Coin 37ท้องฟ้าไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไหร่..
พอๆกับใจของผมตอนนี้เลยครับ
“ทำไมวะ กูว่ามันก็ดีแล้วนะเว้ย”
“เชี่ย แปลนของมึงมันโคตรเน่าเลยไอ้ตี๋ ใช้ไม้บรรทัดหรือเปล่า ตรงนี้ก็ผิด มึงโดนแก้บานตะไทเลย”
ขอบคุณที่ซ้ำเติมนะไอ้โจ๋
“แม่ง กูก็เอาของไอ้กล้วยมาปรับแล้วนะเว้ย ทำไมของมันผ่านวะ”
“แบบนี้เขาเรียกจีนแดงหว่ะ” ไอ้กล้วยรีบเติม เอากระดาษงานมันมากางใหญ่ “ของกูแม่งยุโรป ของมึงมันก็เป็นได้แค่ของสำเพ็งเท่านั้น ไอ้ลูกจีนเตี๊ย”
“เดี๊ย จีนแตกให้ดูเลยมึงนี่” หมั่นไส้ เอากระดาษสแมชหัวไอ้กล้วยไปทีนึง เลยเกิดศึกย่อมๆที่ม้านั่งอะเกน ไอ้เคิ่ลกวักมือเรียก ชี้ให้ดูทีละจุดว่าทำไมถึงผิด เออ แบบนี้หล่ะที่เรียกว่าเพื่อนดี มีประโยชน์ ไม่เหมือนเอ็งเว้ย ไอ้กล้วยเน่า
กลางวันก็ต้องรีบกินข้าว หิ้วกีตาร์ไปกับไอ้โจ๋ มันจีบน้องแป้งคณะเภสัชอยู่ครับ ผมไม่เข้าใจมันจริงๆเลยหว่ะ น้องแป้งน่ารักผมเข้าใจครับ แต่มีแฟนแล้ว เอ็งจะไปเป็นมือที่สามทำพยาธิไรวะ
แต่ผมไม่ปฏิเสธหรอก เพื่อนกันก็ช่วยกันก่อบาปนี่แหละครับ ไปนั่งรอที่คณะ คนก็มองกัน เพราะมาแบบเหงื่อแตกท่วมตัว ร้อนอบอ้าวไปหมด เหมือนฝนจะตกแต่ก็อั้นไว้ ไอ้โจ๋มาพร้อมดอกไม้ ผมแบกกีตาร์ มุกจีบสาวเห่ยรุ่นพ่อ แต่เอาอะไรแน่นอนได้ที่ไหนครับ สาวๆอาจชอบของแปลก ค้างสต็อกแบบไอ้โจ๋ก็ได้
มารอไม่นาน ก็มาจริงๆครับ น้องแป้งเดินอุ้มชีทกำลังมาทางม้านั่งที่ผมนั่งอยู่ ก็เริ่มเล่นกีตาร์เลยครับ ไม่มีใครร้องเพลง ไอ้เวร ไอ้โจ๋แม่งแข็งเป็นหินไปแล้ว! ผมเลยใช้เท้ายันก้นมันไปทีนึง มันเลยยอมเดินไป กูก็อายนะเว้ย เอาทั้งทีเอาให้คุ้ม
ไม่รู้มันพูดอะไร แต่ผมก็หยุดเล่นกีตาร์ แม่ง ไอ้นักร้องนำเสือกป็อด ล่ม ล่มเลยกู
น้องแป้งไม่ได้รับดอกไม้ไปจากไอ้โจ๋ ดูจะอึดอัดใจที่เจอมุกนี้เขาไป รีบพูดขอโทษแล้วเดินหนีไปกับเพื่อน
ผมหิ้วคอกีตาร์เดินไปตบไหล่ไอ้โจ๋ ไม่ต้องพูดอะไรต่อ นอกจากหิ้วซากสิ่งมีชีวิตกับคณะไปตั้งหลักครับ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆเข้ามาปลอบใจกันใหญ่ ผมเลยได้รับบทเพื่อนพระเอกยอดเยี่ยมประจำวันไปโดยปริยาย
ไอ้อุกกี้เดินมากับพวกไอ้ปิ๊ก แต่มันยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เดินเข้ามาพร้อมปิ๊กหรือกึ่ม มันมองมาทางกล้วยแค่แว่บเดียว พอๆกับไอ้กล้วยที่หันหน้าหนี
ยังไม่เลิกสงครามเย็นอีกหรอวะเนี่ย..
“ไอ้เอกชาติ หยุดกระแดะแล้วเดินเข้ามาทักพี่ๆบ้างได้ป่าววะ”
“พี่ตี๋จะเรียกเต็มยศไปทำครูฝึกอะไรคะ? อุกกี้อยากเดินเข้าไปนะ แต่ไม่รู้จะมีใครไม่ต้อนรับอุกกี้หรือเปล่า?”
“ที่ผ่านมาเคยมีใครต้อนรับมึงด้วยหรอวะ กูเอาข้าวสารเสกมาปาใส่มึง มึงยังไม่ยอมไปไหนเลย”
“หยาบคายกับสตรี เป็นผีตายไประวังไม่ได้ไปเกิดนะพี่โจ๋”
“ก็เหมือนกับชื่อมึง เอกชาติ แปลว่าเกิดชาติเดียวก็พอแล้วไง กร๊ากกกก”
เห็นมันหน้าบูดเอาเท้ากระทืบพื้นแล้วพอจะเฮฮาได้หน่อย “อย่าๆไอ้กี้ ทำแล้วทุเรศลูกกะตากูมาก อย่าทำๆ”
ไอ้ปิ๊กก็เข้ามาทักทายตามปกติ ซื้อขนมมาฝากอย่างที่มันเคยทำ “เรียนหนักป่าววะ?”
“พี่ก็เคยเรียนมาก่อน ทำไมยังถามอีก”
“วุ้ย คนเป็นห่วง กวนตีนซะงั้นอะ”
เดี๋ยวนี้ มันดูเปลี่ยนไปเยอะ รู้สึกจะฮอทขึ้นด้วย เริ่มมีสาวๆให้ความสนใจ สร้างไฟสุมตาให้กับพี่รหัสเป็นอย่างมาก “มึงตัดผมร้านไหนวะ”
มันเลิกคิ้ว “กูจะไปตัดบ้าง อยากฮอท”
“พี่ไว้แบบนี้ ดีแล้ว น่ารักดี”
“ผิดจุดประสงค์กูอย่างแรงเลยหว่ะ”
“เออ มึงเหมาะกับแบบนี้แล้วไอ้ตี๋ พอยาวกว่านี้หน่อยมึงก็มัดแกละมามอ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นไอ้หมวยเลยนะ กร๊ากกก” ไอ้กล้วยคัมแบ็ค นึกว่าโดนสงครามเย็นแช่ปากไปแล้ว “หมาในปากมึงคลั่งมาก กูแนะนำให้พบสัตว์แพทย์ด่วนเลย”
แล้วก็ถกกันเรื่องปากไอ้กล้วยกันซักพักใหญ่ ผมเห็นไอ้อุกกี้มันก็ลงมานั่งด้วย แต่ก็ไม่ยักจะพูดอะไร เอาเข้าจริงๆผมรู้สึกว่าแป้งบนหน้ามันจะดูน้อยลงหน่อย ผมว่าดูดีกว่าตอนมันโบ๊ะหน้าเค้กมาเรียนซะอีก
โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น หน้าจอเบอร์ไม่คุ้น แต่ผมก็คิดไว้แล้วว่าน่าจะเป็นใคร
“ครับ?”
“นั่น ตี๋หรือเปล่า?”
เสียงก็ใช่แล้ว
ไอ้เสียงที่จะคล้ายพี่หมอกก็ไม่เชิง ดูนุ่มกว่า ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า
“มีอะไรครับ?”
“พอดีขับผ่านแถวมหาลัย อยากจะพาไปหาของว่างทานกัน คิดว่าน่าจะกำลังว่างอยู่ ใช่ไหม?”
ใครบอกพี่แกวะว่าวันนี้ไม่มีเรียนบ่าย
“พี่เมฆรู้ได้ไง?”
“คิดว่าไงล่ะ”
ผมไม่ชอบคนที่พูดแบบนี้เลย มันดูกำกวม ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ และคิดว่าต่อให้ถามต่อ ก็ไร้ประโยชน์
“ผมปฏิเสธไมได้อยู่แล้ว ใช่ไหม?”
“ว้า ไม่อยากไปกับพี่หรอกหรอ?”
“ของฟรีผมชอบครับ ฟรีหรือเปล่า”
“ไม่อั้น”
“พี่อยู่ไหน?”
“หน้ามอ เดินออกมาได้เลย”
“ผมจะรู้ไหมเนี่ย?”
“เดี๋ยวก็เจอเอง”
แล้วก็เจอจริงๆ เพราะพี่แกออกมายืนพิงรถอยู่ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวปล่อยกระดุมสองสามเม็ด เหมือนแค่ถอดสูทนอกออก ผมเดินเข้าไปหา
หน้าเหมือนพี่หมอก เลยทำให้อดขำไม่ได้เวลาพี่เมฆแสดงออกท่าทางที่ตรงข้ามกับพี่หมอกโดยสิ้นเชิง อย่างไอ้กวักมือเรียก ไม่มีทางทำหรอก
ขับเบนซ์ พี่หมอกเคยเอามาขับช่วงนึง พอพี่เมฆขับเลยรู้สึกเหมาะอย่างบอกไม่ถูก
“พี่รู้จักร้านเค้กอร่อยๆร้านนึง เดี๋ยวพาไปกิน”
“พี่อยากคุยอะไรครับ? เพราะผมไม่ได้บอกพี่หมอกไว้ว่าผมจะมากับพี่”
“ไม่เป็นไร เพราะยังไงวันนี้หมอกก็เลิกเย็นอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?”
“พี่เช็คตารางมาหมดเลยหรอ?”
“ก็..ระดับนึงหล่ะนะ”
เห็นพี่แกพึมพำเบาๆ “ไม่ถนัดขับฝั่งนี้เลยจริงๆ” คงเพราะอเมริกาขับรถคนละฝั่งกับบ้านเรา คงไม่ได้กลับมานานแล้ว
“ทำไมพี่เมฆกลับมาหรอ?”
“กลับมาไม่ได้หรอ?”
“เปล่า ผมแค่สงสัย”
“กลับมาแค่ช่วงเดียวเท่านั้น มาแวะตรวจงานที่ไทยนิดหน่อย แต่เดือนหน้าคงจะต้องไปอยู่ที่สิงค์โปร์ต่อ”
“…คงคิดถึงบ้านแย่เลยเนอะ”
“…บ้านหรอ…” ไม่รู้ว่าทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เพราะไม่ได้หันไปมอง พูดออกไปไม่ได้คิด เลยลืมไปว่าบ้านพี่หมอกกับบ้านผม มีอะไรหลายๆอย่างที่แตกต่างกัน
ร้านเค้กอยู่ไกลพอสมควร แต่รถไม่ติด เลยรู้สึกเหมือนไปได้เรื่อยๆ ผมพกกล้องมาด้วย เลยได้ถ่ายรูปบรรยากาศร้านเค้กเก็บไป เพื่อเป็นไอเดียเวลาคิดแบบ เพราะเขาตบแต่งสวย ธีมร้านดูหรู แต่ก็ให้ความรู้สึกบ้านๆอยู่ด้วย ที่เก้าอี้ก็เป็นโซฟานุ่มๆ
ผมจิ้มเค้กเลือกมั่วๆไปก้อนนึง ไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร ตั้งชื่อซะหรูเลิศขนาดนั้น
“ทำไมถึงรู้จักกับหมอกหล่ะ?”
“ก็..รุ่นพี่รุ่นน้องมหาลัยเดียวกัน”
“แค่นั้นหรอ?”
“อืม..”
“อยู่ด้วยกันมานานขนาดไหนแล้ว”
รู้สึกแปลกๆ เหมือนมาพบพี่สะใภ้ ที่ถามซ่อกแซ่กเกี่ยวกับแฟนน้องสาวตัวเอง
“อีกสองเดือนก็ครบปี”
“นานพอสมควรเลยนะ..”
เค้กมาเสิรฟ พี่เมฆกินเค้กกาแฟ ผมได้เค้กบลูเบอรี่มากิน อร่อย ไม่หวานมาก อยากซื้อไปฝากเฮียกับพี่หมอก แต่เห็นราคาแล้วก็คิดเปลี่ยนใจ สองคนนั้นโตแล้ว คงหาซื้อกินเองได้ถ้าอยากกิน
“..คบกันอยู่หรอ?”
“…คงจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้งครับ?”
“ทำไมถึงตอบแบบนั้นหล่ะ?”
“อืม ผมว่าคงคบกันอยู่หล่ะ”
“….พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยนะ” พี่เมฆยิ้มจางๆ ทำให้ยิ่งเห็นชัดว่าต่างจากพี่หมอก
“ผมว่าเรื่องนี้คงไม่สำคัญหรอกครับ ผมมีความสุข มันมีความสุข แค่นี้ก็น่าจะสำคัญที่สุดแล้ว”
“แล้วเรื่องอนาคตหล่ะ?”
“มันยังเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ผมไม่รู้เรื่องในอนาคต ผมเลยเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบันมากกว่า”
พี่เมฆสั่งโกโก้ให้ผมเพิ่มอีกแก้ว ได้ยินเสียงดังเปาะแปะ ฝนตกซะแล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมปีนี้ถึงเป็นหน้าหนาวที่ไม่หนาว แล้วยังฝนตกอีก
ในร้านมีแค่พวกผมสองคน กับพนักงานที่นั่งคุยเรื่องการเมืองอยู่หลังเคาน์เตอร์อย่างเมามัน เสียงเพลงเปิดเบาๆ แทบไม่ได้ยินเสียงนักร้อง
“หมอกหน่ะ..เหมือนอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เด็กๆ”
ตักเค้กเข้าปาก เหลือบมองหน้าพี่เมฆ ไม่รู้ทำไมถึงต้องแอบมองแบบนี้ พอพี่เขาเงยหน้าขึ้นมาจากเค้กมอง ก็รีบหลบสายตา
“ตอนที่แม่เสีย หมอกก็เป็นคนเดียวที่อยู่กับแม่ นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้ร้องหรือเรียกใครจนป้าน้อยเป็นคนไปพบเอง “
เหมือนที่ป้าน้อยเคยเล่าให้ฟังมาก่อน
พี่เมฆถอนหายใจ สายตาดูอ่อนลง รู้สึกได้ถึงความเป็นพี่ที่แสดงออกมา แม้จะไม่ชัดเจนแบบเฮีย เพราะแต่ละคนมีการแสดงออกในแบบของตัวเอง
“หลังงานศพแม่เสร็จเรียบร้อย ย่าก็ขอพวกเราคนใดคนนึงไปเลี้ยง พี่ก็โตแล้ว พึ่งจะสอบเข้าได้โรงเรียนมัธยมชื่อดัง ฝนก็เด็กเกินไป หมอกเลยถูกส่งไปอยู่ที่อังกฤษกับย่าแทน”
“ทั้งๆที่เวลานั้นสมควรจะอยู่กับครอบครัวแท้ๆ แต่ถึงยังไงมันก็คงไม่ต่างกัน พ่อก็ยุ่ง เพราพึ่งจะเปิดโรงงานใหม่ ไปอยู่ที่อังกฤษ ภาษา บรรยากาศที่ไม่คุ้น ทำให้หมอกมันไม่ยอมพูด ย่าก็หัวโบราณ เวลาทำผิดก็จะตีมันตลอด หลังๆมันไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมไปโรงเรียน ทำยังไงก็ไม่ยอมออกจากห้อง จนพ่อต้องไปรับเองถึงที่นั่น”
ถึงทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกว่ามันยังพูดน้อยอยู่ ไม่ค่อยแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก แม้จะดีขึ้น แต่มันก็ยังห่างจากคนอื่นอยู่มาก
“อยู่ที่นั่นเกือบสองปี ตอนมันกลับมา แทบจะจำมันไม่ได้ มันเปลี่ยนไปหมดจากเดิม ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ไม่ยอมพูดอะไรที่คิดออกมา บางทีก็ยังอดคิดไม่ได้ ว่าน่าจะเป็นพี่ ที่ไปแทน แต่เพราะว่าพี่ก็ไม่อยากไปอยู่ที่อื่นเหมือนกัน ตอนนี้ก็ยังรู้สึกผิดต่อมันอยู่”
“…มันไม่ใช่ความผิดของใครหรอก”
“คิดแบบนั้นหรอ?”
“อืม”
ทุกคน น่าสงสารทั้งนั้น
ไม่มีใครผิด ทุกคนแค่ทำหน้าที่ไปตามบทบาทที่ถูกสร้างขึ้น เป็นไปตามเหตุผลที่มันสมควรจะเป็น ต่อให้พี่หมอกอยู่เมืองไทย ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าพี่หมอกจะไม่ได้โตขึ้นแล้วเป็นแบบนี้อยู่ดี
แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ พี่เมฆจะเล่าให้ผมฟังทำไม?
ไม่ใช่ผมไม่อยากรู้ แต่ผมว่า มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น
“..พี่ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายหมอก เพราะมันเจอเรื่องหนักๆมาเยอะพอแล้ว”
“……”
“พี่เข้าใจว่าหมอกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็เพราะตี๋ แต่บางทีก็อยากจะให้เข้าใจเหตุผลของโลกความเป็นจริงด้วย”
“ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ครับว่ามันไม่ถูกต้อง แต่มันก็ไม่ได้ผิด…ผมเข้าใจทุกอย่าง แต่บางครั้ง ไอ้เหตุผลของโลกนั้นมันก็ใช้ไม่ได้กับทุกคน ผมกับพี่หมอกไม่ได้ไปทำร้ายใคร..”
ฟังแล้วอาจจะดูเห็นแก่ตัว หรือเอาแต่ใจตัวเอง จะเรียกยังไงก็แล้วแต่ ผมยอมที่จะรับมันทั้งหมด
ไม่ใช่แค่พี่หมอกที่เปลี่ยนไป แม้แต่ตัวผมก็ยังเปลี่ยนไปด้วย
ความรู้สึกบางอย่างที่ผมรู้ว่ามันไม่ดี หรือแม้แต่ความคิดที่ผมคิดว่ามันร้ายกาจ ก็ผุดขึ้นมาในหัวบ่อยๆ
ผมรู้สึกอิจฉา รู้สึกหวง โมโห หรือเห็นแก่ตัว มันเป็นอารมณ์พื้นฐานทั่วไปของมนุษย์ แต่มันก็ชัดเจนขึ้นจนผมยังกลัวใจตัวเอง
“..ไม่คิดบ้างหรอ ว่าวันข้างหน้า หมอกจะอยู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงที่จำเป็นต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้ถือหุ้นหน่ะ”
…คิด
คิดบ่อยๆ ตั้งแต่เจอพี่เมฆ ก็คิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
พยายามมองข้ามความจริง ปลอบใจตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา
“ไม่ใช่ว่าพี่เกลียดตี๋หรืออะไรนะ ตี๋เป็นคนซื่อ ใครที่ได้รู้จักก็คงจะรู้สึกเอ็นดู แต่ว่าที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะในฐานะผู้ใหญ่ พี่ชาย หรือแม้แต่กรรมการผู้จัดการ”
“….ผมทราบครับ”
“…ตี๋…”
“ครับ?”
“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่รู้เรื่องหนี้สินของบ้านเราหรอกนะ”
“….”
“หมอกโอนเงินเป็นล้านเข้าบัญชีคนอื่น ยังไงก็ต้องมีรายงานมาถึงพี่อยู่แล้ว จะรู้เรื่องพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องยากหรอก”
“ผมจะคืนพี่เขา แต่พี่เขาไม่ยอมครับ งี้ผมจ่ายกับพี่ได้ไหม?”
“เงินหมอกก็ส่วนของหมอก ถ้ามันไม่รับ ก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่มันทำให้พี่ไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าคนที่รับเงินเป็นล้านจากหมอกเป็นคนแบบไหน เลยอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง”
“แล้วเป็นไงครับ? ประทับใจเลยอ่ะดิ”
พี่เขาหัวเราะออกมา ผมเลยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น “ผิดคาด นึกว่าจะเป็นสาวสวยๆสักคน แต่ไหงเป็นเด็กบ้านๆแบบนี้ยังไม่เข้าใจไอ้หมอกมัน ดูสิ กินเค้กยังเลอะปากอยู่ อายุเท่าไหร่แล้วถามจริงๆ”
“ยี่สิบแล้ว กินเลอะเป็นเรื่องปกติ ใครๆก็เป็นกัน”
พี่เมฆเลิกคิ้ว สั่งเพิ่มมาอีกชิ้น แถมยังสั่งใส่กล่อง “เอาไปฝากไอ้หมอกให้ด้วย เดี๋ยวจะไปหาฝนต่อ”
“ได้เลย แต่อาจจะหายไปสักชิ้นสองชิ้นนะพี่”
กำลังจะลุกขึ้น อยากลุกขึ้นยืนก่อนที่จะลุกไม่ไหว เพราะกินจนแน่นกางเกงไปหมด “เดี๋ยว มีอีกเรื่องสำคัญที่ต้องบอก”
“ครับ?”
พี่เมฆพูดออกมา ท่ามกลางเสียงฝนที่กระทบกระจก
รู้สึกเหมือนกล่องเค้กจะหนักขึ้นกว่าปกติ ทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ต้องให้พี่เมฆบอก
………………………
……………….
“พี่หมอก”
“ไปไหนมา”
“ไปกินเค้กมา”
“กับใคร?”
ไม่อยากโกหก จับได้เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก “พี่เมฆ”
“มันมาหา? เมื่อไหร่”
“พึ่งขับมาส่งผมเมื่อตะกี้เอง”
“พี่เมฆพูดอะไรให้มึงฟัง”
“ก็ หลายเรื่องอ่ะ ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก”
ฝนยังตกอยู่ ตอนที่วิ่งกลับเข้ามาก็เลอะรองเท้าผ้าใบไปหมด ร่มที่พี่เมฆให้ยืม ก็กางแล้วตากไว้กับพื้น พี่หมอกมานั่งรอถึงคณะ แสดงว่าคงจะเรียนเสร็จสักพักแล้ว
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“หือ? งี้แปลว่าเครื่องดับแหง”
เหมือนฝนจะตกแรงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเริ่มเย็น คนเลยน้อยลง อย่างพวกโจ๋ กล้วย เคิ่ลก็หายกันไปหมด คิดว่าน่าจะกลับบ้านไปแล้ว
ท้องฟ้ามืด ทั้งๆที่พึ่งสี่โมงกว่า
เป็นบรรยากาศขมุกขมัว ที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย
“กลับบ้านกันเถอะพี่”
“เดี๋ยว..”
ถูกรั้งมือไว้ เลยหันกลับมามอง
พี่หมอกก้มลงมองข้อมือผมที่พี่เขาจับไว้ “…มึงอย่าอ่อนแอ”
“ผมไม่ได้อ่อนแอ”
“มึงอย่าหนีปัญหา…อย่าหนีไปไหนนะ”
“…..”
“ทำไมมึงไม่ตอบ”
“กลับบ้านกันเถอะพี่ ไป”
จะเดินไปหยิบร่มที่กางไว้อยู่ แต่ก็ยังถูกรั้งแขนไว้
อดถอนหายใจไม่ได้ “กลับแล้วไปกินเค้กกันนะ” ยกกล่องเค้กขึ้นแต่กลับถูกปัดออก กล่องเค้กตกลงกับพื้น โชคร้ายที่กล่องกระดาษเปิดออก เค้กที่อยู่ภายในเลยหกออกมา
เสียดายเค้ก แต่ผมไม่อยากเก็บมาเป็นเรื่องทะเลาะกัน เลยดึงข้อมือออกมา ก้มลงเก็บเค้กที่พื้นลงกล่อง อย่างน้อยก็จะได้เอาไปทิ้ง ไม่ลำบากภารโรง
เดินไปที่ถังขยะใกล้ๆ พี่หมอกก็เดินตามมา “ตี๋ มึงตอบกูมาสิ”
“พี่ถามว่าอะไรหล่ะ?”
“….”
“ผมลืมไปแล้ว พี่ถามว่าอะไร?”
“…กูไม่ได้ถาม แต่กูอยากฟังให้แน่ใจ”
“แน่ใจว่าอะไร”
“….มึงจะหนีกูไปไหนอีก”
“….”
“ตอบมาสิ!!”
เสียงดังก้องไปตามทางเดินที่ไม่มีใครนอกจากเรา
เสียงฝนหยดลงแอ่งน้ำไม่หยุด ตอนนี้ฝนแรง แรงเสียจนมองไปตามทางข้างนอกลำบาก
“….ผมไม่รู้จะตอบอะไร”
“ทำไม”
ไม่กล้ามองหน้าพี่หมอก
ไม่กล้า..แม้แต่จะเหลือบตามอง
มีสิ่งที่ผมรู้ และสิ่งที่พี่ยังไม่รู้ แต่ไม่ว่ายังไง สักวันเราสองคนก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้อยู่ดี
“ไอ้เมฆบอกอะไรมึง”
พี่หมอกก้าวเท้าเข้ามา ผมเผลอถอยหนี
พี่หมอกไม่หยุดเท้า ผมวิ่งออกไปนอกทางเดิน ฝนตกต้องกาย หนาว ลมพัดแรง เสื้อแนบลงกับตัว ผมไม่รู้ต้องทำยังไง ตอนนี้ก็แค่อยากจะหลุดออกจากช่วงเวลาแบบนี้ก่อน
หนาวจนปากสั่น ไม่ได้ยินเสียงเท้าเวลาเหยียบลงแอ่งน้ำจนกระเซ็น ตอนนี้เริ่มเปียกไปทั้งตัว เริ่มหาความแตกต่างระหว่างที่ที่เปียกและแห้งอยู่ไม่ได้
ถูกรั้งตัวไว้
ถูกกอดเอวไว้แน่น เข้าไปอยู่ในแขนของคนที่ผมพยายามจะหนี
“..ปล่อยผม”
“ไหนมึงบอกจะไม่ไปไหน”
“…..”
“ทำไม”
เสียงมันเศร้า
ทำให้ผมยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
ความอบอุ่นที่อยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น ผมกอดมือที่โอบรอบเอวผมอย่างลืมตัว
รู้สึกที่ปลายจมูกที่กดลงข้างๆแก้มผม ไม่ได้จะหอมแก้ม แต่เพราะว่าใกล้ ใกล้เสียจนรู้สึกแรงเต้นใต้แผ่นอก
“เพราะกูไม่ชัดเจนหรือเพราะมึงไม่เข้มแข็งพอ…”
เสียงฝนดัง แต่ยังไม่เท่าเสียงทุ้มติดหู
หยดน้ำไหลผ่านดวงตา หยดลงที่แก้ม ไม่ใช่น้ำตา แต่นั่นคือสายฝน
“…ทั้งคู่”
กระเป๋าทิ้งไว้ที่ตึก ยังดีที่ไม่ได้พามาเปียกด้วย เพราะตอนนี้ ผมรู้สึกเปียกไปทั้งตัว
มือรอบเอวคลายออก แต่ค่อยๆประคองมือผมขึ้นมา
มือข้างหนึ่งของพี่หมอก ปล่อยออกจากมือผม กดนิ้วเขียนไปตามฝ่ามือที่มืออีกข้างของพี่หมอกประครองไว้อยู่
ค่อยๆลากนิ้วไปตามฝ่ามือ เน้นทีละตัวอักษร หนักแน่น
ชาไปทั้งตัว
….รัก…คำที่แม้แต่ผม ยังไม่เคยพูดออกมา
คำว่ารัก
คำที่บรรยายความรู้สึกทั้งหมด…ทั้งที่อยู่ในใจของผม และของพี่หมอก
“..กูไม่รู้จะพูดยังไง แต่กูรู้สึกแบบนี้จริงๆ”
พี่หมอกกำมือ ทำให้มือของผมที่อยู่ในฝ่ามือนั้นกำลงด้วย “เก็บคำนี้ของกูไว้ดีๆ อย่าทิ้งมันไป ..อย่าทิ้งกูไป”
ตัวผมสั่น
คำที่มีค่าแบบนี้ ผมจะดูแลคำนี้ไว้ให้พี่ได้ยังไงถึงจะเหมาะสมกับมัน
“ผ…ผมอ่านไม่ออก”
“กูรู้มึงอ่านออก…” โดนกอดไว้แน่น ไม่รู้มีคนมองอยู่หรือเปล่า แต่ตอนนี้ รู้สึกหัวว่างเปล่าไปหมด ในใจ เต้นแรงจนปวด
รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก
“แล้วมึงหล่ะ..”
“พี่ขี้โกง..”
“ยังไง?”
“…พี่แย่งผมพูด”
“ก่อนจะพูดอะไร บอกกับกูก่อน ว่ามึงจะไม่ทิ้งกูไปไหน”
“ผมจะไป ถ้าพี่เป็นฝ่ายทิ้งผมก่อน”
“…มึงคงต้องรอวันนั้นไปตลอดชีวิต..”
ถ้ามันเป็นแบบนั้น…ก็คงจะดี
มันคงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม
คนที่ไม่เหมาะสมกับคำว่ารักของพี่เลยแม้แต่น้อย
คนที่พูดได้แต่คำว่าขอบคุณ โดยที่ไม่อาจจะทำอะไรได้สักอย่าง
ผมจะอดทน
“ผมจะไม่ไปไหน”
จนกว่าจะเป็นวันนั้น ที่พี่เดินไปจากผมเอง………………………………….
……………………
[Coin 37: complete]
[31.12.54]
จ๊ะเอ๋
เซอร์ไพรส์ปีใหม่

มีใครรอป่าววุ้ย

สสปมนทค 55
1.อยากให้พี่หมอกเปลี่ยนคำพูด"กู"และ"มึง"+คำหยาบทั้งหลายเวลาพูดกับตี่ เป็น"หมอก"หรือไม่ก็คำหวานๆกว่านี้หน่อยนะ
2.เมื่อไรจะถึงตอนที่พี่หมอกเคลียกับอีชะนีที่มาทำร้ายตี่อะ
ขอตอบนะคัฟ
ข้อแรก คือ ถ้าพูดเพราะมันก็ไม่ใช่พี่หมอกอ่ะ

เป็นพี่หมอกที่เสมอต้นเสมอปลาย ลองดูสองประโยคนี้
"ไอ้ตี๋ เหยิบไปดิ" กับ "ตี๋ เหยิบหน่อยครับ หมอกจะเดิน ขอบคุณนะครับ" จะเห็นได้ชัดว่าประโยคสองเป็นเวอร์ชั่นของก็อป แผ่นผีซีดีเถื่อนแน่นอน
ข้อสอง ยังไม่ชัดหรอคัฟ

เดี๋ยวค่อยจัดใ้ห้แล้วกัน
ทักมาได้ มีไรสะกิดยิกๆเชิญ ยินดีตอบและแก้ไข(ถ้าไม่ขี้เกียจ)คัฟ 55
@misso คราวหน้าจะลง เดี๋ยวส่งพีเอ็มไปบอก จองที่หน้าๆเลย 555