.
.
.
โทรศัพท์ดังขึ้นในวันอาทิตย์ ตอนเย็นที่พร้อมแล้วสำหรับมื้อเย็น
วันที่ผมรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอน กระดาษงานหายไปสองสามแผ่น ยิ่งทำให้งานร่างที่คิดไว้ล่าช้าออกไปอีก ความรู้สึกคล้ายไม่สบายอยู่หน่อยๆ แต่ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างป่วยกับขี้เกียจ ร่างกายผมค่อนไปทางไหนมากกว่ากัน
ควานหาโทรศัพท์อยู่ไม่นาน กดรับโดยที่ยังไม่ลืมตาตื่น ท้องก็ร้องขึ้นก่อนที่ผมจะพูดคำแรก
“….ตี๋”
“ครับ?”
“มาหากูหน่อย”
“พี่อยู่ไหน?” ลุกขึ้น ตื่นเต็มตา “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
พี่หมอกอยู่ที่บ้าน เสียงพี่หมอกแปลกกว่าทุกครั้ง ไม่ตัวเสียง น้ำเสียง แต่สิ่งที่มาพร้อมเสียงนั้นเปลี่ยนไป
ขมวดคิ้วฟังคำที่กำลังจะดังออกต่อจากเสียงถอนหายใจนี้
“รีบมา”แค่ได้ยินคำนี้ ก็ทำเอาผมลุกขึ้นจากเตียง คว้าเงินที่ถูกขยุ้มเป็นก้อนจากบนโต๊ะ เป็นแบงค์ที่ถูกยัดรีบๆลงกระเป๋า คิดว่าม๊าคงจะดึงออกมาให้ก่อนเอาไปซัก คีบแตะหน้าบ้าน วิ่งออกไปกระโจนขึ้นแท็กซี่คันที่วิ่งผ่านมาพอดี บอกที่อยู่ปลายทางพี่แท็กซี่ก็รีบบอกกลับ “จะไปทำอะไรที่นั่นน่ะ?” มองผมผ่านกระจกหลัง ผมได้แต่ตอบกลับ “รีบๆเถอะน่าพี่”
ความรู้สึกตอนนี้ มันคล้ายกับเคยเกิดขึ้นมาก่อน
กำเสื้อตัวเองแน่น จับดูที่หน้าอก หัวใจเต้นแรงเหมือนวิ่งไกล ผมก้มลงมองรองเท้า สภาพดี ไม่น่าจะเจ๊งง่ายๆเร็วๆนี้ นั่งตรงกลางเบาะหลัง เท้าแขนไว้กับสองเบาะหน้า สั่นขาไม่หยุด
เลขมิเตอร์วิ่งไหลไปเหมือนหยดน้ำ ทางที่คุ้นเคย ผมมองมันสลับกับนาฬิกาบนหน้าปัด
ครึ่งชั่วโมง ผมใช้เวลาครึ่งชั่วโมง เทียบกับคำว่ารีบมา ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมาทันหรือเปล่า
“พี่ครับ..” พี่รปภ.หน้าใหม่ ผมไม่เคยเห็นหน้า “ผม..ผมมาหาคุณอัษฏา”
“..น้อง ผิดบ้านหรือเปล่า”
“บ้านนี้แหละ อัษฏา ติวากุล แล้วก็ขอเถอะ อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น….”
พี่รปภ.คนนั้นไม่ตอบอะไร กำลังจะหันตัวกลับหนี ผมกระโดดคว้าเสื้อไว้ รองเท้าแตะเกือบหลุดถ้าหนีบไว้ไม่ทัน
“ผมขอล่ะ นี่เรื่องด่วน”
“พี่ปล่อยคนเข้าไปง่ายๆไม่ได้หรอก น้องก็รู้ พี่ทำตามหน้าที่”
“….”
เห็นพี่คนหนึ่งที่เคยคุ้นหน้าในห้องครัว ผมตะโกนหา “พี่ต่าย!” เธอตกใจ วิ่งมาที่หน้ารั้ว “คุณตี๋ มาได้ยังไงคะเนี่ย? แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้”
“เรื่องมันไม่ยาวมากแต่ยังเล่าไม่ได้ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“…คือ-”
“ขอผมเข้าไปเถอะ”
พี่ต่ายมองหน้าพี่รปภ.เงียบๆ เธอพยักหน้า เขาถึงยอมขยับตัว
“รีบเข้ารีบออกล่ะ”
“ครับ!”
ประตูรั้วเล็กเปิด ช่องพอดีให้คนเดินผ่านเข้าไป กึ่งเดินสลับวิ่งบนทาง กว่าจะถึงตัวบ้านเล่นเอาเหงื่อท่วมตัว
เสียงดังมาจากชั้นบน ผมวิ่งขึ้นบันได ขั้น ทีละขั้น เสียงนั้นยิ่งดังชัดเจน ผมจำได้ทันทีว่าเสียงใคร มือที่จับราวบันได สั่นไม่รู้ตัว
กรอบรูปลอยเวิ้งมาอย่างไร้ทิศทาง ชนผนัง ตกลงแตก เศษกระจกโปรยพื้น รูปเก่าปลิวออกจากกรอบ ผมหยิบขึ้นมา ครอบครัวในกระดาษยิ้มตอบกลับมา
ในห้องพี่หมอก
ผู้ชายคนนั้น ยืนอยู่นิ่ง
กีตาร์เบสตัวโปรดสองตัว คอหักอยู่ที่พื้น ข้าวของเละเทะราวกับโดนพายุกระหน่ำในห้อง สิ้นเค้าโครงเดิมที่เป็นระเบียบด้วยฝีมือแม่บ้าน พี่หมอกยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก ผมยุ่ง ดูเหมือนจะเห็นเท้าเปล่าของผมก่อน เงยหน้ามอง
“แกเรียกมันมาหรอ?”
“….”
“ฉันถาม แกตอบ จำกฎของเราไม่ได้หรือไง?”
“….ผมเรียกมันมา”
“เรียกมันมาทำไม?” พี่หมอกเงียบ ผมเดินเข้าไปหา เห็นรอยช้ำที่หลังมือ กลายเป็นรอยช้ำม่วง “ตอบสิ!”
“มันมาเพื่อรับผมไป”
“…..”
“ไปอยู่ ในที่ที่เป็นของผม”
“นี่คือที่ของแก”
“นี่คือที่ที่คุณยัดเยียดให้ผมยืนอยู่”
“…แกนี่พูดจาไม่รู้เรื่อง ใครยัดเยียดให้แก ฉันบอกหรอ ให้แกทำงานตรงนี้”
“……”
“ฉันบังคับแกหรอ? แกตอบฉันสิ ส่วนหนึ่งมันก็มาจากความทะเยอทะยานของแกทั้งนั้น แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ? แกกำลังจะพังบริษัทที่พ่อแกสร้างมากับมืองั้นหรอ?”
“พังบริษัท?” ผมเงยหน้ามองพี่หมอก พี่หมอกไม่ได้มองกลับ จ้องเขม็งไปที่บุคคลที่สาม
“แกเอาหุ้นบริษัทแกไปแลก เพียงแค่อยากลากคอหนอนบ่อนไส้ออกมางั้นหรอ?”
“มันไม่ใช่แค่นั้น”
“แล้วยังไง แกอธิบายมาสิ!!”
“คุณอยากรู้เรื่องทั้งหมด คุณก็อ่านจากรายงานเอา ผมบันทึกไว้ละเอียดแล้ว” หันหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ “ตอนนี้มูลค่าหุ้นเรามากกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ”
มือพี่หมอกควานหา ผมยื่นมือเข้าไปจับ ถูกเดินนำไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดตู้บน หยิบกระเป๋าเดินทางหนังใบใหญ่ออกมา โยนมันลงกับพื้น ปล่อยมือออกจากผม ย่อตัวลง เปิดซิบกระเป๋าออก
ผมแตะเข้ากับหลังพี่หมอก
เขาหันกลับมา คุยกันเงียบเชียบผ่านสายตา สายตาคู่นั้นหันกลับมามอง ท่ามกลางสิ่งของต่างๆที่ถูกทำลายลงแบบนี้ กลับดูแน่วแน่กว่าครั้งไหนๆ
พยักหน้าให้ผม
ผมเปิดตู้ออก โกยเสื้อผ้าพี่หมอกลงกระเป๋าใบนั้น
“แกทำอะไร?”
“ผมจะไปจากที่นี่”
“แกคิดว่าชีวิตมันง่ายอย่างนั้นน่ะหรอ? อยากเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้สินะ?”
“ใช่” หันกลับไปตอบ ผมไม่เห็นหน้า มุมนี้ เห็นแต่แผ่นหลังกว้าง “ผมคิดแบบนั้น ผมจะไม่เปลี่ยนความคิดตัวเอง”
“ถ้าแกจะออกไป ก็ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ซะ ฉันไม่อนุญาตให้แกเอาไป”
“……”
“นี่เป็นเงินของฉัน ถึงแกจะบอกแกหามา แต่มันงอกเงยจากกองเงินที่ฉันหามาด้วยตัวฉันเอง แกไม่มีสิทธิ ถ้าแกพูดว่าแกจะเริ่มใหม่ หมอก แกต้องทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่”
ตอนที่พ่อพี่หมอกพูดคำนี้ ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นต้องเชื่อว่าพี่หมอกจะลังเล หรือหยุดคิดเป็นครั้งที่สอง
ถ้าเขาทำแบบนั้นจริง ผมภาวนาว่าเขาจะไม่ เพราะนั่นแปลว่าเขาไม่รู้จักพี่หมอกเลย ไม่เลยสักนิด
“ถ้าคุณต้องการแบบนั้น” มือปล่อยออกจากกระเป๋า ยืนขึ้น ปลดไทรอบคอออก โยนทิ้ง อยู่บนเตียงเป็นเส้นยาวคล้ายเชือก นาฬิกาเรือนนั้น ไม่ใช่เรือนที่จะหาได้ง่ายๆ พี่หมอกได้มาตอนวันเกิด ผมไม่รู้ใครให้มา แต่เป็นสิ่งที่ถ้าเสียไปแล้ว ยากที่จะได้คืน
พี่หมอกปานาฬิกาเรือนนั้นใส่โต๊ะกระจก โต๊ะกระจกร้าวแตกคล้ายแมงมุมขึงใย เสียงนาฬิกาเรือนหนักกระทบกับพื้นจบพิธี ผมฟังแล้วขนลุกซู่ พ่อพี่หมอกยืนนิ่ง ไม่คิดจะห้ามอะไร กลับกัน เหมือนจะยิ้มเยาะ เหมือนในสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบทำข่มเด็ก
กระเป๋าเงิน พี่หมอกหยิบออกมาจากกางเกง เปิดมา เห็นรูปผมอยู่ในนั้น แต่เห็นแค่ชั่วเวลาสั้นๆ ดึงปึกแบงค์ใหม่ออกมา โปรยมันไปรอบๆห้อง กระเป๋าเงินแบนลง ถูกเขวี้ยงออกไป อาจจะหลุดออกไปนอกระเบียง ผมไม่รู้ เพราะไม่ได้ยินเสียงตอนมันตก
แบงค์สีเทาร่วงลงช้าๆ หนึ่งใบนั้น ตกลงที่ปลายเท้าผม ไม่มีความคิดจะเก็บมันไว้ในความคิดผม แค่จ้องมอง สงสัยในกระดาษแผ่นเดียว ที่มีอำนาจราวกับพ่อมดใหญ่ หมุนเวียนชะตากรรมใครหลายๆคนอย่างไม่น่าเชื่อ
“ตี๋…ไป”
“อย่าคลานกลับมา”
“….”
“ถ้าแกเดินข้ามกรอบประตูนั่นไปแล้ว ต่อให้แกตาย หรือฉันตาย ก็อย่ากลับมาให้เห็นหน้า”พี่หมอกหยุดเท้าที่กรอบประตู มีผมยืนอยู่ข้างๆ หันหน้ากลับไปบอก
เห็นกำหมัดแน่น ผมเดินไปยืนในทางที่พ่อพี่หมอกยืนอยู่
“….ผมไม่ตายง่ายๆหรอก”
แล้วก็ชูนิ้วกลางหราจนผมตกใจ
………………………….
………………….
สายตาหลายคนมอง เงียบกริบ เหมือนว่าได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ทุกคนหลบสายตาเมื่อเราหันไปมอง
พี่ยามเหลือกตามอง รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ ถาม “ไม่เอารถออกหรอครับ เดี๋ยวผมไปเอาให้” พี่หมอกเขวี้ยงกุญแจรถบีเอ็มคันโปรดใส่ บอก “ให้” เดินลอดผ่านประตูออกมา ผมหันกลับไปมอง หน้าพี่ยามกึ่งดีใจกึ่งงง สับสนยืนอยู่ตรงนั้นมองกุญแจรถที่อยู่ในมือ
แม้แต่ระหว่างพวกเราสองคนยังเงียบกริบ ผมไม่รู้จะพูดอะไรก่อน ส่วนหนึ่ง ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่หมอกพึ่งคิด อาจมีสิ่งที่นอกเหนือแผน หรือเป็นไปตามแผนอยู่ แต่ทั้งหมด เป็นสิ่งที่พี่หมอกยังไม่เคยบอกใครมาก่อน ผมเชื่อแบบนั้น
เราเดินออกมาจากซอย ระหว่างทาง มีร้านมินิมาร์ตเล็กๆ ผมเห็นเหงื่อพี่หมอกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะลากเข้าไปด้วยกัน ซื้อน้ำเย็นยื่นให้ขวดหนึ่ง พี่หมอกยกมือกั้นตอนที่ผมจะหยิบเงินออกจากกระเป๋า แต่ล้วงเข้าไปในกางเกงแล้วขมวดคิ้ว ผมวางเหรียญสิบลงกับเคาน์เตอร์ พนักงานมองพี่หมอกตาไม่กระพริบ
“พี่พึ่งโปรยเงินเล่นไปเอง”
“…”
“เอาน่า ผมเลี้ยง”
พี่หมอกซัดคนเดียวไปครึ่งขวด รับขวดน้ำต่อมา กินจากปากขวดเหมือนกัน “ถึงผมจะยังไม่เห็นด้วยหลายๆอย่าง แต่ตอนนี้ผมยังไม่พูดหรอก…”
“กูอยากให้มึงพูด”
“…ถ้าพี่อยากฟัง ไว้รอกลับถึงบ้านกันก่อนนะ”
เสียงออดเมื่อเดินผ่านประตูออกมา ผู้หญิงสองคนเดินสวนเข้าไป เดินนำออกมาก่อน มองถนนที่รถเริ่มติด จะก้าวต่อ แต่พี่หมอกเดินตามหลังมา ดึงแขนผมไว้
“มึงเสียใจหรือเปล่า?”
“เสียใจ เสียใจเรื่องอะไร?”
“…ที่กูทำลงไป”
“ผมไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจหรือเสียใจดี..”
ยอมรับว่าผมไม่ชอบที่พี่หมอกทำแบบนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะทำตัวแบบไหน ก็ยังมีศักดิ์เป็นพ่ออยู่ ผมเห็นแล้วหงุดหงิด จนอยากจะชกพี่หมอกแรงๆสักที แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมว่า เวลานี้ยังเปราะบางเกินไป
“ตอนนี้มึงต้องรับผิดชอบกู”
“หื้อ?”
“กูทิ้งทุกอย่างเพื่อมึง” แย่งขวดน้ำไปดื่มอีก หมดเกลี้ยง เหวี่ยงลงขยะใกล้ๆ ไม่ใส่ใจ “ตอนนี้กูไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากมึง ถ้ามึงทิ้งกูอีก ตี๋ มึงแย่แน่”
“ผมรู้แล้ว…”
“กูไม่ได้ล้อเล่น ตี๋ ถ้ามันมีอีกครั้งนึง ที่มึงคิดจะหันหลังให้กูอีก--”เข้ากอดพี่หมอกแน่น ไม่รอให้พูดจบ พี่หมอกยกมือค้าง ตัวนิ่ง สักพัก ก็กอดตอบ
ยืนขวางอยู่หน้าประตูร้าน เสียงออดดังติดกันหลายครั้ง ประตูจะปิดลง เซนเซอร์ก็เจอเราซะก่อน เปิดค้างสักพัก พยายามปิดลง วนลูปเดิม
“พี่หมอก”
“หืม”
“เอาตรงๆ ผมไม่กล้าสัญญาว่ะพี่”
“…..”
“แต่ผมรู้ว่าครั้งนี้มันมีอะไรเปลี่ยนไป”
“ยังไง?”
“ผมดีใจมากๆ”
“…..”
“ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ผมดีใจ เหมือนไม่ใช่เรื่องที่ผมควรยินดีเลย แต่ทำไมผมรู้สึกเหมือนจะหัวเราะแล้วก็ร้องไห้ออกมาเลย”
“ทำสิ”
“ไม่เอา เหมือนคนบ้าเลย”
“มึงก็ไม่ต่างอะไรอยู่แล้วนิ”
“พี่หมอก..” ขมวดคิ้วใส่ ผมที่ยาวจนถึงหัวไหล่ พี่หมอกลูบเบาๆ ก็รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็ก ซุกกอดแน่น “ผมมันคนเห็นแก่ตัวชัดๆ”
“ทุกคนก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้น” กลิ่นชื้นในอากาศรู้สึกคล้ายอีกไม่นานฝนจะตก จะตกหรือเปล่านะ ร้อนมาหลายวันขนาดนี้ “กูอยากให้มึงเห็นแก่ตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูพูดเรื่องนี้ กูอยากให้มึงรักตัวเองให้มากกว่านี้”
“…ถ้าผมรักตัวเองมากกว่าพี่ละ”
“ถ้ามึงทำแบบนั้นจริง มึงจะรักกูมากกว่านี้อีก ตี๋” อยากจะจูบ
พี่หมอกก็ดูเหมือนจะดูออก เบียดตัวเข้าซอกแคบๆของตู้เอทีเอ็ม จูบเร็วๆ นั่นคือความคิดแรกที่จะทำ แต่เมื่อได้ลองแล้ว ก็รู้เลยว่าความคิดนั่น ไม่มีวันจะทำให้เป็นจริงได้
“สัญญาของมึง ไม่ใช่สิ่งที่กูอยากได้ มันไม่มีประโยชน์เท่าสิ่งที่มึงทำ”
บนรถแท็กซี่ เรานั่งตัวพิงกัน ไม่สนใจสายตาแท็กซี่ที่มองผ่านกระจกหลัง เราไม่แน่ใจอะไร ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมจะมีเงินพอค่าแท็กซี่ตอนนี้หรือเปล่า ไม่แน่ใจว่าทางนี้ใช่ทางกลับบ้านของเราไหม ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ ไฟสัญญาณสีแดงจะกลายเป็นสีเขียว หรือเรื่องที่ว่า ฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่ เมื่อมันเริ่มตกแรงราวกับพายุแบบนี้
ไม่มีเรื่องอะไรที่เราแน่ใจ
ไม่สิ มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจ
“กูเคยพูดหรือเปล่า”
“พูด? พูดอะไร?”
“ขอโทษ”“…ยังไม่เคย”
“มีอีกคำนึง”
“คำว่าอะไร?”
“ขอบคุณ”“คำนี้…พี่ก็ยังไม่เคยพูดเหมือนกัน”
พี่หมอกถอนหายใจ “ร้องไห้ทำไม?” ตอนนี้ แสงมีแค่แสงจากด้านนอก เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้างเป็นบางครั้ง หน้าพี่หมอกกลับดูอ่อนโยนจนผมว่าเป็นพี่มากกว่า ที่กำลังร้องไห้อยู่
“ผมเปล่า”
“ก็เห็นอยู่ว่าร้อง”
“ผมร้องไห้เพราะอยากให้พี่ปลอบไง”
“งี้ก็เข้ามาใกล้ๆหน่อย”
ผมทำตาม
พิงเข้าที่หัวไหล่ มือพี่หมอกอ้อมหลังผมไป ไม่รู้ทับลงไปแบบนี้จะหนักหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะเป็นอะไร
“..ไอ้ขี้แย”
“ผมตั้งใจทำ”
“งั้นหรอ” ถอนหายใจอีกแล้ว เวลาชีวิตลดลงไปอีก 7 วินาที เพลงที่เปิดในรถแท็กซี่เป็นเพลงเก่ายุคม๊าสาวๆ เสียงนักร้องชาย เพลงไทยโบราณดังผ่านลำโพงที่แตก “ทำบ่อยๆ ใส่กูคนเดียวก็พอ”
นิ้วโป้งอ้อมมาปาดน้ำตาให้ ผมคว้ามือนั้น จับไว้ หันไปมองหน้าพี่หมอก
พี่แท็กซี่อาจจะต้องตะลึงหน่อย แต่ได้โปรด อย่าสนใจพวกเราเลยครับ
ตอนที่ลิ้นพี่หมอกสอดเข้ามา ผมได้แต่หวังว่าอีกไม่นาน ก็จะถึงบ้าน แหล่งกำบังของเรา ที่จะกันพวกเราจากพายุที่รุนแรง ราวจะปิดท้ายเรื่องที่แสนวุ่นวาย
………………………………………..
……………………………….
[B.N.28 : complete]
[13.5.56]

มาช้าอีกแล้ว ; -; คิดถึงนะตัว
พรุ่งนี้เปิดเทอมล่ะ

ปิดเทอมมีแต่เรื่องยุ่ง หวังว่าต่อไปนี้คงจะมีเวลา..บ้าง

อยากพูดอะไรเม้นต์อะไรเชิญเต็มที่ อยากอ่าน

.
.
.