B.N.6
บางครั้งมนุษย์ก็โลภจนน่ากลัว ทำบางสิ่งบางอย่างไปจนลืมคำนึงถึงความถูกต้อง เพียงเพราะอยากมี อยากได้ อยากเป็น ยับยั้งช่างใจไม่อยู่ สุดท้าย ความผิดพลาดนั่น ก็จะวนกลับมาหาตัวเอง
ผมไม่อยากจะมองหน้าพี่เมย์ด้วยซ้ำในเวลานี้
เธอนั่งอยู่ถัดจากพี่โต้ง วันนี้ พี่โต้งตัดสินใจพาผมกับพี่เมย์ขึ้นมาด้วย ความจริง ก่อนหน้านี้ผมก็สมควรจะเข้าร่วมการประชุม แต่บอร์ดบริหารกลับคิดว่าน่าจะให้พรีเซนต์ผ่านพี่โต้งมากกว่า เพราะมากประสบการณ์ และด้วยวุฒิภาวะ อาจทำให้งานนี้ดูน่าเชื่อถือมากกว่าพนักงานเข้าใหม่อายุยี่สิบสี่แบบผม
ข้างผมเป็นพี่เชน นั่งนิ่งๆ หมุนปากกาไปมาในมือ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ในขณะที่รอบๆตัวเรา พี่ๆคนอื่นๆยังเดินไปเดินมาเตรียมงาน พวกเราสี่คนกลับนั่งนิ่งเหมือนโดนแช่แข็ง อาจเป็นเพราะความเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวพี่โต้ง พี่เขานั่งเขียนลงอะไรบางอย่างลงสมุดมาสักพักแล้ว ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่ในหัวกลับนึกถึงประโยคที่เคยได้ยินมาจากพี่ๆในแผนก ว่าอย่ามองแต่ภายนอก เพราะพี่โต้งบริหารงานเก่งอย่างไม่น่าเชื่อ
นาฬิกาอยู่ฝั่งตรงข้าม เข็มเดินไปตามแรงหมุน ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
ผมจับจ้องมัน ราวกับรอเวลา
ประตูเปิดออก ทำให้ทุกคนหันไปมอง ความสว่างจากทางเดินข้างนอกทำให้เห็นกลุ่มผู้บริหารของ T.K.group ที่เดินเข้ามา หนึ่งในนั้น อยู่ในชุดสูทที่คล้ายคลึงกับคนอื่นทว่าโดดเด่นกว่า อาจเป็นเพราะส่วนสูง หน้าตา หรือกลิ่นอายอะไรก็ตาม ตรึงสายตาคนทั้งห้องประชุมนี้ให้มองตามก้าวจังหวะการเดิน พี่หมอกกวาดสายตามองไปรอบๆ หยุดที่ผมเพียงครู่ แล้วมองผ่านต่อไป
พี่หมอก..ดูโทรมกว่าครั้งที่แล้วที่เห็น
เหมือนจะทำงานหนัก เห็นรอยคล้ำใต้ตานั่น แม้จะไม่ชัด แต่เพราะเป็นรายละเอียดที่ผมสังเกตเห็น เลยบอกความแตกต่างได้
ประตูปิดลง ในห้องมืดมีเพียงแสงจากโปรเจคต์เตอร์ เงียบลงโดยปริยาย
ก่อนที่จะนำเสนออะไร จะมีแบบให้ลูกค้าได้ดูคร่าวๆก่อน แล้วค่อยพรีเซนต์ต่อ เพื่อนำเสนอจุดเด่นของแบบ กระดาษในแฟ้มถูกดึงออกมา พี่หมอกเอนตัวเข้ากับเก้าอี้ ทำให้เก้าอี้รับแขกกลายเป็นเหมือนเก้าอี้ประจำตำแหน่งได้ในพริบตา
ก้มหน้ามองดูงานที่ถูกทำสำเนาเพิ่ม ได้ยินแต่เสียงกระดาษถูกเปิดผ่าน เร็ว จนเหมือนดูผ่านๆ
หลายคนรอบโต๊ะ คิดว่ามองภาพนั้น แทบจะหยุดหายใจ หน้าพี่หมอกนิ่ง ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกอะไร
“…..งานของใคร”
“…….”
เสียงพี่หมอกดังขึ้นในห้องประชุม ไม่มีใครตอบอะไรออกไป
“ผมถามว่างานของใคร”
“….ของฉันเองค่ะ”
“…ผมไม่ได้ถามคุณ” แทบจะพูดปิดท้ายประโยคของพี่เมย์ บรรยากาศดูเย็นขึ้นทันที แต่ผมกลับรู้สึกอยากขำออกมา ไม่รู้ทำไม “ผมถามคุณประกิตต์”
“เป็นโครงแบบของอธิษฐาน แต่ว่าอภิญชาเอาไปปรับแต่งเพิ่ม-”
“มันคือการขโมยงานหรือเปล่า?”
“….”
แอบเห็นตัวแทนของหน่วยอื่นก้มหน้าซุบซิบกันจนมีเสียงเกิดขึ้นเบาๆไปทั่ว พี่เมย์ดูจะอ้ำๆอึ้งๆพูดไรไม่ออก ส่วนพี่โต้งก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“ทำไมไม่ตอบ การให้ลูกค้านั่งรอคำตอบแบบนี้ เป็นนโยบายของบริษัทคุณหรอ?”
สายตาพี่หมอก เบนจากพี่โต้งออกมาช้าๆ ก่อนจะมาหยุดที่ผม รู้สึกเหมือนจากที่หลบอยู่หลังผ้าม่านแดงบนเวที จู่ๆก็ถูกถีบออกไปยืนอยู่กลางสปอรต์ไลท์ ไม่มีบทหรือการซ้อมล่วงหน้ามาก่อน
ได้ยินเสียงพี่เชนพึมพำ…ทำไมถึงรู้นะ?
“นี่มันงานของคุณไม่ใช่หรือไง?”
“ครับ”
“แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงบอกว่าเป็นงานของเธอ”
“มันเป็นงานของผม ที่พี่เขาเอาไปทำต่อจนเสร็จครับ”
“….โกหก”
เสียงแบบนี้ เคยได้ยินมาก่อนเหมือนสามปีที่แล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
คำว่าโกหกของพี่หมอก ที่ดังซ้ำไปซ้ำมา ตอนนี้ ผมได้ยินมันก้องอยู่ในหัว
“ถ้าการขโมยงานเป็นเรื่องปกติ พวกคุณคงไม่จำเป็นสำหรับผม เป็นแบบนี้ ผมจะหาแบบที่ผมชอบเองแล้วเลียนแบบมา ปรับแต่งนิดหน่อย มันไม่ง่ายกว่าหรือยังไง?”
การพูดการจาที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ตรงประเด็น กระชับ ถึงแม้จะพูดเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ก็คงเป็นเพราะว่าตำแหน่งหน้าที่ ทำให้ต้องพูดออกมาในสิ่งที่ต้องการจะสื่ออย่างขัดไม่ได้
แม้แต่ท่าทางก็ยังดูจะข่มคนอื่นไม่รู้ตัว กดให้คนที่มองรู้สึกต่ำกว่า บางที ลักษณะแบบนี้อาจจะเหมาะกับการเป็นผู้นำ
“ในวงการนี้ ผลงานที่ลอกมา …
ผมเรียกว่าขยะ”
กระดาษทั้งแฟ้มถูกปัดตกลงพื้น ใจพวกผมถึงกับหล่นตามไปด้วย มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะว่าเป็นลูกค้าสำคัญ เมกะโปรเจคต์ ไม่ว่ายังไงก็ต้องคว้าเอาไว้
กระดาษบางแผ่นปลิวว่อนมาถึงปลายเท้า ผมไม่ได้ก้มลงเก็บ เพราะอยากถูกสายตาคมกริบนั่นตรึงไว้อยู่ รู้สึกคล้ายกับมีลวดหนามขึงไว้ จนเหลือเพียงช่องแคบๆให้นั่ง ขยับตัวไปไหนไม่ได้
ถาม ด้วยคำถามที่ส่งตรงถึงผม
ตี๋ ไม่ใช่อธิษฐาน ที่อยู่ในฐานะลูกน้องบริษัท หรือบทบาทอะไรก็ตาม
“ทำไมถึงยอมให้เขาขโมยผลงานไป…”
“…เพราะเขาทำออกมาได้ดีกว่าผม ยังไง งานนี้มันก็ไม่ได้เป็นของผมอยู่แล้ว ผมแค่เข้ามาช่วย เสนอไอเดีย แล้วจะส่งต่อให้หัวหน้าแผนกอยู่ดี ไม่สำคัญว่าใครทำ เพราะสุดท้ายแล้ว ผลงานทั้งหมดก็อยู่ภายใต้ชื่อบริษัทเดียวกัน”
พี่หมอกไม่ได้พูดอะไรต่อ เห็นแต่ถอนหายใจออกมา หันกลับไปที่บอร์ดบริหารของบริษัทผม ที่นั่งตัวแข็งทื่อเป็นหิน
“อะไรที่สมควรจะจัดการก็จัดการซะ ผมไม่ชอบเห็นอะไรแบบนี้”
“ครับ”
“ส่วนงานก็ให้เขารับผิดชอบต่อ แต่อย่าให้มันเกิดครั้งที่สอง ความไว้วางใจไม่ได้สร้างกันง่ายๆ หวังว่าจะเข้าใจ”
พี่โต้งรีบพยักหน้า พูดย้ำ “ครับ”
“จุดที่ผมคอมเม้นต์ไปคุณก็แก้มาหมดแล้ว แต่ผมไม่ชอบสีสดแบบนี้ มันไม่เหมาะกับสินค้าของผม”
ตลอดการประชุมยังมีการพูดเหน็บแนมให้ได้ยินเป็นระยะๆ พี่หมอกดูจริงจัง ตั้งใจทำงาน พาลให้นึกถึงตอนทำงานอยู่ที่บริษัท คงจะจริงจังไม่ต่างจากตอนนี้ ลูกน้องคงได้กลัวกันหัวหด
ดูดึงดูด ผ่านไปสามปี ยิ่งดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นเท่านั้น ผมคิดว่าผมเห็นรูปหัวใจในตาของผู้หญิงแถวนี้หลายคน
เหลือบไปเห็นพี่เมย์นั่งคอตก น้ำตาหยดลงกระดาษข้างหน้า ถึงจะรู้สึกสงสาร แต่มันก็เป็นผลที่ตามมาจากการกระทำของเธอเอง ไม่ว่ายังไง ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ พอผ่านไปเกือบสี่สิบนาที ก็เดินออกไปจากห้องประชุมทั้งน้ำตา ทุกคนดูจะเงียบไปสักครู่ ก่อนจะหันมาสนใจธุระของตัวเอง
เกือบสองชั่วโมง ผมนั่งจดรายละเอียดต่างๆลงสมุดเล่มที่พกไว้ประจำ ยังมีหลายจุดที่ยังถูกตำหนิอยู่ พี่หมอกพูดสั้น บางครั้งพูดออกมาแล้วก็ไม่เห็นภาพ อาจจะทำงานลำบากหน่อย แต่ก็ต้องพยายาม บางครั้ง ก็จดคำพูดของพี่หมอกลงไปด้วย ไม่รู้จะช่วยอะไรได้บ้าง
บรรยากาศ รู้สึกจะเปลี่ยนไปในความคิดผม
ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองรอบๆ จดจ้องอยู่กับกระดาษที่ตรงหน้า เลยรู้สึกคล้ายกับว่าผมนั่งอยู่ที่พื้น พี่หมอกนั่งอยู่ที่โซฟา จิบกาแฟ ชี้จุดผิดให้ผมทีละจุด เป็นสายตาที่มองจากคนทั่วไป อาจจะมีความรู้ด้านสถาปัตย์บ้างนิดหน่อย แต่กลับมองเห็นในจุดที่แม้แต่ผมหรือเพื่อนๆไม่เห็น
มันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบ่อยๆจนบางครั้งเป็นสิ่งเคยชิน ไม่เคยรู้ว่ามันมีค่ามากขนาดไหน
ผมรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาไม่รู้ตัว พอถูกเรียกชื่อเบาๆ เงยหน้าขึ้น บรรยากาศแบบนั้นก็หายไปในพริบตา
“ตี๋…ตรงนี้ยังไม่ได้เขียนไว้เลยว่าต้องแก้”
“อ่อ ขอบคุณมากครับพี่”
การประชุมจบลงแล้ว ครั้งหน้า พี่หมอกพูดทิ้งไว้ว่าคงไม่ว่างมา อาจจะส่งคนอื่นมาฟังแทน แต่ขอให้ส่งแบบไปให้ทางอีเมลล์ แต่ก็ไม่พูดชื่อเมลล์ พี่โต้งคงจะมีรายละเอียดอยู่แล้ว
ครั้งหน้างานก็คงจะสมบูรณ์ ถ้าพี่หมอกไม่มา ก็คิดว่าอาจจะหมดโอกาสที่จะได้เจอกันอีก
เผลอกดดินสอแรงจนไส้ดินสอหัก เงยหน้ามาก็เห็นสายตาจากฝั่งตรงข้าม พออีกฝ่ายเห็น ก็รีบเบือนหน้าออกไป ลุกขึ้นจากเก้าอี้ คนลุกตามเป็นพรวน พูดสั้นๆ “ขอตัว” แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ลูกน้องบางคนเก็บของให้
อยากตามไป แต่จากคราวที่แล้วก็โดนเตือนมาทีนึง เลยเลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆ ต่อให้ไม่ได้เจอกันในเวลาทำงาน บางที อาจจะได้เจอกันในเวลาที่เหลือ
เชื่อว่าพี่หมอกก็กำลังรอไม่รู้ว่ากำลังรออะไรอยู่ รอผม หรือว่ารอเวลา
ยังไม่ได้คำตอบว่าพี่หมอกต้องการอะไร…ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง
“…ตี๋”
“ครับ?”
“เปล่า จะบอกว่าจะลงไปข้างล่างกันแล้วนะ”
“อ่อๆ ได้ๆ”
ไม่อยากอยู่กับพี่เชนแค่สองคน ยังมีคำถามที่ผมไม่ได้ตอบพี่เชนอยู่ เพราะตอนนั้น พี่เอ๋มาเรียกไว้ซะก่อน บอกว่าใกล้เวลาประชุมให้ไปเตรียมตัว
“พี่จะทำยังไงกับพี่เมย์?”
“ก็คงต้องลงโทษกันตามกฏ แล้วตี๋หล่ะ ยังยอมอยู่หรือเปล่า”
“…แล้วบทลงโทษคืออะไร?”
“อาจจะโดนไล่ออก”
“ก็แล้วแต่กรรมการจะพิจารณา ผมคงไม่มีสิทธิห้ามอะไร…”
“กฏมันก็คือกฏ ต่อให้ตี๋ยอมหรือไม่ยอม ก็ไม่มีการผ่อนผันอะไรอยู่ดี ไม่ใช่พี่ไม่รู้นะว่างานตี๋ แต่บางครั้ง สถาการณ์ก็บีบให้คนเราต้องเลือก เลือกที่จะขึ้นไปมือเปล่า ไม่มีงานให้ลูกค้าดู หรือเก็บเรื่องภายในไว้เคลียร์ที่หลัง” เดินไปตามทางเดิน เหลือเพียงสามคน พี่เชนยกมือถือขึ้นมากด เลยไม่ได้ร่วมในวงสนทนา”แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงสุดๆก็คงจะเป็นคุณอัษฏา ฉลาดเป็นกรด มองปราดเดี๋ยวรู้หมด คงจะคุ้นกับงานตี๋ดี ถึงได้รู้เร็วขนาดนั้น”
ผมพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป พี่โต้งกดลิฟต์ เพราะออกจากห้องเป็นกลุ่มสุดท้าย จึงเหลือแค่สามคนที่ยืนอยู่ตรงนี้
“..เมื่อก่อนเคยสงสัย ว่าทำไมติวากุลถึงเลือกให้คนหนุ่มขนาดนี้ขึ้นคุมบริษัทที่ไทย ตอนนี้คิดว่าคงจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง ถึงจะยังไม่เห็นอะไรชัดเจนก็เถอะ งานนี้คงจะเป็นเหมือนงานเปิดตัวเลยสินะ ว่าจะรุ่งหรือร่วง”
“งานนี้ใหญ่ขนาดนั้นเลยหรอพี่”
“จากบริษัทที่ส่งออกแต่ชิ้นส่วน หันมาทำสินค้าแบรนด์ตัวเอง ไม่บอกว่าบ้าก็ต้องเรียกว่าโคตรบ้าแล้ว ทำแบบนี้ กึ่งหนึ่งก็อาจจะเป็นการหักคอลูกค้าบริษัทตัวเองด้วยซ้ำ คงมีหลายบริษัทที่ย้ายการลงทุนกับติวากุลไปที่อื่นแทน แถมงานนี้ยังใช้เงินทุนมหาศาล คงเป็นการวัดลูกชายตัวเองเลยสินะ ว่าจะอยู่หรือไป ถึงให้คุมงานใหญ่ขนาดนี้เนี่ย”
“แล้วทำไมเขากล้าเสี่ยงขนาดนี้ ทำไมพ่อ…คุณอัษฏา..ไม่มาทำเองเลยหล่ะ”
“ตลาดใหม่ที่จีนหน่ะ มันมีมูลค่ามากกว่าที่นี่ซะอีก” เดินก้าวเข้าไปในลิฟต์ เหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าของคนที่ไม่รู้จัก มันดูยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงภาระที่มากขึ้นตามมา
จะเหนื่อยแค่ไหนกันนะ…ไม่มีทางรู้ด้วยสายตา ยิ่งกับคนที่ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเองออกมา ยิ่งไม่ต้องหวัง
เมื่อก่อนก็เคยคิด ว่าถ้าพี่หมอกโตขึ้นจะเป็นแบบไหน แต่ภาพแบบนี้ ดูจะต่างไปจากความคิด ไม่คุ้นกับความเย็นชาของพี่หมอก ไม่คุ้นกับภาพลักษณ์แบบนี้ การวางตัวที่กันคนอื่นออกจากพื้นที่ข้างๆของตัวเอง ทำงานหนักจนคิดว่าอาจจะเกินไปสำหรับมือใหม่ในโลกธุรกิจ
และก็ไม่คุ้นเคย กับสายตาไร้ความรู้สึกแบบนั้นด้วย…
………………………………
………………………
“อ้าว ตี๋? วันนี้ก็มาหรอ”
“ครับลุง วันนี้ผมซื้อกล้วยปิ้งมาฝากพี่ๆด้วย”
“ไม่ต้องซื้อมาให้ก็ได้ เก็บตังไว้เถอะ”
ลุงชัยถอดถุงมือออก ยกมือดำๆนั่นถูกับกางเกงที่ดูจะดำกว่า “มาดูบ่อยแบบนี้ จะเห็นความคืบหน้าของงานชัดแค่ไหนหล่ะเนี่ย?”
“ผมก็แค่อยากมาดูทุกวัน ตรงนี้มันใกล้ด้วย ห่างจากบริษัทนิดเดียว”
ลุงชัยเป็นโฟร์แมนของแผนกช่างครับ ตอนนี้ จากที่เคยเป็นเหมือนห้องสีเทาโล่งๆ มีแต่ฝุ่น ค่อยๆเปลี่ยนไป เริ่มมีการวางสายไฟให้วุ่นวายไปหมด พี่ๆหลายคนพอเห็นผมก็ยิ้มให้ ผมเดินไปหา แล้วยื่นกล้วยให้คนละไม้สองไม้
“ตกลงนี่มันบริษัทตี๋ใช่ไหม? ใจดียังกับเจ้านายมาเอง”
“ผมแค่มาเป็นกำลังใจให้เฉยๆ ยังไงนี่มันก็งานผมส่วนนึง แถมยังเป็นงานใหญ่ด้วย ผมจะปลื้มหน้าบาน พี่คงไม่ว่าผมใช่ไหมหล่ะ”
อีกเกือบๆสองเดือน แท็บเล็ตตัวแรกก็จะถูกเปิดตัว งานของพวกผมทั้งหมด จบลงแล้ว มีแผนกอื่นรับหน้าที่ต่อจากพวกผม
ไม่ได้เจอพี่หมอกอีกเลยหลังประชุมวันนั้น ที่บอกไม่ว่าง ก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เห็นแต่เลขาพี่หมอกมาเข้าประชุมแทน ได้ยินมาว่าไปที่สิงค์โปร์มาช่วงหนึ่ง อาจจะไปหาพี่เมฆ แต่ก็เป็นแค่การคาดเดา
นั่งลงกับเก้าอี้พลาสติกตัวเตี้ยๆ ลุงชัยบ่น “ออกไปรอข้างนอกไม่ได้หรือไงตี๋ ที่นี้มีแต่ฝุ่น”
“ก็ผมอยากดูนิน่า”
“อยากดูมากย้ายมาอยู่ฝ่ายนี้เลยไหม รับรอง ได้ดูทั้งวันเลย… ออกไปเถอะ”
มาทุกวัน แล้วก็โดนไล่แบบนี้ทุกวัน แรกๆก็เป็นบ้าง แพ้ฝุ่นจนน้ำมูกไหลไม่หยุด ไปทำงาน ก็มีแต่คนถามว่าไม่สบายหรือยังไง
พูดถึงที่ทำงาน แล้วก็นึกถึงเรื่องพี่เมย์ขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เป็นพี่เขาที่ชิงลาออกก่อนที่บริษัทจะเชิญออก ไม่มีแต่คำขอโทษ ไม่พูดอะไรด้วยซ้ำ มีแต่คนยืนมองเธอเก็บของ ทุกคนหมดคำพูดที่จะพูดกับพี่เมย์ไปไม่รู้ตัว
สายตาที่หันกลับมามองผมนั้นดูจะเกรี้ยวกราด แต่ก็เต็มไปด้วยหลายอารมณ์เสียจนไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนที่พี่เมย์รู้สึกมากกว่า
…ผมไม่ได้ผิดผมไม่ได้ผิดที่เซฟงานของผมไว้ในคอมบริษัท แล้วก็ไม่ได้ผิดด้วย ที่เธอต้องมาเก็บของออกไปจากโต๊ะตัวเองแบบนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่อยากมองหลังเล็กๆที่หิ้วกล่องลังนั่นเดินออกไปอยู่ดี
อาจจะดูเหมือนเป็นคนดี แต่ผมว่ามันคือกลไกลป้องกันจิตใจอย่างหนึ่ง เพื่อให้เราไม่รู้สึกผิด
ผมไม่ใช่คนดี แค่อยากทำตัวให้เป็นคนดีเท่านั้น
“ลุงว่าเสร็จแล้วมันจะเป็นยังไง”
“…สวยสิ ต้องออกมาสวยแน่ๆ ทุกคนตั้งใจกันขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องออกมาดี”
“อย่างงั้นก็ดีแล้วครับลุง”
เพราะทำมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยครั้ง หลับตาลงก็รู้ว่ามุมไหนจะออกมาเป็นยังไง
อยากให้ออกมาเรียบร้อยทุกอย่าง ไม่อยากให้มีอุปสรรคอะไร
อยากให้ที่แห่งนี้ กลายเป็นที่ของพี่หมอก ที่ๆพี่หมอกจะได้เห็นผลของความทุ่มเท ความพยายามทั้งหมด
นั่งเท้าคาง พิงเข้ากับผนังฝั่งหนึ่ง ไม่มีเสียงตัดกระจกหรือตัดกระเบื้องเหมือนเมื่อวาน วันนี้จึงมีแต่เสียงพูดคุยปกติ ในที่นี้ เงียบและมืดกว่าข้างนอก จนดูไม่ออกว่าอยู่ในห้างเดียวกัน
หลับ
หลับไปไม่รู้เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพลียเรื่องอะไร ทั้งๆที่งานทุกอย่างก็จบหมดแล้ว รับงานฟรีแลนซ์ตามปกติ ใช่ คงเป็นเพราะงานนี้แหง ถึงได้ง่วงขนาดนี้
ตื่นมา เพราะท้องร้อง เห็นลุงชัยกำลังเดินมาทางนี้ ทางเดินสว่างโร่ ถึงได้รู้ว่ามานอนพิงอยู่กับโซฟาของห้าง ที่ตัว มีเสื้อนอกคลุมอยู่ เลยรู้สึกอุ่น คนเิิริ่มบางตา เวลาคงจะผ่านไปสักพักแล้ว
“อ้าว ตื่นสักที กะว่าถ้าไม่ตื่นจะทิ้งแล้วนะเนี่ย”
“ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย..” อ้าปากหาวกว้างจนน้ำตาไหลออกมา ยกมือขึ้นปาด มือเลอะฝุ่นจริงๆด้วย
“ทำงานหามรุ่งหามค่ำอีกแล้วหน่ะสิเจ้าตี๋ ดึกแล้ว ไปหาอะไรกินกันไหม?”
“เสื้อนี้….”
กำลังจะถามว่าของใคร แต่ก็เงียบปากไว้
มุดหน้าลงไปในเสื้อตัวนั่น กลิ่นชัด หลับตาลง รู้สึกเหมือนหายเหนื่อยในพริบตา ไม่มีกลิ่นเหงื่อ แต่เป็นกลิ่นที่จะมีอยู่กับของทุกอย่างที่ถูกสวมใส่ไว้
เหมือนถูกกอด ..เป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาก็อดที่จะรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ น่าอาย จะไม่มีวันพูดคำนี้ให้ใครฟังเด็ดขาด คงต้องเก็บไว้เป็นความลับ แม้แต่เจ้าของเสื้อตัวนี้ก็ตามที
“เมื่อกี้เห็นคนหนุ่มๆเข้ามา ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร แต่ก็ไม่กล้าไล่เหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นผู้บริหารอะไรซักอย่าง ไม่รู้สิ มีกลิ่นอายแบบนั้น พอเดินเข้ามาเห็นตี๋หลับอยู่ก็ไม่พูดอะไร แบกขึ้นหลังออกมา ลุงต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วย เพราะคิดว่าเจ้าตี๋คงจะหนักน่าดู แต่กลับแบกออกมาได้สบายๆ”
“แล้วเขาไปไหนแล้ว?”
“กลับไปซักชั่วโมงแล้วหล่ะมั้ง ไม่เห็นจะพูดอะไร พอแบกตี๋ออกมานั่งที่นี่ก็เดินกลับเข้าไปดูใหม่ ไม่นานก็ไป”
“เสียดายจังเนอะ ไม่ได้เจอ”
“รู้จักกันหรอ”
“ครับ ถ้าลุงรู้ว่าเขาเป็นใคร ต้องหงายหลังแน่”
“ใครกันๆ? พูดแบบนี้ลุงอยากรู้นะเจ้าตี๋”
“ผมไม่บอกหรอก ปล่อยให้ลุงสงสัย เอาให้คืนนี้นอนไม่หลับเลย”
ถูกยีหัวจนผมยุ่ง ผมหัวเราะ รู้สึกเหมือนได้รับคำชมจากการทำงานหนัก
กอดเสื้อตัวนั่นไว้แน่นในอ้อมแขน สัญญาไว้กับเสื้อที่ไม่รู้จะรับฟังได้หรือเปล่า ว่าถ้าเจอกันครั้งหน้าเมื่อไหร่ จะไม่ใช่แค่เสื้อตัวนี้เท่านั้นที่ผมจะกอดไว้
รอ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง
แต่ถึงเวลานั้น ผมก็จะไม่คืนเสื้อตัวนี้ให้พี่หรอก..
พี่หมอก…………………………………….
……………………..
[B.N.6 : complete]
[16.01.55]
สั้นๆแต่ใช้เวลานานมาก
อาจจะไม่ได้มาต่อบ่อยๆช่วงสองอาทิตย์นี้ งาน+สอบมิดเทอม อึ้กกกก
