ตอนที่ 39บาลีปิดร้านไปงานแต่งงานของเป้งที่ราชบุรี งานแต่งงานของเป้งยิ่งใหญ่สมฐานะพ่อเจ้าบ่าว ที่เป็นเจ้าของสวนขนาดใหญ่ และพ่อเจ้าสาวที่เป็นผู้รับเหมา เรียกว่าพ่อน่ะเป็นเพื่อนกัน เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก รู้จักกัน แต่ไม่เคยมีความรู้สึกก้าวไปไกลกว่าคำว่ารู้จัก
เป้งพาบาลีไปแนะนำกับทุกคนว่านี่คือพี่ชายที่อยู่กรุงเทพฯ แต่ขณะเดียวกันเป้งก็มีลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคนที่ช่วยพ่อทำงานสวนอยู่ที่ราชบุรี
ต่อหน้าพ่อและทุกคน เป้งขอให้บาลีช่วยหาบ้านใกล้กับร้านนายรักอ่านให้ด้วย
“ผมอยากให้ลูกผมอยู่กับพี่”
ขณะที่เป้งพูดคำนี้อย่างภูมิใจ บาลีกลับมองเห็นท่าทางโศกเศร้าของเจ้าสาว และท่ามกลางผู้คนมากมายในงานแต่งงาน บาลียังเห็นชายรูปร่างสูงขาว ยืนอยู่ด้านนอกชะเง้อมองเข้ามาในบ้านงาน
“ทำไมไม่เข้าไปข้างใน” บาลีเดินออกมาทัก
ชายหนุ่มคนนั้นยกมือไหว้แนะนำตัวว่าชื่อทอง หลังการแนะนำตัวไม่กี่คำ บาลีก็เข้าเรื่อง
“เป็นแฟนเจ้าสาวหรือ”
ทองก้มหน้าไม่ตอบคำถาม บาลีก็เลยถามต่อ
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ถ้ารักกันจริง ยังไงก็ได้อยู่ด้วยกัน”
ทองมีสีหน้าไม่เข้าใจ เพราะคนพูดเป็นพี่ชายของเจ้าบ่าว คนที่แม้แต่จะสบตาตรงๆ ยังไม่กล้า ทำได้แต่เพียงพูดความจริงทั้งหมด
“เป้งก็มีคนรักอยู่เหมือนกันหรือครับ”
“ไม่หรอก แต่เป้งมันอยากมีลูกมาก ตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็พูดถึงแต่ลูก กลับมาบ้านโทรคุยกันมันก็คุยว่าจะทำอะไรให้ลูกบ้าง พี่เพิ่งรู้เรื่องเจ้าสาวก็วันนี้”
ทองยิ่งสงสัยหนักขึ้นกว่าเดิม “เป้งไม่ได้รักสร้อยหรือครับ”
“เป้งมันรู้ตัวว่าอายุไม่ยืน ตลอดเวลามันรู้แต่จะทำเพื่อคนอื่น ไม่เคยคิดจะมีแฟน”
“ผมรู้ครับ มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก พอพ่อของสร้อยบอกว่าจะให้แต่งงานกับเป้ง ก็เลยไม่รู้ว่าจะอ้างยังไง เป้งมันเป็นคนดี สร้อยแต่งกับคนดีๆ ผมก็ดีใจ”
“ทองก็เป็นคนดี ที่ไม่คิดจะทำลายงานแต่ง”
ทองส่ายหน้าทันที “ไม่หรอกครับ เป้งทั้งเป็นคนดีทั้งรวยกว่าผมเยอะ แล้วว่าที่จริง พ่อของเป้งก็ขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนจริง ส่วนพ่อของสร้อยเป็นอบต. ผมกลัวเขาส่งคนมายิงผมด้วย”
“แล้วเป้งรู้มั้ยเนี่ย ว่าเราคบกับสร้อยอยู่”
“เคยคบครับ แต่สร้อยไม่อยากให้ทุกคนเสียใจ ก็เลยขอเลิกกับผม ตั้งแต่รู้ว่าจะต้องแต่งงานกับเป้ง แต่ผมตัดใจไม่ได้ ขอมาแอบดูก็ยังดี ขอโทษที่ทำให้พี่ไม่สบายใจครับ” ทองยกมือไหว้ ทั้งน้ำตาคลอ
“รอก่อนนะ เป้งมันลูกผู้ชายพอ ถ้ามันรู้ว่าหัวใจของสร้อยไม่ได้อยู่ที่มัน มันต้องรู้ว่าควรทำยังไง” บาลีพูดแล้วหันไปมองเป็นหนึ่ง ที่ทำปากยื่นหน้าย่นๆ ใส่ทอง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลยสักนิด “พี่น่ะ โดนว่าคุยกับหนังสือจนคุยกับคนอื่นไม่เป็น ที่พี่บอกไปมันอาจเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว เพราะยังไงสร้อยก็เป็นแม่นี่นะ แยกลูกมามันก็ไม่ถูก แต่ถ้าทองกับสร้อยรักกันจริง ก็น่าจะมีทางออกที่ดี”
ดวงตาสีเข้มหันไปมองเป็นหนึ่งเหมือนกำลังดุ แต่ปากยังคงคุยกับทองไปเรื่อย
“คุยกัน ตกลงกันให้มันเป็นเรื่องเป็นราว เด็กที่เกิดมาก็จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความรัก หรือถ้าต่อไปเขาจะมีน้องชายต่างพ่อ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร” บาลีพูดแล้วหันมาหาทอง “ยืนอยู่ตรงนี้ พูดไปเรื่อยวาดวิมานในอากาศมันง่าย แต่อนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นยังไม่รู้”
“ผมจะรอครับ” ทองให้คำมั่น “พี่ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเล่นชู้ลับหลังเป้ง เพราะโรงงานส่งผมไปสระบุรีเดือนหน้า ผมตอบรับเขาไปนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่บอกเลิกกัน”
“ถ้าสร้อยเป็นคนของทอง ยังไงก็ต้องได้คู่กัน”
“ครับ ขอบคุณพี่มากครับ” ทองยกมือไหว้
บาลีรับไหว้อีกครั้งแล้วกอดคอ “แถวนี้มีร้านเหล้า ที่มันไม่อับทึบตรงไหนบ้าง”
ทองยิ้มกว้าง “ผมพาพี่ไปเอง”
บาลียิ้มกว้างให้ทองพาไปร้านเหล้า ขณะที่ในใจเตรียมแผนการขั้นต่อไป
เป้งกับสร้อยจะต้องไปอยู่กรุงเทพฯ
เรื่องของเมื่อวาน ให้มันเป็นเมื่อวาน แต่นับจากนี้ต้องไม่ให้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น
รุ่งเช้า บาลีตื่นนอนก่อนสว่างตามความเคยชิน หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เป็นหนึ่งก็มายืนคอย เงาร่างโปร่งใส ดูสดใสกว่าเคย
“จะไปแล้วหรือ”
“....หรือครับ ไม่รู้เหมือนกัน....”
บาลียิ้มขำให้กับเป็นหนึ่ง “การไม่รู้อะไรเลยนี่มันก็มีความสุขดี”
“....ครับ รู้ไปหมดทุกเรื่องอย่างพี่เป็นทุกข์....”
“พี่ไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง เป็นหนึ่งก็เห็นว่า พี่ผิดไปตั้งหลายเรื่อง”
“...แต่พี่ก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วนี่ครับ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย...” เป็นหนึ่งหันออกไปมองนอกห้อง “....เขากำลังจะใส่บาตรกันแล้ว....”
ท่ามกลางอากาศเย็นยามเช้า คู่บ่าวสาวยืนเคียงข้างกัน เป้งหันมายิ้มกว้างให้กับพี่ชายเรียกให้ไปยืนใกล้ๆ
“เฮ้ย เช้านี้กูเป็นผู้ชม”
“ผมไม่เคยใส่บาตรพร้อมพี่เลย ใส่ด้วยกันเหอะ”
“ไว้กูซื้อบ้านให้มึงที่กรุงเทพฯ มึงไม่ตื่นมาใส่บาตรกูจะเอาน้ำไปสาดถึงที่นอน” บาลีโวยกลับ จนพ่อของเป้งต้องเดินมากระซิบ
“บาลี ไม่ต้องถึงกับซื้อให้มันหรอก พ่อพอจะจ่ายไหว”
“ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมเองก็ไม่เคยให้อะไรเป้งเหมือนกัน มีแต่มันที่ช่วยผมมาตลอด ดีซะอีก ผมซื้อ ผมก็เลือกให้มันใกล้ผม”
“ก็ดีนะ พี่น้องได้อยู่ใกล้กัน ดูแลกัน เป้งบอกว่าบาลีอยู่คนเดียวมาตั้งนาน”
“ก็ไม่เชิงว่าคนเดียวหรอกครับ ทำร้านหนังสือไม่ได้เงียบเหงาซะทีเดียว”
บาลีคุยกับพ่อของเป้งในระหว่างรอพระ แต่เป็นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“...พี่พูดถึงร้านหนังสือร้านไหน ต้องไม่ใช่นายรักอ่านแน่ๆ เพราะตั้งแต่คอสไม่อยู่ นอกจากคนทำงานที่มาซื้อหนังสือตอนเช้า กับนิตยสารแล้ว ทั้งวันแทบไม่เคยมีใครเข้าร้าน...”
เมื่อพระทั้ง 9 รูปที่นิมนต์ไว้มาถึง เป็นหนึ่งเดินไปยืนที่ด้านหลังของเป้ง ยกมือไหว้ตลอดเวลาที่เป้งกับสร้อยใส่บาตร
เมื่อใส่บาตรเสร็จ หลวงตาให้พรและนำกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล เมื่อพระรูปสุดท้ายเดินพ้นไป
เงาร่างโปร่งใสของเป็นหนึ่งเริ่มจางหาย แต่รอยยิ้มสดใส สว่าง
“....ขอบคุณมากครับพี่ ขอบคุณที่ทำให้ผมมากมายขนาดนี้ ขอบคุณครับ....”
เสียงขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาจนร่างโปร่งใสเลือนหาย เป้งเข้ามายืนข้างๆ
“เป็นหนึ่งไปแล้วหรือครับ”
“อือ”
“มัน...เป็นยังไงบ้าง”
“เป็นหนึ่ง ไม่ว่าเมื่อไหร่ จะพบเจอกับอะไรมา เขาก็ยังคงเป็นหนึ่งอยู่เสมอ”
เป้งสูดจมูก พยักหน้า แล้วซุกหน้าลงกับไหล่ของพี่ชาย “คนพวกนั้นแมร่งใจสัตว์ เลวจนไม่รู้ว่าจะหาคำพูดอะไรมาเปรียบเทียบ”
เป้งอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่มันเกิดขึ้นกับเป็นหนึ่ง และก็อย่างที่คุยกันมาตลอด เพราะพัฒนะมีแผนร้าย และก้อยเองก็มีจิตใจที่ชั่วร้าย ผลคือ หลายชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อ
บาลีตบหลังตบไหล่ให้กำลังใจน้องชาย “วันนี้วันดี อย่าเพิ่งหาเรื่องด่าคน”
เป้งพยักหน้า “มันต้องมาเป็นลูกผม ตอนนี้ปล่อยมันไปนอนเล่นบนสวรรค์ก่อน แล้วมันต้องมาเป็นลูกผม ผมจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาทำร้ายมันได้อีก จะคนเลว คนโลภ หรือคนบ้า ผมจะคุ้มครองมันเอง”
พ่อกับแม่ของคอสมีบ้านอยู่ในเมือง เป็นร้านขายของพื้นเมืองที่รับมาจากหมู่บ้านช่าง สินค้าพื้นเมืองไม่มีกำไรต่อชิ้นมากนัก แต่ก็สามารถขายได้เรื่อยๆ
แล้วก็ยังมีหลังใหญ่ในหมู่บ้านช่างที่พี่ชายคนโตที่มีครอบครัวแล้วพักอยู่ หลังนี้พ่อกับแม่บอกว่าจะไม่ยกให้จนกว่าจะมีหลานให้อุ้มมากกว่า 3 คน
อีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ใกล้กันเป็นบ้านพี่สาวของคอสที่ออกเรือนไปแล้ว
บรรดาสมาชิกทุกคนในหมู่บ้านล้วนแล้วแต่เป็นเครือญาติกันหมด เพียงแต่พ่อกับแม่ของคอสมีฐานะดีกว่าพี่น้องคนอื่น มีทั้งร้านขายของในเมือง และมีสวนมะขาม สวนผัก สวนดอกไม้ ที่มีคนมาจำนองแล้วหลุดจำนอง
เห็นว่าครอบครัวมีฐานะดีแบบนี้ แต่พอคอสกลับมาบ้านพ่อกลับส่งให้ไปช่วยลุงทำงานบูรณะวัดที่อยู่ห่างออกไปอีกตำบล
เป็นงานช่างประจำตระกูลที่ตอนนี้มีลุงเป็นผู้นำ ด้วยเหตุผลที่ว่า คอสเพิ่งเจอเรื่องร้ายมา มีคนตายหลายคน ควรไปช่วยงานวัด ทำบุญให้กับคนตายและคนที่ต้องสูญเสีย
คอสพยักหน้ารับตามที่พ่อบอก เพราะมันก็ตรงกับที่พี่พูด
อีกอย่าง...มันก็ดีกว่าไปช่วยงานในร้าน หรือที่หมู่บ้าน คนเยอะๆ คำถามคงเยอะ ตอนนี้อยากอยู่เงียบๆ สักพัก
พี่โทรมาหาทุกวัน พูดคุยเรื่องชีวิตประจำวัน เล่าเรื่องนั้น ถามเรื่องนี้ เว้นเพียงเรื่องเดียวที่ไม่กล้าถาม
...เมื่อไหร่พี่จะมารับผมกลับบ้าน...
ชีวิตจึงผ่านไปอย่างเงียบๆ สมใจ
จากที่เคยอยู่ท่ามกลางเสียงพูดคุย เสียงเอะอะโวยวาย ต่อให้เวลาทำงานส่งอาจารย์ก็ยังต้องเปิดวิทยุฟังเพลงฮาร์ดคอร์ไปด้วย
ตอนนี้มีเพียงเสียงเพลงพื้นบ้านดังแผ่วๆ มาจากวิทยุเครื่องเล็กของลุงที่กำลังเขียนภาพบนฝาผนัง อยู่ที่ด้านนอกของอุโบสถ
และก็ยังมีพี่อีก 2 ที่ต่างก็ยึดมุมทำงานกันไปเรื่อย ต่างคนต่างมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ
งานที่ทำสัปดาห์ละ 7 วันค่าจ้างต่ำกว่าอัตราของกฎหมายแรงงาน ไม่มีสวัสดิการอะไรทั้งสิ้น แต่ไม่เห็นจะมีใครสนใจมัน รู้แต่ว่านี่คือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข
เที่ยงของทุกวันไม่น้องก็ป้าจะเอาข้าวมาส่ง เย็นมาเรียกให้กลับบ้าน
ในสายตาของทุกคนลงความเห็นว่าการเรียนในกรุงเทพฯ และคดีที่เกิดขึ้น ทำให้คอสเปลี่ยนไปและเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา
มันก็จริงอย่างที่ทุกคนพูด ตอนที่มาถึงเหมือนมีเรื่องให้คิด ให้ทำมากมาย แต่พอเวลาผ่านไปเรื่องที่คิด เรื่องที่ทำก็ค่อยๆ ลดลง
วันนี้ตื่นนอนตอนเช้า พ่อเรียกมาดูข่าวโทรทัศน์ ที่มีความคืบหน้าการพิจารณาคดี คอสยืนดูข่าวจนจบแล้วหันไปถามแม่ ว่าเย็นจะให้ซื้อของกลับบ้านหรือเปล่า แม่บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเย็นแม่รอน้องสาวคนเล็กที่เพิ่งอยู่ ม.6 กลับมาจากเรียนแล้วค่อยออกไปตลาดด้วยกัน
พ่อขับรถปิคอัพคันเก่ามาส่งที่วัด แล้วเดินไปคุยกับลุง กว่าจะกลับไปก็ตอนสายจัด
คอสเขียนภาพไปเรื่อย
ความคิดดีๆ มักมีขึ้นตอนที่กำลังเขียนรูปเสมอ
...เราเองก็กำลังสานต่องานของครอบครัวเหมือนกัน พี่ชาย พี่สาว จะเรียนจบอะไรมา แต่สุดท้ายก็คือการสานต่องานของครอบครัว เกิดมาก็เห็นพ่อแม่ และทุกคนรอบตัวทำงานนี้
พี่ก็เหมือนกัน สานต่องานของครอบครัว
ร่างผอมบางที่นั่งอยู่บนนั่งร้านสูง 2 เมตรครึ่ง ส่งยิ้มให้กับภาพที่กำลังวาดบนฝาผนัง
....รอไปเรื่อยๆ ละกัน เสร็จเรื่องแล้วพี่ก็จะมารับ
พี่บอกอย่างนั้น...
เพียงแต่ว่า พอมันเกินอาทิตย์ไปแล้วก็เริ่มไม่กล้านับวันที่ผ่านไป....
มีเสียงพูดคุยดังขึ้นที่ด้านนอก แต่คอสไม่ได้หันไปมองเพราะบางที ก็มีนักท่องเที่ยว หรือพวกช่างภาพให้ความสนใจกับงานที่กำลังทำกันอยู่
ส่วนใหญ่แค่มายืนดู แล้วก็กลับไปไม่ได้ชวนคุย
เพียงแต่...ความรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องมองมันช่างคุ้นเคย
คอสก้มลงมอง
คนที่ยืนอยู่เงยหน้าส่งยิ้มกว้างมาให้
"กลับบ้านกัน"
ภาพแบบนี้มันเหมือนภาพที่คิดไว้ เหมือนภาพที่คิดว่าพี่จะมารอที่หน้าประตูบ้าน หรือไม่ก็ระหว่างทางจากวัดกับบ้าน หรือไม่ก็เป็นเสียงพี่โทรมาถามว่าหาทางมาบ้านไม่ถูก ภาพอีกร้อยอีกพันภาพที่คิดไปเรื่อย
คิดจนไม่กล้าคิด
รอจนกลัวใจตัวเอง....
คอสไต่บันไดลงมาช้าๆ ดวงตาสีอ่อนหยุดอยู่ที่คนตัวโต จนก้าวมายืนอยู่ข้างหน้า จับข้อมือหนาไว้
แล้วน้ำตามันก็ร่วง....
"พี่มาแล้ว"
"ครับ" บาลียกมือขึ้นเหมือนจะกอดคนที่กำลังร้องไห้ไว้ แต่พอหันมาอีกที ปรากฏว่า ทั้งลุงและพี่ๆ น้องๆ ของคอสอยู่รอบตัว เลยได้แต่ช่วยเช็ดน้ำตาให้
คนตัวเล็กยิ่งตัวเล็กกว่าเดิม ข้อมือผอมบางจนพี่ต้องเม้มริมฝีปากให้สนิท
...เมื่อไหร่จะเลิกคิดว่าคอสเข้าใจ และรอพี่ได้เสมอ...
"จะปิ๊กบ้านเลย ก่อได้เน้อ" ลุงบอก
ทั้งที่ยังร้องไห้ แต่คอสกลับหันไปโวยลุง “จะไดกั๋น ฮู้จักเปิ้นก๋า”
“เปิ้นแนะนำตั๋วตั้งแต่เจอเฮาข้างนอก ละอ่อนน้อยบะหลำบะเล่อ เฮาบ่าได้เหอตึงเน้อ”
คอสทำปากขมุบขมิบ “จะไดกั๋นน้อ ตะละค๋น เฮาบ่าใจ้ละอ่อนซักน่อย” เดินบ่นไปเช็ดน้ำตาไปจนออกมาถึงเก้าอี้ยาวใต้ร่มไม้ใหญ่ ถึงได้ถามพี่ "มาได้ไง"
"ไปที่บ้าน พอน้องสาวคอสกลับมาจากโรงเรียน แม่ก็เลยให้พาพี่มา"
คอสหันไปบ่นน้องสาวด้วยภาษาเหนือ ที่ไว้ใจคนพามาง่ายๆ แต่น้องสาวไม่สนใจ แลบลิ้นหลอกแล้วหนีกลับเข้าไปอยู่กับลุง และพี่น้องคนอื่น
"มาคนเดียวหรือฮะ"
"ใช่" บาลีตอบสั้นๆ
คอสรู้สึกเหมือนกำลังนั่งตัวเกร็ง ประสานมืออยู่บนหน้าขา "มะตูมล่ะฮะ"
"ผ่านจากภพนี้ไปแล้ว"
คอสหันมามองหน้าพี่ ขอบร้อนผ่าวตาแดงช้ำรู้สึกโหวงๆ เหมือนกันที่รู้ว่าไอ้หนุ่มหน้าหวานยิ้มเก่งคนนั้น ไม่ได้อยู่ใกล้พี่อีกต่อไปแล้ว ทั้งที่ผ่านมามักจะพาลน้อยใจว่ามันใกล้กว่าพี่มากกว่าเรา คนที่พี่บอกว่ารักเสียอีก
….ไปจริงๆน่ะ...
แต่ที่พูดออกไปกลับเป็นอีกอย่าง
"ถ้ามะตูมยังไม่ไป พี่ก็คงไม่มารับผมใช่มั้ยฮะ"
บาลีนิ่งเงียบ แต่เอื้อมมือมาจับมือขาวๆ ของคอสไว้
คอสกัดปากแน่น น้ำตาหยดลงแก้ม แต่พอมือใหญ่จะช่วยเช็ดให้ก็ปัดออก "ไม่ต้องทำใจดีนักก็ได้ เดี๋ยวผมจะเคยตัว"
"คอส พี่.."
"พี่เป็นนายรักอ่าน พี่ไม่อยากให้ผมเสียใจ ผมรู้แล้ว พี่พูดอย่างนี้มาเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่ผมรักพี่ไปแล้วนี่หว่า แล้วไอ้ที่มันน้อยใจไม่เลิก ก็เพราะว่าพี่รักผมแต่ผมยังกินบ๊วยตลอดแบบนี้น่ะ..แบบนี้น่ะ..มัน..ใจร้ายชมัด "
"ที่พี่ทำทั้งหมดก็เพราะคอส พี่ไม่ได้วางคอสไว้หลังสุด คอสคือคนที่อยู่ที่ 1 มาตลอด"
"ที่ 1 ตรงไหน พี่เคลียร์เรื่องร้าน เคลียร์เรื่องพี่แพท แล้วมามะตูม สุดท้ายคือผม" คอสทำปากยื่น
ทั้งที่คิดว่า เมื่อถึงเวลาก็จะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้คอสฟัง แต่พอจะเล่าจริงๆ กลับเริ่มเรื่องไม่ถูก
"คิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ”
“เดี๋ยวคิด เดี๋ยวไม่คิด แล้วบางทีผมก็ด่าตัวเอง เสือกขอเวลาพี่คิดทำไมไม่รู้ เล่นตัวไม่เข้าเรื่อง”
บาลีนั่งหลังตรงกอดอกแน่น ท่าทางคิดหนัก ตามแบบของคนจริงจัง
“งั้น จะเล่ายังไงดีล่ะ”
“เล่ามาหมดแล้ว เล่ามาอีกก็ซ้ำแล้ว” คอสสูดจมูกปาดน้ำตาที่แก้ม
“พี่ก็ว่างั้น”
“ไม่ต้องแล้วหล่ะ ที่จริงน่ะมันดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อกี้มัน...น้อยใจขึ้นมาเฉยๆ”
“มันก็ควรให้น้อยใจจริงๆ”
“ก็..แต่งไอ้เป้งไปเป็นอาทิตย์ละ แต่พี่เพิ่งมาวันนี้”
บาลีกำมือป้องปากกันเสียงกระแอม จนคอสต้องเอียงคอมอง “มีอะไร สารภาพมาเลย”
“ที่จริง เช้าวันถัดมา เป้งใส่บาตรแล้วเป็นหนึ่งก็ไป พี่ก็ตีรถจากราชบุรีมาแพร่เลย แต่ว่า...” ดวงตาสีเข้มมองหนุ่มหน้าใสที่ทำหน้าตารู้ทัน แต่ไม่ยอมพูด “ก่อนจะเข้าตัวเมืองแพร่ พี่..ได้ยินเสียงเรียก ก็เลยเลี้ยวรถไปรับหนังสือ กลับไปซ่อมแล้ว พอจะมารับก็มีเจ้าของหนังสือ ที่เขามารับหนังสือเก่าไปอีก จนเมื่อเช้ามืดจัดการเรื่องเสร็จก็รีบตีรถมา...รับ...”
...ไม่ต้องบอกคงได้ ว่าจัดการทั้งเรื่องให้ฟองมาเฝ้าร้าน ทั้งเรื่องบรรดาเจ้าของหนังสือเก่าที่ชั้นลอยว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวตอนที่ไม่อยู่...
แต่ตอนนี้ ไอ้หนุ่มตัวผอมบางที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังกระโดดชกลม ร้องโวยวาย
“แมร่งๆๆๆๆ”
“คอส”
“เราคุยโทรศัพท์กันทุกวันนะพี่ แต่พี่ไม่บอกผมสักคำว่าพี่มาแล้วอ่ะ พี่เห็นผมเป็นอะไร!”
คอสเสียงดังจนลุงต้องเตือนว่าอยู่ในวัด
“พี่อ่ะ พี่ปล่อยให้ผมคิด ปล่อยให้ผมกลัว พี่รู้มั้ยว่าเช้าวันถัดมาน่ะ ผมเบี้ยวไม่มาวัดเพราะผมรอพี่...คิดว่าพี่ต้องมารับ...แต่พี่กลับ...” คนกำลังโวยวายหยุดพูดปาดน้ำตาที่แก้มอีกครั้ง
บาลีดึงมือคอสให้เข้ามายืนอยู่ข้างหน้า ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในวัด แล้วทั้งลุงทั้งพี่น้องของคอส คอยมองอยู่คงได้ดึงไปคุยต่อในรถแล้ว
“ขอโทษจริงๆ พี่อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
“ดียังไง แค่บอกว่ามาแล้ว อยู่วัดหรืออยู่ตรงไหนในแพร่ ผมก็ตามไปได้ทั้งนั้นแหละ มาจนถึงขนาดนี้แล้ว แต่ไม่พูดซักคำ ทำให้คนอื่นเสียใจนี่มันสนุกตรงไหน”
“ไม่สนุกหรอก” บาลีบอกดึงมือคอสให้นั่งลงข้างๆ “รู้แล้วว่า ทำให้คอสเป็นทุกข์ขนาดไหน” มือใหญ่แตะที่แก้มช่วยเช็ดน้ำตา “เวลาแค่ไม่กี่วัน คอสผอมไปจนผิดตาขนาดนี้พี่ไม่รู้ว่าจะพูดหรือทำยังไงให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่ ขอให้เชื่อว่าคอสคือคนสำคัญที่สุดของพี่”
คอสเหลือบตามองพี่
“พี่อยากมารับ อยากทำความรู้จักกับครอบครัวของคอส ถ้าพี่มาแล้วบอกให้คอสไปหา เมื่อไหร่พี่จะรู้จักกับครอบครัวของคอสล่ะ”
คอสหันไปมองกลุ่มที่ทำเป็นยืน “ระบายสี” อยู่ใกล้ๆ แล้วบ่น “น่าฮู้จักต๋าย ตะละค๋น”
แต่กว่าจะมาถึงวัด บาลีแวะเข้าบ้านไปแนะนำตัวก่อนแล้ว พ่อกับแม่ดูประหลาดใจที่บาลีไม่ได้มีบุคลิกอะไรที่ดูเหมือนเจ้าของร้านหนังสือเลยสักนิด เพราะรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม กับแววตาที่จริงจัง ยิ่งวิธีการพูดแบบระมัดระวังยิ่งทำให้พ่อชักสงสัย
“คอสมันหนีคุณมาใช่มั้ย”
บาลียิ้มขำ “ผมมีงานที่ต้องจัดการให้เสร็จ ส่วนคอสเรียนจบก็บอกว่าขอกลับบ้านครับ”
พ่อกับแม่หันมามองหน้ากัน แล้วถาม “คุณเป็นแฟนคอส ไม่ใช่เจ้านายใช่มั้ย”
บาลีตอบอย่างจริงจัง “ตอนแรกผมเป็นเจ้านาย แล้วก็เป็นแฟนคอส แต่ตอนนี้คิดว่าเขากลายมาเป็นเจ้านายผมแล้ว เพราะเวลาที่เขาไม่อยู่ ผมไม่มีความสุขเลย”
พ่อกับแม่ดูท่าทางลังเล เพราะดูจากอาการของคอสตั้งแต่กลับมาบ้าน ถึงจะเห็นว่าคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ทุกวัน แต่ไอ้อาการซึมหลังวางสายนี่มันก็อาการของคนอกหักชัดๆ ปัญหาคือบุคลิกของบาลีที่ทำให้รู้สึกว่าการพูดปฏิเสธมันเป็นเรื่องยาก
บาลีเห็นท่าทีของพ่อแม่กับแม่ ก็ปล่อยไม้เด็ด ก่อนที่จะได้ยินคำว่า ไม่ยกลูกชายให้
“ตอนที่คอสเดินเข้ามาในร้านครั้งแรก ผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ผมพยายามหนีจากกลิ่นนั้นมาตลอด หาเรื่องสารพัดมาอ้างกับตัวเองว่าไม่ใช่ แต่ยิ่งหนี ยิ่งพยายามก็กลับยิ่งจมลงไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีผมก็ขาดเขาไม่ได้แล้ว”
พ่อกอดอกหัวเราะ “เพราะมันคือคันธชลไง มีแต่คนที่รักมันอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงจะได้กลิ่นนั้น”
ดังนั้น ตอนที่บาลีไปรับคอสกลับมาที่บ้านในเมือง ปรากฏว่าทั้งพี่ชายพี่สาวและครอบครัวมารอกันพร้อมหน้า พูดคุยและซักถามเรื่องเกี่ยวกับบาลี จนกระทั่งพี่สาวของคอส จับมือของบาลีกับคอส ไปหาพ่อกับแม่ขอให้ผูกข้อมือ
ธรรมเนียมง่ายๆ ที่มีแต่คนในครอบครัว
มาถึงตอนนี้ คอสไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงยอมรับบาลีง่ายนัก ดูท่าทางเหมือนจะยินดีด้วยซ้ำ ที่ได้รู้จักกับเจ้าเของร้านหนังสือ
รุ่งเช้าบาลีมาปลุกคอสลงไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน กินข้าวเช้าพร้อมหน้าอีกมื้อแล้วถึงออกเดินทางกลับมากรุงเทพฯ
แต่ก่อนที่จะขึ้นรถ คอสเดินมายืนอยู่ข้างหน้าบาลี
“ลืมอะไร”
คอสพยักหน้า กำหมัดแน่นแล้วชกเข้าที่หน้าท้องหนาๆ ของบาลีเต็มแรง พ่อแม่และน้องสาวที่รอส่งขึ้นรถถึงกับร้องอุทาน เมื่อเห็นบาลีงอตัวกุมท้อง
คอสพยักหน้าอีกครั้งสีหน้ามั่นใจ
“โอเค เสร็จเรื่องละ กลับบ้านได้”
ระหว่างทางคอสซักถามเรื่องของคดีที่ไม่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ พี่เพียงแต่เล่าให้ฟังคร่าวๆ
“เอาแบบที่พี่รู้ นะฮะ ไม่เอาในข่าว”
บาลีเคาะนิ้วกับพวงมาลัย “มันคือคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง หลอกใช้คนโลภ กับคนไม่ปกติให้ก่อเรื่องเลวร้ายขึ้น”
“คนไม่ปกติคือก้อย” คอสทายขณะที่หันออกไปมองนอกหน้าต่าง เพราะไม่ว่ายังไง ก้อยก็ยังเป็นคนที่เคยหลงรัก
“มันเป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งบ้านจะไม่รู้ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงฝึกงานจริงมั้ย แต่ทุกคนถือว่าธุระไม่ใช่ ไม่มีใครคิดว่าจะถึงขั้นที่มีคนตาย”
“ตั้งหลายศพ”
“เขาไม่ได้ฆ่าคนทุกวันนะคอส” บาลีเตือน คอสเลยหัวเราะแห้งๆ
“ลืมไป”
“หมอกบอกว่า มันจะเกิดขึ้นวันที่ประกายไม่อยู่บ้าน”
“แสดงว่าประกายรอดหรือฮะ”
บาลีมองตรงไปข้างหน้า “ในทางคดีน่ะรอด แต่ในทางสังคม จะมีใครเชื่อว่าประกายไม่รู้เรื่อง แล้วสามีตัวเองกับน้องสาวร่วมกันฆ่าคนแบบนี้ คนแต่งเรื่องต่อเรื่องออกไปอีกมากมาย”
คอสนิ่วหน้า “เหมือนจะน่าสงสาร แต่ไม่รู้ทำไมไม่สงสาร”
บาลีทำเสียงหัวเราะหึหึ คอสส่งหันมาทำปากยื่น
“ไม่ต้องมาหัวเราะแบบนั้นเลย กำลังเปรียบเทียบผมกับมะตูมอยู่ล่ะสิ”
“อ้าว”
“ผมรู้หรอกน่า ว่าถ้าเป็นมะตูมมันคงบอกว่า จำไม่ได้ช่างเขาเถอะ”
“หยุด” บาลีชี้มาที่ปลายจมูกเล็กๆ “หยุดคิดต่อเดี๋ยวนี้”
แต่คอสก็ยังพูดต่อ
“ถ้าผมถูกคนทำร้ายขนาดนั้น ผมคงไม่มีวันลืม มะตูมแมร่งลืมได้ไงวะ แล้วมีเรื่องตั้งเยอะแยะเกิดขึ้น มันไม่ไปสะกิดต่อมความจำมันเลยหรือไง”
นิ่งเงียบไปอึดใจ คอสก็ก้มหน้ามองมือตัวเอง “เสียดายจริงๆ ที่มันไม่ได้มาบ้านผม ทั้งที่เคยสัญญากันไว้แท้ๆ”
“ครั้งหน้าเวลาคอสกลับบ้าน ก่อนจะเดินเข้าบ้าน ตั้งจิตอธิษฐาน บอกเป็นหนึ่งว่ามาถึงบ้านแล้ว เป็นหนึ่งก็รับรู้ได้เอง” พี่บอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ง่ายเนอะ”
“ใช่ ขอเพียงตั้งใจให้ดี ไม่เห็นเป็นเรื่องตลก ไม่รบกวนเขาอย่างไม่เหมาะสม เท่านั้นก็พอ”
บาลีจอดรถที่โรงเก็บรถ แล้วยกของฝากของกินที่แม่ให้มาวางรวมกันไว้ที่หน้าประตู คอสเดินตามมา
“พี่”
“หือ”
“ไปชั้นลอยด้วยกันหน่อยดิ”
บาลียิ้มขำ เดินไปไขกุญแจเปิดร้าน คอสจับชายเสื้อของพี่ไว้แน่น ขณะที่ก้าวตามขึ้นไปข้างบน
“ว่าไง” พี่หันมาถามเมื่อมายืนอยู่ที่หน้าตู้ด้านในสุด
คอสยิ้มแหยให้พี่ คลายมือจากชายเสื้อ เช็ดเหงื่อที่ฝ่ามือ แล้วยกมือไหว้กราดไปทั่ว
“สวัสดีครับ ผมกลับมาแล้ว ขอให้ผมอยู่ที่นี่ด้วยคนนะครับ”
เสียงพึมพำต่ำๆ ขานรับผสานกับเสียงกรอบแกรบยามเมื่อเปิดหน้ากระดาษแผ่นเก่า
“....ไปซะนานเลยนะ......”
======จบ=====
วันที่ 7 กุมภาพันธ์ คือตอนพิเศษหมายเลข 2 แพท-หมอก
และ 14 กุมภาพันธ์ คือตอนพิเศษ คอส-บาลี
ส่วนเรื่องของกลบทนายรักคนที่ 4 ไม่มีต่อจากนี้ เพราะเขาไม่ใช่เกย์ โลกเราเป็นเช่นนั้น
และเรื่องต่อไป ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีหรือไม่ อาจเขียนเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายแล้ว ผมไม่ได้หมดไฟ ควา่มคิดใหม่ๆก็มีอยู่ แต่มันคิดไม่จบ ก็เลยไม่สัญญา แล้วก็ยังคงไม่มีการรวมเล่ม เพราะผมยังเขียนไม่เก่งพอที่จะไปดึงเงินจากกระเป๋าของคุณ
ว่างก็แวะมาอ่านนะครับ
มีตอนพิเศษอยู่ที่หน้า 61 , 62 ,64 ,68 นะครับ
พี่ที่ไม่มีคะแนนเป็ดครับ ผมกดไม่ติดเอง ไม่ใช่ว่าผมหวงเป็ดนะ คาดว่าจะเป็นที่ไอ้หนู
บางทีมันก็ทำมึนคลิ๊กไม่ติดซะงั้น ละก็ พี่ๆ ที่ร้องไห้หรือน้ำตาซึมในตอนก่อนๆ อย่าบอกแม่ผมนะ แม่บอกว่า ลูกผู้ชายต้องไม่ทำให้ผู้หญิงร้องไห้ แต่ถ้าจะบอก ก็บอกว่าป๋าสั่งให้ผมเขียนนะครับ 
ขอบคุณมากครับ
ไจฟ์กับทีคนหล่อใจดีครับ