-26-
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะนะครับ” นายแพทย์กล่าวหลังจากเข้ามาตรวจอาการผู้ป่วยกิตติมศักดิ์ นางพยาบาลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็บันทึกอาการไปตามเรื่องตามราวโดยไม่ได้พูดอะไรและเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผู้ป่วยเป็นระยะ แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่เคยยิ้มตอบเลยก็ตาม เธอก็ยังทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขันราวกับรอยยิ้มเป็นของแจกฟรี
หลังจากสาธยายทุกอย่างเรียบร้อย นายแพทย์และนางพยาบาลก็ขอตัวกลับออกไป ทำให้ห้องนั้นกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งว่า “ยังไงพรุ่งนี้คุณก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะออกภายในวันนี้” ชิงหลงพูดอย่างเอาแต่ใจ ปกติคนอย่างชิงหลงคงไม่เคยมีใครขัดใจอยู่แล้วกระมัง ซ้ำอาการของเจ้าตัวก็ไม่ได้หนักหนาถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์แบบนี้ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งถ้าให้เดา ก็คงไม่พ้นช่วงเอาคืนของโจเซซึ่งรู้ว่าชิงหลงเกลียดการต้องอยู่เฉย ๆ ในสถานที่ที่ไม่ใช่ของตนเองแบบนี้ ถึงจงใจให้หมอและพยาบาลรั้งเอาไว้ไม่ยอมให้กลับแต่โดยดี ทำให้ชิงหลงต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงอย่างช่วยไม่ได้
เซินหมิงเฟิ่งได้แต่ยิ้มแหยกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้มีอำนาจจะไปบงการอะไรใครได้ ส่วนตัวต้นเหตุน่ะหรือ? เจ้าตัวก็ยืนยิ้มแฉ่งไม่รู้ร้อนหนาวอยู่ถัดไปนี้เอง
“ว้า น่าเสียดายจังนะ ฉันนึกว่านายจะออกได้วันนี้เสียอีก อุตส่าห์เตรียมรถมารับ” โจเซแสร้งทำเสียงเสียดมเสียดายและตีหน้าเศร้าอย่างที่แค่มองก็รู้ว่าจงใจปั้น
“นายมันแสดงละครไม่ได้เรื่อง” ชิงหลงค่อนแคะ
“อย่ามาโมโหใส่ฉันสิ ไม่ได้ยินหรือว่าคุณหมอเป็นคนบอกให้นายกลับพรุ่งนี้ ไม่ใช่ฉันเสียหน่อย” ชายหนุ่มผมทองไหวไหล่ด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท
ชิงหลงถลึงตามองอย่างรู้ทัน
หากโจเซไม่สั่งไว้ มีหรือเขาจะถูกกักตัวไว้นานแบบนี้
“ชักจะหิวแล้วสิ เอาเป็นว่าฉันจะพามินไปกินอะไรอร่อย ๆ ก่อนล่ะนะ ส่วนคนป่วยก็ต้องกินอาหารจืด ๆ ของโรงพยาบาลต่อไปเพื่อสุขภาพ” เจ้าตัวยังไม่วายทิ้งท้ายให้ชิงหลงปวดประสาทเล่นก่อนจะวางมือแหมะลงบนไหล่ของเซินหมิงเฟิ่งเป็นเชิงกระตุ้นให้ตามเขาออกไปด้วยกัน
“ถ้าอย่างนั้น แล้วเจอกันนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวก่อนจะเดินตามแรงออกไป
เมื่อพวกเขาขึ้นรถกันเรียบร้อย โจเซก็เปรยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ดูคุณสงบขึ้นนะ”
“หมายถึงอะไรหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งอดที่จะถามกลับไม่ได้
“จะว่ายังไงดี” โจเซหยุดคิดไปเล็กน้อยพลางโคลงหัวไปมา “ช่วงแรกคุณดูจะระมัดระวังตัวและเหมือนกำลังมองหาโอกาสอะไรบางอย่างอยู่ตลอด หลังจากนั้นบางครั้งก็ดูหวาดระแวง บางทีก็เหมือนตั้งกำแพงขวางขึ้นมา ยิ่งหลังจากเสียคิมหันต์ไป คุณก็ดูจะยิ่งสับสนและไม่แน่ใจเหมือนหาที่พึ่งไม่เจอ และมันก็น่าแปลกที่ในตอนแรกคุณดูจะคิดถึงบ้านมากและไม่มีความสุขกับความเป็นอยู่ ณ ปัจจุบันเลย แต่ตอนนี้คุณกลับทำตัวเป็นธรรมชาติแถมยังพูดคุยกับเวย์ได้ดีไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์”
เซินหมิงเฟิ่งฟังที่โจเซอธิบายจบแล้วจึงหัวเราะออกมา
“ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”
“อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่การมองคุณก็ไม่ต่างจากการมองแก้วสีหรอก แค่รู้ว่าเป็นแก้วสีอะไร ก็เดาสีสันของสิ่งที่อยู่ข้างในได้แล้ว” ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนกล่าวพลางยิ้มสบาย ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ดี และน้ำเสียงที่ใช้ก็เหมือนออกแนวหยอกล้อมากกว่าค่อนแคะ
“คงเป็นเพราะว่า ผมยอมรับสภาพแล้วล่ะมั้งครับ...” เซินหมิงเฟิ่งตอบพลางถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา “ถ้าสิ่งที่ชิงหลงพูดมาเป็นความจริง แปลว่าผมเองก็ต้องยอมรับกฎข้อนั้นด้วย มันเป็นเหมือนหน้าที่ที่ติดตัวผมมาพร้อมกับสายเลือดและความรับผิดชอบ”
โจเซนิ่งฟังโดยไม่ได้พูดแทรก ทำให้เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ เล่าความรู้สึกของตนเองออกมาทีละน้อย
“ถึงผมจะเคยพยายามคิดว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งในตัวของผมตระหนักอยู่เสมอว่าผมคือใคร ดังนั้นสิ่งที่ชิงหลงทำและพูดมาแต่แรกไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจ แต่ผมแค่พยายามจะหนีและเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เขาส่ายศีรษะน้อย ๆ “แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมต้องยอมรับแล้วว่าสิ่งใดก็ตามที่พ่อของผมทำลงไป ท่านกำลังรับโทษของมันอยู่ ท่านจะไม่มีวันได้เจอกับผมอีก นั่นคือสิ่งที่ชิงหลงตัดสินโทษให้ซึ่งก็นับว่าเป็นความกรุณาแล้วที่เขาไม่ทำร้ายผม”
สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งพูดมาค่อนข้างเข้าใจยากสำหรับคนอย่างโจเซที่เกิดมาในวัฒนธรรมตะวันตกและไม่เข้าใจแนวคิดของคนตะวันออกสักเท่าไหร่
“ถ้าอย่างนั้น คุณจะทำยังไงต่อ?”
เซินหมิงเฟิ่งพรูลมหายใจเมื่อได้ยินคำถาม
“เงื่อนไขของชิงหลงมีแค่การพรากสิ่งสำคัญไปจากพ่อของผม ดังนั้นขอแค่พ่อไม่ได้ผมกลับไป อย่างอื่นก็สามารถยืดหยุ่นได้ คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือครับ?” หลังกล่าวจบ ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างเหมือนเด็ก ๆ
“คุณนี่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ” โจเซหัวเราะในคอ
“เรียกว่ารู้จักอาศัยช่องว่างดีกว่าครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะตอบ “ถ้ายังอยู่ในเงื่อนไขที่ชิงหลงตั้งไว้ จะอยู่อิตาลีหรือฮ่องกงก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าผมยอมรับเงื่อนไขของเขา บางที....ชิงหลงคงจะยอมให้ผมกลับไปฮ่องกง ถึงจะไม่ให้พ่อเจอไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอให้ผมรู้ว่าท่านยังสบายดีก็พอแล้ว ส่วนคู่หมั้นของผม ก็คงแล้วแต่สวรรค์ลิขิตล่ะมั้งครับ ถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริง เธอคงจะรอผมอยู่”
“หืม? คุณมีคู่หมั้นด้วยหรือ น่าสงสารเหมือนกันนะครับ” โจเซว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณเองก็ต้องเตรียมใจเหมือนกันว่าจะต้องอยู่กับชิงหลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นอิสระ”
อิสระ....นั่นสินะ....
เซินหมิงเฟิ่งยิ้มขื่น
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมจะโทษพ่อก็ไม่เต็มปากเพราะผมเชื่อว่าพ่อไตร่ตรองดีแล้วและคิดว่าคุ้มค่าถึงได้ทำลงไปแบบนั้น”
โจเซกลอกตา
“อีกอย่าง ผมว่าอยู่กับชิงหลงก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ พอรู้จักกันจริง ๆ แล้ว เขาก็แค่เปิดใจรับคนยากเท่านั้นเอง” เซินหมิงเฟิ่งพูดต่อแล้วเกาปลายจมูกเขิน ๆ “แต่ผมอาจจะถูกต่อว่าเป็นลูกเนรคุณก็ได้ ที่ไม่ได้กลับไปดูแลพ่อให้ดีจนถึงวาระสุดท้าย”
“ถ้าเป็นความจำเป็นและคุณคิดว่าดีแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดไม่ใช่หรือครับ” โจเซคิดตามหลักเหตุผล “แต่ผมค่อนข้างประหลาดใจอยู่นะ ที่คุณคิดว่าการอยู่กับเวย์ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายน่ะ”
เสียงหัวเราะดังแผ่ว ๆ ข้างตัว
โจเซเหลือบตามอง และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าตัวเองเห็นสีแดงเรื่อบนแก้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
อืม....
ดูเหมือนแผนการของนายจะได้ผลเกินคาดไปเยอะเลยนะ...เวย์...
------------------------->
เสียงแตรรถบ่งบอกว่าผู้ที่เธอรออยู่ได้มาถึงแล้ว ซากุระสวมเสื้อนอกและเร่งรีบออกไปยังประตูบ้านโดยมีการ์ดวิ่งนำไปก่อนเพื่อดูว่าใครเป็นคนที่มารบกวน
“ฉันมารับคุณหนูมินาโมโตะ เรานัดกันไว้ว่าจะไปธุระด้วยกันน่ะ” ไป๋หู่เยี่ยมหน้าออกไปนอกกระจกรถ มากพอที่การ์ดจะเห็นว่าเป็นใคร ทำให้การ์ดคนดังกล่าวตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปเป็นหินในบัดดล แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็รู้สึกตัวและกุลีกุจอไปเปิดประตูเล็กให้ซากุระเดินออกไปเพื่อไม่ให้คนสำคัญต้องรอนานนัก แน่นอนว่ามันคงไม่ดีหากพวกเขาทำอะไรขัดใจหนึ่งในสี่ผู้นำเข้า
“ฝากดูแลบ้านด้วยนะคะ” ซากุระบอกแล้วเดินไปขึ้นรถของไป๋หู่ท่ามกลางสายตาแสดงความสงสัยของการ์ดและคนรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์
หรือว่า...คุณหนูตระกูลมินาโมโตะคิดจะเบนเข็มไปทางไป๋หู่เสียแล้ว?
แล้วนายน้อยของพวกเขาล่ะ!?
----------------------------->
“คุณเห็นหน้าพวกเขาหรือเปล่า คงจะตกใจกันน่าดู” ไป๋หู่พูดกลั้วเสียงหัวเราะในคอราวกับว่าการปรากฏตัวให้คนอื่นตกอกตกใจเล่นเป็นงานอดิเรกที่แสนโปรดปราน
“ใครจะไม่ตกใจล่ะค่ะ คนระดับคุณมาเยือนถึงที่แบบนี้ ซ้ำยังขับรถมาเองด้วย” ซากุระเองยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดไป๋หู่จึงขับรถมาเองคนเดียวเช่นนี้ โดยปกติน่าจะมีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลังเพื่ออารักขามิใช่หรือ “แล้ว...ไม่อันตรายหรือคะ?”
“ไม่หรอกครับ สถานที่ที่ผมจะไปไม่มีอันตรายแน่นอน” ไป๋หู่รับรองด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้ซากุระไม่มีอะไรจะคัดค้าน
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันคะ?” หญิงสาวถามแล้วเสมองข้างทาง ทิวทัศน์แบบนี้ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก น่าจะเป็นเส้นทางที่ผ่านบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้
“เดาหน่อยไหม?”
ซากุระมุ่นคิ้วพลางนึกสงสัยว่าสถานที่ไหนกันที่ไป๋หู่นะเธอไปหาแล้วจะสามารถช่วยเซินหมิงเฟิ่งได้ หรือว่าเป็นสถานที่ที่เซินหมิงเฟิ่งถูกกักขังอยู่? หรืออาจจะเป็นบ้านของคนที่กักขังเซินหมิงเฟิ่งเอาไว้ หรือบางที เขาอาจจะแค่นำพาเธอไปหาอีกเบาะแสหนึ่งก็เป็นได้
ซากุระส่ายศีรษะ
“ฉันเดาไม่ออกหรอกค่ะ”
ไป๋หู่หัวเราะขำขัน
“เส้นทางนี้คุณน่าจะพอจำได้นะครับคุณหนูมินาโมโตะ เอาล่ะ ถ้าเลี้ยวตรงนี้....” เขาว่าแล้วก็เลี้ยวรถไปตามที่บอก ไม่นานก็ปรากฏเส้นทางที่ยิ่งกว่าคุ้นตา ซากุระจดจำมันได้อย่างทันที แต่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา รถก็แล่นเข้าเทียบหน้าประตูรั้วของบ้านสองชั้นแบบเก่าหลังหนึ่งแล้ว แผ่นไม้หน้าประตูถูกตอกตะปูติดเอาไว้อย่างแน่นหนา ตัวอักษรที่ตวัดด้วยลายพู่กันดูทรงพลังนั้นเขียนว่า ‘เซิน’
“ที่นี่....บ้านคุณเซิน?” ซากุระพึมพำ “ที่นี่มีอะไรหรือคะ?”
“ที่นี่แหละ ที่จะพาเซินหมิงเฟิ่งกลับมาให้คุณได้” ไป๋หู่ประดับยิ้มมุมปากก่อนเดินลงไปเมื่อเห็นมีคนออกมาเปิดประตูเล็กเพื่อดูว่าใครที่มาเยี่ยมอย่างกะทันหัน และก็ไม่ผิดไปจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ คนรับใช้ตกตะลึงพรึงเพริดราวกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ ก็ไม่ปาน และสิ่งที่เจ้าตัวกระทำในตอนนั้นก็คือการวิ่งกลับเข้าไปในบ้านโดยที่ไป๋หู่เดินกลับมาที่รถอย่างใจเย็น รออยู่ไม่นานก็มีคนรับใช้อีกคนที่แก่วัยกว่าเดินเร็ว ๆ ออกมา ซากุระจำได้ทันทีว่าเป็นพ่อบ้านหวางนั่นเอง
ประตูใหญ่ของบ้านถูกเปิดออก ไป๋หู่จึงขยับรถเข้าไปด้านในและจอดเทียบอยู่ที่ทางเข้าในจุดที่ไม่น่าจะขวางทางเข้าออกจนน่าเกลียด
“เอาล่ะ เราไปพบคนที่ทำให้คู่หมั้นของคุณหายตัวไปกันเถอะ” ไป๋หู่ยิ้มกว้างแล้วเดินลงจากรถ ก่อนเดินอ้อมมาเปิดประตูและผายมือประคองหญิงสาวด้วยท่าทางของสุภาพบุรุษช่างเอาใจที่เจ้าตัวชำนิชำนาญ
พ่อบ้านหวางเดินนำชายหญิงทั้งสองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขารู้ดีว่าการมาของไป๋หู่ไม่ใช่ลางดีเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นจูเชว่ก็ยังอนุญาตให้เข้าพบโดยไม่ถามไถ่ด้วยซ้ำว่าทำไมจึงมากับซากุระได้ สีหน้าของเจ้านายของเขาในตอนนั้นบ่งบอกว่าได้เตรียมตัวเตรียมใจกับทุกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว สีหน้าปลงตกเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นใจอย่างไม่อาจอธิบายได้
พวกเขาถูกนำมาถึงห้องหนังสือ ซากุระรู้สึกแปลกใจที่ไม่ใช่ห้องรับแขกอย่างเคย
ทำไมกันนะ?
“เชิญครับ” พ่อบ้านหวางเปิดประตูออกแล้วผายมือให้บุคคลทั้งสอง ไป๋หู่เชิญให้ซากุระเข้าไปก่อนแล้วตนเองจึงตามเข้าไปอีกคน จากนั้นหวางซือก็ปิดประตูลงเช่นเดิม
ในห้องหนังสือบรรยากาศค่อนข้างสลัว ผิดกับปกติที่ห้องหนังสือควรจะมีแสงสว่างมากพอสำหรับสายตาที่จะต้องเพ่งไปบนเนื้อกระดาษ เหมือนกับว่าเฉพาะวันนี้เท่านั้นที่ห้องหนังสือถูกบรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงามืดดำของแผ่นหลังเหยียดตรงบดบังแสงที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างยิ่งทำให้ห้องนี้น่าอึดอัดมากขึ้นจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ จูเชว่” น้ำเสียงของไป๋หู่แอบแฝงแววของการเสียดสีอยู่เล็กน้อย
เซินจงหมุนตัวกลับมาด้วยสีหน้านิ่งสนิทที่ดูเหนื่อยล้าไปตามวัย เขาพยักหน้ารับด้วยท่าทีสุขุมและเลื่อนสายตามามองซากุระโดยไม่ได้ปรากฏอารมณ์ใดเป็นพิเศษ
“ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับฉันแล้วหรือ?” เซินจงกล่าว เสียงของเขาแหบแห้งกว่าปกติเล็กน้อยทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเค้นลมหายใจออกมา
ไป๋หู่กระตุกรอยยิ้ม ซากุระรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง ‘หึ’ เบา ๆ จากอีกฝ่าย
“คุณเดาแต่แรกแล้วว่าเป็นผม หรือคุณคิดว่าอาจจะเป็นชิงหลงก็ได้”
เซินจงฟังคำถามด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้และผายมือเบิญให้ทั้งสองนั่งลงด้วย ซากุระเป็นฝ่ายนำก่อน ไป่หู่จึงนั่งฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้องโดยมีโต๊ะสำหรับวางหนังสือตั้งคั่นกลางระหว่างทั้งสอง กระนั้นซากุระก็รู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นไปมาในบรรยากาศที่เงียบสงัด
“ภายนอกแล้วคุณเป็นคนนุ่มนวล แต่ความจริงแข็งกร้าว ผิดกับชิงหลงที่แข็งเพียงเปลือก ดังนั้นคนที่สุดท้ายแล้วต้องมาเผชิญหน้ากับผมต้องเป็นคุณอย่างแน่นอน” เซินจงตอบโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาทางสีหน้า ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหมายไม่ผิดเพี้ยน
“เพราะอย่างนั้นคุณถึงเลือกคุณหนูมินาโมโตะ?” ไป๋หู่ถามพร้อมบิดริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนกำลังดูแคลนอยู่เป็นนัย ๆ “รู้หรือเปล่า ถ้าเทียบกับผมแล้ว คุณน่ะหักหลังผู้หญิงได้เจ็บปวดยิ่งกว่าเสียอีก”
ซากุระมุ่นคิ้วขณะเหลือบมองสีหน้าซีดเซียวของเซินจงเมื่อได้ยินคำเสียดสีนั้น
“เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณเซินยังไงกันคะ?” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะดูเหมือนจะเป็นคำสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างพวกเขาทั้งสอง เธอไม่อาจเชื่อมโยงกับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งได้เลย แล้วหากเซินจงเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปนั้น ทำไมเขาจะต้องขอให้เธอหาเบาะแสด้วย?
“ยังไม่ได้เล่าสินะครับ เรื่องเก่า ๆ นั่นน่ะ” ไป๋หู่เอนหลังพิงพนัก ยกมือขึ้นเท้าคางและไขว่ห้างก่อนมองไปรอบ ๆ ตัว ไม่ทันไรก็สะดุดเข้ากับรูปภาพในกรอบไม้ตั้งอยู่บนชั้นวาง “นั่นไง เรื่องของผู้หญิงที่อยู่บนนั้น” เขาชี้ไปที่รูปภาพรูปหนึ่ง เป็นภาพถ่ายของหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายใครบางคนที่ใกล้ชิดพวกเขา