แถม...เนื่องใน…เอ่อ เรียกว่า เขียนตามเพื่อนแล้วกัน
เกรียน 9095 Pictures Present : Beauty&the Beast ฉบับ เงินน่ะ..มีไหมวะ?!
เขียนและกำกับบทโดย : cn9095
ไม่ใกล้ไม่ไกลกับสิ่งที่เรียกว่าความเจริญ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในเชิงเขาตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องความสงบเสียจนชีวิตเรียบเฉย ผู้คนทักทายกันด้วยเสียงเพลงเป็นบางครั้ง แม้แต่ฝูงนกยังช่วยสอดประสานเสียงเพลงเหล่านั้นให้ไพเราะจับใจ
ช่างเป็นเสียงที่น่ารำคาญ
ลูกชายเจ้าของร้านขายหนังสือ เป็นเพียงผู้เดียวที่คิดเช่นนั้น ทุกๆเช้า เขาต้องตื่นนอนเพราะเสียงร้องเพลงนั่น ไม่มีอะไรจะทำกันหรือไง หรือไม่ ถ้าอยากร้องเพลงนัก ป่าหลังหมู่บ้านก็มีที่ตั้งกว้าง ทำไมไม่รู้จักหาที่แสดงออกเสียงห่วยๆนั้นอย่างเป็นระบบ
ทั้งหมดนั่น คือข้อความในใจของเขา ที่เขาไม่ได้พูดออกมา
ปากของเขาปิดสนิทเสียจนเด็กๆในหมู่บ้านพนันกันว่า ถ้าหากใครทำให้เขาเปิดปากพูดออกมาได้แล้วล่ะก็ จะได้รับเงินพนันก้อนโต และยังมีอีกหลายๆเรื่อง แต่ทว่าเรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้จำเป็นต้องนิทานเรื่องนี้ จึงถูกตัดออกอย่างน่าเสียดาย
สิ่งที่เขามีดี คือความหล่อเหลา และความฉลาดเฉลียวที่หาตัวจับยาก ที่พูดว่าหาตัวจับยากนั่น คงเป็นเพราะเขามักจะอยู่ไม่เป็นที่ มีบ้านไว้เป็นที่ซุกหัวนอน และเวลาที่เหลือ จะหมดไปกับการเดินทางสำรวจป่า
ป่าขนาดใหญ่ ที่มองจากชั้นสองของบ้านแล้ว มันจะทอดยาวไปจนถึงสุดขอบฟ้า
วัยเด็ก เขาอ่านหนังสือเกือบทุกเล่มที่มีอยู่ในร้าน ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้ที่แสวงหาความรู้ และอยากจะเขียนหนังสือเล่าเรื่องราวที่เขาได้พบ เขาเชื่อว่า การที่เขาออกเดินทางนี้ จะสามารถเติมเต็มหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าอยู่ได้
แต่ทว่าในป่าก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจนอกไปจากการล่าสัตว์ ต้นไม้นานาพันธุ์ที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามอง
เขาต้องการอะไรที่มันพิเศษ ลึกลับและน่าค้นหามากกว่านั้น
ในที่สุด…สิ่งที่เขารอ ก็มาถึง
มันคือข่าวลือเรื่องปราสาทลึกลับกลางป่า ชายขี้เมาประจำร้านเหล้าพูดด้วยท่าทีโอ้อวด เขาประกาศก้องว่าสัตว์ประหลาดร้ายใช้ที่แห่งนั้นเป็นรังซ่อนตัวอยู่ และจะเป็นอันตรายสำหรับเด็กๆในหมู่บ้าน ถ้าไม่กำจัดสิ่งมีชีวิตที่ผิดเพี้ยนแบบนั้นออกไป
เป็นแค่ข่าวลือหรือเรื่องเล่าขนหัวลุกสำหรับเด็กๆในตอนแรก แต่หลังจากนั้น ข่าวลือก็ลุกลามยิ่งกว่าไฟ นายพรานป่าเล่าด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา ว่าเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากในปราสาทนั่น
ชายหนุ่มเคยเดินทางไปจนถึงหน้าปราสาท จำเป็นที่จะต้องข้ามแม่น้ำไป แต่เขาในตอนนั้น ไม่มีความสนใจใดๆในสิ่งก่อสร้างเก่าๆนั่น
เขาจึงกลับไปอีกครั้ง
พร้อมกับกริชเล็กๆ ที่มีไว้เพื่อปกป้องตัวเอง
เดินทางเข้าไปในป่า ใช้เวลาเกือบทั้งวันกว่าจะถึงตัวปราสาท แสงอาทิตย์เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นสีส้ม อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ
เขาไม่สนใจ
อันที่จริงนั่นน่าจะเป็นข้อดี เพราะมันทำให้เขาปราศจากซึ่งความกลัวใดๆ
ประตูไม้สูงสองเท่าของความสูงเขาถูกล็อกไว้ มันหนักและหนาเกินกว่าจะกระแทกตัวเข้าไป เขาจึงใช้หินที่อยู่ใกล้ๆนั่น ทุบเข้ากับหน้าต่างหรูๆแทน
เสียง”เพล้ง”ดังขึ้น ไม่มีเสียงใดๆตามมา
ชายหนุ่มไม่ได้มีความพยายามมากพอที่จะสอดมือไปในช่องแคบๆจากรอยแตกเพื่อเอื้อมไปเปิดหน้าต่างออก เขาเลือกที่จะทุบหน้าต่างเกือบทั้งบานเพื่อความสะดวกสบาย เศษกระจกร่วงเต็มพื้นที่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าขาดการดูแล ตามมุมห้อง ใยแมงมุมกินพื้นที่เสียเกือบหมด เครื่องเรือนฝุ่นเกาะ ไม่มีรอยเท้าบนพื้นมานานแล้ว
เดินผ่านห้องที่ดูคล้ายห้องนั่งเล่นไป เคยเข้าใจว่าเป็นแค่ปราสาทเก่าๆที่ถูกสร้างทิ้งไว้นานแล้ว แต่เครื่องเรือนบางอย่าง ถึงแม้สภาพจะทรุดโทรมแต่เป็นของใช้ที่เกิดในยุคนี้ เขาเดินผ่านมันไป
เป้าหมายคือสิ่งที่สั่นประสาทคนในหมู่บ้านอยู่
เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ จุดศูนย์รวมของตัวปราสาทชั้นหนึ่ง ประตูไม้อยู่ด้านหลัง โคมไฟห้อยระย้าอยู่เหนือศีรษะของเขา บันไดโอ่อ่าเกินความจำเป็น อยู่ที่เบื้องหน้า
เขาเดินขึ้นชั้นบนอย่างไม่ลังเล ทุกก้าวย่างที่เหยียบลงไป ฝุ่นจะลอยตัวขึ้นเหนือพื้นผิวน้อยๆ
ฟุ่บชายหนุ่มหันหลังกลับไปมอง
ไม่มีอะไรอยู่ที่บันไดนั่น
ขาเดินก้าวข้ามขั้นสุดท้ายออกมา ยืนอยู่นิ่งๆ รอให้ศัตรูเป็นฝ่ายออกมา
ดึงกริชออกจากกระเป๋าหลัง
ฟุ่บ ฟุ่บคราวนี้ไม่ใช่เสียง เห็นเงาตะคุ่มๆหายเข้าไปในห้องหนึ่ง รีบเดินตามไปทันที
เป็นห้องนอนที่สะอาดต่างจากชั้นล่าง เตียงหลังใหญ่ ผ้าม่านถูกแง้มออกเพียงเล็กน้อย จนในห้อง แทบจะมืดสนิท
สิ่งแรกที่เขาทำคือการเปิดผ้าม่านออก
สังเกตเห็นตู้ที่อยู่มุมห้อง ประตูแง้มออกมาอย่างน่าสงสัย
ก้าวเข้าไปช้าๆ กริชยื่นไปข้างหน้า นำทางไป
มือหนึ่งจับเข้ากับกรอบประตู ค่อยๆดึงออก
สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตากลมๆที่มองมา
กระพริบปริบๆสองสามที….
“เหวอออออ!!!!!”
แน่นอน ว่าไม่ใช่เสียงของลูกชายร้านขายหนังสือแน่นอน
………………………………..
…………………………..
“อย่าทำผมเลย ผมกลัวแล้ว ว้าก เฮีย เฮียช่วยด้วย”
“จะไปไหน”
“ม๊าคร้าบ ม๊าอยู่ไหน มีคนบุก คน! คนเชียวนะ!”
เสียงร้องดังจนเจ็บหู พลิกตัวเด็กหนุ่มที่พยายามวิ่งลอดช่องแคบๆระหว่างตัวเขากับตู้เสื้อผ้าลงกับพื้น ร้องโวยวายไม่พอ ยังตวัดมือไปมาในอากาศ ฟาดเข้ากับหัวไหล่เขาในบางที
“หยุด หยุดสิ ก็บอกให้หยุดไง!!”
สาบานได้ ว่านี่คือต้นเสียงที่ทำให้ชาวบ้านกลัว
นี่มัน…
อะไรกันเนี่ย
แค่เจอตะคอกใส่แบบนี้ก็ตัวสั่นง่กๆ ตอนนี้ยกมือปิดปากไว้เพราะถูกตะคอกให้เงียบ สิ่งเดียวที่ทำให้รู้ว่าต่างจากคนทั่วไป คงเป็นหาง ที่ตอนนี้งอขดอยู่ข้างใต้สะโพก
“นี่แกเป็นตัวอะไร”
“อ๋มอูดไอ้แอ้วอ่อ”
ดึงมือออกจากปาก เห็นเขี้ยวเล็กๆในนั้น
“ตอบมาสิ”
“ผม…อือ จะเรียกว่ายังไงดีน้า”
“ใช่อสูรหรือเปล่า”
“เออ นั่นแหละ! อสูรนั่นแหละ”
ไม่เห็นความน่ากลัวในนั้นเลยสักนิด
ที่ชาวบ้านกลัว คิดไปเองทั้งนั้น บ้างก็บอกสูงหกฟุต หนักสองตันครึ่ง เขี้ยวแหลมยาวเท่าดาบ ขนฟู หางใช้รัดคนจนกระดูกหักได้
ไหนล่ะ? ความน่ากลัวนั่น
“มีแค่หาง…กับเขี้ยว แค่นี้?”
“อ…อือ ถึงผมจะมีแค่นี้ แต่เฮียน่ะ แปลงร่างเป็นอสูรได้ทั้งตัวเลยนะ”
“แล้วทำไมแกได้แค่นี้”
“ก็ คำสาปมันไม่สมบูรณ์น่ะสิ”
“….”
“พวกผมไม่ได้เป็นอสูรมาตั้งแต่แรกซักหน่อย แต่เพราะว่าโดนคำสาป แต่ตอนที่เขาโดนสาปกัน ผมดันอยู่ข้างบนนี่นอนอยู่น่ะสิ คำสาปเลยมาไม่ถึง บ้าจริงๆ!”
“…แล้วเสียงที่ชาวบ้านได้ยินกัน”
“เอ๋?เสียง? อ่อ ดึกๆผมชอบร้องเพลงน่ะ”
เสียงร้องน่ากลัวถึงขั้นชาวบ้านกลัวกันหัวหด
บางทีอาจจะไร้พรสวรรค์ด้านการร้องเพลงพอๆกับคนในหมู่บ้าน
ความตื่นเต้นทั้งหมด หายไปในพริบตา
“กลับล่ะ”
“อ้าว เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนน่ะ”
“ไม่มีอะไรในน่าสนใจ”
“อะไรกัน!หาว่าผมไม่น่าสนใจอย่างนั้นน่ะหรอ? ผมมีหางเชียวนะ คุณมีหรือเปล่า หางน่ะ”
“…จะมีไปทำไม”
“ก็…ก็…มันกระดิกได้นะ!”
แล้วก็กระดิกหางโชว์
“…..”
“มัน..มันใช้ปัดกวาดได้ด้วย แต่ผมไม่ทำหรอก เดี๋ยวขนเลอะ”
ความน่าสนใจติดลบ
เดินออกจากห้องไปสู่บันไดโดยไร้ความลังเล กลับเป็นเจ้าอสูรน้อยเสียอีกที่วิ่งตามมา
“เฮ้!เดี๋ยว!คุณจะไปไหนน่ะ”
“บอกแล้วไง..ว่าจะกลับ”
“….จะกลับแล้วหรอ?”
“…..”
“จะไปกันอีกแล้ว สุดท้าย ก็ไม่เห็นมีใครจะกลับมาสักคน”
หางงอลงอีกครั้ง ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังกระดิกจนน่ารำคาญ
“อยู่ที่นี้มาจะร้อยปีแล้ว ไม่เห็นมีใครจะมาเลย อยู่ตัวคนเดียว มันน่าเบื่อจะแย่แล้ว”
“ก็ออกไปข้างนอก”
“ไม่ได้หรอก ถ้าเฮียกับม๊ากลับมาแล้วไม่เจอใคร จะทำยังไง”
“….หรอ”
ชายหนุ่มเดินต่อ ไม่สนใจอสูรตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“เดี๋ยวสิ….”
เสียงนั้นเบาลงเรื่อยๆ
“อย่าพึ่งไปนะ..อย่าพึ่งสิ อยู่เป็นเพื่อนกันหน่อย อย่างน้อย แค่คุยก็ได้ คุยกันหน่อยสิ”
“ไม่ รำคาญ”
“ผ…ผมชื่อตี๋นะ แล้วคุณล่ะ เฮ้ เดินช้าๆหน่อยสิ”
“…..”
“ผม…ผมไม่ให้คุณออกหรอก”
กระโดดมาขวางหน้าประตู เชิดหน้าขึ้น
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมอง “หูโผล่น่ะ”
“ห้ะ?”
พอยกมือขึ้นจับเหนือหัว ก็ถูกผลักออกจากทาง ประตูถูกเปิดออก
“เฮ้ อย่าไปนะ”
เสียงที่เบาจนเหมือนครางหงิงๆในคอ
เขาไม่แม้แต่จะสนใจ
เดินเหยียบผ่านกองใบไม้ไป จนกระทั่งลับตา
…………………………………………….
……………………………..
“ไม่เห็นจะมีหูเลย”
เสียงบ่นเบาๆ
นอนแทะแอปเปิ้ลเล่นอยู่บนเตียง
“เฮ้ คุณตู้ กินรึเปล่า ผมเก็บแอปเปิ้ลมาเพียบ เพื่อคุณด้วยนะ”
“……”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เอาไปสิ”
โยนแอปเปิ้ลใส่ตู้ กระแทกไม้เสียงดังสั้นๆ อสูรใช้เสียงนั้นแทนคำว่าขอบคุณ “ไม่เป็นไร คุณเป็นเพื่อนผมนิ” แอปเปิ้ลกลิ้งอยู่บนพื้น ไม่นาน ก็หยุดนิ่ง
มีเขี้ยวแหลมก็ใช่ว่าดี
ปัญหากัดลิ้นตัวเอง กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเลยทันที
มีหางก็ใช่ว่าจะสนุก
นอนหงายก็ทับหาง นอนคว่ำก็หายใจไม่ออก
ถ้าเลือกได้ ก็อยากจะเป็นฝั่งใดฝั่งหนึ่งไปเลย ไม่ใช่ครึ่งๆกลางๆแบบนี้ ไม่เห็นจะดีสักนิด
มองออกไปนอกหน้าต่าง
มีแต่ต้นไม้ที่ยื่นกิ่งก้าน เหมือนมือผอมๆ เวลาลมพัด ใบไม้ก็จะปลิวว่อนเป็นพายุ เสียงดังหวืดๆ เลยต้องร้องเพลงกลบ ไม่อยากให้บรรยากาศวังเวงไปกว่านี้
เสียงดังตุบ
เพราะหูดีกว่าคนปกติหน่อย เลยได้ยิน
ผู้บุกรุก..อีกแล้วหรอ?
ถึงยังไงก็ต้องหลบไว้ก่อน
กลิ่นของผู้บุกรุกชัดขึ้น
นั่นมัน…
รีบวิ่งออกไป พอเห็นหน้าผู้บุกรุก หางก็กระดิกไม่หยุด
“กลับมาแล้ว!กลับมาจริงๆด้วย!!”
“เสียงดังทำไม”
“ข..ขอโทษ”
รู้สึกเหมือนผมแถวท้ายทอยจะปลิวขึ้นหน่อยๆ ก็หางเล่นกระดิกไม่หยุดแบบนี้ คงไม่แปลก
“ด..ดีใจ ดีใจจังเลย”
อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะพยักหน้า หรือทำท่าทีรับฟังคำพูดนั้นสักนิด
โยนไก่ป่าตัวหนึ่งมาทางนี้ รอยมีดรอยใหญ่ที่คอไก่ตัวนั้น
“อสูรกินแต่ผลไม้ น่าขำชะมัด”
“สัตว์เดี๋ยวนี้วิ่งเร็วจะตาย ผมตามไม่ทันหรอก”
ไม่ได้กินเนื้อนานๆเข้า พอเห็นก็อดดีใจไม่ได้ แถมวันนี้ยังมีเพื่อนร่วมโต๊ะอีก “มีไวน์ดีๆอยู่ กินด้วยกันนะ”
“ก็..ว่างอยู่”
“อื้อ!”
นานเท่าไหร่แล้วนะ เกือบร้อยปีที่ไม่มีใคร
“น้ำตาไหล”
“ผมแพ้ขนไก่ต่างหาก”
“หึ”
รอยยิ้มในมนุษย์นั้นน่าฉงน
อสูรน้อยรู้สึกเหมือนโดนเวทย์มนต์ในรอยยิ้มน้อยๆนั้น สะกดไว้
…………………………………..
…………………………
ชายร้านหนังสือมาที่ปราสาทนี้บ่อยๆ ไม่ถึงกับทุกวัน แต่ก็แทบจะทุกวันเว้นวัน
เป็นที่รู้กันถ้าวันไหนเขามา อสูรตัวนั้น จะแอบออกไปเก็บผลไม้แปลกๆในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อเป็นเหมือนกับของขวัญต้อนรับ พยายามทำเวลาให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะหลุดออกจากสายตานายพรานแถวนั้น
เบอร์รี่นั่นอยู่สูง จนต้องปีนต้นไม้ขึ้นไป
เอื้อมมือ แต่ก็ยังไม่ถึง มองพื้นที่อยู่ด้านล่าง ก็กอดต้นไม้ไว้แน่น
เขย่ากิ่งไม้แรงๆ เบอร์รี่ก็ร่วงลงกับพื้น
ไม่ทันที่จะระวังตัว นายพรานที่ซุ่มมองอยู่ห่างๆ ก็ขึ้นธนู
เล็งไปยังอสูร ที่ดูคล้ายกับมนุษย์จนไม่น่าเชื่อ มันต่างจากที่ได้ยินมา เขาคิดจะเอาสัตว์ประหลาดตัวนี้กลับไปที่หมู่บ้าน คิดถึงสิ่งที่จะตามมา ทั้งชื่อเสียง เกีรยติยศ ตัวนี้คงขายได้หลายตัง อาจมีคนอยากได้เป็นสัตว์เลี้ยง ถ้าขายเป็นๆไม่ได้ ก็อาจแล่ขาย
ปล่อยปลายนิ้วที่ขึงธนูไว้ ลูกธนูวิ่งแหวกอากาศ ปักเข้าที่กลางตัวอสูรเต็มๆ
“โอ๊ย!”
ร้องเสียงดัง แล้วร่วงลงจากกิ่งไม้ เสียงดังตุ๊บ
นายพรานไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายลุกขึ้น วิ่งเข้าไป กระชับมีดสั้นในมือ แต่เมื่อไปถึง ก็ว่างเปล่า
ฟุ่บเขาวิ่งตามรอยเท้า เห็นได้ชัดจากพุ่มไม้ที่ถูกเหยียบ ตะโกนเรียกนายพรานคนอื่นๆให้ตามเขาไป
เสียงใบไม้โดนเหยียบกรอบแกรบ อสูรวิ่งไม่หยุดเท้า มีแค่สองเท้า ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ตรงไหน เสียงตะโกนดังไล่ตามหลังมา ได้ยินเสียงจากข้างหน้าไกลออกไปไม่มากนัก ต้องหลบ เมื่อกี้ประมาทเกินไป ที่อยู่ต้นลม
สู้ไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงก็ต้องถูกจับแน่
ในหัว คิดแต่ใบหน้าเรียบๆของหนุ่มร้านหนังสือ
เขาคนนั้นฉลาด ถ้าอยู่ด้วยคงจะคิดหาวิธีได้
สะดุด
ล้มหน้ากระแทกกับพื้นเสียจนหมดรูป พยายามลุกขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างกับถูกจับไว้ ถูกดึงลากไปตามทาง
“อ..อื้อ ปล่อย ปล่อยสิ!”
“ชู่ว”
หนุ่มร้านหนังสือส่งสัญญาณให้เงียบ
“ขนกันมาทั้งหมู่บ้าน”
“..ทำไม ไม่เห็นเคยรู้มาก่อน”
เขาส่ายหัว คงจะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน
“ผ..ผมทำอะไรผิดงั้นหรอ?”
“….”
“แค่ต่างกันนิดเดียว อยู่ร่วมกันไม่ได้งั้นหรอ?”
“ถ้าออกไปตอนนี้ คงจะโดนยิง…”
ที่ปราสาท คงจะมีคนพวกนั้นมารอเต็มไปหมด
“ไม่ต้องกลับไป….”
“แต่ว่า..ม๊า เฮีย”
“เขาไม่กลับมาแล้ว”
“…ไม่ เขาต้องกลับมาสิ”
“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาจะกลับมาหรือไม่ แต่มันอยู่ตรงที่ว่ากลับไปไม่ได้แล้ว”
“…..”
“ตามมา”
“ห้ะ?”
“ในเมื่อกลับไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับ”
“แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหน?”
“…อยู่ด้วยกัน”พูดแค่นั้น
มือเลื่อนขึ้นมือจับที่ข้อแขน ดึงเบาๆ ก็ออกเดินตาม
เสื้อคลุมที่ชายหนุ่มใส่มานั้น ถูกใส่ให้กับอสูรตัวนั้นแทน
………………………………..
………………………..
“เอ้า ลุง ลูกชายลุง คนกลางหายไปไหนแล้วล่ะ?”
“คงโดนอสูรที่ปราสาทนั่นกินไปแล้วมั้ง”
ถึงจะพูดเรื่องที่ควรหดหู่ แต่เขากลับดูมีท่าทีเฉยชา
“เออ แต่เรื่องอสูรนั่นก็หายไปเหมือนกัน พวกนายพรานบางคนเล่าว่าอสูรนั้น อาจจะโดนลูกชายลุงฆ่าก็ได้นะ”
เจ้าของร้านหนังสือยักไหล่ ละสายตาออกจากลูกค้าช่างพูด หรือหนังสือตรงหน้า มองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนยังคึกคักเหมือนทุกวัน ถึงแม้เด็กๆทุกวันนี้จะอ่านหนังสือน้อยลง แต่ในบรรดาผู้ใหญ่ก็ยังขายได้อยู่
วางหนังสือลงกับโต๊ะ
หนังสือปกสีเขียว ตัวหนังสือสีทอง ลายมือในนั้น คนเป็นพ่อรู้ทันทีที่รับหนังสือเล่มนี้ มาจากพ่อค้าร่อนเร่ที่ผ่านเมืองมา
คงอยู่ที่ไหนสักที่สินะ….
เหมือนจะอ่านเรื่องราวในนี้มากไปหน่อย ถึงได้พาลมองเห็นหางที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อคลุมของเด็กหนุ่มนั้น
“ลุงๆ”
“หือ?”
“นี่หนังสืออะไรน่ะ เห็นลุงอ่าน น่าสนดีนะ”
“เรื่องนี้นะหรอ? ไม่ขายหรอก แต่ถ้าสนใจ จะเล่าให้ฟังดีไหม?”
“เอาสิๆ”
เด็กที่ตัวเล็กจนต้องยืนขึ้นจากเคาน์เตอร์เพื่อมอง กวักมือเรียกเพื่อนๆเข้ามาในร้าน เกาะขอบโต๊ะ มองตาแป๋ว
“อะแฮ่ม…”
ทำเสียงแบบนั้น เด็กๆก็หัวเราะคิกคัก
“กาลครั้งหนึ่ง…….”…………………………………………………….
…………………………………………..
[Special Project : Beauty&the Beast]
[18.4.55]