..............................
......................
เดินกลับเวลาเดิม ทำแบบนี้มาเกือบจะครึ่งเดือนแล้ว
เป็นครึ่งเดือน ที่ผมแทบจะไม่ได้ติดต่อกับใคร
อย่างพวกไอ้โจ๋ ไอ้กล้วย ล่าสุดก็รู้แค่ว่ายังไม่มีบริษัทไหนติดต่อผมกลับมา แต่ก็แค่นั้น มีติดต่อมาถามสารทุกข์ดิบๆสุกๆอย่างที่ทำปกติ แต่คงเห็นว่าผมกำลังหมกหมุ่นกับงานตัวเอง เลยลดจำนวนการโทรลง
และอีกคน ที่จนถึงป่านนี้ ยังไม่ได้คุยกันอีกสักคำ
จนถึงตอนนี้ ความโกรธที่โดนไล่ออกนั้นหายไปแล้ว ที่ผมยังโมโหอยู่นิดหน่อย คงเป็นเรื่องที่พี่หมอกทำอะไรไม่บอกผมก่อนสักคำ แต่ต่อให้พี่หมอกบอกผม ผมก็คงจะยังไม่เปลี่ยนความคิด สุดท้ายก็อาจจะจบลงแบบเดียวนี้เหมือนกัน
หลายๆคำของพี่หมอก ที่ผมฟังแล้วก็รู้สึกน้อยใจ โมโห เสียใจ หลายๆอารมณ์ปนๆกันไป
พอมานั่งคิดดีๆแล้ว มันทำให้ผมพบข้อบกพร่องตัวเอง
นิสัยเด็กๆที่ซ่อนไว้ ผมไม่ค่อยจะเห็นมันเท่าไหร่ กลายเป็นความชินชา ที่ทำให้ลืมมันไป ช่วงชีวิตวัยยี่สิบ ผมว่าเป็นช่วงที่สับสนสุด แค่ข้ามวัน วันที่เรียนจบ กับวันต่อมา เราก็ถูกผลักเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่โดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมใจ
วันนี้ผมอาจจะมาถึงช้ากว่าเดิมหน่อย แต่ก็ได้เห็นสุภาพสตรีลูกสี่ข้างบ้าน ปัจจุบันคุณสามีสาบสูญไปสามเดือนแล้ว และคุณภรรยา ก็ไม่ปรารถนาที่จะได้เห็นหน้าคุณสารมีอีก เห็นออกมาตากผ้าหน้าบ้าน ดูเหมือนจะดึกไปหน่อยสำหรับการซักผ้า
“เออ ตี๋ๆ”
“ครับ?”
เกือบจะเข้าบ้านไปแล้วก็ต้องโผล่หน้าออกมาใหม่ เห็นพี่แกกวักมือ ผมเลยเดินเข้าไปใกล้จนติดรั้ว กิ่งไม้สะกิดขา จั้กจี้แปลกๆ
“ช่วงนี้รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเลย”
“ห้ะ? ทำไมครับ”
“ก็ตอนช่วงดึกๆน่ะสิ มีรถมาจอดแถวนี้บ่อยๆ” ผมขมวดคิ้ว ซอยนี้เป็นซอยลึก แต่เพราะข้างหน้าเป็นถนนใหญ่ จะมีเข้ามาจอดบ้างก็ไม่แปลก “บางทีก็จอดหน้าบ้านพี่ บางทีก็จอดฝั่งนั่น มาจอดแบบนี้เกือบสิบนาทีแล้วขับออกไปเกือบทุกวันเลย ตอนแรกพี่กลัวสิ ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ของไอ้บ้าผัวพี่ แต่เห็นยี่ห้อรถแล้วไม่ค่อยแน่ใจ”
“ยี่ห้อ? ยี่ห้ออะไรครับ”
พี่แกวาดนิ้วกลางอากาศ วงกลม ขีดแบ่งครึ่งซ้ายขวา แล้วขีดครึ่งบนล่างอีกที
“แบบนี้ รถมันท่าจะแพงใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ที่คันใหญ่ๆ แล้วเลขทะเบียนสวยๆหรือเปล่าครับ?”
“อืม คันใหญ่น่ะใช่ แต่เลขทะเบียนไม่เคยเห็น พี่แค่เห็นคันนี้เลี้ยวเข้ามาก็รีบเก็บของเข้าบ้าน ปิดไฟหมดแล้ว”
“เดี๋ยวนะ พี่ ใช่สีดำหรือเปล่า”
“ใช่ๆ ตี๋รู้จักหรอ?”
“รถคันนี้เริ่มมาจอดแถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่เคยได้ยินเสียงเลย”
“ตี๋คงหลับไปแล้วมั้ง ช่วงหลังๆนี้จะมาดึกหน่อย พี่น่ะยังไม่ได้นอนหรอก ดูละครอยู่ ได้ยินเสียงรถก็เลยเปิดหน้าต่างออกมาดู เจอประจำ แอบคิดว่าสายตาคนในรถมองมาทางนี้ด้วย น่ากลัว โรคจิตชะมัด”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก ผมไม่ยอมปล่อยเจ้าหนูเราหายไปไหนหรอก”
หนึ่งในสามลูกสาว น่าจะเป็นคนที่สอง เพราะก็สี่ห้าขวบแล้ว วิ่งออกมา บอก “แม่ๆ น้องทำข้าวหก”
“อะไรกัน ทำข้าวหกอีกแล้ว พึ่งซักผ้าขี้ริ้วเองนะ”
เธอพยักหน้า มองหน้าผม ผมยิ้มให้ เธอยิ้มเขินกลับ น่ารักชะมัด
ผมรีบเข้าบ้าน อาบน้ำ แบกคอมขึ้นไปทำงานชั้นสอง ปิดไฟทั้งบ้าน ม๊าไม่อยู่บ้าน เฮียท่าจะกลับดึก
ทำงานไปเรื่อยๆ พัดลมจ่ออยู่ตรงหน้าแต่ก็ร้อนเป็นบ้า เปิดหน้าต่าง มองนาฬิกา ใกล้ห้าทุ่ม แต่ยังไม่ง่วงนอนสักนิด
เสียงเครื่องยนต์ ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ผมยื่นหน้าขึ้นไปมอง พับฝาโน้ตบุ๊คลง
รถที่ขับเข้ามาช้าๆ จนความเร็วแทบจะเหมือนเข็นรถเอง สีดำ พอเจอแสงจากไฟข้างทาง ก็ดูสวยเหมือนในโฆษณา ขับเลียบฝั่งตรงข้าม จอดลงที่เดิมกับที่ที่พี่ข้างบ้านบ่นมา ผมมองนาฬิกาอีกครั้งหนึ่ง
รถดับเครื่องลง
ไม่มีใครก้าวลงมาจากรถ
เป็นใครใครก็กลัวล่ะว่ะ แบบนี้ มาจอดเฉยๆ แล้วก็ขับไป ก่อนหน้านี้ก็เคยทำแบบนี้ครั้งหนึ่ง คิดว่าตอนนั้น พี่สาวข้างบ้านคงมัวแต่ทะเลาะอยู่กับสามีในตำนานแหง ถึงไม่ได้สังเกต
ในรถก็ปิดไฟ มืดไปหมด มองไม่เห็นข้างใน
ผมอยู่ชั้นสอง หามุมที่มองเห็นข้างล่างชัดๆไม่มี แต่ก็ไม่อยากลงไปข้างล่าง ไหนๆอยากทำให้ดูเป็นความลับ ผมก็จะช่วยทำเป็นไม่รู้อีกแรง
ประตูรถเปิดออก
พี่หมอกเดินออกมาจากรถ วันนี้ใส่แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่พับแขนขึ้น กางเกงรองเท้าสีเดียวกัน รองเท้ามันขลับพอๆกับตัวกระโปรงรถ ออกมาพิงรถ สูบบุหรี่ เหมือนแค่มาชมวิวในซอยแคบที่ไม่มีอะไรเลยเฉยๆ
พอเงยหน้าขึ้นมามอง ผมก็รู้สึกเหมือนถูกจับได้ว่าแอบอยู่ รีบมุดลงใต้โต๊ะจนเก้าอี้หงายหลังลงกับพื้น ผมรีบยื่นมือไปรองไว้ ไม่มีเสียงก็จริง แต่เจ็บมือแทน ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตึกๆ ยื่นเท้าออกไปปิดพัดลม อารมณ์เดียวกันกับโจรบุกบ้าน
ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน เงยหน้าขึ้นมามองที่ขอบหน้าต่าง ไม่เห็นพี่หมอกแล้ว แต่ในรถก็ไม่มี เลยยื่นหัวออกไปมองอีก
อยู่ไหนวะ?ได้ยินแต่เสียงหมาเห่าอยู่ไกลๆ พี่หมอกคงไม่ไปเล่นกับมันหรอก หายไปเฉยๆเล่นเอาผมงง ยืนขึ้นมา มองไป ซ้าย ขวา ไม่มีพี่หมอกทั้งสองฝั่งถนน
“ไอ้ตี๋!”
“เหยย!!”
พี่หมอกอยู่หน้ารั้ว ข้างล่าง ตะโกนเรียก พอเห็นผมตกใจ ก็หลุดหัวเราะออกมา ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ก็อย่าไปจินตนาการไว้มากครับ แค่ไหล่กระตุก มุมปากยกขึ้นหน่อยๆ
พี่หมอกเอาบุหรี่ที่ถือไว้เข้าปาก พอนิ้วที่คีบบุหรี่นั้นห่างออกมา ก็มีกลุ่มควันลอยอยู่รอบๆตัวพี่หมอกแทน
มันพูดต่อ เสียงไม่ได้ดังมาก แต่เพราะแถวนี้เงียบ ผมถึงได้ยิน
“ลงมา”
“เฮ้ย วันนี้มันเสียงอะไรวะเนี่ย? น่ากลัวชะมัด หูฝาดๆ”
มองซ้าย มองขวา ไม่เห็นมีใครเลยนิหว่า ยื่นมือออกไป รีบๆปิดหน้าต่างดีกว่า คืนนี้สยองประหลาด
“กูบอกให้ลงมาไง”
“พูดแบบนี้ใครจะลงไปวะ?”
“แล้วจะให้พูดยังไง?”
ตกหลุมเต็มๆ
บางที พี่หมอกอาจจะไม่เคยขุดหลุมพรางที่ว่านั่นจริงๆ แต่เป็นผมเองเสียมากกว่า ที่เห็นเต็มๆตา ก็ยังกระโดดลงไปโง่ๆ
“พี่กลับไปเหอะว่ะ”
“….”
ไอ้หน้านิ่งๆแบบนี้
ถ้าไม่ได้เห็นชัดๆคงบอกไม่ได้ว่ามันคิดอะไรอยู่
พี่หมอกถอยหลัง ไปยืนกลางถนน แถวนี้ตอนดึกๆไม่ค่อยมีรถผ่าน มาทุกวัน คงรู้ดี
“จะลงมาดีๆหรือให้กูเข้าไป”
“ผมล็อคประตูแล้ว พี่เขามาไม่ได้หรอก”
ไม่มั่นใจหรอก ที่ผมพูดไป
พี่หมอกเลยนะ คนที่เรากำลังพูดถึงอยู่
มันคาบบุหรี่ไว้ เอามือล้วงกระเป๋า
ผมกลืนน้ำลาย เริ่มรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เสื้อชื้นเหงื่อ
เดินเข้ามาใกล้รั้วบ้านผม กำลังจะไขกุญแจบ้าน เล่นเอาผมตัวแข็งทื่อ
“พ..พี่หมอก!”
เงยหน้าขึ้นมอง ผมรีบพูด “ด..เดี๋ยวผมลงไปเอง”
“แค่นี้ก็จบ”
ผมรีบวิ่งลงไป แบบชนิดที่ว่าถ้าม๊าเห็นคงตะโกนบอก “อย่าวิ่งลงบันไดสิ เดี๋ยวก็ล้มหรอก” แต่ตอนนี้น่ะ ช่างมันก่อนเถอะ
ผมวิ่งเท้าเปล่าออกไปถึงหน้าบ้าน
ประตูยังไม่เปิด รั้วบ้านยังอยู่ดี ไม่มีร่องรอยถูกทุบ งัด หรือทำลาย
พี่หมอกอยู่อีกฟากของรั้ว
“พี่เอากุญแจบ้านผมมาจากไหน?”
“ไม่มีหรอก”
“อ้าว—“
พี่หมอกหยิบขึ้นมาให้ดูชัดๆอีกรอบ กุญแจทั้งพวงนั้น ไม่ใช่กุญแจบ้านผมสักดอก
“หลอกผมนิหว่า”
“ไม่คิดว่าจะได้ผลด้วยซ้ำ”
“….”
“ทำไมไม่ใส่รองเท้า?”
ผมก้มมองเท้าตัวเอง พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นว่าพี่หมอกมองตามขึ้นมาเหมือนกัน
“ลืม”
“ไปใส่ซะ”
“ใส่ทำไม? เดี๋ยวผมจะเข้านอนแล้ว”
“มึงต้องไปกับกูก่อน”
“ผมไม่ไป”
“อย่าดื้อ”
“ผมไม่ได้ดื้อ ก็ผมไม่อยากไป”
“ทำไม?”
“พี่อาจจะพาผมไปทิ้งทะเลก็ได้ ใครจะอยากไป”
“หึ”
พอได้ยินพี่หมอกทำเสียงแบบนี้ ก็โมโหขึ้นมาจริงๆ
ชอบมาบังคับให้ทำนู่นทำนี่ ไม่เคยบอก หรือไม่เคยให้เหตุผลผมซักคำ
คาบบุหรี่ไว้ ไม่อยากเข้าไปใกล้ ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ซักเท่าไหร่ เคยสูบ ผลที่ได้ น้ำตาไหลเป็นนางเอกหนังดราม่า
“บุหรี่ผมก็เกลียด รถพี่หมอกนั่งไม่สบายตูด แถมเปิดแต่เพลงร็อคอีก”
สองนิ้วที่คีบบุหรี่อยู่ กางออกจากกัน บุหรี่ที่หมดไปส่วนหนึ่ง ร่วงลงกับพื้น พี่หมอกเหยียบ ควันก็หมดไป
“กูปิดเพลงได้” ตอบนิ่งๆ เหมือนแม่ถามวันนี้ใช้เงินไปเท่าไหร่ “ชอบนั่งคันไหน?”
“ไม่ชอบซักคัน”
“เดิน”
“ผมขี้เกียจ”
“มึงจะเอาไงกันแน่? จะให้กูแบกไปหรือไง”
“ไม่เอาหรอก”
“บอกมา…” ล้วงกระเป๋า หยิบกล่องบุหรี่ขึ้นมาอย่างลืมตัว แต่เห็นว่าผมมองอยู่ ก็เปลี่ยนใจ เหวี่ยงลงถังขยะหน้าบ้านผมแทน “ต้องการอะไร?”
“ผมอยากทำงาน”
“ตอนนี้ยังไม่ได้”
“แล้วเมื่อไหร่ได้”
“ไม่รู้”
“….ผมไปนอนละ”
“อย่าคิดว่ารั้วจะช่วยอะไรมึงได้นะ”
พี่หมอกพูดแบบนั้นผมก็หยุดเท้า ห่วงรั้วเหล็กด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วน คงเป็นเพราะไม่ชอบน้ำเสียงแบบนี้ของพี่หมอก ไม่ชอบเลยสักนิด
“พี่ก็แบบนี้ตลอด บังคับผมทุกอย่าง หยุดสักทีเถอะ”
“
หยุด? มึงบอกให้กูหยุดหรอ?”
“ไม่ใช่มั้ง?”
“กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมึง ตี๋”
“แล้วพี่เป็นอะไร?”
“แล้วมึงจะให้กูเป็นอะไร?”
“…..”
พี่หมอกขมวดคิ้ว สถานการณ์ไม่ดี
ผมกำลังทำให้มันเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง
ไม่ได้ต้องการพูดอะไรแบบนั้นไป อยากจะชกตัวเองแรงๆสักที
มันหงุดหงิดและเริ่มโมโห
ผมรู้
พี่หมอกกำลังเสียใจอยู่
“มึงกำลังเล่นตลกอะไรอยู่ ตี๋ กูไม่ขำสักนิด-”
“ผมรักพี่”คำพูดหลุดออกไปก่อนที่ผมจะคิดทันด้วยซ้ำ
เหมือนอยู่ดีๆก็กลายเป็นฟองอากาศที่ลอยออกไป จะห้ามไว้ ไม่ทัน และผมก็ไม่อยากทำแบบนั้น
พี่หมอกนิ่งไป จนผมไม่แน่ใจว่ามีใครไปเผลอกดสต็อปไว้หรือเปล่า
ก่อนที่จะหลุดแค่คำสั้นๆ ตอบผมมา
“…ห้ะ?”
“ผมบอกว่าผมรักพี่”
“…..”
รู้ตัวอีกที
ผมก็เห็นหน้าพี่หมอกค่อยๆแดงไล่ขึ้นมาจากคอ ทั้งๆที่สีหน้ายังนิ่งอยู่แบบนั้น แม้แต่หูยังกลายเป็นสีแดงก่ำ
จ้องหน้าผม ไม่กระพริบตา ไม่ขยับตัว เหมือนโดนแช่แข็งอยู่ตรงนั้น
น้ำแข็งคลายตัว พี่หมอกรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดหน้า ก้มหน้าลง แต่ก็ซ่อนใบหูสองข้างไว้ไม่ได้
พูดด้วยเสียงสั่นๆ
“ก..กูไม่ได้ยิน”
เสียงแบบนั้น เล่นเอาผมอยากจะบินหนีไปไกลๆ
“ผะ ผม ว่าพี่ได้ยินแล้ว”
“ไม่ชัด”
“ก็..” ไม่น่าเชื่อ ว่าเมื่อกี้ยังทะเลาะกัน เหมือนหนังคนละม้วน “นะ นั่นแหละ”
“…
บ้าเอ้ย”
สบถเบาๆ แต่ขอโทษที ที่ผมได้ยิน
ผมไม่เข้าใจคำสบถนั่น เลยถามออกไป
“ทะ..ทำไม?”
พี่หมอกไม่ตอบ เลื่อนมือที่ปิดหน้าอยู่ ไปที่ตำแหน่งเดียวกันกับกระเป๋าเสื้อข้างซ้าย กำเสื้อจนยู่ยี่
กระซิบกับตัวเอง ผมไม่ได้ยิน แต่อ่านจากปากเอา
“
หยุดสักที”
พี่อาจจะบังคับได้ทุกอย่าง ทั้งสถานการณ์รอบตัว คนรอบๆข้าง แต่สิ่งหนึ่งที่พี่เอาชนะมันไม่ได้ ควบคุมมันไม่ได้
หัวใจ
อย่างตอนนี้ ที่ผมบอกให้มันเต้นช้าๆหน่อย เดี๋ยวแกจะตายเอานะ มันก็ไม่ยอมทำตาม
ได้ยินเสียงตึกตึกตึก เหมือนมีคนมาวิ่งอยู่ในหู
รู้สึกร้อนเป็นบ้า แต่มือผมกลับเย็นเชียบ
“ผะ..ผมบอก มะ ไม่ได้ ผะ เพื่อให้พี่ ยะ หยุดโกรธ หรอกนะ”
“แล้ว..ทำไม?”
ขมวดคิ้ว มองไปทางอื่น ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา มือยังไม่ปล่อยจากเสื้อ เงาทำให้เห็นไม่ชัด
แต่ตอนนี้ แม้แต่มือพี่หมอกยังกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ
“ผม มะ..ไม่อยากให้พี่เข้าใจผิด ว่ะ ว่าที่ผมโมโห หรือไม่ติดต่อไป เพราะผม..เอ่อ ไม่ ไม่ได้ นั่นแหละ”
“กูฟังไม่รู้เรื่อง”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผม ผม…ผมพูดเรื่องอะไรอยู่วะเนี่ย?”
“..แต่กูเข้าใจ”
“อืม นั่นแหละ” ไม่รู้จะเอามือไปไว้ไหน เลยแกว่ง แต่ดันแกว่งไปทางเดียวกัน ข้างหน้า ข้างหลัง ดูพิลึก “ผมแค่ไม่ชอบแนวคิดพี่เฉยๆ”
พี่หมอกไม่ได้ตอบอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังฟังอยู่หรือเปล่า
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมไม่รู้ แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา กระอักกระอ่วนเหมือนเด็กมอ.ต้นที่ขนหน้าแข้งพึ่งขึ้น ได้ยินเสียงยุงบินไปมา ส่งเสียง กิ้ว กิ้ว เหมือนจะแซว
“ผ..ผมไปนอนแล้วนะ”
พี่หมอกเงยหน้าขึ้นมอง อย่าไป แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
ผมค่อยๆเดินถอยหลังทีละก้าว สองก้าว จังหวะที่กำลังจะกลับหลังหัน
“….
ขอบคุณ”
เสียงที่เบา เหมือนตั้งใจไม่ให้ผมได้ยิน
ผมไม่ได้หันกลับไป เดินช้าๆเข้าไปในบ้าน ปิดประตู วิ่งไปที่ตู้เย็น หยิบขวดน้ำออกมาดื่ม
มองออกไปข้างนอก เห็นแสงสว่างจากไฟหน้าของรถติดขึ้น ใช้เวลาสักพัก ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ แล้วหายไปจากมุมที่ผมจะมองเห็น
เผลอปิดประตูหนีบมือตัวเองเต็มๆ
……………………………………….
…………………………….
[B.N.20 : complete]
[22.10.55]

กินผงชูรสจนผมร่วงกันหมดรึยัง? 555
