ขี้เกียจแม้แต่จะพลิกตัว ง่วงจนไม่อยากลืมตา
ดึงเสื้อพี่เชนขึ้นคลุมหน้า แสงที่แยงตาอยู่จางลง
กำลังจะหลับ ก็ถูกดึงเสื้อออก ยื่นมือไปดึงขึ้น ไม่อยากลืมตา ถ้าพลิกตัวหนีก็อยากทำ แต่อาจจะตกโซฟา
บ้าเอ้ย ไอ้พี่เชน แกล้งอะไรกันเนี่ย
“เฮ้ย พี่เอาคืนมาดิ”
เสื้อถูกโยนคืน แต่ไม่ใช่เสื้อตัวเดิม
ผมรีบลืมตาขึ้น
“พี่หมอก?”
ยืนอยู่ตรงนั้น
ไม่แน่ใจว่าฝันหรือเรื่องจริง
แต่คนที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด ยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนี้ คิดว่าต่อให้เป็นในฝัน ก็อาจจะลอกเลียนแบบท่าทางแบบนี้ได้ไม่หมด
มองเห็นเสื้อของพี่เชนถูกทิ้งอยู่ที่พื้น สภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วสักนิด ไม่สิ ก่อนหน้านี้มันก็คล้ายอยู่แล้ว แค่กลับที่ๆเหมาะสมเท่านั้น
ผมลืม ลืมบางอย่างไป ข้อเสียที่ร้ายที่สุดข้อหนึ่งของพี่หมอก
“เสื้อนั่นของใคร?”
ขมวดคิ้ว แสงจ้าจนต้องหรี่ตา ไมเกรนขึ้น อาจเป็นเพราะนอนไม่พอด้วยประกอบกัน
“….ของรุ่นพี่ที่ทำงาน”
“พี่เอาคืนไปเถอะ ผมไม่หนาวหรอก”
ไม่รับคืนไป จนกระทั่งผมยัดเข้ามาเอง ถึงยอมถือไว้ เสื้อสูทพี่หมอกดูเหมือนซื้อไว้เป็นชุด ขาดตัวใดตัวหนึ่งไป จะดูรู้ทันที
“หึ”
หัวเราะในลำคอ ผมสังเกตว่าออร่ากดดันรอบตัวพี่หมอกข้นขึ้นกว่าเมื่อก่อน มันทำให้แม้แต่ผม ก็ยังรู้สึกเกร็ง
มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เคยเกิด…พี่หมอกที่ไม่สนใจแม้แต่น้องสาวตัวเอง
เป็นคนแบบนั้น และไม่ได้เปลี่ยนเลยแม้สักนิด
“ผมไม่ได้โกหก”
“แล้วทำไมเมื่อเช้ามันไปรับมึงที่บ้าน?”
“..ผมไม่รู้”
พี่เชนเคยแต่มาส่งแถวหน้าปากซอย แต่ไม่เคยขับเข้ามา เมื่อเช้าก็สงสัยอยู่ แต่ความง่วงที่มีก็มากกว่า
“…..”
คิ้วขมวดจะชนกันอย่างนั้น ตาที่มองเหมือนกดลงมา ทำให้ผมก้มลงมองพื้น เห็นรองเท้าหนังที่ถูกขัดจนมันแปล็บ ใช้แทนกระจกได้แหง ทั้งที่เวลานี้ผมควรจะหาคำพูดเหมาะๆมารับกับอารมณ์โมโหแบบนี้ แต่หัวกลับคิดอะไรแปลกๆขึ้นมาได้
“แล้วทำไมพี่รู้?”
เงียบ
พี่หมอกปิดปากเงียบ
มองตรงมานิ่งๆ ทำให้นึกถึงเด็กทำผิดแล้วถูกจับได้ มองแล้วรู้สึกเหมือนพี่หมอกจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก ก่อนจะหันหน้าหนีผมไปซะเฉยๆ
“เดี๋ยว! พี่ จะไปไหน?”
ไม่มีคำตอบ แค่เดินออกไปจากที่ๆยืนอยู่
เหมือนในฝัน ไม่ต่างกัน
บางทีนี่อาจจะเป็นฝันอยู่ เพราะไม่ได้อยู่ในสิ่งที่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้คุยกันแบบนี้ เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ บังเอิญเกินไป
ผมไม่ยืนนิ่ง ลุกขึ้นจากโซฟา เดินตามไป
“เฮ้ยตี๋? จะไปไหน? เค้กได้แล้ว”
หันกลับไปมอง พี่เชนชูจานเค้กขึ้น เลิกคิ้วมองเลยไหล่ผมไป เห็นพี่หมอกที่กำลังจ้องเขม็งกลับมา
“ไหนบอกหิว กลับมานี่สิ มากินได้แล้ว”
“มิ้นท์ให้มาตาม”
เสียงที่พูดนั้นไม่ได้ดังมาก หันไป ได้เห็นสีหน้าที่พี่หมอกทำไม่บ่อย หน้าเซ็งๆที่นานๆจะได้เห็นสักทีทำให้ผมอยากขำ
“รวมผมด้วยหรือเปล่า?”
ไม่มีคำตอบให้พี่เชน พี่หมอกทำแค่หันหลังให้แล้วเดินต่อเท่านั้น
…………………………..
…………………….
โต๊ะอาหารอึดอัดอย่างที่คิด
ทำไมต้องมีช้อนสอง ซ้อมหนึ่ง มีดหนึ่ง แต่ละอันต่างกันยังไง ขอตะเกียบได้ไหม ใครจะกล้าพูดออกมา
ภัตตาคารในโรงแรมที่พี่มิ้นท์พูดไว้ว่าเลี้ยง แต่ก็ไม่ทำให้ผมกล้าสั่งอะไรที่เป็นการถล่มเจ้าภาพสักนิด เห็นหลังเลขาพี่หมอกเดินไปมาหลายรอบ เดินเข้ามาก็กระซิบกับพี่หมอกสองสามคำ พอพี่หมอกพยักหน้า ก็เดินออกไป ไม่นานก็เดินกลับมาใหม่ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าจะมีมือถือไว้ทำไมกัน
“สั่งสิคะ”
เมนูที่ไม่มีรูป กับภาษาพิลึกกึ๊กกือ จึงต้องอาศัยทักษะเฉพาะตัว จิ้มมั่วก็ได้ผักโขมอบชีสมากิน ไม่เหมือนคนอื่นที่เหลือ พี่เชนแอบขำตอนที่ยกผ้าขึ้นมาเช็ดปาก ตอนที่มองผมเขี่ยผักโขมออกอย่างสลดใจ
“มื้อนี้ในโอกาสอะไรครับ?”
“แทนคำขอบคุณค่ะ”
ที่เหลือแก้ก็แค่ปรับโทนสีนิดหน่อย นอกนั้นก็ผ่านเกือบหมดแล้ว พี่เชนนั่งข้างๆยื่นช้อนที่ดูผอมกว่าให้ผม เหลือบขึ้นมอง คิ้วพี่หมอกเป็นเส้นตรงเส้นเดียว จึงใช้มุกเดียวกับพี่เชน แอบขำหลังผ้าเช็ดปาก
สปาเกตตี้จานนั้น พี่หมอกเอื้อมมือมา ก็เผลอหยิบขวดชีสส่งไปให้
มีแต่ความเงียบเกิดขึ้นบนโต๊ะ
ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะมีบทสนทนาอะไรเยอะแยะ แต่พอดันมาหยิบขวดชีสจากเครื่องปรุงในตะกร้าใหญ่ๆนั่น ยิ่งทำให้ทุกคนได้แต่ปิดปากเงียบ
“อ..โอ๊ะ ผมหยิบถูก?”
แม้แต่หน้าพี่หมอกยังบอกชัดว่าสิ่งที่ผมพูด สิ้นคิดสุดๆ
“….แล้วบ้านหลังนี้ของคุณมิ้นท์กับ…คุณอัษฏาหรอครับ?”
ไม่มีใครตอบอะไรกับพี่เชน น่าสงสาร เก็บเศษหน้าแทบไม่ทัน
พิ่มิ้นท์ทำหูทวนลม พี่หมอกก็มัวแต่นั่งกดอะไรในมือถือไม่หยุด ดูเหมือนกำลังส่งเมลล์อยู่
“ทานเสร็จแล้ว หมอกจะไปก่อนก็ได้”
“ไม่ต้องรอให้พูดหรอก”
“…..”
ทำไมถึงพูดกันสนิทขนาดนั้นกัน?
พี่มิ้นท์เอนตัวไปทางเก้าอี้พี่หมอก มองสิ่งที่พี่หมอกกำลังพิมพ์อยู่
ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงทนเห็นภาพนั้นต่อไม่ได้ ก้มลงสนใจศึกษาผักโขมแทนที่จะเงยหน้ามองไปทางอื่น
ไม่ไหวแหะท่าจะไม่ไหวจริงๆ
บางครั้งฝืนทำตัวเข้มแข็งเกินไป มันก็เท่านั้น ในเมื่อจริงๆก็รู้กันอยู่
ในใจผมมีคำตอบไว้แล้ว แค่ยังไม่อยากฟัง ยังไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น ละครก็มีออกบ่อย ไอ้อธิษฐานเอ้ย มันก็แค่…แค่คิดไปเอง
“ตี๋ ไม่ชอบก็ไม่ต้องกินก็ได้ เดี๋ยวค่อยออกไปกินข้างนอกก็ได้”
“ผมนึกว่าพี่จะเลี้ยงสปาเกตตี้ผมซักจานซะอีก”
“แพงกระเป๋าฉีกอย่างนี้จ่ายเองเถอะ”
ได้ยินเสียงเหมือนแก้วน้ำหกลงกับโต๊ะ น้ำผลไม้ปั่นที่พี่มิ้นท์เป็นคนสั่งให้หกเลอะมาทางผม เปรอะลงบนเสื้อสีขาวที่ใส่อยู่ คนปัดแก้วอย่างจงใจนั่น กำลังขมวดคิ้วมองมาทางผม ปัดแก้วเก่งชะมัด แทนที่จะหกไปทางพี่เชนที่นั่งตรงข้าม กลับหกมาทางผมที่นั่งเยื้องอยู่แทน
“ไม่ได้ตั้งใจ”
“…..”
“ตามมา เดี๋ยวพาไปซักออก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เลอะแค่นิดเดียว”
“….ลุก”
ทั้งโต๊ะมองพี่หมอกที่ยืนขึ้น ผมจึงต้องลุกตาม ก้มหน้าเดินตามฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้า เร็ว เมื่อก่อนก็เดินเร็วอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเดินเร็วมากขึ้นกว่าไปอีก
ประตูห้องน้ำถูกผลักเปิด ภัตตาคารนี้แต่เดิมก็เงียบเชียบ มีคนนั่งอยู่ไม่กี่โต๊ะ มาห้องน้ำยิ่งเงียบใหญ่ มีเสียงเพลงเบาๆกล่อม ก้องไปมาในห้องหินอ่อนที่พ่นแอร์ซะเย็น
“….ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องมีคนมาตามติดทุกที่เลยหรือไง?”
“พี่กำลังโมโห ผมพูดไป พี่จะฟังหรือเปล่า”
“กูไม่ได้โมโห…”
แต่เสียงพี่มันบอกชัดว่าโมโห
เพี้ยน เพี้ยนไปแล้วแน่ๆ เพราะผมนอนไม่พอแหง เลยอยากจะยิ้มออกไป
“ยิ้มทำไม”
“อยู่ดีๆผมก็อยากยิ้ม ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”
“…..”
“พี่หมอก…”
พี่หมอกพิงเข้ากับอ่างล้างมือ ไม่มีน้ำอยู่ที่ขอบอ่าง เหมือนไม่ได้ถูกใช้นาน ไม่ก็คงแม่บ้านชั้นโปร
“ตอนนี้ ผมจะพูดอย่างที่ผมอยากพูดได้หรือเปล่า”
เงียบไปพักใหญ่ พี่หมอกขมวดคิ้ว คลายออก แล้วก็ขมวดคิ้วใหม่
ไม่ได้ผอมลงอีกแล้ว คอตั้งตรงอยู่ตลอดเวลา แบกอะไรกันอยู่นะ? ไหล่ที่ดูหนักอึ้งนั้น ผมไม่รู้ เพราะพี่หมอกไม่บอกอะไร ผมจะไม่ถามอีก เพราะถึงเวลา ผมก็คงจะได้รู้เอง
เวลายังมีอีกเยอะ
เชื่อว่าแบบนั้น….“…พูดมา”
“อ…เอ่อ”
อะไรกัน ทั้งๆที่เคยคิดไว้แล้วว่าจะพูด ไหงเวลาจริง ลิ้นมันพันกันขนาดนี้ ไม่เห็นมีใครเคยบอก ว่าเวลาจะพูดอะไรบางอย่างออกไปตรงๆ มันเหมือนจะกระโดดข้ามหน้าผาอย่างไงอย่างงั้น
ผมอยากจะพูดออกไป อะไรจะเกิดตามมา ค่อยว่ากันอีกที
“ผ…ผม…”
หวา หวา
บ้าเอ้ย
หัวใจเต้นมั่วไปหมด รู้สึกหน้ามืด
พี่หมอกกอดอก ท่ายืนดูหยิ่งจนคิดว่าคนอื่นมองคงจะอยากเตะสักที แต่บรรยากาศกลับดูผ่อนคลายลง
“พี่หมอก ผม-“
“คุณอัษฏา?”
ประตูถูกเปิด พี่หมอกหันไปมอง ผมยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นอยู่ หันไปมองช้าๆ เลขาพี่หมอกอยู่ตรงนั้น
“อีกครึ่งชั่วโมง…”
“รู้แล้ว”
“….”
“ออกไปก่อน”
ได้ยินเสียงครับ พูดเบาๆ ประตูค่อยๆปิดกลับลงที่เดิม
“…พี่จะไปไหนหรอ?”
“ฮ่องกง”
“ห้ะ?”
“…ต้องไปแล้ว”
“ผมจะได้เจอพี่อีกหรือเปล่า?”
“อีกไม่นาน…”เสียงรองเท้าหนัง เหยียบลงพื้นหินอ่อน ได้ยินเสียงนี้ ก้องไปทั้งหู
ใกล้ ใกล้เข้ามา
รู้สึกถึงลมหายใจ ที่ใกล้ จนผมเผลอกลั้นลมหายใจไปไม่รู้ตัว
หลับตาลงช้าๆเหมือนสัญชาตญาณ
เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จนกระทั่งผมหรี่ตาขึ้นมอง
สายตาคู่นั้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
หลายอารมณ์ จนผมไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร คิดถึง ผมได้ยินคำนี้ในความเงียบนั่น อาจเพราะรู้สึกเหมือนกัน ถึงรู้ ไม่ได้ต่างกันเลย
…ไม่มีจูบ หรือคำบอกลา
มีแค่คำว่า
“แล้วกูจะกลับมา…”ประตูที่ถูกผลักออก ปิดลงช้าๆ เสียงรองเท้าดังไกลออกไป
ในแสงสีส้มนวลของไฟในห้องน้ำ กระจกสะท้อนเห็นหน้าผม เห็นแล้วอดคิดไม่ได้
เป็นไข้หรือเปล่านะ?.....
……………………………………
………………………….
[B.N.10 : complete]
[8.3.55]
ถึง ผู้อ่านที่รัก
เชิญ...

...คนแต่งได้ตามสบาย
ขอโทษษษษษษษษษษษษษษษษษ

หนีไปทำภารกิจหลายอย่าง สอบ รอผล สัมภาษณ์ จองหอ อ่านการ์ตูน(?) บลาๆๆ แต่หลังๆมันเริ่มกลายเป็นความขี้เกียจ ป๋มขอโต้ดดดดดดด จะไม่ทำอีกแล้วคร้าบบบบบบ

ต่อไป จะตั้งใจมารีบต่อ ไม่ปล่อยให้รอเกือบเดือนแบบนี้อีกแล้ว ตอนนี้คอมก็หายดี อิดออดนิดหน่อยแต่ยังคุยกันอยู่รู้เรื่อง สำนวนการเขียนหรืออะไรอาจะจยังแปลกๆ เพราะไม่ไ้ด้เขียนนิยายนานมากกกกกกกกกกกกก อาจจะเจอช่วงนี้ไปอีกสักพัก โปรดให้อภัยคนเขียนด้วย หลังจากนี้อาจจะต้องมีจัดคิว เรื่องไหนก่อนหลัง (555)
เจอกันวาระต่อไป เร็วๆนี้(มั้ง?)