B.N.8รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโจรที่แอบย่องเข้าบ้านคนอื่น
ทุ่มกว่า หมดเวลาเยี่ยมไข้ไปสองสามนาทีแล้ว แต่เพราะเสน่ห์ต่อสาวสูงวัย ทำให้ผมอ้อนวอนจนขอเข้ามาในนี้ได้
ม๊าทำโจ๊กอุ่นๆไว้ ตอนแรกก็ร้อนจนลวกหน้าตักผมที่นั่งรถแท็กซี่มา เอาเถอะครับ ยอมเสียเงินเพิ่มหน่อย อย่างน้อย โจ๊กก็ไม่เย็นชืดก่อนที่คนไข้จะได้กิน
มีเวลาแค่สิบห้านาที ป้าพยาบาลให้ได้แค่นี้ โดยที่จะไม่มีใครเดือดร้อน
ทางเดินเงียบกริบ ผมไม่ได้กลัวผี แต่คิดว่าถ้าคนที่กลัวคงจะต้องมองซ้ายมองขวาไม่หยุด ถึงจะเป็นโรงพยาบาลระดับสูงที่ดูคล้ายกับโรงแรม แต่ยังไง โรงพยาบาลก็ยังเป็นโรงพยาบาล ที่ๆได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อแรงกกว่าที่อื่น
ที่ที่ผมเกลียด
อ่านเลขห้องไล่ไป แต่ละห้องกว้าง เดินหลายสิบก้าวกว่าจะเห็นประตูของอีกห้องหนึ่ง
มือผมสั่น ผมรู้สึกได้ ไม่รู้ประหม่าอะไร
ห้องนี้…
ประตูล็อก…ผมควรจะฉลาดกว่านี้
เดินถอยหลังพิงตัวเข้ากับกำแพง ถุงโจ๊กติดกับขา เงาสั้น เพราะไฟอยู่เหนือหัว
พี่หมอกอาจจะพักผ่อนอยู่ มาก็กวนเปล่าๆ
หยิบถุงโจ๊กขึ้นมา ยิ้มจางๆ คงต้องลงท้องผมแล้วแหง ก็ดี กำลังหิวอยู่พอดี
ประตูเปิดออก ผมรีบหันไปมอง
เลขาพี่หมอกยืนอยู่ตรงนั้น
ขมวดคิ้วมองผม ไม่ได้พูดอะไร ยืนจับลูกบิดประตูอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ปิดประตูลง
เห็นยกมืออีกข้างที่มีสมุดบันทึกในมือขึ้นนวดหัวคิ้ว ทำท่าทางเหมือนไม่รู้จะตัดสินใจยังไง มองหน้าผม ดูท่าจะโตกว่าผมสักหน่อย เป็นคนที่ดูกระฉับกระเฉง เปี่ยมไปด้วยพลัง
ถอนหายใจยาว ได้ยินเสียง
ก่อนจะเดินออกไป ทั้งๆที่ประตูยังไม่ปิด
ประตูที่ถูกเปิดค้างไว้อย่างนั้น เห็นเข้าไปถึงห้องข้างใน เพราะไฟจากทางเดินส่องเข้าไป
เสียงรองเท้าหนังคู่นั่นห่างออกไปไกลแล้ว และเจ้าของก็ไม่ได้หันกลับมามอง
ผมมองนาฬิกา เหลือเวลาอยู่อีกไม่นาน
ก้าวเดินเหมือนไม่ค่อยมั่นใจเข้าไป ก้าวหนึ่ง ตามด้วยอีกก้าวหนึ่ง
เข้าไปในห้องโดยที่ไม่ดันประตูเพิ่ม สอดตัวไปในช่องที่เหลือ แล้วค่อยๆปิดลงอย่างเบามือ
ห้องน้ำอยู่ติดประตูทางด้านซ้าย ด้านขวาเป็นตู้เสื้อผ้า
เพราะมีห้องน้ำอยู่ เลยทำให้มองจากตรงนี้ไม่เห็นเตียง ผมค่อยๆเดินเข้าไปมากขึ้นอีก ห้องมืด แต่ก็เห็นแสงสว่างเล็กๆมาจากทางเตียงนั่น
ยื่นหัวออกไปที่ตรงมุม หลับอยู่งั้นหรอ เห็นโน๊ตบุ๊คตั้งอยู่ข้างๆ ไม่แม้แต่จะพับเครื่องลง ผมย่องเข้าไป วางโจ๊กไว้ที่โซฟา
เดินเข้าไป จนชิดกับขอบเตียง
ได้กลิ่น กลิ่นที่บอกว่าเป็นพี่หมอก กลิ่นที่อบอุ่น ผมจำมันได้ เคยหลับไปในความอบอุ่นนี้
มันเป็นวันคืนที่เต็มไปด้วยความสุข และมันก็ผ่านมาแล้ว…
ไม่จำเป็นที่จะต้องยึดติดกับอดีต ปัจจุบัน เราสามารถทำมันได้ หรือแม้แต่อนาคต ที่ยังไม่แน่นอน
ต่อให้เรื่องนี้จบแบบไม่แฮปปี้แอนด์ดิ้ง แต่ผมเชื่อว่าสักวัน ผมก็จะสามารถมีความสุขกับมันได้
..ผอมลงไปเยอะ..
เพราะดูสูงขึ้นด้วยหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ
ขาว
ยื่นมือออกไป ใกล้ จนรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมา แต่ไม่ได้แตะลงไป
ยิ่งใกล้มากขึ้นเท่าไหร่…
ยิ่งทำให้ผมรู้ว่า ผมคิดถึงพี่หมอกมากแค่ไหน
ไล่มาถึงมือ เงาของผมทาบลงบนมือพี่หมอก
เงียบสงบ รู้สึกเหมือนความกังวลถูกปัดเป่าออกไป
แค่นี้ ก็อาจจะพอแล้ว..
จังหวะที่กำลังจะผละมืออออก กลับถูกคว้าไว้ ก่อนจะถูกปล่อยในวินาทีต่อมา เหมือนทำไปตามสัญชาติญาณ
รู้สึกได้เลยว่าใจเต้นแรง ตกใจ เหมือนได้ยินเสียงดังท่ามกลางความมืด
ผมมองกลับไป เห็นพี่หมอกจ้องมองมาที่ผม
“….มาทำอะไรที่นี่”
“ผมมาไม่ได้งั้นหรอ…”
“ไม่ได้พูดแบบนั้น”
ความเข้มแข็ง เหมือนจะถูกทุบลงด้วยคำเพียงไม่กี่คำ
เสียงยังติดแหบ แต่ดูดีกว่าเมื่อวานก่อน
ยังพูดติดห้วน เสียงเรียบเฉย เหมือนกับที่เคยได้ยินในห้องประชุม
ที่ที่พี่หมอกไม่จำเป็นต้องไป แต่ก็ยังลงมาประชุมด้วยตัวเอง ผมสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรออกไป
“ผมเก็บนะ”
ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมพับและวางโน๊ตบุ๊คนั่นที่โต๊ะข้างเตียง
คำเป็นล้าน ที่อยู่ในใจมาตลอด กำลังโวยวาย อยากจะหลุดออกมาจากที่ๆเล็กเท่ากำปั้น ที่ๆกำลังเต้นแรงจนรู้สึกอึดอัด
“…ผ..ผมเอาโจ๊กมาฝากด้วย”
ผมรอคำตอบรับ แต่มันก็ไม่มีอะไรทำลายความเงียบนี้สักที
“ต..ตอนมาที่นี่ ฝนทำท่าจะตก โชคดีจังที่ฝนไม่ตก เพราะถ้ารถติด โจ๊กคงจะเย็นไปแล้ว ผมเห็นว่าที่นี่ไม่มีไมโครเวฟด้วย คง คงต้องไปหานางพยาบาลตรงนั้นให้อุ่นให้ ไม่งั้น--”
“หยุดพูดได้แล้ว”
ขมวดคิ้ว
เบือนหน้าหนี
พี่กำลังทำร้ายผมอยู่ โดยที่พี่อาจจะไม่รู้ตัว
“ผ..ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”
ถ้าผมบังคับเสียงตัวเอง ไม่ให้แสดงความรู้สึกจริงๆอย่างที่พี่ทำได้ มันคงจะดีกว่านี้
“พี่ไม่เหนื่อยบ้างหรอ? พ..พี่ต้องทำตัวเป็นคนอื่น ทั้งๆที่พี่ไม่ต้องการ ผมไม่รู้ว่าพี่กำลังทำเพื่ออะไร แต่ผมไม่อยากเห็นมันอีกแล้ว…ผม….ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีก ผมรู้ว่ามันเป็นหน้าที่ รู้ว่าพี่ก็มีภาระที่ต้องแบกรับอยู่ แต่ แต่มันมากจนพี่…ต้องใส่หน้ากาก ทำตัวเป็นคนอื่น คนที่ไม่ใช่พี่ เป็นคุณอัษฏา ประธานบริษัทอย่างนั้นหน่ะหรอ? กับที่พี่เคยบอกกับผมว่าพี่เกลียดเรื่องแบบนั้น พี่ทนมันได้ยังไง? เพราะผมยังทนเห็นภาพแบบนี้ไม่ได้เลย”
ผมหอบหายใจ พูดวนไปวนมา แม้แต่ตัวเอง ยังไม่รู้ว่าต้องการจะสื่ออะไรออกไป เอาเป็นว่า บางทีผมก็แค่อยากจะระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่หมอกฟังรู้เรื่องหรือเปล่า
“…ผมก็แค่…เป็นห่วงพี่”
อยากจะทุบหัวตัวเองสักที ทั้งๆที่เรื่องไร้สาระนั่นกลับพูดออกมาได้เสียงดัง แต่พอเรื่องที่ต้องการจะสื่อจริงๆ กลับเหมือนเรี่ยวแรงหายไปหมด จนเหมือนเสียงกระซิบ
ยกนาฬิกาขึ้นมอง ดูเหมือนจะเลยเวลามาหน่อยแล้ว เวลาที่ตกลงเอาไว้
ไม่มีนาฬิกาคุณปู่ตีเสียงกังวาลตอนเที่ยงคืน แต่ผมก็คงต้องหิ้วรองเท้าโทรมๆของผมกลับกระท่อมเก่าๆเสียที เจ้าชายดูจะมีธุรกิจรัดตัวให้ต้องคิดเยอะ
“ผมคงต้องไปแล้ว หมดเวลาเยี่ยมมาสักพัก แต่ผมขอนางพยาบาลไว้”
ไม่หันกลับมา นั่นแหละ จะให้ทำยังไง หันหน้าพี่หมอกกลับมาก็คงไม่ใช่อยู่ดี บางที อาจเป็นผมที่เดินออกไปเอง ง่ายกว่า
ถูกดึงแขนไว้ ผมขมวดคิ้ว คงเข้าใจว่าผมเจ็บ จึงผ่อนแรงลง
ไม่เข้าใจความคิดของพี่หมอก
เหมือนไม่ต้องการผม แต่บางครั้ง ก็เหมือนยังเรียกหา
ถ้อยคำที่ไม่ได้พูดออกมา ผมได้ยิน แต่ครั้งนี้มันเบาเสียจนผมเงี่ยหูฟังแล้ว ก็ยังยากที่จะได้ยิน ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ผมได้ยินเสียงเรียกของพี่หมอกชัดเจน เสียงเรียกขอความช่วยเหลือ ต้องการคนที่จะยืนอยู่ข้างๆเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยว ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ แม้พี่จะไม่บอก
ถูกดึงเข้าไปใกล้ มือของผม ถูกดึงขึ้นสูง
จนกระทั่งมือแนบเข้ากับแก้มพี่หมอก
พี่หมอกหลับตาลง
เอียงหน้าเข้าหา เหมือนกับเด็ก ที่ต้องการแค่มือใครสักคน ยื่นเข้ามา ฉุดรั้งขึ้นจากความเงียบเหงา
ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เราโตขึ้น มีภาระที่ต้องรับผิดชอบ ไม่อาจจะหนีออกจากพวกนั้นได้ อยู่บนโลกของเหตุและผล ไม่ใช่ตามใจของพวกเราอีกต่อไป
ความอบอุ่นถูกส่งผ่าน รู้ได้ว่าประหม่า มือพี่หมอกสั่น ผมก็คงไม่ต่างกัน
แทนคำพูดที่ยังคลุมเครือ แทนคำถาม ที่ยังไม่ได้คำตอบ“คำที่พี่พูดไว้…มันยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ผมอยากรู้แค่นี้ แค่นี้จริงๆ ที่ผมต้องการ”
ผมจะลอง ลองที่จะเสี่ยง
เสี่ยง ที่จะรู้คำตอบนั่น ไม่สนว่าสิ่งที่จะได้ยินต่อจากนี้ เป็นคำตอบเหมือนที่ผมหวังไว้หรือไม่
มือถูกกุมไว้ แน่น บางครั้งก็รู้สึกชาที่ปลายนิ้ว นิ้วสอดเข้าหากัน ดูเป็นธรรมชาติ
อบอุ่น จนรู้สึกร้อน ร้อนที่ขอบตาไปหมด เหมือนน้ำมูกจะไหล
ไม่มีความรู้สึกอึดอัดหรืออะไร แต่พวกเรากลับขมวดคิ้ว
รู้สึกเจ็บปวด แต่หาคำตอบไม่ได้ ว่าเพราอะไร
“เวลาจะตอบทุกอย่าง”
“แต่เวลาก็ทำให้หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไปด้วย”
“..แล้วเปลี่ยนไปหรือเปล่า”
“ไม่ ผมไม่เคยเปลี่ยน”
“…แค่นั้น แค่นั้นก็พอ”เสียงที่เหมือนจะพูดออกมาพร้อมน้ำตา ไม่.. ไม่มีน้ำตาอะไรทั้งนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้น ที่กำลังร้องไห้อยู่
“นี่หรือเปล่าคือสิ่งที่พี่ต้องการรู้ สิ่งที่พี่บอกว่าต้องการ”
มือผมถูกบีบแน่น แทนคำตอบ ผมกระชับมือนั่นตอบ อยากเข้าไปใกล้มากกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้
พี่หมอกกำลังอดทน และผม ต้องไม่ทำลายความอดทนนั้นลง
ใกล้ กันจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
พี่อยู่ตรงนี้ ผมไม่อยากปล่อยพี่ไป พี่ก็คงเหมือนกัน เป็นความจริงที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้
“…ผมไปแล้วนะ.. หมดเวลาแล้ว พี่แอบทำงานเมื่อกี้ ไม่ได้หลับหรอก ผมรู้”
มือค่อยๆคลายออก รู้สึกเชื่องช้า อ่อยอิ่ง
“ดูแลตัวเองให้ดีๆ ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีก เพราะไม่ใช่พี่เท่านั้น ที่รู้สึกไม่สบายไปพร้อมๆกับพี่ ทั้งผม ทั้งพี่บอล หรือคนอื่นๆก็คงเหมือนกัน”
แม้แต่ผู้หญิงคนนั้น..ก็ร้องไห้เพื่อพี่หมอกเหมือนกัน
“…รีบกลับมาหาผม ไม่งั้นจะเป็นผม ที่วิ่งไปหาพี่เอง”
ต่อให้ตอนนั้น พี่มีเหตุผลอะไร สำคัญแค่ไหน ผมก็อาจจะไม่ฟัง
เหตุผล …
คำนี้ ที่เคยทำร้ายทั้งตัวผมและพี่มาแล้ว
ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมต้องเลือกอีก ผมจะไม่มีวันคำตอบที่ทำลายความรู้สึกของผมอย่างแน่นอน
……………………….
…………………
ประตูห้องปิดลง โจ๊กถูกทิ้งไว้ ไม่รู้จะได้กินหรือเปล่า
ความสุขที่มาพร้อมความเจ็บปวด บางทีผมอาจจะเป็นมาโซ โค้งหัวขอโทษคุณป้าพยาบาลที่กำลังโมโหได้ที่ คิดว่าถ้าครั้งหน้ามาอีก ก็คงต้องเอาของมาฝาก แต่มันก็ไม่มีครั้งหน้า และผมก็ไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น พี่หมอกออกจากโรงพยาบาล ที่หน้าตึก มีแต่นักข่าวเต็มไปหมด เอาแต่พูดว่าเป็นผลจากความเครียดที่เกิดจากการถูกตัดหน้าชิงตัวนั่น กลายเป็นเรื่องทอค ออฟ เดอะ ทาวน์ ประธานบริษัทคนใหม่ กับเรื่องใหม่ๆมากมายที่เอาไว้ให้ขุดคุ้ย ต่อจากเรื่องวุ่นวายในบริษัท ที่ถูกสร้างขึ้น โจมตี เหตุผลทางธุรกิจที่ผมไม่รู้เรื่อง เต็มไปหมด มันทำให้ผมเบื่อแทนเลยด้วยซ้ำ
แต่เพราะรู้ รู้ว่าการรอคอยครั้งนี้จะไม่เปล่าประโยชน์ ความกังวลของผม มันหมดลงไปอย่างช้าๆ
ก็ไม่เชิง
ผมเห็นข่าวมิ้นท์ในทีวี ไม่รู้จะเรียกพี่มิ้นท์ หรือน้องมิ้นท์ หรือจะอะไรก็ตาม พี่เชนนั่งบ่นอยู่หน้าจอคอม
“ให้ตายเหอะ ถ้าจะมีเพื่อนร่วมงานสักคนแบบนี้ ชีวิตคงจะดีขึ้นเยอะ”
“พี่ก็ได้แต่บ่นอ่ะ ที่นี่สาวๆน่ารักก็เต็มไปหมด ไม่เห็นจะเคยมอง”
พี่เอ๋ยิ้มอยู่ข้างๆ ขยิบตาให้ผม ผมเลยตอบกลับด้วยการยิ้มยิงฟัน หวังว่าจะได้รับแพ็คเกจมื้อเที่ยงฟรีๆสำหรับกลางวันนี้
“หลบอยู่รูไหนกัน อยากเห็นจะแย่อยู่แล้ว”
มองมาทางผมทำไมวะ พี่เอ๋อยู่ด้านซ้ายนู่น “แล้วนี่การงานมีไม่ทำหรอวะพี่ มานั่งเล่นเน็ทผลาญค่าไฟที่นี่จะชั่วโมงแล้ว”
“งานหน่ะมันมี…” ท่าทางเคร่งขรึม ประกอบกับแว่นนั่น เลยดูเหมือนกับอาจารย์สอนพิเศษเถื่อนๆ “..แต่ยังไม่อยากทำ แถมบ่ายนี้ต้องออกไปเจอลูกค้าอีก”
“ครับ ครับ”
“ไม่สนใจเลยหรอ”
“จะให้ผมสนใจอะไรอ่ะ?”
“ไปกับใคร ไปที่ไหน ลูกค้าเป็นยังไง”
“แล้วผมจะรู้ไปทำไมวะเนี่ย งานของผมก็มีเหมือนกัน”
“งานพิเศษหล่ะสิ ชอบแอบเอามาทำในบริษัทแบบนี้ ไม่ค่อยดีเลยนะ”
ถึงปลายเสียงจะเบาลงก็ตามเถอะ แต่พูดอย่างนี้ มันก็ทำให้ผมอดตกใจไม่ได้ “พูดเบาๆหน่อยสิวะพี่”
“มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“เรื่องแค่นี้อ่ะนะ?”
“มีอีกหลายเรื่องที่รู้ แต่ไม่อยากจะทำให้ดูเป็นคนเลวมากจนเกินไป”
“ไม่เลวแล้วครับพี่ ชั่วเลย ฮ่าฮ่า”
พอผมหัวเราะ พี่เชนก็หัวเราะด้วย เอนตัวกับเก้าอี้จนน่ากลัว ในมือถือถ้วยกาแฟจนติดเป็นนิสัย
สไลด์เก้าอี้ล้อเลื่อนมาจนใกล้
“มันคือการแบล็คเมลล์ ไม่กลัวหรือไงคุณอธิษฐาน”
“แล้วคุณปิยนันต์ต้องการอะไรหล่ะครับ?”
“หึหึ” หัวเราะแบบชายที่เปี่ยมเสน่ห์ แต่พอเป็นพี่เชน เลยดูเหมือนโจรป่าหน่อยๆ
“ทำงานดีกว่า..”
“อะไรกัน ขยันทำงานขึ้นมาทันตา?”
“…เพราะรู้น่ะสิ ว่ามีเวลาพูดเรื่องนี้อีกนาน”
………………..
…………..
“ทำไมครั้งนี้มาไกลจังแหะ”
“อยากได้บ้านกลางป่าหล่ะมั้ง?”
รถซีอาร์วีที่นั่งอยู่ส่ายไปมา ความรู้สึกคล้ายกับเครื่องเล่นในสวนสนุก
ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกค้าซื้อบ้านลึกขนาดนี้ หน้าปากซอยดูแทบจะไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนสร้างบ้านหลงใหญ่ๆในนี้ได้
ซอยนี้ไม่ได้เป็นป่าอย่างที่พี่เชนพูด แค่มีทุ่งหญ้าสองข้างทาง ไม่ได้อยู่แถวเขตกลางเมือง ค่อนมาทางปริมณฑลมากกว่า ทางยังเป็นทางดินลูกรัง ฝนคงตกเมื่อคืน ถนนถึงเละเทะขนาดนี้
“อย่างกับอยู่ตะเข็บชายแดน”
“ตี๋ อย่ายื่นหัวไปติดหน้าต่าง”
“ทำไม..โอ๊ย!”
ไม่ทันขาดคำ หัวผมโขกเข้ากับหน้าต่างเต็มๆ พี่เชนไม่ได้จอดรถ แต่ถาม “ไง หัวโนเลยหรือเปล่า?”
“แค่เจ็บๆ”
พอพ้นกลางซอยมา กลับเห็นบ้านหลังใหญ่ๆปลูกทิ้งระยะห่างกัน หลายหลังสวยจนผมอยากจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ แถมตรงนี้ถนนยังดูดีกว่าต้นซอย คิดว่าอาจจะมีทางเข้าซอยนี้สองทาง และทางที่พี่เชนพามา คือท้ายซอยเสียมากกว่า
รถจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง บ้านที่ยังไม่ได้แต่งเติมอะไรทั้งนั้น มันยังไม่พร้อมสำหรับการเข้าอยู่ ผมเห็นรถอีกคันจอดอยู่หน้ารั้ว รถสปอร์ตที่ล้อเปื้อนโคลนไปหมด
“ไหนดูดิ”
พี่เชนเดินเข้ามา ปัดผมที่ปรกหน้าผากขึ้น “โอ๋ๆ หายเร็วๆนะตี๋เล็ก” เป่าหัวผมฟู่ๆจนเส้นผมปลิวขึ้น
“พี่เรียกผมหรือเรียกสาหร่ายวะเนี่ย”
“อย่าขำดิ จริงจังนะเว้ย”
ผมหัวเราะกับหน้าตาจริงจัง ถูกโยกหัวไปมา ทำเหมือนผมเด็กกว่าสักสิบปี ทั้งๆที่จริงแล้ว ก็อาจจะแค่หกเจ็ดปีเท่านั้น
พวกผมกดกริ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูให้ ดูผิวขาว ตาสีฟ้า อาจจะเป็นลูกครึ่ง พี่เชนทักทายเหมือนเคยเจอกันมาก่อน แหงหล่ะ ต้องเคยเจออยู่แล้ว ก่อนที่จะนัดเจอลูกค้ากันที่สถานที่จริงแบบนี้
ลูกครึ่งคนนั้นพูดไทยได้คล่องปรื๋อ แถมยังมีชื่อไทยๆ “เรียกผมว่าวิลก็ได้”
ถูกพาเข้าไปข้างในบ้าน ข้างนอกคงจะมีสวน แต่ยังไม่ได้เตรียมอะไรจึงเป็นแค่ลานดิน เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์สำหรับการเห็นบ้านก่อนและหลังการสร้าง เพราะมันแทบจะไม่เหมือนที่เดียวกันเลยด้วยซ้ำ
ในบ้านหลังนั้น มีผู้หญิงอีกคนกำลังยืนหันหลังให้ผม มองผนังไม้ที่ว่างเปล่า รอการตบแต่งอยู่
มองจากข้างหลัง ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกดัด รูปร่างสูง จนเหมือนนางแบบ หุ่นดี อย่างน้อยก็ไม่เป็นเอวตรงแด่ว หาวี่แววซิกส์แพ็คไม่เจอ หรือกล้ามข้างเดียวแบบผม
ค่อยๆหันมา รองเท้าส้นสูงที่ไม่ได้ดูเปรี้ยวจนเกินไปบิดเข้ากับพื้นไม้ อยากจะบอกว่าไม่ควรใส่เข้ามา แต่ก็ไม่ได้พูด ไม่สิ พูดไม่ออกเลยต่างหาก
….มิ้นท์
ฮะฮะฮะ
หน้าผมตอนหัวเราะแบบนี้ คงจะตลกน่าดู
………………………..
……………..
[B.N.8 : complete]
[25.01.55]
เมื่อไหร่จะสอบเสร็จ

อยากลงทุกวันให้ได้อ่านกัน เพราะคนเขียนอึดอัด อยากเขียนให้หมดจะแย่แล้ว
ปล.หน่ะ --- น่ะ
หว่ะ --- ว่ะ ไม่เท่ากับ วะ
คะ(สูง ท้ายประโยคคำถาม)+ ค่ะ(ต่ำ รับคำ)
เข้าใจถูกหรือเปล่าคัฟ?
จะย้อนกลับไปดูที่พี่ Misso บอก แต่หาไม่เจอแหล่ว

จะพยายามแก้คำผิดนะคัฟ ขอบอกว่าไม่มีการอ่านหาคำผิดรอบสองเลย แต่เพราะพิมพ์ไปจะย้อนกลับไปดูเป็นพักๆ พอเจอคำผิดก็แก้ ยกเว้นเบลอหรือไม่รู้จริงๆ รบกวนผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วย ข้าน้อยขอคารวะ

ปล.2. ซีรีย์ที่กำลังติดอยู่ตอนนี้ American horror story สนุกจริง
แต่หลังๆไม่รู้รู้สึกไปเองหรือเปล่า แบบว่า ตัวละครไม่จำเป็นเยอะเกิน เหมือนใช้แล้วทิ้งในตอน เหลือครึ่งตอนสุดท้ายยังดูไม่ได้ หลอนไปสามวิฯ 