-10-
“ไม่รู้ว่าพวกมอเรสซาเรคิดอะไรอยู่ แค่เรื่องให้คนฮ่องกงเข้ามามีส่วนในธุรกิจของแฟมิลีก็แย่พออยู่แล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องของครอบครัวถึงพอเข้าใจได้ แต่นี่...มาโดยไม่มีธุระอะไร ไม่รู้ว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า แถมทางนั้นยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ” ชายคนหนึ่งกล่าวอย่างเคร่งเครียดก่อนจะสูบซิการ์แล้วพ่นควันสีขุ่นออกมาเป็นพวย บ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดระคนอึดอัดใจของเจ้าตัวอย่างดี
“ส่งคนไปสอบถามกับดอนมอเรสซาเรแล้วหรือครับ?” ชายอีกคนถามกลับด้วยเสียงเรียบนิ่งเป็นงานเป็นการในขณะที่คนอื่นต่างก็วิจารณ์สิ่งที่เป็นหัวข้อด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“ดอนมอเรสซาเรบอกว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ทันทีที่ชายผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นั้นกล่าวออกมาสั้น ๆ เสียงเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ก็ดังจากรอบด้าน
“เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”
“นี่เขาไม่เห็นหัวเราแล้วหรือยังไงกัน!”
“พวกมอเรสซาเรชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”
“ต้องไปคุยกันให้รู้เรื่องแล้ว!”
คนทั้งห้องดูจะไม่พอใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ พวกเขาตีสีหน้าเคร่งเครียดใส่กัน ต่างก็พยายามหาเหตุผลของความไม่พอใจและหนทางการแก้ปัญหานี้จากคนที่ตนจ้องมองอยู่ ทว่าไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ดีและถูกใจใครได้ เพราะเรื่องนี้มีเพียงโจเซ มอเรสซาเร ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุด
“แล้วเราจะเอายังไง” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะวาดมือกลางอากาศแล้ววางลงบนที่เท้าแขนเช่นเดิม ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าไม่รู้ทางออกและต้องการคนชี้ทาง
“คงต้องถามจากดอนมอเรสซาเรให้รู้เรื่อง อเล็กซานโดรก็ออกตัวแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับแฟมิลีอีกต่อไป ดังนั้นเราก็เหลือแค่ทางเดียว”
“ไม่ เดี๋ยวก่อนสิ” อยู่ ๆ ก็มีเสียงคัดค้านจากฝั่งหนึ่งของโต๊ะ “พวกที่ส่งไปสอดแนมไม่ได้อะไรมาบ้างเลยหรือยังไงกัน?”
“เท่าที่ส่งข่าวมาคือ เจ้าชิงหลงนั่นเดินทางไปที่นั่นที่นี่บางที แต่ส่วนมากจะอยู่ที่โรงแรม แต่ที่น่าแปลกคือ จำนวนการ์ดที่ทิ้งไว้ที่โรงแรมมีมากผิดปกติ ไม่เหมือนแค่มาติดต่องานหรือพักผ่อน แต่จะต้องมีอะไรที่สำคัญอยู่ที่โรงแรมนั้นแน่ ๆ และชิงหลงกับโจเซกำลังปิดบังเราอยู่”
“เจ้าพวกนั้นคิดจะรวมหัวกันทำอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรือ?” เสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจเปล่งออกมาพร้อมเสียงหายใจหนักจากรอบด้าน
“เรายังสรุปแบบนั้นไม่ได้ ใจเย็นกันก่อนเถอะน่า” ในที่สุดก็มีเสียงปรามที่ขอให้ทุกคนใจเย็นลงหลังจากต่างฝ่ายต่างร้อนรนโดยไม่มีน้ำเย็นเข้าลูบเลย และเสียงปรามนั้นทำให้คนอื่น ๆ ที่กำลังอารมณ์ร้อนได้ที่ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจและกลับสู่สภาวะที่มีสติครบถ้วนกันอีกครั้ง
ในห้องเงียบ ๆ ที่ลอยคลุ้งไปด้วยควันซิการ์ดูน่ารำคาญ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาชั่วขณะหนึ่ง
“ตอนนี้ฉันอยากได้คำแนะนำดี ๆ จากใครสักคน” นั่นคือประโยคที่อยู่ในใจหลาย ๆ คน พวกเขาต่างรู้ว่าเป็นเรื่องโง่มากหากจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปล้วงเอาสิ่งที่โจเซ มอเรสซาเร กำลังคิดอยู่ออกมา ดีไม่ดี อาจจะมีปัญหากับทางมอเรสซาเรแฟมิลี่ก็เป็นได้ เพราะคงไม่มีใครชอบที่ถูกใช้กำลังข่มขู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีอำนาจเหนือกว่าใคร ๆ ในถิ่นที่ตนเองปกครอง
“ถ้าชิงหลงเก็บบางอย่างไว้ที่โรงแรมนั่น เราอาจจะต้องรู้ก่อนว่าเป็นอะไร”
“รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? เจ้านั่งคงไม่ได้เก็บระเบิดนิวเคลียร์ไว้หรอก”
“เราอาจจะรู้ว่าสองคนนั้นมีแผนอะไร ถ้าหากว่ามันเป็นอันตรายกับแฟมิลี่ของพวกเราและพวกเรารู้ตัวก่อน เราก็จะป้องกันได้ทัน อีกอย่าง เราจะมีข้ออ้างทำสงครามกับมอเรสซาเรแฟมิลีได้หากจำเป็น แฟมิลีอื่นจะต้องยอมร่วมกับเราแน่ ๆ”
“ทำสงครามกับมอเรสซาเร!?” เหมือนว่าถ้อยคำนี้จะไปกระทบใจหลาย ๆ คน พวกเขาต่างสูดหายใจเฮือก เพราะในความจริงแล้ว การทำสงครามระหว่างแฟมิลีเป็นเรื่องที่พวกเขาอยากหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหาย และสิ่งที่ได้กลับคืนมาก็ไม่คุ้มมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแข็งข้อกับแฟมิลีใหญ่เช่นนั้นยิ่งไม่น่ากระทำเลย
“อย่าเพิ่งตกใจกัน นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อเราทำอะไรไม่ได้แล้วเท่านั้น” เมื่อมีคนพูดแบบนั้นออกมา ก็มีเสียงถอนหายใจปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา
“นี่มันเลยยุคที่เราจะเอาปืนไปไล่ยิงกันกลางถนนแล้ว เราไม่ใช่มาเฟียยุค ’60 นี่มันยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยี อย่าพูดถึงเรื่องสงครามกันอีกเลยจะดีกว่า” เสียงเหนื่อยหน่ายเอ่ยค้านการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เพราะคำนั้นสามารถปลุกระดมจิตใจผู้คนที่กำลังฮึกเหิมได้อย่างดี หากมีใครแพร่งพรายออกไปโดยไม่ตั้งใจอาจจะเกิดผลที่ไม่คาดคิดตามมา อย่างดีก็แค่พวกชั้นล่างเข้าใจผิดกัน แต่ที่ร้ายที่สุดคือ หากมันไปเข้าหูของพวกมอเรสซาเร แล้วดอนคนปัจจุบันได้ยินเข้า อาจจะเกิดสงครามจริง ๆ ขึ้นมาก็เป็นได้
“ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องดูต่อไป เพราะพูดอะไรไปตอนนี้ก็เหมือนตีตนไปก่อนไข้”
“ยังไงก็เถอะ เจ้าชิงหลงนั่นก็ใช้อภิสิทธิ์ของมอเรสซาเรข้ามหน้าข้ามตาเราอยู่ในประเทศของเรา” ดูเหมือนประเด็นที่แท้จริงจะเพิ่งผุดออกมา นั่นคือไม่มีใครคิดว่าชิงหลงจะทำอะไรกับอิทธิพลของมาเฟียในอิตาลีได้ แต่พวกเขากำลังรู้สึกเหมือนโดนพวกผิวเหลืองเหยียบย่ำถิ่นทำกินโดยไม่ขออนุญาต
“ถ้าคิดจะสั่งสอน เอาแค่เบาะ ๆ ก็พอแล้วล่ะน่า”
พอไม่ใช่เรื่องทำสงครามระหว่างแฟมิลีหรือต้องเผชิญหน้ากับมอเรสซาเร บรรยากาศในห้องก็ดูจะผ่อนคลายมากขึ้นหลายเท่า
“ตอนนี้สังเกตการณ์ไปก่อนจะดีกว่า”
“หมายความว่าจะปล่อยให้มันทำตามใจชอบหรือไง?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คิดดูดี ๆ สิ เราไม่รู้ว่าเจ้านั่นคิดจะทำอะไรหรือกำลังวางแผนอะไรอยู่ แถมยังเป็นคนที่ระวังตัวตลอดเวลา ถ้าคิดจะสั่งสอน อย่างน้อยเราก็ควรจะจับจุดอ่อนของมันได้ใช่ไหมล่ะ?” คำอธิบายนั้นทำให้หลายคนเข้าใจไม่กล้าคัดค้าน เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็เป็นความจริง หากว่าไม่รู้จุดอ่อน ก็คงจะไม่สามารถจัดการคงแบบนั้นได้อยู่หมัด ยิ่งมีมอเรสซาเรหนุนหลังด้วยแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็สั่งคนของเราให้จับตาดูต่อไปก่อน”
“ให้พวกนั้นรายงานกลับมาเป็นระยะ ถ้าเจออะไรน่าสงสัยก็รายงานทันที”
“แต่ตามดูมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังไม่เห็นเจออะไรเลยนะ ฉันว่าส่งคนเข้าไปค้นโรงแรมมันเลยดีกว่า”
“ทำแบบนั้นเสี่ยงเกินไป อย่าลืมสิว่าชิงหลงทิ้งการ์ดไว้ที่โรงแรมมากกว่าปกติ แสดงว่าที่นั่นต้องมีของสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย เราแต่ต้องรอจังหวะเผลอเท่านั้น อย่าลืมสิว่าการถูกกดดันจับจ้องจะทำให้การระวังตัวสูงขึ้น ถ้าเราไม่ทำอะไร ปล่อยมันตามสบาย ก็จะเกิดการชะล่าใจ” สิ่งที่พูดออกมานั้นมีเหตุผลที่พอรับฟังได้ และกอปรกับในตอนนี้ไม่มีใครมีแผนการอื่น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเฝ้ารอจังหวะต่อไป อย่างไรก็ตาม พวกเขามั่นใจว่าจะต้องสั่นสอนชิงหลงแห่งฮ่องกงให้รู้ฤทธิ์มาเฟียอิตาลีบ้าง
------------------------------->
ความเงียบโรยตัวอยู่ในห้องสูทที่ตกแต่งอย่างเรียบร้อยเหมาะกับการใช้งานของบุคคลระดับสูง ชายหนุ่มชาวตะวันออกเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะช้า ๆ เป็นจังหวะมั่นคง ส่วนอีกสองคนที่อยู่ร่วมห้องนั้นมีสภาพอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างสบาย ๆ ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อน ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งตัวลีบอยู่บนโซฟาอีกตัว ซึ่งหากเขาสามารถขยับเข้าไปหากำแพงได้ เขาคงไม่ลังเลที่จะมุดเข้าไปในเนื้อปูน
เซินหมิงเฟิ่งกัดฟันกรอด ๆ จ้องเขม็งไปยังโจเซที่เขาเคยคิดว่าเป็นคนดีพอจะไว้ใจได้ ที่ไหนได้ เป็นตัวแสบอีกคนชัด ๆ
หลังจากที่เขาขอให้โจเซพูดกับชิงหลงให้ เจ้าตัวก็กลับไปก่อนจะกลับมาอีกครั้งหลังจากนั้นสามวัน ซึ่งเป็นวันที่ชิงหลงอยู่ที่ห้องและไม่มีธุระสำคัญให้ออกไปที่ไหน โจเซได้ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดและไม่อยากจะคิด นั่นคือ อยู่ ๆ โจเซก็จับตัวเขาเข้ามาในห้องของชิงหลง และบังคับให้นั่งตรงหน้าเจ้าของห้อง และพูดออกมาแค่ประโยคสั้น ๆ ว่า
“เฮ้ เวย์ นกน้อยของนายอยากออกจากกรงบ้างน่ะ”
ใช่ แค่ประโยคนั้น และความเงียบก็ครอบคลุมทุกอย่างจนเขารู้สึกขนหัวลุก สายตาเยียบเย็นที่จ้องมองเขากับโจเซอยู่มันทำให้เขารู้สึกอยากจะวิ่งออกไปตอนนี้ แต่เขาไม่มีทางทำเรื่องที่เหมือนผู้หญิงแบบนั้นต่อหน้าใครแน่ ๆ โดยเฉพาะต่อหน้าชิงหลง
เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้รู้สึกว่าโจเซช่วยอะไรเขาเลยสักนิด ก็แค่ทำให้เขาต้องมาเผชิญหน้ากับชิงหลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุด
“อยากออกไปข้างนอก?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่ไม่ได้แฝงแววของความกรุ่นโกรธใด ๆ ไว้ นั่นทำให้เซินหมิงเฟิ่งเบาใจขึ้น เพราะเขาไม่รู้ว่าหากทำให้ชิงหลงโกรธขึ้นมาเขาจะเหลืออวัยวะกี่ชิ้นกลับถึงฮ่องกง ไม่สิ ทำไมเขาถึงต้องกลัวล่ะ ในเมื่อเขาคือทายาทของจูเชว่และชิงหลงต้องเล่นตามเกมที่ถูกกำหนดตั้งแต่รุ่นแรกที่ก่อตั้งองค์กรในฮ่องกงขึ้นมา เมื่อคิดขึ้นมาได้เช่นนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็เม้มปาก แม้ว่าจะรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวแต่บุคลิกของชิงหลงก็ชวนให้กริ่งเกรงจนยากจะต่อต้านเมื่ออยู่ต่อหน้า
เขาค่อย ๆ สูดลมหายใจช้า ๆ
“ใช่..ผมอยากออกไปข้างนอกบ้าง”
“ทำไมล่ะ?” ชิงหลงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามโดยไม่ได้ใช้น้ำเสียงจู่โจมใส่ ทำให้เซินหมิงเฟิ่งพอจะรู้สึกใจชื้นบ้าง บางทีโจเซอาจจะไม่ได้เปล่าประโยชน์เสียทีเดียว เพราะปกติตอนอยู่กับเขาตามลำพัง ชิงหลงมักจะใช้น้ำเสียงเย็นชาและเสียงของคนที่อยู่เหนือกว่า เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขารู้สึกว่าชิงหลงยอมอ่อนลงให้เขาบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเกรงใจโจเซถึงขนาดนี้
“แบบว่า...คุณพาผมมาขังที่นี่ตั้งนานแล้ว โดยที่ผมไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลย มันอาจจะส่งผลกับสุขภาพผมน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะเขาเองก็ไม่ใช่หมอที่จะพูดเรื่องวิชาการพรรค์นี้ออกมาได้อย่างเป็นวรรคเป็นเวร
“สุขภาพหรือ?” ชิงหลงแค่ทวนคำโดยไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ “คุณไม่ใช่หมอ คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไงว่าไม่ดีต่อสุขภาพ”
ชายหนุ่มเม้มปากเหมือนเถียงไม่ออก
“ไม่เอาน่า มิน คุณลองบอกเขาสิว่าคุณรู้สึกยังไงที่ต้องอุดอู้ในห้องนั้น” โจเซช่วยแนะทางสว่างให้ด้วยท่าทางเหมือนกำลังสนุกกับเรื่องตรงหน้า
เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ
นั่นสินะ อธิบายความรู้สึกตัวเองคงง่ายกว่าแต่ชิงหลงอาจมองว่าไร้สาระก็ได้ แต่เขาคงไม่มีทางให้เลือกมากนักหรอก
“ผม....รู้สึกแย่...มาก ๆ ด้วย บอกตามตรงว่าผมรู้สึกเหมือนโลกนี้มันหดหู่และไม่มีอะไรให้ทำเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะทำอะไรก็เบื่อหน่ายไปซะหมดและอยากจะนอนหลับตลอดเวลา และเท่าที่ผมสังเกต ผมเริ่มจะตื่นช้าขึ้นทุกวันและไม่ใช่ผลกระทบจากโซนเวลาด้วย” เซินหมิงเฟิ่งพยายามนึกว่าตนเองมีอะไรให้พูดอีก “เวลาที่คิมหันต์มาปลุกผมตอนเช้าผมจะรู้สึกแย่มากที่ต้องตื่น ถึงคิมหันต์จะบอกว่าการรับแดดตอนเช้าจะดีต่อสุขภาพก็เถอะ ช่วงหลัง ๆ ผมเลยไม่ยอมลุกจากเตียงเลย”
ชิงหลงมุ่นคิ้ว เพราะไม่มีใครรายงานเขาเรื่องนี้เลย กระทั่งคิมหันต์ คงเพราะอีกฝ่ายไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรกระมัง เพราะอาการแบบนี้หากมองเผิน ๆ ก็เหมือนคนขี้เกียจธรรมดาที่ไม่อยากจะตื่นเช้าก็แค่นั้น แต่ความจริงมันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า
ในความเป็นจริง ชิงหลงไม่ได้คิดว่าโรคนี้จะมีผลอะไรมากนักกับการคุมตัวเซินหมิงเฟิ่ง กลับกัน มันคงจะง่ายขึ้นเสียด้วยซ้ำหากฝ่ายนั้นจะรู้สึกเฉื่อยชาและไม่อยากทำอะไร ถึงกระนั้น เขาก็นึกถึงจุดจบของสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ได้ และมันอาจจะส่งผลร้ายแรงหากว่าจิตใจของเซินหมิงเฟิ่งไม่เข้มแข็งพอจะยอมรับมัน ช่วยไม่ได้ที่ตกเป็นภาระหน้าที่ของเขาที่ต้องดูแลสภาพจิตของอีกฝ่ายให้ดีด้วย
อีกอย่าง...มันคงจะเข้าแผนเขาพอดี...
“ท่าทางจะเป็นโรคซึมเศร้า” ชิงหลงเปรยด้วยน้ำเสียงแฝงแววเครียดเล็กน้อยพอให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าเขากำลังใส่ใจอีกฝ่าย
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจเฮือก รู้สึกโล่งใจที่ชิงหลงยอมเข้าใจ “แล้วคุณจะปล่อยผมออกไปได้หรือเปล่า ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า” แผนการที่เคยคิดว่าจะให้โจเซช่วยพาไปสนามบินเขาก็เลิกคิดไปแล้วเพราะดูจากความสนิทสนมของโจเซกับชิงหลง มันคงจะยากน่าดู ถ้าเขาสมองแล่นกว่านี้อีกสักนิด เขาอาจจะลองคิดอะไรที่ดีกว่าแผนนั้นได้
“ผมจะให้คิมหันต์ไปด้วย”
ทั้งโจเซและเซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว
“คนเดียวหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเป็นคนเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกตะลึง ปกติแล้วชิงหลงจะให้การ์ดเฝ้าเขาจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ อยู่ ๆ ก็ให้เขาออกไปข้างนอก เท่านั้นยังไม่พอ ยังให้การ์ดติดตามเขาไปแค่คนเดียว ชิงหลงศีรษะโขกอะไรเข้าหรือเปล่านะ?
“อย่าหวังมากนักคุณเซิน ผมจะให้คนอื่น ๆ ติดตามอยู่ห่าง ๆ และให้คิมหันต์โทรรายงานเป็นระยะด้วย”
แบบนี้ค่อยสมเป็นชิงหลง....
เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าจะโล่งใจหรือรู้สึกแบบไหนดี เขาได้อิสระในที่สุด ถึงจะแค่ชั่ววูบเดียวและมีคนเป็นขโยงคอยจับตาดูก็ตาม
“วันพรุ่งนี้ ผมให้เวลาถึงแค่ 4 โมงเย็น ถ้าคุณอยากจะเดินชมเมืองนาน ๆ ก็กรุณาตื่นให้เช้าเสีย ไม่อย่างนั้นเวลาคงไม่คอยคุณนาน” ชิงหลงว่า “มีอะไรอีกไหม?”
ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและโจเซเสมือนตกตะลึงกันไปชั่วขณะ จึงไม่มีใครตอบอะไรออกมาจนกระทั่งชิงหลงมุ่นคิ้วเพราไม่มีการตอบรับ
“ไม่...ไม่มีอะไรแล้วครับ” เซินหมิงเฟิ่งรีบตอบ
“มิน คุณกลับห้องไปก่อนนะ ผมมีอะไรต้องคุยกับเวย์ต่อน่ะ” โจเซกล่าวกับเซินหมิงเฟิ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกำลังแสดงความยินดีด้วยผ่านสีหน้าและแววตา เซินหมิงเฟิ่งจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไปจากห้องก่อนที่ชิงหลงจะเปลี่ยนใจเสีย
เมื่อเสียงประตูปิดลง ทั้งสองเฝ้ารอจนกระทั่งเสียงเท้าของเซินหมิงเฟิ่งเงียบสนิท
“นายกำลังวางแผนอะไรอยู่?” โจเซเป็นฝ่ายถามก่อน
“ฉันกำลังวางแผนอะไรล่ะ?” ชิงหลงถามโจเซกลับด้วยคำถามเดิม
“เฮ้ ฉันรู้จักนายดีนะอย่าลืมสิ ฉันไม่คิดว่านายจะทำเรื่องแบบนั้นโดยไม่วางแผนล่วงหน้าหรอก ว่าไง บอกฉันหน่อยไม่ได้เชียวหรือ? หรือว่า...นี่จะเป็นบททดสอบความจงรักภักดีของการ์ดคนนั้นของนายอีกบทหนึ่ง?” ชายหนุ่มจ้องมองลูกพี่ลูกน้องของตนเองด้วยสายตารู้ทัน หากเป็นชิงหลงจริง ๆ ที่ไม่ได้วางแผนอะไร คงจะปฏิเสธคำขอนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย และเลือกที่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง อาจจะพาเซินหมิงเฟิ่งออกไปด้วยตัวเองและให้นั่งอยู่แต่ในรถที่มีคนขนาบสองด้านจนขยับตัวไม่ได้ ได้แต่มองเมืองด้วยสายตาเท่านั้น ชิงหลงที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่เกิดใจดีขึ้นมากะทันหันแค่เพราะอาการซึมเศร้าเริ่มต้นเด็ดขาด
“นายทำเป็นไม่รู้หน่อยไม่ได้หรือยังไง” ชิงหลงรู้ว่าถึงปิดบังโจเซไปก็เปล่าประโยชน์ ดอนมอเรสซาเรมีหรือจะมองคนใกล้ตัวไม่ออก
“ฉันถึงไม่ได้พูดอะไรต่อหน้ามินไงล่ะ”
“ฉันควรจะขอบคุณนายงั้นสิ?”
“ก็ตามแต่พระกรุณาขององค์ชายมังกร” โจเซทำเสียงและท่าทางล้อเลียนหนังจีนที่เขาเคยดูผ่าน ๆ
“เดี๋ยวนายก็ได้รู้เองนั่นแหละ แค่ไหน ๆ นายก็ระแคะระคายแล้ว ฉันก็อยากจะได้ความร่วมมืออะไรนิดหน่อย ไม่มากมายเกินมือของดอนมอเรสซาเรหรอก” ชิงหลงพูดพลางลุกขึ้นยืนพร้อมจัดชุดสูทที่ยับย่นไปเล็กน้อยจากการนั่งให้เข้าที่เข้าทาง
“นายว่ามาก่อนสิ แล้วฉันจะลองพิจารณาดู”
“ก็แค่...” ชิงหลงเดินเข้าไปหาลูกพี่ลูกน้องตนเอง แล้วทอดสายตานิ่งเรียบมอง “วันพรุ่งนี้ นายจะต้องไม่ว่างแค่นั้นเอง”
----------------------------->