ตอนที่ 33
เคยถามตัวเองอยู่หลายครั้ง ว่าถ้าลองเปลี่ยนให้ผู้กองหมอกทำในสิ่งเดียวกับที่ตัวเองทำลงไปทั้งหมด ยังจะได้รับรอยยิ้ม และคำพูดว่าไม่เป็นไรหรือเปล่า จะออกเวรแล้วก็กลับมานอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนเจ็บเหมือนกันหรือเปล่า
ตอบได้ทันทีว่า ไม่
แต่ผู้กองหมอกคนนี้ก็ยังทำ
มีแต่การกระทำที่แสดงให้รู้และเห็นว่ารักและหวังดี
เป็นความดีที่ทำให้รู้สึกละอายใจ
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับที่บาลีพูด และทำให้เห็นยิ่งรู้สึกทั้งอับอาย ทั้งต้องยอมรับว่าตัวเองโง่ขนาดไหน
โง่และเห็นแก่นตัวจนไม่เหมาะสมกับคนดีอย่างหมอกโดยสิ้นเชิง
ตื่นเช้าผู้กองหมอกสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืด เตรียมพร้อมออกไปข้างนอก แต่พอเห็นว่าแพทตื่นก็รีบเข้ามาพยุงนั่ง แล้วพาไปห้องน้ำ
“ขอบคุณครับ” แพทบอก
“ผมจะออกไปข้างนอก ถ้าจะลุกไปห้องน้ำ กดเรียกพยาบาลนะครับ”
“ไปเรื่องก้อยหรือ”
“ครับ” หมอกรอคอยคำพูดต่อไปของแพท “มีอะไรหรือเปล่า”
“เด็กคนนั้นดูถูกคน ผมคิดว่าทุกคนมองออกมาตั้งแต่ต้น แต่เท่าที่ผมรู้จักพวกเขาทั้ง 3 คนมาหลายปี ผมว่าประกายน่ะโลภมากก็จริง แต่เธอไม่น่าจะฆ่าคนได้”
หมอกเพียงแค่รับฟังเฉยๆ ขณะที่ในใจก็ยอมรับว่าเท่าที่คุยกัน ประกายเป็นแบบนั้นจริงๆ
“ส่วนพัฒนะกับก้อยน่ะ ถึงก้อยจะเป็นคนเอามีดกรีดผม แต่อย่าลืมว่าพัฒนะเป็นคนพาผมกับนักศึกษาผู้ชายคนนั้นไปที่บ้าน”
“แพทคิดว่าพัฒนะเป็นคนโน้มน้าวให้ก้อยลงมือหรือ”
แพทเหลือบตามองหมอกแล้วก้มมองมือตัวเอง “ผมเป็นของเล่นของเขามาตั้งแต่ 13 ผมถึงรอดมาได้ แต่พอเริ่มตีตัวออกห่าง คุณพี่พัฒนะก็เริ่มร้อนรน จนถึงวันที่ผมยืนยันว่าผมไม่กลับไปหาเขาอีกแล้ว ทำให้เขาเอาผมมาให้ก้อยฆ่า”
หมอกพยักหน้าคิดตามช้าๆ
“ตอนที่ผมเดินเข้าไปในโรงฝึกงานที่บ้านน่ะ ก้อยรออยู่มีของหลายอย่างวางเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ผมไม่เคยเข้าไปในโรงฝึกงานนั่นก็จริง แต่ตั้งแต่ผมรับโทรศัพท์แล้วเดินออกไปหาเขา ที่ฝั่งตรงข้ามกับร้านนายรักอ่าน จนถึงบ้าน คุณพี่พัฒนะไม่ได้กดโทรศัพท์หาใครเลยนะครับ”
หมอกมาคอยอยู่ที่นัดพบกันที่ด้านนอกของกองปราบปราม พอบาลีมาถึงหมอกก็ถ่ายทอดคำบอกเล่าของแพทให้บาลีรู้ตั้งแต่ต้น และย้ำอีกครั้งก่อนที่จะเดินเข้าไปที่ห้องสอบปากคำด้วยกัน
“กูเข้าใจว่ามึงโกรธ แล้วที่มึงขู่แพทเมื่อวานกูก็เข้าใจ ในฐานะพนักงานสอบสวน บางทีกูก็อยากทำอะไรอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้ามันจะทำให้เราสามารถจับตัวคนร้ายได้เร็วขึ้น แต่มึงไม่คิดหรือว่า ทั้งหมดที่มึงทำก็เพื่อเป็นหนึ่งและเพื่อป้องกันคอส แต่มันคือศาลเตี้ย”
บาลียอมรับว่าสิ่งที่หมอกพูดมามันคือความจริง
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไง 2 คนนี่ก็ไม่มีทางรอด จะเป็นใครหลอกใช้ให้ใครลงมือ เดี๋ยวมันก็ปรากฏออกมาเอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกูนะบาลี”
ฟองที่นั่งฟังเงียบๆ มานานพูดแทรกขึ้นมา “เว้นแต่ว่า 2 คนนั่นหลุด กูสนับสนุนบาลีเต็มที่”
“อ้าวห่าฟอง ถ้าทุกคนตัดสินคดีกันเอง จะมีกฎหมายไว้ทำอะไร”
ฟองยักไหล่เบ้หน้า “ก็ถ้ากฎหมายยังเอาผิดพวกมันไม่ได้ มันก็ถึงเวลาลูกพี่ใหญ่จัดการ”
บาลีลุกขึ้น บอกให้เป็นหนึ่งนั่งคอยอยู่ที่นี่ หมอกหันมาส่งยิ้มให้กับร่างโปร่งใสที่ยิ้มรับคำสั่งของพี่ ส่วนฟองดูเฉยๆ ไม่ได้แสดงความรู้สึกกลัว หรืออยากรู้
ยังไม่ทันที่เพื่อนรัก 3 คนจะเข้าไปในตัวอาคาร ที่เป็นที่ตั้งของห้องขัง และห้องสอบสวน รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็เลี้ยวเข้ามาจอด โอมหันไปขอบคุณหนุ่มที่ขับรถมาส่งแล้ววิ่งเอาซองเอกสารสีน้ำตาลมาส่งให้
“ผลตรวจมาแล้ว”
“โหเพื่อน โทรศัพท์มาก็ได้ นี่ถึงกับเรียกมอเตอร์ไซค์มาส่งเลยหรือเนี่ย” ฟองทึ่งจัด
“จะโทรมาก่อนกูก็กลัวว่าจะอธิบายไม่ชัด เอารูปเอาตารางมาให้พวกมึงดูเลยดีกว่า”
บาลีเปิดซองเอกสาร มีภาพถ่าย และตารางผลการตรวจหลายอย่างที่ยืนยันว่านี่คือร่างของเป็นหนึ่ง
เรื่องการยืนยันว่าเป็นใคร ไม่ได้ทำให้ทั้ง 3 คนประหลาดใจ แต่เมื่อมาถึงผลการชันสูตรเบื้องต้นเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต หมอกก็ต้องหันไปมองหาเป็นหนึ่งด้วยความรู้สึกสงสาร
ส่วนบาลีกัดฟันแน่น จนเส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นมาชัดเจน
ฟองบีบไหล่เพื่อนเบาๆ “บีบให้มันสารภาพ ฆาตกรต่อเนื่องยังไงมันก็ต้องเป็นข่าว แล้วยิ่งที่มันฆ่านักเรียนหญิงคนนั้นอีก ทุกอย่างชี้ว่ามันไม่ได้เห็นชีวิตคนอื่นมีค่า ใครลงมือ ใครชักจูง ยังไงมันก็โดนประหารแน่ๆ”
บาลีหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าจากเอกสารในมือ “ขอบใจ แต่อย่าปล่อยกูไว้กับพวกมันตามลำพังเด็ดขาด”
“เอางี้ มึงนึกคนที่มึงบอกกูว่า เจอเขาวันที่แอบย่องเข้าไปในโรงฝึกงานกับกูก็ได้ เพราะคนนั้นยังไม่เจอศพ แล้วเขาก็กลัวมา ยังไงเราก็ต้องอดทนเพื่อหาศพคนนั้นให้พบ” ฟองบอก
ส่วนหมอกหันมาถามทันที “มึงเห็นวิญญาณด้วยหรือไง”
“ไม่เห็น ไม่อยากเห็น ต่างคนต่างอยู่ เพราะสำหรับกู คนร้ายกว่าผี” ฟองพูดเรื่อยๆ เหมือนท่องบทอาขยานให้ครูฟัง
ห้องสอบปากคำด้านหนึ่งคือลูกกรง ตรงข้ามคือผนังและช่องกระจกที่มองผ่านได้ฝั่งเดียว โต๊ะตัวใหญ่วางอยู่กลางห้อง พัฒนะสวมกุญแจมือวางมือบนโต๊ะ ที่นั่งอยู่ข้างกันคือทนายความ อีกด้านหนึ่งคือพนักงานสอบสวนกับโน้ตบุ๊ค และแฟ้มเอกสาร ด้านหลังพนักงานสอบสวนคือบาลี กับผู้กองหมอก คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนฟัง
พนักงานสอบสวนสอบถามพัฒนะไปเรื่อยๆ เกี่ยวกับคดีของแพท และเลื่อนภาพในแฟ้มให้ดู แต่พัฒนะเพียงแค่มองภาพเหล่านั้นเฉยๆ โดยไม่ได้ตอบคำถาม ขณะที่ทนายความลอบมองชายหนุ่ม 2 คนที่ด้านหลังเป็นระยะ
ห้องทั้งห้องจึงมีแต่เสียงของพนักงานสอบสวนที่ตั้งคำถามมากมาย โดยไม่มีคำตอบ ซึ่งในกรณีอื่นอาจทำให้พนักงานสอบสวนมีท่าทีหงุดหงิด เว้นแต่วันนี้ ที่ได้รับคำเตือนล่วงหน้าว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรัดอะไร
ถัดจากคดีของแพท คือภาพของหนุ่มนักศึกษารายแรกที่หมอกพาบาลีไปดู
พัฒนะเพียงแต่มีอาการกระตุกที่ใบหน้าเล็กน้อย เหลือบตามองบาลีแล้วหันไปมองผ่านลูกกรงออกไปด้านนอก
อาจเพราะอุปทานจากการพบกันครั้งก่อนที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ ทำให้รู้สึกหวาดระแวง ทั้งที่ตลอดเวลาบาลีแค่นั่งกอดอกมองมา
กุญแจมือที่คล้องอยู่เริ่มอุ่นขึ้น จนพัฒนะต้องขยับข้อมือ เหลือบตามองบาลีอีกครั้งก็ไม่เห็นว่าจะขยับตัวหรือพูดอะไรสักคำ
ได้ยินคำถามของพนักงานสอบสวนที่อ้างการให้ปากคำของแพทว่าเคยเห็นพัฒนะกับคนในภาพ พัฒนะมองภาพอีกครั้ง แต่เมื่อปิดปากเงียบหันออกไปมองผ่านลูกกรงครั้งนี้ กุญแจมือยิ่งร้อนกว่าเดิม
ร้อนจนผิวส่วนที่สัมผัสกุญแจมือกลายเป็นสีแดง
“ร้อน มันร้อน เอามันออกไป” พัฒนะร้องขณะที่ยื่นมือให้พนักงานสอบสวน
พนักงานสอบสวนลุกขึ้นก้าวถอยเตรียมพร้อมกดข้อมือของพัฒนะลงกับโต๊ะ แต่พัฒนะยังคงร้องโวยวายว่าร้อน
“ไหนร้อน ไม่เห็นมีอะไร อย่ามาตุกติกนายพัฒนะ” พนักงานสอบสวนจับกุญแจมือที่พัฒนะบอกว่าร้อน
ส่วนทนายความจับไหล่ของพัฒนะให้นั่งลง
พนักงานสอบสวนนั่งหลังตรง เลื่อนรูปของหนุ่มนักศึกษาไปวางถัดจากรูปของแพท รวบรวมรูปถ่ายใบอื่นที่เป็นภาพของบาดแผลต่างๆ
พัฒนะจ้องมองแล้วกลืนก้อนน้ำลายลงคอ ทันทีที่หันไปมองทางอื่นกุญแจมือก็ร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
พนักงานสอบสวนเลื่อนรูปถ่ายอีกใบมาที่ด้านหน้าของพัฒนะ รูปของหนุ่มน้อยในชุดเครื่องแบบนักศึกษา ถ่ายหน้าตรงผมสั้น ดวงตาสีอ่อน แม้แต่ในรูปที่ขยายมาจากภาพถ่ายในบัตรนักศึกษาใบนี้ก็ยังเห็นรอยยิ้มจางๆ
“รู้จักคนนี้มั้ยครับ”
พัฒนะจ้องมอง ขณะที่หัวใจเต้นแรง จนต้องหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งพนักงานสอบสวนเลื่อนรูปอีกใบมาให้ดู ภาพถ่ายหน้าตรงของศพที่พบในโกดัง
พัฒนะหน้าซีดเผือด จ้องมองพนักงานสอบสวนด้วยดวงตาตื่นตระหนก
“เจอได้ยังไง”
พนักงานสอบสวนคงสีหน้าเรียบเฉย เหมือนดวงตาที่มองมานิ่งๆ
พัฒนะกลืนน้ำลาย ก้มมองมือของตัวเอง กุญแจที่คล้องมือยังอุ่นร้อน ไม่ได้เพิ่มองศาขึ้นมาอีก แต่ใจนึกระแวงอีกคนที่เป็นคนที่รู้ว่าซ่อนศพของเป็นหนึ่งไว้ที่ไหน
พัฒนะขยับตัวอย่างอึดอัด รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะถูกลงโทษอย่างไร และต้องทำอย่างไรจะได้รับการลดโทษ
“ว่าไงครับ”
เป็นครั้งแรกของการสอบปากคำที่พนักงานสอบสวนพูดประโยคที่แสดงความต้องการว่าให้ตอบคำถามนี้
“นั่นคือมะตูม”
พนักงานสอบสวนยังคงนั่งหลังตรง ขณะที่นิ้วมือขยับพิมพ์ข้อความ
“ผมไปเห็นตอนที่ก้อยกำลัง...ทรมาน มะตูมทรมานมากกว่าที่ก้อยจะยอมให้เขาตาย พอตอนที่จะเอาออกมาต้องใส่ถุงนอนห่อไว้แล้วโยนข้ามรั้วบ้านไปทางหลังบ้าน ผมออกมาเก็บแล้วเอาไปวัด เพราะ...เลือดแล้วก็..ชิ้นเนื้อ..”
พัฒนะหลับตาลง พ่นลมหายใจยาวๆ
“ทำไมก้อยต้องทรมานมะตูมครับ”
พัฒนะเหลือบตามองบาลี “ก้อยชอบมะตูม แต่มะตูมปฏิเสธเธอ ทรมานยังไงมะตูมก็ไม่พูด ทำให้ก้อย...ตัดลิ้น...เลือดพุ่งจนเลอะไปทั่ว”
บาลีกำมือแน่น
นี่คือเหตุผลที่เป็นหนึ่งกลัวก้อยมาก พูดไม่ได้ และจำอดีตไม่ได้
แต่จากที่ได้ยินมากับหู ไอ้ประโยคที่ว่าก้อยชอบมะตูม กลับเชื่อเพียงครึ่งเดียว
“ตั้งแต่ตอนที่คุณพัฒนะไปเห็น จนถึงตอนที่มะตูมจะเสียชีวิต คุณได้พยายามยับยั้งการกระทำของก้อยหรือเปล่าครับ”
พัฒนะขยับจะส่ายหน้า แต่ทนายความชิงแตะข้อมือพัฒนะให้หยุดก่อน
“คุณพัฒนะไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้”
เมื่อออกมานอกห้องสอบสวนหมอกหันมาหาเพื่อน
“บาลี มึงจะว่ากูหลงเมียยังไงก็เหอะ แต่กูโน้มเอียงไปทางที่ว่าพัฒนะอาศัยมือก้อยฆ่าคน”
บาลีหันมามองเพื่อนตรงๆ “มึงหลงเมียจริงๆ อาการทางจิตถ่ายทอดทางยีน ถ้าประกายมีอาการอยากได้ของๆ คนอื่นโดยไม่สนใจอะไร มันก็มีความเป็นไปได้ที่ก้อยจะมีอาการแบบนั้น อาจมากกว่าหรือหนักกว่า”
“หรือไม่มีเลย” หมอกสวน “หรือมีอยู่น้อย แต่พัฒนะสามารถโน้มน้าวให้ทำก็ได้”
ดวงตาสีเข้มของบาลีจ้องมองนิ่งๆ ไม่ได้พูดต่อ
หมอกถอนหายใจยาวๆ แล้วพยักหน้า “กูก็แค่ ยึดตามสิ่งแรกที่มึงบอกกูว่าพื้นฐานของแพทเป็นคนดี”
“ใช่ แพทเป็นคนดี แต่แพทจะเห็นในสิ่งที่ 3 คนนั้นอยากให้เห็นเท่านั้น มีเรื่องราวเบื้องหลัง เรื่องของใจคนอีกมากที่แพทไม่รู้”
กำลังคุยกันพนักงานสอบสวนก็เดินออกมาจากห้อง
“พี่จะให้ผมสอบผู้หญิงต่อเลยมั้ยครับ”
หมอกพยักหน้า “ต่อเลยก็ได้”
แต่พอพนักงานสอบสวนจะไปเตรียมข้อมูล หมอกก็เรียกไว้ “เอารูปของนักเรียนหญิงที่พบศพอยู่หลังป้ายรถเมล์มาด้วย”
หมอกก้มหน้ามองพื้น แล้วเงยหน้ามองพนักงานสอบสวน “น้องคิดเหมือนพี่มั้ยว่า 2 คนนี้ร่วมมือกันฆ่าคนมากกว่าที่เรารู้”
พนักงานสอบสวนยอมรับ “แล้วก็ชำนาญมากด้วย หมอที่ดูแผลที่ข้อมือ ข้อเท้าของแพท ให้ความเห็นไว้ว่า ตัดเส้นเลือดใหญ่ได้แม่น คือเฉพาะมีดแบบที่เขาใช้เนี่ยมันก็คมกริบเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่ไอ้ความแม่นของตำแหน่งที่เขากรีดลงไปเนี่ย มันไม่ธรรมดา”
บาลีขมวดคิ้วแล้วยกมุมปาก “ก้อยเป็นเด็กศิลป์ เรียนอนาโตมีเวลาจะวาดรูป หรือจะปั้นอยู่แล้ว ลองดูหนังสือในห้องนอนเขาสิ”
หมอกหันมามองหน้าเพื่อน “เขาเป็นศิลป์”
“ศิลป์แล้วไม่รู้จักวิทย์หรือไง มันเป็นเรื่องของตัวเราเอง และยิ่งถ้าเขามีจิตใจไปในทางนี้ เขาจะยิ่งสนใจมากกว่ากล้ามเนื้อและความสมดุลของร่างกายอยู่แล้ว”
หมอกมองเพื่อนอย่างอับจนคำพูด ขณะที่โอมที่เป็นผู้ฟังมาตั้งแต่ต้นหัวเราะหึหึ
=========จบตอนที่33=======