-18-
ท้องฟ้าในอิตาลีวันนี้ค่อนข้างหม่นมัวจนน่าอึดอัด ถึงแม้จะเป็นเวลาสายจนใกล้เที่ยงวันแล้ว แดดกลับยังไม่ส่องเข้ามาในห้องเพราะโดนหมู่เมฆบดบัง อีกไม่นานฝนจะต้องตกลงมาแน่ ๆ อากาศแบบนี้กแปรกับการที่เขาต้องอยู่คนเดียวอย่างเหี่ยวเฉา ทำให้อารมณ์ของเซินหมิงเฟิ่งไม่ร่าเริงนัก เขาตัดใจจากหน้าต่างหันไปมองตู้หนังสือที่ไม่มีอะไรน่าจับน่าใคร่นัก
ไม่รู้ว่าชิงหลงคิดอะไรอยู่ จึงให้นำหนังสือวิชาการหรือสารคดีมากมายเข้ามาอัดจนเต็มชั้น ซ้ำครึ่งหนึ่งยังเป็นภาษาอิตาลี ส่วนที่เหลือเป็นภาษาฝรั่งเศสกับอังกฤษปะปนกันไป พูดง่าย ๆ คือ ในชั้นหนังสือทั้งหมด 7 ชั้น หน้ากว้าง 3 ฟุต มีหนังสือเพียง 30% ที่เขาสามารถอ่านได้ ส่วนที่เหลืออีก 55% เขาสามารถอนุมานได้จากรูปภาพ และส่วนที่ไม่ได้พูดถึง คือหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรเรียงรายตัวยิบย่อยและสัญลักษณ์ที่เขาไม่รู้จักอีกเพียบ และแน่นอนว่ามันถูกเขียนด้วยภาษาอิตาลีหรือฝรั่งเศส
พอมองตู้หนังสือแล้วคิดออกมาเช่นนั้นแล้ว อารมณ์ของเขาก็ยิ่งเฉาลงไปกว่าเดิมหลายเท่าจนไม่ต่างกับต้นไม้ที่ขาดน้ำ
เซินหมิงเฟิ่งเอื้อมมือไปที่ชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับสายตา
เขาดึงมันออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็พบว่ามันเป็นหนังสือภาพถ่ายสถานที่สำคัญของโลก เล่มของมันค่อนข้างหนาเพราะพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตมันอย่างดี 4สีทั้งเล่ม สิริรวมราคาเป็นค่าเงินแถบ ๆ นี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะผันกลับเป็นดอลลาห์ฮ่องกงเอาเสียเลย
เซินหมิงเฟิ่งสอดหนังสือเล่มนั้นไว้ใต้รักแร้แล้วดึงหนังสือภาพออกมาอีก 2 เล่ม ก่อนจะถือทั้งหมดเดินไปที่โซฟาแล้วนั่งลง บนโต๊ะยังมีจานใส่ขนมจุกจิกที่เขาให้การ์ดคนหนึ่งลงไปซื้อมาให้กินแก้เบื่อกับขวดน้ำผลไม้วางอยู่ด้วยกัน เขาเอื้อมมือไปหยิบนมโยนใส่ปากพลางฟังเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง ๆ อยู่เหนือศีรษะ คงต้องขอบคุณมันที่ทำให้ห้องมีอากาศไม่อุดอู้เกินไปนัก แม้ภายนอกจะเต็มไปด้วยความชื้นก็ตาม
หนังสือเล่มแรกถูกเปิดออก เขาคิดเอาไว้แล้วว่าบางทีเขาอาจจะต้องเฉาตายอยู่ในห้องนี้ไปตลอดชีวิต แต่ครั้นคิดเปรียบเทียบกับตอนที่ถูกลักพาตัวไปโดยคนของบราซินี บางที การอยู่แบบนี้อาจจะดีกว่าหลายเท่า เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกทำร้ายร่างกายใด ๆ ซ้ำยังมีที่นอนอุ่นสบาย มีเสื้อผ้าที่ซักใหม่ ๆ ให้สวมใส่ทุกวัน อาหารอย่างดีมาเสิร์ฟถึงห้อง 3 เวลา
บางทีการเป็นนกในกรงอาจจะไม่ได้แย่มากนัก.....
เมื่อคิดออกมาแบบนั้น เขาก็อดชะงักไปไม่ได้
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มคิดแบบนี้ ตั้งแต่ตอนไหนที่เขารู้สึกว่าการถูกกักขังเอาไว้เป็นเรื่องที่ดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังสามารถคิดวิธีมากมายเพื่อส่งข่าวหรือหนีออกไป แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จ แต่ในตอนนั้นเขาก็ยังพยายามในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน....ที่เขายินยอมอยู่ในห้องนี้อย่างเต็มใจ....
นี่มันผิดปกติแน่ ๆ
เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วกับตัวเองพลางมองจานขนมและขวดน้ำบนโต๊ะ มองหนังสือในมือ และเสื้อผ้าที่ตนเองกำลังสวมใส่
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของของเขาเลยสักอย่างเดียว ไม่มีอะไรเลยที่ได้มาด้วยตัวเขาเอง มีแต่สิ่งที่ชิงหลงนำมาให้หรือได้จากคนของชิงหลงทั้งนั้น
อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา ความขัดแย้งระหว่างสภาพจิตใจกับความคิดทำให้สมองของเขาปั่นป่วนเหมือนโดนโยนใส่เครื่องปั่น
แย่ที่สุด....
ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น ก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง เซินหมิงเฟิ่งหันไปดูเพราะรู้ว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่คิมหันต์อย่างแน่นอน
“ชิงหลง?” แต่คนนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย
ชิงหลงเดินเข้ามาในห้องเสมือนว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของห้องนี้อยู่แล้ว เจ้าตัวพาตนเองไปยังตู้หนังสือที่สั่งให้คนเอามาอัดจนเต็ม ก่อนจะเลือกหยิบมา 2 เล่ม ซึ่งเป็นเล่มที่เซินหมิงเฟิ่งไม่คิดอยากจะแตะ เพราะมันคือหนังสือวิชาการที่เต็มไปด้วยตัวอักษรล้วน ๆ
เขาเดินตรงมาที่โซฟาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม โดยที่สายตาของเซินหมิงเฟิ่งยังจับจ้องอยู่ด้วยความสงสัยและอีกหลากหลายอารมณ์
ไม่นานนัก ชิงหลงก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาที่จ้องมองอยู่นั้น
“มีอะไรหรือ?”
“.....เปล่า” พอถูกถาม เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบว่ามีอะไรดีหรือเปล่า เขาก็แค่สงสัยว่าอีกฝ่ายเข้ามาในห้องนี้ทำไม แต่มองไปแล้ว เจ้าตัวอาจจะแค่เข้ามาอ่านหนังสือก็ได้ แต่ถ้าแค่นั้นทำไมถึงไม่อ่านที่ห้องตัวเอง ความคิดสรตะวุ่นวายตบตีกันในหัวทำให้เขาไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรก่อน
“บางทีคุณอาจจะอยากอยู่เป็นส่วนตัว ผมจะออกไปก็แล้วกัน” ชิงหลงสรุปความว่าอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นพร้อมหนังสือในมือ
“ม...ไม่ใช่!” เซินหมิงเฟิ่งร้องก่อนจะชะงักเมื่อรู้ตัวว่าทำเสียงดังเกินความจำเป็น “ผมหมายถึงว่า ไหน ๆ ตอนนี้ก็มีผมอยู่คนเดียวแล้ว คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อนผมบ้างก็ไม่เป็นไร” เขาลดเสียงลงและพยายามพูดให้เหมือนตนเองไม่ได้รู้สึกเหงาหรือหดหู่อะไรมากมาย
“ผมคิดว่าคุณจะไม่ชอบหน้าผมเสียอีก”
ในบางครั้ง เซินหมิงเฟิ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองกำลังโดนปั่นหัวอยู่หรือเปล่า...
แต่แน่นอน เขาไม่ชอบหน้าชิงหลงเท่าไหร่ ใครกันล่ะจะชอบหน้าคนที่ลักพาตัวเองมากักขังเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่มีทางให้เลือกมากนัก
“ถึงจะไม่ค่อยถูกชะตา แต่ถ้าคบหากันไปนาน ๆ คุณอาจจะมีส่วนที่น่าคบก็ได้” เซินหมิงเฟิ่งไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา จึงบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่นไปแทน
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น” ชิงหลงไหวไหล่แล้วนั่งลงที่เดิม
เซินหมิงเฟิ่งลอบมองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ แต่แล้วก็มีกระแสความคิดบางอย่างไหลเจ้าสู่สมองโดยไม่ได้ตั้งใจจะคิดเช่นนี้
หรือว่าชิงหลงจะกลัวเขาเหงา?
ไม่น่า....
คนอย่างชิงหลงน่ะหรือจะคิดถึงใจคนอื่นถึงขนาดนั้น ที่ทำกับเขาไว้นั่นถึงจะทำดีด้วยเท่าไหร่ก็คงไม่เท่ากับการยอมปล่อยเขากลับบ้านให้เป็นอิสระ ดังนั้นถึงจะใจดีด้วยแค่ไหน เขาก็คงไม่อาจไว้ใจได้ว่าอีกฝ่ายจะมีจิตใจที่นึกถึงคนอื่นจริง ๆ หรือเปล่า
ก็กระทั่งคิมหันต์...ที่ทำงานถวายชีวิตให้ขนาดนั้น ก็ยังยกให้คนอื่นเสียง่าย ๆ....
“คุณไม่ได้เล่นหมากรุกนานแล้วหรือเปล่า?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็ถามขึ้นมา ทำให้เซินหมิงเฟิ่งที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะนึกว่าโดนอ่านใจเข้า แต่เมื่อฟังดี ๆ และคิดประมวลแล้ว นั่นเป็นคำถามพื้น ๆ ที่เรียบง่ายที่สุดจากคนตรงหน้า
“จะว่าไป ก็นานแล้ว...” เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขามีสิ่งฆ่าเวลาที่เรียกว่า ‘หมากรุก’ อยู่ กระนั้น เหตุผลหนึ่งที่เขาเลิกเล่นก็เป็นเพราะเขาเหนื่อยที่จะใช้สมองไปกับการละเล่นพร้อมกับการคิดหาทางออกให้ตัวเอง อีกทั้งตัวเขาเองก็รู้ซึ้งถึงฝีมืออันอ่อนด้อยเมื่อลองประลองกับชิงหลงครั้งหนึ่งหลังจากที่โดนโจเซหยอกเล่นเอาโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเขาเอียนหมากรุกไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“ลองเล่นกันไหม?”
“เอ๋?”
เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองชายหนุ่มตรงหน้า นึกแปลกใจว่าอยู่ ๆ อีกฝ่ายคิดยังไงถึงมาชวนเขาเล่นหมากรุกเอาเวลาอย่างนี้
“คุณเก่งจะตายไป เล่นกี่ครั้งผมก็คงแพ้ราบคาบ” เขาว่าพลางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ชิงหลงลงมานั่งเล่นกับเขา หากพูดตามจริง เป็นการสั่งสอนเสียมากกว่า
“ผมสัญญาว่าจะออมมือให้”
“สัญญาของมาเฟียเชื่อถือได้แค่ไหนผมยังไม่รู้เลย” พอเซินหมิงเฟิ่งพูดออกไปแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเผลอพูดดูถูกอีกฝ่ายรวมถึงพ่อของตัวเองเข้า “อย่าเพิ่งโกรธผมนะ ผมแค่ไม่รู้ว่าปกติมาเฟียเขาสัญญาอะไรกันยังไง ก็อย่างที่คุณเคยว่า ผมเป็นคนธรรมดาที่ยังอ่อนหัด”
ชิงหลงเหลือบสายตามองคนที่พยายามแก้ต่างให้ตัวเองเป็นพัลวัน เขารู้สึกขำอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
“ถ้าพูดให้ถูก สัญญาของพวกเราถือเป็นคำสัตย์ เพียงแต่ว่าคนทำสัญญามักจะไม่รอบคอบและยอมตกลงโดยไม่ไตร่ตรองเอง” ถ้อยคำของชิงหลง หากแปลความง่าย ๆ ก็คือ ทุกคำสัญญา ทุกคำสาบาน มักจะมีช่องว่างให้เล็ดรอดได้เสมอ และผู้ที่ทำสัญญาด้วยมักจะเผอเรอไม่รอบคอบพอจะมองเห็นช่องว่างนั้น หรือไม่ก็เห็นแต่ไม่คิดจะอุดเพราะไม่คิดว่าจะเกิดความเสียหายขึ้น
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแม้แต่ในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปของคนธรรมดา หลายต่อหลายครั้งที่คนเรามักถูกหลอกในการทำสัญญากับใครบางคนหรือบางองค์กร ซึ่งหลักการของมันคล้าย ๆ กัน นั่นคือ การหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ที่จะตอบแทนให้ผู้ทำสัญญา หนังสือสัญญาที่ระบุข้อความไม่ครบถ้วน และผู้ทำสัญญามักไม่มีความอดทนพอที่จะอ่านเงื่อนไขทั้งหมดให้ครบ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือสัญญาที่มีตัวอักษรยิบย่อยเต็มหน้ากระดาษ และบางครั้งก็มีหลายหน้าเกินกว่าจะอ่านได้หมดในเวลาจำกัด อีกทั้งสมองของมนุษย์ไม่ได้มีความสามารถจดจำและประมวลผลข้อความทั้งหมดได้ในเวลาพร้อม ๆ กัน การทำสัญญาที่ไร้ช่องโหว่ให้เล็ดรอดจึงเป็นเรื่องยาก แม้สำหรับผู้ที่มีการศึกษาสูงหรือผู้ที่รู้กฎหมายก็ตาม
แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงจังเกินกว่าประเด็นการเล่นหมากรุก
“ผมไม่รู้ว่าจะโกงคุณไปทำไม อีกอย่าง ถ้าผมจริงจังเกินไป การละเล่นฆ่าเวลาของผมคงจะหมดสนุก” พูดในอีกแง่ ชิงหลงต้องการจะบอกว่า หากเขาเอาจริง ไม่กี่นาทีก็เอาชนะได้แล้ว ซึ่งแม้เซินหมิงเฟิ่งจะรู้ความหมายโดนนัยแต่ก็เถียงไม่ออก
“ผมไม่ฉลาดพอจะให้คุณมาฆ่าเวลาด้วยหรอกนะ แต่บางทีการที่ผมถูกลักพาตัวไปคงช่วยฆ่าเวลาให้คุณได้มากกว่าในการวางแผนเอาตัวผมกลับมา” อยู่ ๆ สมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องนั้นอีกครั้ง แต่เมื่อพูดออกไป ชิงหลงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ ตอนแรกเขาคิดว่าจะถูกประชดกลับมาราว ๆ ว่า ‘แปลว่าอยากถูกลักพาตัวอีกหรือ?’ อะไรแบบนี้
“ความจริงแล้ว ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อ”
เรื่องพวกนั้นเขาแทบจะไม่ได้ใช้เสี้ยวสมองเสียด้วยซ้ำ
แต่ในความคิดเซินหมิงเฟิ่ง...เขาแทบจะหงายตกจากโซหาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เรื่องคอขาดบาดตายของเขา อีกฝ่ายบอกว่าน่าเบื่องั้นหรือ!?
“คุณคิดว่ามันเป็นเกมการละเล่นหรือยังไงกัน! ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไปที่นั่น ผมอาจจะถูกฆ่าก็ได้!” เขาของขึ้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ดอนบราซินีไม่ฆ่าคุณหรอก” ชิงหลงพูดอย่างใจเย็น
“คุณรู้ได้ยังไง!?”
“เพราะดอนบราซินีไม่กล้าลองดีกับมอเรสซาเรขนาดนั้น เขาเป็นแฟมิลีขนาดเล็กที่อาศัยบารมีมอเรสซาเรมาตลอด เรื่องบุญคุณก็ไม่ใช่น้อย ๆ แต่ที่กล้าลงมือ คงเพราะแฟมิลีอื่น ๆ ยุยงส่งเสริมและเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่ และตอนนี้ก็ได้รับบทเรียนไปเรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวถึงเรื่องภายในแฟมิลีอื่นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองแม้แต่น้อย
“มันเป็นเพราะเขาอยากให้คุณออกไปจากถิ่นของเขา ผมถึงได้โดนลูกหลง” เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจลึก “มันเป็นความผิดของคุณที่ทำให้ผม.....” เขากัดฟันเมื่อนึกถึงตนเองในขณะที่ถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ในตอนนั้นชิงหลงคงวางแผนอย่างสบายใจอยู่ที่นี่
“ผมรู้ ราฟาเอลสารภาพหมดแล้ว” ชิงหลงพูดพลางเอนหลัง “แล้วเขาก็ได้รับการลงโทษในแบบที่เขาสมควรจะได้รับแล้ว คุณมีอะไรไม่พอใจงั้นหรือ?”
มีอะไรไม่พอใจ?
นี่เป็นคำถามที่ใช้ถามผู้เสียหายหรือ?
“ผมไม่พอใจ ผมไม่พอใจมาก ๆ ด้วย!” เซินหมิงเฟิ่งตะคอกพร้อมคว้าหนังสือใกล้มือขว้างใส่ แต่ชิงหลงรับไว้ได้อย่างง่าย ๆ “ในตอนนั้นคิมหันต์เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างผม คอยดูแลผม ในขณะที่คุณหายหัวไปไหนก็ไม่รู้! แล้วตอนนี้คุณยังเอาคิมหันต์ไปจากผมอีก คุณมีหัวใจบ้างหรือเปล่า! ทั้งหมดมันเป็นเพราะคุณจับตัวผมมา เพราะคุณพาผมมาที่นี่ และเพราะคุณนั่นแหละผมถึงถูกเจ้าพวกนั้นซ้อมเอา! คุณมันหลงตัวเอง ไม่เคยคิดถึงใจคนอื่น! เพื่อให้คนหนึ่งเข้าใจความรู้สึกของอีกคนอะไรกัน คุณยังไม่คิดจะเข้าใจผมเลยสักนิด!”
เซินหมิงเฟิ่งระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาอย่างเต็มที่ เหมือนกับว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาอยากจะพูดมาตั้งแต่แรกแต่ไม่มีใครพร้อมจะรับฟัง มันจึงพรั่งพรูออกมาไม่ยอมหยุดพอ ๆ กับแรงโทสะที่มากขึ้นทุกครั้งที่คำพูดถูกถ่ายทอดไปหาคนต้นเรื่อง
ชิงหลงนั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายระบายความรู้สึกออกมาจนกว่าจะพอใจ เขาไม่ได้ลุกหนีไปไหนหรือทำหน้าแสดงความรำคาญ เพียงแค่นั่นฟังเงียบ ๆ โดยไม่แสดงการโต้แย้งเท่านั้น และนั่นคือทั้งหมดที่ผู้พูดมักต้องการจากผู้ฟัง แค่มีใครสักคนรับฟังสิ่งที่ตนอยากจะพูด อยากจะให้มีใครสักคนรับฟัง และจนถึงที่สุด ผู้พูดจะค่อย ๆ อารมณ์เย็นลงและมีเหตุผลมากขึ้นเอง
หลังจากระบายออกไปจนเสียงแห้ง เซินหมิงเฟิ่งก็ค่อย ๆ สงบลง เขาทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกให้ตัวเองหายคอแห้ง
ในตอนที่อารมณ์เพิ่งสงบ ชิงหลงรู้ว่าเขาไม่ควรพูดหรือตอบโต้ในทันที เพราะอารมณ์ที่เพิ่งมอดลงอาจปะทุขึ้นมาอีกครั้งก็ได้
เขารอจนกระทั่งเซินหมิงเฟิ่งเงียบและไม่พูดอะไรต่ออีก
“ผมสัญญาได้ว่าจากนี้ไปคุณจะอยู่ในความดูแลของผมอย่างปลอดภัย” ชิงหลงพูดช้า ๆ ด้วยเสียงมั่นคงมากพอจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกมั่นใจ
“แต่มีเงื่อนไขอีกตามเคยใช่ไหม” เซินหมิงเฟิ่งพูดตอบเสียงอุบอิบพลางสูดหายใจ ผู้ชายจะร้องไห้ด้วยเรื่องแบบนี้มันดูไม่ดีเอาเสียเลย แต่เมื่อเขาได้ระบายออกมา มันก็ยากจะห้าม เมื่อครู่จึงพยายามสูดหายใจหลาย ๆ ครั้งเพื่อกลั้นน้ำตาไว้แต่มันก็ยังปริ่มออกมานิดหน่อย หากเขาร้องไห้ต่อหน้าชิงหลง เขาคงจะดูอ่อนแอมากเกินไป เขาจะไม่ร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็นเด็ดขาด
“ตราบใดที่คุณอยู่ในสายตาของผม”
“เรื่องนั้นผมเคยสัญญาไปแล้ว ผมไม่ตุกติกแบบคุณหรอก”
ชิงหลงได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับ
“เอาเป็นว่าผมจะเชื่อคำพูดของคุณก็แล้วกัน เพราะว่าถ้าคุณไปไกลจากจุดที่ผมยื่นมือไปถึงได้ทัน ผมก็คงจะรับประกันไมได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบเดิมขึ้นอีก” คำพูดของชิงหลงทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจอย่างรวดเร็ว
คำขู่ของชิงหลงได้ผลอย่างชะงัด เมื่อเขาได้ให้อีกฝ่ายได้รับบทเรียนจากการพยายามทำตามใจตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง
จิตใจของคนเรามักตอบสนองต่อความกลัวได้มากกว่าอารมณ์อื่น ๆ เพราะมันคือสัญชาตญาณการป้องกันตัวโดยธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์สามารถหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตนเองได้ และสิ่งนี้เองที่ชิงหลงใช้เป็นเครื่องมือ เมื่อเซินหมิงเฟิ่งรู้สึกหวาดกลัวโลกภายนอก ก็จะไม่สามารถต่อต้านสัญชาตญาณของตนเองได้ แม้ว่าจะสับสนที่ตนเองยินยอมอยู่ในกรงนี้อย่างสมัครใจ แต่มันคือที่เดียวที่มีความปลอดภัยและปราศจากความหวาดกลัว จนกว่าเจ้าตัวจะแข็งแกร่งพอที่จะฝ่าทะลวงความกลัวของตนเองได้นั่นแหละ เซินหมิงเฟิ่งจึงจะสามารถเป็นอิสระจากกรงภายในจิตใจตัวเองที่ชิงหลงเป็นคนสร้างขึ้นได้
ในตอนแรก คิมหันต์คือที่พึ่งพิงซึ่งทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่ามีคนร่วมชะตากรรม และเป็นเพื่อนที่คอยดูแล แต่ชิงหลงก็ได้พรากเขาไปด้วยทำให้เซินหมิงเฟิ่งโดดเดี่ยวในโลกนี้
ซึ่งในตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งยังไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนั้น...
เขาคิดว่ามันเป็นแค่ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ทำให้สะเทือนใจ และอีกไม่นานเขาคงจะหายจากความรู้สึกแบบนี้ไปเอง
ชิงหลงมองเซินหมิงเฟิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนลุกจากเก้าอี้ไปที่โต๊ะซึ่งชุดหมากรุกวางอยู่ เขายกมันมาวางที่โต๊ะระหว่างโซฟาสองตัว เซินหมิงเฟิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งที่เขาทำ
“การเล่นหมากรุกเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ลืมเรื่องร้าย ๆ ได้ เพราะมันทำให้มีสมาธิมากขึ้นและจดจ่ออยู่กับการวางแผนที่ซับซ้อน ผมคิดว่าได้ผลมากกว่าของมึนเมาทุกชนิด” ราวกับการโฆษณาชวนเชื่อ แต่ถ้อยคำและน้ำเสียงของชิงหลงมักจะชักชวนให้ผู้คนคล้อยตามได้เสมอ
เซินหมิงเฟิ่งยืดตัวขึ้นแล้วค่อย ๆ หยิบตัวหมากขึ้นมาวาง
“อย่าลืมสัญญาที่ว่าจะออมมือให้ผมแล้วกัน”
“ผมไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้น” ชิงหลงกล่าวตอบ
แล้วพวกเขาทั้งสอง ก็เริ่มใช้เวลาที่เหลือหลังจากนั้นไปกับการเล่นหมากรุกฆ่าเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าเบื่อของวันอันน่าอึดอัด
--------------------->