B.N. 1“ตี๋ เดี๋ยวฝากเอาข้อมูลไปให้ฝ่ายบัญชีด้วยนะ”
“อ่อ..ได้ครับพี่”
“เออ ไอ้ตี๋ เช็คลิสต์ตามที่ลูกค้าต้องการให้หน่อยดิ แม่งตั้งงบซะต่ำ จะทำให้ได้ไหมวะเนี่ย”
“พี่ตั้ม รอแปปนะ เดี๋ยวผมเอาเอกสารพี่เอ๋ไปที่ฝ่ายบัญชีก่อน”
“..เฮ้ย อย่าพึ่งดิ เอางานกูก่อน รีบ จะเดดไลน์แล้ว”
งานพี่ไม่ใช่หรอวะ? ทำไมพี่ไม่ทำเอง
แต่ผมพูดไปไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวโดนเขม่นเอา ทำงานในบริษัทแบบนี้ ถึงจะมองไม่เห็น แต่ก็เหมือนมียศถาบรรดาศักดิ์ตามศักดินาก่อนหลังที่เข้าทำงาน
อย่างพี่โต้ง หัวหน้าแผนกครีเอทีฟ จะเป็นเหมือนพระเจ้าของพวกผมครับ ทุกคำบัญชาได้แต่โค้งหัวเคารพ แต่พี่แกเป็นคนมีเหตุผล จริงจัง ทำงานเก่งมาก งานใหญ่ๆ พี่แกคนเดียวก็เอาอยู่ นอกจากนั้น ก็พวกลูกจ็อค ทำงานเล็กๆของลูกค้าไป ผมพึ่งเข้ามาใหม่ ได้ไม่นาน พี่ๆเขาเลยให้ผมดูงานไปก่อน อาจมีร่วมทีมกับมัณฑนากรคนอื่นๆบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ทำงานของตัวเองซักที
เป็นเด็กฝึกใหม่ ได้ดูทุกแผนก แผนกครีเอทีฟ แผนกจัดหาสินค้า แผนกการตลาด แผนกช่าง แต่ละแผนกก็จะมีงานที่ต้องดูแลรับผิดชอบต่างกันไป ทำตามที่ตัวถนัดแหละครับ
ไม่ต่างจากตอนเรียนเท่าไหร่เลยครับไอ้เรื่องงาน ทำงานหนักเหมือนเดิม ที่เพิ่มมาตอนนี้คือผมรู้สึกเหมือนทำงานทุกอย่างตั้งแต่แม่บ้านยันสถาปนิก ชงกาแฟ เก็บกวาดงานบนโต๊ะรุ่นพี่คนอื่นๆ หรือแม้แต่เดินเอกสารยังต้องทำ บ่นไรไม่ได้ครับ เพราะเงินเดือนดี สตารท์สูง มีโอกาสก้าวหน้าอีกเยอะ แถมยังรับจ็อบเสริมได้อีก สบายผม
ต้องขอบคุณไอ้พี่เพรชที่ตอนนี้หนีไปอยู่อังกฤษกับพ่อ ส่งโปสการ์ดมาให้ผมอยู่เนืองๆ อ่านออกบอก ไม่ออกบ้าง บ่นแต่ฝนตกอยู่อย่างเดียว ทนไม่ได้ก็กลับไทยสิวะ แค่นี้คิดไม่ได้หรอไงวะพี่ขนนี่
“….นี่ๆ ได้ข่าวว่าเดือนนี้จะมีเมกะโปรเจคต์เข้ามานิ”
“แหงหล่ะ ก็เล่นจะสร้างช็อปตามห้างใหญ่ๆทุกที่ ฝ่ายบริหารคงปิดฉลอง”
“ไรอ่ะครับพี่”
“อ้าวน้องตี๋ เปล่าหรอก พวกพี่กำลังพูดถึงงานของเดือนนี้อยู่หน่ะ เห็นพี่โต้งเขาเคลียร์พวกตัวเป้งๆเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลย”
ผมพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะต้องนั่งเช็คลิสต์ให้พี่ตั้มอีก ลูกค้าชอบตั้งงบต่ำ แต่อยากได้ของที่ดีที่สุด ก็ลำบากพวกผม ที่บางทีก็ต้องแก้งานแล้วแก้งานอีกให้ตรงกับความต้องการลูกค้า บางที ก็โดนบอกยกเลิกเอาเสียดื้อๆ กระโดดเตะก้านคอลูกค้านี่ผิดรึเปล่าวะ?
“พี่ตั้ม ผมเช็คให้เสร็จแล้วนะ เดี๋ยวผมไปส่งเอกสารให้พี่เอ๋ก่อน”
“เออ แต้งค์มากหว่ะไอ้ตี๋ มึงทำงานโคตรเร็วเลย”
“ผมชอบทำงานเดดไลน์ ความไวเป็นเรื่องจำเป็นหว่ะพี่”
“เออ มึงก็พักบ้างแล้วกัน กูเห็นตั้งแต่มึงเข้ามาทำงาน ยังทำงานไม่หยุดเลย ใครให้งานอะไรมาก็ทำ”
“ก็ผมเด็กใหม่นิหว่าพี่ ยังต้องเรียนรู้งานอีกเยอะ ผมไม่เหนื่อยหรอก ผมชอบทำ เดี๋ยวผมไปส่งเอกสารให้พี่เอ๋ก่อนนะ”
พี่ตั้มพยักหน้ารับ บริษัทนี่ใหญ่ครับ แค่ตัวตึกทำงานก็เกือบยี่สิบชั้นแล้ว ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาทำงานได้เหมือนกันถ้าไม่ได้พี่เพรชแนะนำมา พอได้โอกาสนี้แล้ว เลยต้องทำงานให้เต็มที่ที่สุด
บริษัทคนเยอะ ผมไม่ค่อยรู้จัก ไปถึงฝ่ายบัญชีก็ต้องอ่านตามป้ายชื่อไป ไม่กล้าเข้าไปถามป้าๆที่กำลังนั่งจิบกาแฟนินทาเรื่องชาวบ้าน เดี๋ยวจะโดนเขม่นเอาซะเปล่าๆ
“เอ้า หนู มาทำอะไร?”
“เอ่อ ผมมาส่งเอกสารให้พี่เอ๋ แผนกครีเอทีฟครับ”
“…น้องใหม่หรอจ๊ะ”
“ครับ”
“ว้ายยยย น่ารักอ่ะ ขอพี่จับแก้มหน่อยได้ไหม”
“เ.อ…เอ่อ” ผม..ผมยังไม่ได้พูดเลยนะครับว่าจะให้ แบบนี้ถามไม่ถามต่างกันยังไงวะครับ
“แก้มนุ้มนุ่ม”
“เอ่อ..เอกสาร”
“ไว้ก่อนสิ ไว้ก่อน ชื่ออะไรนะเรา”
“อธิษฐานครับ”
“ชื่อก็น่ารักดีนะ เอาชื่อเล่นสิ พี่ๆจะได้เรียกกันถูก” สาวมากสาวน้อยในแผนกเริ่มมากองกันที่ผม เคยได้ยินเหมือนกันว่าแผนกนี้น่ากลัวสำหรับเด็กใหม่ แต่ไม่คิดว่าในแง่นี้ น..น่ากลัวจริงๆหว่ะ
“เฮ้ย ไอ้ตี๋ ทำไรอยู่”
“พี่เชน! โทษทีนะครับ ผมไปทำงานก่อนแล้ว นี่ครับ เอกสาร”
รีบยัดๆใส่มือป้าปลาหมึกแล้ววิ่งออกมา พี่เชนเป็นพี่ในแผนก แก่กว่าผมหกเจ็ดปี ทำงานเก่งมากครับ ตอนเข้าทำงานใหม่ที่นี้ก็ได้พี่แกคอยแนะนำอะไรหลายๆอย่าง ใส่กรอบแว่นสีดำหนาๆหน่อย เลยทำให้ดูมีความรู้ แต่ถ้าถอดแว่นออกก็เหมือนไอ้เถื่อนคนนึงดีๆ มีหนวดหยิมๆอยู่ตรงปลายคาง ดูแปลกๆ จะแก่ก็ไม่แก่ จะหนุ่มก็ไม่หนุ่ม โดนพี่เอ๋แอบหยอดอยู่บ่อยๆแต่ไม่เห็นจะสนใจ
“เป็นไงไอ้ตี๋ โดนแทะเล็มมา สึกไปเยอะไหมวะ”
“โดนทึ้งแก้มหว่ะพี่ โหย สาวๆพวกนี้ สุดสยอง”
“เออ พี่เอ๋คงตั้งใจส่งมึงมาผจญอ่ะ”
“แย่หว่ะ เออ แล้วนี่พี่จะไปไหนวะ แต่งตัวดูดีกว่าปกติ”
“เดี๋ยวจะออกไปดูงานกับพี่โต้งหน่อย”
“ใช่เรื่องเมกะโปรเจคต์นั่นป่ะ งานใครวะพี่”
“T.K. Group รู้จักไหม?”
“…..”
“อ้าว ไอ้ตี๋ เงียบไมวะ เป็นไร ไม่รู้จักหรอ”
“คุ้นๆ แต่ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า”
“อืม เดี๋ยวพี่โต้งก็คงเรียกประชุม น่าจะพรุ่งนี้บ่าย มึงก็ไปทำงานของมึงก่อนเถอะ ถึงเวลาก็รู้เอง”
“ครับ ผมไปก่อนนะ” พี่เชนพยักหน้า โบกมือ แล้วเดินออกไปในทางตรงข้ามกับผม
มองหลังที่ไกลออกไป ซ้อนทับกับแผ่นหลังของใครซักคนที่เคยเห็น เมื่อนานมาแล้ว
ไม่รู้ทำไมมือสั่น…
……………………………
……………………
“ม๊า กลับมาแล้วครับ”
“เอ้า โซ่ยตี๋ มาพอดีเลย ม๊านึ่งหมั่นโถวไว้ให้ มากินรองท้องก่อนมา”
“ครับม๊า แล้วเฮียอ่ะ ไม่อยู่อีกแล้วอ่ะดิ วันศุกร์ทีไร หายหน้าไปทุกที”
มันไปแพร่ครับ
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าไปหาใคร ไอ้พี่ฟินเรียนจบก็กลับแพร่ เห็นว่าคุยกับทางบ้านรู้เรื่องแล้ว เลยจะไปรับช่วงต่อจากพ่อ ทำงานอยู่ที่นู่น เฮียก็ขยัน ทุกวันศุกร์จะนั่งรถทัวร์ขึ้นไปหา นานๆที พี่ฟินจะเป็นฝ่ายลงมาซักครั้ง ก็จะมาไหว้ม๊า นัดเพื่อนๆพี่แกมาก๊งกันแก้คิดถึง
พี่ผ่องล้างจานอยู่หลังบ้าน ผมเดินถือหมั่นโถวเข้าไป ช่วยพี่ผ่องเช็ดจานเก็บจานจนเรียบร้อย ออกมาก็เห็นม๊าเอาหมั่นโถวใส่ถุง
“ไปฝากอี๋แดงให้ม๊าหน่อยนะ เห็นอีบ่นว่าอยากกิน ม๊าเลยทำมาเพื่อ”
“ม๊าหยิบเพื่อไอ้เค็งยัง เดี๋ยวมันก็บ่นอีก”
ม๊าพยักหน้า ตอนนี้ไอ้เค็งมันมอหนึ่งแล้ว ร้ายกว่าเดิมเยอะ ต้นไม้แถวๆนี้เริ่มรับน้ำหนักมันกับเพื่อนๆไม่ไหว มันเลยย้ายไปปีนในโลกอินเตอร์เนตแทน ตื่นเช้ามาก็วิ่งเข้าร้านเกม ก่อนไปเรียน เย็นก็กลับบ้านมากินข้าว แล้วก็ออกไปอีก แต่เป็นแบบนี้ได้ไม่นานหรอกครับ สุดท้ายก็โดนจับมายืนฟาดขาอยู่หน้าบ้านเหมือนเดิม เจ๊แดงร้ายมากครับ โทรเรียกเพื่อนมันออกมาดูด้วย จนเพื่อนๆหวาด ไม่กล้าโทรชวน ไอ้เค็งเลยงอนเจ๊แดงไปสองสามวัน
ผมปั่นจักรยานไปหาเจ๊เค็งที่อยู่เกือบๆกลางซอย มอเตอร์ไซค์พังไปแล้ว ยังไม่มีเงินซื้อใหม่เลยขอจักรยานป้าเสริมมาใช้ เป็นของลูกสาวแก แต่ลูกสาวแกสอบติดที่ต่างจังหวัด ไม่ได้เอาไปด้วย เลยเสร็จผม
ท้องฟ้าเริ่มจะเปลี่ยนสี
เมื่อก่อน ผมใช้ชีวิตในช่วงเวลาแบบนี้ยังไงนะ?
ตอนนี้ ผมจำความรู้สึกหลายๆอย่างไม่ได้แล้ว เหมือนอยู่กับชีวิตแบบนี้จนชิน เวลาสั้นๆหนึ่งปีนั้น กลายเป็นความทรงจำที่เหมือนจะห่างออกไปเรื่อยๆ
ทุกวันที่ตื่นเช้ามาไปทำงาน ถึงเวลาตอนเย็นกลับบ้าน อยู่กับม๊า กับเฮีย พี่ผ่อง ชีวิตเรียบลื่นจนเรื่องหลายๆอย่างเหมือนกับละครทีวีที่เคยเปิดผ่าน
“ไอ้เค็ง ไอ้เค็งเว้ย อยู่ในนั้นหรือเปล่า”
“เออ ได้ยินแล้ว พี่ตี๋จะเรียกเสียงดังไปทำไม”
“เอาหมั่นโถวมาฝาก ให้เจ๊ อย่ากินซะหมดหล่ะ”
มันเปิดประตูรั้วมา แต่ผมก็ไม่ได้ก้าวลงจากจักรยาน มันเลยเดินออกมาเอา
“…เออ พี่ตี๋ วันก่อนผมเห็นบีเอ็มคันนึงขับผ่านแถวนี้ด้วย”
“…..กรุงเทพมีบีเอ็มคันเดียวหรอวะ”
“ไม่รู้ดิพี่ ผมจำทะเบียนได้ไม่หมด แต่น่าจะใช่”
“…หรอ กูว่ามึงตาฝาดหว่ะ ไปหล่ะ กูกลับก่อน จะรีบกลับไปกินข้าวเย็น”
“เฮ้ยพี่ ผมไปด้วยดิ”
“เอ้า แล้วเจ๊อ่ะ”
“นู่น ไปช่วยอาม่าบ้านนู้นแก้ปัญหาขาขาด เย็นนี้ไม่กลับหรอก บอกให้ผมหาข้าวกินเอง”
“เออ งี้ก็มาซ้อนสองเป็นสก็อยได้เลยไอ้น้อง”
ตัวมันหนัก ปั่นจักรยานผมต้องลุกขึ้นยืนเพื่อใช้น้ำหนักตัวผมกดลงไป “ไอ้เค็ง เคยมีใครบอกหรือเปล่า ว่าลดน้ำหนักได้แล้ว”
“พี่ตี๋ผอมไป โทษผมได้ยังไง”
“เออ ไอ้หุ่นดีมีสุขภาพ มึงมาปั่นแทนกูแล้วกันมา”
“ใช้แรงงานเด็กหว่ะ”
ไอ้เค็งตัวใหญ่ ผมเลยลุกให้มันขึ้นมาปั่นแทนจริงๆ มาจอดหน้าบ้านที่ไม่รู้จัก หมาวิ่งออกมาเห่าใหญ่ แลบลิ้นใส่หมาที่เห่าไม่หยุด น่าแปลก ทำให้คิดถึงหมาตัวนึงที่ไม่ยอมเห่า ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นยังไง คงจะคิดถึงเจ้านายมันไม่แพ้กับที่ผมคิดถึง
“เฮ้ยพี่ อย่าแหย่มันมากดิ ผมกลัวหว่ะ”
“มันไม่โดดออกมาหรอก”
“บางแก้วเลยนะพี่ วันไหนมันออกมา พี่เสร็จแน่”
ไอ้เค็งทำหน้าหวาดๆอยู่บนเบาะ ผมยังยืนเล่นกับไอ้หมาตัวนั่นที่ขู่จนน่ากลัว มันเดินถอยออกไป ผมเลยเดินก้าวเข้าไปหาอีกก้าวหนึ่ง
ผมไม่เข้าใจหรอกครับ ว่ามันถอยไปทำไม จนมันวิ่งเข้าหารั้วอีกครั้ง
“เวรหล่ะ! มันปีนรั้วออกมา ปั่น ปั่นออกไปเลยไอ้เค็ง!”
ทำไมหมายุคนี้ฉลาดถึงขั้นปีนรั้วออกมาเลยวะ! ไอ้เค็งปั่นสุดชีวิตพอๆกับที่ผมเกาะเอวมันแน่น ดึงขาขึ้นมาจากพื้น “เร็ว เร็วอีกสิวะ มันจะกัดก้นกูแล้ว!”
“มาปั่นเองไหมหล่ะวะพี่!” มันหันมามองเป็นพักๆ บางทีรู้สึกเหมือนเขี้ยวนั้นเข้ามาใกล้กว่าปกติจนน่าหวาดเสียว แต่พอผ่านมาสักพัก มันก็เริ่มชะลอความเร็วลง ไอ้เค็งที่มองอยู่เลยค่อยๆชะลอเท้า
“พี่ตี๋ พี่นี่หาเรื่องจริงๆหว่ะ เกือบแย่แล้วไหมล่ะ”
“เออ กูขอโทษ กูไม่รู้นิหว่าว่ามันปีนรั้วเป็น”
“ทีหลังก็อย่าทำอีกแล้วกัน”
พยักหน้าเงียบๆ รู้สึกแปลกๆ คำนี้ผมควรจะพูดไม่ใช่หรอไง
พิงหัวลงกับหลังไอ้เค็งที่ชื้นเหงื่อ เห็นแสงไฟจากรถที่สวนมาฉายลงบนรองเท้าแตะคู่ละห้าสิบบาทจากตลาดนัด
เงยหน้าขึ้นมอง…
บีเอ็มดับบลิวสีดำขับผ่านไป
พร้อมๆกับลมหายใจของผมที่หยุดนิ่งไปสักพักหนึ่ง
รถคันนั้นขับผ่านไป พร้อมๆกับที่ไอ้เค็งปั่นจักรยานด้วยแรงที่เหลือไปข้างหน้า
..ไม่ใช่ทะเบียนไม่ใช่
เหมือนแรงที่กลับคืนมา ถูกดึงไปพร้อมๆกับไฟท้ายรถที่ห่างออกไป
ไม่รู้ทำไมถึงยังรอ ยังเชื่อในคำไม่กี่คำที่แทนคำตอบทั้งหมด
ต้องผิดหวังมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ที่คอยแต่เฝ้ามองหาแผ่นหลังนั้นอยู่ตลอด
บางครั้งผมเหนื่อย บางครั้งผมอยากหยุด
แต่นั่นเป็นแค่ความคิดในสมอง เพราะใจของผม มันไม่เคยฟัง
ผมทำพลาดไปแล้ว ผมไม่ต้องการทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง
“…พี่ ถึงบ้านแล้ว”
“อ่อ อืมๆ”
ลงจากเบาะหลัง พร้อมๆกับไอ้เค็งที่เข็นจักรยานเข้ามาในบ้าน
“พี่ตี๋ พี่โดนหมากัดตรงไหนหรือเปล่า”
“หือ? ทำไมวะ”
“…พี่ทำหน้าเหมือนพี่เจ็บ”
ได้แต่ยิ้มตอบมัน รู้สึกปลายริมฝีปากสั่น
“เจ็บสิวะ…เจ็บ…”………………………………
…………………….
มองนาฬิกาสลับกับทางเดิน เป็นเวลาพักกินข้าว แต่ไม่ใช่เวลาพักของพวกผม
พี่โต้งกับพี่เชนเช็คพรูฟงานครั้งสุดท้าย หัวหน้าแผนกแต่ละฝ่ายกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องประชุม มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรอกครับ ผมจะไปนั่งกินข้าวทอดหุ่ยในเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ร้านค้าหลังตึกนี้ก็ได้ ป้าแกใจดีชอบแถมข้าวให้ผม แต่พอพี่เชนถามหาแรงงานฟรีไม่มีรายได้เสริม ก็เหลือแต่ผมเท่านั้นแหละครับที่อยู่ช่วยงาน
“ตี๋ เอาอันนี้ไปซีรอกส์ให้หน่อย”
“ครับๆ มีไรอีกเปล่าพี่ ผมจะได้ไปทีเดียวเลย”
“น่าจะอันสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวกูเช็คไฟล์เพาว์เวอร์พ้อยท์ก่อน”
“ได้ครับ”
เดินไปห้องสำเนาเอกสารที่ชั้นอื่น เครื่องถ่ายเอกสารมีคนต่อคิวยาว แถมยังพิงเครื่องซีรอกซ์คุยกันอีก เล่นเอาเซ็ง เลยต้องลงลิฟท์ไปอีกสองชั้น ไปใช้เครื่องเล็กแทน
โทรศัพท์สั่น ยังคงเครื่องเดิมไม่เปลี่ยน หน้าจอขาวดำบอกชื่อพี่โต้ง “ครับ?”
“เฮ้ยตี๋? เสร็จยังวะ? อีกนานรึเปล่า แม่งจะถึงเวลาแล้ว”
“โอ้ย พวกพี่คิดไงวะ มาประชุมใกล้ๆพักเที่ยง เดี๋ยวผมเอาไปให้ จะให้เอาไปให้ที่ไหนอ่ะพี่”
“งี้ห้องประชุมชั้นสิบหกเลยแล้วกัน”
“เออๆได้”
รีบรวบเอกสารทั้งหมดขึ้นมาอุ้มไว้ วิ่งไปที่ลิฟท์ แต่ก็ดูเลขแล้วอีกนาน เลยวิ่งลงบันไดแทน ไม่เหนื่อยเท่าวิ่งขึ้นหรอกครับ ใหม่ๆผมลองความฟิตตัวเอง วิ่งชึ้นลงบันได ได้สองวัน รู้สึกเหมือนเก๊าท์จะกินขา อายุพึ่งจะยี่สิบสี่แท้ๆ ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย
ไหนวะ ห้องประชุม ไม่เคยมาชั้นนี้ เป็นชั้นของพวกผู้บริหาร คนน้อยลงจนรู้สึกได้ ตบแต่งดูดีกว่าชั้นอื่นๆเพราะใช้รับรองแขก
เดินมาจนเกือบสุดทางเดิน เหลือเพียงห้องเดียว เคาะประตูแล้วเดินเข้าไป เห็นพี่โต้งกวักมือเรียกอยู่ที่ด้านในสุดของโต๊ะ รีบวิ่งเข้าไปหา ย่อๆตัวเหมือนจะช่วยหลบไม่ให้แขกของบริษัทเห็น ในห้องค่อนข้างมืด เห็นคนที่ไม่รู้จักกำลังพรีเซนท์งานอยู่ที่หน้าห้อง
“ผมไปแล้วนะพี่”
“เออ ใจมากเว่ย”
วิ่งย่อตัวออกไป โต๊ะห้องประชุมนี้ยาวจนรู้สึกโหวงเหวง แต่คนก็นั่งเต็มทุกเก้าอี้ มีเพียงเสียงพูดของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า เหมือนกำลังจะอธิบายคอนเซปต์ให้ลูกค้าฟัง
เพราะมัวแต่ก้มตัวให้ต่ำที่สุด ปากกาเลยหล่นออกจากกระเป๋าเสื้อ ย่อตัวลง ก้มเก็บปากกานั้นขึ้นมา เหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม ปากกาเป็นปากกาเหล็กสะท้อนแสง เลยเห็นชัดในความมืด
เงยหน้าขึ้นมา มองไปที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม
รู้สึกถึงสายตาหนึ่งที่มองมาอยู่ เลยหันไปมองตอบสายตานั้น
ช่วงเวลาสั้นๆที่ใจ..
ใจ…เต้นช้าลง จนรู้สึกเหมือนจะหยุดเต้นในวินาทีต่อไปที่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่
ขนลุก ยืนไม่ขึ้น เหมือนถูกสายตานั้นตรึงไว้อยู่กับที่
พี่โต้ง กระซิบมาเบาๆ “ไอ้ตี๋ เป็นอะไร”
รีบส่ายหัว ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ปากสั่น ไม่รู้จะพูดอะไรก่อน
ห้องมืดๆ ซ่อนความรู้สึกทั้งหมดบนใบหน้านั้นไว้ได้ เห็นเพียงเงาลางๆ แต่ก็ยังจำได้ จำได้เสมอ
สายตาที่จ้องมองตรงไปข้างหน้า ไม่เคยว่อกแว่ก มองไปทางไหน
เหมือนเดิม ยังเหมือนเดิมเสมอ….
ลุกขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่ กำปากกาไว้ในมือ รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่มาถึงฝ่ามือ
คำๆหนึ่งลอยอยู่ในหัว มันหายไปสักพัก และตอนนี้ มันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
….มึงเป็นของกู…ของกูคนเดียวเท่านั้นเจ้าของเมสเสจนั่น
ตอนนี้…กลับมาเพื่อทำให้ข้อความนี้เป็นจริง….
……………………………….
…………………
[B.N.1 : complete]
[10.01.55]
ฺB.N. = Banknote
ฝากแบงค์แล้วนะ ระเบิดกระปุกเดิมทิ้งไปแล้ว

สารภาพ ปวดหัวมากเรื่องของตอนนี้ ข้อมูลที่ไม่เคยรู้มาก่อน สภาพเเวดล้อมที่ไม่เคยอยู่ หาข้อมูล ถามผู้มีความรู้มาเยอะ แต่ก็ยังรู้สึกไม่พอ จนบางครั้งก็หงุดหงิด แต่พอคิดว่ามีคนรอ เลยตั้งใจเขียนออกมาเท่าที่ความสามารถจะมี
อาจจะยังมีข้อบกพร่อง ก็ขอให้คนอ่านช่วยชี้แนะด้วยนะคัฟ