ตอนที่ 10ตลอดชีวิตที่ผ่านมาหลงรัก และอกหักจนชิน เหตุผลสำคัญก็คือ ไม่แย่งของรักของใคร และไม่ยื้อใครไว้หากเขาจะไป แต่ครั้งนี้ ผู้กองหมอกตัดสินใจที่จะละเมิดกฎเหล็กของตัวเองสักครั้ง
เรื่องราวทั้งหมด ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้
เอาที่เห็นชัดเจนกันตรงนี้ก็คือ
บาลีสนใจความรู้สึกแพทน้อยกว่าคอส
ระดับความรู้สึกของแพทต่อบาลีอยู่ในขั้นชอบถึงรัก...
ไม่น่าใช่
อาจเกือบรัก แต่ไม่ได้รัก เพราะดวงตาของแพทในตอนที่มองตามบาลีพาลูกค้าขึ้นไปชั้นลอย มันชัดเจนว่ามีสิ่งที่แพทรักมากกว่าอยู่ที่นั่น
กับอีกเรื่องคือ คดีเด็กนักศึกษาที่ถูกฆาตกรรม เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของเป็นหนึ่ง
และเป็นหนึ่งกับคอส อาจเกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง
ทั้งหมดยังต้องติดตามกันต่อไป
สมองคิดไป ดวงตาสีเข้มของนายตำรวจ ก็ยังคงจับจ้องที่หนุ่มออฟฟิศหน้าสวย จนเขารู้ตัวหันมาขึงตาใส่
...โอเค ได้ข้อสรุปข้อแรก คนที่เขาดีด้วยมีแต่บาลีคนเดียว
...เฮ้อ....
เฮ้ย เดี๋ยวๆๆๆ ไม่เฮ้อ ไม่เฮ้อ ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ที่เพื่อนมอบหมายมานี่หว่า
นั่นคือ.....
จีบแพท
หน้าที่ยิ่งใหญ่มากจริงคุณตำรวจ
"แพทมายังไง ผมไปส่งที่ทำงานมั้ย"
พอผู้กองหมอกเปิดปากพูด ทำลายความเงียบ คอสถึงได้ละสายตาจากแพท แล้วเดินไปหยิบสร้อยข้อมือที่ยังถักไม่เสร็จมาถักต่อ
"มารถบริษัท" แพทบอกแล้วหันไปหาบาลีอีกครั้ง จากที่ยืนอยู่ตรงนี้ เห็นบาลีเดินเข้าไปที่ตู้ด้านในสุด กับแผ่นหลังของลูกค้า ที่ก้าวเข้าไปหา แล้วก็ไม่เห็นอะไรอีก ได้ยินแต่เสียงพูดคุย
"งั้นผมไปส่ง" ผู้กองเดินเข้ามาดึงข้อมือแพทดื้อๆ
"นี่!" แพทหันมาตะคอกใส่หน้า
ผู้กองหมอกยิ้มเย็น เมื่อตัดสินใจจะเดินหน้าแล้วไม่มีวันถอยหลัง ไม่งั้นจะเป็นเพื่อนกับมนุษย์ประหลาดอย่างบาลีได้ยังไงใช่มั้ย
"บาลีคุยกับลูกค้า คงอีกนาน คุณต้องกลับไปทำงาน ส่วนผมว่าง ไปกันเถอะ"
ผู้กองหมอกออกแรงดึงมือแพทออกมาหน้าร้าน
แพทได้แต่หันไปมองที่ชั้นลอย อยากตะโกนเรียก แต่มันก็เป็นการกระทำที่น่าเกลียดเกินไป บาลีกำลังคุยกับลูกค้า แล้วตัวเองก็ไม่ใช่เด็กสาวที่โดนฉุดจะได้กรีดร้องขอความช่วยเหลือ
แพทนั่งนิ่งเหมือนหุ่น ชวนคุยก็ไม่ตอบคำถามมาจนถึงบริษัท แต่เมื่อเห็นรถคันใหญ่จอดอยู่ใกล้บันไดหน้าอาคาร สีหน้าก็เปลี่ยนไป
"จอดรถที่อาคารจอดด้านหลังได้"
ผู้กองหมอกเลิกคิ้วสูง แต่ก็เอารถไปจอดตามคำสั่ง แล้วเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศของแพทด้วยกัน
แพทเดินหลังตรง คอแข็งไม่สนใจใคร ชี้บอกให้ผู้กองรอที่ชุดรับแขก "รอที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวผมมา"
ยังไม่ทันที่แพทจะเดินต่อไปที่โต๊ะทำงานด้านใน ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็เดินตรงเข้ามาหา
"แพท หายไปไหนมา" ท่าทางของพัฒนะ เหมือนมาดักรออยู่นานแล้ว
"ผมออกไปคุยกับลูกค้า แล้วก็เจอเพื่อน" หนุ่มหน้าสวยหันมาหาผู้กองหมอก ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ "นี่ คุณพัฒนะ"
พัฒนะมองเหมือนไม่เชื่อ "เพื่อนแพทหรือ ทำไมไม่เคยเห็น พี่เป็นพี่ของแพท"
ผู้กองหมอกทำท่านอบน้อม ไม่ตอบคำถามของพัฒนะ แต่หันไปมองแพท ที่มีสีหน้าซีดเซียว
"แพทไม่สบายหรือเปล่า"
"ไม่เป็นไร ผมจะไปทำงานต่อ คุณ...รอผมที่นี่ เดี๋ยวเลิกงาน แล้วค่อยไปด้วยกัน"
แพทบอกแล้วหันหลังเดินเร็วๆกลับไปทำงาน ขณะที่พัฒนะกอดอกมองชายหนุ่มร่างหนาที่มองตามน้องชายกลับเข้าไปทำงาน
“จะไปไหนกัน”
“ไปที่แพทสอนพิเศษน่ะครับ วันนี้วันศุกร์”
ผู้กองตอบคำถาม ที่ทำให้พัฒนะยิ่งอารมณ์ไม่ดี เพราะแพทพยายามหลบหน้ามาตลอดหลายวัน โทรหาก็ไม่รับสาย
"คุณทำงานอะไร"
"ผมเป็นตำรวจ"
ผู้กองหมอกตอบคำถาม น้ำเสียงที่ใช้แนะนำตัวยังคงธรรมดา สายตาที่ใช้ก็ไม่ได้จับผิด ไม่มีออร่าของเจ้าพนักงานสอบสวนเลยสักนิด แต่พัฒนะหน้าถอดสี เดินตามแพทเข้าไปข้างใน
จากที่มองอยู่เห็นพัฒนะเดินเข้าไปหาแพทที่โต๊ะทำงาน พูดบางอย่าง แล้วผ่านเข้าไปที่ด้านใน ส่วนแพทหันมามอง สบตาสีเข้ม ที่ผู้กองหมอกทำได้ คือส่งยิ้มให้กำลังใจ
บาลีบอกไว้ว่า แพทไม่ได้มีพื้นฐานเป็นคนเลวก็จริง แต่ประสบการณ์ในการทำงานก็บอกว่า คนเราทำเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดได้มากมาย
หลงเขาแต่แรกเพราะรูปร่างหน้าตา มองไม่ละสายตา ยิ่งท่าทางไว้ตัวแบบนั้นยิ่งทำให้น่าสนใจ
ผู้กองเลือกโซฟาที่สามารถมองเห็นโต๊ะทำงานของแพทได้ ถึงจะแค่ส่วนของศีรษะที่พ้นจากแผงกั้น แต่อย่างน้อยก็ยังได้เห็น
พอพัฒนะเดินเข้าไปที่ห้องทำงานด้านใน แพทก็รีบลุกมาหา ไม่พูดไม่จาดึงข้อมือมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ลากเก้าอี้มาอีกตัว ส่งหนังสือพิมพ์ให้
“อ่าน”
ผู้กองพยักหน้างงๆ เหมือนเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะใกล้เคียงของแพทน่ะแหละ
แพทเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ความรู้สึกเกลียดชังรุนแรงเกิดขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงพัฒนะ
จากนั้นทุกคำพูดและการกระทำมันก็เป็นไปเอง ทั้งการแนะนำผู้กองหมอก จนถึงดึงให้เขามานั่งข้างๆที่โต๊ะทำงาน
ที่ผ่านมาก็ฝืนตัวเองให้ต้องพบเจอกับเรื่องราวน่าสะอิดสะเอียนมาได้โดยลำพัง ตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ ก็เพราะคิดว่าเรามันตัวคนเดียว
แล้วนี่มันเรื่องอะไรที่จู่ๆก็ไปดึงคนนี้ให้มาเป็นเกราะกันผู้ชายคนนั้น
...คนพวกนั้นน่ารังเกียจ เหมือนคนที่กำลังไม่เข้าใจตัวเองคนนี้น่ะแหละ...
...คน 4 คนที่น่ารังเกียจ....
..ไม่สมควรดึงคนแบบบาลี หรือผู้กองหมอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย...
แพทรู้สึกปวดตา จนต้องกดนวดที่หัวคิ้ว ผู้กองเพียงแค่แตะที่หลัง “เหนื่อยเหรอ ไปสอนไหวมั้ย”
“ไหว” แพทบอกแล้วหันกลับไปทำงานต่อ
งานยังไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่พัฒนะก็เดินออกมาจากห้องทำงานด้านหลัง แล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเกินจริง
“เสร็จแล้วขึ้นไปหาพี่ที่ห้องทำงานนะ”
แพทพยักหน้าแต่ทำงานต่อไป ขณะที่พัฒนะไม่ได้แม้แต่จะเหลือบตามองผู้กองหมอก ก็เดินออกไปจากห้องทำงาน ดูจากทิศทางที่ไปน่าจะขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องทำงานอีกชั้น
แพททำงานไปเรื่อย ไม่พูดไม่จากับใคร แม้แต่คนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆ จนกระทั่ง 4 โมงถึงได้สั่งพิมพ์งาน แล้วเดินไปจัดเรียงใส่แฟ้ม เอางานไปส่งหัวหน้าแผนก กว่าจะเดินกลับมาหาผู้กองหมอกก็เกือบ 5 โมง
ส่งงานเสร็จแล้ว ใกล้เวลาที่จะเลิกงาน
..ใช่..แพทกำลังพยายามถ่วงเวลา โอ้เอ้ ตั้งแต่พิมพ์รายงานจนถึงเข้าไปสรุปงานให้หัวหน้าฟัง แล้วก็ออกมาชวนผู้กองหมอกให้ขึ้นไปหาคุณพัฒนะด้วยกัน
ความอึดอัดคับข้องใจทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ
หลอกทั้งบาลี
หลอกทั้งผู้กองหมอก
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา จะไม่เคยมีใครมองตามจนเหลียวหลัง แต่ท่าทางตรงไปตรงมาของผู้กองหมอก เพื่อนบาลีคนนี้ มันก็ชัดเจนจนไม่ต้องเดา ไม่ต้องคิดว่ากำลังหลงตัวเอง
แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งบอกให้ทำอะไรก็ทำตามง่ายๆ มันอดที่จะฉุกใจคิดไม่ได้ว่า ทำไมเขาต้องทำตามคนที่เพิ่งพบเจอกันขนาดนี้
แล้วยิ่งเรื่องที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ ยิ่งควรต้องระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม
บางทีคนๆนี้อาจช่วยได้
ไม่!
ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง
แพทบอกให้ผู้กองหมอกรอที่หน้าห้องทำงานของพัฒนะ ส่วนตัวเองเปิดประตูเข้าไปในห้อง
พัฒนะลุกจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ทันที ขณะที่เหลือบตามองนาฬิกา เหลืออีก 15 นาทีแพทก็จะออกจากที่ทำงานเพื่อไปสถาบันกวดวิชา
“แพท ทำไมช้านัก”
แพทไม่ตอบคำถาม “คุณพี่มีอะไรครับ”
“พี่ คิดถึง”
พัฒนะบอกขณะที่กอดเอวบางเข้ามาแนบชิด
แพทได้แต่เบี่ยงหน้าหนี
เมื่อมือใหญ่บีบก้นกลมแพทก็รีบบอก “ผมต้องรีบไปสอนพิเศษ”
“เดี๋ยวค่อยไป ขอพี่ก่อน”
“ไม่ครับ ผมต้องรีบไปแล้ว”
พัฒนะไม่ฟังเสียงผลักแพทลงที่เก้าอี้ ปัดมือของแพทที่พยายามปัดป้องไม่ให้
“แพท อย่าดื้อสิ!”
“ไม่ทันหรอกครับ ผมต้องรีบไป”
พัฒนารีบปลดเข็มขัด รูปซิปกางเกง ดวงตาวาวเหมือนเห็นขนมของโปรด
“อยู่เฉยๆ เป็นเด็กดีของพี่”
แพทหันไปมองที่ประตูห้องทำงาน ขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกถึงหยาดน้ำตาอุ่นๆ หยดจากหางตา
เมื่อเปิดประตูห้องทำงานใหญ่ออกมาก็ต้องรีบเร่งมาที่ลานจอดรถ
“แพท เป็นอะไรหรือเปล่า” ผู้กองถามด้วยความเป็นห่วง
หนุ่มออฟฟิศหน้าสวยหันมาฝืนยิ้มให้คนถาม “วันนี้คุณถามผมด้วยประโยคนี้กี่ครั้งแล้วเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณดูไม่ค่อยสบาย”
แพทพยักหน้ายอมรับ แต่ไม่ได้อธิบายอะไร จนเมื่อมาถึงลานจอดรถก็บอกกับผู้กองหมอกว่าให้ขับรถกลับไปที่ร้านหนังสือได้ ส่วนตัวเองก็จะขับรถส่วนตัวไป
“แล้วเจอกันที่ร้านพี่บาลีนะครับ”
“แพท”
“ครับ”
ผู้กองขยับปากจะพูดบางอย่างแล้วเปลี่ยนใจ “ถ้าไม่ไหวก็บอกนะครับ”
“ครับ” แพทยิ้มเศร้า แล้วเปิดประตูรถ ขับออกไป
*-*-*จบตอนที่ 10*-*-* ย้ำกันอีกครั้งเมื่อคุณอ่านจนจบตอนนี้ว่า "ทุกตัวอักษรในเรื่องนี้คือเรื่องแต่ง ไม่มีเรื่องจริงสักนิดเดียว" เรื่องทั้งหมดเกิดจากการเห็นบ้านใกล้ๆ เขาบิ๊กคลีนนิ่งเดย์แล้วลูกสาวเขาเอาหนังสือเก่าของพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วขายซาเล้งไปทั้งหมด ผมทนดูด้วยอาการปวดหัวใจไม่ไหว พอชั่งกิโลเสร็จผมก็ขอจ่ายเงินแทนซาเล้ง หอบหนังสือทั้งหมดเข้าบ้าน พอเด็กน้อยผมมาถึงก็เริ่มจุดประเด็นด้วยการถามว่า "พี่ว่าในหนังสือนี่ มีผีมั้ย" แล้วการต่อเรื่องกันไปเรื่อยๆ ก็ตามมา...
ใช่แล้วต่อเรื่องไปเรื่อยเปื่อยมาก จนต้องมาถามพี่ๆในเฟสว่า คิดว่าวัตถุอะไรที่น่าจะมีวิญญาณ ถามแม้กระทั่งรอยสักของนายเอก เพราะว่าตกลงกันไม่ได้ 
ขอบคุณที่ติดตามครับ
ไจฟ์ครับทีครับ