-14-
ผู้มาเยือนคนใหม่สร้างความประหลาดใจให้กับเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์เป็นอย่างมาก รวมไปถึงความหวาดระแวงซึ่งทับถมมาจากการโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจหลายต่อหลายครั้ง ทั้งสองจึงทำได้เพียงจด ๆ จ้อง ๆ ผู้มาใหม่ด้วยความสงสัยคลางแคลงใจว่าจะเป็นแผนการตบตาของราฟาเอลหรือไม่ กระนั้น สมาชิกใหม่ของห้องขังก็ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใด ๆ รวมถึงความเป็นมิตรก็ไม่มีเช่นกัน เจ้าตัวเพียงปัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและทอดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างเงียบ ๆ ก่อนที่นัยน์ตาคู่นั้นจะหยุดลงที่บุคคลทั้งสองซึ่งอยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว
“ดูเหมือนพวกคุณก็จะถูกเอาตัวมาขังไว้เหมือนกันสินะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางขยับเนคไท แต่เพราะเป็นภาษาอิตาเลียน ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์จึงไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ผู้พูดจึงกล่าวซ้ำอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลที่สุด
“ครับ...คิดว่าแบบนั้น คุณเป็นใครกัน?” เซินหมิงเฟิ่งพิจารณาอีกฝ่ายพลางเอ่ยถาม
“ผมเป็นคนของดอนมอเรสซาเร” เขาคิดว่าหากจะผูกสัมพันธ์กับสองคนนี้คงจะต้องแนะนำตัวกันไว้ก่อน ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นความสำคัญของมันมากนัก ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ได้บอกชื่อของตนออกไป เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่พบเจอกันเพียงผ่าน ๆ จะรู้ชื่อเสียงเรียงนามไปทำไม
“ดอนมอเรสซาเร? คุณโจเซ?”
วิธีเรียกของเซินหมิงเฟิ่งเรียกให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“รู้จักด้วยหรือครับ?”
“ครับ...ผมเป็นคนของชิงหลง เห็นว่าเป็นญาติกับคุณโจเซ” เซินหมิงเฟิ่งจำต้องโป้ปดไปก่อน เพราะหากไม่พูดอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้จะแนะนำตัวว่าตนเองอยู่ในฐานะไหน จากนั้นจึงหันไปแนะนำคิมหันต์ “ส่วนทางนี้เป็นการ์ดที่ชิงหลงสั่งให้มาดูแลผมน่ะครับ”
เมื่อได้ยินว่าการ์ด ดวงตาของชายหนุ่มชาวอิตาเลียนก็มีประกายความสงสัยขึ้นมาวูบหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้ว หากคนที่ถูกคุ้มครองโดนจับตัวมา การ์ดควรจะสู้จนสุดชีวิตซึ่งน่าจะบาดเจ็บสาหัสหรือตาย แต่สภาพการ์ดคนนี้กลับไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น มีเพียงแค่แผลฟกช้ำในบางจุดเท่านั้นเอง
“การ์ดของชิงหลงหละหลวมกว่าที่คิดไว้นะครับ” เจ้าตัวกล่าวคำปรามาสด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท และเพราะกล่าวด้วยสำเนียงอย่างตะวันตกแท้และพูดรัวเร็ว คิมหันต์จึงฟังอีกฝ่ายไม่ค่อยถนัดนัก และแม้เซินหมิงเฟิ่งจะเข้าใจ ก็ไม่อยากจะแปลให้ผู้รับสารฟัง ส่วนชายหนุ่มผู้พูดก็ไม่ได้สนใจจะฟังคำแก้ตัวหรือคำอธิบาย เขาเดินวนรอบ ๆ ห้องและมองไปยังช่องเปิดเล็ก ๆ ซึ่งมีตะแกรงปิดอยู่ แน่นอนว่ามันใช้ออกไปข้างนอกไม่ได้แน่ ๆ แต่ก็น่าจะพอให้เห็นภายนอกได้ เขาจึงเดินไปลากโซฟาตัวหนึ่งเพื่อต่อขาตัวเองให้ถึงช่องนั้น
“ทำอะไรน่ะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถาม
“ผมอยากจะมองผ่านตรงนั้น” เขาชี้ไปยังช่องเล็ก ๆ
“มันสูงเกินไป ผมเคยลองแล้ว” ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะสูงกว่าเขา เซินหมิงเฟิ่งก็ยังมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางจะเขย่งถึง เพราะเจ้าตัวสูงกว่าเขาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ช่วยผมหน่อย” ชายหนุ่มจัดโซฟาในตำแหน่งที่เหมาะสม “การ์ดของคุณน่าจะแข็งแรงมากพอจะยกผมขึ้นไปได้”
เซินหมิงเฟิ่งหันไปทางคิมหันต์ซึ่งยังไม่เข้าในสถานการณ์
“ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำไปทำไม” แน่นอนว่าวิธีนี้เขาก็เคยลองแล้วเช่นกัน และเขาก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะมองออกไปข้างนอกที่มีแต่สวนว่างเปล่าและการ์ดเดินไปเดินมา
“แต่ผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และถ้าคุณจะมัวแต่ถามแบบนี้ คุณน่าจะช่วยผมหาทางออกไปจากที่นี่ด้วยกัน” ชายหนุ่มว่าพลางกลอกตา เขาไม่เข้าใจเลยว่าคนตะวันออกจะคิดแล้วลงมือทำไม่ได้หรือ ทำไมถึงต้องมีคำถามลูกโซ่แล้วไม่ลงมือทำอยู่เสมอ
เซินหมิงเฟิ่งส่ายศีรษะ รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำสิ่งที่เปล่าประโยชน์ แต่บางที ผู้ชายคนนี้อาจจะมีความคิดดี ๆ จริงก็เป็นได้ พวกเขาเองถูกจับตัวมาโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย และถูกกักขังเสียจนเฉื่อยชาแทบไม่เหลือความรู้สึกอยากจะดิ้นรน แต่คน ๆ นี้เป็นคนของมอเรสซาเร และเพิ่งจะถูกกักตัว น่าจะยังมีพลังงานเหลือมากพอจะคิดหาทางหนีได้ดีกว่าพวกเขา
เซินหมิงเฟิ่งหันกลับไปทางคิมหันต์อีกครั้ง
“คุณคิมหันต์ ช่วยยกตัวเขาขึ้นไปหน่อยนะครับ”
คิมหันต์ได้ยินเช่นนั้นจึงพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง เขาเดินไปที่โซฟาแล้วถอดรองเท้าขึ้นไปยืน ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนที่ไม่ยอมบอกชื่อของตนปีนพนักโซฟาตามขึ้นไปเพื่อให้อีกฝ่ายอุ้มตนง่ายขึ้น ก่อนที่แขนของคิมหันต์จะโอบรอบสะโพกแล้วยกตัวขึ้นไป ส่วนสูงของคิมหันต์อาจไม่มากนักเมื่อเทียบกับคนตะวันตก แต่ตัวชายหนุ่มเองก็เป็นคนตะวันตกเชื้อสายละตินขนาดตัวจึงไม่ค่อยต่างกัน ทำให้เรี่ยวแรงของคิมหันต์สามารถยกตัวเขาขึ้นไปได้ แม้จะทุลักทุเลอยู่สักนิดก็ตามที
ถึงอย่างนั้นก็เป็นโชคของพวกเขาที่ความสูงของช่องระบายอากาศนั้นพอดีกับระดับสายตาของชายหนุ่มในขณะนี้
“ฝั่งตรมข้ามคืออาคารหลักสินะครับ”
“ผมไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนผมถูกจับมาผมก็รู้สึกตัวในห้องใต้ดิน ส่วนอื่นในบ้านหลังนี้น่ะ ผมไม่เคยเห็นเลย” เซินหมิงเฟิ่งตอบตามจริง เพราะเมื่อออกมาจากห้องใต้ดิน เขาก็ถูกพาตัวเข้ามาที่นี่ แม้แต่ช่วงเสี้ยววินาทีที่จะสัมผัสแสงอาทิตย์ยังแทบไม่มี
“อย่างนั้นหรือครับ” เขาไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะใคร ๆ ก็คงไม่อยากให้คนที่ถูกจับมารู้ว่าภายนอกเป็นอย่างไร เพราะอาจจะหาทางหนีได้
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปรอบ ๆ เท่าที่กรอบของช่องระบายอากาศจะอำนวย
“คงจะไม่ผิด” เขาพึมพำกับตัวเอง
“อะไรหรือครับ?” คิมหันต์ได้ยินเสียงพึมพำเลยเงยหน้าขึ้นถาม
“ผมเห็นทางเดินที่ผมใช้เดินเข้าไปในตัวบ้าน แสดงว่านั่นคืออาคารหลักไม่ผิดแน่ และถ้ามีแขกมา เขาก็จะต้องเดินผ่านทางนั้น” ชายหนุ่มว่าจบก็เลื่อนมือลงมาตบบ่าคิมหันต์เพื่อบอกว่าตนเองดูจนพอแล้ว คิมหันต์จึงปล่อยอีกฝ่ายลงแล้วพรูลมหายใจออกมา
เพราะตั้งแต่ถูกขังเขาจึงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือกินอาหารที่เหมาะสม เรี่ยวแรงของเขาจึงหดหายไปหลายส่วน
“แปลว่าคุณคิดอะไรออกแล้ว?” เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วถาม
“จะว่าคิดออกก็ไม่เชิง ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกคาดการณ์เอาไว้แล้วมากกว่า” ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างระอาใจ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคาดล่ะก็ พอถึงพรุ่งนี้เช้า....”
“อาหารมาแล้ว” ชายหนุ่มไม่ทันจะพูดจบ เสียงจากภายนอกก็ขัดจังหวะเสียก่อนทำให้การสนทนาต้องหยุดชะงักพร้อมกับเสียงกุญแจกอกแกก
ประตูเปิดออกพร้อมผู้ชายวัยฉกรรจ์หลายคนและรถเข็นอาหาร
“เอ๋ มีคนมาเพิ่มตอนไหนน่ะ?” คนที่เข้ามาส่งอาหารดูจะแปลกใจที่พบว่ามีคนเพิ่มเข้ามาในห้องอีกหนึ่งคน ทั้งที่วันก่อนก็ยังมีสองคนตามปกติ ครั้นจะคิดว่ามีคนมุดเพิ่มเข้ามาทางซอกไหนก็คงไม่ใช่ เพราะหากจะมุดเข้ามาเพื่อถูกขัง...มุดหนีออกไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“เพิ่มวันนี้แหละ เจ้านี่พยายามจะแอบเข้ามาช่วยสองคนนี้ก็เลยขังไว้ด้วยกันซะเลย” ราฟาเอลเข้ามาแก้ต่างโดยไม่ยอมให้ทั้งสามมีโอกาสแก้ตัวใด ๆ เขาดันรถเข็นไปไว้ในห้องแล้วดึงคนอื่น ๆ ออกไปข้างนอกโดยพยายามไม่แสดงท่าทีมีพิรุธ
“เฮ้ย แล้วได้บอกคุณอาติโนหรือยัง!?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น...คำโกหกที่เริ่มแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่สามารถหยุดมันได้ มีแต่ต้องโกหกต่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานหรอก ฉันจัดการเองได้” ราฟาเอลยืนยันหนักแน่นเพื่อให้คนอื่น ๆ เลิกสงสัย เพราะเขาไม่อยากจะโกหกไปมากกว่านี้ และเขารู้ดีว่า การพูดความจริงออกไปในตอนนี้ก็ไม่อาจช่วยให้อะไรดีขึ้นได้ สิ่งที่เขาทำก็เพื่ออาติโน เขาเชื่อมั่นเช่นนั้น เพราะหากผู้ชายคนนี้หลุดออกไปได้ เรื่องที่อาติโนลักพาตัวคนของชิงหลงมาก็จะถูกเปิดเผย และอาจจะเดือดร้อน
--------------------->
“เป็นไปตามที่นายคิดทุกอย่างเลยนะชิงหลง” โจเซว่าพลางมองนาฬิกา ซึ่งเย็นค่ำแล้วคนของเขาที่ถูกส่งตัวไปก็ยังไม่กลับมา บางทีคงจะถูกจับไปด้วยกันแล้ว “นายรู้ได้ยังไงว่าทางนั้นจะไม่ยอมปล่อยตัวกลับ อาติโนปกติไม่ใช่คนโง่แบบนั้นหรอกนะ”
“ไม่หรอก ความจริงแล้วมันเป็นแค่เรื่องที่ฉันเผื่อเอาไว้ การที่เป็นไปตามนั้นค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของฉัน แปลว่าอาติโนมีคนข้างกายที่ไม่ค่อยฉลาดเฉลียวนักและอายุยังน้อยจึงไม่มีประสบการณ์การรับมือกับการแทรกแซงด้วยปัจจัยภายนอกโดยไม่ทันคาดคิด” ชิงหลงว่าพลางมองดูประวัติ ราฟาเอล จอร์จิโอ คนสนิทของอาติโน บราซินี คน ๆ นี้เป็นคนซื่อตรงและคาดการณ์ง่าย ประสบการณ์ในวงการยังน้อย จึงไม่น่าแปลกหากจะรับมือกับแผนการของเขาได้ยากสักหน่อย
ดอนบราซินีเจองานหนักเพราะคนของตัวเองเสียแล้วสิงานนี้
ชิงหลงเดินไปนั่งลงบนโซฟา ยกขาไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์
ความจริงแล้วหากสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างนี้ พวกเขาคงทำได้แค่สงสัยอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีหลักฐาน ความเลือดร้อนด่วนตัดสินใจของราฟาเอล จอร์จิโอทำให้พวกเขามีข้ออ้างที่หนักแน่นขึ้นที่จะไปเยี่ยมเยียนดอนบราซินีตามกำหนดการณ์ในวันพรุ่งนี้
“นายแน่ใจนะว่าเสร็จงานนี้นายจะยอมแลกเปลี่ยนอย่างนั้นจริง ๆ” โจเซเลื่อนสายตาไปมองญาติผู้น้องของตนซึ่งดูสุขุมเยือกเย็นอย่างเคย
“ทำไมจะไม่ล่ะ?” ชายหนุ่มชาวฮ่องกงเลิกคิ้วพลางเปิดแผ่นกระดาษในมือไปอีกหน้าแล้วอ่านทบทวนไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าเรื่องราวประวัติของผู้อื่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจจนอ่านซ้ำได้ไม่มีเบื่อ
“นายเริ่มจะทำตัวเหมือนมังกรจริง ๆ แล้ว รู้ตัวหรือเปล่า?”
“ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด”
โจเซเผยรอยยิ้มกึ่งจะไม่เต็มใจอยู่นิด ๆ
“เจ้าคนเลือดเย็น”
“ฉันคิดว่ามันเป็นคุณสมบัติที่ออกจะเกินตัวฉันไปเสียหน่อย” ชิงหลงเหลือบสายตาขึ้นมองญาติผู้พี่แล้ววางปึกกระดาษในมือลงบนโต๊ะ “แต่ฉันจะรับไว้ในฐานะคำชม”
“เฮ้อ เอาเถอะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมารับตอนเช้าก็แล้วกัน” โจเซว่าพลางลุกขึ้น บิดตัวนิดหน่อยแก้เมื่อยขบ แล้วเดินออกไปพร้อมลูกน้องที่พามาด้วยและรออยู่ข้างนอก ชิงหลงรอจนกระทั่งอีกฝ่ายออกไปจากห้องแล้ว จึงผ่อนลมหายใจออกมา
เลือดเย็นหรือ?
นั่นเป็นคำที่ผู้คนใช้ขนานนามให้กับเขา ใช้เรียกแทนตัวเขา ซึ่งในความเป็นจริงเขาเองก็คิดว่าตนเองเป็นเช่นนั้นจึงไม่คิดจะแก้ตัวใด ๆ
แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกที่เขาอาศัยอยู่ การจะต้องสละบางสิ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ วันราวกับกิจวัตร จนเขาชินชากับการเสียบางอย่างไปเพื่อแลกบางอย่างมา หรือกระทั่งการทำลายชีวิตใครบางคนเพื่อองค์กรของตนเอง แต่ว่าคน ๆ นั้นกลับแตกต่างกัน คนที่เกิดมาในโลกเดียวกับเขา ในฐานะเดียวกับเขา แต่เติบในสถาวะแวดล้อมที่ไม่เหมือนกับเขา
คนที่ได้มีความสุขอย่างคนธรรมดาสามัญ...ด้วยการแยกชิงบางสิ่งบางอย่างของเขาไป
ตอนนี้ก็แค่เวลาที่จะต้องเอาคืน หรือว่า...เวลาที่เขาจะได้เรียนรู้การเป็นคนธรรมดาสักครั้งในชีวิตกันแน่
การที่เซินหมิงเฟิ่งมีตำแหน่งค้ำตัวเองอยู่ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้มากนัก นอกจากฝ่ายนั้นจะยินยอมร่วมมือด้วยในบางกรณี กระนั้น เขาเองก็มีวิธีอีกมากมายที่จะทำให้ผู้ชายคนนั้นรับรู้ถึงความรู้สึกที่ตัวเขาต้องเผชิญในวัยเยาว์
นี่ก็เป็นแค่...แผนการอีกขั้นเท่านั้น ถึงแม้มันจะทำให้เขาได้รับฉายาเลือดเย็นตอกย้ำกลับมาก็ตาม
------------------->
เซินหมิงเฟิ่งมองดูผู้ชายแปลกหน้าที่ตอนนี้หน้าไม่แปลกแล้วอย่างเบื่อหน่าย เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองนาฬิกาแทบจะตลอดเวลาเหมือนกับกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ สมาธิเจ้าตัวท่าจะดีมาก เพราะไม่ว่าเขากับคิมหันต์จะทำอะไรก็ไม่สามารถหันเหความสนใจจากนาฬิกาข้อมือได้เลย จนเซินหมิงเฟิ่งเริ่มนึกสงสัยว่านาฬิกาเรือนนั้นความจริงเป็นเครื่องมือสะกดจิตหรือเปล่า
“ถึงคุณจะมองมันจนทะลุ มันก็ไม่มีทางเปิดเป็นรูหนอนให้เรามุดออกไปได้หรอกนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าว แม้ว่ามันควรจะเป็นข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายควรรู้อยู่แล้วก็ตาม
“แต่ถ้ามันเป็นเครื่องมือสื่อสาร ก็มีความเป็นไปได้นะครับ” คิมหันต์กระซิบพลางลอบมองชายหนุ่มที่ยังมองนาฬิกาอยู่
“เสียใจด้วยนะครับ มันไม่ใช่หรอก” ชายหนุ่มเงยหน้าจากหน้าปัดแล้วกล่าวตอบข้อสงสัย
ถ้าอย่างนั้นจะมองมันทำไมกัน!?
ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์คิดขึ้นมาพร้อมกัน
“คุณไม่คิดจะแนะนำชื่อหน่อยหรือ? ไหน ๆ ก็ต้องมาอยู่ด้วยกันตั้งนานแล้วแถมไม่รู้ว่าจะได้ออกไปเมื่อไหร่” เซินหมิงเฟิ่งหาเรื่องชวนคุย
“ในความเป็นจริงคือเราอยู่ด้วยกันมา 21 ชั่วโมง 8 นาที และอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้เราคงจะไม่ได้เจอกันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าเราควรจะแนะนำตัวให้รู้จักชื่อแซ่กันหรือเปล่า” ชายหนุ่มว่าก่อนจะโคลงหัวเล็กน้อย “แต่หากคุณอยากรู้ ผมก็บอกได้ เพราะชื่อของผมไม่ได้เป็นความลับอะไร แต่ว่าตอนนี้คงยังไม่เหมาะ เพราะผมต้องขอให้คุณยกผมขึ้นไปที่ช่องนั้นอีกครั้ง”
หา?
“เมื่อวานคุณก็ขึ้นไปแล้วนี่ครับ มันไม่มีอะไรเลย” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ ความจริงแล้วใจเขาตอนนี้รู้สึกสิ้นหวังอย่างมาก ถึงแม้จะพูดเล่นได้ก็จริง แต่เขาก็แค่พยายามจะทำใจให้ร่าเริงเท่านั้น และผู้ชายคนนี้ก็เหมือนจะทำให้เขามีความหวังขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่ามันก็แค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ บางที...ชิงหลงคงจะลืมเขาไปแล้ว หรือไม่ก็จงใจจะพาเขามาให้ถูกกักตัวแบบนี้แต่แรกเพื่อกำจัดเขาไปให้พ้นทาง ผู้ชายแผนสูงคนนั้นคงไม่คิดจะใยดีเขาเสียด้วยซ้ำ และคิมหันต์ก็ลูกลากมาติดร่างแหอย่างช่วยไม่ได้
“คุณแค่ไม่เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคุณก็เท่านั้น” ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนว่าแล้วหันไปหาคิมหันต์ “รบกวนหน่อยนะครับ”
“พอสักทีเถอะครับ!” เซินหมิงเฟิ่งร้องออกมา “ในเมื่อมันไม่มีทางออก ต่อให้ดิ้นรนยังไงก็ไม่มีเหมือนเดิม คุณจะปีนขึ้นไปอีกกี่ครั้งมันก็ยังเป็นแค่ช่องเล็ก ๆ ที่ทำอะไรกับมันไม่ได้”
“ถ้าคุณคิดแบบนั้น แปลว่าคุณจะนั่งรอเฉย ๆ หรือครับ?”
....
ใช่สิ...เพราะเขาเหนื่อยที่จะดิ้นรนแล้ว...
เซินหมิงเฟิ่งคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้ตอบออกไป เขาเพียงแค่ชักสีหน้าไม่พอใจแล้วเดินไปนั่งที่เตียง เขารู้สึกโกรธที่ถูกถามแบบนั้น เพราะเหมือนโดนตำหนิว่างอมืองอเท้าไม่ลุกขึ้นทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถเถียงอีกฝ่ายได้เลย เพราะตอนนี้เขาไม่ทำอะไรจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่วันไหน ที่เขาเลิกคิดที่จะหาทางหนี เลิกคิดที่จะเฝ้ารอความช่วยเหลือ และเลิกคาดหวัง
“จะทำอะไรก็ตามใจเถอะครับ”
“คุณท้อง่าย ๆ แบบนี้น่ะ ในวงการนี้มีอีกกี่ชีวิตก็ไม่พอหรอกนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวแล้วปีนขึ้นไปบนโซฟากับคิมหันต์ก่อนกวาดสายตามองไปยังทางเดินซึ่งเชื่อมกับอาคารหลัก ในตอนแรก สายตาของเขาก็เห็นเพียงวิวทิวทัศน์เดิม ๆ ทว่าในไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงของรถยนต์ก็แว่วเข้ามาในหู เสียงกริ่งเรียกคนในบ้าน และการจรลีออกไปต้อนรับผู้มาเยือนของการ์ด
เขานิ่วหน้าเล็กน้อยขณะมองนาฬิกา
“สายไป 3 นาทีนะครับ”
“เอ๋?” คิมหันต์นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายบ่นอะไร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา เจ้าตัวเพียงแค่พยายามจะขยับแขนอยู่บริเวณซี่กรงโดยไม่ยื่นออกไปข้างนอก ซึ่งคิมหันต์ก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการจะทำอะไร ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเขาไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายนอก
แต่ในสายตาของชายหนุ่มนั้นต่างกัน เขารู้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น และตอนนี้ เขากำลังพยายามหาทางหนีให้กับตัวเอง และอาจรวมถึงบุคคลทั้งสองที่อยู่ในห้องนี้ด้วย หากว่าเขาคาดเดาเรื่องเหล่านี้ได้ถูกต้องแม่นยำอย่างที่ควรจะเป็นถึงเขาจะได้รับข้อมูลมาไม่ครบถ้วนก็ตามที
กลับไปคราวนี้ เจ้านายกับเขามีเรื่องต้องคุยกันยาวแน่ ๆ
หลังจากพยายามทำกิริยาแบบเดิมสักพัก เขาก็รู้สึกว่าการส่งสัญญาณของตนเองน่าจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว จึงสะกิดบ่าให้คิมหันต์ปล่อยตัวเองลงไป
“ข้างนอกนั้นมีอะไรหรือครับ?” คิมหันต์เอ่ยถาม “เอ่อ...ช่วยตอบผมแบบช้า ๆ ด้วยนะครับ”
“เอาจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเราจะออกไปจากที่นี่ก่อนเที่ยง” คำพูดของชายหนุ่ม ตอนแรกคล้ายจะลอยผ่านหูพวกเขาไป ก่อนที่จะย้อนกลับมาคิดทบทวนประมวลผลอีกครั้ง ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์จึงได้รู้สึกตัวและผุดลุกขึ้นมาจากท่าปกติเหมือนจะเข้าไปเขย่าคอผู้พูดในวินาทีนั้นว่าที่กล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่ และจริงมากแค่ไหน
------------------->