B.N.31“ตี๋”
ได้ยินเสียงนั้นจากที่ไกลๆ มือของใครสักคน ลูบหัวผมเบาๆ
ลืมตาตื่น เป็นม๊า ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“..อ้าว ม๊า”
เลื่อนมองเลยไปทางด้านหลัง นาฬิกา ใกล้เวลาเที่ยงคืน
“ม๊ายังไม่นอนหรอครับ?”
“หลับไปแล้ว แต่ยังไม่เห็นอาโซ่ยตี๋ขึ้นนอน ม๊าเลยลงมาดู”
“ขอโทษทีนะครับม๊า ที่ตี๋ทำให้เป็นห่วง”
“ต่อให้ตี๋ไม่ทำอะไร ม๊าก็เป็นห่วง” ลูบหัวผมอีกครั้ง รู้สึกหายง่วง “คนเป็นพ่อแม่ ก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ”
ผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป ในหัวยังก้องประโยคที่ผ่านหู
ถ้าทุกคนสามารถสื่อสารสิ่งที่คิดออกไปได้อย่างอิสระ ไม่รู้ว่าโลกนี้จะสงบหรือวุ่นวายมากขึ้นกว่ากัน?ยื่นมือออกไปทั้งสองข้าง กอดผู้หญิงตัวเล็กข้างหน้าผมไว้แน่น
……………………………….
…………………….
รู้สึกเหงื่อชุ่มไปทั้งหลัง ถึงได้ลองพลิกตัวนอนคว่ำ นอนได้อยู่ไม่นาน อึดอัดหายใจไม่ออกจนต้องพลิกตัวกลับมานอนท่าเดิม ยืดขาออกไป เตะเข้ากับบางอย่าง
โดยที่ยังไม่ลืมตา ผมเลื่อนขานั่นไปเรื่อยๆตามสิ่งที่สัมผัสได้ ถูกจับข้อเท้าไว้ โดนดึงจนคอเลื่อนลงจากหมอน ลืมตาตื่น ร้อง “เหยย!” เสียงดัง
พี่หมอกนั่งอยู่ข้างๆเตียง เห็นผมทำหน้าเหวอ ลืมตา เหงื่อตก ไม่รู้ว่าเพราะมืดหรือเปล่า แต่ก็เห็นรอยยิ้มจางๆในซีกหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงา
“ฝันอะไรอยู่ กูเห็นมึงหมุนไปมาไม่หยุด”
“ผมก็แค่ร้อนเฉยๆ ไม่มีอะไร พี่กลับมาตอนไหนอ่ะ” มองชุดที่พี่หมอกใส่อยู่ คงพึ่งอาบน้ำเสร็จไม่นาน “ผมไม่เห็นได้ยินเสียงเลย”
คงเพราะเห็นว่าผมกำลังมองหานาฬิกาอยู่ ถึงพูดตอบ “ตีหนึ่ง” ปล่อยมือออกจากข้อเท้าผม ยังไงไม่ไปไหน วางอยู่บนนั้น ถึงข้อนิ้วจะนิ่ง แต่ปลายนิ้วทั้งสี่กลับหมุนเกลี่ยเบาๆเป็นวงกลมเล็กๆ“มึงนอนต่อเถอะ”
“พี่ก็มานอนด้วยกันดิ”
“…ตี๋” พูดเสียงต่ำจนผมต้องเข้าไปใกล้ ฟังชัดๆ นอนกลิ้งอยู่ที่ข้างๆตัก พี่หมอกก้มตัวลงมา ผมย้ายขึ้นไปนอนพิงอยู่บนต้นขานั่น จูบที่ทำให้ผมเลียปาก “กูยังมีงานต้องทำ”
“คืนนี้นอนเร็วก็ได้มั้ง-- ” มืออ้อมไป ดึงเสื้อพี่หมอกให้ยืดออก มือนั้นก็ถูกจับไว้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหน ก็ถูกจับจองไว้เสียหมด “มานอนเหงื่อซ่กเป็นเพื่อนผมหน่อย”
พี่หมอกดันตัวขึ้น ผมถอยออก กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ผู้ชายคนนั้นพูดในขณะที่ถอดเสื้อว่า “มึงคงร้อนกว่าเดิมแน่…”
……………………….
………………….
จูบที่ทำให้หัวหมุน ร้อน ร้อนจนต่อมเหงื่อทำงานไม่ทัน โลกกลับหัว หรือผมเองกันแน่ ที่กำลังลอยต้านแรงโน้มถ่วง
เหงื่อพวกเรารวมกัน คงจะได้น้ำสักครึ่งแก้ว และถ้ารวบรวมความรู้สึกที่ระเหยออกจากผิวหนังของเราได้ ห้องนี้คงเต็มไปด้วยหมอกควัน
เสียงเรียกชื่อเหล่านั้น ดูคล้ายจะซึมออกมาจากแผ่นไม้ที่ประกอบเป็นห้อง ผมได้ยินมันจากทุกทาง ไม่ได้ตั้งใจ แต่พอยื่นมือออกไป ก็ปัดเสื้อที่ชื้นเหงื่อนั้นหล่นออกจากขอบเตียง พยายามคว้าไว้ ระบบประสาททำงานอย่างเชื่องช้า ไม่ทันใจ พลาดแค่เพียงปลายนิ้ว
ผมยื่นตัวลงไปอีก กำลังจะคว้าขึ้นมา แต่โอกาสก็ไกลออกไป โดนลากทั้งตัวเข้าไปใกล้ ถูกกัดกินอย่างตะกละตะกราม พี่หมอกไม่เคยเปิดโอกาสให้ผมคิดถึงเรื่องอื่น แม้แต่มือข้างนี้ ก็ถูกดึงไปกุมเอาไว้
เรียกร้อง เอาแต่ใจ ขี้หวงยิ่งกว่าใคร
แต่ก็เพราะแบบนั้น
“อธิษฐาน…”เรียกผมด้วยชื่อจริง
ถ้าไม่ใช่ในเวลาแบบนี้ คงจะไม่รู้สึกอะไร แต่ในเวลานี้ แค่คำๆเดียว ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนเลียไปทั้งตัว
บอกมาสิ ว่าพี่อธิษฐานอะไร
อะไรคือสิ่งที่พี่อยากได้?
การเคลื่อนไหวที่ถูกฝังอยู่ในสัญชาตญาณ ความรู้สึกที่ถูกปลูกด้วยกาลเวลา
รักอาจจะเป็นสีขาว หมุนวนปนไปกับสิ่งที่ผู้คนทั่วไปเลือกจะปิดปากเงียบ ทั้งๆที่มันเป็นอีกทางหนึ่ง ที่เราจะได้แสดงความรู้สึกออกมาได้ชัดเจนที่สุดโดยไม่ต้องอาศัยคำพูด
ช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือนตกเป็นของใครสักคน
และครอบครองคนๆนั้นในเวลาเดียวกัน
รู้สึกเหมือนมองหน้าพี่หมอกไม่ชัด น้ำตาถูกปาดด้วยนิ้วโป้ง ประครองอยู่ข้างแก้มผม ละออกไป ยังรู้สึกถึงความอุ่นได้
“…ทำหน้าเหมือนอยากให้จูบ”
“ก็ผมอยากให้จูบจริงๆ…”
พูดเสียงเบา
ถ้าพี่หมอกไม่อาย ผมคงไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดน่าเขินแบบนั้น
แต่กลับหน้าแดงแบบไม่ปิดบังขนาดนี้ แล้วจะให้ผมทำยังไงดี?
“ด..เดี๋ยว อย่าพึ่งนิ่งดิ พ พี่หมอก”
“อย่าพึ่ง อย่าขยับ”
ฟังแบบนั้นก็เผลอกลั้นหายใจ
อยากถูกกอดอีก ถึงจะโดนกอดแน่นจนเจ็บก็ยอม อยากถูกจูบอีก จะกัดผมแรงๆก็เชิญ ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะให้เชื่อมถึงกันลึกกว่านี้อีกหน่อย ถ้าทำแบบนั้น บางทีความคิดพี่หมอกก็คงจะส่งผ่านออกมาได้ทั้งหมด
ช่วยนุ่มนวลกว่านี้อีกสักนิด ช่วยทำลายผมลงมากกว่านี้อีกสักหน่อยคำพูดนั้นติดอยู่ที่ริมฝีปาก พี่หมอกงับมันออกไป
แล้วตอบแทนด้วยการไล้เลียริมฝีปากเบาๆราวปลอบประโยน
………………………………
……………………
ได้ยินเสียงปิดประตู มันเบา แต่เพราะเริ่มรู้สึกตัว ทำให้ผมได้ยินเสียงนั่น
ลืมตาขึ้น พี่หมอกมองตอบ ไม่รู้จ้องมองแบบนี้อยู่นานขนาดไหน อาจจะไม่นาน อาจจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ผมลืมตาขึ้น แต่บางอย่าง ทำให้ผมรู้สึกเหมือนพี่หมอกจ้องมองผมแบบนี้เงียบๆมาสักพักใหญ่ และไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมตื่น
“พี่”
เดินเข้ามานั่งใกล้ๆ ลงที่ขอบเตียง เสื้อที่เหมือนจะใส่ออกไปข้างนอก
กำลังจะพูดออกไป พี่หมอกยกมือห้าม
“เรื่องที่มึงบอกจะพูดเมื่อวาน คืออะไร?”
“เมื่อวาน?...อ่อ เรื่องที่ผมบอกว่าตัดสินใจได้น่ะหรอ?” พยักหน้า ผมลุกขึ้นนั่ง แค่เห็นแบบนั้นพี่หมอกก็เขยิบเข้ามาใกล้ เอามือประครองไว้ที่หลัง “ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมสบายมาก”
“เห็นมึงบ่นเจ็บ”
“..พี่เอามาพูดตอนนี้ ผมรู้สึกแปลกๆเลย”
“แปลกคืออะไร? มึงหมายความว่าอะไร”
“ไม่ใช่แบบนั้น ผม-“
“เขิน?”
“อืม”
พี่หมอกตอบกลับทันที “อืม”
บรรยากาศในห้องเงียบ ความรู้สึก
”ประหลาด” ที่ไม่ว่ายังไงก็ยังคุ้นเคยกันไม่ได้สักทีเติบโตจนอึดอัดแน่นในห้อง ผมไล่มันออกไป “พี่ ผมตัดสินใจแล้ว”
“…ว่า?”
“ผมจะกลับไปทำงานอินทีเรียเหมือนเดิม”
“….”
“ไง?”
“…แน่ใจแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ ผมอยากวาดรูปอีก ที่ผ่านมาผมแค่เหนื่อย ผมแค่พักข้างทาง แต่ตอนนี้ผมอยากวิ่งต่อแล้ว”
ผมลอบมองสีหน้านั่น พี่หมอกไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกอะไร อาจจะมี แต่อยู่ลึกลงไป คำพูดนับพันที่ตกตะกอน วกตัวพันยุ่งเหยิง พี่หมอกขมวดคิ้ว เล่นเอาผมหยุดหายใจ แล้วอยู่ๆก็พูดโพล่งออกมา
“…มึงใช้สียี่ห้ออะไร?”
ผมหัวเราะออกมาจนลืมเรื่องใหญ่ที่ต้องพูดไปเสียสนิท
แล้วในบ่ายวันนั้น อยู่ๆพนักงานชุดฟ้าหลายคนก็จู่โจมเข้ามา ติดตั้งแอร์โดยที่ผมกับม๊าได้แต่ยืนมองตาปริบ
……………….
…………………………..
เมลล์ไปหาพี่หนึ่ง แล้วก็โทรหาพี่กวาง บอกเรื่องที่คิด พี่เขารับฟังเงียบๆ ก่อนจะพูดต่อปิดท้ายว่า
“ทำสิ่งที่ชอบเถอะตี๋ แบบนั้นถึงจะมีความสุขที่สุด”ผมไม่เคยสงสัยในเรื่องของประโยคนี้เลย มันเป็นจริงเสมอไม่ว่าจะอยู่ในสถาการณ์แบบไหน ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นในครั้งที่จะต้องเลือกสิ่งที่ไม่ชอบ ความรู้สึกคล้ายโดนบังคับให้กลืนของแข็งลงคอ
บอกลาแก็งค์เปีย ทำเสียงโวยวายกันใหญ่ ถาม “พี่ตี๋จะไปทำงานที่ไหน? หนูจะแอบตามไปส่อง” “แล้วพี่หมอกล่ะ ตอนนี้อยู่ไหน?” บางครั้งก็สงสัยจนรู้สึกขำ ที่เด็กพวกนี้บางครั้งรู้เรื่องของพี่หมอกที่ผมไม่รู้ แถมชอบคิดไปเองเป็นตุเป็นตะ เล่าได้เป็นฉากๆ
ตอนเย็นที่ขอกลับก่อน เค้กที่ได้กลับมาหลายก้อน มองเข้าไปในร้านที่ยังมีลูกค้าเต็มไปหมด ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หอมเหมือนกลิ่นนมหวาน ติดจมูกเหมือนมาการีน
เดินออกมาตามทางเดิม เลยไปหน่อยจากตรงนี้จะเป็นป้ายรถเมล์ แค่คิดสภาพว่าต้องไปเบียดกับผู้คนในเวลาไพรม์ ไทม์แบบนี้ก็เหนื่อยใจ ไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือครับ ทั้งๆที่รถเมล์คนใช้เยอะขนาดที่ว่าถ้ารถชนกัน คงไม่มีใครกระเด็นออกนอกตัวรถ แต่รถก็ยังติดแน่นชนิดที่เรียกว่าไม่ขยับ ขับออกมาที เหมือนผลาญน้ำมันเล่นไปวันๆ
กำลังจะเดินข้ามถนน มีรถจอดขวาง เล่นเอาตกใจ พอผมจะเดินหลบ ก็บีบแตรใส่รัวๆ แสดงชัดว่าไม่เคยสนใจเรื่องมารยาท
รถสีดำ เห็นโลโก้ข้างหน้าที่ทำให้ผมต้องมองเข้าไปในรถ ป้ายแดงอวดตัวแทรกอยู่ระหว่างกันชน คล้ายจะเปล่งแสงออกมาด้วยซ้ำ
คงเพราะมัวแต่เหวอ เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้ง จากเจ้ารถสีดำตรงหน้า แล้วก็ลูกคู่จากคันที่กำลังหงุดหงิดด้านหลัง
ผมวิ่งไปที่ประตูข้างคนขับ เปิดประตูรถเข้าไป กลิ่นเบาะใหม่แรงจนต้องยู่จมูก คนขับหันมามองผ่านแว่นกันแดด ไม่ได้พูดอะไร แต่ดูก็รู้เหมือนรอคำพูดจากผมอยู่
รถเคลื่อนออก ตรา BMW หมุนวนจนคล้ายวงกลมของจานสี
“พี่ไปเอารถนี้มาจากไหนเนี่ย?!”
“ขโมยมา”
“ห้ะ?”
พี่หมอกเหลือบมอง หลุดยิ้มที่มุมปาก ผมถาม “ขำอะไรวะพี่?”
“มึงดูหน้าตัวเองในกระจกตอนนี้ซะ แล้วมึงจะเข้าใจ”
ผมเห็นหน้าตัวเองในกระจก เงารางๆที่สะท้อนให้เห็นว่าพี่หมอกก็หันมามองเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำตอนรถวิ่งเลย ปากที่เป็นรูปวงกลมทำให้ผมหัวเราะออกมา
“ผมตกใจพี่เล่นมุกต่างหาก” พี่หมอกทำหน้าเฉยเมยใส่ “แล้วตกลงรถคันนี้พี่เอามาจากไหนเนี่ย ไม่ดิ ผมหมายถึงใช้เงินจากไหนซื้อเนี่ย?”
เสียงพี่หมอกกดต่ำลง “กูทนรถขยะของมึงไม่ได้”
“แล้ว เดี๋ยว ผมงง”
“…งานของกูเสร็จแล้ว แต่นี่มันก็แค่เริ่ม” พี่หมอกเปลี่ยนเกียร์ เหยียบบี้คันเร่งจนหลังผมติดเบาะ หนีไปทางที่ถนนโล่งกว่า อีโก้เดิมๆที่จางหายไปสักพัก กลับเขาสู่บ่าที่เหยียดตรงนั่น “นี่เป็นเงินค่าลิขสิทธิ์ จากระบบที่กูพัฒนา”
“โห…”
“ต่อให้ซื้อรถนี่สิบคัน ก็ยังไม่รู้สึก”
ผมต่อยเข้าที่แขนพี่หมอกเบาๆ “ฮึ่ย ดีใจอ่ะดิ ไม่ต้องมาทำหน้าเข้มเลย ผมรู้น่า” พี่หมอกจับหมัดนั่นไว้ ดันมุมปากที่ยกขึ้นไปอีกข้างไม่ให้ผมเห็น “เล่นอะไรของมึง อันตราย”
“ต่อยแค่นี้มันจะเป็นอะไรได้ไง ตัวพี่ยังกับตึก”
“อะไรของมึง ไร้สาระ..”
ในที่สุดก็ยอมยิ้มรับออกมา ผมวางเค้กไว้ที่เบาะหลัง มองไปรอบๆตัวรถ รู้สึกเหมือนพี่หมอกวิ่งนำผมไปก้าวโต
“พี่นี่เก่งเนอะ”
พี่หมอกเลิกคิ้ว ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเงาในกระจกว่าพี่หมอกหันกลับมามองเป็นบางครั้ง
หันกลับไปมอง “อะไร?”
“มึงจะพูดแค่นั้น?”
“อ้าว แล้วให้พูดไรอีก?”
พี่หมอกไม่ได้ตอบ รถขับผ่านทางที่ไม่รู้จัก เราเลือกทางที่ไกลกว่าปกติเพื่อกลับบ้าน
ตัวรถชะลอ รถที่อยู่ด้านหน้า ลดความเร็วลง
“พี่หมอก…”
“…..”
“พี่รู้เรื่องพ่อพี่แล้วใช่ไหม?”
“…มึงรู้จากใคร?”
“พี่เมฆโทรหาผม แต่ผมบอกแล้วนะ ว่าไม่ต้องโทรหาผมอีก”
“ก็ดี”
“….พี่จะไม่ไปเยี่ยมหน่อยหรอ?”
ไฟแดงอยู่ข้างหน้าห้างไปร้อยเมตร โรงพยาบาลอยู่ห่างออกไปไม่ไกล มองเห็นได้จากที่ตรงนี้ พี่หมอกมองไปอีกทาง ทางที่ตรงข้ามกับมันโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าภายใต้เลนส์แว่นกันแดดนั่น จะมองภาพสะท้อนของตึกสีขาวอีกฟากอยู่หรือเปล่า?
“คนแบบนั้น…” เสียงตัวรถดังขึ้น หรือเพราะเสียงที่พี่หมอกพูดเบา
“…ไม่มีทางตายง่ายๆอยู่แล้ว”……………………………………..
……………………………
พี่บอลมีกำหนดการณ์กลับสิงค์โปร์อาทิตย์หน้า ไม่ได้กลับเมืองไทยมานาน ก็เที่ยวไม่หยุด พูดอยู่ตลอดว่าอาหารไทยที่นู่นแพง ไม่เจอกันแป็ปเดียว เผลออีกที ก็กลายเป็นตาลุงขี้บ่นไปอีกคน
ก่อนหน้านี้ในครึ่งวันเช้าก็เอาแต่พูดเรื่อยเปื่อย ไม่สำคัญ แต่พอท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ก็เข้าประเด็นที่ทำให้มาในวันนี้ขึ้น
“กูไม่ได้ถามความเห็นมึง”
“กูแค่พูดเฉยๆ ทำไมมึงปฎิบัติต่อเพื่อนที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาช่วยมึงแบบนี้วะ?”
“เพราะนี่มันเรื่องของกู”
ทุกคนที่มาตลอดสัปดาห์นี้มีจุดประสงค์เดียวกัน ดูเหมือนเรื่องที่พ่อพี่หมอกป่วยจะรู้กันทั่ว ข่าวลือกันหนักจนถึงขั้นบอกว่าบริษัทปิดข่าวเรื่องประธานใหญ่ที่เสียชีวิตลงเพื่อรักษาผลประกอบการประจำไตรมาส แม้แต่ไอ้โจ๋ ไอ้กล้วยยังลอบถามมาบางครั้ง ปนกับเรื่องบ่นสัพเพเหระที่หาสาระไม่ได้
เป็นเรื่องน้ำท่วมปากที่ไม่ว่าใครก็พูดไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่หมอก ว่าต้องการให้คนปากแข็งนี่ไปเยี่ยมพ่อตัวเองซักครั้ง นานๆทีจะมีผู้กล้าดาหน้าเข้ามา มือที่กำดาบสั่นระทม ประชันหน้ากับจอมปีศาจขี้หงุดหงิดที่นับวันมีแต่จะหัวเสียหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องบอกว่าเก็บศพเหนื่อยกันแค่ไหน
“กูกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว”
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง นามสกุลมึง ก็รับต่อมาจากเขา เลือดครึ่งหนึ่งในตัวของมึง ก็เลือดเขาทั้งนั้น” พี่บอลถอนหายใจ ยืนทะเลาะกันอยู่หน้าบ้าน
บุหรี่ถูกจุด ผมนั่งฟังจากที่ที่ไกลออกมา ผมถามพี่หมอกไปครั้งหนึ่งแล้ว คำตอบที่ได้ มันชัดเจนจนยากจะเปลี่ยน
ม๊าเกลียดกลิ่นบุหรี่ พี่หมอกถึงต้องออกมายืนสูบแทบชิดรั้วประตู ต่อจากก้นรถกระบะสกปรก รถใหม่ที่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ส่องประกายอยู่นอกรั้ว น่าแปลก ไม่มีเด็กมือดีที่ไหนกล้ามาขูดตัวรถอย่างที่ผมกลัวเลย
“มึงกลับไปเถอะ”
“ไอ้หมอก”
“กลับไป…”
“แต่”
“อย่าให้กูต้องพูดซ้ำ”
ผมเดินไปที่ประตู เปิดประตูบ้านให้พี่บอล เขามองหน้าผม ก่อนจะตบไหล่เบาๆสองสามที เสียงรถดังขึ้น จางหายตามลำดับ ผมปิดท้ายเสียงนั้นด้วยเสียงประตูรั้ว
พี่หมอกพึมพำท่ามกลางควันบุหรี่
“….คนๆนั้นไม่อยากเห็นหน้ากูหรอก”
………………………………
……………………
คนแบบนั้น…ไม่มีทางตายง่ายๆอยู่แล้ว
คนที่ถูกพูดถึง อายุปัจจุบัน 62 ปี ทำงานหนักตั้งแต่จำความได้ ไต่เต้าขึ้นเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความยากจน เปลี่ยนฐานะของครอบครัวจากที่อดมื้อกินมื้อ ขึ้นเป็นตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศ
เปี่ยมไปด้วยความสามารถ เล่ห์เลี่ยมทางธุรกิจ สร้างศัตรู มิตร หมุนเปลี่ยน ไม่แน่นอนตามช่วงวิ่งขึ้นลงของหุ้น แต่มองอีกแง่ ก็เป็นเพียงชายวัยเกษียณอายุ 62 นั่งจมจ่อมท่ามกลางงานกองโต เฝ้าประคบประหงมบริษัทที่เพาะเลี้ยงด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ ถึงจะแบ่งส่วนหนึ่งให้ลูกชายคนโตดูแล ก็ยังรู้สึกลึกๆว่ายังไม่ถึงเวลาวางมือ
และเป็นพ่อ ของครอบครัวที่แทบจะเรียกได้ว่าแตกสลายโดยสิ้นเชิง
ผมแทบจะไม่รู้สึกถึงสายสัมพันธ์ใดๆในครอบครัวนี้เลย เหมือนสิ่งเดียวที่นิยามคำว่าครอบครัวขึ้นมา หล่อหลอมขึ้นจากนามสกุล เลือด ดีเอ็นเอที่ส่งต่อกันมา เท่านั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่านั้น ใช้ชีวิตไปตามบทบาทที่ถูกสร้างขึ้น
เงินมีความหมายอะไรกันแน่?
ถ้าเพื่อที่จะมีเงินมากมายขนาดนั้น แลกกับเวลาที่ลดน้อยลง ผมยอมที่จะยืนอยู่ที่จุดนี้ รอรถเมล์ หน้ายู่เมื่อเห็นคนล้นออกมา กินข้าวแกงที่บางครั้งก็เจอขาแมลงสาบเป็นของแถม ทนเสียงทะเลาะจากข้างบ้านที่ลอดผ่านมา เสียจะดีกว่า
ผมไม่ได้ปฏิเสธความก้าวหน้า แต่แค่จะบอกว่าชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ไปซักเท่าไหร่ เฮียก็ดูมีความสุขตามอัตภาพ ม๊าอยู่ในสังคมที่ดี เพื่อนวัยเดียวกันในหมู่บ้านชอบสรรหาทัวร์ไหว้เก้าวัดซึ่งจัดอยู่ตลอด
พี่หมอกที่อยู่กับผมตอนนี้ บ่นอยู่เสมอว่าไม่ชอบที่จะอยู่ในบ้านที่มองด้วยสายตาคนรวยแล้วไม่ต่างอะไรกับสลัม เกลียดซอยเข้าบ้านที่ลึกแล้วไม่มีวินมอไซต์ แรกๆ ถึงกับอาหารเป็นพิษตามนิสัยลูกคุณหนู ส่งสายตาที่เด็กตัวแสบข้างบ้านเห็นแล้วต้องหนาว แต่ไม่นาน ผมก็เห็นเจ้าหนูคนเล็กเดินกลับเข้าซอยอยู่ข้างๆพี่หมอก ในทางที่วังเวง เด็กคนนั้นวิ่งวนรอบๆ ส่งเสียงหัวเราะโดยที่พี่หมอกไม่ได้พูดอะไร
ชีวิตที่นี่ พี่หมอกยิ้ม ยิ้มโดยที่ไม่ต้องรู้สึกถึงน้ำหนักของบนบ่า ยิ้มได้จากความรู้สึกภายใน เรื่องที่พูดในสิ่งที่อยากพูดนั้น ผมคิดว่าไม่ว่าพี่หมอกอยู่ไหน ก็อาจจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกได้ ว่าในคำพูดเจ็บแสบที่ฟังแล้วต้องหยีตานั่น พี่หมอกคิดถึงคนอื่นมากขึ้น
สิ่งเหล่านั้นนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าการตัดสินใจของพวกเรา อาจเป็นเรื่องถูก
แน่นอน
อาจจะในคืนหนึ่งที่พวกเราหลับสนิท โทรศัพท์ดังอยู่ตลอด แต่พี่หมอกก็เลือกที่จะปิดเครื่องทิ้ง ผมหลับไม่รู้เรื่อง เหนื่อยกับงานแรกที่ได้รับ มือที่ยังเปื้อนรอยดำ พี่หมอกเช็ดให้เบาๆตอนที่ผมรู้สึกเคลิ้ม หลับไปโดยที่มือยังถูกกุมอยู่
ในตอนเช้าตรู่ที่พวกเราตั้งใจจะออกไปหาของกินที่ตลาดด้วยกัน หน้าบ้านถูกจอดขวางไว้ด้วยรถคันหนึ่ง
พี่แพนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต ปลายเสื้อยับ ยืนรออย่างเงียบเชียบ ขอบตาดำสนิท สภาพดูคล้ายคนอมโรค พอเห็นพวกผมออกมาจากบ้าน ก็ดันตัวขึ้นจากที่ยืนพิงรถอยู่
ไม่รอให้พวกผมเดินพ้นออกจากรั้วบ้าน พูดดักไว้ เหมือนคำพูดนั้นกั้นไม่ให้พวกเราได้เดินต่อ
มาเพื่อแจ้งข่าว
พี่หมอกยืนอยู่ข้างผม
ยื่นมือออกจากเดิมนิดหน่อย ผมยื่นมือไปหา คว้าไว้
“ท่านประธาน…”สิ่งที่หลุดออกมาหลังจากนั้น เชื่องช้า อืดอาดคล้ายเวลาถูกยืดออก
ผมรู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงนั้นไม่ชัดเจน เป็นเสียงที่ฟังแล้วผ่านหูออกไป จับใจความสำคัญไม่ได้ คล้ายถูกตีหัวอย่างแรง
ในช่วงเวลาที่ผมสับสน มือพี่หมอกสอดเข้าหามือผม กำแน่นจนปลายนิ้วกลายเป็นสีซีดขาว
…………………………………………
……………………………..
[B.N.31]
[27.10.56]
ฉลองเปิดเทอม
หลังจากปิดเทอมอันแสนยาวนาน
9วัน
อาเมน