B.N.9ผมนั่งลงข้างๆพี่เชน มีสายตาจับจ้องอยู่ ปกติ ผมไม่ค่อยชอบสายตาแบบนี้เท่าไหร่อยู่แล้ว เป็นสายตาจ้องจับผิด ถ้าเป็นสายตาลูกค้า ก็พอจะทนได้ แต่นี่เป็นสายตาของคนที่ผมกำลังสงสัย ไม่สิ หวาดระแวง ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน เอาเป็นว่าผมกระอักกระอ่วนจนแทบคลั่ง เมื่อรู้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของผม มีสายตาสวยๆคู่หนึ่งมองตาม
หยิบปากกาในกระเป๋ากางเกง เงยหน้าขึ้นมา ก็สบตาเข้ากับเธอ
เรายืนคุยกันอยู่ตรงพื้นที่โล่งกลางบ้าน ตรงนี้เป็นเหมือนส่วนกลาง ไม่มีหลังคา เดาจากโครงสร้าง คงคิดจะสร้างบ่อเลี้ยงปลาตรงนี้ เดินต่อเข้าสู่ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องที่พึ่งผ่านมา ตรงนี้ อีกไม่นานคงมีประตูกระจกเข้ามา เป็นบ้านที่สวย..เจ้าของคงจะรวยมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ดูดีๆแล้ว เหมือนอายุจะมากกว่าผมหน่อย เป็นผู้หญิงเจ้าเสน่ห์ ดูมาดมั่น ปราดเปรื่อง ผู้หญิงทำงาน เลยนึกไม่ออกว่าเหตุผลที่เธอร้องไห้ในวันนั้น มันเป็นเพราะอะไร ดูเหมือนน้ำตาของเธอ จะหยดออกมาได้ยากจริงๆ
ครั้งนี้ ส่วนมากเป็นพี่เชนที่คอยพูด ถามเรื่องความต้องการของลูกค้า ผมจะเป็นคนจดรายละเอียด เก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด แต่เท่าที่ดูแล้ว น่าจะใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสว่าง เพราะถ้าประกอบกับสีของไม้แล้ว จะยิ่งทำให้บ้านดูกว้างขึ้น
มิ้นท์จะเป็นคนพูดเกือบทั้งหมด มีวิลเสริมบ้าง แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย ก็จะถูกปัดตกลงไปได้ง่ายๆ ไทยคำฝรั่งคำจนเล่นเอาผมมึน แต่สำหรับพี่เชน ดูจะไม่ใช่ปัญหา
“..แล้วที่นี่ บ้านใครหล่ะครับเนี่ย?”
“อ่อ..บ้านหลังนี้ก็ของ—“
ได้ยินเสียงดังอั้ก ดังจนผมกับพี่เชนสะดุ้งพร้อมกัน วิลงอตัวลงจนเสียวว่าจะหัวทิ่มลงกับพื้น ต้นเหตุคงเป็นศอกที่กระทุ้งเข้าเต็มสีข้าง ได้ยินแต่เสียงโอดครวญลอดออกมา ผมกับพี่เชนซี้ดปากเบาๆ
“…คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้มั้งคะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ลองถามดูเฉยๆ แต่คงจะเป็นของคุณมิ้นท์สินะครับ?”
“ก็…ส่วนนึง”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ ไอ้ส่วนนึงที่ว่าหมายถึงครึ่งหนึ่งหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง อีกครึ่งหนึ่งของใคร?
“ผมขอเสนอสีสว่างมากกว่า อย่างโซฟา ผมก็แนะนำให้ใช้เป็นสีเนื้อ ไม่ก็สีขาวครับ มันจะทำให้ตัวห้องดูกว้างขึ้น”
“ไม่ เอาสีมืดจะดีกว่า เจ้าของอีกครึ่งหนึ่งชอบสีมืดๆ อย่างสีดำ สีโปรด”
“……”
เหมือนจะจดอะไรไม่ทันไปช่วงหนึ่ง อะไรนะ ต้องการโซฟาสีครีมหรือครับ? หรือผมได้ยินไม่ชัดเอง
“เฮ้ยไอ้ตี๋ สีดำเว้ยสีดำ”
“..เอ้า หรอ?”
“ก็เออน่ะสิ เหม่ออะไรอยู่หึ?”
“เมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อย”
ไม่ได้คุยต่อ เพราะพอมิ้นท์..ไม่สิ อาจจะต้องเรียกว่าพี่มิ้นท์ เพราะดูโตกว่าผมจริงๆ พี่มิ้นท์พูดต่อ พี่เชนจึงเบนความสนใจออกจากผม เห็นอยู่ว่ามองผมเป็นระยะๆ ดวงตากลมๆสีดำเข้มนั่น จ้องมองด้วยกลิ่นอายที่ดูกดดัน ค้นหาอะไรบางอย่างในตัวผม
ผมคิดว่าบางที เธออาจจะรู้เรื่องระหว่างผมกับพี่หมอก
นี่ผมต้องระวังว่าเธอเป็นคู่หมั้นอะไรของพี่หมอกหรือเปล่า? แต่ผมไม่คิดว่ายุคนี้แล้ว ยังมีการคลุมถุงชนเพื่อเหตุผลทางธุรกิจอีก และถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็คงไม่ต้องกลัวอะไร นิสัยเกลียดการโดนบังคับของพี่หมอก น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด ต่อให้มีสิบชีวิต คิดจะบังคับพี่หมอก ก็คงจะไม่พอ
ผมเชื่อใจ เชื่อในคำพูดที่พี่เขาพูดกับผม คำพูด ที่สื่อผ่านออกมาทางการกระทำของพี่หมอก
ตอนนี้ หลายๆสิ่งที่ผมเคยค้างคา มันชัดเจนขึ้น บางเรื่อง ผมใช้ความรู้สึกของผมตอบ โดยไม่จำเป็นต้องรอเหตุผลอะไร
“วิล..พาคุณปิยนันต์ไปดูชั้นสองหน่อยสิ พาไปดูเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร”
แค่พูดแค่นี้ วิลก็พยักหน้ารับ เดินนำพี่เชนที่ดูไม่เต็มใจขึ้นบันไดไป บันไดไม้ดูแข็งแรงเสียจนอยากทดสอบความทนทานดู
เสียงรองเท้า หายไปแล้ว ผมได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองชัดขึ้น พอๆกับเสียงใจเต้น บรรยากาศกดดันจนไม่กล้าเงยหน้าออกจากสมุดจด
ไม่
ไม่ได้
ถ้าทำแบบนี้ ก็เท่ากับผมหนีปัญหาอีก ผมจะต้องเผชิญหน้ากับมัน ไม่ใช่วิ่งไปเรื่อยๆแบบนี้
มิ้นท์มีเรื่องจะคุยกับผม กลับกัน มันก็หมายความว่าผมได้คุยกับเธอ อาจจะพอคลายเรื่องที่สงสัยอยู่ได้
“…รู้จักกับหมอกมานานหรือยัง”
“นานแล้วครับ”
“เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่พี่หมอกปีสาม”
“…จะสี่ปีแล้วสินะ”
“ครับ”
ถ้าเธอรู้หมดแล้ว ปิดบังไปก็เท่านั้น ผมไม่ชอบโกหกใคร เพราะรู้ผลของการโกหก เคยต้องทรมานเพราะมันมาแล้ว
“ถ้าบอกให้เลิกยุ่งกับหมอก จะทำได้ไหม?”
“ผมก็คงต้องบอกตรงๆว่า ผมไม่อยากทำแบบนั้นครับ”
เธอเลิกคิ้ว จากที่จ้องมองผนังว่างเปล่า เปลี่ยนกลับมามองที่ผมแทน
“ทำไม?”
“คุณรู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ?”
“รู้ แต่ก็อยากได้ยินจากปากอยู่ดี…ห้องนี้อยากได้สว่างๆหน่อย”
“ผมแนะนำว่าน่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์สีสว่างมากกว่า แต่ถ้ายังอยากได้สีดำ ผมก็ปรับให้ได้ครับ”
“สีดำ..สีโปรดของหมอก”
“….ครับ”
“ตรงนี้ ขอผ้าม่านหนาๆหน่อย ไม่ชอบแสงมากเท่าไหร่”
นึกถึงผ้าม่านในคอนโด ถึงจะดูบาง แต่ก็กันแสงไว้ได้มาก ต่อให้นอนถึงเที่ยง ก็ไม่มีทางรู้สึกตัวตื่นเพราะแสงส่อง
ติดอยู่กับอดีต บางครั้ง ก็รู้สึกอย่างนั้น
เห็นอะไร ก็นึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่อยู่ร่วมกัน คำพูด รอยยิ้ม หรือความอบอุ่นในเวลานั้น ยังสัมผัสได้อยู่เสมอ
“…ฟังอยู่หรือเปล่า”
“ครับ?”
“ทำงานอย่าเหม่อ”
“ขอโทษด้วยครับ”
หลังจากนั้น ส่วนมากก็เป็นเนื้อหางานเสียส่วนใหญ่ พี่เชนก็ยังไม่กลับมา มองชั้นบนผ่านช่องว่างของราวบันได ก่อนจะต้องรีบเดินตามพิ่มิ้นท์ไปที่ห้องต่อไป
“…เหมือนเด็กเลยนะ”
“ครับ?”
“ชื่ออะไร”
“อธิษฐานครับ”
“ชื่อดี…ดูเป็นคนจริงใจ แต่แค่ไหนกัน?”
“ผมบอกไม่ได้หรอก มันต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะมองผมยังไง”
“ปากเก่ง”
“นั่นก็ผม”
“เถียงกับลูกค้า ไม่รู้หรือไงว่ามันไม่ดี”
“เพราะลูกค้าเอาเรื่องส่วนตัวมาพูด ผมจึงมีสิทธิตอบโต้เหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าคุยเรื่องงาน พี่ก็เป็นลูกค้าผม ที่ผมจะให้คำแนะนำในฐานะมัณฑนากร”
เธอเงียบไปสักพัก ไม่ได้ตอบอะไร รองเท้าส้นสูงยังเดินไปตามพื้นไม้
“ผมไม่แนะนำให้ใส่รองเท้าส้นสูงเข้ามาในบ้านที่มีพื้นไม้ครับ เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยที่ไม้”
“ขอบคุณ”
หลังจากนั้นไม่นาน พี่เชนก็ถูกเดินตามวิลลงมา เราออกมาจากบ้านหลังนั้น พิ่มิ้นท์มีธุระต่อ ทำให้เวลาของพวกเราตรงนี้หมดลง
ผมคิดว่า พี่มิ้นท์ ไม่ใช่คนไม่ดี แต่ก็เป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีอะไรที่ผมจะตอบได้เลย….
………………………..
………………….
“…เอ้า! ป้าน้อย”
“..คะ?”
ผู้หญิงที่อยู่ในชุดสีขาวสะอาด คุ้นตาผม เห็นหลังไวๆในตลาด ก็รีบวิ่งตามไป
“ป้าครับ จำผมได้หรือเปล่า”
“….ตี๋? ใช่ตี๋หรือเปล่าลูก?”
“ครับ ผมเอง”
ป้าแกยิ้มกว้างเลยครับ ดึงผมเข้าไปกอด เอ็นดูผมไม่เปลี่ยนจากที่เคยทำ รู้สึกเย็นๆที่หลัง มารู้เข้าก็ตอนที่เห็นถุงปลาสดแช่น้ำแข็งนั่นในมือป้าแกอีกที
“มาครับป้า เดี๋ยวผมถือให้”
“แล้วน้องตี๋มาทำอะไรลูก?”
“ผมกะมาหาของกินซักหน่อยครับ แต่ดูจะดึกไปหน่อย แล้วป้าทำไมมาซื้อดึกซะขนาดนี้”
“ป้าแกงแกงส้มไว้ แต่ปลาช่อนมันไม่พอหน่ะ จะให้ทำครึ่งๆกลางๆก็รู้สึกไม่สบายใจ ป้าเลยต้องนั่งแท็กซี่ออกมา”
“แล้วป้ายังทำงานอยู่บ้านพี่หมอกหรอครับ”
“อืม คงยังกลับสุพรรณตอนนี้ไม่ได้หรอก”
“ทำไมหล่ะครับป้า”
“ทั้งเรื่องคุณหมอก คุณฝน ป้าเป็นห่วงเสียจนไม่กล้ากลับบ้าน สบายไปคนเดียวเลย”
ทั้งๆที่ไม่ใช่ลูกหลานแท้ๆ แต่กลับรัก เป็นห่วงอยู่อย่างเงียบๆ
พี่หมอก พี่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย
เพียงแต่พี่ยังไม่เปิดใจให้กว้างพอ ก็เท่านั้น
ผมได้แต่คิดว่าจะดีแค่ไหน ถ้าพี่หมอก สามารถโตขึ้นมาได้ด้วยความรักจากป้าน้อย ไม่ถูกทอดทิ้งอยู่คนเดียว ท่ามกลางเงินทองหรือของที่ไม่มีเสียงตอบโต้แบบนั้น
อดีต ที่ได้แต่คิดว่า “ทำไม?” มันไม่มีประโยชน์
แต่คำนี้ ถ้าใช้ในปัจจุบัน มันอาจจะใช้เปลี่ยนอนาคตได้
“ทำไมครับป้า”
“น้องตี๋รู้เรื่องคุณหมอกเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า”
“รู้ครับ”
“ป้าเป็นห่วงคุณหมอก ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย เข้ามาเหยียบบ้านแค่ครั้งเดียว มาหยิบของใช้ที่จำเป็นออกไป เสื้อผ้าตอนนี้ ก็มีคนเอามาเปลี่ยนให้ กินนอนที่บริษัท แทบไม่ได้พักผ่อน ป้าฝากคุณแพนเขาดูแล แต่คุณแพนกลับบอกว่า เขาดูแลได้ในส่วนของงานเท่านั้น ป้าเลยได้แต่ห่วง”
“คุณแพน?”
“เลขาคุณหมอกน่ะ บอกว่าตัวเขาเองก็ทำงานหนักไม่ต่างกัน ตอนนี้งานก็มีปัญหา อีกสักพักใหญ่ๆจึงจะเสร็จ”
“ทั้งๆที่พึ่งออกมาจากโรงพยาบาล ก็ต้องทำงานหนักแบบนั้นหรอครับ?”
ป้าน้อยพยักหน้า พูด “เหมือนคุณท่านไม่มีผิด ทำงาน จนไม่มีเวลาให้ใคร”
แม้แต่เวลาให้ตัวเอง ยังถูกช่วงชิง ไม่ต้องพูดถึงเวลาที่จะใช้ร่วมกับคนอื่น คนที่พูดน้อยอย่างพี่หมอก วันๆนึง คงแทบจะไม่ได้พูดอะไรกับใครเลยด้วยซ้ำ
ผมแกว่งมือเบาๆ รู้ได้ว่าถุงของสด ปนกับของกินอื่นๆที่ผมช่วยป้าเขาถือนั่น แกว่งไปมาเช่นเดียวกัน
เสียงตลาด ค่อยๆเงียบลง ทั้งที่เป็นตลาดที่แสนจะคึกคักทั้งกลางวัน กลางคืนแล้วแท้ๆ
“ป้าครับ วันนี้ผมขอไปฝากท้องที่บ้านสักวันได้ไหมครับ?”
…………………………
………………….
ไม่คิดว่าจะเจอ
แล้วก็ไม่ได้เจอจริงๆ
จากที่พูดว่าทำงานหนัก ก็คงจะหมายถึงแบบนั้นจริงๆ แอบย่องขึ้นไปดูที่ห้อง ผ้าปูที่นอนเรียบ ในห้อง ไม่มีกลิ่นเจ้าของห้องแม้สักนิด ห้องน้ำแห้ง เหมือนนานเกินกว่าจะนึกได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ก็อกน้ำนี้ถูกหมุนใช้ คือเมื่อไหร่
ไอ้หนึ่ง โตมากที่สุดเท่าที่สุนัขพันธุ์นี้จะโตได้ ผมคิดว่ามันจะเมินใส่ผมซะอีก เป็นเรื่องน่าดีใจ ที่อย่างน้อย มันก็ยังจำผมได้ รวมถึงพี่ๆหลายๆคนที่นั่งจับกลุ่มคุยในห้องครัว มีสองคน ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“ไม่เจอหน้าสามปี หล่อขึ้นเป็นกองเลยนะน้องตี๋”
“อย่าพูดความจริงมากครับลุง ผมรู้แล้วแต่เขิน”
“มุกจ๊ะมุก ไม่ต้องรับหน้าชื่นขนาดนั้นก็ได้”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
ยกชามตักกับ คนเข้าหากันจนมั่วไปหมด ตักเข้าปาก ยังอร่อยเหมือนเดิม คิดถึงฝีมือนี้จะแย่แล้ว พอได้กลิ่นแกงส้ม ท้องก็ร้องใหญ่
นั่งอยู่ที่ประตู ยื่นเท้าออกไปข้างนอกเหมือนเดิม ที่ตรงนั้น มีหนึ่งนอนอยู่ คราวนี้ มันนอนทับเท้าผม รู้สึกแปลกๆ แต่สักพักก็ชิน ไม่ได้รู้สึกหนักอะไร นอกจากรู้สึกว่าตัวมันอุ่น อุ่นทดแทนความอุ่นข้างตัวที่หายไป ถ้ามันทดแทนกันได้ ก็คงจะดี
“สามปีที่ผ่านมา…สบายดีหรือเปล่า น้องตี๋”
“สบายดีครับป้า ไม่มีเรื่องอะไรเลย ออกจะเรียบเฉยเกินไปด้วยซ้ำ”
ผมเห็นสายตาที่บอกว่าสงสารของป้าแล้วก็เผลอหลบตา ไม่อยากให้ใครรู้สึกสงสาร ผมไม่อยากให้ใครมองผมแบบนั้น
“มีเรื่องอะไรบอกป้าได้นะ”
“ครับ ถ้ามีเรื่องอะไร ผมจะบอก”
“แล้วได้เจอคุณหมอกบ้างหรือยัง?”
“ได้เจอบ้างแล้วครับ”
ที่แห่งนี้ มีแต่อดีตเต็มไปหมด มองออกไปนอกประตูห้องครัว คิดว่าจะเห็นหลังของพี่หมอกแถวๆโต๊ะกินข้าว แต่ก็ไม่มี รวมถึงบันได สวน หรือแม้แต่ห้องนอน ก็ไม่มี
สามปีที่ผมไล่ตามหาเงาพี่หมอก จบลงด้วยความผิดหวังมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง สมควรจะรู้ได้แล้ว ว่ามันไม่ได้อะไร แต่ถึงจะพูดไปก็เท่านั้น ตาผมก็ยังจะคอยมองหาแต่แผ่นหลังนั้นอยู่เสมอ
มีเรื่องบางเรื่องที่ต่อให้เราเข้าใจ ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก “ระวังติดคอ อย่ากินคำใหญ่แบบนั้นสิ”
พอตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร ก็ติดคออย่างที่ว่าจริงๆ มีเสียงร้องโวยวาย ผมรับแก้วน้ำที่ยื่นมาให้ น้ำในนั้นกระฉอกเลอะหน้าผมเพราะแรงตบที่หลัง ใครกันตบแรงขนาดนี้ เดี๋ยวก็ได้ตายเพราะช้ำในแทนที่จะติดคอหรอก ไอจนน้ำตาไหล ไหลออกมาสักพักใหญ่
ป้าน้อยถอนหายใจ ไม่ทำอะไรนอกจากลูบหลังผมต่อไป แม้แต่ไอ้หนึ่ง ยังกระดิกหาง ปัดขนฟูไปมาที่เท้าผม จั๊กจี้จนน้ำตาหยุดไหลไปเอง
“อดทนนะตี๋ ไม่ว่ามีเรื่องอะไร ถ้าอดทน มันจะต้องดีขึ้นแน่นอน ป้าเชื่อแบบนั้น”
“ผมขอเชื่อด้วยคนนะป้า”
อาหารหมดลง โต๊ะถูกเก็บ ผมยืนช่วยป้าล้างจาน เสียงพี่ๆคนอื่นๆร้องโอดครวญอยู่ข้างๆ “อย่าเลยคะคุณตี๋ ให้พี่ๆล้างเองเถอะ”
“ผมมากิน ผมก็ล้าง ผมไม่จ่ายเงินหรอกนะ ขอบอกไว้ก่อน”
เถียงไปด้วย ล้างจานไปด้วย เดี๋ยวก็เสร็จ เช็ดมือกับผ้าจนแห้ง เดินออกมาข้างนอก สวนเงียบ มีไฟเปิดเป็นจุดๆ เลยดูสว่างแบบนวลๆ หนึ่งเดินตาม กระดิกหางมาด้วย พอมายืนข้างๆผมก็ยื่นมือออกไปลูบหัว
มาบ้านพี่ แต่ก็ไม่เจอพี่ ที่ๆเดียวที่จะได้เจอกัน คงเป็นบริษัทใหญ่ๆนั้น
จะเข้าไปในสถานะอะไร
ตอนนี้รอบตัวพี่หมอกมีแต่นักข่าวที่คอยจับจ้อง แล้วยังมีผู้บริหารระดับสูงอะไรมากมายนั่นอีก ที่เอาผม มาใช้เป็นจุดอ่อนของพี่หมอก
ที่พูดว่ากำลังอดทน คงหมายถึงสิ่งนี้
ถ้าทำงานออกมาดี ไม่มีข้อบกพร่อง ทุกอย่างก็อาจจะง่ายขึ้น แต่เพราะหนอนบ่อนไส้ คนที่ปล่อยคลิปออกมาก่อน ก็คงจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พี่หมอกยังต้องทำงานหนักถึงตอนนี้
ไม่สิ
อย่างที่ป้าน้อยบอก งานหนักตลอดชีวิต องค์กรใหญ่ คงไม่มีวันเห็นประธานออกมาเดินเล่นไปมาเหมือนอย่างเมื่อก่อน
ผมอยากเจอ อยากเจอพี่หมอกอีก
สัมผัสที่อยู่ที่มือ ผมยกขึ้นแนบหน้า เหมือนกับว่าจะหลงเหลืออะไรอยู่บนมือนั้น ไม่มี ไม่มีเหลือหรอก มันก็แค่ความคิดของผมเท่านั้น
มีแต่ความเงียบตรงนี้ ผมนั่งลงกับขอบบ่อปลาคาร์พที่รีบว่ายเข้ามาหา หยิบกระปุกอาหารปลาที่ยังถุกเก็บไว้ที่เดิม หย่อนลงไปสองสามเม็ด ปลาที่ไม่รู้มองเห็นอาหารเม็ดนั้นหรือเปล่า แย่งกันอ้าปากขึ้นมา
“โหย แย่งกันกินใหญ่เลย ไม่ต้องๆ เดี๋ยวให้เพิ่มอีก”
ผมเทอาหารเม็ดในกระป๋องลงบนมือ หย่อนลงไปเพิ่ม จำได้ว่าใต้ขอบบ่อนี้มีสวิสต์ไฟอยู่ เปิดแล้วจะให้ปลาในบ่อชัดขึ้น ใช้เท้าเขี่ยๆ จนเจอสวิสต์ รู้สึกสนุก ยิ่งให้มากเท่าไหร่ ปลาก็ยิ่งโผล่ขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น
“ให้แบบนั้นเดี๋ยวปลาก็ตายหมดหรอกครับ”
ถูกดึงกระป๋องออกจากมือ ปิดฝา แล้วเก็บเข้าที่เดิมภายในเวลาสั้นๆ เลขาพี่หมอก หรือคุณแพนอะไรที่ป้าน้อยพูดถึง มือข้างหนึ่งยังหนีบแท็บเล็ทไว้กับตัว พูดเร็วๆ
“เดี๋ยวผมกำลังจะกลับบริษัท จะติดรถกลับบ้านด้วยเลยหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรปฏิเสธ”
“..ง…งั้นก็ได้ครับ”
ผมเนี้ยบ ไม่ได้ใส่แว่น แต่รู้สึกจะเหมาะกว่าถ้าใส่ ดูจริงจัง มีไฟล้นเหลือตลอดเวลา แม้แต่กระดุมที่แขนเสื้อก็ยังติด
ในรถเงียบแค่เฉพาะตอนก้าวขึ้นเท่านั้น พอประตูปิดลง อีกฝ่ายก็เปิดฉากทันที
“คุณคงทราบแล้วว่าผมเป็นเลขาคุณอัษฏา”
“ค..ครับ”
“ผมมีหน้าที่รับผิดชอบแค่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานเท่านั้น เรื่องนอกเหนือจากความรับผิดชอบนั้น ผมไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว รวมถึงเรื่องสุขภาพของเจ้านายด้วย แต่ก็อยากบอกให้รู้ว่าผมก็ไม่ได้อยากเปลี่ยนเจ้านายบ่อยๆ เพราะผมรู้สึกไม่มั่นคง”
ผมพยักหน้า พอนึกขึ้นได้ว่าถ้าคนขับหันมามอง อาจเกิดความวิบัติได้ จึงรีบตอบครับกลับไป
“ผมได้ยินเรื่องระหว่างคุณกับคุณอัษฏามาจากปากที่ปรึกษาระดับสูงคนหนึ่ง เขาพูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นความบกพร่องทางจิต ผมไปหาข้อมูลเพิ่มนิดหน่อย เลยพอจะรู้เรื่องคุณมาบ้าง ระดับหนึ่ง”
“…ความบกพร่องทางจิต? ขนาดนั้นเลย”
“ผมไม่เห็นเหตุผลอื่นๆนอกจากความคิดเห็นส่วนตัวในนั้น มันเป็นแค่คำพูดที่ใช้กระทบจิตใจคู่เจรจามากกว่า”
มันได้ผล
ผมรู้สึกแย่ ที่กลายเป็นต้นเหตุของคำนั้น
“เรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ผมไม่มีความเห็น ในเวลานี้ ผมคิดว่าคุณอัษฏาต้องการเวลาพักบ้าง แต่สถานการณ์อาจจะยังไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น การทำงานหนักหลังพักฟื้น ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดี”
“แล้วอยากให้ผมทำอะไรครับ”
“ตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบครับ ผมไม่รู้ว่าคุณกับคุณอัษฏาสนิทกันขนาดไหน คราวก่อนที่ผมปล่อยคุณเข้าไปในห้องพัก เพราะผมคิดว่ามันจะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง แต่ก็เปล่า คุณอัษฏายังทำงานหนัก หนักกว่าเก่าด้วยซ้ำ เหมือนเร่งบางอย่างให้เร็วขึ้น ซึ่งก็รวมถึงสุขภาพด้วย”
“ถ้าผมเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ ไม่เท่ากับว่า สร้างความไม่พอใจหรือความยุ่งยากอะไรให้กับที่ปรึกษาพวกนั้นหรอครับ?”
“ก็ช่างหัวพวกเขาเถอะครับ ไม่ ไม่ ผมไม่ควรพูดแบบนั้น ถึงพวกเขาจะหูตากว้างไกล รู้แม้กระทั่งเรื่องที่คุณมาร่วมงานเปิดตัวนั่น แต่ผมคิดว่า เวลาส่วนตัวของคุณอัษฏา พวกเขาคงไม่ใจร้ายถึงขั้นเข้ามาก้าวก่ายหรอกครับ”
รถชะลอความเร็ว จอดที่หน้าบ้านผม “รู้จักบ้านผมด้วยหรอ?”
“นั่นก็เป็นหนึ่งในข้อมูลที่ผมหามาครับ”
ได้แต่โค้งหัวพูดขอบคุณอย่างงงๆ “แล้วผมจะลองคิดดู ว่ามีเรื่องอะไรที่ผมพอจะทำได้บ้าง”
“ขอบคุณมากครับที่ช่วย ขอบคุณทั้งในฐานะเลขา และเพื่อนร่วมงาน”
“ผมต่างหากล่ะครับ ที่ต้องขอบคุณ”
เห็นรอยยิ้มที่ดูเหน็ดเหนื่อย คงไม่ใช่แค่เจ้านายเท่านั้น ที่ถ่านใกล้หมดเต็มที่
“คุณแพนก็ดูแลสุขภาพด้วยหล่ะ พักผ่อนเยอะๆนะครับ
ได้ยินเสียงหัวเราะประชดประชันออกมา
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ผมเกรงว่าผมคงทำไม่ได้หรอกครับ”
…………………..
…………..
[B.N.9 : complete]
[28.01.55]
สองมือประนม โค้งตัวลง แล้ว...พุ่งหลาว เฮ้ย ไม่ใช่ ผิดงานแล้ว
มันต้อง
ขอกราบประทานอภัยเป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยผิดไปแล้ว
หายหน้าหายตา+อู้+เก้ารอเก้า จึงทำให้หายไปสองสามวัน แต่หลังจากนี้ จะพยายามมาบ่อยๆนะตัวเอง เค้าขอโทษ

อย่างตอนนี้ก็ง่วงมาก วันนี้ไปเดินเจเจครั้งแรกในชีวิตมา 55 แต่ก็ไม่อยากผิดสัญญา เลยมาเขียนให้เสร็จก่อน อาจจะต้องมีการแก้อีกรอบอย่างแน่นอน ง่วงและเบลอมาก

สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์
