหมครับ” การ์ดคนหนึ่งกระซิบถามขึ้น

“เอาไว้ก่อน” ชิงหลงว่า

“แต่ว่าพวกนี้เป็นคนของ....”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดต่อ สายตาคมปลาบก็ตวัดมองให้เงียบสนิท ชิงหลงเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะเหมือนกำลังครุ่นคิด บางทีโจเซคงไม่ชอบในสิ่งที่เขาคิดจะทำเท่าไหร่นัก ยิ่งการวางแผนโดยไม่บอกไม่กล่าวอีกฝ่ายอย่างนี้ แต่เอาเถอะ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะชอบหรือไม่ เขาก็คิดว่าจำเป็นต้องทำ ไม่อย่างนั้นคงต้องทนกับอาการกระด้างกระเดื่องและความพยายามที่จะหลบหนีในอนาคตเมื่อเซินหมิงเฟิ่งตั้งตัวติดอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นที่เขาอยากจะจัดการให้แน่ใจอีก

“เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน” เขาตัดสินใจ “เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจะบอกกับเขาเอง ตราบใดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ทางนั้นก็ต่อว่าฉันไม่ได้หรอก” แม้ชิงหลงจะพูดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงมันอาจไม่ง่ายดายอย่างที่คิด เพราะหากโจเซหรืออเล็กซานโดรระแคะระคายแม้แต่น้อย เขาอาจถูกต่อว่าอย่างรุนแรงที่ข้ามหัวเจ้าถิ่นก็เป็นได้ และถึงจะเป็นญาติเขาก็อาจเสียความร่วมมืออันดีของมอเรสซาเรไป

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปครับ?”

เมื่อมีคนถามขึ้นมาเช่นนั้น ชิงหลงก็เอนตัวประสานมือไว้บนตัก


“ฉันจัดการเอง”

หากชิงหลงพูดเช่นนั้นแล้วคงไม่มีใครขัดได้ เจ้าตัวบอกจะจัดการเองนั่นหมายความว่าต้องการให้คนอื่นปิดหูปิดตาไม่ยุ่งเกี่ยว

ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นต่างมองหน้ากันไปมาก่อนจะทยอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อชิงหลงไม่มีคำสั่งอะไรออกมาอีก และทำเพียงแค่นั่งนิ่งไม่ไหวติงคล้ายกำลังใช้ความคิด

หากแผนนี้สำเร็จด้วยดี เรื่องน่ารำคาญใจคงลดลงไปมาก...

------------------------>

“ว้าว...ร้านของคุณหลางจัดแต่งได้สวยมากเลยค่ะ” ซากุระอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในร้านขายเครื่องประดับย่านกลางเมือง เธอได้รับเชิญให้มาถึงที่นี่ทั้งที่อยู่ห่างจากบ้านมากและมีร้านเครื่องประดับมากมายเรียงรายในบริเวณที่อาศัยอยู่กระทั่งในห้างสรรพสินค้า ถึงอย่างนั้นซากุระก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะมา เพราะร้านนี้เป็นร้านเครื่องประดับที่หลางเมี่ยวอินทำงานอยู่และเจ้าตัวเป็นคนเชิญเธอด้วยตัวเอง

“ชอบหรือเปล่าคะ คุณมินาโมโตะ?” หลางเมี่ยวอินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม วันนี้ใบหน้าของเธอแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางค์มากกว่าวันที่พบกันครั้งแรก เพราะในเวลาทำงานเธอจำเป็นต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูเข้ากับสินค้า ยิ่งทำงานเกี่ยวกับสินค้าที่ส่งเสริมความงามแบบนี้ด้วยแล้ว

“ชอบสิคะ ฉันยังไม่เคยเห็นร้านไหนตกแต่งได้พอเหมาะพอเจาะแบบนี้มาก่อนเลย แม้แต่ในญี่ปุ่นก็ยังหายาก” ซากุระเดินมองเครื่องเพชรในตู้กระจก “ดีไซเนอร์ของคุณก็รสนิยมดีนะคะ แต่ละแบบดูร่วมสมัยแล้วก็เหมาะกับทุกเพศทุกวัยทั้งนั้นเลย”

“ความจริงแล้ว ฉันเพิ่งเปลี่ยนตัวดีไซเนอร์ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ แล้วก็ตกแต่งร้านใหม่ด้วย จะมีใครเข้าใจผู้หญิงได้เท่ากับผู้หญิงจริงไหมล่ะคะ” หลางเมี่ยวอินยิ้มขณะพูดเช่นนั้น การตกแต่งของร้านนี้เธอจงใจให้ออกแบบเพื่อเอาใจลูกค้าที่เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะ และยังเอาใจใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำงานของพนักงานในร้านและการสำรวจของลูกค้าด้วย ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุนั้น พนักงานในร้านหลายคนจึงเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางสุภาพ ซึ่งลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มผู้หญิงคงจะชอบที่ถูกต้อนรับโดยชายหนุ่มเหล่านี้

“ถ้าฉันจะลองทำธุรกิจด้านนี้ คงต้องขอคำแนะนำจากคุณหลางบ้าง” ซากุระหัวเราะ “จะว่าไป ฉันค่อนข้างชอบเครื่องเงินกับพวกทองคำขาวน่ะค่ะ”

“เงินกับทองคำขาว ทางนี้ก็มีนะคะ” หลางเมี่ยวอินผายมือให้ซากุระเดินไปอีกด้านหนึ่งของร้าน ซึ่งเป็นเครื่องประดับเงินและทองคำข้าวหล่อเป็นรูปมากมาย ส่วนมากจะเป็นรูปคล้ายลายฉลุและเส้นอ่อนช้อยดูสวยงามแบบคลาสสิก บางอย่างก็ประดับเพชนหรือพลอย แต่ส่วนมากจะเป็นเงินเปล่า ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า ส่วนเพชรพลอยมักประกอบกับทองคำ

“คุณหลางทำฉันละลานตาไปหมด จนฉันลืมจุดประสงค์ที่มาที่นี่ไปเลย” หญิงสาวละสายตาจากเครื่องประดับสะท้อนแสงไฟแวววับเหล่านั้นแล้วมองไปยังตู้ที่เป็นแหวน “ที่ฉันบอกว่าอยากจะได้คำแนะนำก่อนหน้านี้ คุณหลางคงยังไม่ลืมนะคะ”

หลางเมี่ยวอินยิ้มรับคำแล้วเดินนำซากุระไปยังตู้ที่มีแต่แหวนแบบต่าง ๆ ทั้งรูปแบบ สินแร่ และการประดับประดา

ก่อนหน้านี้ ซากุระเพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าหาหลางเมี่ยวอินได้อย่างสนิทสนม ซึ่งหลังจากแลกเปลี่ยนทัศนคติกันอย่างถูกคอแล้ว ซากุระจึงเอ่ยปรึกษาเรื่องแต่งงานขึ้นมา เธอรู้มาว่าหลางเมี่ยวอินคุมร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งอยู่ มันจึงเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้มีข้ออ้างในการพบปะครั้งต่อไป เธอกล่าวกับหลางเมี่ยวอินว่ารู้สึกหนักใจไม่รู้จะเลือกแหวนอย่างไร และยังเครื่องประดับกับชุดที่จะใช้ในงานอีก แม้ปกติเรื่องพวกนี้ญาติฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นคนตระเตรียมร่วมกับญาติฝ่ายเจ้าบ่าว แต่ซากุระไม่มีญาติที่นี่ พ่อของเธอก็คงไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้มากนัก ทางฝ่ายจูเชว่ก็ไม่มีข่าวคราวอะไร เมื่อประกอบข้ออ้างทั้งหมดที่เข้ากันอย่างเหมาะเจาะ ทำให้หลางเมี่ยวอินยินยอมให้ความช่วยเหลือด้วยการเสนอตัวให้คำแนะนำและเลือกเครื่องประดับบางชิ้นให้

“พี่หมิง.....คุณเซินไม่มาด้วยหรือคะ?” หลางเมี่ยวอินเอ่ยถามโดยเปลี่ยนสรรพนามที่ชินปากให้ดูเหมาะสมขึ้น แต่ซากุระกลับหัวเราะตอบเมื่อได้ยิน

“เรียกแบบเดิมเถอะค่ะ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยเกร็งเท่าไหร่”

หลางเมี่ยวอินยิ้มรับ

“พี่หมิงไม่ว่าหรือ?”

“ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้พบเขาสักระยะแล้วล่ะค่ะ” ซากุระถอนหายใจเบา ๆ “ดูเหมือนว่าหน้าที่ทายาทจูเชว่จะทำให้เขายุ่งพอสมควร แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็ยังไม่เคยได้ติดต่อเลย”

“พี่หมิงนี่แย่จริง ปล่อยให้คู่หมั้นเป็นห่วง แถมยังออกมาเลือกแหวนคนเดียวแบบนี้” หลางเมี่ยวอินบ่นอุบขณะเดินอ้อมไปหลังตู้แล้วหยิบแหวนบางวงออกมา “ถ้าเป็นแหวนแต่งงาน เรียบ ๆ แบบนี้กีเป็นที่นิยมอยู่ ส่วนมากนิยมแหวนทองเรียบ มีบ้างที่สลักข้อความนิดหน่อย”

“ส่วนมากสลักอะไรกันหรือคะ?”

หลางเมี่ยวอินหยุดคิดไปเล็กน้อย

“เป็นข้อความหวาน ๆ ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นคู่กันตลอดไป หรือไม่ก็เป็นคำเรียกอย่าง ‘นางฟ้าของผม’ ราว ๆ นี้ก็มีบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นแหวนที่ฝ่ายชายเซอร์ไพรซ์ฝ่ายหญิงตอนซื้อไปเพื่อขอแต่งงานน่ะค่ะ”
“แต่ของฉันกับคุณเซินไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรซ์แล้วนี่สิคะ” ซากุระว่าแล้วกวาดไปมองวงอื่น ๆ “บางทีทางนั้นคงจะมีแหวนประจำตระกูลอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว พอคิดแบบนั้นฉันก็รู้สึกหมดความตื่นเต้นเสียทุกที”

หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันหลังประโยคนั้นแล้วหัวเราะออกมา

จะมีหญิงสาวสักกี่คนที่ไม่วาดหวังถึงความรักแบบเทพนิยายและการแต่งงานที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าจดจำ รวมถึงความตื่นเต้นของคนที่ตนเองต้องใช้ชีวิตคู่ด้วย ดังนั้น ผู้หญิงจึงอยากจะมีส่วนร่วมและได้เลือกรูปแบบการแต่งงานของตนเองกันทั้งนั้น และสิ่งที่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของตระกูลมักจะเป็นตัวขัดขวางจินตนาการอันบรรเจิดของเหล่าหญิงสาว และทำให้ความตื่นเต้นกับโอกาสสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตมอดลงไป

“ความจริงแล้ว แม่ของฉันก็ได้สวมแหวนประจำตระกูลเหมือนกัน แต่ว่าพ่อของฉันแต่งเข้า คนที่มีปัญหาเรื่องนี้เลยเป็นพ่อแทน” หลางเมี่ยวอินว่า “ส่วนฉันที่เป็นคนรองคงไม่ต้องสวมแหวนเก่าหน้าตาหรูหราแบบโบราณแบบนั้น ภรรยาของพี่ชายฉันสิน่าเป็นห่วง”

“พี่ชายของคุณหลางมีคนรักแล้วหรือคะ?” ซากุระตาวาวขึ้นมาทันที ผู้หญิงมักมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบพิเศษสำหรับเรื่องความรักเสมอ

“ฉันแค่พูดเผื่อไว้ คนอย่างเจินเจิน ถึงจะมีคนรักก็คงไม่บอกฉันหรอก” หลางเมี่ยวอินโบกมือไหว ๆ “เขาชอบมองฉันเป็นเด็กเสมอ ทั้งที่ความจริงฉันเด็กกว่าเขาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง”

“คงเพราะว่าเขาเป็นผู้ชายด้วยล่ะมั้งคะ” ซากุระออกความเห็น

“ก็คงเป็นแบบนั้น ผู้ชายต้องเป็นผู้นำ คอยดูแลครอบครัว” หลางเมี่ยวอินไหวไหล่ “ความจริงผู้หญิงก็ทำเรื่องแบบนั้นได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีฮ่องเต้หญิง หรือฮ่องเฮาบางคนที่ควบคุมฮ่องเต้อยู่เบื้องหลังในประวัติศาสตร์ จริงสิ ถ้าคุณมินาโมโตะอยากเลือกเครื่องประดับให้ตัวเอง ฉันคิดว่าคุณน่าจะบอกทางจูเชว่ว่าเป็นของขวัญจากทางคุณก็ได้ ถึงฝ่ายนั้นจะอ้างเรื่องแหวนตระกูลแต่ก็ต้องรับของขวัญของทางเจ้าสาวไว้อยู่ดี”

“แบบนั้นก็น่าสนใจนะคะ ถ้าเป็นแหวนวงเล็ก ๆ จะได้สวมได้โดยไม่รู้สึกเทอะทะด้วย”

“จะได้สวมบ่อยกว่าแหวนตระกูลที่ต้องถอดเก็บตอนทำงานด้วย”

เมื่อสองเสียงสนับสนุนกันโดยไม่มีฝ่ายค้าน ก็คงจะไม่มีใครหยุดยั้งความคิดนั้นได้ ซากุระต้องมองแหวนวงต่าง ๆ คิดว่าตนเองควรจะซื้อวงไหน ซึ่งเธอคิดว่า ไหน ๆ ก็จะใช้เป็นตัวแทนแหวนแต่งงาน คงจะต้องเป็นแหวนคู่ถึงจะดีที่สุด และต้องมีขนาดเล็กด้วย ถึงอย่างนั้นเธอก็ติดปัญหาอีกอย่าง

“ฉันไม่รู้ขนาดนิ้วคุณเซินนี่สิคะ” หญิงสาวถอนหายใจเฮือก

“น่าจะขนาดพอ ๆ กับพี่ชายของฉันนะ” หลางเมี่ยวอินนึก

“ก็คงจะเป็นแบบนั้น คุณหลางช่วยเลือกให้ฉันหน่อยแล้วกันนะคะ เพราะฉันไม่เคยซื้อแหวนให้ผู้ชายมาก่อนเลย ฉันก็เลยกะไม่ถูก”

“ความจริงแล้ว คุณมินาโมโตะเลือกแบบที่ชอบมาก็ได้นะคะ ฉันจะให้คนทำเครื่องประดับช่วยแก้ไซต์ตัวเรือนให้” หญิงสาวช่วยแนะนำอีกฝ่ายด้วยไมตรีตามประสาผู้หญิง เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงจะพึงพอใจกับสิ่งที่ถูกอกถูกใจมากกว่าประโยชน์ใช้งานของมัน ดังนั้น ถึงจะเลือกไซส์ที่ต้องการแต่ไม่ใช่แบบที่ชอบ ก็คงจะไม่ได้รับความพอใจสูงสุดกับสิ่งที่ได้ซื้อไป

“แบบนั้นจะรบกวนเกินไปนะคะ” ซากุระตอบกลับด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“สำหรับลูกค้าคนพิเศษก็ต้องบริการแบบพิเศษหน่อยสิคะ จริงไหม?” หลางเมี่ยวอินยังคงยืนยันความตั้งใจของตนเอง ทำให้ซากุระปฏิเสธไม่ลง หญิงสาวทั้งสองจึงช่วยกันเลือกแบบที่ซากุระชอบออกมาทีละชิ้นจนกระทั่งเหลือแบบสุดท้ายที่ซากุระชอบมากที่สุดและไม่มีชิ้นอื่นที่สนใจมากกว่าแล้ว หลางเมี่ยวอินเรียกพนักงานเข้ามาสั่งงานก่อนจะส่งของให้ไปจัดการ

“คิดว่าสักอาทิตย์คงจะมารับได้” เธอว่า

“ขอบคุณมากนะคะ คุณเซินคงจะชอบมากแน่ ๆ” แหวนที่ซากุระเลือกไปนั้นเป็นแหวนที่ไม่มีหัวแหวนแต่ตัวแหวนทำเป็นลวดลายฉลุคล้ายเถาวัลย์พันเกี่ยวกันเป็นวง ซึ่งถึงจะถูกสวมใส่โดยผู้ชาย ก็จะดูไม่แปลกตาอะไร คล้ายแหวนวงเกลี้ยงธรรมดาหากมองเผิน ๆ

“ฉันยินดีที่ได้ช่วยค่ะ ฝั่งตรงข้ามมีคอฟฟีชอปอยู่ร้านหนึ่ง เค้กอร่อยทีเดียว ถ้าไม่มีธุระอะไรจะไปทานด้วยกันไหมคะ?”

“จะดีหรือคะ? คุณต้องดูแลร้าน”

หลางเมี่ยวอินส่ายศีรษะแล้วมองไปรอบ ๆ

“ที่นี่มีพนักงานอยู่เยอะแล้ว แล้วก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี อีกอย่าง พวกเขาคงจะเกร็งถ้าหากว่าฉันเดินไปเดินมาเพื่อสังเกตการทำงานของพวกเขา” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ “พนักงานจะทำงานได้ดีก็ต้องให้อิสระกันบ้างน่ะค่ะ ถึงฉันจะยังไม่ใช่หัวหน้าสาขาโดยสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็รู้กันหมดว่าฉันเป็นใคร”

“อ้อ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ซากุระหัวเราะไปด้วย “ถ้าอย่างนั้นเราไปเพิ่มแครอลีกันหน่อยก็แล้วกันนะคะ” เธอจงใจพูดติดตลก ทำให้หลางเมี่ยวอินหัวเราะออกมาอีกครั้ง

ทั้งสองเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และเดินเข้าไปในร้านคอฟฟีชอปเล็ก ๆ น่ารักที่เต็มไปด้วยนักเรียนวัยรุ่น พอพวกเธอเดินเข้าไปด้วยชุดที่ดูเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่วัยของพวกเธอไม่ได้ต่างจากเด็กพวกนี้แม้แต่น้อย กระนั้นแค่การแต่งกายก็เหมือนการแบ่งแยกโลกของพวกเธอออกจากเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน หญิงสาวทั้งสองต่างรู้สึกสะท้อนใจออกมาเล็กน้อย เพราหากว่าพวกเธอเป็นแค่คนปกติ พวกเธอคงจะเหมือนกับเด็ก ๆ เหล่านี้ที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกันในร้านกาแฟโดยไม่ต้องสนใจอะไรมากมาย

พนักงานเดินเข้ามาต้อนรับแล้วพาทั้งสองไปนั่งในมุมที่ดูเป็นส่วนตัวเล็กน้อยก่อนจะรับออเดอร์แล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มและเสียงหวาน ๆ

“อยากกลับไปเรียนจังเลยนะคะ พอเห็นแบบนี้” ซากุระอดเปรยออกมาไม่ได้

“ได้ยินว่าชุดนักเรียนที่ญี่ปุ่นน่ารักมาก ถ้าฉันเป็นคุณมินาโมโตะก็คงจะอยากกลับไปเรียนอีกเหมือนกัน จะได้สวมชุดกระโปรงน่ารัก ๆ เดินไปทั่ว” พอนึกถึงภาพนักเรียนญี่ปุ่นในชุดนักเรียนแล้ว หลางเมี่ยวอินก็อยากจะสวมขึ้นมา เธอคิดว่าชุดนักเรียนแบบนั้นคงจะเป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กสาวทั่วโลกที่จะได้สวมใส่สักครั้ง
“ฉันมีโอกาสได้สวมแบบนั้นไม่นานเองค่ะ พออายุถึงเกณฑ์ฉันก็ถูกส่งให้สอบเทียบที่ต่างประเทศ”
“เหมือนกันเลย” หลางเมี่ยวอินถอนหายใจ

“จริงสิ ฉันไม่เห็นพี่ชายของคุณหลางเลย ไม่ได้ทำงานที่เดียวกันหรือคะ?” ซากุระจงใจเอ่ยถึงหลางเมี่ยวเจินขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดสังเกตเกินไปที่อยู่ ๆ เธอจะมาสนใจพี่ชายของอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน หลางเมี่ยวอินโคลงหัวอยู่ครู่หนึ่ง

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
«ตอบ #71 เมื่อ07-02-2012 17:24:56 »

“เขาทำงานอยู่อีกเขตหนึ่ง เป็นร้านเสื้อผ้าแฟชั่น เจินเจินค่อนข้างมีหัวเรื่องรสนิยมของคนในวัยต่าง ๆ อยู่แล้ว สงสัยจะเป็นเพราะทำงานกับคุณตามาตั้งแต่เด็กนั่นแหละค่ะ”

“พวกคุณก็เลยไม่ค่อยได้พบกันสินะคะ”

“ใช่ แต่ว่าตอนกลับบ้านเราก็อยู่ด้วยกันนะ บางทีเราก็ออกไปเที่ยวด้วยกันบ้างในวันหยุด แต่ส่วนมากเจินเจินจะมีธุระพบปะคู่ค้าตลอด แบบว่า...แฟชั่นเสื้อผ้ามันต้องอัพเดทตลอดเวลาน่ะ แต่อาทิตย์เดียวก็เปลี่ยนไปได้แล้ว แถมเจินเจินอยากเปิดนิตยสารใหม่ด้วย” หลางเมี่ยวอินบิดริมฝีปากเหมือนไม่พอใจเรื่องนั้นนัก และจากการสังเกตของซากุระ นั่นมากกว่าความไม่พอใจที่พี่ชายไม่มีเวลาให้ เพราะหลางเมี่ยวอินเป็นคนบอกออกมาเองว่าในวัยเด็กเธอค่อนข้างชินที่หลางเมี่ยวเจินไม่มีเวลาใกล้ชิดกัน ดังนั้นเธอไม่น่าจะออกอาการไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าอย่างนี้ทั้งที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น ฉันคงต้องหาโอกาสไปร้านของพี่ชายคุณหลางบ้าง”

“ก็ดีนะคะ เจินเจินมีคนที่ทำงานด้วยหลายคนที่มีพรสวรรค์ด้านการเลือกเครื่องแต่งกาย บางทีคนของเขาอาจจะช่วยแนะนำชุดแต่งงานให้คุณด้วยก็ได้”

ซากุระทำยิ้มเขิน ๆ

“กำหนดการณ์ยังไม่มีแน่นอนเลยค่ะ”

“แต่เตรียมไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่คะ”

“ไม่แน่ว่าเขาอาจจะจัดการแบบจีนก็ได้ ชุดแต่งงานสีแดงกับการกราบไหว้ฟ้าดินอะไรแบบนั้น” ซากุระหัวเราะ เซินจงเป็นคนหัวโบราณทั้งที่เกิดในฮ่องกงสมัยยังเป็นอาณานิคม เจ้าตัวไม่ค่อยชอบวัฒนธรรมต่างประเทศนัก จึงไม่รู้ว่างานแต่งงานของลูกชายจะจัดแบบสากลหรือแบบดั้งเดิมกันแน่

“ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ได้เกิดเป็นลูกตระกูลเซินขึ้นมาแล้วสิ” หลางเมี่ยวเจินเป็นหญิงสาวหัวสมัยใหม่ จึงรู้สึกอึดอัดกับคนหัวโบราณอยู่เสมอ

“และดีที่ไม่ได้เป็นสะใภ้ด้วย” ซากุระเสริมให้

กาแฟ ชา และเค้ก ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะทำให้บทสนทนากระงักไปเล็กน้อย ซากุระจ้องมองเค้กชิ้นเล็กน่ารักที่ตกแต่งสวยงามด้วยดวงตาเป็นประกาย ที่บ้านของเธอนั้นคนรับใช้ชอบทำขนมญี่ปุ่นมากกว่าขนมฝรั่ง เวลาเธออยากจะกินขนมพวกนี้ขึ้นมาจึงต้องออกมาหานอกบ้าน และเธอก็ยังไม่ค่อยรู้จักร้านดี ๆ นัก จึงตัดสินใจเก็บชื่อร้านนี้ไว้ในลิสต์อย่างทันทีเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาเค้กและชิมคำแรก

ซากุระจิบชาร้อนช้า ๆ รู้สึกว่าเค้กรสหวานอมเปรี้ยวเข้ากับชาจัสมินอย่างดีโดยไม่ต้องเติมน้ำเชื่อมหรือนมลงในชาเลย

“อร่อยสินะ?” หลางเมี่ยวอินถามอย่างรู้ทันเมื่อเห็นสีหน้ามีความสุขฉาบอยู่ใต้เครื่องสำอางบาง ๆ

“อร่อยมากเลยค่ะ” ซากุระตอบกลับ “ฉันคงต้องมารบกวนคุณหลางบ่อย ๆ ซะแล้ว จะได้มาทานของอร่อยแบบนี้อีก”

“ได้ทุกเมื่อเลยค่ะ ฉันเองก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนคุยเล่นอยู่แล้ว”

“เหมือนกับฉันเลยนะคะ ตอนฉันอยู่ที่บ้านก็มีแต่คุณมิเอะ...แม่บ้านน่ะค่ะ เป็นเพื่อนคุย ตัวคุณมิเอะเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรนัก ส่วนมากพอฉันเปิดหัวข้อ แกก็จะได้แต่เออออไปตามน้ำเท่านั้นเอง คุยแบบนั้นกับแกบ่อย ๆ ฉันก็เกรงใจปนสงสารนิดหน่อย ส่วนพ่อของฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างให้คำปรึกษาเลย” ซากุระถอนหายใจออกมา “คุณเซินเองก็ไม่ว่างเหมือนกัน”

“ฉันพอจะเข้าใจอย่างดีเลย คุณมินาโมโตะคงจะเหงาพอดู เอาอย่างนี้ไหมล่ะคะ ถ้าคุณว่างเราลองหากิจกรรมแบบสาว ๆ ทำกันบ้าง บางทีถ้าเจินเจินว่าง เขาอาจจะอยากมาร่วมด้วยก็ได้” หลางเมี่ยวอินเสนอด้วยเห็นว่าซากุระดูเหงา ๆ กับการต้องอยู่ที่นี่โดยไม่มีคนรู้จัก

ซากุระยิ้มกว้างอยู่ในใจ เพราะโอกาสที่จะได้พบหลางเมี่ยวเจินอาจจะง่ายกว่าที่คิดไว้

----------------------------->

กลับไปทางอิตาลีที่เซินหมิงเฟิ่งยังคงถูกขังไว้ในโรงแรมหรูโดยไม่เคยได้ออกนอกห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนเขาเริ่มรู้สึกเหมือนต้นไม้เฉาเพราะขาดแสงสว่างและน้ำมาหล่อเลี้ยง ถึงแม้ห้องพักจะกว้างขวางและเป็นสัดส่วนมากแค่ไหน แต่เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่เคยรู้สึกสบายตัวเลย ไม่ว่าจะทำเช่นไรเขาก็มีคุ้นชินกับสถานที่แบบนี้เสียที มันก็ไม่ต่างกับนกที่อยู่ในกรงที่ซับซ้อนขึ้น เมื่อสำรวจกรงจนทั่วแล้ว ก็ย่อมต้องการอิสรภาพข้างนอกกรงอยู่ดี มันแย่กว่ากรงตรงที่นอกจากประตูจะปิดสนิทแล้ว ยังมีคนเฝ้า 24 ชั่วโมง

คิมหันต์ยังคงสงวนท่าทีเวลาที่จะพูดคุยกับเขา และจะดูเกร็งทุกครั้งที่เขาพยายามจะสนทนาด้วย แต่หากเป็นการทำกิจกรรมโดยไม่ต้องใช้คำพูด คิมหันต์ดูจะเต็มใจทำมากกว่า ในที่สุดพวกเขาจึงต้องจบการสนทนาอันน่าอึดอัดลงที่การเล่นหมากรุกทุกครั้งไป

เสียงโขกตัวหมากแทบจะเป็นเสียงเดียวที่อยู่ในห้องนี้อย่างสม่ำเสมอ เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกทำให้เป็นใบ้ทีละน้อย

โชคดีของเขาก็คือ โจเซที่ยังคงมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอ และเป็นคนเดียวที่ยอมคุยกับเขาอย่างเต็มใจและเป็นธรรมชาติ ถึงแม้เซินหมิงเฟิ่งจะรู้ดีกว่าโจเซเป็นคนที่ไม่อาจเชื่อถือหรือไว้ใจได้ แต่เขาก็หมดหนทางอย่างสิ้นเชิงที่จะเลือกว่าอยากทำอะไรกับใคร หากเขาเอาแต่เล่นแง่กับโจเซ มีหวังเขาคงได้เป็นใบ้ไปจริง ๆ เพราะเขาคงคาดหวังกับชิงหลงเรื่องนี้ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำให้เขาอึดอัดใจยิ่งกว่าคิมหันต์เสียอีก
และในวันนี้ ในขณะที่คิมหันต์และเซินหมิงเฟิ่งกำลังผลัดกันโขกตัวหมากอยู่นั้น โจเซก็เข้ามาในช่วงเวลาที่สงบเงียบที่สุดและทำให้บรรยากาศสว่างไสวขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“สวัสดีครับคุณโจเซ” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อเห็นบุคคลเดียวในประเทศนี้ที่ยอมเป็นมิตรกับเขา

“ผมซื้อของมาฝากด้วย” โจเซวางกล่องลงบนโต๊ะในขณะที่คิมหันต์ลุกออกไปจัดน้ำมาต้อนรับ

ความจริงแล้วนับแต่โจเซมาที่นี่ เซินหมิงเฟิ่งสังเกตได้อีกอย่างว่าเจ้าตัวมักชอบพูดจาหยอกเล่นกับคิมหันต์ที่ไม่ถนัดการโต้ตอบเช่นนั้น ทำให้คิมหันต์มักพยายามหาทางเลี่ยงอีกฝ่ายให้มากที่สุด เช่นการเดินไปเตรียมน้ำนาน ๆ หรือทำเป็นมีธุระพูดคุยกับการ์ดที่เฝ้าหน้าประตู หากทำได้ เจ้าตัวคงหนีออกไปนอกห้องจนโจเซกลับแล้วจึงกลับเข้ามาในห้องเป็นแน่

“เอสตาเต ฉันขอน้ำผลไม้ได้ไหม?”

“แบบนั้นผมต้องลงไปซื้อข้างล่างนะครับ” คิมหันต์ยังจำได้ดีถึงครั้งที่ลงไปซื้อของให้โจเซ ถึงเขาจะไม่ถูกชิงหลงต่อว่า แต่สายตาตำหนิติเตียนก็ทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่า

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะมาก็เลยไม่ได้เตรียมเครื่องดื่มไว้เลย น้ำผลไม้เพิ่งจะหมดไปเมื่อวานนี้เอง” เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจช่วยพูดเพราะโจเซคงไม่วายหาเรื่องแกล้งให้คิมหันต์วิ่งลงไปหาให้อย่างแน่นอน “ผมตั้งใจจะให้คนออกไปซื้อมาให้พอดี คุณโจเซอยากทานน้ำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?” เขาว่าแล้วหันไปทางคิมหันต์ ส่งสัญญาณให้ไปบอกคนข้างนอก

“สำหรับผม น้ำอะไรก็ได้ครับ ก็แค่อากาศมันร้อยนิดหน่อยผมก็เลยอยากได้อะไรชุ่มคอบ้างเท่านั้นเอง” โจเซว่าแล้วทำกระพือคอเสื้อทั้งที่ไม่มีเหงื่อ

“ถ้าอย่างนั้นฝากคุณคิมหันต์หน่อยก็แล้วกันนะครับ”

เมื่อภาระมาตกที่ตัวเอง คิมหันต์ก็ได้แต่ทำหน้าปลงนิด ๆ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อสั่งการให้ใครสักคนไปซื้อหาของที่เซินหมิงเฟิ่งต้องการมาให้

“ว่าแต่ คุณโจเซเอาอะไรมาฝากหรือครับ?” หลังจากคิมหันต์ออกไป เซินหมิงเฟิ่งจึงกลับมาสนใจกล่องบนโต๊ะอีกครั้ง

“อ้อ จริงด้วย” โจเซทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ “คุณมาที่นี่คงไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่สิ พูดให้ถูกคือไม่ได้ออกไปไหนเลย ผมก็เลยอยากจะให้คุณได้มีอะไรอร่อย ๆ ทานบ้าง พอดีว่าผมมีร้านของหวานเจ้าประจำอยู่ อร่อยมากทีเดียวผมก็เลยซื้อมาฝาก” โจเซพูดไปก็แกะกล่องให้ดู เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองขนมเค้กชิ้นโตที่ประดับหน้าแบบเรียบ ๆ ไม่ได้หวือหวาสวยงามแบบที่ผู้หญิงหรือเด็ก ๆ ชอบ จึงสามารถคาดเดาได้ว่าโจเซคงจะไปสั่งทำเอาไว้ ไม่ได้ไปเลือกซื้อเอาที่ตู้กระจกหน้าร้าน

“ชิ้นขนาดนี้เราทานกันสองคนไม่หมดหรอกครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะ

“ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งให้คนอื่นด้วยสิครับ เวย์ก็ชอบของหวานอยู่นะ ถ้าทานกับชาแล้วอร่อยก็ชอบทั้งนั้น” โจเซแนะนำทำให้เซินหมิงเฟิ่งเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงชิงหลงกำลังกินเค้ก เจ้าตัวไม่ใช่คนที่จะถูกกับของหวานแบบนี้สักเท่าไหร่เลย

คิมหันต์กลับเข้ามาหลังจากสั่งงานไปเรียบร้อย

“อีกเดี๋ยวคงจะมาส่งครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็มานั่งด้วยกันก่อนสิ” โจเซเชิญชวนแล้วตบเก้าอี้ใกล้ตัว คิมหันต์ต้องใช้เวลาชั่งใจอยู่นานก่อนจะรู้ตัวว่าปฏิเสธไม่ได้ จึงเดินเข้าไปนั่งอย่างสำรวมท่าที

โจเซจัดการแบ่งชิ้นเค้กด้วยมีดพลาสติกของทางร้าน และตัดใส่จานกระดาษให้เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์

“อยู่แบบนี้คงเบื่อแย่เลยสินะครับ ออกไปไหนไม่ได้แบบนี้ แถมไม่ค่อยมีคนมาหาด้วย” ชายหนุ่มชาวยุโรปออกความเห็นขณะตักเค้กเข้าปาก “ผมนึกถึงตอนที่ผมถูกกักบริเวณตอนเด็ก ๆ ขึ้นมา ตอนนั้นน่ะผมซนมาก คุณอาจจะไม่เชื่อนะแต่ตอนผมเด็ก ๆ ผมซนจนอเล็กซานโดรปวดหัวเลยล่ะ” พูดไปเขาก็หัวเราะร่าพาให้เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะไปด้วย ความจริงแล้ว ท่าทางของโจเซก็บ่งบอกอยู่ว่าตอนเด็ก ๆ เจ้าตัวต้องแสบมากแน่นอน

“คุณไปทำอะไรเข้าล่ะครับ”

“แจกันโบราณที่พ่อของเวย์ส่งมาให้น่ะสิ”

เซินหมิงเฟิ่งทำตาโต แม้แต่คิมหันต์ยังแสดงออกมาเล็กน้อยว่าตกตะลึงในสิ่งที่โจเซทำ

“นั่นมันแพงมากเลยนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งว่า

“ใช่ แพงมากแถมยังถูกใจอเล็กซานโดรมากด้วย เขาโกรธจนหน้าเขียวเลย และสั่งทำโทษผมให้อยู่แต่ในห้องของตัวเองตั้งสัปดาห์หนึ่ง พ่อของผมยังสมน้ำหน้าเลย” พอคิดถึงตอนนั้น โจเซก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ส่วนแม่ผมน่ะทนโกรธได้แค่ 2 วันเท่านั้นแหละ แล้วก็แอบเอาของกินมาปลอบใจผมในห้อง”

“ตอนนี้คุณเลยเอาของกินมาปลอบใจผมสินะครับ” เมื่อได้ฟังเรื่องราวสมัยเด็กของโจเซแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกสนุกไปด้วย เพราะไม่ว่าจะโตมาเป็นอาชีพอะไร สมัยเด็ก ๆ ทุกคนก็ล้วนแต่เป็นคนธรรมดากันทั้งนั้น ส่วนเขาก็เป็นคนธรรมดาจนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดการสนทนา คิมหันต์รีบลุกไปเปิดและพบว่าน้ำผลไม้มาส่งแล้ว

“ผมจะไปรินมาให้นะครับ” เขาว่าแล้วเดินเข้าไปอีกประตูซึ่งเป็นห้องคล้าย ๆ ห้องครัว ต่างก็แต่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำครัว มีแต่ตู้วางภาชนะและตู้เย็นสำหรับใส่ของ เพราะโรงแรมแบบนี้ไม่มีห้องครัวในตัวอยู่แล้ว หากจะกินอะไรก็ต้องโทรสั่งรูมเซอร์วิชหรือไม่ก็ลงไปหากินในร้านอาหารข้างล่าง
คิมหันต์ยกน้ำส้มมาให้ทั้งสอง แล้วนั่งลงเงียบ ๆ เช่นเดิม

“ความจริงคุณน่าจะขอเวย์ออกไปข้างนอกได้บ้างนะครับ” โจเซว่า “เวย์เห็นแบบนั้นแต่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรหรอก ถ้าคุณทำตัวดี ๆ อยู่ในระเบียบที่เวย์ตั้งขึ้น เขาก็จะอะลุ้มอล่วยให้คุณได้หลายอย่างเลยล่ะ”

“ผมก็ทำตัวเป็นเด็กดีอยู่นะครับ” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจเฮือก “เขาให้ผมอยู่แต่ในห้องนี้ ไม่ให้ออกไปไหน ทำตัวเรียบร้อย ไม่มีปากเสียง ผมก็ทำตามนั้นหมดทุกข้อแล้ว” การอยู่แต่ในห้องนาน ๆ ทำให้เขารู้สึกเมื่อยล้าและเบื่อหน่าย จากที่เคยพยายามคิดแผนหนีตอนนี้กลับไม่อยากคิดอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เหมือนอยากจะหายใจทิ้งไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น เขาเคยได้ยินมาว่าการอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปเจอแดดเจอลมเสียบ้างจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ง่าย ก็เห็นจะเป็นจริงตามนั้น

ถ้าหากได้ออกไปข้างนอกบ้างเขาคงจะรู้สึกปลอดโปร่งมากกว่านี้

“ผมจะช่วยเปรย ๆ ให้ดีไหมล่ะ?” โจเซขยิบตา

“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีเลยล่ะครับ” บางทีหากโจเซช่วยพูด เขาอาจจะมีโอกาสมากขึ้นก็เป็นได้ ขอแค่ได้ออกไปข้างนอกสักหน่อยก็พอแล้วสำหรับในตอนนี้...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
«ตอบ #72 เมื่อ07-02-2012 18:10:38 »

มาต่อแล้วววว
ดีใจ แต่เรื่องก็ยังซับซ้อนเหมือนเดิม เงื่อนไม่คลายเลยหรอคะคุณเซีย 555

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
«ตอบ #73 เมื่อ07-02-2012 20:00:16 »

เพิ่งจะเข้ามาอ่านเรื่องนี้
ภาษาดี สำนวนสวย เรื่องราวซับซ้อนดีจัง  o13


ออฟไลน์ wizard_tao

  • หนุ่มใต้อู้กำเมือง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 417
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
«ตอบ #74 เมื่อ07-02-2012 20:27:26 »

อ้ากกกก ซับซ้อนๆๆๆ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
«ตอบ #75 เมื่อ07-02-2012 23:37:03 »

9 ตอนผ่านไป...เงื่อนงำยังอยู่เหมือนเดิม  :o11:
มี movement เกิดขึ้นน้อยแต่รายละเอียดเพียบแน่นตามเคย
จากหลาย ๆ อย่างในตอนนี้ เอาไปเทียบกับในบัลลังค์ปีกหงส์แล้ว มีความผันแปรอยู่มากเลยทีเดียว
กว่าจะเป็นอะไร ๆ ในเรื่องโน่น ตัวละครในเรื่องนี้ต้องเผชิญอะไรกันบ้างนะ ???

Rinoa

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
«ตอบ #76 เมื่อ08-02-2012 20:22:05 »

ยังคลุมเคลือเดาทางไม่ออกเลย ลุ้นต่อไป
ซับซ้อนนนน ซ่อนเงื่อนจริงๆ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #77 เมื่อ09-02-2012 17:34:47 »

-10-


      “ไม่รู้ว่าพวกมอเรสซาเรคิดอะไรอยู่ แค่เรื่องให้คนฮ่องกงเข้ามามีส่วนในธุรกิจของแฟมิลีก็แย่พออยู่แล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องของครอบครัวถึงพอเข้าใจได้ แต่นี่...มาโดยไม่มีธุระอะไร ไม่รู้ว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า แถมทางนั้นยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ” ชายคนหนึ่งกล่าวอย่างเคร่งเครียดก่อนจะสูบซิการ์แล้วพ่นควันสีขุ่นออกมาเป็นพวย บ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดระคนอึดอัดใจของเจ้าตัวอย่างดี

   “ส่งคนไปสอบถามกับดอนมอเรสซาเรแล้วหรือครับ?” ชายอีกคนถามกลับด้วยเสียงเรียบนิ่งเป็นงานเป็นการในขณะที่คนอื่นต่างก็วิจารณ์สิ่งที่เป็นหัวข้อด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

   “ดอนมอเรสซาเรบอกว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว”

   ทันทีที่ชายผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นั้นกล่าวออกมาสั้น ๆ เสียงเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ก็ดังจากรอบด้าน

   “เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”

   “นี่เขาไม่เห็นหัวเราแล้วหรือยังไงกัน!”

   “พวกมอเรสซาเรชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”

   “ต้องไปคุยกันให้รู้เรื่องแล้ว!”

   คนทั้งห้องดูจะไม่พอใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ พวกเขาตีสีหน้าเคร่งเครียดใส่กัน ต่างก็พยายามหาเหตุผลของความไม่พอใจและหนทางการแก้ปัญหานี้จากคนที่ตนจ้องมองอยู่ ทว่าไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ดีและถูกใจใครได้ เพราะเรื่องนี้มีเพียงโจเซ มอเรสซาเร ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุด

   “แล้วเราจะเอายังไง” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะวาดมือกลางอากาศแล้ววางลงบนที่เท้าแขนเช่นเดิม ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าไม่รู้ทางออกและต้องการคนชี้ทาง

   “คงต้องถามจากดอนมอเรสซาเรให้รู้เรื่อง อเล็กซานโดรก็ออกตัวแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับแฟมิลีอีกต่อไป ดังนั้นเราก็เหลือแค่ทางเดียว”

   “ไม่ เดี๋ยวก่อนสิ” อยู่ ๆ ก็มีเสียงคัดค้านจากฝั่งหนึ่งของโต๊ะ “พวกที่ส่งไปสอดแนมไม่ได้อะไรมาบ้างเลยหรือยังไงกัน?”

   “เท่าที่ส่งข่าวมาคือ เจ้าชิงหลงนั่นเดินทางไปที่นั่นที่นี่บางที แต่ส่วนมากจะอยู่ที่โรงแรม แต่ที่น่าแปลกคือ จำนวนการ์ดที่ทิ้งไว้ที่โรงแรมมีมากผิดปกติ ไม่เหมือนแค่มาติดต่องานหรือพักผ่อน แต่จะต้องมีอะไรที่สำคัญอยู่ที่โรงแรมนั้นแน่ ๆ และชิงหลงกับโจเซกำลังปิดบังเราอยู่”

   “เจ้าพวกนั้นคิดจะรวมหัวกันทำอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรือ?” เสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจเปล่งออกมาพร้อมเสียงหายใจหนักจากรอบด้าน

   “เรายังสรุปแบบนั้นไม่ได้ ใจเย็นกันก่อนเถอะน่า” ในที่สุดก็มีเสียงปรามที่ขอให้ทุกคนใจเย็นลงหลังจากต่างฝ่ายต่างร้อนรนโดยไม่มีน้ำเย็นเข้าลูบเลย และเสียงปรามนั้นทำให้คนอื่น ๆ ที่กำลังอารมณ์ร้อนได้ที่ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจและกลับสู่สภาวะที่มีสติครบถ้วนกันอีกครั้ง

   ในห้องเงียบ ๆ ที่ลอยคลุ้งไปด้วยควันซิการ์ดูน่ารำคาญ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาชั่วขณะหนึ่ง

   “ตอนนี้ฉันอยากได้คำแนะนำดี ๆ จากใครสักคน” นั่นคือประโยคที่อยู่ในใจหลาย ๆ คน พวกเขาต่างรู้ว่าเป็นเรื่องโง่มากหากจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปล้วงเอาสิ่งที่โจเซ มอเรสซาเร กำลังคิดอยู่ออกมา ดีไม่ดี อาจจะมีปัญหากับทางมอเรสซาเรแฟมิลี่ก็เป็นได้ เพราะคงไม่มีใครชอบที่ถูกใช้กำลังข่มขู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีอำนาจเหนือกว่าใคร ๆ ในถิ่นที่ตนเองปกครอง

   “ถ้าชิงหลงเก็บบางอย่างไว้ที่โรงแรมนั่น เราอาจจะต้องรู้ก่อนว่าเป็นอะไร”

   “รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? เจ้านั่งคงไม่ได้เก็บระเบิดนิวเคลียร์ไว้หรอก”

   “เราอาจจะรู้ว่าสองคนนั้นมีแผนอะไร ถ้าหากว่ามันเป็นอันตรายกับแฟมิลี่ของพวกเราและพวกเรารู้ตัวก่อน เราก็จะป้องกันได้ทัน อีกอย่าง เราจะมีข้ออ้างทำสงครามกับมอเรสซาเรแฟมิลีได้หากจำเป็น แฟมิลีอื่นจะต้องยอมร่วมกับเราแน่ ๆ”

   “ทำสงครามกับมอเรสซาเร!?” เหมือนว่าถ้อยคำนี้จะไปกระทบใจหลาย ๆ คน พวกเขาต่างสูดหายใจเฮือก เพราะในความจริงแล้ว การทำสงครามระหว่างแฟมิลีเป็นเรื่องที่พวกเขาอยากหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหาย และสิ่งที่ได้กลับคืนมาก็ไม่คุ้มมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแข็งข้อกับแฟมิลีใหญ่เช่นนั้นยิ่งไม่น่ากระทำเลย

   “อย่าเพิ่งตกใจกัน นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อเราทำอะไรไม่ได้แล้วเท่านั้น” เมื่อมีคนพูดแบบนั้นออกมา ก็มีเสียงถอนหายใจปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา

   “นี่มันเลยยุคที่เราจะเอาปืนไปไล่ยิงกันกลางถนนแล้ว เราไม่ใช่มาเฟียยุค ’60 นี่มันยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยี อย่าพูดถึงเรื่องสงครามกันอีกเลยจะดีกว่า” เสียงเหนื่อยหน่ายเอ่ยค้านการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เพราะคำนั้นสามารถปลุกระดมจิตใจผู้คนที่กำลังฮึกเหิมได้อย่างดี หากมีใครแพร่งพรายออกไปโดยไม่ตั้งใจอาจจะเกิดผลที่ไม่คาดคิดตามมา อย่างดีก็แค่พวกชั้นล่างเข้าใจผิดกัน แต่ที่ร้ายที่สุดคือ หากมันไปเข้าหูของพวกมอเรสซาเร แล้วดอนคนปัจจุบันได้ยินเข้า อาจจะเกิดสงครามจริง ๆ ขึ้นมาก็เป็นได้

   “ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องดูต่อไป เพราะพูดอะไรไปตอนนี้ก็เหมือนตีตนไปก่อนไข้”

   “ยังไงก็เถอะ เจ้าชิงหลงนั่นก็ใช้อภิสิทธิ์ของมอเรสซาเรข้ามหน้าข้ามตาเราอยู่ในประเทศของเรา” ดูเหมือนประเด็นที่แท้จริงจะเพิ่งผุดออกมา นั่นคือไม่มีใครคิดว่าชิงหลงจะทำอะไรกับอิทธิพลของมาเฟียในอิตาลีได้ แต่พวกเขากำลังรู้สึกเหมือนโดนพวกผิวเหลืองเหยียบย่ำถิ่นทำกินโดยไม่ขออนุญาต

   “ถ้าคิดจะสั่งสอน เอาแค่เบาะ ๆ ก็พอแล้วล่ะน่า”

   พอไม่ใช่เรื่องทำสงครามระหว่างแฟมิลีหรือต้องเผชิญหน้ากับมอเรสซาเร บรรยากาศในห้องก็ดูจะผ่อนคลายมากขึ้นหลายเท่า

   “ตอนนี้สังเกตการณ์ไปก่อนจะดีกว่า”

   “หมายความว่าจะปล่อยให้มันทำตามใจชอบหรือไง?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คิดดูดี ๆ สิ เราไม่รู้ว่าเจ้านั่นคิดจะทำอะไรหรือกำลังวางแผนอะไรอยู่ แถมยังเป็นคนที่ระวังตัวตลอดเวลา ถ้าคิดจะสั่งสอน อย่างน้อยเราก็ควรจะจับจุดอ่อนของมันได้ใช่ไหมล่ะ?” คำอธิบายนั้นทำให้หลายคนเข้าใจไม่กล้าคัดค้าน เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็เป็นความจริง หากว่าไม่รู้จุดอ่อน ก็คงจะไม่สามารถจัดการคงแบบนั้นได้อยู่หมัด ยิ่งมีมอเรสซาเรหนุนหลังด้วยแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้นก็สั่งคนของเราให้จับตาดูต่อไปก่อน”

   “ให้พวกนั้นรายงานกลับมาเป็นระยะ ถ้าเจออะไรน่าสงสัยก็รายงานทันที”

   “แต่ตามดูมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังไม่เห็นเจออะไรเลยนะ ฉันว่าส่งคนเข้าไปค้นโรงแรมมันเลยดีกว่า”

   “ทำแบบนั้นเสี่ยงเกินไป อย่าลืมสิว่าชิงหลงทิ้งการ์ดไว้ที่โรงแรมมากกว่าปกติ แสดงว่าที่นั่นต้องมีของสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย เราแต่ต้องรอจังหวะเผลอเท่านั้น อย่าลืมสิว่าการถูกกดดันจับจ้องจะทำให้การระวังตัวสูงขึ้น ถ้าเราไม่ทำอะไร ปล่อยมันตามสบาย ก็จะเกิดการชะล่าใจ” สิ่งที่พูดออกมานั้นมีเหตุผลที่พอรับฟังได้ และกอปรกับในตอนนี้ไม่มีใครมีแผนการอื่น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเฝ้ารอจังหวะต่อไป อย่างไรก็ตาม พวกเขามั่นใจว่าจะต้องสั่นสอนชิงหลงแห่งฮ่องกงให้รู้ฤทธิ์มาเฟียอิตาลีบ้าง

------------------------------->

   ความเงียบโรยตัวอยู่ในห้องสูทที่ตกแต่งอย่างเรียบร้อยเหมาะกับการใช้งานของบุคคลระดับสูง ชายหนุ่มชาวตะวันออกเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะช้า ๆ เป็นจังหวะมั่นคง ส่วนอีกสองคนที่อยู่ร่วมห้องนั้นมีสภาพอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างสบาย ๆ ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อน ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งตัวลีบอยู่บนโซฟาอีกตัว ซึ่งหากเขาสามารถขยับเข้าไปหากำแพงได้ เขาคงไม่ลังเลที่จะมุดเข้าไปในเนื้อปูน

   เซินหมิงเฟิ่งกัดฟันกรอด ๆ จ้องเขม็งไปยังโจเซที่เขาเคยคิดว่าเป็นคนดีพอจะไว้ใจได้ ที่ไหนได้ เป็นตัวแสบอีกคนชัด ๆ

   หลังจากที่เขาขอให้โจเซพูดกับชิงหลงให้ เจ้าตัวก็กลับไปก่อนจะกลับมาอีกครั้งหลังจากนั้นสามวัน ซึ่งเป็นวันที่ชิงหลงอยู่ที่ห้องและไม่มีธุระสำคัญให้ออกไปที่ไหน โจเซได้ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดและไม่อยากจะคิด นั่นคือ อยู่ ๆ โจเซก็จับตัวเขาเข้ามาในห้องของชิงหลง และบังคับให้นั่งตรงหน้าเจ้าของห้อง และพูดออกมาแค่ประโยคสั้น ๆ ว่า

   “เฮ้ เวย์ นกน้อยของนายอยากออกจากกรงบ้างน่ะ”

   ใช่ แค่ประโยคนั้น และความเงียบก็ครอบคลุมทุกอย่างจนเขารู้สึกขนหัวลุก สายตาเยียบเย็นที่จ้องมองเขากับโจเซอยู่มันทำให้เขารู้สึกอยากจะวิ่งออกไปตอนนี้ แต่เขาไม่มีทางทำเรื่องที่เหมือนผู้หญิงแบบนั้นต่อหน้าใครแน่ ๆ โดยเฉพาะต่อหน้าชิงหลง

   เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้รู้สึกว่าโจเซช่วยอะไรเขาเลยสักนิด ก็แค่ทำให้เขาต้องมาเผชิญหน้ากับชิงหลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุด

   “อยากออกไปข้างนอก?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่ไม่ได้แฝงแววของความกรุ่นโกรธใด ๆ ไว้ นั่นทำให้เซินหมิงเฟิ่งเบาใจขึ้น เพราะเขาไม่รู้ว่าหากทำให้ชิงหลงโกรธขึ้นมาเขาจะเหลืออวัยวะกี่ชิ้นกลับถึงฮ่องกง ไม่สิ ทำไมเขาถึงต้องกลัวล่ะ ในเมื่อเขาคือทายาทของจูเชว่และชิงหลงต้องเล่นตามเกมที่ถูกกำหนดตั้งแต่รุ่นแรกที่ก่อตั้งองค์กรในฮ่องกงขึ้นมา เมื่อคิดขึ้นมาได้เช่นนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็เม้มปาก แม้ว่าจะรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวแต่บุคลิกของชิงหลงก็ชวนให้กริ่งเกรงจนยากจะต่อต้านเมื่ออยู่ต่อหน้า

   เขาค่อย ๆ สูดลมหายใจช้า ๆ

   “ใช่..ผมอยากออกไปข้างนอกบ้าง”

   “ทำไมล่ะ?” ชิงหลงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามโดยไม่ได้ใช้น้ำเสียงจู่โจมใส่ ทำให้เซินหมิงเฟิ่งพอจะรู้สึกใจชื้นบ้าง บางทีโจเซอาจจะไม่ได้เปล่าประโยชน์เสียทีเดียว เพราะปกติตอนอยู่กับเขาตามลำพัง ชิงหลงมักจะใช้น้ำเสียงเย็นชาและเสียงของคนที่อยู่เหนือกว่า เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขารู้สึกว่าชิงหลงยอมอ่อนลงให้เขาบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเกรงใจโจเซถึงขนาดนี้

   “แบบว่า...คุณพาผมมาขังที่นี่ตั้งนานแล้ว โดยที่ผมไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลย มันอาจจะส่งผลกับสุขภาพผมน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะเขาเองก็ไม่ใช่หมอที่จะพูดเรื่องวิชาการพรรค์นี้ออกมาได้อย่างเป็นวรรคเป็นเวร

   “สุขภาพหรือ?” ชิงหลงแค่ทวนคำโดยไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ “คุณไม่ใช่หมอ คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไงว่าไม่ดีต่อสุขภาพ”

   ชายหนุ่มเม้มปากเหมือนเถียงไม่ออก

   “ไม่เอาน่า มิน คุณลองบอกเขาสิว่าคุณรู้สึกยังไงที่ต้องอุดอู้ในห้องนั้น” โจเซช่วยแนะทางสว่างให้ด้วยท่าทางเหมือนกำลังสนุกกับเรื่องตรงหน้า

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ

   นั่นสินะ อธิบายความรู้สึกตัวเองคงง่ายกว่าแต่ชิงหลงอาจมองว่าไร้สาระก็ได้ แต่เขาคงไม่มีทางให้เลือกมากนักหรอก

   “ผม....รู้สึกแย่...มาก ๆ ด้วย บอกตามตรงว่าผมรู้สึกเหมือนโลกนี้มันหดหู่และไม่มีอะไรให้ทำเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะทำอะไรก็เบื่อหน่ายไปซะหมดและอยากจะนอนหลับตลอดเวลา และเท่าที่ผมสังเกต ผมเริ่มจะตื่นช้าขึ้นทุกวันและไม่ใช่ผลกระทบจากโซนเวลาด้วย” เซินหมิงเฟิ่งพยายามนึกว่าตนเองมีอะไรให้พูดอีก “เวลาที่คิมหันต์มาปลุกผมตอนเช้าผมจะรู้สึกแย่มากที่ต้องตื่น ถึงคิมหันต์จะบอกว่าการรับแดดตอนเช้าจะดีต่อสุขภาพก็เถอะ ช่วงหลัง ๆ ผมเลยไม่ยอมลุกจากเตียงเลย”

   ชิงหลงมุ่นคิ้ว เพราะไม่มีใครรายงานเขาเรื่องนี้เลย กระทั่งคิมหันต์ คงเพราะอีกฝ่ายไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรกระมัง เพราะอาการแบบนี้หากมองเผิน ๆ ก็เหมือนคนขี้เกียจธรรมดาที่ไม่อยากจะตื่นเช้าก็แค่นั้น แต่ความจริงมันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า

   ในความเป็นจริง ชิงหลงไม่ได้คิดว่าโรคนี้จะมีผลอะไรมากนักกับการคุมตัวเซินหมิงเฟิ่ง กลับกัน มันคงจะง่ายขึ้นเสียด้วยซ้ำหากฝ่ายนั้นจะรู้สึกเฉื่อยชาและไม่อยากทำอะไร ถึงกระนั้น เขาก็นึกถึงจุดจบของสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ได้ และมันอาจจะส่งผลร้ายแรงหากว่าจิตใจของเซินหมิงเฟิ่งไม่เข้มแข็งพอจะยอมรับมัน ช่วยไม่ได้ที่ตกเป็นภาระหน้าที่ของเขาที่ต้องดูแลสภาพจิตของอีกฝ่ายให้ดีด้วย

   อีกอย่าง...มันคงจะเข้าแผนเขาพอดี...

   “ท่าทางจะเป็นโรคซึมเศร้า” ชิงหลงเปรยด้วยน้ำเสียงแฝงแววเครียดเล็กน้อยพอให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าเขากำลังใส่ใจอีกฝ่าย

   “ก็คงจะเป็นแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจเฮือก รู้สึกโล่งใจที่ชิงหลงยอมเข้าใจ “แล้วคุณจะปล่อยผมออกไปได้หรือเปล่า ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า” แผนการที่เคยคิดว่าจะให้โจเซช่วยพาไปสนามบินเขาก็เลิกคิดไปแล้วเพราะดูจากความสนิทสนมของโจเซกับชิงหลง มันคงจะยากน่าดู ถ้าเขาสมองแล่นกว่านี้อีกสักนิด เขาอาจจะลองคิดอะไรที่ดีกว่าแผนนั้นได้

   “ผมจะให้คิมหันต์ไปด้วย”

   ทั้งโจเซและเซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

   “คนเดียวหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเป็นคนเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกตะลึง ปกติแล้วชิงหลงจะให้การ์ดเฝ้าเขาจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ อยู่ ๆ ก็ให้เขาออกไปข้างนอก เท่านั้นยังไม่พอ ยังให้การ์ดติดตามเขาไปแค่คนเดียว ชิงหลงศีรษะโขกอะไรเข้าหรือเปล่านะ?

   “อย่าหวังมากนักคุณเซิน ผมจะให้คนอื่น ๆ ติดตามอยู่ห่าง ๆ และให้คิมหันต์โทรรายงานเป็นระยะด้วย”
   แบบนี้ค่อยสมเป็นชิงหลง....

   เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าจะโล่งใจหรือรู้สึกแบบไหนดี เขาได้อิสระในที่สุด ถึงจะแค่ชั่ววูบเดียวและมีคนเป็นขโยงคอยจับตาดูก็ตาม

   “วันพรุ่งนี้ ผมให้เวลาถึงแค่ 4 โมงเย็น ถ้าคุณอยากจะเดินชมเมืองนาน ๆ ก็กรุณาตื่นให้เช้าเสีย ไม่อย่างนั้นเวลาคงไม่คอยคุณนาน” ชิงหลงว่า “มีอะไรอีกไหม?”

   ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและโจเซเสมือนตกตะลึงกันไปชั่วขณะ จึงไม่มีใครตอบอะไรออกมาจนกระทั่งชิงหลงมุ่นคิ้วเพราไม่มีการตอบรับ

   “ไม่...ไม่มีอะไรแล้วครับ” เซินหมิงเฟิ่งรีบตอบ

   “มิน คุณกลับห้องไปก่อนนะ ผมมีอะไรต้องคุยกับเวย์ต่อน่ะ” โจเซกล่าวกับเซินหมิงเฟิ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกำลังแสดงความยินดีด้วยผ่านสีหน้าและแววตา เซินหมิงเฟิ่งจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไปจากห้องก่อนที่ชิงหลงจะเปลี่ยนใจเสีย

   เมื่อเสียงประตูปิดลง ทั้งสองเฝ้ารอจนกระทั่งเสียงเท้าของเซินหมิงเฟิ่งเงียบสนิท

   “นายกำลังวางแผนอะไรอยู่?” โจเซเป็นฝ่ายถามก่อน

   “ฉันกำลังวางแผนอะไรล่ะ?” ชิงหลงถามโจเซกลับด้วยคำถามเดิม

   “เฮ้ ฉันรู้จักนายดีนะอย่าลืมสิ ฉันไม่คิดว่านายจะทำเรื่องแบบนั้นโดยไม่วางแผนล่วงหน้าหรอก ว่าไง บอกฉันหน่อยไม่ได้เชียวหรือ? หรือว่า...นี่จะเป็นบททดสอบความจงรักภักดีของการ์ดคนนั้นของนายอีกบทหนึ่ง?” ชายหนุ่มจ้องมองลูกพี่ลูกน้องของตนเองด้วยสายตารู้ทัน หากเป็นชิงหลงจริง ๆ ที่ไม่ได้วางแผนอะไร คงจะปฏิเสธคำขอนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย และเลือกที่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง อาจจะพาเซินหมิงเฟิ่งออกไปด้วยตัวเองและให้นั่งอยู่แต่ในรถที่มีคนขนาบสองด้านจนขยับตัวไม่ได้ ได้แต่มองเมืองด้วยสายตาเท่านั้น ชิงหลงที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่เกิดใจดีขึ้นมากะทันหันแค่เพราะอาการซึมเศร้าเริ่มต้นเด็ดขาด

   “นายทำเป็นไม่รู้หน่อยไม่ได้หรือยังไง” ชิงหลงรู้ว่าถึงปิดบังโจเซไปก็เปล่าประโยชน์ ดอนมอเรสซาเรมีหรือจะมองคนใกล้ตัวไม่ออก

   “ฉันถึงไม่ได้พูดอะไรต่อหน้ามินไงล่ะ”

   “ฉันควรจะขอบคุณนายงั้นสิ?”

   “ก็ตามแต่พระกรุณาขององค์ชายมังกร” โจเซทำเสียงและท่าทางล้อเลียนหนังจีนที่เขาเคยดูผ่าน ๆ
   “เดี๋ยวนายก็ได้รู้เองนั่นแหละ แค่ไหน ๆ นายก็ระแคะระคายแล้ว ฉันก็อยากจะได้ความร่วมมืออะไรนิดหน่อย ไม่มากมายเกินมือของดอนมอเรสซาเรหรอก” ชิงหลงพูดพลางลุกขึ้นยืนพร้อมจัดชุดสูทที่ยับย่นไปเล็กน้อยจากการนั่งให้เข้าที่เข้าทาง

   “นายว่ามาก่อนสิ แล้วฉันจะลองพิจารณาดู”

   “ก็แค่...” ชิงหลงเดินเข้าไปหาลูกพี่ลูกน้องตนเอง แล้วทอดสายตานิ่งเรียบมอง “วันพรุ่งนี้ นายจะต้องไม่ว่างแค่นั้นเอง”

----------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #78 เมื่อ09-02-2012 17:39:11 »

   อาจเป็นเพราะสิ่งที่คาดหวังไว้เป็นจริงด้วยดี เซินหมิงเฟิ่งจึงตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตอนได้ไปชมกีฬาสุดโปรดสมัยเรียนเสียอีก และด้วยเหตุนั้นทำให้เขาไม่อาจข่มตาหลับได้เลย ทั้งที่คืนอื่น ๆ แค่นอนบนเตียงก็เพลียจนไม่อยากลืมตาแล้ว และสามารถหลับไปได้ในเวลาไม่นาน พอถึงตอนเช้า เซินหมิงเฟิ่งก็ตื่นมาด้วยอารมณ์แจ่มใสจนแทบจะผิดปกติ คิมหันต์ที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาอาบน้ำยังรู้สึกแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

   “ตื่นเช้าจังนะครับ” เขาเอ่ยทักเมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งออกมาจากห้องนอนแบบแต่งตัวเตรียมออกข้างนอกเรียบร้อยแล้ว

   “ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะครับ ผมยังไม่เคยเที่ยวเวนิสมาก่อนเลย” พอจะได้ออกข้างนอก เซินหมิงเฟิ่งก็สลัดคราบคนซึมกระทือกลายเป็นร่าเริงขึ้นมาทันที “คุณจะสวมสูทแบบนั้นออกไปเดินหรือครับ?” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นคิมหันต์สวมชุดสูทเรียบกริบดูเหมือนการ์ดมาเฟียเต็มยศ ซึ่งความจริงแล้วเจ้าตัวก็เป็นการ์ดของมาเฟีย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการออกไปข้างนอกแบเป็นส่วนตัวจะต้องแต่งตัวสะดุดตาผู้คนแบบนี้ จะว่าไป ตอนอยู่บ้านตระกูลเซิน คิมหันต์ก็ไม่เคยอยู่ในทีมที่ได้ออกไปข้างนอกแบบไม่เฉพาะกิจ อาจเป็นเพราะเหตุนั้นกระมัง เจ้าตัวจึงชินที่จะสวมชุดสูทตามอารักขาเจ้านายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

   “ผมไม่มีชุดแบบอื่นหรอกครับ” คิมหันต์พูดตามความจริง ตั้งแต่เขาทำหน้าที่การ์ดเต็มตัว เขาก็มีแต่ชุดสูทสีดำ ไม่เคยมีชุดแบบอื่นให้สวมใส่เลยนอกจากชุดนอน

   เซินหมิงเฟิ่งนิ่งครุ่นคิดไป เขาไม่อยากให้คิมหันต์เดินตามเขาต้อย ๆ ด้วยเสื้อผ้าและท่าทางแบบนั้นแน่ ๆ เพราไม่ว่าใครก็คงจะดูออกว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาเดินดินทั่วไป แล้วในอิตาลีก็เป็นถิ่นมาเฟียต้นกำเนิด เขายังไม่อยากเดิน ๆ ไปแล้วเจอไข้โป้งเอากลางทางแบบไม่รู้ไปขัดหูขัดตากลุ่มตามถนนกลุ่มไหนเข้า อย่างไรลูกปืนก็เร็วกว่าแรงคนวิ่ง ถึงจะมีการ์ดของชิงหลงคอยตามดูอยู่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ดังนั้นสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ การทำตัวกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม เพราะคนในเวนิสไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตาเขาอยู่แล้ว

   “คุณรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาค้นเสื้อผ้าออกมาชุดหนึ่งแล้วนำมาให้คิมหันต์ลองสวม

   คิมหันต์ตัวพอ ๆ กับเขา แค่ล่ำกว่าเล็กน้อยเพราะฝึกฝนร่างกายมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเสื้อผ้าของเขาจึงพอดีร่างกายคิมหันต์โดยไม่รู้สึกอึดอัดมากนัก

   เมื่อมองดูคิมหันต์ในชุดไปรเวทแบบวัยรุ่นหน่อย ๆ เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ดูดีมีเสน่ห์พอตัวเหมือนกัน ถ้าหากรู้จักยิ้มบ้าง แต่งตัวอีกสักหน่อย คงจะมีสาวแลรายทางเป็นแน่ น่าเสียดายก็แต่ คิมหันต์ชอบทำหน้าบึ้งเหมือนถูกสตาฟหน้าเอาไว้แบบนั้น และวางตัวเหมือนหุ่นยนต์ที่รอรับคำสั่งอย่างเดียว เรื่องนี้ต้องโทษระบบการเลี้ยงดูการ์ดของตระกูลเซินหรือนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายกันแน่นะ?

   “ท่านชิงหลงยอมให้ผมออกไปกับคุณเซินแค่สองคนจริง ๆ หรือครับ?”

   จนถึงตอนนี้ คิมหันต์ก็ยังทำใจเชื่อในคำสั่งได้ยาก เป็นไปได้หรือที่คนอย่างชิงหลงจะยอมทำเรื่องที่เสี่ยงต่อการหลบหนีของตัวประกันถึงขนาดนี้ ถึงเขาจะเป็นคนที่ได้ติดตามก็ตามที แต่เขาก็รู้ว่าชิงหลงยังไม่ได้ไว้วางใจในตัวเขา 100% เจ้านายคนนี้ยังคงสงสัยในตัวเขาอยู่ทุกวินาที และไม่มีทางเลยที่จะยอมให้เขาคลาดสายตา แต่ทำไมถึงได้ยินยอมให้เขากับเซินหมิงเฟิ่ง...คนสองคนที่มีโอกาสร่วมมือกันหลบหนีมากที่สุดไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างอิสระได้โดยไม่มีคนคอยคุมใกล้ชิด

   “ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้านายคุณหรอกน่า” เซินหมิงเฟิ่งพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ แม้เขาจะไม่อยากตอกย้ำตัวเองตอนนี้ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นนักโทษของชิงหลงอยู่วันยังค่ำ “ถ้าคุณไม่เชื่อ จะลองไปถามเขาดูก็ได้ ตอนนี้เขาคงจะดูแลทีมการ์ดที่จะไปกับพวกเราอยู่”

   คิมหันต์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งและไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะชิงหลงเดินเข้ามาในห้องพอดี

   “พร้อมกันหรือยัง?” ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วมองคิมหันต์ที่สวมชุดไปรเวททำให้ดูแปลกตาไปเล็กน้อย

   “พร้อมแล้ว คุณคงไม่เปลี่ยนใจเอาตอนนี้หรอกนะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งถามเพื่อความแน่ใจ

   “ยังไม่มีเหตุผลให้ผมเปลี่ยนใจ” ชิงหลงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าลืมว่าผมให้เวลาถึงแค่ 4 โมงเย็น ถ้ากลับมาช้า ผมไม่รับรองความใจดีของตัวเอง”

   ถูกขู่แบบนั้น แทนที่เซินหมิงเฟิ่งจะไม่พอใจที่ถูกปฏิบัติเหมือนเด็กโดนเคอร์ฟิล เขากลับไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลย เพราะอย่างไร เขาก็มีอิสระจนกว่าจะถึงเวลา 4 โมงเย็นของวันนี้ เขาจึงไม่อยากอารมณ์เสียโดยเปล่าประโยชน์จนทำให้เที่ยวในเมืองไม่สนุก

   “ถ้าอย่างนั้น เจอกันตอน 4 โมงเย็นนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งชิงบอกลาแล้วเดินออกไปจากห้องก่อนที่ชิงหลงจะนึกเปลี่ยนใจขึ้นมาดื้อ ๆ เขาจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่เกิดคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นมากะทันหัน

   คิมหันต์โค้งให้กับชิงหลงแล้วจึงเดินตามออกมา ทั้งสองตรงดิ่งไปยังลิฟต์และลงชั้นล่างทันที

   เมื่อลงมาถึงล็อบบี้ เซินหมิงเฟิ่งก็สูดหายใจลึก รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบลงบนพื้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่พื้นลอยฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโครงอาคาร

   “แล้วจะไปไหนก่อนล่ะ?” เขาหันมาถามคิมหันต์ที่กำลังมองแผนที่เวนิส

   “อยากลองไปล่องเรือไหมครับ?”

   เรือกอนโดลาเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองเวนิส ไม่ว่าใครที่มาเมืองนี้ต่างก็ต้องอยากจะลองขึ้นดูสักครั้ง ราวกับว่า หากไม่ได้ล่องกอนโดลาแล้ว ก็เหมือนว่ามาไม่ถึงเวนิสจริง ๆ ด้วยเหตุนั้น เรือนี้จึงเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนคิดถึงเมื่อพูดถึงชื่อเวนิสขึ้นมา คนที่ไม่เคยมาเวนิสอย่างเซินหมิงเฟิ่งเองก็นึกสนใจเรือกอนโดลาที่มีชื่อเสียงนี้เช่นกัน เพราะเคยได้ยินแต่ชื่อมานานแต่ยังไม่เคยได้สัมผัส

   “ถ้าอย่างนั้นไปล่องเรือก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยคิดไปก็ได้ว่าจะไปไหนกันต่อ” เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพราะเขาอยากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

   คิมหันต์พาเซินหมิงเฟิ่งไปยังท่าเรือสำหรับเช่ากอนโดลาตามแผนที่และใบปลิวสำหรับนักท่องเที่ยว พวกเขาจ่ายเงินไปจำนวนหนึ่งซึ่งสำหรับเซินหมิงเฟิ่งแล้ว มันแพงไม่ใช่เล่นเลย

   “เวนิสสะพานเยอะจริง ๆ เลยนะ”

   “ครับ ก็มีฉายาหนึ่งว่าเป็นเมืองแห่งสะพาน ดูเหมือนว่าสะพานพวกนี้จะเป็นตัวเชื่อมเกาะต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันน่ะครับ” คิมหันต์อ่านใบปลิวพลางอธิบายเป็นภาษาจีน “ดูเหมือนจะมีตำนานเกี่ยวกับความรักด้วย พวกนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวถึงชอบขึ้นเรือกันล่ะมั้งครับ”

   “จริงหรือ? ตำนานว่าอะไรล่ะ?” เซินหมิงเฟิ่งนึกสนใจขึ้นมา

   “ว่ากันว่า ถ้าคู่รักจูบกันตอนระฆังปาไนล์ดังในช่วงเย็นใต้สะพานแห่งการทอดถอนใจ จะรักกันยืนยาวนานน่ะครับ”

   “สะพานแห่งการทอดถอนใจ?” ชายหนุ่มบิดปากนิด ๆ “ชื่อไม่ได้ชวนให้รักกันเลยนะ” เขาออกความเห็นพลางนึกสงสัยว่าทำไมคนต้องรักกันแล้วทอดถอนใจด้วย

   “มันเป็นสะพานที่เดินไปเข้าคุกน่ะครับ นักโทษจึงมักจะมองกลับมาที่สะพานเพื่อเห็นแสงตะวันสุดท้ายในชีวิตแล้วถอนหายใจออกมา”

   ยิ่งฟังที่มาของสะพาน เซินหมิงเฟิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่น่าพลอดรักอย่างที่สุด เขานึกสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมคนรักกันถึงอยากมาจูบกันให้สะพานของนักโทษดู หรือว่าที่เสนิสจะไม่มีสะพานอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว หรือว่ามันคือการเยาะเย้ยนักโทษกันนะ?

   เมื่อพวกเขาล่องเรือกอนโดลาจนพอใจ ทั้งสองก็ขึ้นจากเรือแล้วเริ่มมองหาสถานที่ไปต่อ

   จัตุรัสซานมาร์โคคือสถานที่ต่อไป เพราะได้ชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในอิตาลี เมื่อเซินหมิงเฟิ่งไปถึง เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงไปกับสถาปัตยกรรมของโบสถ์ซานมาร์โค รวมทั้งหอนาฬิกาและหอระฆัง นอกจากนี้ยังมีร้านรวงมากมายอยู่รอบ ๆ จัตุรัส เรียกได้ว่า หากนักท่องเที่ยวมาที่นี่และเกิดอยากซื้อหาอะไรก็สามารถซื้อหาได้ในทันทีจากร้านรวงริมทาง จึงช่วยไม่ได้ที่อยู่ ๆ เซินหมิงเฟิ่งจะรู้สึกหิวขึ้นมา เพราะเขาตื่นเต้นมากเกินไปจึงลืมกินอาหารเช้ามาเสียสนิท และตัดสินใจชักชวนคิมหันต์ให้แวะร้านอาหารสักร้านหนึ่ง

   ร้านอาหารบริเวณจัตุรัสซานมาร์โคเนืองแน่นไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมจัตุรัส เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้ร้านอาหารที่สามารถเข้าไปนั่งข้างในร้านได้อย่างสะดวกไม่ต้องนั่งตากแดดอยู่หน้าร้าน

   เมนูของร้านอาหารแห่งนี้เต็มไปด้วยชื่อที่คิมหันต์และเซินหมิงเฟิ่งไม่รู้จัก เพราะล้วนแต่เป็นอาหารสไตล์เวเนเชียนดั้งเดิม หากไม่ใช่คนท้องถิ่นคงยากจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขาจึงต้องสั่งสุ่ม ๆ มาคนละอย่างสองอย่างเพื่อลองดูว่าอาหารสไตล์เวเนเชียนเป็นอย่างไร และหลังจากอิ่มหมีพีมันกันดีกับอาหารที่เต็มไปด้วยชีส คิมหันต์ก็ยื่นบัตรเครดิตใบหนึ่งที่ได้รับมาจากชิงหลงเพื่อใช้จ่ายค่าอาหาร นับว่าชิงหลงรอบคอบกับเรื่องนี้พอสมควร เพราะส่วนตัวเซินหมิงเฟิ่งไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินทองเลย คิดแต่ว่าจะไปที่ไหนบ้างเท่านั้นเอง

   “รู้สึกอืดชอบกล” เขาว่าขณะที่พากันเดินออกมาจากร้าน

   “ก็ทานเข้าไปเยอะขนาดนั้นนี่ครับ” คิมหันต์กล่าวแล้วมองไปรอบ ๆ “ลองไปเดินที่นั่นไหมครับ คงจะเจอร้านขายของที่ระลึกเยอะอยู่”

   “แล้วผมจะซื้อของที่ระลึกไปให้ใครล่ะ...” พอเซินหมิงเฟิ่งพูดขึ้นมาแบบนั้น ใบหน้าคิมหันต์ก็หมองลงทันทีด้วยนึกขึ้นได้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่ควรออกไปแล้ว ชิงหลงไม่เคยมีกำหนดปล่อยตัวเซินหมิงเฟิ่งออกมา ดังนั้น จึงไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อไหร่เซินหมิงเฟิ่งจะเป็นอิสระ แล้วของที่ระลึกจะมีความหมายอะไร

   “ขอโทษด้วยครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ คิมหันต์เกิดหม่นหมองขึ้นมาแบบนี้เขาคงจะหมดสนุกเอาง่าย ๆ

   “เอาเถอะ ซื้อไว้ก็ไม่เสียหาย อย่างน้อยผมจะได้เดินดูอะไรแปลกตาบ้าง” เขาปลอบใจอีกฝ่ายแล้วเดินนำไปทางสะพานริอัลโต โดยมีจุดมุ่งหมายที่ร้านขายของรอบ ๆ สะพาน

   ของที่ระลึกของเวนิสมีหลากหลายอย่าง แต่ที่น่าสนใจเห็นจะเป็นเครื่องแก้วเป่าทั้งหลายที่มีหลากรูปร่าง แต่ละแบบก็น่าตื่นตาตื่นใจไปคนละอย่าง ทว่า ในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังซื้อของอยู่นั้น พวกเขาก็รู้สึกเหมือนถูกตีโอบด้วยกลุ่มคนบางกลุ่มอย่างช้า ๆ และไม่เป็นที่สังเกต กระนั้นก็เข้ามาถึงตัวอย่างรวดเร็วจนเกินจะไหวตัวทันโดยไม่ให้มีพิรุธ เซินหมิงเฟิ่งถูกผู้ชายคนหนึ่งขนาบข้าง เช่นเดียวกับคิมหันต์

   “มีธุระอะไรหรือครับ?” เขาเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ

   “ขอความกรุณามากับพวกเราอย่างเงียบ ๆ ด้วย จะได้ไม่มีใครเจ็บตัว” เสียงดุดันเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนดังเข้ามาในหูแค่เพียงพอที่จะได้ยินเฉพาะในวงล้อม เซินหมิงเฟิ่งหันไปหาคิมหันต์ซึ่งโดนล็อคตัวเอาไว้ และเมื่อดูจากจำนวน คิมหันตืไม่มีทางช่วยได้แน่ คนของชิงหลงเองก็อาจจะมาไม่ทันเพราะเขาเห็นกระบอกปืนจี้อยู่ที่หลังของคิมหันต์ และหลังของเขาก็คงจะมีเหมือนกัน คนพวกนี้จะต้องยิงขึ้นมาแน่ ๆ หากเห็นคนของชิงหลงหรือคนนอกเข้ามาพยายามช่วยเหลือ

   “พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาเฟียที่นี่นะครับ” เซินหมิงเฟิ่งพยายามแก้สถานการณ์

   “ตามมาเงียบ ๆ” ดูเหมือนฝั่งนั้นจะไม่ได้สนใจเลย เซินหมิงเฟิ่งจึงได้แค่พยักหน้าช้า ๆ ให้คิมหันต์อย่าตอบโต้ แล้วเดินตามคนกลุ่มนั้นไปโดยไม่โต้แย้งอะไร และเมื่อพวกเขาถูกพาไปจนถึงรถที่ติดฟิล์มกรองแสงมืดสนิท ท้ายปืนก็กระแทกเข้าตรงท้ายทอยทำให้เขาหมดสติไป

   อีกด้านหนึ่งของจัตรุรัส สายตาหลายคู่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าโดยตลอดแต่กลับไม่มีใครเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น และจนกระทั่งรถกลุ่มนั้นเคลื่อนออกไป ชายคนหนึ่งจึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกรอกเสียงลงไปเรียบ ๆ ไม่แสดงความยินดียินร้ายใด ๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

   “พวกเขาไปแล้วครับ”

   “เข้าใจแล้ว พวกนายกลับมาได้” เสียงจากอีกฝั่งออกคำสั่ง ทำให้บุคคลกลุ่มนั้นสลายตัวโดยทันที และบรรยากาศของจัตุรัสซานมาร์โคก็กลับสู่ความคึกคักเช่นเดิมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #79 เมื่อ09-02-2012 18:48:09 »

โดนจับตัวไปซะแล้ว
จะมีอะไรต่อกันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
« ตอบ #79 เมื่อ: 09-02-2012 18:48:09 »





ออฟไลน์ vk_iupk

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 990
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #80 เมื่อ09-02-2012 19:18:33 »

อ้าว  โดนจับไปซะแล้ว
เกิดอะไรขึ้นนะ
สงสารหมิงเฟิ่งจริงๆ

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #81 เมื่อ09-02-2012 23:24:04 »

งานเข้า อาหมิง เต็ม ๆ ทั้งที่โดนชิงหลงลักพาตัวอยู่แล้ว ก็ต้องมาโดนกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายลักพาตัวต่ออีกทอด
จะเป็นแผนการของมาเฟียแฟมิลี่อื่น หรือจะเป็นแผนซ้อนแผนของโจเซ ก็ยากจะคาดเดา เอาเป็นว่าขอลุ้นตอนหน้าล่ะกัน  :m21:

nuttinee_k

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #82 เมื่อ10-02-2012 11:07:34 »

ฝีมือชิงหลงเองอะปะเนี่ยย ยิ่งเจ้าแผนการณ์อยู่  :serius2: ลึกลับซับซ้อน

ทางซากุระก็กำลังจะไปได้ดี แต่จะช่วยอาหมิงยังไงละเนี่ยยย



ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #83 เมื่อ10-02-2012 18:25:54 »

โดนจับตัวไปซะแล้ว
แผนของชิงหลงอ่ะป่ะ
คิดอะไรอยู่ เดาทางไม่ถูกจริงๆเรื่องนี้  :z3:

vi2212

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #84 เมื่อ10-02-2012 23:32:31 »

ซับซ้อน เกินคาดเดา... :m21:

ออฟไลน์ threetanz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
«ตอบ #85 เมื่อ12-02-2012 16:52:31 »

ใครจับตัวคิมหันต์ กับหมิงไปเนี่ยย ติดตามต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
«ตอบ #86 เมื่อ16-02-2012 17:28:54 »

-11-


   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองฝันอะไรบางอย่างก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมา แต่เขาก็จำไม่ได้ชัดเจนนักเพราะเมื่อรู้สึกตัว ความทรงจำก็ไหลย้อนเข้ามาแทนความฝันที่เลือนราง เขารู้สึกเหมือนตนเองเจอเหตุการณ์เดจาวูอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ครั้งแรกที่เขาถูกลักพาตัว เขาไม่ได้ถูกสันปืนกระแทกท้ายทอย แค่ถูกวางยาจึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรนัก ซึ่งเมื่อคิดดูแล้ว เขาก็พบว่าชิงหลงยังมีความละเอียดอ่อนมากกว่าคนที่ทำกับเขาอยู่ตอนนี้หลายเท่า อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ไม่เคยทำให้เขาเจ็บตัว

   “คุณเซิน....คุณเซิน” เขาได้ยินเสียงเรียกชื่ออยู่ข้างตัว เป็นเสียงกระซิบอย่างร้อนใจเหมือนกลัวว่าใครในบริเวณนั้นจะได้ยินเข้า

   เซินหมิงเฟิ่งพยายามปรือตาอย่างเชื่องช้าแล้วหันไปข้างตัว

   คิมหันต์นั่นเอง

   เจ้าตัวมีสีหน้ากระวนกระวายจนผิดปกติ

   เซินหมิงเฟิ่งลองขยับแขนโดยไม่ได้ตั้งใจ และพบว่าแขนของเขาถูกตรึงเอาไว้กับบางสิ่งบางอย่างจึงก้มลงมอง และเขาก็พบตนเองถูกตรึงไว้กับเก้าอี้แบบมีพนักด้วยเชือกที่มัดแขนและลำตัว พอหันไปมองคิมหันต์ อีกฝ่ายก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกับเขานัก

   ให้ตายเถอะ พวกนั้นจับเขานั่งท่านี้อยู่นานเท่าไหร่แล้วนะ มิน่าเล่าถึงได้ปวดคอแบบนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นแค่อาการหลังจากถูกสันปืนกระแทกเอาเสียอีก

   เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ พบว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ในห้องโล่ง ๆ สีทึบทึม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยนอกจากเก้าอี้สองตัวที่พวกเขานั่นอยู่ และบนเพดานมีหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ไม่ค่อยสว่างนัก แค่ให้แสงสว่างได้ทั้งห้องแต่ก็ยังทำให้รู้สึกทึบและอึดอัดอยู่ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม แต่เซินหมิงเฟิ่งสังเกตเห็นช่องระบายอากาศอยู่เหนือประตูที่มีอยู่บานเดียว มันกำลังหมุนช้า ๆ จนพาให้รู้สึกรำคาญ

   “พวกเราอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ยถามคิมหันต์เสียงเบา

   “ผมไม่รู้ครับ แต่ข้างนอกประตูมีคนเฝ้าอยู่แน่ ๆ ตอนที่คุณเซินยังไม่ตื่น ผมเห็นมีคนเข้ามาดูสองครั้งและคุยกันเป็นภาษาอิตาเลียน แต่นอกจากนั้นผมยังไม่เห็นอะไรที่จะบ่งบอกได้เลยว่าเราอยู่ที่ไหน” คิมหันต์รายงานด้วยเสียงกระซิบ เซินหมิงเฟิ่งจึงรู้ว่าที่อีกฝ่ายพยายามพูดเบา ๆ เพื่อไม่ให้คนข้างนอกรู้ว่าพวกเขาได้สติแล้วนั่นเอง ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะยอมให้พวกเขาสองคนหลับสบาย ๆ นานนัก

   “คิดว่าเป็นพวกไหน?”

   “บางทีอาจจะเป็นศัตรูของดอนมอเรสซาเรครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว

   “แล้วศัตรูของมอเรสซาเรมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา? แม้แต่คนของมอเรสซาเรยังไม่รู้เลยว่าผมมีตัวตน” นั่นเป็นเรื่องจริง เพราะเซินหมิงเฟิ่งเป็นธุระส่วนตัวของชิงหลงซึ่งโจเซไม่นำมาเกี่ยวข้องกับแฟมิลีของตนเอง ดังนั้นแม้แต่คนของมอเรสซาเรก็ยังไม่ได้รับรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเซินหมิงเฟิ่ง หรือความเกี่ยวพันกับคนของชิงหลงแต่อย่างใด สำหรับอิตาลี เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น

   “บางทีพวกเขาอาจจะสืบสาวมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ว่าถ้าไม่ใช่ศัตรูของมอเรสซาเร ผมก็เดาไม่ออกแล้วว่าเป็นคนพวกไหน”

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจออกมา นึกสงสัยว่าตัวเองมีดวงสมพงษ์อะไรกับคนพวกนี้กันนะ อยู่ที่ฮ่องกงเขายังไม่แปลกใจนักเพราะเป็นทายาทของมาเฟียที่มีอิทธิพลระดับประเทศ แต่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอิตาลีแล้วเขายังต้องเจอกับเรื่องของมาเฟียอีกหรือ?

   ในขณะที่คิดเช่นนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากภายนอก เป็นเสียงก้องจากทางเดินของรองเท้าหนังหลายคู่ตามด้วยเสียงเปิดประตูที่เสียดหู

   ฝ่ายนั้นเริ่มการพูดด้วยภาษาอิตาเลียนที่ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ต่างก็ฟังไม่ออก จึงได้แต่มุ่นคิ้วแล้วจ้องไปยังคนที่เหมือนผู้นำซึ่งเป็นผู้ชายละตินรูปร่างท้วม ในมือคีบซิการ์ตัวหนึ่งที่กำลังพวยควันฉุยออกมาเป็นระลอกและลอยหายไปที่ช่องระบายอากาศ

   “ฟังภาษาอังกฤษออกหรือเปล่า?” ในที่สุดพวกนั้นก็รู้ตัวว่าการพูดด้วยภาษาอิตาเลียนไม่สามารถสื่อสารได้ จึงเปลี่ยนมาใช้ภาษาที่สากลกว่า

   “พวกคุณต้องการอะไร?” เซินหมิงเฟิ่งถามกลับไป

   “ต้องการอะไร?” ชายรูปร่างท้วมทวนคำถามแล้วกลอกตาเล็กน้อยก่อนเดินเข้ามาใกล้ เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกแสบจมูกทันทีที่ควันซิการ์ลอยเข้ามาถึงตัว “เปล่าเลย ถ้าถามถึงว่าฉันต้องการอะไรจากพวกผิวเหลืองอย่างพวกคุณน่ะนะ แต่...คุณอาจช่วยผมได้ ไหนลองบอกผมมาหน่อยซิว่า ชิงหลงแห่งฮ่องกงต้องการอะไรถึงมาที่นี่โดยไม่มีธุระด้านธุรกิจ ซ้ำยังจัดการปกป้องคุ้มครองคุณเป็นพิเศษด้วยการ์ดจำนวนมากกว่าครึ่งที่เขาพามาด้วย บางทีคุณคงเป็นคนสำคัญในแผนการบางอย่างของเขา”

   ปกป้องคุ้มครอง?

   นี่เขาฟังผิดไปหรือเปล่า สิ่งที่ชิงหลงทำกับเขามันเรียกว่าการกักขังหน่วงเหนี่ยวต่างหาก....

   พอคิดแบบนั้นขึ้นมา เซินหมิงเฟิ่งก็เผลอบิดรอยยิ้มแกน ๆ

   “ก่อนจะพูดเรื่องนั้น คุณช่วยแนะนำตัวหน่อยดีไหมครับ?” เขาเบี่ยงหัวข้อ เพราะเขายังไม่อยากพูดอะไรให้เสียเรื่อง

   ชายร่างท้วมชะงักไปก่อนเลิกคิ้ว

   “นั่นสินะ” เขาว่าแล้วหัวเราะเบา ๆ “อาติโน บราซินี”

   เซินหมิงเฟิ่งเลื่อนสายตาไปสบกับคิมหันต์แวบหนึ่งเผื่อว่าอีกฝ่ายจะคุ้นชื่อนี้บ้าง แต่ก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์ เพราะคิมหันต์ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ เป็นพิเศษ จะว่าไปก็ไม่น่าแปลก เพราะคิมหันต์อยู่กับบ้านตระกูลเซินมานานหลายปี คงไม่มีทางรู้เรื่องราวของทางอิตาลีได้อยู่แล้ว ยิ่งเป็นชื่อของมาเฟียอิตาลีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลทางฮ่องกงเลย

   “ผมเซินหมิงเฟิ่ง” เขาแนะนำตัวกลับไป

   “คุณเป็นคนจีนที่มีเค้าหน้าคล้ายคนยุโรปมากเลยนะ” อาติโนจ้องมองเซินหมิงเฟื่งเสมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่อยู่บนใบหน้านั้น ทว่าก็เหมือนจะไม่พบสิ่งที่ต้องการ

   “แม่ของผมเป็นคนอังกฤษ”

   “มีเชื้อเมืองผู้ดีเสียด้วย” อาติโนหัวเราะออกมาพร้อมกับคนรอบตัวท่ากันขบขันไปด้วยทั้งที่เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้รู้สึกตลกเลยสักนิด สำหรับเขามันดูเหมือนคำบอกเล่าธรรมดาที่เสียดสีอยู่เล็กน้อยเท่านั้นเอง

   เซินหมิงเฟิ่งไม่แน่ใจว่าตนเองควรบอกอีกฝ่ายหรือไม่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับมอเรสซาเรแฟมิลี การบอกกล่าวออกไปเช่นนั้นอาจได้ผลตอบรับกลับมาสองรูปแบบ แบบแรก คืออีกฝ่ายเป็นพันธมิตรของมอเรสซาเร หรือคนที่มอเรสซาเรเคยมีบุญคุณด้วย เขาก็จะสามารถกลับออกไปได้อย่างปลอดภัยและอาจใช้ชื่อของมอเรสซาเรทำให้คนเหล่านี้ยอมส่งเขากลับฮ่องกงโดยไม่ต้องผ่านมือชิงหลงได้ด้วย ทว่าในทางร้ายซึ่งเป็นแบบที่สอง หากคนกลุ่มนี้เป็นศัตรูของมอเรสซาเรหรือคนที่จ้องจะโค่นล้ม เขาและคิมหันต์คงตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง ซึ่งไม่ใช่เรื่องคาดเดาได้ยากเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

   “คราวนี้เราก็รู้จักกันแล้ว คุณตอบคำถามผมได้หรือยัง?” อาติโนว่าพลางโบกซิการ์ในมือไปมา ควันสีขุ่นที่ลอยอวลในห้องสลัว ๆ มันทำให้ยิ่งรู้สึกอึดอัด

   “ผมไม่เข้าใจประเด็นคำถามของคุณ” เซินหมิงเฟิ่งตอบกลับตามตรง

   เมื่อเซินหมิงเฟิ่งพูดออกมาแบบนั้น ผู้ติดตามของอาติโนบางคนก็ตะคอกออกมาเป็นภาษาอิตาลีกันอย่างเคร่งเครียด คนเหล่านี้คงไม่รู้กระมังว่าคนที่ฟังภาษาอิตาลีไม่ออก ถึงจะพูดด้วยสำเนียงอารมณ์แบบไหนก็ยังฟังไม่ออกอยู่ดี

   อาติโนเอ่ยปรามคนของตนอย่างใจเย็นแล้วหันกลับมา

   “ต้องขอโทษด้วยที่คนของผมใจร้อนไปหน่อย พวกเขาอยากสอบสวนพวกคุณด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ว่าผมเป็นคนใจกว้าง ดังนั้นผมจะให้เวลาพวกคุณคิดทบทวนก็แล้วกัน” หลังจากกล่าวเช่นนั้น ชายร่างท้วมก็โบกมือให้ผู้ติดตามออกไปจากห้อง และห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

   เซินหมิงเฟิ่งเผลอถอนหายใจเฮือกออกมา

   “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจบางอย่างผิดอยู่นะ” เขากระซิบกับคิมหันต์

   “เรื่องที่คิดว่าคุณเซินเป็นบุคคลสำคัญที่ชิงหลงกำลังปกป้องอยู่สินะครับ?”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้า

   “คุณคิดว่าพวกเขาไม่พอใจชิงหลงอยู่หรือเปล่า?”

   “ผมไม่แน่ใจนะครับ เพราะว่าผมไม่รู้จักระบบของมาเฟียอิตาลีมากนัก บางทีพวกเขาอาจจะไม่พอใจที่ตัวดอนมอเรสซาเรก็ได้ ทำให้ลากมาถึงท่านชิงหลง” คิมหันต์ลองวิเคราะห์ออกมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมมาเฟียอิตาลีถึงรู้เรื่องเซินหมิงเฟิ่งได้ จะว่าส่งคนเข้ามาสอดแนมก็ไม่น่าใช่ เพราะบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ล้วนแต่เป็นหน้าเดิม ๆ ที่จัดมาจากฮ่องกง คนของมอเรสซาเรไม่ได้มาทำหน้าที่ถึงห้องแบบพวกเขา แค่ช่วยดูแลบริเวณรอบ ๆ โรงแรมเท่านั้น ซึ่งหากมีคนนอกแทรกเข้ามาโจเซก็น่าจะรู้ตัว จะว่าพวกเหล่านี้ใช้แผนเดียวกับชิงหลง ด้วยการส่งคนเข้ามาแทรกแซงตั้งแต่อายุน้อยก็ไม่น่าใช่ มาเฟียอิตาลีคงไม่ลงทุนถึงขนาดนั้นกับมาเฟียของเกาะเล็ก ๆ ในอีกฝากของโลก ซ้ำยังไม่ใช่นโยบายสากลของมาเฟียอิตาลีอีกด้วย

   “คุณเซินจะทำยังไงต่อไปครับ?” เพราะคิมหันต์ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาเพื่อให้ใช้สมองคิดวิเคราะห์มาแต่ต้น จึงไม่สามารถคิดอะไรที่ลึกซึ้งมากได้ ในที่สุดก็หันไปถามความเห็นจากเซินหมิงเฟิ่งซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่อยู่ในฐานะผู้นำในตอนนี้และในอนาคต

   “ถ้าเรายังทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไป พวกเขาคงใช้กำลังจริง ๆ แน่” เขาว่าแล้วเม้มปาก การทรมานของมาเฟียคงไม่น่าพิสมัย แต่เขาจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร?

   “แต่ว่านี่เป็นเรื่องภายใน....”

   ไม่มีกลุ่มมาเฟียกลุ่มไหนอยากให้กลุ่มอื่นเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในของตนเอง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดูไร้สาระแค่ไหนก็ตาม

   “ผมเองก็ไม่คิดจะเปิดเผยหรอก” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วถอนหายใจออกมา “ตอนนี้คงได้แต่หวังว่าชิงหลงจะหาทางช่วยเราได้” เขารู้ว่าชิงหลงไม่มีทางทิ้งเขาเอาไว้อย่างนี้แน่ ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ชิงหลงทำเขาก็สังหรณ์ว่าต้องเกี่ยวข้องกับกฎของพวกเขา ตลอดเวลาที่ถูกขังเอาไว้ เขาก็คิดสรตะมากมายหลายเหตุผลว่าจะมีเหตุผลใดบ้างที่ทำให้ชิงหลงทำเรื่องแบบนี้ได้ สิ่งเดียวที่สมเหตุสมผลที่สุดนั่นคือ ในอดีตจูเชว่คงเคยทำเช่นนี้หรือสิ่งที่ส่งผลในแบบนี้ต่อชิงหลงมาก่อนเป็นแน่ และหากเป็นกฎนั้น ชิงหลงจะไม่มีทางปล่อยให้เขาตายโดยไม่ดูดำดูดีได้

-------------------------->

   “เราน่าจะเค้นคอมันซะเลยนะครับ” ผู้ติดตามคนหนึ่งกล่าวกับอาติโน

   “ใจเย็นไว้ก่อน ถ้าหากว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับมอเรสซาเร เราจะเสียหายเอาได้” อาติโนปรามผู้ติดตามของตนเองแล้ววางซิการ์ลงบนแท่นรอง

   “มอเรสซาเรยังไม่สนใจพวกเราเลยนะครับ ปกติแล้วพวกเราควรจะรู้เรื่องด้วยไม่ใช่หรือครับว่ามอเรสซาเรกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ถ้าหากว่าเราทำอะไรลงไป เราก็อ้างได้ไม่ใช่หรือครับว่าเป็นเพราะทางมอเรสซาเรไม่ให้ข้อมูลเรามาเองถึงได้เกิดเรื่องผิดพลาด”

   “แกนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ” อาติโนถอนหายใจเฮือก “พวกมอเรสซาเรไม่สนใจข้อแก้ตัวเด็ก ๆ แบบนั้นแน่”
   “แต่ถ้าปล่อยแบบนี้ เจ้าพวกนั้นก็เอาแต่ถ่วงเวลาไปเรื่อยนะครับ”

   “ก็ดีเหมือนกัน”

   เมื่ออาติโนพูดออกมาแบบนั้น ผู้ติดตามทั้งหมดก็มองหน้ากัน

   “พวกเราจะเสียเวลาเปล่าหรือครับ?”

   อาติโนโบกมือไปมาในอากาศ

   “ตราบใดที่พวกนั้นยังอยู่กับเรา เราก็จะรู้ได้ว่าพวกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมอเรสซาเรหรือไม่ ตอนนี้ ฉันอยากให้พวกแกจัดคนไปดูแลทางฝั่งโจเซและชิงหลงอย่างลับ ๆ แล้วรายงานกลับมาเป็นระยะ ฉันอยากรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้แล้ว สองฝั่งนั้นมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”

   “แค่สอดแนมก็พอหรือครับ?”

   บางครั้งอาติโนก็ปวดหัวกับคนของตัวเองไม่น้อย คนพวกนี้ถูกเลี้ยงมาเหมือนลูกเสือลูกสิงโต ต้องใช้กำลังเอาท่าเดียว ซ้ำยังใจร้อนกันทั้งนั้น ส่วนมากก็มีพื้นฐานมาจากพวกอันธพาลข้างถนนที่เขาเห็นแวว หรือไม่ก็คนของตัวเองเอาลูกหลานมาฝากทำงาน

   “ฟังนะ ถ้าหากว่าพวกนั้นเกี่ยวข้องกับมอเรสซาเรจริง หมายความว่าอีกไม่นานโจเซต้องติดต่อมาแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ฉันกับเขาก็จะได้คุยกันว่านี่มันเรื่องอะไร จากนั้น เราค่อยพิจารณากันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป แต่ถ้าเราใช้กำลังลงไปแล้วเกิดเขาเป็นคนสำคัญของทางมอเรสซาเรขึ้นมา เราจะต้องถูกต่อว่าอย่างแน่นอน และทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับมอเรสซาเรแย่ลงไปด้วย” เมื่ออาติโอธิบาย ผู้ติดตามที่อยู่ในห้องก็สงบลงบ้างแม้จะมีอาการไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างแฟมิลี่ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับมาเฟียอย่างพวกเขา ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับแฟมิลีอื่นโดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟมิลีเก่าแก่และมีอิทธิพลล้นมืออย่างมอเรสซาเรที่สามารถต่อกรกับตำรวจสากลได้อย่างสบายมือ

   “ถ้าอย่างนั้น ผมจะไปเตรียมคน” ผู้ติดตามคนหนึ่งรีบเดินออกไปทำตามคำสั่ง

   “ส่วนพวกแกที่เหลือ จับตาดูสองคนนั่นไว้ว่ามีพิรุธอะไรบ้างหรือเปล่า” อาติรู้ว่าสองคนนั้นคงจะไม่พูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษแน่ และคนของเขาก็ฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่องสักคนเดียว ดังนั้นสิ่งเดียวที่สามารถจับสังเกตได้คือสีหน้าและท่าทางเวลาที่ปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันตามลำพัง

   ผู้ติดตามส่วนที่เหลือรับคำสั่งก่อนจะพากันเดินออกไปทำหน้าที่ อาติโนจึงทิ้งตัวลงพิงพนักแล้วถอนหายใจ

   เด็ก ๆ สมัยนี้ชักจะเอาใจยากขึ้นทุกวัน หวังว่าโจเซคงจะไม่เอาใจยากแบบนี้หรอกนะ...

-------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
«ตอบ #87 เมื่อ16-02-2012 17:31:07 »

   หลังจากได้รับรายงานว่าเซินหมิงเฟิ่งถูกพาตัวไปโดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง นั่นก็ผ่านมาเกือบ 24 ชั่วโมงแล้ว ชิงหลงตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าตัวเย็นใจจนน่าแปลกเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผู้ติดตามแต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมาโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรเรื่องนี้ ในใจแต่ละคนคาดหวังว่าชิงหลงจะมีแผนการอะไรบางอย่างถึงได้ปล่อยเซินหมิงเฟิ่งหลุดมือไปพร้อมคิมหันต์

   “อาหารเช้า” เขากล่าวลอย ๆ ทุกคนจึงรีบกุลีกุจอไปนำอาหารเช้าที่แม่บ้านนำมาส่งเมื่อครู่เข็นมาให้เจ้านาย

   ชิงหลงนั่งละเลียดอาหารอิตาเลียนอย่างช้า ๆ ไม่เร่งร้อนจนกระทั่งอิ่มดีแล้วจึงดื่มน้ำ เช็ดริมฝีปาก แล้วลุกขึ้นยืนจัดเสื้อก่อนจะกล่าวกับผู้ติดตามคนหนึ่ง

   “ต่อสายหาโจเซ มอเรสซาเร”

   “ค...ครับ” แม้จะกังขาต่อคำสั่งว่าเหตุใดเจ้านายของตนจึงให้โทรไปหาดอนมอเรสซาเรในตอนนี้ทั้งที่เซินหมิงเฟิ่งไม่น่าจะถูกคนของมอเรสซาเรพาตัวไป หรือว่านี่จะเป็นปัญหาที่เจ้านายของเขาไม่อาจแก้ไขด้วยตัวเองได้ หากเป็นเช่นนั้นชิงหลงน่าจะดูร้อนรนมากกว่านี้หลายเท่า แต่ชายหนุ่มก็กดเอร์โทรศัท์เพื่อต่อสายไปยังโทรศัพท์มือถือของโจเซ มอเรสซาเรโดยตรง

   ชิงหลงยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือที่ผู้ติดตามส่งต่อมาให้ ฟังเสียงรอสายอยู่ไม่นาน โจเซก็กรอกเสียงตอบรับกลับมา

   “ไงเวย์ นายคงมีเรื่องเซอร์ไพรซ์แน่ถึงได้เป็นฝ่ายโทรมาหาฉันก่อนทั้งที่ก่อนหน้านั้นนายบังคับให้ฉันหางานทำจนไม่ว่างไปไหนเมื่อวานนี้” เสียงของโจเซดูสบาย ๆ ไม่ได้เหมือนคนที่ทำงานไม่ได้พักผ่อนและไม่มีเวลาว่างอย่างที่ปากว่ามาเลยสักนิด

   “ฉันมีปัญหานิดหน่อยอยากให้นายช่วย เซอร์ไพรซ์ไหม?”

   “นั่นมันยิ่งกว่าเซอร์ไพรซ์อีก” โจเซหัวเราะ “อย่ามาโกหกฉันหน่อยเลย นายน่ะเหรอมีปัญหาอยากให้ฉันช่วย เสียงนายเรียบสนิทแบบนั้นเหมือนทุกอย่างเป็นไปตามแผนเสียมากกว่า”

   หากให้ชิงหลงพูดว่าใครคือคนที่รู้ใจเขาที่สุด เขาคงจะเลือกไม่ถูกระหว่างไป๋หู่กับโจเซ

   “อย่าทำเป็นรู้ดี” ชิงหลงว่า “ฉันให้นายเลือกว่านายจะมาที่นี่หรือให้ฉันไปหา”

   “เป็นครั้งแรกเลยนะที่นายให้ฉันเป็นคนเลือกแบบนี้” โจเซตอบกลับไป “เอาเป็นว่าฉันกำลังว่าง ฉันก็เลยจะเป็นฝ่ายไปหานายเองก็แล้วกัน”

   “ก็ดี แล้วเจอกัน”

   ชิงหลงตัดสายโทรศัพท์แล้วส่งคืนให้ผู้ติดตามถือไว้

   “อีกเดี๋ยวดอนมอเรสซาเรจะมา เตรียมตัวต้อนรับเขาด้วย” หลังจากสั่งจบ ชิงหลงก็โบกมือให้ทุกคนออกไปจากห้อง

   ผู้ติดตามแต่ละคนต่างรู้ว่าหากชิงหลงไม่ต้องการจะพูด ถึงจะทู่ซี้อย่างไรก็เปล่าประโยชน์ จึงพากันทยอยเดินออกไปจนกระทั่งห้องว่างเปล่า คนสุดท้ายปิดประตูลง ทิ้งให้ชิงหลงอยู่คนเดียวตามต้องการเพราะเจ้าตัวไม่ได้เรียกใครเอาไว้คุยต่อ

   ชิงหลงปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ เฝ้ารอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหน้าห้องทั้งหลายสงบลงจึงเดินไปที่ห้องต่างและทอดสายตาออกไปภายนอก

   หากเขาเดาไม่ผิด ทางฝ่ายนั้นจะต้องอยากรู้แน่ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น และต้องส่งคนมาเฝ้าดูอย่างไม่ต้องสงสัย รวมทั้งฝั่งของโจเซด้วย

   เป็นความต้องการของเขาที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของสายตาเหล่านั้นให้ไปทางโจเซจึงตั้งใจเรียกโจเซออกมาหาและเลือกจะเป็นฝ่ายที่ไม่ปรากฏตัว ไม่รู้ว่าโจเซรู้จุดประสงค์นั้นหรือไม่จึงได้เลือกที่จะออกมาหาเขาเอง หรือไม่ก็คงจะแค่ความบังเอิญ

   เมื่อมองจากมุมนี้ แม้จะเป็นชิงหลงก็ยากจะระบุว่าใครเป็นคนธรรมดาหรือคนที่มาสอดแนม

   ชิงหลงมองลงไปจากหน้าต่างบานกว้าง เห็นแต่ผู้คนเดินขวักไขว่และบางอาชีพที่ทำงานบนท้องถนน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนของแต่ละชีวิตจึงไม่น่าแปลกที่พื้นด้านล่างจะเต็มไปด้วยคลื่นของฝูงชน กระทั่งรถราก็ยังติดกันเป็นทิวแถวสลับสีสันสารพัดตามแต่รสนิยมของแต่ละคน ทั้งที่เวนิสเป็นเมืองที่การจราจรด้วยเรือเป็นที่นิยมมากกว่ารถ กระนั้นรถก็ยังเป็นยานพาหนะสำคัญที่พบได้ในทุกเมืองที่เจริญแล้วของโลก ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องสะดวกสำหรับอาชีพอย่างพวกเขา เพราะคงไม่มีมาเฟียคนไหนอยากไปนั่งเรือล่อกระสุนปืนจากยอดตึก

   ดูจากการจราจรแล้ว โจเซคงไม่ออกมาบนถนนตอนนี้แน่

   ชิงหลงเหลือบตามองนาฬิกา อีกไม่นานทุกคนก็จะเข้างานกันหมด แล้วถนนก็จะโล่งผิดกับคลองสายต่าง ๆ ในเวนิสที่นักท่องเที่ยวต้องการใช้บริการเรือกอนโดลาแทบจะตลอดเวลา

   เขาเดินกลับไปที่เก้าอี้ นั่งลงและเปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลา จนกระทั่งถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ยังไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ กับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ ความจริงแล้วทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เป็นไปอย่างที่เขาคาดการณ์อย่างดีจนไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย

   หลังจากราว ๆ ชั่วโมงครึ่งผ่านไป ชิงหลงก็วางหนังสือลง ประจวบเหมาะกับการเคาะประตูเรียก

   “ท่านชิงหลง ดอนมอเรสซาเรมาถึงแล้วครับ”

   “ให้เขาเข้ามาเลย”

   สิ้นคำตอบรับ ประตูก็เปิดออกตามด้วยร่างสูงในเสื้อโค้ทยาว ผ้าพันคอเส้นยาวคล้องเอาไว้หลวม ๆ และแว่นกันแดดสีชาที่ดูเข้าสมัยรับผมเรือนผมสีทอง โจเซในตอนนี้ก็เหมือนกับทุก ๆ วัน เหมือนกับนายแบบโฆษณาหรือเสื้อผ้าแฟชั่นมากกว่าเจ้าพ่อมาเฟีย กระทั่งการกระทำของเขาที่ดึงแว่นออกด้วยการปาดมือไปด้านข้างและพับมันเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนแย้มยิ้มนั่นก็ด้วย

   “เสียใจด้วยนะโจเซ วันนี้คุณเซินกับคิมหันต์ไม่อยู่ทั้งคู่ ถึงนายจะบรรจงแต่งตัวไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก” ชิงหลงว่าแล้วผายมือให้โจเซนั่งลงก่อนจะพยักหน้าให้คนของตนเองปิดประตู

   “แย่จังเลยนะ” โจเซหัวเราะเบา ๆ แล้วถอดโค้ทออกพาดกับเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวยาวด้วยท่าสบาย ๆ เหมือนบ้านตัวเอง “สงสัยเจ้านกน้อยของนายจะโดนใครบางคนจับตัวไปซะแล้วล่ะมั้ง แถมยังพ่วงคนดูแลนกของนายไปด้วยนี่สิ”

   “นายท่าทางจะรู้อะไรดี ๆ นะ” ชิงหลงเลิกคิ้วมอง

   “ก็ไม่รู้มากหรอก ก็แค่ได้ยินว่าคนของนายหายไป แบบว่าออกไปแล้วไม่ได้กลับมา พวกเขาสงสัยว่านายกำจัดเขาไปแล้วหรือว่าคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่”

   คนของมอเรสซาเรคอยเฝ้าอยู่รอบ ๆ โรงแรม พวกเขาต้องเห็นแน่นอนอยู่แล้วว่าเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ออกไปข้างนอก ตามด้วยการ์ดที่คอยดูอยู่ห่าง ๆ แต่จนถึงวันรุ่งขึ้น บุคคลทั้งสองกลับไม่ได้กลับมา มีแต่การ์ดที่ออกไปเท่านั้นที่กลับเข้ามา จึงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก หากพวกคนของมอเรสซาเรจะเกิดสงสัยเช่นนี้และถามกันปากต่อปากจนไปถึงหูของโจเซได้

   “แล้วนายคิดยังไง?” ชิงหลงถามลองเชิง

   “ฉันคิดว่า นายกำลังวางแผนอะไรแปลก ๆ อยู่แน่”

   “แผนแปลก ๆ นั่นเป็นคำพูดที่หยาบคายเอาเรื่องเลยนะ” ถึงจะว่าอย่างนั้น ชิงหลงกลับไม่ได้แฝงแววความโกรธเคืองใด ๆ เลย

   “มันคือคำชมต่างหาก” โจเซว่าก่อนจะหัวเราะออกมาอีก “เอาล่ะ นายมีอะไรจะบอกฉันก็บอกมาเลย ฉันเตรียมใจรับความแปลกใจทุกอย่างแล้ว” หลังจากพูดเช่นนั้น โจเซก็เอนตัวพิงพนักพลางผายมือเปิดทางให้ชิงหลงพูดสิ่งใดก็ตามที่เจ้าตัวคิดว่าสำคัญพอจะเรียกเขาออกมาข้างนอกได้

   “มันจะทำให้นายลำบากเกินไปหรือเปล่า ถ้าฉันจะบอกว่าอยากให้นายทำเป็นร้อนใจกับเรื่องนี้จนนั่งไม่ติดและเรียกให้คนสืบหาต้นตอของสิ่งที่เกิดขึ้น”

   โจเซมุ่นคิ้วทันที

   “นายกำลังทำให้ฉันล้ำเส้นตัวเองนะ”

   เขาเคยพูดเอาไว้ชัดเจนว่า สิ่งใดที่ชิงหลงทำในเขตของเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาตราบใดที่สิ่งนั้นไม่มีผลได้หรือเสียต่อมอเรสซาเรแฟมิลี การที่ให้เขาทำตัวร้อนรนกับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่ง จะทำให้คนทั่วไปมองว่าสิ่งที่ชิงหลงทำในตอนนี้และเกี่ยวข้องกับเซินหมิงเฟิ่งนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของเขาและมีผลต่อมอเรสซาเรแฟลิมีในทางตรงหรือทางอ้อม เรื่องนั้นจะนำปัญหามาให้เขาอย่างแน่นอน พวกแฟมิลีพันธมิตรและพวกที่ทำงานให้อาจจะคิดว่าเขาก้มหัวให้กับมาเฟียฮ่องกง

   “ฉันไม่ได้บังคับให้นายผิดคำตัวเอง” ชิงหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันมีทางออกของฉันอยู่แล้ว และไม่ทำให้มอเรสซาเรได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น”

   “แล้วฉันจะทำอย่างนั้นให้นายไปทำไมกัน” โจเซเลิกคิ้ว

   “เพราะฉันคิดว่านายคงอยากจะปั่นหัวคนเล่นเหมือนกับฉัน” ชิงหลงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสบายขึ้นแล้วเอนตัวไปด้านหลัง

   “แค่นั้นเองหรือ? ไหนบอกฉันหน่อยสิเวย์ คนที่นายอยากปั่นหัวคือคนที่พาตัวนกน้อยของนายไป หรือตัวนกน้อยของนายเอง”

   เมื่อโจเซถามเช่นนั้น ชิงหลงก็เผยรอยยิ้มลึกลับออกมาแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปสู่ใบหน้านิ่งสงบเช่นเดิม
   “เรื่องนั้นนายน่าจะลองดูผลเอาเอง” ชิงหลงตัดสินใจตอบคลุมเครือ

   “นายรู้ตัวไหมว่านายมันนิสัยแย่”

   “ใช่ ฉันรู้ แต่นายก็ยอมฉันไม่ใช่หรือยังไง?”

   โจเซหัวเราะร่า จะว่าไปตอนเด็ก ๆ ที่ชิงหลงชวนเขาเล่นอะไรบางอย่างแผลง ๆ ไม่สมนิสัยเจ้าตัว เขาก็มักจะตามใจอีกฝ่ายทุกที กระทั่งโตแล้วเขาก็ยังต้องยอมลูกพี่ลูกน้องคนนี้เหมือนเดิม พอได้อยู่กับคนที่คาดเดาได้ยากแบบนี้แล้ว เหมือนว่าอะไรรอบตัวก็น่าสนุกไปเสียหมด

   “เอาล่ะ ก็ได้ แต่ฉันไม่เสียเวลากับนายฟรี ๆ หรอกนะ”

   “ฉันก็ไม่ได้คิดจะรบกวนนายฟรี ๆ หรอก”

   “แปลว่านายเตรียมของขวัญให้ฉันแล้วล่ะสิ” โจเซเลิกคิ้วพลางถาม

   “และนายจะคิดว่าคุ้มค่า”

   ด้วยถ้อยคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนั้น ทำให้โจเซยอมคล้อยตามในที่สุด แม้เขาจะแน่ใจว่าถึงตัวเองจะไม่คล้อยตามในตอนนี้ ชิงหลงก็จะหาวิธีที่ทำให้เขาคล้อยตามได้อยู่ดี ลูกพี่ลูกน้องของเขาบทจะดื้อดึงขึ้นมาใครก็เอาชนะความดื้อดึงนั้นได้ยาก

   “ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาว่านายวางแผนยังไงต่อไป” โจเซตอบรับและคอยฟังว่าชิงหลงคิดจะทำอย่างไรหลังจากนี้

TBC

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
«ตอบ #88 เมื่อ16-02-2012 19:21:00 »

อร๊ายยย ผู้ชาย 2 คนนี้คุยอะไรกัน อิฉันไม่รู้เรื่อง :z3:
นกน้อยกะคนดูแลนกโดนมาเฟียจับตัวไปน๊า
เล่นสนุกอะไรกัน สงสารมินมินโดนลักพาตัวซับซ้อน

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
«ตอบ #89 เมื่อ16-02-2012 19:30:52 »

อ๊า เรื่องมันลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน
ไม่รู้อะไรเลยง่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด