มาแล้วตามคำเรียกร้องของใครหลายคน
คนแต่งเร่งปั่นมาให้อ่านกันสด ๆ ร้อน ๆ เลยทีเดียว
ไปอ่านกันเลยดีกว่า ว่าหนี่เจินผู้น่ารักของใครหลายคนจะเป็นเช่นไรต่อ
*-------------------------------------------------------*-----------------------------------------------------------------*
13
ข่าวเรื่องการบาดเจ็บของหนี่เจินทำให้ฝ่าบาทต้องทิ้งงานทุกอย่างแล้วเร่งรีบเสด็จไปยังตำหนักเหม่ยชุนในทันที่ทราบข่าว
บรรดาหมอหลวงและนางกำนัลต่างก็เดินกันให้วุ่นวาย เนื่องด้วยฮองเฮาพระอาการไม่ดีขึ้นเนื่องมาจากเสียเลือดมาก และเลือดยังไหลออกมาจากบาดยังไม่ยอมหยุดไหลเสียด้วย
เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึงยังตำหนักก็เห็นความวุ่นวายนั้นแล้วตรงเข้าไปยังในห้องแล้วรีบเร่งถามอาการของหนี่เจินทันที
“หนี่เจินเป็นอย่างไรบ้างหมอหลวง”
หมอหลวงหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัดมือไม้สั่น หากคำตอบของตนอาจทำให้หัวที่กำลังจะตอบนี่หลุดหายไปในพริบตาก็เป็นได้
“ทูลฝ่าบาทพระอาการของฮองเฮา...”
“จะอำอึ้งทำไม รีบบอกข้ามาสิอาการของหนี่เจินเป็นเช่นไรกันแน่ เจ้าจะบอกข้าดี ๆ หรือต้องให้หัวหลุดจากบ่าก่อนถึงจะตอบข้าได้”พระสุรเสียงแข็งกร้าวที่เล่นทำเอาหมอหลวงหน้าซีดตัวสั่นต้องรีบตอบทันที
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงว่า...เกรงว่าจะไม่พ้นคือนี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะทรงเสียพระโลหิตมากแล้วอาการก็ยังไม่ทรงตัว หม่อมฉันรักษาอย่างสุดความสามารถแล้วแต่...พระอาญาไม่พ้นเกล้าโปรดประหารหม่อมฉันด้วยหม่อมฉันไม่อาจรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินหมดหลวงกล่าวเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้แทบจะล้มทั้งยืน มองร่างของคนรักที่ยังไร้สติแล้วทรงดำเนินไปยังที่บรรทมก่อนจะทรุดตัวลงข้าง พระหัตถ์ที่เคยแข็งแกร่งกับรู้สึกอ่อนแล้วคว้ามือบางที่ซีดขาวลงราวกับกระดาษแนบเข้ากับพระพักตร์
“หนี่เจินไหนเจ้าบอกรักข้ายังไง ทำไมเจ้าถึงจะทิ้งข้าไปเช่นนี้ ลืมตาขึ้นมาที่รักของข้าเจ้าสัญญาว่าจะมีลูกตัวน้อย ๆ ให้ข้าอย่างไรเล่า แล้วตอนนี้ทำไมเจ้าถึงได้เอาแต่นอนลุกขึ้นมาแล้วบอกรักข้าอีกไม่ได้หรือ” พระสุรเสียงอ่อนแรงที่ทำให้คนที่อยู่ภายในห้องมิอาจส่งเสียงอะไรได้
พระหัตถ์แข็งแกร่งลูบไล้ตามใบหน้าที่ซีดขาวไม่แพ้มือที่แนบหน้า บาดแผลที่ยังคงมีเลือดซึมออกมานั้นอีก เมื่อเห็นเช่นนั้นฮ่องเต้ก็สัมผัสกับผ้าที่กดบาดแผลในตอนแรกแล้วออกแรงกดบาดแผลด้วยพระองค์เอง
แล้วปาฎิหาริย์ก็เกิดขึ้นเมื่อเลือดที่ไหลในตอนแรกหยุดไหลทันทีที่พระหัตถ์แกร่งสัมผัส เมื่อเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้วก็ทรงเรียกให้บรรดาหมอหลวงรีบดูอาการทันที
“หมอหลวงรีบมาดูอากาหนี่เจินเร็วเข้า”พระสุรเสียงรับสั่งดังขึ้นบรรดาหมอหลวงต่างก็รีบเร่งเข้าตรวจพระอาการ และพอตรวจเสร็จสีหน้าของบรรดาหมอหลวงก็แสดงสีหน้าโล่งใจขึ้นทันที
“ทูลฝ่าบาท ตอนนี้พระโลหิตของฮองเฮาหยุดไหลแล้วเหลือแต่เพียงเสวยโอสถและพักผ่อนให้มาก ๆ พ่ะย่ะค่ะ พระอาการตอนนี้คงทีแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีงั้นพวกเจ้าไปเตรียมยาซะแล้วเอามาให้ข้า”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงเมื่อได้ยินรับสั่งก็รีบให้เด็กรับใช้รีบไปต้มยาและนำมาถวายให้ฮ่องเต้ ทรงรับยาที่หมอหลวงถวายก่อนช้อนตัวคนที่นอนไร้สติพิงกับพระวรกายแข็งแรง แล้วจัดการจิบยาที่อยู่ในถ้วยอมไว้ แล้วทาบทับเข้ากับริมฝีปากร่างบางที่ยังคงหมดสติอยู่
โอสถรสขมถูกฮ่องเต้ป้อนผ่านลำคอ จนคนร่างบางเริ่มรู้สึกถึงรสชาติขนจึงต้องลืมตาขึ้นมอง พร้อมกับอาหารมึนหัวและอาการเจ็บปวดที่บาดแผล
“ฝะ...ฝ่าบาท...”
เสียงแหบพร่าดังมาจากคนร่างบาง ทำให้ฮ่องเต้ก้มพระพักตร์ลงมองแล้วก็แย้มสรวลออกมาอย่างพอพระทัย ตอนนี้คนที่รักยิ่งของพระองค์ฟื้นสติแล้ว
“เจ้าเจ็บตรงไหนมั้ยหนี่เจิน”
“ไม่เพค่ะ แต่รู้สึกหิวน้ำจัง”
แล้วพระหัตถ์แข็งแกร่งก็เอื้อมไปหยิบถ้วยน้ำข้างที่บรรทมก่อนจะเท่น้ำแล้ว ส่งให้คนร่างบางที่พอรับไปก็รีบกินอย่างหิวกระหาย
“เอาอีกสักถ้วยมั้ย”
หนี่เจินส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะซุกหน้าเข้ากับพระอุระอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วดวงตาคู่สวยก็หลับลง ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นก็วางร่างบางให้นอนลงก่อนจะห่อผ้าปิดจนถึงลำคอแล้วเสด็จออกจากห้องไป โดยไม่ลืมที่จะสั่งให้สองนากำนัลคนสนิทดูแลกเป็นอย่างดี
ฮ่องเต้ทรงเสด็จไปไต่สวนผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุแต่กลับไม่มีเบาะแสอะไรเลย ทำให้พระองค์ทรงกริ้วที่เหล่านางกำนัลและขันทีนั้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ทรงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนเพราะตอนนี้เหล่าคณะทูตจากมองโกเลียได้เดินทางมาถึงยังวังหลวงแล้ว
ฮ่องเต้จำต้องออกไปต้อนรับเหล่าราชทูตและขบวนเสด็จของเจ้าหญิงลีอาร์เพียงพระองค์เดียว เพราะฮองเฮาของประเทศนั้นกำลังประชวรหนักไม่อาจออกมาต้อนรับได้
เมื่อพระเกี้ยวขององค์หญิงลีอาร์และขบวนคณะทูตหยุดลง และเดินทางเข้าไปยังท้องพระโรงที่ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับและรอการมาของเหล่าคณะทูตแล้ว
องค์หญิงลีอาร์เสด็จเข้ามายังภายในท้องพระโรงพร้อมด้วยเปล่าคณะทูตที่เตามเสด็จอย่างพร้อมเพียงและพอองค์หญิงเสด็จมาถึงบรรดาขุดนางและข้าราชบริพานต่างก็มององค์หญิงผู้พึ่งมาถึงใหม่อย่างไม่ว่างตา
องค์หญิงลีอาร์มีรูปโฉมงามดั่งคำร่ำลือนักใบหน้าเรียวสวยทั่งยังขาวผุดผ่องหน้ามอง ผมสีดำยาวสลวย รูปร่างที่อรชรที่ชายใดได้พบพานแล้วต้องมองตามยิ่งนัก ไม่แม้นแต่ฮ่องเต้ที่มองนางพระเนตรค้าง
องค์หญิงลีอาร์ย่อกายถวายพระพรพร้อมด้วยเหล่าคณะทูตก็พากันถวายพระพรเช่นเดียวกับผู้เป็นนาย
“ถวายพระพรฝ่าบาท หม่อมฉันองค์หญิงลีอาร์ ธิดาองค์เล็กของพระราชาอาทาร์เพค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะองค์หญิงวันนี้ท่านเดินทางมาเหนื่อย ๆ โปรดไปพักผ่อนก่อนแล้วในตอนค่ำจะมีงานเลี้ยงต้อนรับการมาเยือนของท่านและเหล่าคณะทูต”
“ขอบพระทัยเพค่ะฝ่าบาท”
หนี่เจินเมื่อฟื้นสติขึ้นก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาเรียกให้สาวใช้คนสนิทเอาน้ำให้ดื่มก่อนจะถามหาคนที่อยู่ด้วยก่อนหมดสติไป
“ฝ่าบาทต้องทรงต้อนรับขบวนคณะทูตที่มาถึงเพค่ะ”
“อืม..ข้าเข้าใจแล้วตอนนี้ข้าหิวจังเสี่ยวเย้หาอะไรให้ข้ากินหน่อยสิ”
“เพค่ะฮองเฮา”
พอเสี่ยวเย้ที่ตอนนี้ได้เลื่อนเป็นนางกำนัลคนสนิทออกไปได้ไม่นานก็มีเสียงนางกำนัลเอ่ยขึ้นมาอีก ถึงการมาของใครบ้างคนที่เขารอ
“ฝ่าบาทเสด็จ”
หนี่เจินพยายามลุกขึ้นยืนแต่ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงนี้ก็ไม่อาจลุกได้ตามใจปรารถนานัก เมื่อฮ่องเต้เสด็จเข้ามาและทอดพระเนตรเห็นคนรักพยายามลุกถวายพระพรก็รีบถหลาเข้าไปประคองร่างบางที่ทำท่าว่าจะล้มเสียให้ได้
“ฝ่าบาท...”
เมื่อรู้ว่าใครที่ประคองตัวเองไว้ก็รีบจะย่อกาย แต่แล้วฮ่องเต้ก็ทรงต้องรั้งคนในอ้อมกอดให้ลุกแล้วนั่งลงยังที่บรรทมแทน
“เจ้าลุกขึ้นมาทำไม ในเมื่อเจ้ายังไม่แข็งแรงดีเช่นนี้หนี่เจิน รู้มั้ยเจ้าทำให้เป็นห่วงนักหากเจ้าเป็นอะไรไปข้าคงเหมือนตายทั้งเป็น”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้วเพค่ะ แค่รู้สึกหน้ามืดนิดหน่อยเลยคิดว่าไม่เป็นไร”
“แค่หน้ามืดที่ไหน เมื่อกี้ถ้าข้าเข้ามาประคองเจ้าไว้ไม่ทันเจ้าคงล้มลงไปกองกับพื้นแล้วรู้ตัวมั้ย เจ้านี่ชอบทำให้ข้าเป็นห่วงนักแล้วอย่างนี้จะให้ข้าอยู่ห่างเจ้าได้เช่นไร นี่แค่ข้าห่างเจ้าไม่กี่วันยังเป็นเช่นนี้”
“ฝ่าบาทล่ะก็ทรงลืมไปแล้วหรือ หม่อมฉันเป็นบุรุษนะเพค่ะแข็งแรงกว่าสตรีนัก พระองค์ไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉันหรอกเพค่ะ อย่างไรราชกิจบ้านเมืองสำคัญกว่า”
“บ้านเมืองส่วนบ้านเมืองสิ ข้ามีเมียที่รักยิ่งเพียงคนเดียวแล้วจะไม่ให้ข้าห่วงเจ้าได้เช่นไรกันเล่า”
หนี่เจินซุกเข้ากับพระอุรแข็งแกร่งที่อบอุ่นนี้อย่างเขิลอายนัก ฮ่องเต้เองก็ทรงแย้มพระสรวลออกมาบาง ๆ อย่างพอพระทัยที่แกล้งคนร่างบางในอ้อมกอดได้สำเร็จ แล้วพรมจุมพิตบนเรือนผมสวยของคนร่างบาง
“ได้ยินว่าเหล่าคณะทูตเดินทางมาถึงแล้วนี่เพค่ะ ทรงปลีกตัวมาเช่นนี้จะดีหรือเพค่ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยก็งานเลี้ยงจะเริ่มในตอนค่ำ ตอนนี้ข้าว่างก็ต้องมาหาหัวใจข้าสิยิ่งเจ้าป่วยข้ายิ่งต้องมาอยู่เคียงข้างสิ”
หนี่เจินดันพระวรกายหนาออกแต่ฮ่องเต้ก็ทรงมิให้ทำเช่นนั้นไม่ ทรงรั้งเอวบางให้แนบชิดพระวรกายยิ่งขึ้นไปอีก แล้วก็ได้ยินนางกำนัลเอ่ยขึ้นว่าฮองไทเฮาเสด็จก็ยิ่งดันพระวรกายให้ออกแต่ก็ไม่เป็นผล
ฮองไทเฮาเมื่อเสด็จเข้ามาภายในห้องก็พบภาพฮ่องเต้โอบร่างของหนี่เจินไว้ ก่อนจะทรงแย้มพระสรวลอย่างดีพระทัยในพระทัยก็ทรงคิด อีกไม่นานพระนางจะทรงได้เห็นองค์ชายไม่ก็องค์หญิงเป็นแน่
“ถวายพระพรเสด็จแม่” ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นถวายพระพรพระมารดา
“ถวายพระพรเสด็จแม่”หนี่เจินเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็จะทำท่าลุกขึ้นถวายพระพอบ้าง แต่แล้วฮองไทเฮาทรงห้ามไว้ก่อน
“เจ้าไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก พักผ่อนเถอะแม่แค่มาเยี่ยมเจ้า แค่เห็นเจ้าดีขึ้นแม่ก็ดีใจแล้วตั้งแต่เจ้าเข้าวังมานี่ก็เกือบสองเดือนแล้ว แม่รอฟังข่าวดีจากพวกเจ้าทั้งสองอยู่ เมื่อไรจะมีหลานให้แม่ได้ชื่นใจล่ะฮ่องเต้”
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเองก็เร่งอยากมีแต่หนี่เจินนี่สิ”
“ฝ่าบาทล่ะก็ จะให้หม่อมทำเช่นไรล่ะเพค่ะไม่ใช่ว่าอยากมีแล้วจะมีได้เลยนะเพค่ะ”
แล้วฮองไทเฮาก็ทรงสรวลออกมา ก็จริงอย่างที่หนี่เจินว่าพึ่งจะเข้าหวังมาได้ไม่ถึงสองเดือนจะให้รีบตั้งครรถ์ได้เช่นไร
“แล้วนี่เจ้าจะไปร่วมงานเลี้ยงเหล่าคณะทูตได้หรือเนี่ย แม่ว่าเจ้าพักดีกว่าไม่ต้องไปหรอก”
“หม่อมฉันแข็งแรงดีแล้วเพค่ะ มิต้องทรงห่วง”
“งั้นก็ดีจะได้มีคนคอยคุ้มฮ่องเต้มิให้ออกนอกลู่นอกทาง”
หนี่เจินหัวเราะออกมาเมื่อฮ่องเต้ทรงท้วงว่าไม่เคยคิดนอกใจเขาเลย และยังย้ำนักหนาว่า จะทรงรักหนี่เจินเพียงคนเดียว เล่นเอาหนี่เจินเขิลจนหน้าแดงอีกครั้ง
*----------------------------------------------------------*------------------------------------------------------*
ลีอาร์มาถึงแล้วจะสร้างความวุ่นวายเช่นไร
ต้องรออ่านเอาในตอนหน้าอิอิ