คำเตือน ตอนนี้ไม่มีตี๋ ไม่มีเรื่องที่ต้องยกมือฮริ้ว แต่มีพี่หมอก(นิดนึง)กับเรื่องการทำงานB.N.6.1เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เกรียตินิยมเหรียญทองอันดับหนึ่ง พอถึงกลางเทอมของปีสาม ก็มีบริษัทมาจองตัวเข้าทำงานทันที
เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ชื่อดัง แต่ในเมืองไทยคนมักจะไม่ค่อยรู้จัก เพราะผลิตชิ้นส่วนส่งออกให้บริษัทต่างประเทศ ไม่ได้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ข้อเสนอเงินเดือน โบนัส รถประจำตำแหน่ง วันหยุดที่ไม่ต้องการ มากมายไปหมด เหมือนกลัวว่าจะยึดตัวเขาไว้ไม่อยู่ เลยตกปากรับคำไป
คาดหวังว่าจะได้เจ้านายเป็นผู้มีประสบการณ์ทางการตลาด กลยุทธยอดเยี่ยมที่ดูฟาดฟันราวกับดูหนังสงคราม แต่พอรู้ว่าต้องมาทำงานเป็นเลขาให้กับลูกชายของคุณธนินน์ ติวากุล ก็อดที่จะรู้สึกเบื่อขึ้นมาอย่างไม่ได้ คงไม่พ้นพวกอ่อนต่อโลก ทำงานไม่เป็น ได้แต่พึ่งใบบุญพ่อ ได้ยินเสียงซุบซิบในบริษัทว่าอาจจะมาเป็นแค่หุ่นเชิดให้กับคุณธนินน์ที่ตอนนี้ ควบคุมการทำงานของสาขาจีนเป็นหลัก
ใช้เวลาหกเดือนในการรอเจ้านายคนใหม่ เรียนจบบริหารมา ทำงานเป็นเลขา ฟังอาจดูน่าตลก แต่ในเงื่อนไขระบุไว้ว่าเป็นที่ปรึกษาเลยตกลงไป ยังสงสัยว่าทำไมถึงเอาคนจบใหม่ไร้ประสบการณ์อย่างนี้มาเป็นเลขา แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ที่ปรึกษาระดับสูงทำหน้าที่ดูแลกิจการชั่วคราว รอเจ้าของตำแหน่งนี้กลับมา
จำได้ว่าเป็นคืนที่ฝนตกหนัก รถก็ติด นั่งรถไปกับคนขับรถ เป็นเวลาดึกแล้ว กว่าจะถึงสนามบินก็คาบเส้นยาแดงผ่าแปด โชคดีที่เครื่องบินก็ดีเลย์ด้วยเช่นกัน ไม่อยากจะทำพลาดตั้งแต่วันแรก เหมือนเป็นศักดิ์ศรีของคนที่ทำงานเพอร์เฟคมาตลอด
คนเยอะ แต่รู้ว่าจะเจอได้ที่ไหน เคยเห็นรูปมาก่อน ก็หน้าตาหล่อเหลาดี แต่สู้คนพี่ไม่ได้ คนพี่ดูจะเหมาะกับธุรกิจการค้ามากกว่า คุณอัษฏาชอบทำหน้าบึ้งตึง อาจจะไม่เหมาะกับวงการนี้เท่าไหร่นัก คิดว่าสมองก็อาจจะสู้คนพี่ไม่ได้ด้วย คุณธนัตถ์ทำงานเก่ง เรียนจบจากมหาลัยเดียวกันกับที่คุณอัษฏาไปเรียน แต่ที่เจ้านายคนใหม่ใช้เวลาไปอยู่ต่างประเทศเพียงแค่สองปีกว่า คิดว่าอาจจะคว้าน้ำเหลวกลับมา
เริ่มเห็นคนเดินออกมาจากเกทหลังจากที่เงียบไปสักพัก เสียงร้องกันดังไปทั่ว แต่ก็หาตัวไม่อยาก ไม่ได้เดินออกมาต้นๆ ต้องชะเง้อคอมองจนเกือบถึงคนสุดท้าย ถึงได้ยอมเดินออกมา
ขาว คิดว่าขาวเพราะไม่ได้โดนแดดเท่าไหร่ แต่กลับดูเหมาะ เพราะผมสีดำสั้นๆนั่น ทำให้สีผิวดูเด่นขึ้นมา ใส่แว่นตา ไม่เหมือนในรูปที่เห็น ในมือยังถือหนังสือเล่มนึงไว้ คิดว่าอ่านมาตลอดการเดินทาง ดวงตาคมกริบ จ้องมองไปข้างหน้า ไม่รู้เพราะอะไร แต่คิดว่าดูมีพลังในตัวอย่างน่าประหลาดใจ
เดินเข้าไปหา แนะนำตัว แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมองหรือถอดหูฟังออก ยังดูหนุ่มอยู่ อายุพึ่งจะยี่สิบสี่ สงสัยคงจะยังไม่พร้อมจริงๆ
มีกลิ่นอายบางอย่างที่กีดกันคนออกไปและดึงดูดผู้คนเข้ามาหาในเวลาเดียวกัน มีเสน่ห์ อาจจะต้องพูดแบบนั้น เป็นเสน่ห์ของผู้ชายที่ดูจะแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร
“จะกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ”
“ไปที่บริษัท”
พึ่งได้ยินเสียง เสียงทุ้มต่ำ กดเสียงบางจังหวะเลยทำให้คำนั้นบอกชัดว่าเป็นคำสั่ง อดขมวดคิ้วไม่ได้ ไม่ได้อยากทำงานแบบนี้ เพราะเป็นแค่ลูกจ้าง ลูกน้อง ไม่ใช่คนใช้หรืออะไรทั้งสิ้น จึงไม่อยากจะฟังคำที่บอกสถานะชัดขนาดนี้
เวลาจะสามทุ่ม รถย้อนฝ่าฝนกลับไปที่ตึกสูงที่พึ่งจะขับออกมาเมื่อสามสี่ชั่วโมงก่อน รถติด แต่เพราไฟในรถเปิดสว่าง เจ้านายคนใหม่จึงนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่พูดจาอะไร และก็คิดว่าคงจะไม่ยอมพูดไปจนตลอดทาง
ได้ยินโทรศัพท์โทรเข้ามา มองผ่านกระจกหลังเห็นขมวดคิ้วนิดหน่อย เป็นการแสดงอารมณ์ครั้งแรกตั้งแต่เจอหน้ากันมา เขากดรับเหมือนโดนบีบบังคับ คุยกันด้วยภาษาอังกฤษที่พูดด้วยสำเนียงราวกับเป็นเจ้าของภาษาเสียเอง คิดว่าตัวเองเก่งภาษามากพอ แต่มาเจอของจริงแบบนี้ กลับรู้สึกมีปัญหาติดขัดนิดหน่อย เพราะพูดเร็ว แล้วก็ใช้ศัพท์เฉพาะเยอะพอสมควร
เหมือนจะคุยถึงเรื่องเสป็คสินค้า ตอนแรกนึกว่าเป็นลูกค้าต่างชาติ แต่ฟังไปฟังมา กลับไม่ใช่ พูดคุยกันถึงระบบวงจรในตัวแท็บเล็ท ซึ่งไม่ใช่สินค้าของติวากุล
จะทำอะไร?ได้แต่เก็บความสงสัย คิดว่าสักวันอาจจะได้รู้เอง
พอมาถึงบริษัท ก็ก้าวเร็วๆไม่รอใคร จนต้องเร่งเท้าตาม เวลาเดิน เสียงรองเท้าจะหนักแน่นเสียจนคนที่เดินผ่านไปมาต้องมอง หน้ามองตรง ดูท่านิสัยมองคนโดยกดสายตาลงมาจะทำจนเป็นนิสัย เห็นทีไรก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าถูกกดให้ต่ำกว่าจริงๆ
ห้องใหม่ แต่กลับสร้างความคุ้นเคยได้อย่างรวดเร็วโดยการเหวี่ยงกระเป๋าหนังที่ใส่สัมภาระส่วนตัวไว้บนโต๊ะ นั่งลงกับเก้าอี้ เรียกหาเอกสารที่พูดออกมาไม่หยุด คล้ายกับตลอดทางที่นั่งเงียบอ่านหนังสือนั้นคิดมาตลอด ขอประวัติย้อนหลังว่าส่งอออกฮารต์แวร์ตัวไหนให้กับบริษัทไหนมากที่สุดย้อนหลังหกปี ข้อมูลทางการตลาดของแท็บเล็ทในปัจจุบัน หรือแม้แต่เสป็คสินค้าของบริษัทอื่น ที่ทำสินค้านี้ ก็ต้องไปหามาให้ คนที่ยังเหลืออยู่มีไม่มากนัก แต่เพราะเจ้านายใหม่ใจร้อน และไม่รอใคร ขู่ชัดไว้ว่าขอภายในวันนี้ มองนาฬิกาดูก็เหลือเวลาอีกแค่สองชั่วโมง จึงทำงานหัวปั่นกันจนถึงเช้าวันใหม่
นั่งอยู่นอกห้องที่เขียนชัดว่าประธานกรรมการบริหาร ได้ยินเสียงโทรศัพท์โทรคุยแบบนี้ตั้งแต่ตีสองจนมาถึงตอนนี้แปดโมงเช้าก็ยังได้ยินอยู่ เผลอหลับไปบางช่วงก็ตื่นมาเพราะได้ยินสำเนียงอเมริกันนั่นลอดออกมา ทำตัวเป็นเลขาที่ไม่ดี ชงกาแฟก็ยังไม่เป็น แม้อยากจะเข้าไปถามว่าต้องการอะไรเพิ่มใหม่ แต่คุณอัษฏากลับบอกไว้ชัดว่าถ้าต้องการจะเรียกใช้เอง พูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะบอกว่าอย่าสะเออะเข้ามาเสียมากกว่า
ทำงานหนักไม่หยุดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ขอให้เป็นแบบนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง คิดแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้เป็นการประชดแม้แต่น้อย
อยากติดตามเจ้านายที่เก่ง ไอ้เรื่องไม่เอาไหน ก็อยากจะขีดฆ่าออกไปจากคุณอัษฏา แต่ยังต้องรอเวลายืนยันอีกเสียหน่อย
เห็นพนักงานคนอื่นๆเดินทางเข้าบริษัทมา ผิดกับพวกที่เหลือค้างคืน ฟุบหน้าหลับที่โต๊ะไม่ขยับเขยื้อนไปไหน หมดพลังในการเคลื่อนที่ บางคนหลับลึกจนได้ยินเสียงกรน แต่ตัวเขายังนอนไม่ได้ แม้จะแอบงีบเป็นพักๆ
โทรศัพท์ที่โต๊ะดังครั้งหนึ่ง ยังไม่ทันได้รับสายก็เงียบไป เลยคิดว่าอาจเป็นเพราะคนในห้องข้างๆโทรมา เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปหา กระดาษปลิวว่อนเต็มพื้น ในโต๊ะนั่นก็เป็นกองสูง โน้ตบุ๊คถูกตั้งแทนที่คอมเครื่องหรูบนโต๊ะ
“เรียกฝ่ายพัฒนามา…พวกที่ปรึกษาอาวุโสด้วย”
“เอ่อ..แต่ตอนนี้พึ่งจะแปดโมงกว่า เวลาเข้าทำงานจริงๆเป็นช่วงเก้าโมงเช้า รอให้-“
“โทรตาม” ลดสายตากลับไปหากระดาษในมือตัวเอง ไม่สนใจเลขาที่ยืนไร้ตัวตนอยู่เบื้องหน้า “อย่านาน ไม่ชอบรอ”
กัดฟันเดินออกมาจากห้อง ดูท่าจะเอาแต่ใจเกินขีดจำกัดไปหน่อย ไอ้พวกฝ่ายพัฒนาก็ได้อยู่หรอก แต่ที่ปรึกษาระดับสูงนี่สิ ที่สูงไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่บางคนก็ยังรวมถึงอายุด้วย จะให้โทรกวนผู้สูงอายุที่หัวสูงพอๆกับเงินเดือนที่สูงตามประสบการณ์ในเวลาเช้าๆแบบนี้ เพื่อมาพบกับประธานบริษัทคนใหม่วัย 24 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เป็นดังคาด ไม่มีใครยอมรับสาย ดูเหมือนจะไม่ยอมรับคุณอัษฏาด้วยซ้ำ หลายคนพอรับโทรศัพท์ พูดให้ฟัง ก็วางสายทิ้ง ถ้าไม่ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการที่ต้องพึ่งใบบุญคนพวกนี้ แม้แต่ประธานบริษัทก็อาจจะโดนเฉดหัวส่งก็ได้
ยังไม่อยากตกงาน
คว้ากุญแจรถ ส่งบลูทูธจากคอมพิวเตอร์เข้ามือถือ ข้อมูลของคนพวกนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ แต่เอาน่า สักวันนึง ไม่ตายหรอก ขับรถออกไป มือซ้ายถือถ้วยกาแฟ มือขวาจับพวงมาลัย ขับรถด้วยความเร็วสูงสุดภายใต้กฏหมายกำหนด อดคิดไม่ได้ว่าเรานี่มันช่างบ้าระห่ำจริงๆ เพราะเกิดมาไม่เคยตัดสินใจอะไรแบบนี้มาก่อน
เริ่มต้นจากบ้านที่ใกล้ที่สุด กดกริ่ง แม่บ้านออกมา พอบอกธุระไปก็ถูกบอกว่าให้รอ ระหว่างรอก็กดต่อสายถึงคนอื่นๆอีกครั้ง อาจได้รับความเห็นใจ แต่นอกจากถูกตัดสายแล้วยังปิดเครื่องหนีกันอีก ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ทำตัวอย่างนี้จะเป็นที่ปรึกษาจริงๆ
“..นายท่านบอกไม่สะดวกจะให้เข้าพบนะคะ”
“เขาทำอะไรอยู่ครับ?”
“ดิฉันคงไม่มีสิทธิบอกหรอกคะ”
“ไปบอกเขาใหม่เถอะครับ เป็นเรื่องสำคัญ กรุณาให้ผมเข้าพบด้วยเถอะครับ”
อ้อนวอนอยู่ถึงสามครั้ง จนกระทั่งแม่บ้านคนนั้นเดินหายเข้าไป ตะวันเริ่มขึ้น แสงแดดเมืองไทยที่เพิ่มอัตราการแผดเผามากขึ้นทุกวินาที ร้อนจนเสื้อที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อวานส่งกลิ่นเหงื่อขึ้นมา
แล้วก็ได้เข้าพบ ยังอยู่ในชุดนอน รูปร่างอวบอูม นั่งอยู่บนเก้าอี้ราคาแพง ทำหน้าไม่ยี่ระต่อคำว่าเร่งด่วนแม้สักนิด
ถูกปฏิเสธ บอกซ้ำด้วยว่าต่อให้ไปถามที่ปรึกษาคนไหนๆก็คงจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“…พวกวิปริตหน่ะ”
“ครับ?”
“เมื่อหลายปีก่อนเคยได้ยินข่าวว่าจิตบกพร่อง มีคู่ขาเป็นผู้ชาย ข่าวแบบนี้หน่ะ เสื่อมเสียมากเลยนะในวงการธุรกิจ ทำลายความน่าเชื่อถือหลายๆอย่างไป”
ไม่เคยรู้มาก่อน พูดกันอีกครั้งอาจจะต้องบอกว่า ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้านายใหม่มาตลอด ฟังแล้วรู้สึกตกใจ เพราะท่าทางภายนอกไม่ได้บอกว่าเป็นแบบนั้น แต่เป็นคนที่พอเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าจะมีคนเข้ามาเกี่ยวพันเยอะ เพียงแต่ว่าไม่คิดถึงเพศชายเท่านั้น
พูดอะไรไม่ออกไปสักพัก ได้ยินอีกฝ่ายทำเสียงหึออกมาจากลำคอ รู้สึกโกรธ เพราะเห็นว่าเจ้านายใหม่ก็ตั้งใจทำงาน ถึงจะรู้จักกันแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตั้งใจ ไม่งั้นคงจะกลับบ้านไปนอนพักผ่อนให้สบาย การเดินทางแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็คงจะเหนื่อยไม่น้อย
“ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหนเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน รสนิยมแบบไหน มันไม่ได้ส่งผลอะไรเลยกับผลงาน ผมอยากจะให้ท่านลองเปิดใจดูสักครั้ง ลองไปพบหน้าก่อนสักครั้งก็ยังดี…ผมขอร้องหล่ะครับ”
อีกเหตุผลที่เลือกเดินทางมาที่นี่ก่อน
เพราะเป็นที่ปรึกษาอาวุโสที่มีอำนาจมากที่สุด ถ้าทำให้คนนี้อ่อนลงได้ อาจจะสามารถพูดคุยกับคนอื่นๆได้ง่ายขึ้น
“…เป็นอะไรกับเขา? คู่ขาใหม่หรอ”
เก็บความโกรธ ความรู้สึกดูแคลนต่างๆไว้ในใจ กัดฟันพูดออกไป
“เป็นเลขาของเขาครับ”
“ได้ข่าวว่าพึ่งถึงเมืองไทยเมื่อคืนนี้ เช้านี้จะทำงาน ไม่ไฟแรงไปหน่อยหรือ?”
“คุณอัษฏาตั้งแต่กลับมาถึงก็ยังไม่ได้พักผ่อน ยังอยู่ที่บริษัท โทรปรึกษางานอยู่ตลอด ไม่ได้พักผ่อนเลยครับ”
“เดาว่าเธอก็เช่นเดียวกัน…”
รู้สึกน้ำเสียงจะอ่อนลงหน่อย อยากยิ้ม แต่เรื่องยังไม่จบ
“จะยอมไปฟังหน่อยก็ได้ ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรหรอกนะ แต่รู้ไหม ว่าการที่พวกที่ปรึกษาระดับสูงอยู่พร้อมหน้ากันหน่ะ มันอันตรายขนาดไหน”
“…ทำงานดีก็ได้รับการชื่นชม แต่ถ้าทำงานไม่ดี ก็อาจจะถูกถอดออกได้ครับ”
“ก็รู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังมาที่นี่อีก”
“เพราะผมเชื่อ…”
“เชื่อในเจ้านายที่เจอหน้ากันมาไม่ถึงวันนี่น่ะ?”
“ผมเชื่อว่าเขามีความตั้งใจมากพอที่จะทำงานออกมาดีครับ”
“แค่ความตั้งใจบางครั้งก็ไม่พอ จำเป็นต้องมีความรู้ ประสบการณ์ ในวงการนี้หน่ะ เป็นการรบที่อาศัยเล่ห์เหลี่ยม ถ้าไม่เก่งจริง นอกจากจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ยังจะพาผู้คนใต้การดูแลของตนเองล้มลงด้วย คิดว่าเขาจะทำได้หรอ?”
“….ผมไม่รู้ครับ”
“เธอก็เหมือนกัน ไฟแรง พึ่งเรียนจบมาหล่ะสิ เก่งวิชาการ แล้วในชีวิตจริงหล่ะ เก่งขนาดไหน”
“ผมไม่ทราบว่าตัวผมจะเก่งแค่ไหน เช่นเดียวกันกับคุณอัษฏา เพราะเรายังไม่ได้เริ่มทำงานกันเลยแม้แต่น้อย การที่คุณอัษฏาต้องการพบพวกท่าน ก็คงไม่ได้ต่างจากที่ท่านพูดหรอกครับ ว่าคุณอัษฏายังขาดประสบการณ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกำลังหนุนที่สำคัญ ผมคิดว่านั่นคือสาเหตุที่ผมมายืนอยู่ที่ตรงนี้ ต่อให้แม่ทัพเก่งทั้งบุ๋นและบู๋มากเพียงใด แต่ถ้าขาดกำลังหนุนที่ดี กุนซือที่ดี ก็ไม่อาจจะชนะการรบได้ ผมเชื่อว่าแบบนั้น”
“…ดูท่าจะชอบอ่านสามก๊กนะ”
“ก็พอจะศึกษามาบ้างครับ”
“กับคนที่คำว่าศึกษากับวรรณกรรม แสดงว่ายังขาดจินตนการอยู่ บางครั้งการทำงานก็ต้องอาศัยความคิดนอกเหนือวิชาการ ระวังข้อผิดพลาดจุดนี้ให้ดี”
พยักหน้าตอบกลับไป ชายตรงนั้นดันตัวขึ้นจากเก้าอี้ รีบลุกขึ้นไปช่วยแต่กลับถูกบอกปัด “ฉันยังลุกเองไหว” เดินอย่างอุ้ยอ้ายไปที่บันได หันมาบอก
“กลับไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะโทรหาพวกที่เหลือให้”
“ขอบพระคุณมากครับ”
“ฝากบอกเจ้าหนูนั่นด้วย ว่าระวังตัวให้มาก อย่าทำการณ์ใหญ่เกินตัว เพราะถ้าเสียหาย เป็นเรื่องยากที่จะฟื้นฟูบาดแผลในพวกมือใหม่”
“แต่ถ้าไม่ล้ม บางทีก็ไม่รู้จักลุกหรอกครับ”
“ดีที่สุดคือไม่ต้องล้ม” เห็นรอยยิ้ม ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง “ถ้ามีเวลาว่างก็มานั่งคุยด้วยกันหน่อยสิ อยากจะชวนคุยเรื่องสามก๊กเสียหน่อย เป็นเรื่องโปรดเหมือนกัน แต่กับคนแก่ที่หลงๆลืมๆไปแล้ว พูดคุยด้วยอาจจะไม่ถึงรสชาติเท่าไหร่”
“ด้วยความยินดีครับ”
หวังว่างานคงเป็นไปได้ด้วยดี
แต่ก็แค่ความคิด ถูกต่อต้าน ยืนอยู่หน้าห้องประชุม เพราะเป็นการประชุมลับ ได้ยินเสียงโวยวายดังออกมาเต็มไปหมด แต่พอคุณอัษฏาพูด ทั้งห้องก็เงียบเสียงลงเป็นพักๆ
ดูมีอำนาจเหมือนคนพ่อ เวลาพูดทีไร จึงไม่ค่อยมีใครกล้าพูดตัดขึ้นมา
ไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่หนทางข้างหน้าคงจะมีแต่ความลำบาก แม้แต่คุยกันแค่นี้ ที่ประชุมสิบกว่าคน ยังโดนต่อต้านเสียจนหลายๆคนเดินออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด
คุณอัษฏาเดินออกมาคนสุดท้าย ทำหน้าเบื่อหน่าย บ่นเบาๆ “น่าหงุดหงิด..”
นี่หล่ะมั้ง ถึงได้เลือกเขาเข้ามาทำงาน ดูท่าจะไม่ชอบพวกคนแก่หัวโบราณเข้าจริงๆ เอกสารกองหนึ่งถูกโยนมาจนต้องรีบอุ้มไว้ในสองแขน
“…ผมอ่านได้ไหมครับ?”
“ตามใจ”
เห็นแล้วก็ต้องตกใจ เหมือนกับที่เคยคิด
“คุณจะทำแท็บเล็ตหรอ?”
“อ่านไม่ออกหรือไง”
“….”
มนุษย์สัมพันธ์ย่ำแย่ คงต้องเขียนลงไปในสมุด ดูท่าจะต้องหาเลขาอีกคนมาช่วยรับมือเพิ่ม
“แต่ว่าบริษัทของเรา-“
“ไม่ต้อง ได้ยินมามากแล้ว”
กลับเข้ามาในห้อง วางเอกสารบนโต๊ะ คงจะมีคนมาช่วยเก็บกระดาษที่อยู่บนพื้นหมดแล้ว “คิดว่าไง”
“ครับ?”
“เรื่องที่ว่า”
“ผมว่ามันมีความเสี่ยงมากเกินไป บริษัทเราปกติก็เป็น-“
“อย่าพูดเรื่องซ้ำๆ”
“ผมว่าน่าสนใจครับ”
คุณอัษฏาพยักหน้าตอบ นั่งลงกับเก้าอี้ แต่ก็ไม่ได้นั่งพัก ดึงโน้ตบุ๊คเข้าหาตัว
อยากไปพัก
ง่วงนอนเสียจนกาแฟก็เอาไม่อยู่ พอทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จ ก็รู้สึกโล่งใจ
“ผม – “
“ไปเรียกหัวหน้าแผนกมาให้หมด”
“…..”
“สิบนาที”
ไม่ต้องทำมันแล้ว
ขอลาออก ขอลาออกเดี๋ยวนี้เลย
คุณอัษฏาเลิกคิ้ว
ก็ได้ครับ!……………………………
……………………
[B.N.6.1. : complete]
[19.01.55]

ขอโทษที่หายไปสักพัก เดี๋ยวหายไปอีก 555