กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10  (อ่าน 127013 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #210 เมื่อ25-07-2012 18:12:30 »

   ก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าการได้ช่วยเซินหมิงเฟิ่งคือการที่เธอได้เลือกทางให้กับตัวเอง ได้ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจของตัวเองโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของพ่อ และเมื่อเธอช่วยคน ๆ นั้นสำเร็จ เธอก็จะเป็นอิสระจากผู้เป็นพ่อ จากสายสัมพันธ์จอมปลอมที่ผูกมัดเธอเอาไว้

   แต่ว่า...มันสำคัญมากถึงขนาดที่จะต้องแลกทุกอย่างของตัวเองไปหรือเปล่า...

   การกระทำเช่นนี้จะได้อะไรตอบแทน...

   หากเลิกเสียตอนนี้ เธอก็แค่กลับไปเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่รอคอยว่าพ่อของตนเองจะเลือกผู้ชายคนไหนมาเป็นคู่ชีวิตอีก อาจจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับมาเฟียอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่จะมีสามี มีครอบครัว มีลูกให้กับผู้ชายที่พ่อเลือกให้และอยู่ไปจนแก่เฒ่า

   แต่ชีวิตเช่นนั้นจะมีค่าอะไร? แค่เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือและตายไปอย่างไร้ค่าน่ะหรือ?

   และหากในวันนี้เธอเลิกล้มไปกลางคัน จะต้องใช้เวลาอีกเท่าใดจึงจะละเลยความรู้สึกผิดในครั้งนี้ได้ ความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้คน ๆ หนึ่งเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง และทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดก็จะกลายเป็นความว่างเปล่าเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เธอเองก็เคยพูดกับตนเองอยู่ไม่ใช่หรือ? สิ่งใดที่ไม่กระทำจนถึงที่สุด มันก็ไม่ต่างจากไม่ได้ลงมือกระทำเลย ไม่ว่าจะยากลำบากมาแค่ไหนก็ไม่มีค่าอะไรให้ใครจดจำ การกระทำที่ในที่สุดก็ต้องเลิกล้มไปแบบนั้นเป็นได้แค่ผู้แพ้เท่านั้นเอง

   “ค่ะ”

   ซากุระตอบกลับไปด้วยสายตามุ่งมั่นไม่มีความหวั่นไหว

   ไป๋หู่เห็นดังนั้นจึงเผยอรอยยิ้มออกมาก่อนจะลุกจากโซฟาแล้วเดินทอดน่องสบาย ๆ อ้อมไปด้านหลังหญิงสาวก่อนจะกล่าว

   “แน่ใจแล้วหรือที่รับปากแบบนั้น ผมอาจจะเรียกร้องสิ่งที่คุณให้ไม่ได้ก็ได้”

   “ฉันจะพยายามหามาให้ได้ค่ะ แต่ฉันรู้ว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่เรียกร้องสิ่งที่เกินกว่าผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างฉันจะสามารถมอบให้คุณได้” ซากุระดักทางเอาไว้ก่อนในขณะที่ไป๋หู่เดินเข้ามาประชิดด้านหลังพนักและเกี่ยวลอนผมของเธอด้วยปลายนิ้ว

   ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงสัมผัสปลายจมูกบนเส้นผมอย่างอ่อนโยนและผละออก

   “คุณมีความสัมพันธ์กับจูเชว่แบบไหนคุณน่าจะรู้ดี คำสัญญาของคุณเกี่ยวพันไปถึงทางนั้นด้วยนะอย่าลืมเสียล่ะ” ไป๋หู่กล่าวแล้วเดินอ้อมมาข้างหน้า ก่อนจะเท้าแขนคร่อมซากุระไว้ระหว่างโซฟาและตนเอง กระนั้นสายตาของเธอก็ไม่ได้แสดงความหวั่นไหวออกมา กลับยิ่งแข็งกร้าวและมุ่งมั่นมากขึ้น ทำให้เขายิ่งรู้สึกถูกใจผู้หญิงคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ช่างเป็นคนที่หาได้ยากจริง ๆ เสียดายที่จูเชว่ได้เธอไปเสียแล้ว

   “มีแค่ฉันที่ทำการตกลงกับคุณ”

   “ดูเหมือนคุณจะตั้งใจเอาตัวเองมาสังเวยเลยนะคุณหนูมินาโมโตะ” ไป๋หู่ว่าพลางหรี่ตา “คุณมีชีวิตอยู่มาโดยมีคนปกป้องตลอดเวลา คงไม่รู้เลยสินะว่าพาตัวเองเข้ามาในห้องของผู้ชายสองต่อสองแบบนี้จะเป็นยังไง” ว่าแล้ว เขาก็ช้อนแขนอุ้มหญิงสาวขึ้นจากโซฟา ซากุระส่งเสียงตกใจออกมาจากลำคอแค่เล็กน้อยก่อนจะถูกพาตัวเข้าไปในห้องนอนและทิ้งลงบนเตียง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัวหรือกระทั่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอถูกทิ้งลงบนเตียงกว้างและมีไป๋หู่คร่อมอยู่ด้านบน

   เงาดำของชายหนุ่มทอดลงมาบนตัว ซากุระเลื่อนสายตาขึ้นไปและเห็นแววประกายตาราวกับนักล่ากำลังจ้องมองเหยื่ออยู่เหนือศีรษะของตนเอง

   “คุณคิดจะทำอะไรคะ....” ซากุระทำใจแข็งถามกลับไป ทั้งที่ใจก็รู้ดีอยู่แล้วว่าในสถานการณืแบบนี้คงไม่น่าคิดเป็นอื่นไปได้

   “คุณบอกเองไม่ใช่หรือครับ? ว่าจะยอมให้อะไรก็ตามที่ผมต้องการ” ไป๋หู่ว่าพลางไล้หลังมือไปตามโครงหน้าสวยได้รูป

   “ทั้งที่ฉันเป็นคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่น่ะหรือคะ.....”

   ไป๋หู่หัวเราะเสียงลึก

   “คงเพราะคุณเป็นคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่นั่นแหละมันถึงน่าท้าทาย”

   ซากุระสูดลมหายใจเข้าปอด ความกลัวค่อย ๆ จู่โจมเข้ามาในจิตใจอย่างช้า ๆ เมื่อคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้เธอไม่อาจตอบโต้อะไรได้เลย ไป๋หู่มีเรี่ยวแรงมากกว่า มีข้อต่อรองที่มีเหตุผลกว่า จะด้วยทางใดก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้เมื่อเธอตกปากรับคำไปแล้ว

   หญิงสาวเม้มปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคล้ายตัดใจแล้ว

   ไป๋หู่เลิกคิ้ว

   “คุณยอมแพ้ง่ายกว่าที่คิดนะ”

   “ฉันไม่ได้คิดจะยอมแพ้ แต่นี่คือวิธีที่ฉันจะสู้กับคุณ” ซากุระจ้องตาอีกฝ่ายกลับอย่างไร้ความกลัวเกรงแตกต่างจากสีหน้าในวินาทีก่อนโดยสิ้นเชิง

   “มันคุ้มค่าจริง ๆ หรือ? คุณหนูมินาโมโตะ ถึงคุณจะทำเพื่อเขามากเท่าไหร่เขาก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าคุณฝ่าฟันอะไรมาบ้าง สิ่งที่เขาจะรู้เมื่อได้กลับมาสู่บ้านของตัวเองก็คือ คู่หมั้นของเขาทรยศด้วยการหลับนอนกับคนอื่นในระหว่างที่ตัวเองไม่อยู่” ไป๋หู่ว่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่ใช่เรื่องที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้อง “แล้วคุณจะได้อะไรตอบแทนกันล่ะ? ถูกขับไล่จากตระกูลเซิน ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงสกปรกและไร้ค่า คู่หมั้นของคุณจะหาผู้หญิงคนใหม่ที่คู่ควรกว่า ส่วนคุณก็หมดที่ไปเพราะบ้านเดิมของคุณก็คงไม่ต้องการผู้หญิงที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เหมือนกัน”

   ซากุระเผลอขบริมฝีปากตนเองจนรู้สึกเจ็บก่อนจะหลับตาตั้งสติ

   “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงไร้ค่า”

   “ผู้หญิงที่มีเกียรติน่ะ ไม่ทอดกายให้ผู้ชายคนอื่นง่าย ๆ ทั้งที่หมั้นหมายแล้วหรอกนะครับ” ไป๋หู่จงใจใช้น้ำเสียงเย้ยหยันกึ่งประชดประชัน

   “สิ่งที่ฉันทำก็เพื่อช่วยคู่หมั้นของตัวเอง ถ้าหากเขามองไม่เห็นสิ่งที่ฉันทำเขาก็คงโง่เกินกว่าจะคู่ควรกับฉันเหมือนกัน” ซากุระตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ “ฉันรู้สิ่งที่ฉันทำ เกียรติของฉันอยู่ตรงไหนฉันคือคนตัดสินไม่ใช่คุณหรือพวกผู้ชายข้างนอกนั่น คนที่ควรจะละอายใจมากกว่าควรจะเป็นคุณที่ใช้เงื่อนไขมาต่อรองเพื่อข่มเหงผู้หญิงไร้ทางสู้”

   ไป๋หู่ชะงัก ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกต่อว่ากลับเอาเช่นนี้ แต่เขาก็หัวเราะออกมาหลังจากชะงักไปไม่กี่วินาที

   “ให้ตายสิ ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณจะปากร้ายขนาดนี้” เขาว่าและผละออกโดยที่ซากุระยังคงงงงวยกับปฏิกิริยาของไป๋หู่ที่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเธอตั้งแต่ต้นแล้ว และที่กระทำเมื่อครู่ก็เป็นเพียงการขู่ให้กลัวเท่านั้น

   “คุณจะไม่ทำอะไรฉันหรือคะ?”

   ไป๋หู่กลอกตาเล็กน้อย

   “ความจริงแล้ว ผมค่อนข้างจะนิสัยเสียอยู่นิดหน่อย เรื่องการปราบพยศผู้หญิงน่ะเหมือนงานอดิเรกก็ว่าได้” เจ้าตัวพูดอย่างไม่อายปาก “เพราะอย่างนั้นผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าหาผมมักจะทำตัวน่าท้าทาย แต่คนที่เข้มแข็งแบบคุณผมเพิ่งจะเคยเจอนี่แหละ ถึงทำให้ผมยิ่งสนใจเข้าไปอีก” เขาว่าเช่นนั้นก่อนจะเชยคางมนของหญิงสาวและเลื่อนปลายนิ้วไปตามพวงแก้ม

   ซากุระยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน ว่าตกลงเขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่

   “แต่ว่าน่าเสียดายนะครับ” ไป๋หู่พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดจริงจังขึ้นก่อนเหยียดยิ้มลึกลับออกมา “เพราะนอกจากคนในครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกับผมแล้ว คุณคือผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด”

   ซากุระมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย แต่เธอก็พบว่าไป๋หู่ปิดบังความคิดตัวเองอย่างมิดชิด มีเพียงคำพูดเมื่อครู่เท่านั้นที่บ่งบอกได้ว่าเขาไม่ทำอันตรายกับเธออย่างแน่นอน

   “ถ้าอย่างนั้น....”

   “ไม่ต้องห่วง ผมคิดค่าตอบแทนไว้แล้ว และผมจะพาเซินหมิงเฟิ่งกลับมาให้คุณได้อย่างแน่นอน” ไป๋หู่ลุกขึ้นจากเตียงก่อนหันมือผายมือให้ซากุระใช้ประคองตัวขึ้น

   “แล้วฉันจะต้องทำอะไรบ้างคะ?” ซากุระเอ่ยถามพลางจัดเสื้อตัวเองที่ยับย่นผิดรูปไปเล็กน้อย และผมเพ้าที่ยุ่งไปจากปกติ

   “เอาอย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะไปรับคุณที่บ้านตอนสายหน่อย แล้วเราค่อยไปจัดการเรื่องนี้ด้วยกัน ตกลงไหม?” ไป๋หู่พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าตอนแรก ความจริงแล้วเจ้าตัวกำลังใช้น้ำเสียงที่เป็นไปตามมารยาทสากลซึ่งมักใช้เวลาเจรจาธุรกิจหรือพูดกับคนที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา

   ซากุระยังคงสงสัยและไม่ปักใจเชื่อผู้ชายคนนี้โดยง่าย

   “ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะคะ” แต่ตอนนี้คงต้องยอมเชื่อไปก่อน เพราะไป๋หู่เป็นทางเดียวที่จะช่วยเหลือเธอได้ในตอนนี้

   ไป๋หู่เดินออกไปส่งซากุระ และเมื่อหญิงสาวเดินออกไปแล้วเขาก็เหยียดรอยยิ้มออกมา

   น่าเสียดายนะจูเชว่....ผมจะไม่เดินตามเกมของคุณหรอก....

   ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ไป๋หู่เดินไปกดรับแล้วยกแนบหู

   “เป็นยังไงบ้างครับ?”

   “ก็เกือบไปเหมือนกัน” ไป๋หู่หัวเราะ “เจอผู้หญิงตรงสเปคแบบนี้ ทรมานใจจริง ๆ ที่แตะต้องไม่ได้” เขาทำเป็นสวมบทผู้ชายป่วยเป็นไข้ใจจนปลายสายนึกหมั่นไส้

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คุณนั่งเลียแผลใจไปก่อนก็แล้วกัน”

   “งอนหรือ หลางเมี่ยวเจิน” ไป๋หู่หยอกปนขำ “เอาเถอะ พรุ่งนี้ผมคงจะไปธุระนิดหน่อยคุณไม่ต้องมาหาผมหรอกนะ”

   “ดูเหมือนจะถึงเวลาเสือออกจากถ้ำบ้างแล้วสินะครับ” หลางเมี่ยวเจินพูดอย่างรู้ทัน ความจริงขาก็พอจะเดาทุกอย่างได้แต่ต้นแล้วแต่ไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันเท่านั้นเอง ถึงอย่างนั้นซากุระก็เลือกเข้าทางน้องสาวของเขา ตัวเองจึงตกกระไดพลอยโจนอย่างช่วยไม่ได้

   “ครับ เดี๋ยวก็จบแล้ว” ไป๋หู่พูดอย่างมั่นใจ

   ใช่...แค่ไม่นานก็จบแล้ว....

TBC


เซียร์เปิดเพจไว้ให้ติดตามข่าวสารจองนิยายแล้วนะคะ

http://www.facebook.com/ZiarNovel

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #211 เมื่อ25-07-2012 20:39:50 »

อ๊ากกก จะเล่นอะไรกันอีกนะ
รอลุ้นน

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #212 เมื่อ26-07-2012 02:16:15 »

ใช่...แค่ไม่นานก็จบแล้ว....
^
รู้สึกเหมือน อิกไม่นานเรื่องนี้ก้จะจบแล้วสินะ ยังไงไม่รู้ 5555

เรามารอ ๆ ลุ้น ๆ กันต่อไป

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #213 เมื่อ26-07-2012 07:28:38 »

อดทนอีกหน่อยนะซากุระ อีกไม่นานก็จบแล้ว................ชักกังวลที่ว่าจบแล้วนี่จบแบบไหนหว่า :serius2:
หาคู่ให้ซากุระสักคนเถอะ ชีวิตเธอช่าง  :o12:

รอตอนหน้าค่า  o13

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #214 เมื่อ26-07-2012 12:18:12 »

ชิงหลงน่ารักอ่ะ 55555
ชอบดอกทานตะวันใช่มั๊ยล่ะ

ชอบไป่หู๋กับหลางเมี่ยวเจินอ่ะ >___<

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #215 เมื่อ26-07-2012 14:31:34 »

ซากุระใกล้จะเจอหมิงแล้ว รึเปล่า?

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #216 เมื่อ26-07-2012 16:11:13 »

หลังจากคู่นี้จบจะมีคู่ไป่หู๋กับหลางเมี่ยวเจินรึเปล่าคะ :m13:

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #217 เมื่อ27-07-2012 02:29:04 »





    โฮ่ ลึกลับซับซ้อนเข้าไปทุกที
    เค้าชอบนิสัยกับบุคลิกของคุณซากุระจังเลยอ่า
    แต่ไปน่าต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกะพวกเสือสิงพวกนั้นเลย น่าสงสารจัง




ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #218 เมื่อ27-07-2012 10:49:55 »

-26-


   “ดูเหมือนว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะนะครับ” นายแพทย์กล่าวหลังจากเข้ามาตรวจอาการผู้ป่วยกิตติมศักดิ์ นางพยาบาลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็บันทึกอาการไปตามเรื่องตามราวโดยไม่ได้พูดอะไรและเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผู้ป่วยเป็นระยะ แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่เคยยิ้มตอบเลยก็ตาม เธอก็ยังทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขันราวกับรอยยิ้มเป็นของแจกฟรี

   หลังจากสาธยายทุกอย่างเรียบร้อย นายแพทย์และนางพยาบาลก็ขอตัวกลับออกไป ทำให้ห้องนั้นกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งว่า “ยังไงพรุ่งนี้คุณก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

   “ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะออกภายในวันนี้” ชิงหลงพูดอย่างเอาแต่ใจ ปกติคนอย่างชิงหลงคงไม่เคยมีใครขัดใจอยู่แล้วกระมัง ซ้ำอาการของเจ้าตัวก็ไม่ได้หนักหนาถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์แบบนี้ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งถ้าให้เดา ก็คงไม่พ้นช่วงเอาคืนของโจเซซึ่งรู้ว่าชิงหลงเกลียดการต้องอยู่เฉย ๆ ในสถานที่ที่ไม่ใช่ของตนเองแบบนี้ ถึงจงใจให้หมอและพยาบาลรั้งเอาไว้ไม่ยอมให้กลับแต่โดยดี ทำให้ชิงหลงต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงอย่างช่วยไม่ได้

   เซินหมิงเฟิ่งได้แต่ยิ้มแหยกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้มีอำนาจจะไปบงการอะไรใครได้ ส่วนตัวต้นเหตุน่ะหรือ? เจ้าตัวก็ยืนยิ้มแฉ่งไม่รู้ร้อนหนาวอยู่ถัดไปนี้เอง

   “ว้า น่าเสียดายจังนะ ฉันนึกว่านายจะออกได้วันนี้เสียอีก อุตส่าห์เตรียมรถมารับ” โจเซแสร้งทำเสียงเสียดมเสียดายและตีหน้าเศร้าอย่างที่แค่มองก็รู้ว่าจงใจปั้น

   “นายมันแสดงละครไม่ได้เรื่อง” ชิงหลงค่อนแคะ

   “อย่ามาโมโหใส่ฉันสิ ไม่ได้ยินหรือว่าคุณหมอเป็นคนบอกให้นายกลับพรุ่งนี้ ไม่ใช่ฉันเสียหน่อย” ชายหนุ่มผมทองไหวไหล่ด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท

   ชิงหลงถลึงตามองอย่างรู้ทัน

   หากโจเซไม่สั่งไว้ มีหรือเขาจะถูกกักตัวไว้นานแบบนี้

   “ชักจะหิวแล้วสิ เอาเป็นว่าฉันจะพามินไปกินอะไรอร่อย ๆ ก่อนล่ะนะ ส่วนคนป่วยก็ต้องกินอาหารจืด ๆ ของโรงพยาบาลต่อไปเพื่อสุขภาพ” เจ้าตัวยังไม่วายทิ้งท้ายให้ชิงหลงปวดประสาทเล่นก่อนจะวางมือแหมะลงบนไหล่ของเซินหมิงเฟิ่งเป็นเชิงกระตุ้นให้ตามเขาออกไปด้วยกัน

   “ถ้าอย่างนั้น แล้วเจอกันนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวก่อนจะเดินตามแรงออกไป

   เมื่อพวกเขาขึ้นรถกันเรียบร้อย โจเซก็เปรยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

   “ดูคุณสงบขึ้นนะ”

   “หมายถึงอะไรหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งอดที่จะถามกลับไม่ได้

   “จะว่ายังไงดี” โจเซหยุดคิดไปเล็กน้อยพลางโคลงหัวไปมา “ช่วงแรกคุณดูจะระมัดระวังตัวและเหมือนกำลังมองหาโอกาสอะไรบางอย่างอยู่ตลอด หลังจากนั้นบางครั้งก็ดูหวาดระแวง บางทีก็เหมือนตั้งกำแพงขวางขึ้นมา ยิ่งหลังจากเสียคิมหันต์ไป คุณก็ดูจะยิ่งสับสนและไม่แน่ใจเหมือนหาที่พึ่งไม่เจอ และมันก็น่าแปลกที่ในตอนแรกคุณดูจะคิดถึงบ้านมากและไม่มีความสุขกับความเป็นอยู่ ณ ปัจจุบันเลย แต่ตอนนี้คุณกลับทำตัวเป็นธรรมชาติแถมยังพูดคุยกับเวย์ได้ดีไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์”

   เซินหมิงเฟิ่งฟังที่โจเซอธิบายจบแล้วจึงหัวเราะออกมา

   “ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”

   “อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่การมองคุณก็ไม่ต่างจากการมองแก้วสีหรอก แค่รู้ว่าเป็นแก้วสีอะไร ก็เดาสีสันของสิ่งที่อยู่ข้างในได้แล้ว” ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนกล่าวพลางยิ้มสบาย ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ดี และน้ำเสียงที่ใช้ก็เหมือนออกแนวหยอกล้อมากกว่าค่อนแคะ

   “คงเป็นเพราะว่า ผมยอมรับสภาพแล้วล่ะมั้งครับ...” เซินหมิงเฟิ่งตอบพลางถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา “ถ้าสิ่งที่ชิงหลงพูดมาเป็นความจริง แปลว่าผมเองก็ต้องยอมรับกฎข้อนั้นด้วย มันเป็นเหมือนหน้าที่ที่ติดตัวผมมาพร้อมกับสายเลือดและความรับผิดชอบ”

   โจเซนิ่งฟังโดยไม่ได้พูดแทรก ทำให้เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ เล่าความรู้สึกของตนเองออกมาทีละน้อย

   “ถึงผมจะเคยพยายามคิดว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งในตัวของผมตระหนักอยู่เสมอว่าผมคือใคร ดังนั้นสิ่งที่ชิงหลงทำและพูดมาแต่แรกไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจ แต่ผมแค่พยายามจะหนีและเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เขาส่ายศีรษะน้อย ๆ “แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมต้องยอมรับแล้วว่าสิ่งใดก็ตามที่พ่อของผมทำลงไป ท่านกำลังรับโทษของมันอยู่ ท่านจะไม่มีวันได้เจอกับผมอีก นั่นคือสิ่งที่ชิงหลงตัดสินโทษให้ซึ่งก็นับว่าเป็นความกรุณาแล้วที่เขาไม่ทำร้ายผม”

   สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งพูดมาค่อนข้างเข้าใจยากสำหรับคนอย่างโจเซที่เกิดมาในวัฒนธรรมตะวันตกและไม่เข้าใจแนวคิดของคนตะวันออกสักเท่าไหร่

   “ถ้าอย่างนั้น คุณจะทำยังไงต่อ?”

   เซินหมิงเฟิ่งพรูลมหายใจเมื่อได้ยินคำถาม

   “เงื่อนไขของชิงหลงมีแค่การพรากสิ่งสำคัญไปจากพ่อของผม ดังนั้นขอแค่พ่อไม่ได้ผมกลับไป อย่างอื่นก็สามารถยืดหยุ่นได้ คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือครับ?” หลังกล่าวจบ ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างเหมือนเด็ก ๆ

   “คุณนี่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ” โจเซหัวเราะในคอ

   “เรียกว่ารู้จักอาศัยช่องว่างดีกว่าครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะตอบ “ถ้ายังอยู่ในเงื่อนไขที่ชิงหลงตั้งไว้ จะอยู่อิตาลีหรือฮ่องกงก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าผมยอมรับเงื่อนไขของเขา บางที....ชิงหลงคงจะยอมให้ผมกลับไปฮ่องกง ถึงจะไม่ให้พ่อเจอไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอให้ผมรู้ว่าท่านยังสบายดีก็พอแล้ว ส่วนคู่หมั้นของผม ก็คงแล้วแต่สวรรค์ลิขิตล่ะมั้งครับ ถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริง เธอคงจะรอผมอยู่”

   “หืม? คุณมีคู่หมั้นด้วยหรือ น่าสงสารเหมือนกันนะครับ” โจเซว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณเองก็ต้องเตรียมใจเหมือนกันว่าจะต้องอยู่กับชิงหลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นอิสระ”

   อิสระ....นั่นสินะ....

   เซินหมิงเฟิ่งยิ้มขื่น

   “ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมจะโทษพ่อก็ไม่เต็มปากเพราะผมเชื่อว่าพ่อไตร่ตรองดีแล้วและคิดว่าคุ้มค่าถึงได้ทำลงไปแบบนั้น”

   โจเซกลอกตา

   “อีกอย่าง ผมว่าอยู่กับชิงหลงก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ พอรู้จักกันจริง ๆ แล้ว เขาก็แค่เปิดใจรับคนยากเท่านั้นเอง” เซินหมิงเฟิ่งพูดต่อแล้วเกาปลายจมูกเขิน ๆ “แต่ผมอาจจะถูกต่อว่าเป็นลูกเนรคุณก็ได้ ที่ไม่ได้กลับไปดูแลพ่อให้ดีจนถึงวาระสุดท้าย”

   “ถ้าเป็นความจำเป็นและคุณคิดว่าดีแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดไม่ใช่หรือครับ” โจเซคิดตามหลักเหตุผล “แต่ผมค่อนข้างประหลาดใจอยู่นะ ที่คุณคิดว่าการอยู่กับเวย์ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายน่ะ”

   เสียงหัวเราะดังแผ่ว ๆ ข้างตัว

   โจเซเหลือบตามอง และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าตัวเองเห็นสีแดงเรื่อบนแก้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

   อืม....

   ดูเหมือนแผนการของนายจะได้ผลเกินคาดไปเยอะเลยนะ...เวย์...

------------------------->

   เสียงแตรรถบ่งบอกว่าผู้ที่เธอรออยู่ได้มาถึงแล้ว ซากุระสวมเสื้อนอกและเร่งรีบออกไปยังประตูบ้านโดยมีการ์ดวิ่งนำไปก่อนเพื่อดูว่าใครเป็นคนที่มารบกวน

   “ฉันมารับคุณหนูมินาโมโตะ เรานัดกันไว้ว่าจะไปธุระด้วยกันน่ะ” ไป๋หู่เยี่ยมหน้าออกไปนอกกระจกรถ มากพอที่การ์ดจะเห็นว่าเป็นใคร ทำให้การ์ดคนดังกล่าวตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปเป็นหินในบัดดล แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็รู้สึกตัวและกุลีกุจอไปเปิดประตูเล็กให้ซากุระเดินออกไปเพื่อไม่ให้คนสำคัญต้องรอนานนัก แน่นอนว่ามันคงไม่ดีหากพวกเขาทำอะไรขัดใจหนึ่งในสี่ผู้นำเข้า

   “ฝากดูแลบ้านด้วยนะคะ” ซากุระบอกแล้วเดินไปขึ้นรถของไป๋หู่ท่ามกลางสายตาแสดงความสงสัยของการ์ดและคนรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์

   หรือว่า...คุณหนูตระกูลมินาโมโตะคิดจะเบนเข็มไปทางไป๋หู่เสียแล้ว?

   แล้วนายน้อยของพวกเขาล่ะ!?

----------------------------->

   “คุณเห็นหน้าพวกเขาหรือเปล่า คงจะตกใจกันน่าดู” ไป๋หู่พูดกลั้วเสียงหัวเราะในคอราวกับว่าการปรากฏตัวให้คนอื่นตกอกตกใจเล่นเป็นงานอดิเรกที่แสนโปรดปราน

   “ใครจะไม่ตกใจล่ะค่ะ คนระดับคุณมาเยือนถึงที่แบบนี้ ซ้ำยังขับรถมาเองด้วย” ซากุระเองยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดไป๋หู่จึงขับรถมาเองคนเดียวเช่นนี้ โดยปกติน่าจะมีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลังเพื่ออารักขามิใช่หรือ “แล้ว...ไม่อันตรายหรือคะ?”

   “ไม่หรอกครับ สถานที่ที่ผมจะไปไม่มีอันตรายแน่นอน” ไป๋หู่รับรองด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้ซากุระไม่มีอะไรจะคัดค้าน

   “แล้วเราจะไปที่ไหนกันคะ?” หญิงสาวถามแล้วเสมองข้างทาง ทิวทัศน์แบบนี้ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก น่าจะเป็นเส้นทางที่ผ่านบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้

   “เดาหน่อยไหม?”

   ซากุระมุ่นคิ้วพลางนึกสงสัยว่าสถานที่ไหนกันที่ไป๋หู่นะเธอไปหาแล้วจะสามารถช่วยเซินหมิงเฟิ่งได้ หรือว่าเป็นสถานที่ที่เซินหมิงเฟิ่งถูกกักขังอยู่? หรืออาจจะเป็นบ้านของคนที่กักขังเซินหมิงเฟิ่งเอาไว้ หรือบางที เขาอาจจะแค่นำพาเธอไปหาอีกเบาะแสหนึ่งก็เป็นได้

   ซากุระส่ายศีรษะ

   “ฉันเดาไม่ออกหรอกค่ะ”

   ไป๋หู่หัวเราะขำขัน

   “เส้นทางนี้คุณน่าจะพอจำได้นะครับคุณหนูมินาโมโตะ เอาล่ะ ถ้าเลี้ยวตรงนี้....” เขาว่าแล้วก็เลี้ยวรถไปตามที่บอก ไม่นานก็ปรากฏเส้นทางที่ยิ่งกว่าคุ้นตา ซากุระจดจำมันได้อย่างทันที แต่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา รถก็แล่นเข้าเทียบหน้าประตูรั้วของบ้านสองชั้นแบบเก่าหลังหนึ่งแล้ว แผ่นไม้หน้าประตูถูกตอกตะปูติดเอาไว้อย่างแน่นหนา ตัวอักษรที่ตวัดด้วยลายพู่กันดูทรงพลังนั้นเขียนว่า ‘เซิน’

   “ที่นี่....บ้านคุณเซิน?” ซากุระพึมพำ “ที่นี่มีอะไรหรือคะ?”

   “ที่นี่แหละ ที่จะพาเซินหมิงเฟิ่งกลับมาให้คุณได้” ไป๋หู่ประดับยิ้มมุมปากก่อนเดินลงไปเมื่อเห็นมีคนออกมาเปิดประตูเล็กเพื่อดูว่าใครที่มาเยี่ยมอย่างกะทันหัน และก็ไม่ผิดไปจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ คนรับใช้ตกตะลึงพรึงเพริดราวกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ ก็ไม่ปาน และสิ่งที่เจ้าตัวกระทำในตอนนั้นก็คือการวิ่งกลับเข้าไปในบ้านโดยที่ไป๋หู่เดินกลับมาที่รถอย่างใจเย็น รออยู่ไม่นานก็มีคนรับใช้อีกคนที่แก่วัยกว่าเดินเร็ว ๆ ออกมา ซากุระจำได้ทันทีว่าเป็นพ่อบ้านหวางนั่นเอง

   ประตูใหญ่ของบ้านถูกเปิดออก ไป๋หู่จึงขยับรถเข้าไปด้านในและจอดเทียบอยู่ที่ทางเข้าในจุดที่ไม่น่าจะขวางทางเข้าออกจนน่าเกลียด

   “เอาล่ะ เราไปพบคนที่ทำให้คู่หมั้นของคุณหายตัวไปกันเถอะ” ไป๋หู่ยิ้มกว้างแล้วเดินลงจากรถ ก่อนเดินอ้อมมาเปิดประตูและผายมือประคองหญิงสาวด้วยท่าทางของสุภาพบุรุษช่างเอาใจที่เจ้าตัวชำนิชำนาญ

   พ่อบ้านหวางเดินนำชายหญิงทั้งสองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขารู้ดีว่าการมาของไป๋หู่ไม่ใช่ลางดีเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นจูเชว่ก็ยังอนุญาตให้เข้าพบโดยไม่ถามไถ่ด้วยซ้ำว่าทำไมจึงมากับซากุระได้ สีหน้าของเจ้านายของเขาในตอนนั้นบ่งบอกว่าได้เตรียมตัวเตรียมใจกับทุกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว สีหน้าปลงตกเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นใจอย่างไม่อาจอธิบายได้

   พวกเขาถูกนำมาถึงห้องหนังสือ ซากุระรู้สึกแปลกใจที่ไม่ใช่ห้องรับแขกอย่างเคย

   ทำไมกันนะ?

   “เชิญครับ” พ่อบ้านหวางเปิดประตูออกแล้วผายมือให้บุคคลทั้งสอง ไป๋หู่เชิญให้ซากุระเข้าไปก่อนแล้วตนเองจึงตามเข้าไปอีกคน จากนั้นหวางซือก็ปิดประตูลงเช่นเดิม

   ในห้องหนังสือบรรยากาศค่อนข้างสลัว ผิดกับปกติที่ห้องหนังสือควรจะมีแสงสว่างมากพอสำหรับสายตาที่จะต้องเพ่งไปบนเนื้อกระดาษ เหมือนกับว่าเฉพาะวันนี้เท่านั้นที่ห้องหนังสือถูกบรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงามืดดำของแผ่นหลังเหยียดตรงบดบังแสงที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างยิ่งทำให้ห้องนี้น่าอึดอัดมากขึ้นจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

   “ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ จูเชว่” น้ำเสียงของไป๋หู่แอบแฝงแววของการเสียดสีอยู่เล็กน้อย

   เซินจงหมุนตัวกลับมาด้วยสีหน้านิ่งสนิทที่ดูเหนื่อยล้าไปตามวัย เขาพยักหน้ารับด้วยท่าทีสุขุมและเลื่อนสายตามามองซากุระโดยไม่ได้ปรากฏอารมณ์ใดเป็นพิเศษ

   “ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับฉันแล้วหรือ?” เซินจงกล่าว เสียงของเขาแหบแห้งกว่าปกติเล็กน้อยทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเค้นลมหายใจออกมา

   ไป๋หู่กระตุกรอยยิ้ม ซากุระรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง ‘หึ’ เบา ๆ จากอีกฝ่าย

   “คุณเดาแต่แรกแล้วว่าเป็นผม หรือคุณคิดว่าอาจจะเป็นชิงหลงก็ได้”

   เซินจงฟังคำถามด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้และผายมือเบิญให้ทั้งสองนั่งลงด้วย ซากุระเป็นฝ่ายนำก่อน ไป่หู่จึงนั่งฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้องโดยมีโต๊ะสำหรับวางหนังสือตั้งคั่นกลางระหว่างทั้งสอง กระนั้นซากุระก็รู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นไปมาในบรรยากาศที่เงียบสงัด

   “ภายนอกแล้วคุณเป็นคนนุ่มนวล แต่ความจริงแข็งกร้าว ผิดกับชิงหลงที่แข็งเพียงเปลือก ดังนั้นคนที่สุดท้ายแล้วต้องมาเผชิญหน้ากับผมต้องเป็นคุณอย่างแน่นอน” เซินจงตอบโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาทางสีหน้า ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหมายไม่ผิดเพี้ยน

   “เพราะอย่างนั้นคุณถึงเลือกคุณหนูมินาโมโตะ?” ไป๋หู่ถามพร้อมบิดริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนกำลังดูแคลนอยู่เป็นนัย ๆ “รู้หรือเปล่า ถ้าเทียบกับผมแล้ว คุณน่ะหักหลังผู้หญิงได้เจ็บปวดยิ่งกว่าเสียอีก”

   ซากุระมุ่นคิ้วขณะเหลือบมองสีหน้าซีดเซียวของเซินจงเมื่อได้ยินคำเสียดสีนั้น

   “เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณเซินยังไงกันคะ?” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะดูเหมือนจะเป็นคำสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างพวกเขาทั้งสอง เธอไม่อาจเชื่อมโยงกับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งได้เลย แล้วหากเซินจงเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปนั้น ทำไมเขาจะต้องขอให้เธอหาเบาะแสด้วย?

   “ยังไม่ได้เล่าสินะครับ เรื่องเก่า ๆ นั่นน่ะ” ไป๋หู่เอนหลังพิงพนัก ยกมือขึ้นเท้าคางและไขว่ห้างก่อนมองไปรอบ ๆ ตัว ไม่ทันไรก็สะดุดเข้ากับรูปภาพในกรอบไม้ตั้งอยู่บนชั้นวาง “นั่นไง เรื่องของผู้หญิงที่อยู่บนนั้น” เขาชี้ไปที่รูปภาพรูปหนึ่ง เป็นภาพถ่ายของหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายใครบางคนที่ใกล้ชิดพวกเขา

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #219 เมื่อ27-07-2012 10:52:16 »

   หัวข้อสนทนานั้นเรียกเสียงหายใจเฮือกจากเซินจงอย่างทันที ส่วนซากุระก็ยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ชัดเจนนัก ด้วยเหตุนั้น ไป๋หู่จึงเป็นคนเริ่มต้นบทนำขึ้นมาก่อน

   “ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เกิดมาในตระกูลใหญ่ แวดล้อมด้วยบริวารและญาติมิตร มีชีวิตอยู่ในปราสาทหลังน้อย ๆ อย่างมีความสุขโดยไม่ได้คำนึงถึงโลกภายนอก” เขาเกริ่นนำเหมือนกำลังเล่านิทาน “จนกระทั่งหญิงสาวเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง มีความงามถึงขนาดที่ชายหนุ่มทั้งหลายหมายปอง พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติและความรัก เธอจึงถูกทาบทามเป็นคู่หมั้นคู่หมายของชายอีกคนหนึ่งที่คู่ควรกัน”

   สายตาของเซินจงละจากใบหน้าของไป๋หู่ไปยังกรอบภาพที่ตั้งไม่ไกลออกไป ในดวงตาคู่นั้นปรากฏความเศร้าสร้อยออกมาอย่างเห็นได้ชัด

   “แต่แล้ว ก็มีชายอีกคนหนึ่งหมายปองเธอเช่นกัน เขาล่อลวงเธอให้ลุ่มหลงและละทิ้งหน้าที่ ละทิ้งครอบครัว ละทิ้งคนที่หมั้นหมายกันไว้ และไปอยู่กับชายคนนั้นโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลย” ไป๋หู่แสยะรอยยิ้มออกมา “น่าเสียดายที่นิทานเรื่องนี้จบลงด้วยโศกนาฏกรรม เพราะหญิงสาวกลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานก็เสียชีวิตด้วยโรคร้ายราวกับเป็นคำสาปจากบาปของพวกเขา”

   “พอแล้ว!” เซินจงกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะดังปัง ดังมากพอที่จะทำให้ซากุระสะดุ้งเฮือกและมองไปยังใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ทั้งอ่อนล้า โศกเศร้า และโกรธเคือง

   ไป๋หู่แย้มรอยยิ้มพึงใจ

   “ชื่อของเธอคนนั้น....คือฉินเหมยลี่”

   ฉิน?

   ซากุระทวนแซ่ของหญิงสาวในใจ หากเธอจำไม่ผิด แซ่ฉินคือตระกูลของชิงหลงไม่ใช่หรือ?

   เซินจงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาลุกขึ้น ไขว้มือไว้ข้างหลัง แล้วเดินวนไปที่หน้าต่างอีกครั้งเหมือนกับอยากจะพูดกับสิ่งที่อยู่ข้างนอกมากกว่าสิ่งที่อยู่ข้างใน

   “ฉินเหมยลี่คือนายหญิงเล็กของบ้านนี้ พูดในอีกแง่คือ เป็นแม่เลี้ยงของอาหมิงนั่นแหละ”

   ซากุระเบิกตาด้วยความรู้สึกเหนือความคาดหมาย เธอไม่เคยรู้เลยว่าเซินหมิงเฟิ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับชิงหลงอยู่ด้วย

   “อาหมิงเกิดมาโดยที่แม่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ฉันก็ดูแลเขามาเพียงลำพัง และในตอนที่ฉันคิดว่าเขาควรจะมีแม่คอยดูแล เธอคนนั้น....ฉินเหมยลี่....ก็ปรากฏตัวขึ้น” เซินจงทอดสายตาออกไปไกล ท้องฟ้าสีครามสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเขา “ในตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว รู้แค่ว่าเป็นน้องสาวของชิงหลงในตอนนั้น หรือก็คืออาของชิงหลงคนปัจจุบัน เธอเป็นหญิงสาวทีเพียบพร้อมไปทุกอย่าง และเมื่อเราทำความรู้จักกัน พบเจอกันบ่อยครั้ง มันก็มีสายใยบาง ๆ เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน พูดไปแล้วก็น่าละอายแต่ในตอนนั้นทั้งฉันและเธอต่างก็ใจตรงกัน และเธอก็เอ็นดูอาหมิงเหมือนลูก ถึงอย่างนั้นพี่ชายของเธอกลับไม่ยินยอม เพราะเขาได้มอบเธอให้กับไป๋หู่ไปแล้วและเขาไม่ยอมให้เรื่องนี้ทำให้ต้องเกิดการผิดใจกันขึ้น”

   ซากุระเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ที่แท้แล้วอาของชิงหลงคนปัจจุบันคือแม่เลี้ยงของเซินหมิงเฟิ่ง แต่ว่าเธอหมั้นกับไป๋หู่คนก่อนอยู่ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้เธอกลายมาเป็นนายหญิงของบ้านนี้ได้ก็....

   “เป็นการตัดสินใจที่น่าดูแคลนสำหรับคนรอบข้าง แต่สำหรับพวกเราแล้วมันคือทางที่ดีที่สุด” เซินจงก้มหน้าลง “เหมยลี่ทิ้งตระกูลและเกียรติยศของตัวเองและมาแต่งงานกับฉัน อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัว แต่ว่าฉันก็คิดว่าฉันทำสิ่งที่ดีให้อาหมิง เพราะเขาจะได้มีแม่อย่างคนอื่น ๆ แม่ที่สามารถรักเขาได้แม้ไม่ใช่ลูกในไส้ของตัวเอง และเหมยลี่ก็เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีถึงขนาดนั้นจริง ๆ ...”

   “ก็เป็นความเห็นแก่ตัวจริง ๆ ไม่ใช่หรือ? เพราะในตอนนั้นผมเองก็เพิ่งเสียแม่ไปเหมือนกัน” ไป๋หู่กล่าวแทรกขึ้นมา “ยังไงก็ตาม สิ่งที่คุณกับฉินเหมยลี่ทำลงไปในครั้งนั้นก็ทำให้คนสองคนต้องสูญเสียคนสำคัญไป”

   ชิงหลงสูญเสียน้องสาว...ไป๋หู่สูญเสียว่าที่คู่ชีวิต...

   “แต่ว่า นั่นก็เป็นเรื่องในอดีตเท่านั้นเองไม่ใช่หรือคะ?” ซากุระไม่เห็นเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องหยิบยกมาเป็นประเด็นแบบนี้ มันก็เหมือนการฟื้นฝอยหาตะเข็บให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจกันเท่านั้นเอง

   “คุณหนูมินาโมโตะ คุณรู้หรือเปล่าว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เสาสี่ต้นสามารถตั้งตรงอยู่ได้?” อยู่ ๆ ไป๋หู่ก็ถามออกมาเหมือนปัญหาเชาว์ และก่อนที่ซากุระจะตอบ เจ้าตัวก็ตอบออกมาเสียก่อน “ขื่อคานยังไงล่ะ คานที่มั่นคงแข็งแรงและเท่ากันทั้งสี่ด้านเท่านั้นถึงทำให้เสาสี่ต้นตั้งตรงได้อย่างที่ควรเป็น”

   ยิ่งพูดซากุระก็ยิ่งสับสน สีหน้าของเธอบ่งบอกได้ถึงคำถามมากมายที่คิดอยู่ในใจ

   ไป๋หู่หัวเราะแล้วจึงค่อยอธิบายต่อ

   “พวกเราสี่ตระกูลตั้งกฎร่วมกันไว้ตั้งแต่เริ่มแรก กฎที่ทำให้พวกเราไม่มีเหนือกว่าต่ำกว่า แต่เท่าเทียมกันในทุก ๆ เรื่อง นั่นคือกฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน หากถูกเอาสิ่งใดไปให้แย่งชิงสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกันมาแทน ทำให้พวกเราต่างก็ก้าวก่ายแย่งชิงกันไม่ได้”

   “หมายความว่า....” ซากุระเบิกตากว้าง

   “เพราะจูเชว่แย่งชิงสิ่งที่มีค่าไป พวกเราถึงได้ตามมาเอาคืนยังไงล่ะครับ” ไป๋หู่กล่าวด้วยสายตาวาววับรากวับสัตว์ป่า “แต่น่าเสียดายที่โทษหนึ่งครั้งไม่ว่าจะมีผลกระทบกับกี่คนก็ถูกตัดสินได้แค่ครั้งเดียว ดังนั้นผมกับชิงหลงถึงต้องแข่งกันทำคะแนนว่าใครจะทำสำเร็จก่อน แต่ว่า...สิ่งสำคัญที่ว่าไม่ได้กำหนดหรอกนะว่าอยู่ในตำแหน่งไหน ดังนั้นจำเป็นคนสำคัญใกล้ชิดแบบใดก็ได้ ขอเพียงมีค่าเทียบเคียงกันก็ถือว่าโอเค”

   “เพราะแบบนั้น....คุณเซินถึงได้....” ซากุระเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เธอหันไปทางเซินจงโดยยังมีคำถามค้างคาใจอีกข้อ “ถ้าคุณรู้อยู่แล้ว แล้วทำไมถึงขอให้ฉันช่วยล่ะคะ?”

   คำถามของซากุระทำให้เซินจงก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม เสี้ยวหน้าที่ต้องแสงกำลังบ่งบอกความสำนึกในความผิดอันใหญ่หลวง แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังมาจากทางไป๋หู่เหมือนว่าทุก ๆ อย่างเป็นเรื่องที่น่าสนุกอย่างเหลือประมาณ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายกับมัน

   “คุณเองก็เป็นถึงว่าที่ลูกสะใภ้ของจูเชว่เชียวนะ”

   มีเสียงอะไรบางอย่างกดทับลงในอกจนหนักอึ้ง ซากุระถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นกลับกลายเป็นเหยื่อในเกมนี้โดยไม่ตั้งใจ

   “ดูเหมือนจูเชว่จะวางแผนนี้มาแต่แรกแล้ว ถ้าเลือกว่าจะต้องเสียสละใครให้ใช้โทษแทน เขาคงไม่เลือกลูกชายตัวเองแน่ ๆ จริงไหมล่ะ?” ไป๋หู่โคลงศีรษะไปมา “แล้วอะไรจะดีกว่าความสัมพันธ์ผิวเผินที่ไม่เกี่ยวข้องกันกระทั่งสายเลือดอย่างลูกสะใภ้?”

   เซินจงหลับตาลง

   ใช่...นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไว้แต่แรกแล้ว....

   ถึงแม้มันจะร้ายกาจ แต่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องปกป้องลูกชายของตัวเองเอาไว้ให้ได้...ทดแทนที่เขาไม่เคยมีโอกาสให้ความรักกับลูกคนนี้เลย

   ถ้าเพียงแต่ไป๋หู่รับซากุระเอาไว้ ชิงหลงก็จะไม่มีข้ออ้างให้กักตัวเซินหมิงเฟิ่งอีก และจะถือได้ว่าเขาได้สูญเสียบุคคลสำคัญพร้อมทั้งถูกหยามเกียรติไปพร้อม ๆ กัน และทุกอย่างก็จะจบลงแค่นั้น

   แต่เขาเองก็รู้ดีว่าไป๋หู่ไม่ใช่คนโง่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่ได้แค่อยู่เฉย ๆ รอดูการลงโทษจากชิงหลง แต่แค่เฝ้ารอเวลานี้เท่านั้น เวลาที่จะได้ประกาศความชั่วช้าของเขาให้คนทั้งโลกได้ประจักษ์ ไป๋หู่ไม่ได้สนใจเหยื่อที่เขาคิดจะมอบให้แต่แรก....เขารู้ดี ไป๋หู่มีเหยื่อที่ตัวเองหมายเอาไว้อยู่แล้ว

   เสียงวัตถุที่มีน้ำหนักมากและเป็นของแข็งกระทบลงบนโต๊ะไม้ขัดเงา มันดังขึ้นพร้อมเสียงร้องอย่างตกใจจากในลำคอของหญิงสาวที่เป็นพยานอยู่ในห้อง

   “คุณไม่คิดจะทำให้มันจบด้วยมือของตัวเองหรือครับ จูเชว่?”

   เซินจงหมุนตัวกลับมา

   ใช่แล้ว....เป้ามายของไป๋หู่นั่นคือ....

   ....ตัวเขาเอง....

   ชายวัยกลางคนจ้องมองปืนสีดำมันปลาบด้วยดวงตาไหวระริกเพียงเล็กน้อย มันคือสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องมาถึงในสักวัน

   เซินจงสาวเท้ากลับมาที่โต๊ะ แต่ไม่ได้ขยับมือไปหยิบโดยทันที

   “เดี๋ยวสิคะ! นี่มันไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด คุณฉินเหมยลี่ไม่ได้ตายเพราะคุณเซินเสียหน่อย!” ซากุระโพล่งขึ้น

   “ความจริงแล้วหลังจากฉินเหมยลี่ตาย ชิงหลงคนก่อนก็ตรอมใจตายตามไป ส่วนพ่อของผมก็ประสบอุบัติเหตุในคืนที่ได้ข่าวว่าฉินเหมยลี่หายตัวไปเลยตะบึงรถไปที่บ้านของชิงหลง”

   คำพูดของไป๋หู่ทำให้ซากุระชะงักกึก ครั้นจะค้านออกไปว่าไม่เกี่ยวข้องกันก็พูดได้ไม่เต็มปาก

   “แต่ก็เอาเถอะ มันก็จริงอย่างคุณว่าและสองเรื่องนั้นอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ผมถึงไม่ได้ฆ่าเขาไง” เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ผมให้เขาเป็นคนเลือกเองว่าอยากจะได้ใครเอาไว้ แล้วจะยกใครให้เป็นค่าตอบแทนสิ่งที่พวกเราเสียไป คุณเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่หรือว่าต้องการตัวคู่หมั้นคืน และนี่เป็นทางเดียวที่คุณจะได้เซินหมิงเฟิ่งคืนมา คุณน่าจะเข้าข้างผมนะ”

   “แต่ว่า.....ฉัน...ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้....” ซากุระอึกอัก

   เซินจงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ จนกระทั่งเสียงสนทนาทั้งสองสงบลงแล้ว เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบปืนโดยไม่แสดงความลังเล บางที...เขาคงจะตระเตรียมใจไว้พร้อมตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงอย่างนั้นการกระทำของเขาก็ยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับซากุระ เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ในทันที

   “อย่าทำแบบนั้นนะคะ! พ่อบ.....อ๊ะ!” ในชั่วขณะที่ซากุระจะถลาเข้าไปแย่งวัตถุอันตรายชิ้นนั้นและตะโกนเรียกคนข้างนอก ไป๋หู่ก็อาศัยว่าตัวเองรวดเร็วกว่าและเตรียมพร้อมมากกว่าเข้าไปดึงตัวซากุระและกดให้ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม เขาอ้อมไปด้านหลังและกดบ่าของหญิงสาวเอาไว้แน่น

   “คุณบอกผมเอาไว้ใช่ไหม ว่าจะยอมทุก ๆ อย่าง”

   “อ...อะไรกัน...” เมื่อถูกทวงสัญญาในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง สมองของเธอก็มึนตึงไปชั่ววินาที

   ไป๋หู่โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหู และกระซิบเบา ๆ

   “ผมต้องการให้คุณเป็นพยานในการพิพากษาครั้งนี้ เป็นคนที่เห็นความตายของจูเชว่กับตาตัวเอง”

   ไม่จริง....ไม่นะ....

   ซากุระดิ้นรนเต็มแรงและพยายามส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง ภาพของชายที่ดูสิ้นหวังไปพร้อม ๆ กับมีความหวังสะท้อนในดวงตาคู่สวยที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำที่เกิดจากอารมณ์อันหลากหลายและไม่อาจระบายออกมาได้ทั้งหมดด้วยเสียงกรีดร้อง ก่อนที่เสียงแน่นของการลั่นไกจะดังขึ้นในเสี้ยวนาทีและหยุดเวลาทั้งหมดเอาไว้

   ร่างเบื้องหน้าถลาไปตามแรงก่อนจะฟุบลงบนพื้น เลือดสีเข้มสาดกระเซ็นเป็นสายเปรอะบนพื้นพรมและโต๊ะไม้เป็นด่างดวง

   ซากุระเบิกตาค้างอยู่อย่างนั้น ไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้แม้ต้องการหลบเลี่ยงสักเพียงใด

   ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ ที่เสียงกรีดร้องถูกกลืนหายไปในลำคอ ไม่ว่าจะพยายามเปล่งเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมพ้นออกมา

   ฝ่ามือที่กดอยู่ผละออกไปแต่ยังทิ้งความร้อนและความหนักของมันเอาไว้บนบ่าเล็ก

   “แล้วพบกันใหม่ คุณหนูมินาโมโตะ” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนละมุนน่าฟัง ทว่ามันกลับไม่ได้เข้าไปถึงสติของผู้รับฟังเลย และจนกระทั่งเสียงฝีเท้าห่างออกไป ซากุระก็ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ หูไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอก เรียวขาสองข้างสั่นเทาและสิ้นเรี่ยวแรง พาให้ทั้งร่างทรุดฮวบลงไปกองบนพื้น

   ภาพความตายยังคงฉายชัดในดวงตา

   ไม่....นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ...ไม่ใช่เลย....

   ซากุระจิกเรือนผมตัวเอง พูดซ้ำ ๆ อยู่ในใจเพื่อปฏิเสธสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า แต่ว่า....มันก็ยังคงเป็นความจริง....

   และแล้ว.....เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง

TBC

เซียร์เปิดเพจไว้ให้ติดตามข่าวสารจองนิยายแล้วนะคะ

http://www.facebook.com/ZiarNovel

ปล. สำหรับคนถามถึงคู่เมี่ยวเจินกับไป๋หู่ คู่นี้ไม่เขียนนะคะเพราะเท่าที่ปรากฏในเรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะชัดเจนแล้ว XD แต่ถ้าอยากรู้แบบละเอียดเดี๋ยวจะแอบสปอยล์ไว้ในทอล์คตอนรวมเล่มถ้าไม่ลืมนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
« ตอบ #219 เมื่อ: 27-07-2012 10:52:16 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #220 เมื่อ27-07-2012 14:53:12 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน จริง ๆ

กดดันกันเหลือเกิน และก้เริ่มเข้าใจในจุดกำเนิด "บัลลังก์ปีกหงส์" บ้างแล้วล่ะ 5555

สนุกมาก ชอบสุดๆ รอตอนต่อไปคร๊าบบบ ^^

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #221 เมื่อ27-07-2012 16:49:09 »

พ่อตายหมิงก็จะได้กลับบ้าน สมแล้วที่ตาต่อตาฟันต่อฟัน  :sad4: ชิงหลงชอบหมิงบ้างไหม

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #222 เมื่อ27-07-2012 16:58:32 »

โอยย
โหดๆๆๆ โหดไปแล้ว
พ่อตายแล้วอย่างนี้เซินหมิงเฟิ่งก็ต้องกลับมาน่ะสิ
แล้วเรื่องมันจเป็นยังไงต่อกันนะ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #223 เมื่อ27-07-2012 22:28:20 »

แว้กกกกกกกกก ไหงงี้ล่ะ T^T สงสารทั้งคุณพ่อ ซากุระ โดยเฉพาะเซินหมิงเฟิ่ง หลังจากนี้มันต้องดราม่าสุดติ่งแน่เลยอ่ะ ฮืออออออ
ตอนหน้าชิงหลงจะปล่อยตัวเซินหมิงเฟิ่งหรือเปล่า แล้วจะเป็นไงต่อไปล่ะ

รอตอนหน้าาาาาาา
ปอลิง ไป๋หู่ ถึงนายจะ........แต่นายก็เท่มาก เอาโล่ไปเลย ><

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #224 เมื่อ28-07-2012 00:40:51 »

สงสารซากุระ สงสารอาหมิง สงสารทุกคน :o12:

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #225 เมื่อ28-07-2012 08:11:05 »




    ง่า. . . เอางี้เลยเหรองับ
    ชีวิตมันน่าเศร้านัก การติดสินใจของคนคนหนึ่งที่ส่งผลกระทบไปถึงคนอีกหลายๆคนเป็นทอดๆ
    หวังว่าคราวนี้ท่านเซินคงไม่ได้ตัดสินใจอะไรผิดพลาดอีกนะ
    แต่การตัดสินใจทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ทำเพื่อลูกชายคนนี้ทั้งนั้น
    งั้นหมายความว่าท่านเซินมั่นใจมากว่า ซากุระจะดูแลลูกชายจนเป็นจูเชว่ที่ดีพอที่จะคานอำนาจกับฝ่ายอื่นๆได้อ่านะ





nuttinee_k

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
«ตอบ #226 เมื่อ29-07-2012 21:35:31 »

 :a5: พ่ออาหมิงตายแล้ววว  เข้มข้นมากเลยค่ะ
สงสารซากุระสุดใจ

อาหมิงชอบชิงหลงเข้าแล้ว ฝ่ายชิงหลงละ เฮ้อออ 

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #227 เมื่อ30-07-2012 19:15:14 »

-27-


   กลิ่นธูปลอยอวลในบรรยากาศสีขาวดำ มองไปทางไหนก็ให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาจับใจความไม่ได้แทรกอยู่ในโทนสีเทาอึมครึม ราวกับว่าทุกอย่างรอบ ๆ ตัวถูกฉายออกมาผ่านโทรทัศน์สีขาวดำแบบเก่า

   รูปประดับตั้งอยู่ไม่ไกลออกไปแสดงใบหน้าเคร่งขรึมของชายวัยกลางคนกำลังจ้องมองลงมาด้วยสายตาเคร่งเครียดจริงจัง

   หลาย ๆ ครั้งเขาต้องถามตัวเองว่า ทำไมเรื่องนี้จึงได้เกิดขึ้น....

---------------------->
   
   “ยินดีด้วยนะครับที่ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวกับชิงหลงเมื่อชายหนุ่มเดินออกมาถึงด้านหน้า หากไม่ใช่ว่าถูกปรามไว้ก่อนแล้ว เขาคงจะเอาช่อดอกไม้มาแสดงความยินดีเป็นแน่ แต่เมื่อถูกดักคอเอาไว้ตอนคุยกัน เขาจึงไม่ได้ซื้อช่อดอกไม้มาให้ แต่ถึงอย่างนั้น การปรามของชิงหลงดูเหมือนจะไม่ได้เข้าหูของผู้ชายอีกคนที่กำลังยืนถือช่อดอกไม้ช่อโตในตอนนี้แม้แต่น้อย

   “ขอแสดงความยินดีด้วยครับคุณชาย” โจเซทำเสียงล้อเลียนแล้วโค้งตัวยื่นช่อดอกไม้ให้

   ชิงหลงมองสิ่งที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายใจ

   “ไม่มีสักครั้งเลยสินะที่จะพลาดโอกาสน่ะ” เขาแขวะโจเซด้วยเสียงเรียบนิ่ง ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับโดยไม่คิดจะแก้ตัวใด ๆ เพราะพวกเขารู้กันดีอยู่ว่าระหว่างพวกเขาสองคนเป็นเรื่องของทีใครทีมันมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้ว ลองถึงคราวตัวเอง แม้จะเป็นชิงหลงที่ไม่พิสมัยเรื่องไร้สาระก็ไม่ยอมพลาดโอกาส

   “พอเถอะครับ ทะเลาะกันหน้าโรงพยาบาลแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งหรอก” เซินหมิงเฟิ่งแทรกตัวเองเข้าห้ามทัพ “ปล่อยชิงหลงกลับไปพักเถอะครับคุณโจเซ”

   “ให้ตายสิ เดี๋ยวนี้นายมีคนดูแลดีเชียวนะ เอาเถอะ ฉันยอมแพ้ก็ได้” โจเซพูดอย่างไม่จริงจังนักแล้วนำพวกเขาไปยังรถที่จอดรออยู่หลายคัน พวกเขาเดินขึ้นรถคันเดียวกันส่วนคันที่เหลือเป็นของพวกการ์ด ขบวนรถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลไปทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในสถานที่นั้นกลับสู่ภาวะปกติหลังจากรถสีดำจำนวนมากทำให้คนที่เข้าออกหันมองด้วยความสนใจกันตั้งแต่ช่วงเช้า

   โจเซส่งพวกเขาที่โรงแรมก่อนจะกลับไปในทันที ท่าทางว่าจะมีธุระอื่นรออยู่จึงไม่ได้อยู่คุยกันอย่างที่เคยทำเป็นปกติ

   “ได้กลับมาที่โรงแรมแล้วเป็นยังไงบ้างครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถามเมื่อลิฟต์ขึ้นมาส่งถึงชั้นที่ต้องการ

   “ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ยังไงก็เป็นที่พักชั่วคราวเหมือน ๆ กัน” ชิงหลงพูดพลางกลอกตามองรอบตัว สำหรับเขาแล้ว จะเป็นที่โรงแรมหรือที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ต่างกันมากมายนัก แค่ที่โรงแรมเขามีอิสระในตัวเองในขณะที่โรงพยาบาลต้องอยู่ในสายตาของคนอื่น แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่เหมือนกับที่บ้านอยู่ดี

   “เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลแบบนี้คงยังรู้สึกล้า ๆ อยู่ จะพักสักหน่อยไหมครับ?” เซินหมิงเฟิ่งถามต่อด้วยความเป็นห่วง   

   ชิงหลงโคลงหัวแล้วเดินเลี้ยวเข้าห้องโดยไม่ได้ให้คำตอบ ทำให้ผู้ถามต้องอนุมานเอาเองว่านั่นเป็นการตอบรับ เขาจึงปล่อยให้ชิงหลงเข้าห้องตัวเองตามลำพัง ส่วนเขาก็กลับห้องของเขาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายระคนกับความเหงานิดหน่อย เมื่อก่อนนี้เขามีเพื่อนเยอะแยะและยังน้อง ๆ อีก มาถึงตอนนี้เขาเหลือแค่ชิงหลงคนเดียว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เหมือนคนที่อยู่ห่างไกล โจเซเองก็นาน ๆ ครั้งจะแวะมา คิมหันต์ก็ไม่ได้ข่าวคราวเลยสักนิด คนที่อยู่ฮ่องกงหรืออังกฤษไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทางได้ติดต่ออยู่แล้ว

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจกับตัวเองแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา หยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ดูรายการที่ตัวเองฟังภาษาไม่เข้าใจ

   แต่ในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับช่องรายการเพลงอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออกตามด้วยร่างของชิงหลงที่ปรากฏขึ้นก่อนจะเดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ โดยไม่พูดอะไรเช่นเดิม ซึ่งเซินหมิงเฟิ่งก็ชินเสียแล้ว ชิงหลงมักจะเงียบอยู่เสมอ ไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่หากไม่จำเป็นหรือไม่มีใครเปิดหัวข้อ

   “ไม่พักหรือครับ?” เขาเอ่ยถามก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายยอมเปิดปากพูด

   “พักมาเยอะแล้ว” ชิงหลงทำเสียงเหนื่อยหน่าย แค่ตอนอยู่โรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนได้นอนตุนเอาไว้เป็นอาทิตย์

   “ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยชอบนอนที่นั่น”

   ชิงหลงกลอกตา

   “ผมคิดว่าไม่มีใครชอบหรอก”

   เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะตอบ แล้วทั้งสองก็เงียบไป บางครั้งเขาก็นึกไม่ออกว่าจะยกหัวข้ออะไรมาทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้รู้สึกต่อต้านชิงหลงอีกแล้ว แต่ชิงหลงก็ยังคงปฏิบัติกับเขาอย่างคงเส้นคงวา คงเพราะว่าตั้งแต่แรกแล้วที่ชิงหลงไม่ได้มีความคิดในแง่ลบกับเขา และที่อีกฝ่ายปฏิบัติด้วยท่าทางห่างเหินก็เพราะเป็นนิสัยส่วนตัวที่แก้ไม่ได้

   แต่การอยู่เงียบ ๆ แบบนี้ก็อึดอัดอยู่เหมือนกัน...

   หรือเขาควรจะพูดเรื่องนั้นดีนะ

   เซินหมิงเฟิ่งคิดก่อนจะค่อย ๆ เปล่งเสียงอย่างไม่แน่ใจนัก

   “เอ่อ...พวกเราก็อยู่ที่นี่นานแล้วสินะครับ” พอพูดออกไปแล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าชอบกล “สัก....2 เดือนกว่าแล้วหรือเปล่า....” ยิ่งต่อก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังออกทะเล แต่พอเหลือบตามองชิงหลง เขากลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ

   “ก็น่าจะราว ๆ นั้น” ชิงหลงตอบสั้น ๆ เพื่อไม่ให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกประหม่า แต่เขาก็คะเนสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งอยากจะบอกไว้ในใจแล้ว

   “คุณไม่เบื่อบ้างหรือ? เอ่อ...ผมหมายถึงว่า ถึงเวนิสจะมีอะไรเยอะแยะแต่คุณเองก็ไม่ได้ชอบเที่ยว มาอยู่แบบนี้คงจะเบื่อพอสมควร ยิ่งเป็นที่ที่ตัวเองทำอะไรไม่สะดวกแล้ว....” พูดไปพูดมาสักพัก เซินหมิงเฟิ่งก็ถอนหายใจก่อนจะโพล่งออกมาว่า “ไม่คิดอยากจะกลับฮ่องกงบ้างหรือครับ?”

   “ผมก็เคยบอกเหตุผลคุณแล้วนะ”

   เซินหมิงเฟิ่งชะงัก

   “ก็จริง...แต่ว่ามันเกี่ยวกับพ่อของผมใช่ไหม? คุณแค่ทำให้เขาไม่ได้เจอผมอีกนั่นก็บรรลุจุดประสงค์ของคุณแล้ว ถ้าแค่นั้น ถึงผมจะอยู่ฮ่องกงก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่ครับ”

   “ถ้าคุณอยู่ในสถานที่ที่ไปหาได้ คุณก็ต้องหาโอกาสอยู่ดี” ใช่ว่าชิงหลงจะคาดเดาเรื่องแบบนี้ไม่ออก ตัวเขาที่เคยเห็นชีวิตคนมามากย่อมรู้ว่าคนเราไม่มีทางต่อต้านความผูกพันได้หากโอกาสอยู่ใกล้แค่เอื้อม เซินหมิงเฟิ่งจะทำใจอยู่ให้ห่างจากพ่อตัวเองทั้งที่อยู่บนแผ่นดินเดียวกันได้หรือ?

   “ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีความผูกพันกับพ่อถึงขนาดนั้นหรือเปล่า” เซินหมิงเฟิ่งอดจะพูดออกมาไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นคำถามที่เขาอยากจะถามตัวเอง เพราะชีวิตของเขานั้นเรียกได้ว่ามีความห่างเหินจากพ่อของตัวเองมาก ตอนเด็ก ๆ พ่อมักจะมีงานยุ่งอยู่เสมอ ตัวเขาก็อยู่ในการเลี้ยงดูของพ่อบ้าน ถึงอย่างนั้นเขาก็จำได้ว่าพ่อของเขาเป็นคนที่เข้มงวดทำให้เขารู้สึกกลัวอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กับความเกรง โตขึ้นมาหน่อยแม่เลี้ยงก็เป็นคนดูแลเขาซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อก็ไม่ได้ดีขึ้น จนกระทั่งแม่เลี้ยงเสียและเขาถูกส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษเขาก็ไม่ได้เจอพ่ออีกเลยจนเมื่อเร็ว ๆ นี้

   เทียบกับเวลาทั้งชีวิตแล้ว เขากับพ่ออาจจะผูกพันกันแค่สายเลือดเท่านั้นเอง

   “แต่ว่า...ยังไงเขาก็เป็นพ่อของผม ผมก็อยากจะดูแลเขาถึงจะได้แต่อยู่ห่าง ๆ ก็ตามที”

   ชิงหลงมองเสี้ยวหน้าของเซินหมิงเฟิ่งอย่างพินิจพิเคราะห์ และรู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ไม่ใช่การเสแสร้งเพื่อล่อลวงให้เขาทำตามเท่านั้น

   “ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น...”

   เซินหมิงเฟิ่งได้ยินชิงหลงรับคำแบบแบ่งรับแบ่งสู้ก็หันมายิ้มกว้าง

   “ครับ ผมยืนยัน”

   “แล้วผมจะลองพิจารณาดู” ชิงหลงไม่ได้ตอบตกลงในทันที เพราะเขายังต้องการเวลาคิดอีกสักหน่อยก่อนจะตัดสินใจว่าถึงเวลากลับฮ่องกงหรือยัง หรือบางทีมันอาจจะเร็วเกินไปก็ได้ แต่ในเวลานั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเขากลับดังขึ้น

   ชายหนุ่มลุกเดินเลี่ยงออกมาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นรับสายโดยมีเซินหมิงเฟิ่งมองตามด้วยสายตาสงสัย
   ชิงหลงคุยสายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา

   มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในฮ่องกงล่ะมั้ง?

   เซินหมิงเฟิ่งคิดคาดเดาอยู่ในใจ เพราะชิงหลงมาอยู่ทางนี้นานแล้ว บางทีทางนั้นคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น แต่เมื่อชิงหลงวางสายและหันกลับมา ข้อความที่ชิงหลงถ่ายทอดให้เขาฟังกลับน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าเรื่องใด ๆ ที่เขาจะคาดคิดถึงได้ในตอนนี้

   จูเชว่ตายแล้ว...

----------------------->

   จูเชว่ตายแล้ว...

   และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาอยู่ที่นี่...เพื่อพบกับรูปถ่ายสีขาวดำของพ่อตัวเองตั้งอยู่ข้างโลงศพสีอ่อน ประดับด้วยดอกไม้และธูปหอม

   ทั้งที่เป็นงานศพแท้ ๆ แต่เขากลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว เหมือนกับว่าข้างในของเขานั้นกลวงเปล่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย เมื่อยามทอดมองไปยังภาพถ่ายนั้น ดวงตาเคร่งเครียดของพ่อยังคงทำเหมือนจะสั่งสอนเขาแม้แต่ในเวลาที่ไม่อาจพูดอะไรได้อีกแล้ว ซึ่งคงเป็นเพราะแบบนั้นกระมัง เขาจึงไม่ได้ร้องไห้ออกมา เพราะเขาไม่อาจจะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นได้...

   เสียงซุบซิบที่ดังเป็นฉากหลังยังคงรักษาระดับความดังอยู่เท่าเดิมแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว

   คนเหล่านี้มางานศพของพ่อ มางานศพของจูเชว่ แต่ไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่หลั่งน้ำตาหรือแสดงความเสียใจ มีบ้างเป็นบางคนที่ออกอาการเสียดายและระลึกถึง แต่ไม่ได้มีความเสียใจอยู่ในรูปแบบอารมณ์เหล่านั้น คนที่เสียใจออกนอกหน้าที่สุด คงจะไม่พ้นพ่อบ้านหวางกับครอบครัวที่อาศัยบารมีของจูเชว่มาตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ กระมัง ซ้ำหวางซือกับหวางซานยังใกล้ชิดกับจูเชว่รุ่นนี้มากด้วย

   เซินหมิงเฟิ่งนั่งหลังเหยียดตรงบนเก้าอี้ด้านหน้าสุดเสียงสวดเงียบไปพักใหญ่แล้ว แต่เสียงกระซิบยังไม่จางหายไป และเขาก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้น...ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่แผ่นหลัง

   ลมหายใจคล้ายจะติดขัดอยู่ในช่องอก สายตาที่ทิ่มแทง อยากรู้อยากเห็น ประเมินค่า ต่างพุ่งตรงมายังเขาราวกับเป็นสินค้าชิ้นหนึ่งในงานประมูล เขาจำต้องจับภาพของพ่อเป็นเป้าให้สายตาตนเองและเพ่งสมาธิอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากความรู้สึกหลากหลายที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับว่าแต่ละส่วนในร่างกายของเขากำลังโดนชำแหละและแยกชิ้นออกมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

   เสียงเก้าอี้ตัวที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังดังขึ้น บ่งบอกว่ามีใครบางคนเคลื่อนไหว หางตาของเซินหมิงเฟิ่งเหลี่ยวไปมองและเห็นแผ่นหลังเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดทางการสีดำสนิทกำลังเดินออกไปจากห้องท่ามกลางสายตาของคนอื่น ๆ ที่ละไปจากเขาชั่วนาที

   เซินหมิงเฟิ่งหลุบตาลง เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ไม่อาจจะทนอยู่ในห้องนี้ได้อีกต่อไป ทั้งสายตาจากคนอื่น ๆ ทั้งความรู้สึกผิดในใจตัวเอง

   เมื่อเสียงเก้าอี้ของเขาดังขึ้น ทุกสายตาก็จับจ้องมาโดยทันที

   เซินหมิงเฟิ่งทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาเหล่านั้น และหมุนตัวเดินออกไปทางประตูเดียวกับที่หญิงสาวเดินออกไปเมื่อครู่นี้และพบว่าเธอเดินออกไปถึงสวนด้านนอก บริเวณที่ไม่มีไม่อนุญาตให้แขกเหรื่อคนอื่น ๆ เข้าไปได้นอกจากคนในบ้าน กระนั้นหวางซือก็ไม่ได้ห้ามหญิงสาวคนนั้นเมื่อเธอเดินเข้าไป

   เขาหยุดยืนอยู่ที่วงกบประตูซึ่งเชื่อมไปสู่สวน มองดูหญิงสาวที่เคยยืดอกต่อหน้าทุกคนด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม มาตอนนี้รูปร่างของเธอกลับดูหดเล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อ เรือนผมที่เคยจัดทรงสวยงาม ตอนนี้กลับรวบขึ้นไปจนเรียบตึง แผ่นหลังบอบบางนั้นฉาบไว้ด้วยความหดหู่เศร้าหมอง นั่นเป็นเพราะชุดสีดำของเธอหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ จึงพาให้รู้สึกเช่นนั้น แต่เมื่อเทียบกับครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอ หญิงสาวในเวลานั้นงดงามราวกับดอกไม้สีสดสวยที่กำลังผลิบาน แต่ในตอนนี้ เธอเหมือนกับดอกไม้ที่กำลังชืดเฉา ถูกปกคลุมด้วยเงาดำทะมึนจนไม่ได้พบเจอกับแสงอาทิตย์

   “คุณ...มินาโมโตะ” เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาและเอ่ยเรียกแบบไม่ชินปาก

   “..คุณเซิน...” ซากุระหันกลับมา ดวงตาของเธอมีรอยแดงก่ำที่เกิดจากการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน แม้แต่ตอนหันกลับมาก็ยังมีหยดน้ำตาวาวรื้นอยู่ตรงขอบตา

   “งานศพแบบนี้คงจะทำให้รู้สึกไม่ดีสินะครับ” เซินหมิงเฟิ่งส่งยิ้มบางให้กับหญิงสาวเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น

   “ค่ะ....คงจะเป็นแบบนั้น” พูดไป ซากุระก็หลุบตาลงก่อนจะปิดเปลือกตาเมื่อภาพเก่าวูบขึ้นมาในสมอง “...รู้สึก...ไม่ดีจริง ๆ”

   เซินหมิงเฟิ่งมองซากุระด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เขาได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจากหวางซือแล้ว และเขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเขาเองยังช็อคไม่หายทั้งที่เป็นแค่คนที่ฟังเหตุการณ์ในภายหลัง แล้วซากุระที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นล่ะ? จะไม่ยิ่งเสียขวัญมากกว่าเขาหรือ

   แน่นอน...มากกว่าหลายเท่าด้วย

   ซ้ำยัง...ทุก ๆ สิ่งที่ซากุระทำมาทั้งหมดเพื่อเขา และทำให้เธอต้องมาเจอกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้ เธอกำลังนึกเสียใจกับมันอยู่หรือเปล่า?

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #228 เมื่อ30-07-2012 19:18:59 »

   ใบหน้าซีดเซียวที่แม้เครื่องสำอางก็ไม่อาจปกปิดได้กำลังกระซิบบอกเขาว่าเจ้าของใบหน้านั้นกำลังรู้สึกหวาดกลัวและขวัญผวา ถึงอย่างนั้นซากุระก็ไม่ได้พูดออกมาว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ไม่แม้แต่พยายามจะร้องไห้ต่อหน้าเขา เธอแค่ก้มหน้าอยู่นิ่ง ๆ และเก็บทุกอย่างไว้ภายใต้ความเงียบงัน

   “ขอโทษด้วยนะคะ...” แต่แล้ว หลังจากพวกเขาถูกครอบคลุมด้วยความเงียบ ซากุระก็พูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา

   แม้เซินหมิงเฟิ่งจะไม่ถาม เขาก็รู้ว่าเธอกำลังขอโทษเรื่องอะไรอยู่

   “ผมได้ยินเรื่องทุกอย่างมาจากเหล่าซือแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งตอบ “มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ คุณมินาโมโตะ ทุก ๆ อย่างนี้...มันก็แค่วัฏจักรของมันเท่านั้นเอง....ผมสิควรจะเป็นฝ่ายขอโทษแทนพ่อของผม ที่ทำให้คุณต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ ทั้งที่คุณไม่ควรจะเข้ามาพัวพันด้วยเลย”

   “ไม่หรอกค่ะ...ฉัน....” ซากุระพูดได้แค่นั้นก็รู้สึกขำตัวเองขึ้นมา ทั้งที่ติดว่าตัวเองตัดสินใจทุกอย่างดีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อมาถึงจุดจบจริง ๆ เธอจะรู้สึกเสียใจกับทุก ๆ อย่างถึงขนาดนี้

   เซินหมิงเฟิ่งสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะดึงหญิงสาวเข้ามากอด ถึงแม้ตัวเขาจะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างอุกอาจ แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของซากุระก็ไม่อาจทำให้เขาเมินเฉยได้ อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ดังนั้น อย่างน้อยเขาจึงอยากจะเป็นที่พักพิงให้กับเธอเมื่อเธอไม่อาจหันหน้าไปหาใครได้อีก อยากจะให้ซากุระรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุสุดวิสัยสำหรับเขาทั้งสอง แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็ยังอดโทษตัวเองไม่ได้อยู่ดี ความรู้สึกอึดอัดข้างในอกโดยไม่อาจหาทางระบายออกได้นี้ เขากับซากุระคงจะรู้สึกเหมือน ๆ กัน

   “ถ้าคุณอยากจะร้องไห้....” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   “....ขอบคุณนะคะ แต่...ไม่ดีกว่า...” แต่ซากุระกลับปฏิเสธด้วยเสียงสั่นเครือ “ถ้าฉันร้องไห้ตรงนี้ ฉันจะต้องหยุดไม่ได้แน่ ๆ”

   นั่นสินะ...

   เซินหมิงเฟิ่งคิดในใจ

   เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราต้องกักกลั้นบางสิ่งเอาไว้เป็นเวลานาน เมื่อถึงเวลาได้ปลดปล่อยออกมามันมักจะมากเกินควร เพราะสิ่งที่ถูกกักเก็บไว้นั้นไม่มีทางจะหยุดนิ่ง ยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่มันก็ยิ่งเติบโตมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เรื่องร้าย ๆ

   “เรา...ไปหาที่คุยเงียบ ๆ ดีไหมครับ”

   ซากุระเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาแสดงคำถาม

   “ฉันคิดว่าที่นี่ก็เงียบดีนะคะ” เธอมองไปรอบตัวที่มีแต่สวนสวย น่าเสียดายแต่วันนี้แดดไม่จ้า พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าจึงเห็นสีหม่นทึมของเมฆ

   “จะว่ายังไงดีนะ” เซินหมิงเฟิ่งเค้นเสียงหัวเราะเฝื่อน ๆ “สายตาน่ะ....”

   จริงอยู่ว่าคนเราไม่ใช่จอมยุทธในหนังจีน ดังนั้นคงไม่มีทางรู้สึกได้ว่ามีสายตากำลังจับจ้องมาจากทางไหน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตนเองมีบางสิ่งบางอย่างเกาะอยู่ คล้ายกับความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่คนเดียวเพียงลำพัง มันอาจจะเป็นสายตาของใครบางคนที่กำลังมองมา หรือความมุ่งมาดของใครบางคนก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันก็ทำให้เขากระสับกระส่ายหายใจไม่สะดวก

   ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กันนะ...

   มันเริ่มขึ้น...ในตอนที่เขาถูกชิงหลงพามาส่งถึงหน้าบ้านตัวเองหรือเปล่า

   ไม่สิ ตอนนั้นเขากำลังช็อคอยู่ ถึงจะไม่ได้ช็อคเท่ากับตอนที่ได้ยินข่าวนี้ครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ช่วงที่เขาจะสามารถตั้งสติได้ว่าตอนนั้นตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

   มันเริ่มหลังจากนั้น....

   ใช่ ตอนที่ประตูของบ้านถูกเปิดออก และภายในนั้นมีผู้คนมากมายจับกลุ่มกันสนทนาอยู่ไกล ๆ ทุกคนสวมชุดสีดำสนิท บนใบหน้าของแต่ละคนไม่ปรากฏอารมณ์ใดชัดเจน เสมือนว่าพวกเขาเพียงแค่มายืนอยู่ตรงนี้โดยไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ที่นี่

   ตอนนั้นต่างคนก็ต่างอยู่ในโลกของตัวเอง มีเขตแบ่งกั้นของแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน

   แต่แล้ว...เมื่อเขาก้าวเข้าไป เขตแบ่งกั้นเหล่านั้นก็พังทลายลง

   ทุกสายตาเคลื่อนมาจับที่เขาเป็นจุดเดียว ในตอนนั้นเหมือนกับว่าเขาก้าวเข้าไปในสถานที่ซึ่งเวลาทั้งหมดหยุดนิ่งลง เหมือนกับฉากหนึ่งในหนังที่อยู่ ๆ ก็ถูกกดปุ่มหยุดการเล่น เวลานั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไต่ขึ้นมาบนแผ่นหลัง แมงมุมตัวใหญ่...ที่เกาะอยู่บนหลังของเขา

   ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัดเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น

   ช่าง...น่ากลัวเหลือเกิน...

   มือที่เย็นเฉียบที่แตะลงบนมือของเขาทำให้สะดุ้งจากภวังค์นั้น เซินหมิงเฟิ่งก้มลงมองซากุระก่อนจะยิ้มเจื่อนเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังยืนแข็งเป็นหุ่นอยู่

   ซากุระเลื่อนสายตามองเข้าไปข้างในตัวบ้าน ที่ประตูบานหนึ่งซึ่งหันหน้ามาทางนี้แง้มอยู่

   “เข้าไปข้างในบ้านกันเถอะค่ะ” ซากุระพอจะเข้าใจความรู้สึกของเซินหมิงเฟิ่งแล้ว จึงเอ่ยชวนให้เข้าข้างใน เพราะยืนอยู่ตรงนี้นานไป มีแต่จะทำให้รู้สึกแย่เท่านั้น

   เซินหมิงเฟิ่งเดินนำซากุระเข้าไปในตัวบ้าน แต่เขาไม่ได้เข้าไปในโถงที่ใช้จัดวางศพและรับแขก กลับพาหญิงสาวเลี้ยวไปทางห้องหนังสือแทน ซึ่งเมื่อซากุระเห็นทางเดินนั้น กับประตูบานนั้น ใบหน้าของเธอก็ซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ริมฝีปากขบแน่น และรู้สึกพะอืดพะอมในคอ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เท้าของเธอก็ยิ่งหนักอึ้งจนเหมือนก้าวไม่ออก

   “คุณซากุระ” เซินหมิงเฟิ่งรีบดึงมือหญิงสาวเอาไว้เมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางเหมือนจะเป็นลม
   “ขอโทษนะคะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ซากุระสูดหายใจเข้าปอดหลายครั้ง และพยายามลบภาพเหล่านั้นออกไปจากหัว

   “พ่อของผมตายในห้องนี้สินะครับ” ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป “ตอนผมมาถึง มันก็กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว กระทั่งพื้นพรมก็เปลี่ยนใหม่”

   “เพราะพ่อบ้านหวางเห็นว่าเป็นเรื่องที่ตำรวจเข้ามายุ่งไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยไม่เห็นประโยชน์ว่าจะทิ้งคราบเลือดไว้ทำไมน่ะค่ะ” ซากุระอธิบาย แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับเธอแล้วที่นั่นยังคงมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เลือดอุ่น ๆ สีแดงคล้ำเป็นหย่อมขนาดย่อม

   “แล้วก็คงเพราะไม่อยากให้ผมเห็นด้วย” เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปที่โต๊ะที่พ่อของเขามักใช้อ่านหนังสือ ก่อนจะผละไปที่ชั้นวางรูปภาพ เขาไล่สายตาไปทีละรูปและแย้มรอยยิ้ม “นี่ไงแม่ของผม ดูเหมือนผมมากกว่าพ่ออีกนะครับ ว่าไหม?” เขาชี้ชวนให้ซากุระดูภาพหญิงสาวชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งซากุระก็คิดแบบเดียวกับที่เซินหมิงเฟิ่งว่า ว่าตัวเขามีเค้าหน้าของแม่มากกว่าพ่อ เพราะอย่างนั้นชายหนุ่มจึงมีใบหน้าที่ละมุนตาชวนให้เอ็นดู ไม่ได้ดูเคร่งขรึมจริงจังน่ายำเกรงอย่างเซินจง

   ซากุระเลื่อนสายตาไปมองภาพอื่น ๆ

   “แล้วนั่นใครหรือคะ?” แม้เธอจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซินหมิงเฟิ่งมีพี่สาวหรือเปล่า แต่ผู้หญิงในภาพนั้นดูไม่เหมือนทั้งเซินจงหรือแม่ของเซินหมิงเฟิ่งเลย

   “อา...นั่น....” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มขมขื่น “แม่เลี้ยงของผมเอง” เขาหยิบรูปกรอบนั้นขึ้นมา มองหญิงสาวในรูปนั้นที่คุ้นตา รูปหน้าแบบนี้....ทำไมในตอนนั้นเขาถึงคิดไม่ออกนะว่าดูคล้ายชิงหลงมากถึงขนาดนี้

   “แล้วตอนนี้ท่าน...”

   “เสียไปนานแล้วครับ”

   “เสียใจด้วยนะคะ” ซากุระกล่าว ซึ่งเป็นคำพูดจากใจของเธอจริง ๆ ทั้งที่แม่จริงๆอยู่ห่างไกลถึงอีกฟากโลก ส่วนแม่เลี้ยงก็เสียไปแล้ว กลับต้องมาเสียพ่อไปอีก อาจจะเป็นคำพูดที่เกินไปสักนิด แต่เธอรู้สึกว่าไม่ว่ากับใครโลกนี้ก็ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

   “ความจริงผมก็ยังมีเรื่องสงสัย....เหล่าซือเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า...เขากลับไม่ยอมบอกว่าใครคือคนที่ทำเรื่องนี้” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ “ถึงพ่อจะฆ่าตัวตายก็จริง แต่ว่าเป็นเพราะใครบางคนผลักดันไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นคน ๆ นั้นคือใคร นอกจากชิงหลงแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าแม่เลี้ยงของผมมีความสัมพันธ์กับใครอีก คนที่สามารถตัดสินโทษของพ่อผมแทนชิงหลงได้....”

   ซากุระเหลือบมองผู้พูด

   “เรื่องแบบนั้น ถึงคุณจะรู้ไป มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นไม่ใช่หรือคะ...”

   เซินหมิงเฟิ่งนิ่งเงียบ เขาแค่ยิ้มน้อย ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก

   มันก็จริงอย่างที่ซากุระว่า...ถ้าเขารู้ เขาคงจะรู้สึกโกรธแค้นคน ๆ นั้นที่พรากพ่อของเขาไป พ่อที่ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกผูกพันอย่างพ่อลูกทั่วไป แต่เขาก็ยังรักและเคารพผู้ชายคนนี้มากกว่าใคร พ่อที่เขามีเพียงคนเดียวในโลกนี้และไม่มีใครที่ไหนแทนที่ได้ พ่อที่เขาเคยคิดว่าไม่ได้ใยดีเขา แต่เป็นคนเดียวที่ยอมแลกชีวิตตัวเองเพื่อให้อิสรภาพที่โดนช่วงชิงไปกับเขาอีกครั้งหนึ่ง

   และถ้าเขารู้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะมันเป็นไปตามกฎที่ถูกตั้งไว้ หากเขาลงมือทำอะไรลงไป ก็มีแต่จะทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากกว่าเดิม

   เพราะฉะนั้น....ไม่รู้นั่นแหละดีแล้ว....นั่นคงเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกัน

   กรอบรูปถูกนำกลับไปตั้งที่เดิม รูปภาพเหล่านี้บ่งบอกมากกว่าการมีอยู่ของคน ๆ หนึ่งในบ้านหลังนี้ แต่มันฉายอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ณ เวลานั้นออกมา และดูเหมือนตอนที่ถ่ายภาพเหล่านี้ คนเหล่านั้นจะมีความสุขกันดี กระนั้นมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว และทุก ๆ คนในรูปก็เป็นแค่คนที่เคยมีตัวตน ในเวลานี้...มีแค่เขาคนเดียวที่ยังคงมีตัวตนอยู่จริง ณ ปัจจุบัน

   ความอ้างว้างแบบนี้มันคืออะไรกันนะ...

   เขาไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ หรือ...กระทั่งชิงหลง เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าตัวกับเขาก็คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป นอกจากคนที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น

   เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองซากุระ

   ไม่หรอก...เขายังเหลือคนอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ไม่ใช่คนที่เขาสามารถพักพิงได้ แต่อย่างน้อย เธอก็จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดไป

   เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปหาหญิงสาวก่อนประคองมือของเธอขึ้นมา

   “ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”

   “ฉันไม่ใช่คนที่คุณจะพูดแบบนั้นได้หรอกค่ะ” แต่สำหรับซากุระแล้ว เธอก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้จูเชว่ตาย ความรู้สึกผิดนั้นทำให้เธอไม่สามารถเรียกตัวเองว่าคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่ได้เต็มปากอีกต่อไป รวมถึงการให้เกียรติของเซินหมิงเฟิ่งเธอก็ไม่สมควรจะได้รับ

   กระนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ยิ้มให้กับเธอ

   “สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนั้น คุณทำเพื่อผมไม่ใช่หรือ?” เขากล่าว “ผมคงโทษคุณไม่ได้หรอก เพราะไม่ว่าคุณจะทำยังไงผลของมันก็คงไม่ต่างไปจากนี้มากนัก”

   “แต่ว่า ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้น....”

   เป็นเพราะเธอพูดว่า...จะยอมแลกทุกอย่าง....

   เซินหมิงเฟิ่งบีบมือซากุระเบา ๆ

   “สิ่งที่คุณทำช่วยให้ผมกลับมาได้ นั่นคงเป็นสิ่งที่พ่อของผมต้องการเช่นกัน”

   ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ตาย...

   เซินหมิงเฟิ่งไมได้พูดประโยคหลังออกไป เขาแค่ทิ้งมันไว้ในห้วงความคิดของตนเองและปล่อยให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง

   “ผมจะไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่าแน่ สิ่งที่พ่อของผมปกป้องคือองค์กรนี้ คือตัวผม คือความสุขของผม ดังนั้นผมจึงตั้งใจที่จะเดินหน้าต่อไป” เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจจังหวะหนึ่ง “ดังนั้น ผมจึงอยากจะขอให้คุณเดินไปกับผมด้วย ผมทราบเรื่องทางบ้านของคุณมาไม่น้อยก่อนหน้านี้ และคุณก็มีพระคุณกับผม ผมจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายคุณได้อีก คุณมินาโมโตะ...ไม่สิ คุณซากุระ”

   ซากุระเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อต้นของตน

   “ผมจะทำให้คุณเป็นที่เคารพเทิดทูน แวดล้อมด้วยบริวาร พรั่งพร้อมด้วยความรักและภักดี จะไม่มีใครแตะต้องคุณได้หากผมไม่อนุญาต ดังนั้น คุณซากุระ ถึงเวลานี้จะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ว่า...จะว่าอะไรไหมหากผมจะขอคุณแต่งงาน”

   เซินหมิงเฟิ่งพูดคำเหล่านั้นออกมาราวกับว่าท่องจำมันเอาไว้แล้ว ซึ่งซากุระก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดคำนี้กับเธอด้วยความรักเช่นหญิงชาย ส่วนสาเหตุนั้น....ก็คงเป็นสาเหตุเดียวกันทั้งเธอและเขา ทุก ๆ สิ่งที่ผ่านมา ทุก ๆ อย่างที่จะดำเนินไป เหมือนบีบบังคับพวกเขาให้ไม่เหลือใครนอกจากกันและกัน เมื่อคนสองคนมาพบกันจึงจำต้องยึดเหนี่ยวกันเอาไว้เพื่อปกป้องตนเอง

   ทั้งความอ้างว้าง ทั้งความหวาดกลัว ทุก ๆ อย่างนี้ขอเพียงมันสูญสลายไปเท่านั้น....

   ซากุระยิ้มให้กับเซินหมิงเฟิ่ง แม้มันจะไม่ได้เปี่ยมด้วยความสุขเช่นหญิงสาวที่ถูกขอแต่งงาน แต่ก็มีความโล่งใจปะปนอยู่ในอารมณ์อันหลากหลาย

   “ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ ก่อนที่เซินหมิงเฟิ่งจะดึงเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด

   ต่อจากนี้ไป อย่างน้อยพวกเขาทั้งสองก็จะไม่ต้องรู้สึกว่าต้องต่อสู้ในโลกนี้เพียงลำพังอีกแล้ว

   แต่ว่า...ทำไมกัน....

   ทำไมความหวั่นใจของเขาถึงยังไม่หายไป...

   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกได้ว่าแมงมุมที่แผ่นหลังของตนยังไม่หลุดออกไป แต่มันกลับเติบโตขึ้นทีละน้อยอย่างช้า ๆ ...และเงียบงัน


TBC

ความจริงอยากเล่นมุก end อีกเพราะอารมณ์ตอนนี้คืออยากเขียนให้จบมากๆเลยค่ะ :'D แต่เคยเล่นไปแล้วในบัลลังก์ฯ เดี๋ยวเป็นมุกซ้ำแล้วนักอ่านไม่ตกใจ(เอ๊ะ) 55+
ดังนั้นห้ามขว้างปาหม้อ ไห กระทะใส่คนเขียนนะคะ -///-

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #229 เมื่อ30-07-2012 19:33:17 »

จะมีเรื่องอะไรที่มาพัวพันกับหมิงอีกนะ  :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
« ตอบ #229 เมื่อ: 30-07-2012 19:33:17 »





ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #230 เมื่อ30-07-2012 19:39:44 »

อั๊ยยะ
แล้วชิงหลงทำไงต่อละทีนี้

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #231 เมื่อ30-07-2012 20:21:50 »

ลืม...วันก่อนวาดภาพคุณหนูซากุระไว้ เอามาฝากค่า
อาจจะมีคนเห็นในเฟซไปบ้างแล้ว XD


ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #232 เมื่อ30-07-2012 22:01:53 »

ระหว่างซากุระกับเซินหมิงเฟิ่งยังไม่ใช่ความรัก เป็นแค่การพึ่งพากัน แต่อ่านไปอ่านมาชักอยากจะเชียร์นอร์มอล 55 ฟินจริงๆนะ
ส่วนชิงหลงกับไป๋หู่ :beat: :beat:

รอตอนหน้าค่ะ อย่ามามุข The End นะเดี๋ยวหัวใจวาย :z13:

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #233 เมื่อ30-07-2012 23:20:18 »

อ้าวววววว เซินหมิงเฟิงขอแต่งงานซะแล้วว วาย ๆ

แมงมุม ชิงหลงล่ะซินะ อิอิอิ

จะกลับไปหา หรือโดนลักพาอิกครั้งล่ะเนี่ย

รอตอนต่อไปคร๊าบบบ

ออฟไลน์ KoTo_Nat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #234 เมื่อ31-07-2012 07:34:56 »

โอ้ ดราม่าจังเรื่องนี้

มีปมเยอะมากกกกกกกกก  อ่านแล้วเครียด แค้น หมั่นใส้ ในอารมณ์เดียวกัน

แต่คนแต่งก็ขยันนะถึงจะอัพช้าเป็นบางครั้งแต่เวลามาต่อก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการต่อสองตอนยาวๆ

คนแต่งแบบนี้แหละที่นักอ่านชอบ

แล้วเมื่อไหร่ชินหลงจะหลงรักน้องเซินละ ดูแล้วเรื่องนี้ท่าจะยังอีกยาว

ยังไงก็รีบมาต่ออีกนะครับจะรออ่านต่ออีก

ขอบคุณครับที่แบ่งปันความสุข

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #235 เมื่อ31-07-2012 19:22:05 »

รอตอนต่อไปนะ

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
«ตอบ #236 เมื่อ02-08-2012 18:21:31 »

อาหมิง ;3;) สู้ๆนะ
ขออย่าให้มีเรื่องอะไรอีกเลย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
«ตอบ #237 เมื่อ04-08-2012 22:09:17 »

-28-


   งานแต่งงาน...

   งานแต่งตั้ง...

   และงานอื่น ๆ หลังจากที่เซินหมิงเฟิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งจูเชว่อย่างเต็มตัว เขาแทบจะไม่ได้เห็นชิงหลงเลย หากจะเห็นก็เป็นเพียงไกล ๆ เท่านั้น ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหลบหน้าเขาอยู่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ...เพราะการกระทำทั้งหมดของอีกฝ่ายเป็นสิ่งหนึ่งที่กดดันให้จูเชว่รุ่นก่อนต้องฆ่าตัวตาย อาจจะเป็นความละอาย ความรู้สึกผิด หรือความเฉยชากับสิ่งที่หมดประโยชน์ ชิงหลงจึงตีตัวออกห่างราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีอะไรต่อกันมาก่อน แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น...ทุก ๆ ครั้งที่เขาได้เห็นผู้ชายที่คล้ายชิงหลง เขาก็ยังอดรู้สึกถึงสายใยบาง ๆ ที่ยังเชื่อมโยงตัวเขาเอาไว้ไม่ได้ มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนจิตใจของเขาท่ามกลางความวุ่นวายที่ประเดประดังเข้ามา

   แค่เพียงได้เห็นเงาของผู้ชายคนนั้น...ความสงบก็บังเกิดขึ้นในใจ...

   เมื่อแรกเริ่มรับตำแหน่ง สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งกระทำเป็นสิ่งแรกกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน

   เขาสำรวจห้องใต้ดินที่เคยใช้เก็บของแต่ในช่วงของพ่อเขากลายเป็นห้องว่าง ๆ ซึ่งสมัยเด็กเขาแอบลงไปซ่อนแอบพวกคนรับใช้ที่โดนชวนเล่นด้วยกันบ่อย ๆ

   มันเป็นห้องกว้างที่มีแสงแดดส่องลงมาเพียงเล็กน้อยจากหน้าต่างบานเล็กซึ่งเชื่อมกับพื้นดินด้านบน มีหลอดฟลูออเรสเซนต์หลอดหนึ่งที่ตอนนี้เสียไปแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจึงสั่งเปลี่ยนใหม่และทำความสะอาดก่อนจะเอาโต๊ะกับเก้าอี้เข้าไปวางข้างใน

   เหตุที่เขาทำเช่นนั้นเพราะเขาต้องการสถานที่ที่สามารถอยู่คนเดียวได้ แต่เขากลับไม่สามารถทำใจใช้ห้องหนังสือของพ่อได้เพราะมีความทรงจำมากมายอยู่ที่นั่น ทั้งรูปภาพ ทั้งภาพที่ติดอยู่ในสมอง และยังเป็นสถานที่ซึ่งพ่อของเขาต้องจบชีวิตลงอีกด้วย

   ทุก ๆ กิจกรรมในชีวิตของเขาหลังจากนั้น ล้วนแต่นำความรู้สึกด้านลบมาให้ อาจเป็นเพราะเขาเคยมีชีวิตอย่างคนธรรมดามาก่อน โลกของมาเฟียจึงได้โหดร้ายและน่ากลัว

   ฆ่าคน…

   ยาเสพติด...

   ค้ามนุษย์...

   อาวุธ...

   ทุกสิ่งล้วนแต่ขัดกับศีลธรรมจรรยาเยี่ยงมนุษย์สามัญ แต่มันกลับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา และทุก ๆ คนรอบตัวเขาก็ทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องแสนปกติ

   สายตาของทุกคนที่จ้องมามองที่เขาอย่างเทิดทูนและคาดหวัง ล้วนแต่เป็นอาหารชั้นดีของแมงมุมที่ขยายตัวบนแผ่นหลังจนเขารู้สึกหนักอึ้ง

   แม้ว่าในยามปกติ เซินหมิงเฟิ่งจะวางตัวเป็นจูเชว่ผู้สมบูณ์แบบ เฉียบขาด และเต็มเปี่ยมด้วยบารมีของผู้นำ แต่เมื่ออยู่คนเดียว เขากลับต้องกอดตัวเองที่กำลังสั่นเทาในความมืด กลั้นเสียงร้องไห้ที่มีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ยิน ความหวาดกลัวต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายในตอนแรกที่เป็นเพียงการระแวงต่อสายตา บัดนี้มันกลับกลายเป็นความสะพรึงกลัวต่อทุกสรรพสิ่งที่แวดล้อมในชีวิตประจำวัน

   อาหารจะมียาพิษหรือเปล่า?

   ด้านนอกมีมือปืนหรือไม่?

   ใครกันที่คิดจะหักหลัง?

   คำถามทำนองนี้วนเวียนอยู่ในหัวทุกวันทุกคืน หลอกหลอนชีวิตที่มีเส้นทางอันบิดเบี้ยวผิดแผกจากมนุษย์มนาทั่วไป

   และนั่นอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาตัดสินใจ “ปรับโครงสร้างองค์กร” หรือพูดง่าย ๆ คือการกำจัดคนไร้ประโยชน์หรือน่าสงสัยออกไปนั่นเอง แต่ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ เกื้อหนุนอยู่อีก

   ในตอนแรกมีหลายคนคัดค้านสิ่งที่เขาต้องการจะทำ เพราะองค์กรอยู่มาได้ด้วยสายสัมพันธ์เก่าแก่คล้ายระบบศักดินา ระดับหัวหน้าขององค์กรล้วนแต่ไต่ขึ้นมาตามเส้นสายของบรรพบุรุษ มีแค่บางส่วนที่ไต่ขึ้นมาจากข้างถนนด้วยความสามารถของตัวเอง นั่นทำให้เซินหมิงเฟิ่งคิดถึงอเล็กซานโดรขึ้นมา ชายคนนั้นเป็นคนที่เขารู้สึกยกย่องตั้งแต่แรกเห็น แต่เมื่อมองไปในองค์กรของตนเอง เขากลับไม่สามารถหาคนเช่นนั้นได้เลย

   สุดท้าย การคัดค้านของคนรอบข้างก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซากุระเห็นดีเห็นงามกับเขา และเธอเองก็มีใจเอนเอียงไปทางระบบของตะวันตก อีกทั้งในโลกสมัยใหม่ องค์กรต่าง ๆ ก็ใช้ระบบนี้กันทั้งนั้น ทำให้เหตุผลของพวกผู้อาสุโสหัวเก่าต้องตกไป

   ถึงแม้ว่า...การตัดสินใจครั้งนั้นนำมาซึ่งการปองร้ายที่หนักข้อยิ่งกว่าเก่า ทั้งจากคนในและคนนอก

   เซินหมิงเฟิ่งได้รวบรวมคนมีความสามารถมากมายมาอยู่ใกล้ตัว ส่วนคนที่ไร้สามารถก็ลดขั้นลงไป เว้นแต่พวกหัวหน้าคนเก่าคนแก่ที่ทำงานให้มานาน เขาจึงไม่อาจแตะต้องได้ด้วยความอาวุโสที่ต้องเก็บไว้ควบคุมคนในปกครองของแต่ละคน แม้ใจเขาจะรู้ว่าคนเหล่านี้คือหอกข้างแคร่ แต่นี่คงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อปกป้องตัวเองและองค์กรไปพร้อม ๆ กัน และการกระทำเหล่านี้ยังทำให้จิตใจของเขาสงบลงด้วยความรู้สึกว่าตนเองยังสามารถควบคุมสิ่งที่อยู่ในมือได้

   แต่มันจะเป็นแบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่?

   แมงมุมบนหลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่เคยหยุดเติบโต...

   สายตาประสงค์ร้ายจากรอบข้างยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่คนเหล่านั้นยังทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะคนที่ภักดีกับเขาและพึงพอใจกับระบบนี้ก็มีอยู่หลายส่วน โดยเฉพาะพวกระดับล่างที่ได้รับความก้าวหน้าจากผลงานที่กระทำมาตลอดชีวิต ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่แม้จะไม่จัดจ้านเหมือนพวกแก่ ๆ ในองค์กร แต่ก็ทำงานรองมือเท้าพวกหัวหน้าจนรู้หน้าที่กันดี

   เซินหมิงเฟิ่งมีชีวิตอยู่ในโลกที่ความกลัวกับอำนาจผสมปนเปเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับสภาพจิตใจของเขาที่แบ่งเป็นสองขั้ว ถึงแม้จะกลัวแต่ก็ต้องเดินหน้า...

   และช่วงเวลาการปกครองของเขาก็ผ่านมาถึง 2 ปีนับจากวันที่เขารับตำแหน่ง จนถึงบัดนี้สิ่งที่เขาลงมือทำกำลังออกดอกออกผลอย่างงดงาม ผลการดำเนินงานต่าง ๆ ก้าวหน้าไปได้ด้วยความคิดของคนใหม่ ๆ ที่ยังไฟแรงและยินดีทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำโดยไม่ปริปาก ต่างกับสมัยก่อนที่ต้องเอาอกเอาใจผู้อาวุโสจนไม่เป็นอันทำอะไร ในตอนนี้ถึงผู้อาวุโสจะยังมีอำนาจอยู่และต้องคอยเอาใจเนือง ๆ แต่ก็สามารถใช้คนใต้ปกครองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะพวกอาศัยเส้นสายยากจะชูคออยู่ได้หากปราศจากผลงาน

   และจนถึงบัดนี้ซากุระก็ยังคงเป็นภรรยาที่คอยอยู่เคียงข้างเขา...

   แต่ชิงหลง...กลับยิ่งถอยห่างออกไป...

   เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว ความเหงา ความเปล่าเปลี่ยว ก็ผุดขึ้นมาจากรอยแยกอันดำมืดที่ไม่ว่าเขาจะพยายามอุดอย่างไรก็ไม่สามารถปิดมันได้

   คุณสัญญาว่าจะปกป้องผม...แล้วทำไมคุณถึงทิ้งผมไว้ลำพัง...

------------------------------>

   “กลับมาแล้วหรือคะ?” ซากุระเอ่ยปากทักทายเซินหมิงเฟิ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางอิดโรย สายตาที่แสดงความเหนื่อยล้าสบมองเธอก่อนจะคลี่ยิ้มให้

   “กลับมาแล้วครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวแล้วถอดเสื้อสูท “วันนี้คุณกลับเร็วกว่าผมอีกนะ”

   “ความจริงเพราะคุณกลับช้าต่างหาก” ซากุระแย้งพลางหัวเราะแล้วชี้ไปทางนาฬิกาลูกตุ้มตั้งพื้นแบบโบราณ “งานที่บริษัทน่ะ เลิกเวลาเดิมทุกวันนั่นแหละค่ะ”

   “จริงด้วยสิ” ชายหนุ่มขำตัวเองก่อนทิ้งตัวนั่งบนโซฟา “ทางฝั่งผมสินะที่ลำบากหน่อย” เขาว่าแล้วปล่อยสายตามองไกลออกไปอย่างไม่มีจุดหมายแน่ชัด

   ซากุระส่ายศีรษะก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ แล้วเลื่อนมือกุมหลังมืออีกฝ่าย หลังแต่งงานกันไม่นาน เธอพบว่ากิริยาแบบนี้ทำให้เซินหมิงเฟิ่งระบายยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าได้ และสีหน้าของเขาก็จะสงบลงและคลายความเหนื่อยล้าเล็กน้อย เพราะอย่างนั้นทุกครั้งหลังเลิกงานและกลับมาที่บ้าน พวกเขาจึงมักจะนั่งด้วยกันและทำเช่นนี้เพื่อปลอบโยนจิตใจของกันและกันอยู่เสมอ

   ส่วนในเวลางาน ซากุระจะดูแลงานที่ต้องออกหน้ากับสื่อและงานเบื้องหน้าที่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากซากุระมีความสามารถด้านการมองคนและมีประสบการณ์ด้านการสื่อสาร งานของเธอจึงเน้นหนักไปทางบุคลากรและการตลาด ส่วนงานเบื้องหลังเซินหมิงเฟิ่งจะเป็นคนจัดการทั้งหมด รวมถึงงานส่วนของประธานเครือตระกูลด้วย แต่ในเวลาประชุมของบริษัท เขาก็จะพาซากุระไปร่วมฟังด้วยทุกครั้ง

   ในสายตาคนนอก พวกเขาเสมือนคู่รักที่สมบูรณ์แบบ แบ่งเบาภาระการงานกันและกัน อยู่ด้วยกันและเกื้อกูลกันอย่างไม่เคยขาด ระยะหลัง ๆ พวกเขาจึงไม่แปลกใจนักเมื่อมีคนทักอยู่บ่อย ๆ ว่าเมื่อไหร่ทั้งสองจึงจะมีโซ่ทองคล้องใจสักคนสองคน

   แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น...

   “คุณซากุระ คุณอยากจะมีลูกหรือเปล่า?”

   คำถามของเซินหมิงเฟิ่งทำให้ผู้ฟังเผยสีหน้าแปลกใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก่อนที่เธอจะหัวเราะน้อย ๆ เหมือนเดาเหตุการณ์บางอย่างได้

   “โดนคะยั้นคะยอมาหรือคะ?”

   “ก็ประมาณนั้น....” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ “วันนี้ผมไปพบภรรยาของเหล่าโหวมา เป็นวันเกิดของเธอน่ะ แล้วเธอก็บอกว่า.......”

   ซากุระเลิกคิ้วรอฟังหลังจากเซินหมิงเฟิ่งหยุดพูดไปเฉย ๆ

   เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ

   “การได้อุ้มชูเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองกับคู่ชีวิตคือความฝันอันสูงสุดของผู้หญิงทุกคน” หลังจากเซินหมิงเฟิ่งพูดจบ ทั้งสองก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง

   “แหม...คุณนายเข้าใจผู้หญิงดีจังเลยนะคะ” ซากุระหัวเราะ “แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่เชิงเป็นแบบนั้นเสียทีเดียว เพราะผู้หญิงสมัยใหม่หลายคนไม่ได้ต้องการมีครอบครัวด้วยซ้ำไป แต่คุณนายก็คงจะพูดไปตามวัยเท่านั้นเองค่ะ เพราะในสมัยก่อนผู้หญิงต้องแต่งงานเพื่อเป็นหน้าตาให้ครอบครัว การมีลูกจะเป็นหลักฐานการยอมรับการเป็นครอบครัวของฝ่ายสามีด้วย เพราะบางทีพ่อกับแม่ของสามีจะไม่ชอบลูกสะใภ้ แต่อย่างไรก็จะรักหลานน่ะค่ะ”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับ

   “แล้วสำหรับคุณล่ะ?”

   ซากุระยิ้มบาง

   “คุณเซินทำไม่ได้หรอกค่ะ ก็คุณเซินไม่ได้รักฉันในรูปแบบนั้น ถ้าคุณทำกับฉันทั้งที่ไม่ได้รักคงจะเป็นการทำร้ายจิตใจฉันมาก คุณใจดีเกินกว่าจะทำได้ไม่ใช่หรือคะ?”

   “...นั่นสินะครับ...” เซินหมิงเฟิ่งตอบรับเสียงแผ่วหมือนจะขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในที เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากเขาไม่แต่งงานกับซากุระ บางทีเธออาจจะได้เจอผู้ชายที่ดีพอและสามารถรักเธอได้ หากเป็นแบบนั้นตอนนี้เธอคงจะมีครอบครัวที่แสนสุขไปแล้ว

   หรือไม่...ก็เพียงแต่เขาไม่ได้เจอกับชิงหลง...

   “สักวันหนึ่ง...คุณจะไปสินะคะ...”

   ไม่รู้ว่าเป็นสัญชาตญาณหญิง หรือลางสังหรณ์ แต่ซากุระรู้สึกได้ว่าเซินหมิงเฟิ่งกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ในใจโดยไม่บอกกับใคร

   เจ้าตัวมักจะใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้องใต้ดินที่เงียบสงัด บางครั้งก็อยู่เกือบทั้งวันโดยใครก็ลงไปเรียกไม่ได้เพราะเป็นข้อกำหนดที่เซินหมิงเฟิ่งบอกไว้กับคนในบ้านตั้งแต่ปรับปรุงห้องเสร็จใหม่ ๆ ว่านี่คืออาณาเขตส่วนบุคคลที่ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ห้ามใครลงไป

   ยังไม่เคยมีกรณีฝ่าฝืนคำสั่ง จึงไม่มีใครรู้ว่าเซินหมิงเฟิ่งทำอะไรอยู่ที่นั่น

   แต่ช่วงเวลาที่อยู่เพียงลำพังนั้น สมองของมนุษย์มักจะคิดอะไรมากมายเหลือคณานับ ดังนั้นหากเซินหมิงเฟิ่งจะวางแผนอะไรก็คงไม่น่าแปลกใจ ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้การใคร่ครวญเป็นระยะเวลานานด้วยแล้ว มันคงจะเป็นเรื่องสำคัญและยากต่อการตัดสินใจมากทีเดียว

   อีกหลักฐานหนึ่งที่ซากุระคิดว่าเซินหมิงเฟิ่งมีแผนจะทำอะไรนั้น คล้ายจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวผสมกับเหตุผลแอบแฝง นั่นคือการที่ยินยอมให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและโลกของมาเฟีย ในเวลาประชุมกลุ่ม เธอจะได้รับฟังและเสนอความคิดเห็นเสมอซึ่งในตอนแรกหลาย ๆ คนไม่พอใจเพราะคิดว่าจูเชว่หลงภรรยาจนโงหัวไม่ขึ้น และโดยปกติ ภรรยาของหัวหน้าแต่ละคนจะไม่มีสิทธิเสียงในหน้าที่การงานของสามีแบบนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและความคิดของเธอเองก็มีประโยชน์ในหลาย ๆ โปรเจคที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก กลับกัน เธอกลายเป็นที่เคารพนับถือมากขึ้น

   หากคิดในแง่ปกติ ใคร ๆ ก็คงจะคิดว่าเป็นการใช้คนให้ได้ประโยชน์สูงสุดอย่างที่เซินหมิงเฟิ่งมักพูดว่า ‘Put the right man on the right job’

   ในแง่ของผู้หญิงทั่ว ๆ ไป ก็มองว่าเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้สตรีเพศ

   แต่สำหรับเธอที่รู้จักเซินหมิงเฟิ่งดีตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เซินหมิงเฟิ่งไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ด้วยเหตุผลอย่างพื้น ๆ เช่นนั้น เพราะหากพูดถึงความเหมาะสมกับงาน ก็มีอีกหลายคนที่เหมาะสมมากกว่า เธอแค่นั่งอยู่บ้านเฉย ๆ หรือช่วยคัดบุคลากรบ้างก็ไม่มีใครตำหนิเธอได้แล้ว แล้วทำไมเซินหมิงเฟิ่งจึงต้องลำบากเสี่ยงเอาเธอเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ด้วย หากไม่ใช่เพราะต้องการหาที่ยืนให้กับเธอหลังจากตนเองจากไป

   แต่ถึงอย่างนั้น ซากุระก็ไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้ออกไป เพราะทุกอย่างก็แค่ข้อสงสัยที่อาจจะถูกมองว่าคิดมากเกินไปก็ได้ เธอจึงแค่เพียงถามคำถามพื้น ๆ เท่านั้น

   เซินหมิงเฟิ่งยิ้มเงียบ ๆ ก่อนจะดึงซากุระเข้ามากอดแล้วจูบบนกระหม่อม

   “ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวหรอก” เขาลูบเรือนผมนุ่มของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน “ผมจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย ผมสัญญา”

   ถึงแม้น้ำเสียงของเซินหมิงเฟิ่งเหมือนจะพยายามบอกให้เธอสบายใจ แต่ซากุระกลับไม่รู้สึกดีกับคำสัญญาแบบนั้นเลย เพราะมันคือการตอบรับว่าข้อสงสัยของเธอถูกต้องทุกประการ แต่ก็เพราะเซินหมิงเฟิ่งพูดออกมาแบบนั้นแล้ว เธอจึงไม่สามารถคาดคั้นอะไรได้อีก

   ความจริงแล้ว...ระหว่างเขาและเธอ ก็ยังมีกำแพงสูงใหญ่ตั้งขวาง...

   “แล้วตอนนี้ไปถึงไหนแล้วคะ?” ซากุระเลือกจะถามคำถามง่าย ๆ โดยไม่คาดหวังคำตอบ

   “ก็เกือบเสร็จแล้ว เหลืออีกไม่กี่อย่างที่ผมต้องทำ”

   ถ้าอย่างนั้น...ก็แปลว่าอีกไม่นาน...

   ซากุระสรุปความในใจเงียบ ๆ

---------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
«ตอบ #238 เมื่อ04-08-2012 22:09:51 »

   ชิงหลง หลังจากกลับมาจากอิตาลีเขาก็ต้องเจอกับปัญหาหลาย ๆ อย่างที่เลขาของเขาไม่มีอำนาจจัดการทำให้ชีวิตเขาต้องวุ่นวายกับเรื่องรอบตัวไประยะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดจะคิดไม่ได้ว่าเซินหมิงเฟิ่งจะต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบไหนเมื่อพบว่าพ่อของตนเองได้จากไปแล้ว และตนเองต้องรับภาระที่หนักหนาโดยที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย

   งานสำคัญต่าง ๆ ที่เขาจะมีโอกาสได้พบอีกฝ่าย เขาก็ทำได้แค่มองดูห่าง ๆ เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่มีสิทธิมากกว่านั้น

   บางที เซินหมิงเฟิ่งคงจะเกลียดชังเขามากทีเดียว...

   เขาคิดเช่นนั้น และเพื่อบรรเทาความทุกข์ใจของอีกฝ่าย เขาจึงเลือกที่จะอยู่ให้ห่างจากจูเชว่คนใหม่ให้มากที่สุด และก็เป็นโชคดีที่พวกเขาไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ ให้ต้องใกล้ชิดกันอีกจนกระทั่งเวลาผ่านมาถึง 2 ปีที่ทุกอย่างค่อยๆ ผ่านพ้นไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงแจ่มชัดนั่นคือความรู้สึกผูกพันกับใครบางคน

   คงเป็นเรื่องจริงที่เขาว่าสายสัมพันธ์นั้นตัดรอนได้ยาก

   ความทรงจำ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ลางเลือน แต่สายสัมพันธ์เมื่อนึกถึงขึ้นมาก็ยังคงทำให้รู้สึกถึงสิ่งที่ยังคงตกค้างอยู่ในใจ

   เขาพยายามดึงตัวเองออกมาเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับทั้งเขาและเซินหมิงเฟิ่ง เขาทำเช่นนั้นได้นานมากพอที่จะรู้ว่ามันได้ผล เพราะจนถึงตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งเองก็อยู่ปกติดี แต่งงานมีภรรยา มีการปรับปรุงโครงสร้างภายในครั้งใหญ่ ส่วนเขาก็มีชีวิตของตนเองอยู่ตรงนี้เช่นกัน

   ชิงหลงไม่ได้คิดถึงเรื่องของเซินหมิงเฟิ่งมานานแล้วหลังจากที่ข่าวคราวทางจูเชว่ไม่มีอะไรผิดปกติ รวมถึงไม่ได้ติดต่อกับไป๋หู่เป็นการส่วนตัวอีกเพราะยังไม่มีธุระสำคัญอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้รับสายโทรศัพท์จากไป๋หู่ที่จงใจโทรเข้าเครื่องของเขาโดยตรงแปลว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

   เขารับโทรศัพท์โดยไม่ได้เดาว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

   “สวัสดีครับ”

   “สวัสดีชิงหลง” ไป๋หู่กรอกเสียงตามมา “ขอโทษที่โทรมารบกวนเวลาอันมีค่าของนายนะ ว่าแต่ นายว่างพอจะคุยกับฉันหรือเปล่า?”

   เสียงของไป๋หู่ยังคงระรื่นอย่างที่เคยได้ยินครั้งสุดท้าย เจ้าตัวมักสร้างอิมเมจตัวเองให้เป็นแบบนั้นทั้งที่จริง ๆ แล้วเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าจิ้งจอก ชิงหลงรู้ดีถึงใบหน้าหลังหน้ากากอีกฝ่ายเพราะเป็นเพื่อนกันสมัยเรียน เขาจึงไม่เคยหลงกลสีหน้า น้ำเสียง หรือท่าทางที่เสมือนไม่ใส่ใจเรื่องรอบตัวนั้นเลย

   “ความจริงฉันมีเวลาจนถึงบ่ายสามโมง” ชิงหลงมองนาฬิกาบนโต๊ะตัวเอง “แต่ถ้าให้ดี ฉันอยากให้เป็นเรื่องสั้น ๆ ที่ไม่ต้องพรรณนายืดยาว”

   ไป๋หู่หัวเราะร่า

   “นายนี่นะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมยังหาสาวมาควงไม่ได้เสียที ไปอิตาลีตั้งหลายครั้งไม่มีสาวมาแลบ้างเลยหรือไง?” ไป๋หู่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงถึงช่วงเวลาที่ชิงหลงไปอิตาลีกับเซินหมิงเฟิ่ง และโดยปกติชิงหลงก็ไปอิตาลีหลายครั้ง ถึงอย่างนั้นในสมองของชิงหลงกลับกำลังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คงเพราะเป็นครั้งเดียวกระมังที่เขาไม่ได้เดินทางไปอิตาลีเพื่อเยี่ยมญาติหรือทำงานตามที่เคยทำเป็นปกติ

   “นายก็ควงไปทั่วแต่ไม่มีตัวจริง” ชิงหลงสวนกลับเสียงเรียบแล้วปัดสิ่งที่อยู่ในสมองออกไป

   “มันเจ็บเหมือนกันนะ” ถึงเจ้าตัวจะพูดแบบนั้นแต่กลับหัวเราะรื่นเริง

   “แล้วตกลงว่านายมีธุระอะไรกันแน่?”

   “อย่างเพิ่งทำเสียงแบบนั้นสิ ไม่ได้คุยกับนายแบบนี้ตั้งนานเลยเผลอลากยาวไปหน่อย” ไป๋หู่พูดเสียงร่าเริง “เอาเป็นว่ามะรืนนี้นายว่างไหม?”

   “มะรืน? กี่โมง?”

   “ช่วงค่ำ ๆ ถ้านายไม่มีนัดอะไรมาเจอกันหน่อยสิ ฉันมีของจะให้นายดู”

   ชิงหลงมุ่นคิ้ว แต่ไป๋หู่ถึงกับโทรมาด้วยตัวเอง ของที่ว่าคงจะสำคัญมากพอที่เขาจะสละเวลาไปได้ และมะรืนนี้เขาเองก็ไม่ได้มีนัดสำคัญอะไรนอกจากประชุมตอนเช้า

   “ก็ได้ ที่ไหนล่ะ?”

   ไป๋หู่บอกสถานที่เสร็จสรรพก็วางสายไป ชิงหลงมองสถานที่ในกระดาษแล้วสงสัยว่าอีกฝ่ายจะนัดเขาไปพบที่นั่นทำไมกัน เพราะมันคือห้องสูทที่เจ้าตัวซื้อไว้เพื่อทำกิจกรรมส่วนตัวซึ่งไม่ต้องการให้มีใครรู้เห็น หรือว่าไป๋หู่ต้องการให้การพบกันครั้งนี้เป็นความลับกันนะ?

---------------------->

   2 วันถัดจากนั้น ซากุระตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยใจคอที่ไม่ดีนักแต่เธอก็พยายามปัดความรู้สึกนั้นออกไปเพื่อให้สามารถทำงานได้ตามปกติ

   “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ซากุระเดินลงมาข้างล่าง และพบว่าเซินหมิงเฟิ่งนั่งรอที่โต๊ะอาหารอยู่แล้ว “วันนี้จะออกไปเร็วหรือคะ? คิดว่าจะไปบริษัทพร้อมกันเสียอีก” หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจะไปบริษัทพร้อมเธอเสมอ แต่ไม่ค่อยได้กลับพร้อมกันเพราะอีกฝ่ายมักจะอยู่ทำงานต่อหรือมีนัดสำคัญนอกสถานที่ เช่น พบปะเจรจากับคู่ค้าสำคัญ

   “ขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ผมมีธุระนิดหน่อย อาจจะไม่ได้เข้าบริษัท แต่ถ้ามีอะไรสำคัญก็โทรหาผมได้” เซินหมิงเฟิ่งพูดพลางยิ้มให้ซากุระคลายใจ แต่รอยยิ้มของเขากลับไม่ได้ดูสบายใจเลยแม้แต่น้อย กลับเหมือนคนที่กำลังตัดสินใจบางอย่างที่ยากลำบากลงไปแล้วและตนเองไม่ได้รู้สึกยินดีกับมันเลย

   หวางซือยกอาหารเช้าเข้ามาให้ทั้งสอง ซากุระจึงนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ ๆ และลงมือกินโดยไม่ได้ถามเรื่องนั้นอีก เพราะปกติเธอก็จะไม่ถามซอกแซกเรื่องงานของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

   “แล้วจะกลับเร็วไหมคะ?” ซากุระถามเผื่อไว้ หากกลับช้าจะได้ไม่ต้องให้คนครัวทำอาหารสองชุด

   “อืม....ผมคงจะกลับไว คิดว่าคงเจอกันตอนเย็น” เซินหมิงเฟิ่งตอบแล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่ง เหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดต่อ ท่าทางครุ่นคิดของเซินหมิงเฟิ่งทำให้ซากุระรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนว่าลางสังหรณ์จะรุนแรงเป็นพิเศษ

   “คิดว่า? แสดงว่าตอนเย็นมีนัดต่อ?” ซากุระถามกลับเมื่อเห็นว่าเซินหมิงเฟิ่งหยุดคำบอกกล่าวไว้เพียงแค่นั้น แต่คำพูดนั้นกลับทิ้งตะกอนบางอย่างตกค้างในใจของเธอ

   “ครับ” เขาตอบสั้น ๆ แล้วเมื่อคิดได้ว่ามันจะทำให้ซากุระรู้สึกเหมือนโดนตัดรอนมากเกินไปจึงเสริมต่อ “ค่ำ ๆ ผมต้องออกไปข้างนอกอีกครั้ง แต่ยังไงผมก็อยากจะเจอคุณก่อนจะออกไป ดังนั้น...วันนี้คุณช่วยกลับมาเร็วหน่อยก็แล้วกันนะครับ”

   หญิงสาวมุ่นคิ้ว

   มีอะไรบางอย่างไม่ปกติแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งคงไม่อขพบเธอก่อนจะออกไปข้างนอกหรอก หากเป็นเรื่องไม่เร่งด่วนอะไรก็น่าจะรอวันพรุ่งนี้ได้ หรืออย่างน้อยก็น่าจะไปหากันที่บริษัท แต่เซินหมิงเฟิ่งกลับมั่นอกมั่นใจว่าตนเองจะไม่ได้เจอกับเธอนอกจากเวลากลับบ้านเพียงสั้น ๆ ก่อนออกไปอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะโทรหาตอนเลิกงานนะคะ”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับด้วยท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัวซึ่งรบกวนจิตใจของเธอด้วย
   หลังจากนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็นั่งรถคันหนึ่งออกไป ส่วนซากุระก็เดินทางไปบริษัทตามปกติ เธอกังวลใจแต่ไม่ได้โทรไปหาอีกฝ่ายเพราะเกรงจะรบกวนเวลาหากมีเรื่องสำคัญ และอย่างไรเขาก็สัญญาแล้วว่าจะเจอกันตอนเย็น ดังนั้นตอนนี้คงจะไม่มีอะไรต้องห่วง

   เวลาในวันนั้นคล้ายจะผ่านไปช้ากว่าปกติ ทุก ๆ ชั่วโมงเธอจะต้องเผลอหันไปมองนาฬิกาเพื่อดูว่าจะถึงเวลากลับบ้านหรือยัง อาจจะเป็นเพราะเธอไม่สามารถรวบรวมสมาธิทำงานได้กระมัง เวลาจึงได้ผ่านไปช้านัก แต่ในบางครั้งก็เหมือนว่าจะเหม่อมากเกินไปจนพนักงานที่ทำงานใกล้ชิดต้องมาสะกิดให้รู้ตัวและไถ่ถามว่าไม่สบายหรือไม่ ซากุระทำได้แค่ยิ้มตอบกลับไปและเก็บความกังวลไว้ในใจ

   เธอทนอยู่กับความอึดอัดใจอย่างไร้สาเหตุนี้หลายชั่วโมง ถ้าเพียงแต่มีใครสักคนเข้ามาพูดคุยกับเธอเพื่อเบี่ยงความสนใจไปทางอื่นก็คงจะสามารถลืมมันไปได้ แต่เพราะเธอมีตำแหน่งที่สูงกว่าคนรอบข้าง คนเหล่านั้นจึงทั้งเคารพและกลัวเกรง ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาแบบเพื่อนคุย หากจะเข้ามาก็แค่ปรึกษาเรื่องงานแล้วก็กลับไปทำงานของตนเองเมื่อปรึกษาจบ

   ซากุระคิดถึงหลางเมี่ยวอินขึ้นมา พวกเธอไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันคือตอนแต่งงาน แล้วหลางเมี่ยวอินก็บอกว่าตนเองจะไปเรียนต่อระหว่างที่ตาของเธอยังดำรงตำแหน่งอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำ

   ดูเหมือนว่าทางเสวียนอู่จะเลิกหวังกับทายาทที่ไม่สนใจจะดำรงตำแหน่งแล้ว เพราะล่าสุดได้ข่าวว่ามีการแต่งตั้งให้หลางเมี่ยวอินเป็นทายาทอย่างเป็นทางการ สื่อเองก็ตีข่าวนี้พร้อมวิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นานา ทำให้หลางเมี่ยวเจินเองก็จำเป็นต้องออกไปจากฮ่องกงสักพักให้ข่าวนี้เงียบหายไป ตอนนี้ฝาแฝดทั้งสองคนจึงไปอยู่ต่างประเทศกันหมด คงอีกปีหรือสองปีถึงกลับมา ทำให้ซากุระไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บทุกอย่างไว้ในใจเงียบ ๆ แม้กระทั่งกับเซินหมิงเฟิ่งเธอก็ไม่กล้าบอกเล่าความรู้สึกแบบนี้ให้รู้

   จนกระทั่งเกือบถึงเวลาเลิกงาน ซากุระก็บอกคนในที่ทำงานว่ามีเรื่องสำคัญจึงต้องกลับก่อน

   เธอเร่งรีบออกมาจากบริษัทและโทรหาเซินหมิงเฟิ่งทันทีที่ขึ้นรถ

   “ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนี่ครับ?” เซินหมิงเฟิ่งแปลกใจที่ซากุระโทรมาหาก่อนถึงเวลาปกติ

   “ฉันรีบกลับน่ะค่ะเพราะอยากให้ทันก่อนคุณหมิงเฟิ่งออกไป”

   “งั้นหรือครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านแล้ว ความจริงคุณซากุระไม่ต้องรีบก็ได้เพราะผมคำนวณเวลาเอาไว้ว่าจะออกไปหลังจากคุณกลับเข้ามาตามเวลาปกติ”

   ถึงเซินหมิงเฟิ่งจะพูดแบบนั้นแต่ซากุระก็ยังร้อนใจอยู่ดี

   ทันทีที่ถึงบ้าน ซากุระก็เข้าไปด้านในและเมื่อเห็นว่าเซินหมิงเฟิ่งยังปลอดภัยและไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยคลายความกังวลลง เซินหมิงเฟิ่งรินชาให้เมื่อเห็นซากุระเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนก่อนจะนั่งลงเหมือนกำลังเหนื่อย ซึ่งเธอก็รับมาจิบก่อนจะถอนหายใจ

   “ขอโทษนะคะ ฉันรีบเพราะกลัวจะไม่ทัน” ซากุระว่า “แล้ว...มีอะไรหรือคะ? ที่จะบอกฉันก่อนจะออกไป คงจะสำคัญมากสินะคะ”

   เซินหมิงเฟิ่งแสดงอาการลังเลออกมานิดหน่อยก่อนจะสงบนิ่งเช่นเดิม

   “ครับ สำคัญ...” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลแล้วเดินมาที่โต๊ะ ซากุระมองซองนั้นด้วยความแปลกใจก่อนที่มันจะถูกยื่นมาให้ตรงหน้า “ผมคงจะอธิบายทั้งหมดในครั้งเดียวไม่ได้ และเวลาผมก็มีไม่มากพอที่จะทำแบบนั้น แต่ทุกอย่างที่คุณอยากรู้จะจำเป็นต้องรู้อยู่ในนี้แล้ว แต่ว่าอย่าเพิ่งเปิดออกในทันทีนะครับ” เงื่อนไขของเซินหมิงเฟิ่งยิ่งกระตุ้นความสงสัยในตัวซากุระ

   “ไม่ให้เปิดหรือคะ?”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้า

   “ผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ก่อนถึงเวลาที่สมควร หลังจากผมออกไปแล้วมากกว่าห้าชั่วโมงคุณค่อยเปิดมันออกก็แล้วกัน จะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ ถึงตอนนั้นผมเชื่อว่าคุณจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้”

   ซากุระรับฟังเงียบ ๆ ความรู้สึกกังวลและอัดอั้นกลับมาอีกครั้ง ลางสังหรณ์ที่น่าจะเงียบหายไปเมื่อพบว่าเซินหมิงเฟิ่งปลอดภัยดีกลับค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เหมือนแค่สะกิดให้รู้สึกตัว ตอนนี้ลางสังหรณ์ของเธอกำลังทุบเรียกอยู่ข้างใน

   เซินหมิงเฟิ่งนั่งลงข้าง ๆ ซากุระแล้วเอียงศีรษะซบบนบ่า

   “ไหน ๆ คุณก็กลับมาไวเลยมีเวลาอีกหน่อย ผมขออยู่อย่างนี้สักครู่ได้ไหมครับ”

   ซากุระไม่ได้ต่อว่าอะไร เธอยกมือขึ้นลูบผมเรือนผมอีกฝ่ายแล้วละลงมาแตะบนซองสีน้ำตาลก่อนผลักไสมันไปไว้บนโต๊ะแล้วขยับให้เซินหมิงเฟิ่งโน้มลงมานอนบนตัก

   เขายิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความเอ็นดูจากผู้หญิงอย่างนี้ แม่ที่จากไปก่อนเขาเกิดและได้พบกันอีกครั้งที่อังกฤษก็มีครอบครัวของตัวเองแล้วจึงไม่สามารถให้ความรักเขาอย่างออกหน้าออกตาได้ ส่วนแม่เลี้ยงก็เสียไปนานหลายปีแล้ว แม้แต่ภรรยาของหวางซือก็เสียไปก่อนที่เขาจะกลับบ้าน ส่วนซากุระ...นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้กัน

   มันช่าง....อบอุ่นเหลือเกิน....

----------------------------->

   ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซินหมิงเฟิ่งก็ออกจากบ้านไปด้วยคำพูดสุดท้ายว่า

   “แล้วพบกันนะครับ”

   แม้จะเป็นคำพูดปกติ....แต่ซากุระรู้สึกถึงความไม่ปกติ

   วันนั้นซากุระตัดสินใจที่จะรอเซินหมิงเฟิ่งกลับบ้านโดยไม่ขึ้นนอนก่อน ในขณะที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น สายตาก็จับจ้องไปยังซองเอกสารอยู่เสมอ แค่เพียงเธอเปิดมันออก ทุกอย่างที่เธอกังวลก็จะเปิดเผย แต่เพราะเซินหมิงเฟิ่งขอไว้ ซากุระจึงเลือกที่จะไม่เปิดมัน แต่วางมันไว้ใกล้มือ

   “คุณซากุระ ขึ้นนอนก่อนเถอะครับ” หวางซือเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่ดึกแล้วแต่นายหญิงของบ้านยังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะยอมขึ้นไปพักผ้อนแต่อย่างใด หวางซือสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์ว่าระยะนี้ทั้งจูเชว่และนายหญิงต่างก็มีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่เพราะเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่ควรถาม เขาจึงได้เงียบไว้และคอยเตือนเมื่อทั้งสองฝืนร่างกายมากเกินไปเท่านั้นเอง

   “เหล่าซือนอนก่อนเถอะค่ะ ฉันคิดว่าจะรออีกหน่อย” ซากุระกล่าวด้วยรอยยิ้ม

   “แต่ว่า....”

   “ฉัน...อยากจะรอหมิงเฟิ่งค่ะ....”

   เมื่อซากุระยืนยันเช่นนั้น หวางซือก็พูดอะไรไม่ออก เขาจึงถอยออกไปเงียบ ๆ แต่หลังจากนั้นราว ๆ 10 นาที หวางซือก็เข้ามาพร้อมชาเจือจางอุ่น ๆ ก่อนกลับออกไปแล้วไม่รบกวนหญิงสาวอีก

   ซากุระถอนหายใจพลางมองนาฬิกา ผ่านไปแค่ 3 ชั่วโมงหลังจากเซินหมิงเฟิ่งออกไป

   ยังไม่ถึงเวลา...

   เสียงเข็มวินาทีสะท้อนในหู ทีละวินาทีที่ค่อย ๆ ผ่านไป เมื่อไหร่เซินหมิงเฟิ่งจะกลับมา? ไม่สิ...คืนนี้เขาจะกลับมาหรือเปล่า? หรือจะกลับดึกมากถึงได้บอกว่าให้เปิดซองหลังจากนั้น

   ซากุระยังคงมองดูซองเอกสารนั้นก่อนความคิดของเธอจะค่อย ๆ ลอยออกไป ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์บ้านก็กระชากสติของเธอกลับมาจนถึงกับสะดุ้งเฮือก เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อไปโดยไม่มีใครรับสายเพราะคนรับใช้ขึ้นนอนกับหมดแล้ว แต่ถ้ามันดังต่อไปคงมีใครสักคนตื่นลงมารับ ซากุระไม่ได้สนใจจะรอถึงขนาดนั้น เธอเดินไปรับสายเองเพราะไม่อยากรบกวนใคร

   “เรียนสายใครคะ?” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปในสาย แต่สิ่งที่ตอบกลับมากลับทำให้เธอตะลึงงัน ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหู โทรศัพท์มือถือค่อย ๆ หลุดจากมือตกลงไปจนเกือบถึงพื้น ขาของซากุระทรุดฮวบ พาทั้งร่างลงไปกองอยู่ด้านหน้าหูโทรศัพท์ที่ยังมีเสียงผ่านออกมา เป็นเสียงตะโกนจากอีกฝั่งเรียกเธออยู่ แต่ซากุระไม่ได้รับรู้ถึงเสียงนั้นอีกแล้ว เพราะข่าวที่ได้ยินจากปลายสายเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเกินกว่าจะรับได้

   รถของเซินหมิงเฟิ่ง....เกิดอุบัติเหตุ!

   ลางสังหรณ์ร้ายนั่นเป็นความจริง!


TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
«ตอบ #239 เมื่อ04-08-2012 23:20:25 »

อั๊ยยะ เรื่องราวมันเริ่มจะถึงจุดพีคละ
น่าติดตามจริงๆ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด