B.N.14เดินมาถึงบ้านหลังนี้ได้ยังไงนะ?
ในความรู้สึกที่เหมือนรู้สึกตัวเพียงครึ่ง พยายามจะนึกให้ออก
คงต้องเริ่มจากวิ่งข้ามถนนมา
ถนนที่ไม่มีรถสักคัน แต่กลับสับเท้าเร็วจนคล้ายกับวิ่ง สลับกันไป คล้ายมีเวลาจำกัด
ไฟชั้นสองปิดลงไปแล้ว ประตูเหล็กข้างล่าง ถูกไขด้วยกุญแจที่อยู่กับผม
เหมือนคนเมาที่ไขกุญแจบ้านตัวเองไม่ได้ ทำกุญแจหล่น เก็บขึ้นมา ก็ยังทำหล่นอีก
“อ๊ะ”
เหมือนเสียบกุญแจเข้าไปยังไม่ดีนัก ประตูก็ถูกกระชากให้เลื่อนออก
ชั้นล่างมีแสงสลัว เหมือนเปิดไว้ รอพวกผม
“ด..เดี๋ยว ปิดประตูก่อน”
ถูกดันเข้าไป พี่หมอกหันหลังให้ประตูแต่ก็ดึงประตูให้เลื่อนมาจนปิดสนิทได้
เดินไม่ถูก
ไม่ชินทางด้วยหนึ่ง และที่ไม่ได้ถูกสัมผัสแบบนี้มานาน ก็อาจจะเป็นอีกปัญหา
พอถูกลูบเข้าไปใต้เสื้อ จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ยกมือปิดปากไว้แทบไม่ทัน
พี่หมอกยิ้ม เลื่อนมือขึ้นไปอีก คราวนี้ถึงกับดิ้น แต่แขนอีกข้างที่ยังล็อคตัวไว้อยู่ ทำให้ไปไหนไม่ได้
เอวชนกับบางอย่าง หันไปมอง โต๊ะที่มีไว้วางของลูกค้าเวลาเข้ามาอาบน้ำ
ตอนนี้จึงเป็นโต๊ะว่าง เป็นโต๊ะไม้ยาว เด็กห้าหกขวบอาจนอนได้สบายๆ
“พ..พี่?”
“อะไร?”
“นี่มันโต๊ะ?”
“ดูก็รู้”
ยังไม่ทันได้พูดต่อ ก็ถูกปิดปากไว้ด้วยริมฝีปากที่ล่วงล้ำเข้ามา
บางทีก็เป็นกดจูบเบาๆ บางทีก็ทำท่าเหมือนจะขย้ำผมลงไปทั้งตัว
หลังรู้สึกถึงความเย็นของโต๊ะ
ถูกลูบหัวเบาๆ ถ้าผมมีหาง คงกระดิกไม่หยุด พอถูกลูบแก้ม ก็เผลอเอียงหัวเข้าหา
“ชอบให้ลูบแก้มหรอ?”
“หือ?ผมหรอ?”
“เอียงคอเข้าหาแบบนี้ตลอด”
เพราะเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ใช่แค่พี่หมอก ต่อให้เป็นม๊าหรือเฮีย ก็จะทำแบบนี้ตอบ
งับริมฝีปากผมเบาๆ
ถูกหอมแก้ม
ยื่นแขนออกไปดึงพี่หมอกมากอดไว้ ซุกหน้าเข้ากับไหล่ ไม่อยากให้เห็นหน้า
เขินกว่าจูบกันเสียอีก
เพราะดูไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องอ่อนโยนอะไรแบบนี้ได้ ไม่ว่าจะเจอกี่ครั้ง ก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้เสียที
ถูกหอมตรงกระหม่อม รู้สึกเหมือนโดนไล่จูบไปทั่ว ตรงไหนอยู่ใกล้ ก็จะกดริมฝีปากลงตรงนั้น
“…พี่อ่อนโยนขึ้นเยอะเลย”
“หรอ?”
“พี่ไม่สังเกตเลยหรอ?”
“ไม่ เพราะปกติไม่เป็นแบบนี้”
นี่คงเรียกว่าเคสผิดปกติ
คนที่ทำหน้าเหมือนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรด้วย กำลังจ้องมองมา ถึงไม่ใช่คนแสดงออกอะไรมากนัก ปากก็หนักไม่ค่อยยอมพูด แต่พอคิดอะไร ก็จะแสดงความรู้สึกนั้นออกผ่านทางสายตาชัดเจน
“ตี๋”
“หือ?”
เอาแต่จ้อง เสียจนรู้สึกอยากจะโปร่งแสงเสียเดี๋ยวนั้น
“….แค่อยากเรียก”
เผยอปากขึ้นหน่อย ดูเหมือนจะเข้าใจว่านั่นเป็นคำขอ
จูบที่เท่าไหร่ก็รู้สึกไม่พอ
ต้องจูบเท่าไหร่กันถึงจะชดเชยสิ่งที่ขาดไปสามปีได้ ต้องจูบเท่าไหร่ ถึงจะลบล้างความรู้สึกเจ็บที่ยังอยู่ตรงนี้ได้
แผลนั้นยังอยู่
เราทั้งคู่รู้ ว่าไม่มีทางลบหาย คำโกหก น้ำตา หลายๆเรื่องนั้น ไม่มีวันลบหายไปได้
เพราะเราไม่ได้ต้องการที่จะลืม
ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องน่าจดจำเสมอไป บางครั้ง สิ่งที่น่าจดจำที่สุด กลับเป็นเรื่องที่เราลืมมันไปแล้ว แต่ความทรงจำแย่ๆเหล่านี้ บางครั้ง พยายามลืมแค่ไหนกลับยิ่งฝังลึกลงไป
ในเมื่อลืมไม่ได้ ทำไมไม่เก็บมันไว้เป็นบทเรียน
บทเรียนที่สอนให้เราซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง แบบนั้น มันมีประโยชน์กว่าการลืม ที่ทำให้ยิ่งเจ็บมากกว่า
“พี่หมอก”
“อะไร?”
“แค่อยากเรียกด้วย ฮะฮ่า”
พอหัวเราะก็ถูกงับที่คอ รู้สึกถึงฟันที่กดลงมาบนผิวหนัง ตรงนั้นเป็นเส้นเลือดใหญ่ กลั้นหายใจจนกระทั่งไล่เลียต่ำลงมา รู้สึกเปียกที่ต้นคอ แล้วก็เปลี่ยนเป็นเม้มเบาๆ
เสียงซิปดังขึ้น
สายตานั่นไม่เคยละออกจากผม ไม่สนใจแม้แต่ซิปที่ตัวเองกำลังรูดลงซักนิด กางเกงของผมถูกดึงออกช้าๆ
“เฮ้ยพี่ เดี๋ยว”
“อะไรอีก?”
“…..”
“พูดมา”
ทำท่าเหมือนจะกระชากลงถ้าไม่รีบพูด
“คือ…อึ๊ก!”
พี่หมอกขมวดคิ้ว พร้อมๆกับที่ผมทำ
“อะไร?”
“ผม…อึ๊ก!”
พยายามจะพูด แต่ก็มีเสียงสะอึกคั่นจังหวะไม่หยุด สะอึกจนไอ ได้ยินแต่เสียง “อึ๊ก!” ดังในหูก้องไปหมด
พี่หมอกค่อยๆคลายหัวคิ้วออก
“ผม-อึ๊ก!-“
“จะพูดอะไร?”
“ผมจะบอกว่า-อึ๊ก!”
พี่หมอกหัวเราะออกมาเบาๆ ก้มหน้าจนผมไม่เห็นว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เห็นแค่ไหล่สองข้างที่สั่น เหมือนจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
เงยหน้าขึ้นมา รอยยิ้มก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ถูกดึงตัวให้ลุกขึ้น เดินไปหยิบน้ำเปล่าจากตู้เย็นให้ แกะกินทั้งขวด พี่หมอกนั่งลงข้างๆ
“แม่กูเคยบอก ถ้าสะอึกทำให้ตกใจแล้วจะหาย”
“อึ๊ก!”
ผมหันไปมอง ไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน
“….มิ้นท์เป็นคู่หมั้นกู”
บรรยากาศเงียบลงทันที ไม่สิ จากที่เงียบอยู่แล้ว ก็ยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่
“ร้องไห้แทน?”
แก้มเปียก ภาพตรงหน้าไม่ชัด รู้ว่าน้ำตาไหล ก็ตอนที่พี่หมอกพูดขึ้นมา
รู้สึกเหมือนเป็นคนอ่อนแอ ได้ยินแค่นั้นก็น้ำตาเอ่อขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งๆที่ปกติไม่ใช่แบบนี้แท้ๆ
พี่หมอกดึงขวดน้ำที่ผมกำอยู่ออก
รวบตัวผมเข้าไปกอดช้าๆ
กอดแน่น จนได้ยินเสียงหัวใจ กลิ่นพี่หมอกอยู่รอบๆไปหมด จนรู้สึกเหมือนทั้งโลกมีแค่นี้
ที่ๆจะอยู่ได้ คงมีแต่
ที่นี้เท่านั้น
“..ตี๋..ไอ้ตี๋”
เสียงพี่หมอกต่ำ ไม่ว่าจะพูดตอนไหน ก็จะใช้เสียงโทนต่ำๆแบบนี้ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต่างออกไปจากเวลาพูดปกติ เมื่อกระซิบแบบนี้
บอกไม่ได้ว่าคืออะไร
แต่ฟังแล้ว ก็รู้สึกเหมือนถูกปลอบ ถูกกล่อมเหมือนตอนเด็กๆเวลาตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย
อยากจะผลักออก แต่มือกลับยิ่งโอบแผ่นหลังนั้นไว้
“…ตี๋ กูล้อเล่น”
“เรื่องนี้..ฮึก…พี่ล้อเล่นได้หรอ?”
“มึงสะอึก”
“ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย..ฮึก.. ทำไมต้องล้อเล่นแบบนี้ด้วย”
“….”
ถึงยังไงก็ยังเป็นคนที่พูดคำว่าขอโทษไม่เป็น
“มิ้นท์เป็นลูกพี่ลูกน้องกู ลูกป้ากู”
ได้ยิน แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนน้ำตายังไหลออกมาไม่หยุด
เคยคิด ว่าสักวันหนึ่ง ถ้าเกิดต้องแยกกันไปจริงๆ แบบที่หวนกลับมาแบบนี้ไม่ได้
ผมจะมีชีวิตอยู่แบบไหนกัน?
รัก ไม่เคยพรากชีวิตไปจากใคร มีแต่คนรักไม่เป็นเท่านั้น ที่จะต้องตายเพราะมัน
ผมคงไม่ตาย ถ้าไม่มีพี่หมอกอยู่ข้างๆ แต่ชีวิตแบบนั้น มันจะต่างกันยังไง?
ชีวิตที่ไม่มีเป้าหมายของการรอคอย ผมจะอยู่ในสภาพแบบนั้นได้ยังไง?
กำเสื้อที่จับอยู่ไว้แน่น
“..กลัว”
“กลัวอะไร?”
พูดไม่ออก
เงียบไปพักใหญ่
ได้ยินเสียงหายใจ เสียงหัวใจ เสียงความคิดดังในความเงียบนั้น
พอละออกมา มือยังจับเสื้ออยู่ พี่หมอกยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เลอะอยู่บนแก้มให้ พูดขึ้นมาดื้อๆว่า
“หายสะอึกแล้ว”
“….”
อยากต่อยหน้าคนขึ้นมากะทันหัน
“สักวันพี่จะเจอเตะก้านคอแบบในเสื้อนี้”
“หึ”
ยกยิ้มมุมปาก
“คงมีคนอยากทำเป็นร้อย แต่ไม่ได้ทำ”
ดึงทิชชู่แถวนั้นส่งให้ ผมรับไว้ สั่งน้ำมูกแรงจนเจ็บหู แล้วก็โยนทิ้งลงถังขยะที่อยู่ข้างๆ
“ขี้กลัวกว่าเดิมนะ”
“ถ้าผมบอกอาทิตย์หน้าผมแต่งงาน พี่จะทำไงล่ะ?”
อยากจะให้รู้สึกทุกข์ร้อนบ้าง แต่กลับตอบหน้าตายว่า “ถล่มงานแต่ง” เลยต้องขอยอมแพ้
ต่อไปไม่นานก็คงจะถึงวัยที่เพื่อนๆทยอยแต่งงานกัน
อย่างตอนนี้ เฮียก็โดนป้าๆถามกันประจำ ว่ามีแฟนหรือยัง จะมีหลานให้อุ้มเมื่อไหร่ โชคดีมีพี่ชาย เป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจหลัก เฮียก็ตอบกลับแค่ว่ายังยุ่งอยู่กับงาน ไม่มีเวลาหาแฟน
“ไม่มีทางหรอกตี๋ ที่กูจะยอมให้มึงหนีไปแต่งงานแบบนั้น”
“….”
“เจ้าสาวมึงจะไม่มีวันมีความสุข เพราะมึงจะรักเขาไม่ได้”
“…..”
“
ชีวิตมึง ไม่มีกูไม่ได้หรอก”
เหมือนพูดกับตัวเอง
พูดเบา แต่เพราะความเงียบ จึงได้ยินชัด
ความมั่นใจ ที่ยังเห็นความไม่หนักแน่นในสายตา
จูบช้าๆ แทนคำขอโทษที่ไม่เคยพูดออกมา
ผมหลับตาลง
รู้สึกถึงความนุ่มของเส้นผมที่ลูบอยู่ ผมด้านหลังที่ถูกตัดสั้น ดูเหมาะกับภาพลักษณ์
สามปี
จากนักเรียนมหาลัย สู่ผู้ใหญ่ ที่ต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น บทบาทชีวิตที่เปลี่ยนจนเหมือนพลิกด้านเหรียญ
ไม่ใช่เวลานั้น แต่ก็ไม่ได้สั้นจนถึงขั้นมองไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
เรายังคงนั่งอยู่ตรงนี้
ตรงที่ยังได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัว แยกจังหวะไม่ออกว่าเป็นของใคร
“คิดอะไรอยู่?”
“…คิดเรื่องของพี่”
“เรื่องไหน?”
“อยากรู้ทุกอย่างเลยหรอ?”
“ทั้งหมด”
“งี้คงต้องเล่าทั้งคืน”
“ขอแบบสรุป”
คนที่แทบจะอดใจรอไม่ไหว ดึงเสื้อกล้ามออกจากตัว โยนทิ้งเหมือนเป็นขยะราคาถูกๆ
“ก็ยังยาวอยู่ดี”
ขมวดคิ้วช่างใจ
ผมยิ้มรอ
ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆที่ทำให้ผมอยากหัวเราะออกมา
ตามมาด้วยคำที่เหมือนกระซิบแก้เก้อ
“
กูไม่อยากรู้แล้ว….”
…………………………….
…………………….
เช้ามืด
ที่ต้องเรียกแบบนี้ เพราะยังมืดอยู่จริงๆ ท้องฟ้ายังเป็นสีน้ำเงินเข้ม คล้ายกับตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นเวลาเย็น
ยืนชูแขนสองข้างรับลม มองดูซ้ายขวาแล้วไม่เห็นใคร เลยตะโกนเสียงดัง “ยะฮู้!!” ได้ยินเสียงดังกร็อบดังมาจากหลังตัวเอง ได้แต่งอตัวลงกับพื้นทราย
พี่หมอกยังหลับสนิท ไม่เห็นทีท่าว่าจะตื่นเร็วๆนี้
ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปตามหาด ทรายเปียกติดเท้า เลยเดินลึกลงไปหน่อย น้ำยังสูง คลื่นมา น้ำก็สูงถึงตาตุ่ม
ปลายท้องฟ้าเริ่มสว่าง นั่งลงกับทราย ยื่นเท้าออกไปให้โดนน้ำ อยากให้ม๊ากับเฮียมาด้วย อากาศแบบนี้ คงจะทำให้พอเหม็นเบื่อมลพิษเมืองกรุงได้บ้าง
เห็นสีส้มที่ปลายสุด อีกไม่นานก็คงจะได้เห็นไข่แดงต้มดวงโต
กดนิ้วลงแรงหน่อย ทรายก็เป็นรูปมือ
มองดูอีกรอบ ยังไม่มีใคร
กดนิ้วเขียนลงไป
ตี๋ลายมือโย้เย้เหมือนเด็กหัดเขียน พอน้ำพัดขึ้นมา ก็กลบตัวหนังสือที่เขียนไว้ เขียนชื่อตัวเองลงไปใหม่ ลายมือสวยกว่าเดิม ตัวบรรจงเต็มบรรทัด ในที่ที่น้ำตามมาไม่ถึง
หาดยังมีแต่ตัวผม แอบเขียนลงไปอีกชื่อ
หมอกเขียนไว้ที่ข้างๆชื่อผม ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนข้างกันนะ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นซักหน่อย แต่แค่คิดว่าอยากจะเขียนชื่อนั้นขึ้นมา แล้วมืออยู่ข้างๆชื่อที่เขียนไว้ก่อนก็เท่านั้น หาดทรายมันกว้าง จะคลานไปเขียนตรงนั้นก็ได้ แต่แหม มันก็มีขี้เกียจกันบ้าง
“…ตี๋หมอก?”
“เฮ้ย!”
ใช้มือกวาดปื้ดเดียวเกลี้ยง แต่ก็ยังทิ้งรอยไว้เป็นขีดยึกยือ พี่หมอกยืนค้ำหัวอยู่ข้างหลัง ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็เห็นอยู่ว่าตากำลังยิ้ม
“แฟชั่นเด็กประถม”
“เปล่าซักหน่อย”
“ลบทำไม?”
อ้าปากจะเถียงกลับ แต่จะเถียงอะไร? เลยได้แต่พะงาบๆ
“นั่นเรียกว่าลายมือ?”
“ก็เขียนบนทราย”
“เถียงไม่หยุด”
“แค่พูดความจริง”
“ข้อเสียเยอะ”
“ผมขอโทษคร้าบ”
“…ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
นั่งลงข้างๆ ไม่คิดว่าพี่หมอกจะนั่งกับทราย ถ้าไม่ได้ล้มแบบเมื่อคืน คิดว่าทั้งชาติก้นพี่หมอกก็คงไม่เคยสัมผัสกับเม็ดทรายแท้ๆ
ยกมือขึ้นเสยผม ในความที่ดูเป็นผู้ใหญ่ ก็เห็นความเท่ในรูปแบบของวัยรุ่นที่ยังเหลืออยู่ ดูโตขึ้นเยอะ เสน่ห์คนละแบบกับตอนเรียนมหาลัย
ไข่ต้มลอยขึ้นฟ้า กระทบลงบนผิว ถึงจะไม่อยากพูดแบบนี้ แต่ก็รู้สึกเหมือนกำลังนั่งในมิวสิควิดีโอเพลงรักสักเพลง แต่อาจจะเป็นเพลงร็อคในแบบของพี่หมอก มองไปข้างหลัง อาจเห็นคนทาตาสีดำ กำลังสยายผมเหวี่ยงไปมาก็ได้ เลยไม่กล้าหันไปมอง
“ข้อเสียเยอะแบบนี้….แล้วเสียใจไหมที่เป็นผม?”
หลุดปากถามไป
พี่หมอกไม่ได้หันมามอง มองไปที่ทะเล คลื่นซัดเข้ามา เหมือนพยายามจะมาให้ถึงปลายเท้า ไม่ถึง ดูเหมือนพี่หมอกจะต้องการแบบนั้น
“ถ้าไม่เป็นมึง..
อาจเสียใจมากกว่านี้”
ตรงไปตรงมากับความรู้สึกมากขึ้น…
ผมรู้สึกได้จากคำพูดหลายๆคำของพี่หมอก
เล่นเอาบางครั้ง รู้สึกเหมือนตามคำพูดเหล่านั้นไม่ทัน โดนเล่นงานเสียจนได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ
บีบที่ของผมให้แคบเข้ามาเรื่อยๆ
“ห…หูย ผมขนลุกเลยอ่ะ ดูดิ …. เอ้า? นั่งกับผมก่อนดิ พี่จะไปไหนอ่ะ?”
พี่หมอก
คนที่ลุกหนีไป แต่พอตะโกนเรียก กลับชะลอฝีเท้า ทำเป็นเหมือนไม่สนใจ
รีบวิ่งตามให้ทัน มุดหัวเข้าไปที่ใต้แขนนั่น พี่หมอกก็โอบคอเดินสบายๆ ชอบเอนหัวพิงไหล่แบบนี้ ไม่ได้ว่าอะไรด้วย
“พี่ ผมก็อยากพูดคำเท่ๆบ้างเหมือนกัน”
หันมามอง อยู่ใกล้ขนาดนี้แล้ว แต่ก็รู้สึกว่ายังต้องเงยหน้ามองอยู่ดี
“
ผมก็คงเสียใจเหมือนกัน ถ้าไม่เป็นพี่”แล้วก็ต้องขำกับใบหน้าที่ไม่รู้จะทำหน้ายิ้มหรือทำหน้าเรียบเฉยต่อไปดี
……………………………………………..
…………………………………….
หยุดแวะกินข้าวเช้าที่ร้านอาหารตามสั่งแถวหาด
กว่าจะเดินกลับ แดดก็ส่องลงมาจนร้อน เสื้อตราห่านคู่สู้เหงื่อไม่ไหว แนบไปกับหลังพี่หมอก ดึงเสื้อที่ชุ่มนั่นสะบัดเล่น ได้ยินเสียงแฉะไปตลอดทาง
รู้งี้น่าจะเช่าจักรยานมาซักคัน คิดแล้วก็ขำ คนอย่างพี่หมอกก็มีอีกหลายมุมที่ไม่เคยเห็น แล้วก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนั้นอยู่เยอะไปหมด รู้สึกเหมือนเป็นหน้าหนังสือที่ไม่รู้ว่าหน้าต่อไปจะมีอะไร ทำให้เปิดอ่านได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ…
แต่การเดินขากลับที่กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกลายเป็นเงียบกว่าปกติ พี่หมอกเอามือล้วงกระเป๋า ไม่พูดอะไร
หน้าบ้านหลังนั้น มีรถบีเอ็มคุ้นตาจอดอยู่ ข้างรถ พี่แพนยืนอยู่ตรงนั้น กำลังกดหน้าจอมือถือไม่หยุด สักพัก ก็เงยหน้าขึ้นมา
“คุณอัษฎา…”
“ช้า”
“ขอโทษครับ” คำขอโทษที่เหมือนกัดฟันพูด พี่แพนขอบตาดำปี๋ มองมาทางผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก “ผมรีบที่สุดแล้ว”
“ตี๋ กลับไปกับรถคันนี้”
“อ้าว แล้วพี่อ่ะ?”
“เดี๋ยวจะมีอีกคันมารับ”
“…”
“ไปสิ”
ไม่ยอมมองหน้า พูดแค่นั้น แล้วรับเสื้อสูทที่พี่แพนยื่นมาให้ ใส่ทับเสื้อที่เปียกจนชุ่ม อาม่าเดินออกมา ได้แต่ตอบว่า “เดี๋ยวพวกผมจะกลับกันแล้ว ขอโทษนะครับที่มารบกวน” แกส่ายหัวยิ้มๆ ตบบ่าผมสองสามทีแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“..ผมไม่อยากเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น”
“ไม่จำเป็นต้องรู้”
“แต่-”
“เข้าไปซะ แพน เตรียมออกรถ”
“ไปเถอะครับ”
พี่แพนขมวดคิ้ว ดูเหนื่อยและอยากพัก
ผมไม่ได้เดินไปทางประตูรถ
“
ผมจะไปกับพี่”
“….”
“ไม่ว่าจะไปไหน ผมก็อยากไปด้วย”
“…..”
“เอาไงครับ?”
พี่แพนเร่ง งานที่นี้คงไม่ใช่งานสุดท้ายก่อนวันหยุดยาว
ยังไม่มีคำตอบ รถคันหนึ่งที่เหมือนจะขับผ่านไปอย่างหลายๆคันก่อน กลับชะลอลง แล้วจอดต่อท้ายบีเอ็มคันที่พี่แพนขบมา
คนที่ผม หรือแม้กระทั่งพี่หมอกไม่คุ้นหน้าก้าวลงมาจากรถ “คุณอัษฎาครับ ผม-”
“รู้แล้ว”
เหมือนพูดดักไว้ คนขับรถหยุดเท้าอยู่แค่นั้น ไม่ได้เดินก้าวเข้ามาอีก
“ถึงไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นที่ไหน ก็ยังจะไปด้วยกันอย่างงั้นน่ะหรอ?”
“อืม”
“….”
“ที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญว่าไปกับใครต่างหาก”
เห็นรอยยิ้ม ที่คนอื่นบอกว่ายากที่จะเห็น ยิ้มมุมปากนิดๆที่ทำจนเป็นเอกลักษณ์
ผมเห็นมันบ่อย แต่มันไม่ใช่เรื่องปกติ ยังเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่ามันพิเศษอยู่เสมอ
และเป็นรอยยิ้ม ที่ผมไม่อยากให้หายไปจากหน้าพี่หมอก
ประตูรถเปิดออก ก่อนจะถูกปิดในเวลาต่อมา
รถเคลื่อนออกไป โดยที่เราไม่รู้เส้นทาง มองย้อนกลับไปเห็นแต่พี่แพนที่ปิดประตูรถแรงเสียจนเด็กแถวนั้นร้องไห้ เป็นภาพที่ไกลออกไปเรื่อยๆจนสุดท้ายเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ
ในรถที่กลิ่นไม่คุ้นเคย
ปลายนิ้วที่ชนกัน กระตุ้นให้สองมือกระชับเข้าหา
จะไม่ปล่อยมือนี้อีก…ผมบอกตัวเองว่าอย่างนั้น
………………………………………….
……………………………….
…………………………
[B.N.14 : complete]
[6.4.55]
เป็นตอนที่เขียนแล้ว ทำแบบนี้ไปตลอด--->
ว้าก ทำไมหัวกระป๋มมันไม่แล่นเลยฟร่ะ เเล่นสิโว้ย เอาแบบปรื้ดๆสิโว้ย

ตอนหน้า ป๋มจะทำให้ดีกว่านี้คับ
