B.N.11ชีวิตกลับมาราบเรียบ
พี่เชนขยันขายขนมจีบ พี่เอ๋ขยันส่งสายตาอาฆาต งานในงานนอก วุ่นวายเต็มไปหมด งานที่บริษัทก็ดี แต่คิดว่า อยากจะออกมาทำงานของตัวเองเสียมากกว่า
เกือบเดือน ที่ชีวิตหมุนไปวัฏจักร ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด
จนกระทั่ง…ถูกลักพาตัวไปในบ่ายวันเสาร์
บ่ายที่แสนร้อนระอุ จนแม้แต่เสื้อกล้ามก็ยังไม่อยากใส่ เสียงกริ่งก็ดังขึ้นอย่างไม่ได้คาดหมาย
มองไปรอบๆ สงสัยเฮียจะหลับอยู่ข้างบน ม๊ากับพี่ผ่องออกไปข้างนอก ไม่รู้ไปไหน เพราะตื่นมาก็ไม่เห็น ยันตัวขึ้นจากโซฟา รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องยากที่สุดในชีวิต เดินลากแตะออกไปหน้าบ้านทั้งๆอย่างนั้น
เงยหน้ามองก็เห็นสายตาตำหนิ
รีบจับขอบกางเกงที่ย้วยป่วยเกินแกงขึ้น ยิ้มแหยๆ แล้วรีบหันหลังกลับ แต่โดนเรียกรั้งไว้ “อย่าพึ่งไปสิ”
“แหะ แหะ สวัสดีครับ”
“อืม”
พี่มิ้นท์ ยืนอยู่ หลังรั้วเก่าๆขึ้นสนิม มีรถยุโรปจอดอยู่ มองไปก็เห็นคนขับรถอยู่ในนั้น
“มาทำอะไรหรอครับ? ขับรถหลงทางหรอ? เดี๋ยวผมบอกทางให้”
“เปล่า ไม่ใช่”
“แล้ว..เอ่อ”
ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรก่อน ต้องเชิญเข้ามาในบ้านหรือเปล่า เสริฟน้ำเปล่าต้องใส่น้ำแข็งด้วยไหม พอเห็นแล้วก็รู้สึกตาลาย เหมือนทำอะไรไม่ถูก
ใจเย็นๆสิวะ ไอ้ตี๋
ถ้าเขามาร้ายจริง ป่านนี้คงดับอนาถหน้าลานบ้านไปแล้ว แต่ที่เขายังยืนทำหน้ามุ่ยท่ามกลางอากาศร้อนของเมืองไทยอยู่แบบนี้ แสดงว่ามีเรื่องต้องคุยแหง
“จ..จะเข้ามาในบ้านก่อนไหม?”
“ไม่เป็นไร จะรออยู่ในรถ”
“งั้น ผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อก่อน?”
เธอพยักหน้า รีบสะบัดตัวหันกลับเข้าไปนั่งในรถที่คงจะเปิดแอร์จนเย็นช่ำ ผิดกับผมที่โกยตีนหมา เปิดตู้ตึงตังจนเฮียตื่น “ไรของมึงวะ ไอ้ตี๋”
“ศัตรูบุก”
“ศัตรู?”
“อยู่หน้าบ้านเนี่ย”
เฮียที่นอนหมกอยู่กับเตียงจนรากงอกค่อยๆชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมถอดเสื้อกล้าม เหวี่ยงลงพื้น ไอ้เฮียก็หันมาบ่นอีก รีบใส่เสื้อเชิ้ตลงไปลวกๆ กางเกงก็เหวี่ยงไปอีกทาง ไม่ต้องมาบ่นเลยเฮีย เหวี่ยงไปก็ทับกางเกงในใบ้หวยของเฮียเหมือนกัน
“ศัตรูบ้าอะไรวะ รถเนี่ยนะ? ดูหนังมากเกินไปแล้วมั้ง?”
“ตี๋หมายถึงคนที่อยู่ข้างในนั้นต่างหาก?”
“เออๆ…” ดูเหมือนจะหมดความสนใจ ทิ้งตัวลงนอน หันหลังให้ “จะกลับเองหรือให้ไปรับก็โทรบอกแล้วกัน”
“ไปแล้วนะเฮีย เก็บข้าวเย็นเผื่อให้ด้วย”
“จะโยนให้หมาข้างบ้านกินแล้ว”
“เฮ้ย!”
ปิดประตูปัง รีบวิ่งลงมาแทบไม่ทัน กล้องวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งๆที่เดินผ่านไปแล้ว แต่เดินกลับมาคว้าติดตัวไปด้วย
ทำไมกันนะ?
“อ่า ขอโทษครับ”
แอร์เย็นปะทะหน้า เผลอเคลิ้มอยากหลับอีกรอบ พอปิดประตู รถก็ออกตัว ไม่รู้จะขับไปที่ไหน
“นี่จะไปไหนหรอครับ?”
“…นั่นสินะ”
จะปรัญชากับผมหรอ? ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าผมไม่เข้าใจหรอกครับ
“ไปกินข้าวด้วยกันซักมื้อไหม?”
“ถ้าจะให้ผมเลี้ยง แนะนำร้านหน้าปากซอยครับ”
“ไม่เป็นไร”
ในมือถือแท็บเล็ทคุ้นตา เห็นอยู่เกือบทุกวันในโฆษณา ภาษาอังกฤษขึ้นเป็นแผง เหมือนจะเฝ้าดูอะไรบางอย่างอยู่ ผมเบี่ยงหน้ามองไปทางกระจก
เงาสะท้อนที่เห็น พี่มิ้นท์ไม่ได้เงยหน้ามามองผมเลยสักนิด
รถขับไปเรื่อยๆเหมือนมีการคุยเรื่องจุดหมายกันมาก่อนหน้านี้แล้ว
สุดท้าย ก็ไปจอดที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง อยากจะบอกว่า “ผมพึ่งกินมาม่าไปเมื่อกี้เอง” แต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่เดินตามหลังไป
สีหน้าเรียบนิ่งนั้นเงยหน้าขึ้นนิดหน่อย เป็นสัญลักษณ์ว่าห้ามพูดคุยอะไรทั้งสิ้น ก้มเป็นระยะ มองแท็บเล็ทบ้าง สลับกับบรรยากาศข้างนอกร้าน
แม้แต่รายการอาหาร ก็ถูกสั่งเตรียมไว้
เดินมาที่โต๊ะ อาหารก็มาเสริฟ พนักงานใส่ชุดกิโมโนหน้าไทยเดินไปมา ถูกสั่งไว้สองที่ อีกไม่นาน ก็คงจะเข้าประเด็น
“…..”
ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ไม่มีการพูดคุยอะไรบนโต๊ะอาหาร โชคดีที่เกิดมาเป็นชายไทยสุขภาพเยี่ยม การจะกินซูชิลงไปอีกจานสองจานเลยไม่ใช่ปัญหา
จนเหลือแต่จานที่ว่างเปล่า ก่อนหน้านี้ พอรู้สึกไม่มีอะไรทำ ก็จะยกแก้วชาขึ้นดื่ม แต่เพราะว่าเป็นระบบรีฟิว เลยเริ่มรู้สึกว่าท้องเต็มไปด้วยน้ำ
เห็นป้ายห้องน้ำอยู่ไกลๆ ไม่กล้าลุกขึ้น
เงยหน้าขึ้นมาจากแท็บเล็ทซักที…
แล้วก็เงยขึ้นมาจริงๆ แต่กลับกวักมือเรียกพนักงานที่ยืนอยู่แถวนั้นให้เดินมาหา ยื่นบัตรเครดิตให้ พนักงานหญิงคนนั้นเดินหายออกไป
“เอ่อ…”
“จริงสิ”
พูดแค่นั้น แล้วก็วางแท็บเล็ทลงกับโต๊ะ
หยิบกระเป๋าสะพายทรงสุดฮิตขึ้นมา รื้ออยู่ซักพัก ก็ดึงซองจดหมายฉบับหนึ่งจากกระเป๋า ยื่นให้ผม
“…อาทิตย์หน้า จะมีเปิดตัวแท็บเล็ทตัวใหม่ มาด้วยกันสิ”
“เอ๋ ผมหรอครับ?”
“คิดว่ามีคนอยากจะเห็นเธอที่งานนั้นนะ..”
ทำไมเหมือนเห็นสายตาคู่นั้น ยิ้มอยู่
ทั้งๆที่ทำหน้านิ่งเฉย แต่กลับรู้สึกว่ากำลังฉีกยิ้มกว้าง
คนที่อยากเจอ…ใครกันนะ…จะใช่คนเดียวกับที่ผมคิดหรือเปล่า?
เปิดซองจดหมายออก เป็นบัตรเชิญ
“…จะทำอะไรกันแน่ครับ?”
“ลองดูไปก่อนสิ”
“ถ้าผมไม่ไป…”
“นั่นก็สิทธิของเธอ ฉันก็ไม่ได้บังคับอยู่แล้ว”
กระดาษมัน ดีไซน์มาอย่างน่าดึงดูด มีข้อความไม่กี่ประโยคนั้น แต่ก็ทำให้คนได้รับรู้สึกว่าพลาดไม่ได้
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้น จะไปก็ได้นะ”
“อ่า ขอบคุณครับ”
“วางของไว้ก็ได้ จะเอาไปทำไมหมด”
มองกระเป๋า มองกล้อง ไม่น่ามีอะไร เลยรีบลุกเดินไปตามพนักงานที่นำทางให้ ห้องน้ำที่นี่ ทางลึกเลี้ยวไปเลี้ยวมา แถมยังอยู่นอกตึกอีก ถึงจะสร้างได้บรรยากาศ แต่สำหรับคนที่ตกอยู่สภาวะวิกฤต อาจจะคิดโทษบรรยากาศแบบนี้ก็ได้
เดินกลับมาที่โต๊ะ ก็ยังเห็นพี่มิ้นท์ยุ่งอยู่การดูอะไรบางอย่างในแท็บเล็ท
นั่งลง เธอกลับลุกขึ้น ผมเลยต้องลุกขึ้นตาม
รถมาจอดส่งที่สวนกลางเมือง บอก “กลับเองได้ใช่ไหม? เดี๋ยวต้องไปทำธุระที่อื่นต่อ”
“อ่อ ได้ครับ ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารวันนี้นะครับ”
“คิดดูดีๆแล้วกัน”
รถขับออกไป อากาศเริ่มเย็นขึ้น สวนดูร่มรื่น เห็นหลายๆคนยืนถ่ายรูปอยู่ อย่างที่คิดไว้เป๊ะ ว่าจะต้องได้ใช้กล้องแหง โทรหาเฮีย พอบอกว่าอยู่ที่ไหน ก็บ่นไม่หยุด “ไกลเป็นบ้า กลับเองแล้วกัน” ใครมันพูดวะเนี่ย ว่าจะมารับ “กลับถูกหรือเปล่า?”
“กลับถูกดิ เดี๋ยวตี๋แวะหาเพื่อนแป็ปนะ”
“อือ อย่ากลับดึกแล้วกัน”
ไอ้โจ๋ไม่อยู่บ้าน ก็เลยต้องแบกของกลับ ซื้อหมูปิ้งจะเอามาฝาก ก็เดินกินเองแทน
ยกไม้หมูปิ้งขึ้นมอง เคยมีคนบ่นว่าสกปรก ไม่ชอบกินของข้างทาง ไม่ถูกปาก แต่สุดท้ายก็ขอเบิ้ลแล้วเบิ้ลอีก จนกลายเป็นแบ่งกันครึ่งๆ
ตอนนี้กลับต้องมาเดินกินคนเดียว…
ไม่เป็นไร
สักวันนึง ถ้าได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกเมื่อไหร่ จะลงทุนสับหมูเสียบไม้เอง ไม่ต้องให้บ่นยืดยาวก่อนจะเข้าปากอีก
เอาเข้าปาก เคี้ยว รสชาติไม่เลว
อยากให้ได้กินด้วยกัน…แล้วก็อดคิดไม่ได้ ว่าถ้าบัตรเชิญนี้พี่หมอกฝากมา แต่ไม่ได้ไป จะทำหน้าแบบไหนกันนะ?
…………………………………..
………………………………
นี่ก็รอบสองแล้วที่มางานเปิดตัว แต่ก็ยังไม่รู้สึกชิน
อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะทำงานหนัก จนเกิดเรื่องอย่างคราวที่แล้วขึ้นอีกหรือเปล่า เพราะเป็นคนที่จะทำอะไรสักอย่างนึงแล้ว ต่อให้คนรอบข้างจะพูดยังไง ก็ไม่ฟัง เลยยากที่จะยั้งไว้ได้
“เฮีย..โอเคแล้วหรอ?”
“เอ้า ก็บอกเองว่าจะมา”
“…ไม่รู้ว่ะ ตี๋รู้สึกแปลกๆ”
“แปลกๆยังไง?”
คุยกันที่ลานจอดรถ ในรถกระบะคันเก่า
เฮียที่ยอมพักงานไว้ชั่วคราวเพื่อมาส่งทำหน้าไม่เข้าใจ ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่เข้าใจ เพราะแม้แต่ตัวเอง ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“ตี๋รู้สึกเหมือนทุกอย่างมันง่ายเกินไป”
“งั้นกลับบ้านไหม?”
“….เฮียไปด้วยหน่อยดิ”
“ไปแล้วทำอะไรได้ เฮียไม่มีบัตรเชิญซักหน่อย”
“เออว่ะ”
“ถ้ามี ก็จะไปเป็นเพื่อน อย่างน้อยก็คงจะมีสาวสวยๆ อาหารอร่อยๆอยู่หรอก มีอะไรก็โทรมาแล้วกัน เฮียอยู่แถวนี้รอรับกลับ”
พยักหน้า เฮียขยี้หัวจนผมที่เซ็ตไว้ยุ่งไปหมด หันไปชกกับพุงเฮียเบาๆ เดี๋ยวนี้เฮียผอม ไม่มีหมอนให้หนุนอีก หุ่นดีมีไปทำไมวะเฮีย ท้วมๆนี่แหละ สุดฮิต
แบกกระเป๋าสะพายข้างมาด้วย หยิบของบ้าๆบอๆมาเต็มไปหมด แม้แต่ขนมค้างปีก็ยังอยู่ในนั้น ประหม่า อาจเป็นเพราะคราวนี้ มาแค่ตัวคนเดียว ไม่มีพี่บอลพามาด้วยเหมือนครั้งก่อน
ดูเหมือนจะเป็นรอบสื่อ
เห็นแต่คนที่มีกล้องแบกอยู่บนบ่าเต็มไปหมด ยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ คู่กับคนที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่พิธีกร เดินแหวกเข้าไปคนเดียว บัตรเชิญถูกเก็บคืนไป ตรงดิ่งไปมุมอาหารเพื่อความสบายใจ
ค…คิดไปเองรึเปล่าหว่า?
รู้สึกว่า จะโดนมองตั้งแต่เข้ามาที่นี่แล้ว…
พอมองตอบกลับไป คนที่จ้องอยู่จะรีบก้มหน้าก้มตาหรือหันกลับไปคุยต่อทันที บางคนทำหน้าตกใจก่อน เลยเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาจริงๆ
มองนาฬิกา อีกห้านาที ก็เปิดงานแล้ว ทนอีกนิดหน่อย ไม่น่าจะมีอะไร…
ใครจะมาสนใจ ไม่ใช่คนดัง จะว่าหล่อก็อาจจะหล่อมาก แต่ก็ไม่ได้เตะตาคนขนาดนั้น
ไฟหรี่ลง เปิดตัวด้วย VTR ตามมาด้วยพรีเซนเตอร์คนใหม่ อาจเป็นนักร้องหรืออะไรสักอย่าง ตั้งแต่ทีวีชั้นล่างเสีย ก็ไม่ได้ดูทีวีอีก ต่อมาเป็นส่วนของพิธีกรที่ทำหน้าที่พรีเซนต์สินค้าตัวใหม่ ดึงดูดนักข่าวแย่งพื้นที่ที่ดีที่สุดหน้าเวทีกันจนวุ่นวาย
ไม่เห็นพี่หมอก
พยายามชะเง้อมอง แต่ก็ยังไม่เห็น
ยืนอยู่หลบมุม ถนัดอยู่แล้วเรื่องทำตัวกลมกลืน
บนเวที กำหนดการทั้งหมดจบลงแล้ว เปิดโอกาสให้สื่อได้ยิงคำถามกับพรีเซนเตอร์คนใหม่
มองเห็นพี่หมอกอยู่ในกลุ่มคนใส่สูท ที่น่าจะเป็นผู้บริหารเหมือนกัน เห็นพี่มิ้นท์อยู่ไม่ไกล กำลังพูดคุยกับชาวต่างชาติคนหนึ่งอยู่
พี่หมอกกวาดตาไปรอบๆ แต่ดูท่าจะไม่เห็นผม
ส่งข้อความหาเฮีย … เฮียตอบกลับว่าอยู่ไม่ไกล เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง เตรียมเดินออกจากที่แห่งนี้อย่างเงียบๆ
“…น้อง! เดี๋ยวก่อน!”
“ครับ?”
“พี่ขอสัมภาษณ์อะไรหน่อยได้ไหม?”
พี่ผู้หญิง เห็นป้ายสตาฟช่องข่าวอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ ข้างหลังเป็นผู้ชายตัวใหญ่ แบกกล้องไว้ที่ไหล่ เดินตรงดิ่งมาทางนี้
“น้อง..น้องใช่คนในภาพนี้หรือเปล่าคะ?”
มือถือนั่นเปิดรูปหนึ่งขึ้นมา
เป็นรูปคู่ที่ถูกถ่ายเก็บไว้ในกล้อง...ของผม
“ได้ภาพนี้มาจากไหนครับ?”
“มันว่อนอยู่ในอินเตอร์เน็ต วันนี้หลายๆคนก็มาเพราะว่าเรื่องนี้ น้องไม่รู้หรอคะ?”
“เอ่อ..ผม..ผมขอตัวก่อนนะครับ”
พอจะเดินหนี กลับเจออีกคู่มาดักข้างหน้า ยิ่งถูกปิดทางไว้เท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มเวลาให้คู่อื่นเดินเข้ารุมมากเท่านั้น แฟลชกล้องกระหน่ำอย่างไม่มีคำว่าเกรงใจ รู้สึกสงสารพวกดาราขึ้นมา แค่เจอกล้องที่อยู่ตรงหน้ากดชัตเตอร์ใส่แค่ครั้งเดียว ผ่านมาเกือบนาที ยังตาพร่าไม่หาย เดินไม่ถูกทาง
“น้อง-!”
“น้องคะ-!”
“น้องมีความสัมพันธ์แบบไหนกับคุณอัษฏาหรอคะ?!”
“ใช่ที่เคยเป็นข่าวสองสามปีที่แล้วหรือเปล่า?!”
รู้สึกเป็นยิ่งกว่าเซเลป วงที่แคบอยู่แล้วถูกเบียดเข้ามา กระเป๋าสะพายถูกหนีบติดอยู่กับคนพวกนั้น พยายามดึงแต่ก็ดึงไม่ออก เลนส์กล้องกระแทกหัว หงุดหงิดจนอยากจะโวยวายใส่ แต่คิดว่าเดินหนีออกไป น่าจะดีที่สุด
แต่ทางไหนคือทางออก
เหมือนปลาตัวเล็กๆในวงปิรันย่า คำถามตะโกนเข้าใส่หู ชัตเตอร์ทำร้ายสายตา โดนเบียด รู้สึกหายใจยากขึ้น
ยื่นมือออกไป พยายามจะแหวกทางออก
ไม่ได้ ไม่ไหว อะไรจะแรงเยอะขนาดนี้ พวกพี่แข็งแรงขนาดซูโม่ชิดซ้าย เปลี่ยนอาชีพเถอะครับ
ถูกดันไปมา จนคล้ายกับจะล้มลง
…บ้าเอ้ยข้อมือถูกคว้าไว้
เงยหน้าขึ้นมอง แต่เพราะเห็นแต่แขนที่ดึงไว้ เลยไม่รู้ว่าใคร
ได้ยินเสียงโวยวาย ดูเหมือนเจ้าของมือที่คว้าข้อแขนผมไว้กำลังพยายามดันคนออก เสียงฮือฮาดังขึ้น
ทางเปิดออก
แม้แต่แสงชัตเตอร์ยังหยุดลง
นักข่าวพวกนั้นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มรัวคำถามซ้ำอีกครั้ง
ตัวละครหลักครบ ฉากก็ถูกเปิดขึ้น วิ่งไปตามบทละครที่ถูกวางไว้ได้ยินเสียงตะโกนเรียกพนักงานของพี่แพนแทรกเข้ามา
ถูกกระตุกข้อมืออีกครั้งนึง ..แรงดึงทำให้ต้องวิ่งไปข้างหน้า
กระเป๋าที่ถูกหนีบไว้ แรงผ่อนลงในเวลาสั้นๆ กระตุกด้วยแรงเบาๆก็หลุดออกมา
มือที่จับอยู่ตรงข้อมือ บีบแน่นจนเจ็บขึ้นมาจังหวะหนึ่ง มองไม่เห็นหน้าพี่หมอก เห็นแต่แผ่นหลัง ที่รู้สึกเหมือนกว้างขึ้นตามภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ
วิ่ง
วิ่งหนีออกจากเรื่องยุ่งยาก
วิ่งหนีออกจากทุกอย่าง ที่กั้นเราไว้
ผมรู้สึกแบบนั้น
แต่ในใจลึกๆ รู้ว่าการวิ่งหนีแบบนี้ ไม่ได้ช่วยอะไร
กลับจะสร้างปัญหาให้ยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น…วิ่งออกไปด้วยกัน โดยที่ยังมีเสียงโวยวายตามมาจากข้างหลัง ถูกวิ่งตาม รู้สึกเหมือนเป็นในหนัง ที่พระเอกมีกองทัพลูกกระจ็อกวิ่งตามเป็นพรวน แต่ที่ไม่ขำ คงเป็นเพราะนี่ไม่ใช่หนัง
“พี่จะวิ่งทำไม!!”
“แล้วจะอยู่ทำไม!”
“แต่ถ้าวิ่ง…มันก็เท่ากับว่าเราหนี”
“…ตี๋ มันไม่ใช่การหนี”ถ้าพี่ยืนยันแบบนั้น….พูดคุยเหมือนตะโกน วิ่งออกมาตามทางเดิน ยังรู้สึกว่าถูกวิ่งตามไม่ห่าง เหมือนยิ่งวิ่ง ยิ่งถูกตาม โดนดักที่ทางแยก ถูกบีบให้วิ่งไปทางลานจอดรถ เสียงรองเท้าก้องทางเดินไปหมด คนที่เดินแกร่วตามล็อบบี้รีบหลบไปข้างๆ
“พี่หมอก! กุญแจรถ”
ไม่มีคำตอบ
กลัวว่าจะทิ้งกุญแจรถไว้กับคนอื่น
พยายามจะหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเฮีย แต่กลับทำหลุดมือ จะย้อนกลับไปเก็บคงไม่ได้ ถูกดึงไปข้างหน้าไม่หยุด ได้แต่มองมือถือเครื่องเก่าที่นอนอยู่ตรงพื้น ห่างออกไปเรื่อยๆ หายไปกับกลุ่มรองเท้า เสียดายของสุดๆ
หวังว่าจะได้เห็นเฮียที่ลานจอดรถ แต่ก็ไม่เห็น วิ่งผ่านอิแก่ประจำบ้านไป
เห…
วิ่งเลยลานจอดรถไป
“พี่?!”
“กุญแจรถอยู่กับแพน”
ตูว่าแล้ว!!
เสียงตะโกนเรียกยังตามหลังมา ถึงจะน้อยลง เห็นบางทีมถือโอกาสกระโดดขึ้นรถ วิ่งออกมาจนถึงหน้าโรงแรม แค่นี้ก็รู้สึกเหนื่อยสุดๆแล้ว รีบดึงพี่หมอกที่ได้แต่ยืนคิด กระโดดขึ้นรถเมล์คันที่กำลังชะลอความเร็วเพื่อรับผู้โดยสาร แทรกรวมไปกับคนที่แย่งกันขึ้นในเวลาเลิกงานแบบนี้
ไม่มีที่นั่ง
ยืนโหนไปมา เหงื่อออกท่วม วิ่งแค่นี้ แต่กลับเหนื่อย อายุไม่ใช่เรื่องตลกจริงๆ หยุดหายใจได้นิดหน่อยก็ต้องขยับตัวเรื่อยๆ คนขึ้นมาไม่หยุด จนตัวชิดกับคนข้างๆ
“พ..พี่…”
เค้าประธานถูกทำลาย กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนหนีงาน เห็นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“…ถูกไล่ออกแหง..ฮะฮะ…”
พี่หมอกเสยผมขึ้น เหงื่อไหลไปตามแนวแก้ม ใส่แขนยาวมา เลยยกแขนเสื้อขึ้นไปเช็ดให้
ผละออกไปช่วงหนึ่ง… แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม
จ้องมองกันเงียบๆ จมไปกับความคิดของตัวเอง โดยที่มีคนตรงหน้าเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจ
คนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง แต่คิดว่าชีวิตนี้คงจะได้เจอกันแค่ครั้งเดียว เลยไม่สนใจ
นั่งไปเรื่อยๆ ไม่รู้ปลายทางของรถเมล์นี้จะไปที่ไหน จากที่ยืนโหน จนคนค่อยๆน้อยลง ได้ที่นั่งหลังสุด พี่หมอกไม่เคยนั่งรถเมล์ เลยดูเก้ๆกังๆ เรื่องหงุดหงิด กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ไม่เคยเจอสภาพแบบนี้มาก่อน กระเป๋าเงินเปิดมาก็มีแต่แบงค์กับบัตร ชุดสูทราคาแพง เหมือนหลุดมาจากอีกโลก นั่งอยู่ข้างๆกับคุณป้าจ่ายตลาด เป็นภาพที่อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้
“…พี่รู้ไอ้เรื่องรูปนั่นหรือเปล่า”
“รู้กระทั่งฝีมือใคร”
“…..”
“…ร้ายเป็นบ้า…ยัยนั่น”
“พี่มิ้นต์?”
มีเพียงความเงียบ
นี่เป็นครั้งแรก ที่พี่หมอกวิ่งออกจากวงของปัญหา แทนที่จะหันหน้าเข้าชน
เพราะผม…หรือเปล่านะ?
อาจจะเป็นตอนที่ลุกไปเข้าห้องน้ำ จะเอา SD card ถ่ายข้อมูลลงแท็บเล็ต คงไม่ใช่เรื่องยาก
เหลือบมองหน้าคนข้างกาย
ใบหน้าเคร่งขรึมที่คิดว่าจะได้เห็น…แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ยิ้มปากพี่หมอกยกขึ้น ไม่ใช่การยิ้มแบบค่อนแคะที่ชอบทำ
แต่เป็นรอยยิ้ม ยิ้มที่เหมือนจะพอใจกับเรื่องบางอย่าง…………………………….
…………………..
[B.N.12 : complete]
[15.3.55]
อืม จะพูดไงดีแหะ...
เนื่องจากภาค B.N. เป็นภาคผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้น ถ้ามีเรื่องเเบบผู้ใหญ่เข้ามาปน หวังว่าคงจะไม่ขิดขวงทะลวงใจกันนะััคับ

ที่ภาค Coin เขียนอารมณ์นักศึกษาไม่เต็มที่ เพราะยังไม่เคยเป็นนั่นเอง (กำลังจะเป็น..ซูน)
อ่อ อีกเรื่อง
นิสัยของตัวละครเรื่องนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ดังนั้น อาจจะมีนิสัยปะแหล่มๆมาให้เห็น ว้าก จะสื่ออะไรฟร่ะ? เอาเป็นว่า รออ่านแล้วกัน หวังว่าผู้อ่านจะเข้าใจ (คนอ่านคิดในใจ ไรของเอ็งฟร่ะ)