แดดเลียปลายเท้าจนร้อน หดขาหนี หมุนตัว ก็รู้สึกเหมือนปวดไปทั้งตัว
เตียงไม้นี่ถ้าไม่ชิน ก็ปวดหลังเป็นบ้า
ลุกขึ้นช้าๆ บิดตัวซ้ายขวาได้ยินเสียงกร็อบแกร็บดังมาจากกระดูก ใช้เท้าเขี่ยเสื้อขึ้นมาใส่ ถึงลมจะเย็น แต่พอนอนเบียดๆกันสองคน ก็ร้อนเสียจนทนไม่ไหว
เมื่อคืนหลังจากอาบน้ำแปรงฟันเสร็จ ต่างคนก็ต่างหลับเป็นตาย พึ่งมารู้สึกตัวอีกทีก็เช้า เหมือนเดินทางข้ามเวลามา
ลงไปชั้นล่าง นาฬิกาที่แถมมาจากน้ำอัดลมบอกเวลาหกโมงกว่า เห็นอาม่ากำลังหุงข้าว ทำอาหาร ดูกระฉับกระเฉง บางจังหวะเดินโยกเยกบ้าง แต่ก็เดินคล่องแข็งแรง
ผมเข้าไปช่วยทำงานในครัว อย่างเก่งก็หั่นผัก ล้างผัก ล้างจาน เป็นสุดยอดพ่อครัวก็เฉพาะเมนูมาม่า ไข่เจียว นอกเหนือจากนั้นได้แค่ให้กำลังใจ
ข้าวเช้าเป็นข้าวต้มกับผัดผักบุ้ง
รสชาติคล้ายๆกับของม๊าจนแปลกใจ
เกือบครึ่งจานเลยหมดไปกับพี่หมอก ที่ติดใจฝีมือม๊าเป็นพิเศษ
…………………………………
………………………..
พี่หมอกอาบน้ำ
เหมือนสาวๆแถวนี้จะเห็นพี่หมอกเมื่อเช้า ตอนนี้เลยตามเข้ามาอาบน้ำกันเป็นแถว โทษทีเถอะน้อง เขาอาบแยกหญิงชายครับ
“คนเยอะเลยเนอะ”
อาม่ายิ้มๆ ยื่นมือออกไปรับแบงค์ยี่สิบ แล้วหยิบเหรียญทอนให้ไป อีกมือโบกพัด พัดลมอยู่ห่างไม่ไกล แต่พอเริ่มสาย อากาศก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ
แดดแรงจนมองออกไปก็ต้องหรี่ตา
หลายๆครั้ง พอได้ยินเสียงแตร แกก็จะเอนตัวบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนัก มองออกไปด้านนอก
“..ม่าครับ”
หันกลับมามอง
“อาม่าไม่เหงาหรอ อยู่คนเดียว”
ส่ายหัว ชี้ปลายพัดไปที่รูปบนหิ้ง
รูปอากง ยิ้มอยู่ในนั้น ในตำแหน่งที่รอยยิ้มส่งมาให้คนนั่งทางนี้อย่างน่าประหลาด
…………………………
………………………………..
“พี่ ไปขี่จักรยานกัน ผมเห็นเขาให้เช่าอยู่”
“ร้อน”
“มันก็ร้อนทั้งวัน ไปเถอะ”
“ไม่”
“ไปเหอะน่า เดี๋ยวหาซื้อหมวกแถวนี้ก็ได้”
“….”
“กู…”
“ห้ะ?”
ไม่ได้พูดอะไรออกมา หรือจะหูแว่ว?
ดึงคนที่ทำหน้าบึ้งไปร้านจักรยานใกล้ๆ เช่าคนละคัน “จะลองขี่ก่อนไหม? จะลองขี่ก็ไปด้านนั้นนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ขับเป็นแล้ว พี่หมอกขี่จักรยานเป็นป่ะ?”
“…เป็น”
ขึ้นนั่งบนจักรยาน ไม่ได้ปั่นมาสักพัก แต่ก็ยังปั่นคล่องอยู่ ขี่หมุนไปรอบๆ
“ขึ้นจักรยานดิพี่”
ทำไมหน้าบึ้งกว่าเมื่อกี้อีก
พี่หมอกเริ่มปั่น แต่เหมือนจะคุมแฮนด์ไม่อยู่ รถส่ายไปมา ก่อนจะต้องเอาขายันกับพื้น ไม่ให้จักรยานล้ม
“ไม่ชอบขี่จักรยาน”
“ฮ…ฮ..ฮ่าๆๆๆ นี่ นี่มันไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ ฮ..ฮ่าๆๆๆ”
หน้าบึ้งจนยิ่งทำให้ขำหนักเข้าไปอีก
“..ป ฮ่าๆๆๆ เปล่า ขำคนข้างหลังพี่คนนู้น ดูดิ พี่คนนู้นหัวเราะไม่หยุดเลย”
แม้แต่คนให้เช่ายังหัวเราะไม่หยุด อีกคนเอามือถือขึ้นมาถ่ายคลิป ดูเหมือนจะเป็นคนที่เมื่อกี้ขอถ่ายรูปแล้วโดนปฏิเสธอย่างหยาบคาย
ลองขับใหม่ ตัวรถก็ยังส่ายยิ่งกว่างูเลื้อย เครียดจนรู้สึกจะเห็นจุดเดือดเริ่มปะทุ
“เฮ้ยพี่ นี่ขับจักรยาน อย่าเครียดเหมือนขับฟอร์มูล่าวันดิ สบายๆ”
“คันนี้ห่วย”
“ไม่ได้ห่วย แลกคันกันเลยอ่ะ”
พอลุก เดินมาคันที่พี่หมอกนั่งอยู่ ดันให้หลบไปแล้วขึ้นขี่แทน เริ่มปั่น รถหนักกว่าปกติ หันไปมองก็เห็นนั่งอยู่เบาะหลัง ทำหน้าตาไม่รู้เรื่องนิ่งๆอยู่
“เฮ้ยพี่ไปขับเองดิ ผมหนัก”
ทำเป็นไม่ได้ยินอีก
“เฮ้ยพี่”
“สอนกูขับสิ”
“พี่ก็ไปอีกคันดิ”
“ไม่ จะเอาคันนี้”
แถมยังเอามือจับแฮนด์ทั้งสองข้าง “ล็อกผมไว้ในนี้ซะแล้ว”
สนใจคนอื่นให้น้อยลง เพื่อมีความสุขกับตัวเองให้มากขึ้น
แน่นอนว่าเราทำแบบนั้นไม่ได้ไปตลอดเวลา แต่ถ้าสักครั้ง ในที่ๆไม่มีใครรู้จักก็อยากจะทำ
“
หนีไปไหนไม่ได้แล้วนะ…”
“ไม่หนีหรอก….” ยิ้มให้จนเห็นพี่หมอกยิ้ม ใกล้จนคิดว่าคนอื่นคงไม่มีทางได้เห็นรอยยิ้มนี้ “แต่ไอ้เรื่องปั่นจักรยาน ลงไปปั่นเองเหอะพี่ หนัก”
รอยยิ้มนั้นหายวับไปไหนพริบตา
……………………………….
………………………
แวะซื้อของกลับไปฝากอาม่า แล้วนั่งรถต่อไปในตัวเมือง
การเดินทางต่างจังหวัดค่อนข้างลำบากถ้าไม่ได้เอารถมาเอง บางครั้งก็ต้องเดิน เรียกมอไซค์บ้าง แต่ฝันเถอะครับ ว่ามากับคุณอัษฏาแล้วจะได้นั่งมอเตอร์ไซค์ พี่แกยอมเดินดีกว่านั่งพาหนะสองล้อเสียอีก
“ปวดขา”
“ไม่ค่อยออกกำลังกาย”
“พี่หนักต่างหาก นั่งเกาะเป็นปลิง ปั่นตั้งเกือบสองชั่วโมง”
“….”
“ผมล้อเล่นน่า”
แต่เรื่องปวดขาน่ะจริงๆ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างที่ว่าน่ะถูกทุกอย่าง
เดินเข้าไปในถนนที่คนเริ่มเยอะขึ้น ร้านอาหารที่ขายทุกอย่างเหมือนกันตั้งเรียงเป็นแถบ ผัดกระทะ ปิ้งหมูสเต๊ะกันให้สะใจ ส่วนควันก็ลอยออกมารมนักท่องเที่ยวที่เดินกันอยู่ตามทาง
“กินร้านไหน?”
“ร้านไหนก็ผัดไทย”
เดินเข้าร้านที่ใกล้ที่สุด สั่งแบบสิ้นคิดไปสองจาน
พอมาส่ง ก็เริ่มกิน ผมพึ่งสังเกตว่าเอาจริงๆแล้ว พี่หมอกดูจะกินง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ พอลองถามดู ก็บอกว่า
“ที่นั่น ไม่ใช่ว่าจะเลือกกินอะไรก็ บางที พายุหิมะเป็นอาทิตย์ ออกไปไหนไม่ได้ มีอะไรก็ต้องกิน”
ถึงจะลดลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้หายไปซะทีเดียว
เบิ้ลคนละสอง จนอิ่ม นั่งดูดน้ำปั่นที่พี่หมอกไม่ชอบกิน มองถนนรอบๆ เก้าอี้ตรงข้ามมีคนมานั่ง ร้านไม่ได้ใหญ่มากถึงขั้นจะให้ลูกค้านั่งแยกโต๊ะกันได้ทั้งหมด
“ยกขามา”
“ห๊ะ?”
ไม่รอพูดรอบสอง ดึงขาผมขึ้นไปไว้บนหน้าตัก เผลอดึงหนี หัวเข่าก็ชนโต๊ะจนจานผัดไทยกระดอนขึ้นหน่อย ผู้หญิงวัยคุณป้าสองคนตรงข้ามมองด้วยสายตาตำหนิ “ขอโทษครับ”
“พี่จะทำอะไร”
แล้วก็บีบมือเข้ากับขาผม แรงเสียจนร้อง “โอ้ย” พี่หมอกรีบปล่อยมือ เงยหน้าขึ้นมามอง “แรงไป?”
“น่องแตกคามือ ไม่ต้องก็ได้ ผมล้อเล่น”
“มึงเดินไม่เต็มเท้า…”
สังเกตขนาดนั้นเชียว?
ลองใหม่อีกครั้ง แต่เบาขึ้น
เสียงเคาะกระทะจากแม่ครัวดังลั่น เห็นว่ามองมาทางนี้ แล้วมองสลับไปที่ลูกค้าคนอื่นที่รออยู่
รู้น่าว่าร้านคุณแคบ รู้น่าว่าที่ไม่พอ
…แต่พวกผมขอเวลาสักแป็ปนึงดูดน้ำปั่น มองหน้าคนที่เห็นขาชาวบ้านเป็นงานสำคัญ จริงจังกับทุกเรื่องเกินไปหรือเปล่า จนบางครั้ง ก็รู้สึกว่าผ่อนคลายกับตัวเองน้อยเกินไป
“ไง”
“ก็ดี…”
“….”
“สบายมากเลยครับ สุดยอดหมอนวดเลยครับ”
“หมายความว่าไง”
เอ้า ก็นึกว่าอยากได้คำชม ไหงถึงขมวดคิ้วลงไปอีกแล้ว
รองเท้าถูกถอดออก เท้าสองข้างอยู่บนหน้าตัก ต้องเอนตัวมาข้างหน้าหน่อย เพื่อไม่ให้หงายหลังลงไป คนมองเยอะ แต่จะทำเป็นว่าไม่อาย คนที่ตั้งใจนวดอยู่ตรงหน้าจะได้ไม่เขินไปด้วย ไม่สิ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยสนใจชาวบ้านอยู่แล้วนี่นา
“ไปเดินเล่นกัน ผมหายเมื่อยไปเยอะเลย ขอบคุณนะพี่”
“เออ”
ขายเสื้อผ้าหน้าตาแปลกๆ ของฝากประหลาดๆ มีเสื้อที่สกรีนเป็นรูปบิกินี่ เห็นคนหยิบจับหลายคนแต่ไม่มีใครกล้าซื้อ ถึงจะซื้อไปฝากก็ไม่รู้จะเอาไปฝากใคร นึกภาพพี่ผ่องใส่ชุดนื้ทำงานบ้าน ก็อดสงสารสายตาม๊าไม่ได้
“พี่ ร้อนทำไมไม่ซื้อเสื้อกล้ามใส่”
“ตัวไหน”
“อย่างพี่ต้องตัวมวยไทย เหมาะ หน้าตาแบบ หาเรื่องเดี๋ยวเจอก้านคอ ฮ่าๆๆ”
“อยากลอง?”
“ไม่ครับ”
แล้วก็ซื้อตัวนั้นจริงๆ
จ่ายเงิน ถอดเสื้อยืดที่ยืมมาออก ไฟจากร้านส่องลงบนหลังที่พอชื้นเหงื่อแล้วก็สะท้อนแสงออกเป็นประกาย พอๆกับสายตาสาวๆที่เดินผ่านไปมา ก่อนจะใส่เสื้อกล้ามตัวนั้นไปแทน
เผลอยกมือขึ้น อยากถ่ายรูป อยากถ่ายมุมมองแปลกๆของพี่หมอกที่ไม่ค่อยมีใครเห็นนัก นานๆทีจะทำตัวติดดินขนาดนี้ บางทีที่อเมริกาก็อาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
“สาวๆมองน้ำลายหกแล้ว”
“เช็ดปากหน่อย”
จู่ๆก็ปาดมุมปากผม เลยทำท่ายกมือทำท่าเช็ดอีกข้าง “ไหลเป็นน้ำตกเลย”
“เป็นไง สบายตัวกว่าไหม?”
“งั้นๆ”
แต่อารมณ์ดีขึ้นเห็นๆ
เขียนโปสการ์ดใบหนึ่งส่งกลับบ้าน อีกใบ พี่หมอกให้เขียนอะไรก็ได้ลงไป แต่ที่อยู่ขอกรอกเอง ไม่รู้ว่าส่งไปไหน เพราะหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ไปเสียก่อน
นั่งรถกลับริมหาดก่อนที่รถจะหมด
เดินเอื่อยๆไปตามหาด มาทะเลทั้งๆที่แต่กลับยังไม่ได้ลงไปเล่นทะเล เล็งๆไว้ตั้งแต่เช้า แต่แดดก็ร้อนเกินกว่าจะกล้ากระโจนลงน้ำ เล่นตอนกลางคืนก็อันตราย เลยไว้ดูจังหวะพรุ่งนี้ใหม่
หิ้วรองเท้าไว้ในมือ เดินแตะเท้าไปตามทรายที่ยิ่งขุดลึกจะยิ่งเย็น
พี่หมอกเห็นเปลที่ผูกไว้ เป็นคนที่ไม่สนใจธรรมชาติอยู่เท่าไหร่ เลยไปนอนอยู่ที่ตรงนั้น ส่วนผมเห็นปูลมกำลังวิ่งสนุก อดไม่ได้ที่จะเข้าไปแจม
ลมแรงจนผมตั้งเป็นแถบ เสื้อพริ้วๆจนคิดว่าถ้าใส่เสื้อยาวๆจะมาเต๊ะท่าแปลกๆริมทะเล
ยกมือขึ้น กล้องอากาศมองไม่เห็นกำลังเก็บภาพที่ตามอง กล้องดีแค่ไหน ก็ไม่สวยเท่าตามาเห็นเอง อยากจะสร้างอะไรสักอย่างที่สามารถเก็บความรู้สึก ณ ตอนนี้ได้ แต่คงเป็นแค่จินตนาการแปลกๆ
วิ่งกลับไปหาคนที่หลับตาเหมือนนอนอยู่ แต่พอได้ยินเสียงลุยทรายเข้ามาใกล้ก็คิ้วกระตุก
“พี่ เหยิบหน่อย นอนด้วย”
“ระวังคว่ำ”
“งั้นนอนตรงกลางก็ได้”
นั่งลงระหว่างขา เอนตัวทับเต็มๆ ตีเท้าเข้ากับเท้าพี่หมอก
อุ่นรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นผ่านหลัง
ตึก ตึก ตึก เร็วขึ้นหรือเปล่า? อาจจะเป็นของผมเองก็ได้ ที่เต้นเร็วขึ้น
“หนัก”
“หนักขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกหรอ?”
“ดีแล้ว”
ถูกลูบไปตามแขน ก่อนจะกำรอบข้อมือ เหมือนจะวัดว่าอ้วนขึ้นจริงหรือเปล่า
“ลมเย็นเนอะ”
แอบสงสัยว่าเปลรับน้ำหนักได้มากขนาดไหน พวกผมนอนสองคนแบบนี้จะขาดไหม ไม่อยากลองล่ะครับ ที่แน่ๆ
คนที่ใกล้ที่สุด อยู่ห่างออกไปจนเป็นจุดดำ อาจมีพวกข้างหลังอีก แต่ผมไม่ได้มีตาหลังซักหน่อย เลยไม่ได้สนใจ
“สามปีที่ผ่านมาเป็นไง?”
นอนฟังเสียงหัวใจ รอคำตอบไปพลางๆ
“เป็นสามปีที่อยากให้ผ่านไปเร็วๆ”
“…อย่างงั้นหรอกหรอ?”
“นึกว่าเป็นแบบไหน”
“ผมอยากให้พี่มีความสุข สนุกกับหลายอย่างใหม่ๆ”
“แล้วของมึง”
“เหมือนได้เจออะไรแปลกๆเยอะ ชีวิตในรั้วมหาลัย กับชีวิตทำงาน ผมรู้สึกว่าบางทีมันก็เหมือนกัน บางทีก็ต่างกันจนแยกไม่ออก”
“….”
เงียบเหมือนรอให้พูดต่อ
“งานยังเยอะเหมือนเดิม เจอเสียงบ่นเหมือนเดิม แต่ผมว่าสังคมมันเปลี่ยนไป มันไม่ค่อยสนุกเหมือนก่อน มีคนทำเรื่องไม่ดีกับเรา ไม่รู้ดิ ผมว่าสังคมมันไม่เหมือนเดิม”
“มันเรียกว่าผู้ใหญ่”
“ผมต้องเป็นแบบนั้นด้วยหรอ?”
“บางที”
พลิกตัว อยากนอนคว่ำ แต่กลับทำให้เปลโยก ถูกรั้งเอวไว้แน่น แต่พอยิ่งขยับ เปลยิ่งไกว สุดท้ายเปลก็หมุนพวกเราลงมาที่ทราย ยังดีที่เป็นทรายนุ่มๆ ไม่งั้นก็คงเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่อยู่ในตัวเมือง
นอนแผ่หลากับทรายอยู่ซักพัก เซลล์สมองสลายตัวไปอีกล้านกว่าเซลล์ จะดันตัวขึ้น แต่ก็ไม่ทัน
เร็วไม่ทันพี่หมอก
ริมฝีปากที่กดลงเข้าหากัน เหมือนกับแม่เหล็กขั้วเหนือขั้วใต้
ได้ยินเสียงชื้นแฉะ เหมือนคนกระหายน้ำ ยิ่งดื่มเท่าไหร่ ยิ่งอยากได้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
มือข้างหนึ่งลูบที่หัวผม แล้วเลื่อนลงมาประครองแก้ม พยายามลืมตาขึ้น แต่กลับหมดแรงต้านทาน
“กูทดสอบตัวเองว่าไม่แตะต้องมึงได้นานขนาดไหน…”
“แล้ว…คำตอบล่ะ? หนึ่งวัน? อือ….หรือนานกว่านั้น”
พูดคุย แต่ก็ยังไม่ผละออกจากกัน
เหมือนจะกลืนกินคำพูดพวกนั้นไปด้วย
“…หึ” ตาวิบวับ แม้จะมีแสงแค่จากดาวดวงเล็กๆนั่น ไฟข้างทางตรงนี้เสีย จึงมืดสนิท
“แค่นี้กูก็จะบ้าแล้ว…ตี๋”…………………………………….
……………………………..
[B.N.13 : complete]
[31.3.55]

หลบตรีนประชาชน