ต่อจากข้างบน
v
v
เลิกเรียน แทนที่ไอ้กราฟจะเป็นคนอาสาไปส่งผมเหมือนทุกครั้ง เพราะผมแน่ใจว่าคนที่เคยรับหน้าที่นี้มาเกือบเดือนคงไม่มา มันดันเสือกบอกผม
“กูไม่ต้องไปส่งมึงหรอก เดี๋ยวก็มีคนไปส่งแทน”
“ใครวะ”
“...”
แล้วแม่งก็เสือกไม่ตอบอีก มันเดินชนไหล่ผมออกไปเลย
สัตว์ มึงไปแบบนั้นแล้วใครจะไปส่งกู
ผมมองตามมันไปก่อนจะถูกบดบังสายตาด้วยใครอีกคนที่มายืนอยู่ต่อหน้า พอเงยหน้ามองมันที่สูงกว่าผมนิดหน่อย ก็ต้องมุ่นคิ้วเข้าหากัน เพราะเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก และดูท่าว่าคนที่ยืนอยู่นี่จะไม่ได้อยู่คณะผมด้วย
“นายชื่อไฮยีนใช่ไหม”
เสียงที่ไม่เคยได้ยินถาม ผมก็พยักหน้าพร้อมครางเสียงตอบเบาๆ อย่างงุนงง
“อืม”
“งั้นก็ถูกตัวแล้ว” มันว่าแบบนั้นพลางยิ้มกว้างๆ ให้จนตาที่ไม่ได้โตมากเท่าไรหยีลง “เราชื่อโมเดล เรียกเดลก็ได้”
สิ่งที่มันพูดมาก็พอเข้าใจอยู่หรอก แต่ที่ไม่เข้าใจคือ มันมาแนะนำตัวกับผมทำไม
“แล้ว?”
“ไอ้กัสบอกให้เรามาหายีน”
ยิ่งงงหนักกว่าเก่าอีก แล้วมันคงเห็นสีหน้างงงวยของผมล่ะมั้ง มันถึงได้ยิ้มแล้วเฉลยถึงการมาของมัน
“กัสให้เรามาจีบยีน”
“เฮ้ย!” ร้องออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะไม่คิดว่าไอ้กัสจะเล่นมุกนี้ อย่าบอกนะว่าที่มันบอกว่าต้องพิสูจน์คือแบบนี้ “มาจีบทำไม เป็นเกย์หรือไง ไอ้กัสบอกให้มาก็มา”
“อือ”
มันตอบกลับแบบง่ายๆ จนผมเหงื่อตก
อะไรวะเนี่ย?? ไอ้คนตรงหน้านี่พูดจริงเหรอ
“กัสบอกว่ายีนไม่แน่ใจว่าชอบผู้ชายด้วยกันหรือเปล่า เลยจะให้เราช่วย เราก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะยังไงก็เป็นเกย์แล้วก็ว่างอยู่ด้วย”
ไอ้โมเดลตอบกลับมาแบบหน้าด้านๆ จนผมยังนึกอึ้ง ไม่เคยเจอคนที่พูดอะไรแบบนี้โดยไม่รู้สึกอะไร ถึงเรื่องเกย์จะไม่ใช่เรื่องแปลกในปัจจุบัน แต่คนใกล้ชิดกับผมก็ไม่มี มันเลยไม่ชินมั้ง
“งั้นก็ไม่ต้องลำบากหรอก”
“ได้ยังไง เรารับปากไอ้กัสไปแล้ว” มันทำหน้าเดือดร้อนซะเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันดึงมือผมไปจับเอาไว้แล้วยังมีหน้าบอก “ยีนก็ลองเปิดใจให้โอกาสเราหน่อยก็ได้”
ตอนนี้มันไม่ได้พูดเหมือนจะจีบผมเพราะโดนขอร้องแล้ว แต่แม่งเหมือนจะจีบเอาจริงเอาจัง เลยทำให้รู้สึกหวั่นๆ ยังไงชอบกล
เกิดมันจริงจังขึ้นมา ไม่เป็นเรื่องหรือไง?
“เอาเหอะน่า อย่างน้อยก็ลองดู”
ไอ้คนชื่อแปลกๆ นี่ยังตื๊อ ผมก็ถอนหายใจเฮือกก่อนจะดึงมือตัวเองออกจากมือมัน เบี่ยงตัวให้ห่างนิดหน่อยแล้วกดโทรศัพท์ไปหาไอ้กัสเพื่อถามให้รู้เรื่อง แต่คำตอบที่ได้ก็ไม่มีอย่างอื่นนอกไปจาก
[กูขอให้มันไปเองแหละ มึงไม่ต้องปฏิเสธ จะได้รู้ไปเลยว่าเวลามึงอยู่กับผู้ชายคนอื่นมึงจะรู้สึกเหมือนเวลาอยู่กับพี่ภูไหม]
“แล้วมึงไม่ใช่ผู้ชายหรือไง”
[โอ๊ย อย่างกูหรือไอ้กราฟไอ้เคลมเนี่ย เลยจุดที่จะคิดอะไรกับมึงได้แล้ว มึงต้องลองหาคนใหม่ๆ ดู]
แม่งพูดง่ายๆ แต่ว่าสิ่งที่ผมต้องเผชิญไม่ใช่ง่ายๆ เลย เพราะตั้งแต่วันที่ไอ้โมเดลมาแนะนำตัวกับผมอย่างนั้น ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างที่ไอ้พี่ชมพูเคยทำกับผมกลายเป็นถูกแทนที่ไปเสียหมด จนสามวันแล้วผมก็ยังไม่ได้คุยกับคนที่หนีหน้าผม แม้แต่ไอ้ปลายยังเดินมาหาผมแล้วถาม
“อ้าว มึงเปลี่ยนคู่ขาใหม่แล้วเหรอวะ อะไรวะเนี่ย เร็วโคตร”
สัตว์ ผมอยากจะด่ามันกลับไปจริงๆ เห็นมันเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้ทั้งที่คนทั้งคณะก็ดูจะซุบซิบเรื่องผมกับไอ้พี่ชมพูกันทั้งนั้น ที่ไหนได้ แม่งก็แอบเก็บข้อมูลตลอดเวลา
“เราไม่ได้เปลี่ยน แล้วก็ไม่ได้มีคู่ขาอะไรด้วย”
“เหรอ แล้วไอ้ที่เช้าถึงเย็นถึง กลางวันถึง ป้อนข้าวป้อนน้ำนั่นอะไร”
อันนี้ไม่ได้พูดถึงโมเดลหรอกครับ แต่หมายถึงพี่ชมพูมากกว่า จริงๆ แล้วไอ้โมเดลก็ทำเหมือนกัน แต่ว่าผมปฏิเสธมันเอง มันก็โอเคๆ ไม่ได้ยื้อหรือเผด็จการเหมือนไอ้พี่ชมพู แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกับมันดีขึ้นมาได้ ออกจะเฉยๆ เสียมากกว่า
“มึงนี่มีอะไรดีกันนะ ผู้ชายหล่อๆ ถึงได้รุมล้อมกันไปหมด” ไอ้ปลายว่าพลางเอามือขึ้นมาดันคางผม จับพลิกไปมาเหมือนพิจารณา ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ จ้องเข้ามาในตาของผมผ่านทางเลนส์ใส “แต่ดูๆ ไปมึงก็น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าไม่มีแว่นสงสัยคนคงหลงบึม”
“เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ ปลาย”
ผมดันมือมันออกอย่างเบามือ ทำตัวเรียบร้อยตามคาแรกเตอร์ของผม ซึ่งมันก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่พยักพเยิดหน้าใส่ ให้หันไปดูทางด้านหลังที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเด็กวิศวะฯ คนที่พักนี้มาวุ่นวายกับผม ส่วนไอ้กราฟน่ะเหรอ มันชิ่งหนีกลับไปแล้ว ทิ้งให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นที่ต้องขับรถพาผมไปส่งที่บ้านเหมือนอย่างสามวันที่ผ่านมา
ก็ไม่ได้แย่อะไร แต่อดจะนึกถึงคนที่เคยทำแบบนี้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ จะเป็นยังไงบ้างแล้ววะ ไม่เจอเลย พอไม่เห็นหน้ามัน ผมก็เผลอนึกถึง ทั้งที่เมื่อก่อนอยากจะไล่มันออกไปจากชีวิตจะตาย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแบบนี้ซะได้
“วันนี้ยังไม่รีบกลับนะ ไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำกัน”
โมเดลชวนผม ซึ่งผมก็คงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้ เพราะไม่รู้จะกลับบ้านยังไงทั้งที่ไม่มีเงิน เลยยอมๆ ตามมันไป ที่ศาลาริมน้ำก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่จะเป็นที่พักผ่อนของพวกนักศึกษาในมหา’ลัยมากกว่า เพราะมันร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ แล้วก็มีสระน้ำขนาดกว้างเป็นแหล่งรวมของนักศึกษาทุกคณะเลยก็ว่าได้ เพราะมีศาลานับสิบขนาบคู่ไปกับสระน้ำ แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเย็นแล้ว มันเลยดูจะเงียบๆ ไปสักหน่อย
“เราลองคบกันมาสามวันแล้ว ยีนรู้สึกยังไงมั่ง”
บรรยากาศเงียบๆ กับลมเย็นๆ ที่พัดมาเป็นระลอกทำให้คนเป็นบ้าหรือยังไง อยู่ๆ ไอ้โมเดลก็ถามผมมาแบบนี้
กูไปคบกันมึงตอนไหน กูไม่เห็นรู้เรื่อง
“รู้สึกอะไร”
ผมตีหน้ามึนๆ ใส่ เวลาอยู่กับไอ้นี่ก็ยังคงคอนเซปต์เนิร์ดอยู่ครับ ไม่ได้เผยธาตุแท้ออกไป ถ้านับถึงตอนนี้ คนที่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมนิสัยเป็นยังไงก็มีแค่เพื่อนซี้สามคนนั้นกับพี่ชมพูเท่านั้น กับคนอื่นผมยังเป็นไฮยีนเด็กเรียบร้อยและเนิร์ดเข้าขั้น
“ชอบบ้างหรือเปล่า หรือว่ารู้สึกดี หวั่นไหวบ้างไหม”
“แค่สามวันมันจะทำให้คนรู้สึกอะไรได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันก็ไม่แน่หรอก”
ไอ้โมเดลที่นั่งอยู่ข้างๆ เขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิม แล้วยิ้มหวานส่งให้ แต่รอยยิ้มของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ มันบอกไม่ถูก
“แต่สำหรับเรา เราว่ามันเร็วเกินไป เราไม่รู้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ายีนยอมให้เราใกล้ชิดกับยีนมากกว่านี้ใช่ป่ะ”
แม่งกระเถิบมาอีกจนจะชิดตัวผมอยู่แล้ว ผมเลยต้องขยับตัวถอยห่างจากมันมา แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเพราะไอ้เชี่ยนี่ดันโอบไหล่ผมเอาไว้ พอผมเบือนไหล่หนี มันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือทั้งที่น่าจะดูออกว่าผมไม่พอใจ ถ้าเป็นเพื่อนหรือคนอื่นผมยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไร แต่เพราะไอ้นี่มันบอกอย่างชัดเจนว่าตั้งใจจะจีบผม ถึงจะเป็นคำขอจากไอ้กัสก็เถอะ มันก็ทำให้รู้สึกอยู่ดีว่าแม่งไม่บริสุทธิ์ใจ
“ความจริงตอนยีนอยู่กับเรา ยีนไม่ต้องใส่แว่นก็ได้”
“เราก็ใส่ของเราอย่างนี้อยู่แล้ว”
ผมตอบเสียงนิ่ง แต่ยังไม่เลิกดึงตัวเองออกจากมือของไอ้คนตัวสูงข้างๆ อย่างเนียนๆ รู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงที่ทำตัวสะดีดสะดิ้งเพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือพวกหื่นกามยังไงชอบกล
“ไม่ต้องโกหกหรอก กัสเอารูปยีนตอนไม่ใส่แว่นให้เราดูแล้ว เราถึงได้ตกลงไง”
หมายความว่ายังไงวะ?
ผมสะบัดหน้าไปมองมันอย่างอยากรู้ มันก็อมยิ้มใส่
เอาจริงๆ ไอ้โมเดลอะไรนี่ก็ใช่ว่าหน้าตาไม่ดี ถือว่าหล่อในระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ถึงจะไม่เท่าผมหรือไอ้กราฟก็ตาม มันเป็นเกย์แบบนี้สาวๆ คงเสียใจ อกหักกันไม่น้อย
“ยีนตอนไม่ใส่แว่นก็หล่อ บางมุมก็น่ารักดี เราเลยสนใจ”
มันต้องการจะสื่ออะไรวะเนี่ย?
“แล้วพอได้มาคุยด้วยก็ยิ่งรู้สึก..”
เฮ้ย เวรแล้วไง! พอได้ยินมันบอกมาแบบนี้ผมรีบกระเถิบตัวหนีเลย แต่ว่ามันก็ล็อกตัวผมเอาไว้ได้ เหมือนกะอยู่แล้วว่าผมต้องหนีแน่ มันกำไหล่ผมซะแน่นก่อนจะส่งยิ้มชวนขนลุกมาให้ หนำซ้ำยังตอกย้ำด้วยคำพูดที่ทำให้ผมสยอง
“เราลองคบกันดูไหม”
“ไม่”
ตอบกลับไปทันควันโดยไม่ต้องคิดเลยครับ ทำมันคิ้วกระตุกไปหน่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเพียรพยายามจะยิ้มให้ผมแบบไม่กลัวเหงือกแห้ง
“ทำไมล่ะ ลองคบกันดูก็ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย ยีนก็ยังไม่ได้ชอบใครไม่ใช่เหรอ ยิ่งคบกันมันก็ยิ่งทดสอบได้ว่าจริงๆ แล้วยีนเป็นเกย์หรือเปล่า”
กูไม่ใช่เกย์ ไอ้เหี้ย!!
ผมรีบผลักมันออกเลย ชักจะไม่ไหวแล้ว ยิ่งมันคิดอะไรไปไกลมีแต่จะยิ่งทำให้ผมขนลุกซู่ แต่เพราะผมออกแรงผลักมันไปเต็มๆ ไม่ได้สงบเสงี่ยมอย่างที่ผ่านมาอีกถึงทำให้มันอารมณ์ขึ้นล่ะมั้ง แม่งเลยคว้าหมับเข้าที่เอวผมตอนกำลังจะลุกจากม้านั่งของศาลาแล้วจับเหวี่ยงให้ลงไปกองอยู่บนนั้นเหมือนเดิม เหี้ยเอ๊ย!
“เราไม่ใช่เกย์ แล้วเราก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย เลิกเล่นเหอะ”
พยายามทำใจเย็นที่สุด ไม่โผงผางด่ามันกลับไป เพราะยังไม่อยากเสี่ยงใช้กำลังกับมันเร็วนัก แต่ไอ้สัตว์หมานี่แม่งดันไม่ฟัง มันโผตัวมาคร่อมผมเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เราก็ไม่ได้เล่นแต่แรกแล้ว เราน่ะ ถูกใจยีนตั้งแต่เห็นรูปแล้วนะ”
โอ๊ยยย ไอ้เหี้ย อยากด่าไอ้กัสจริงๆ ที่เสือกเอารูปผมให้ไอ้ห่านี่ดู เลยทำกูเดือดร้อนอยู่ตอนนี้ ผมเอนตัวหนีไอ้โมเดลแบบสุดๆ แต่มันก็กักตัวผมเอาไว้ใต้วงแขนของมัน พอจะผลักออก มันก็ยิ่งกดร่างลงมาทับมากขึ้น จนผมแทบจะนอนแผ่ไปกับม้านั่งอยู่แล้ว
“แต่เราไม่ได้คิดอะไรกับนายเลย เราบอกแล้วว่าเราไม่ได้ชอบผู้ชาย ไอ้กัสก็แค่จะแกล้งเราเล่นเฉยๆ”
“เราก็ไม่ได้เล่นๆ ด้วยซะหน่อย”
เออ มองตามึงกูก็รู้แล้วตอนนี้ว่ามึงไม่ได้เล่น
ไอ้โมเดลยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมแล้วไม่ต้องเดาเลยว่าเชี่ยนี่มันจะทำอะไร ผมรีบเบี่ยงหน้าหนีพร้อมกับดันตัวมันออกไป แต่ว่ามันดันจับแขนผมเอาไว้เสียก่อน หนำซ้ำยังกระชากเสื้อผมจนกระดุมที่ติดอยู่หลุดออกไปกว่าครึ่ง
เหยดดดดดดดดด มึงจะปล้ำกูจริงๆ เหรอเนี่ย สาดดดดดดดดด
ความสยองเริ่มมาเยือนผมแล้ว เพราะพอมันดึงเสื้อผมจนกระดุมหลุด แม่งก็ไล้มือลงบนอกผม แม่งชวนให้แขยงแบบสุดๆ จนผมทนไม่ไหว ไม่ยอมรักษาแล้วไอ้มาดเด็กนงเด็กเนิร์ดอะไร ยกตีนขึ้นยันแม่งจนกระเด็นออกไปเลย
แต่ดูเหมือนว่ายิ่งผมรุนแรงมันก็ยิ่งอยากรุนแรงกลับมา เพราะมันต่อยผมเข้ามาเต็มหน้าหนึ่งหมัด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น... ผมก็บันดาลโทสะล่ะสิครับ งานนี้ไม่ปล่อยไอ้เหี้ยนี่แล้ว ผมกระชากคอเสื้อแม่งมาแล้วอัดหมัดใส่หน้ามันให้แรงกว่าที่มันทำกับผม ยกตีนขึ้นถีบและเตะมันไปหลายที
มันเองก็ใช่ว่าจะยอมปล่อยให้ผมทำมันฝ่ายเดียว มีสวนกลับมาบ้าง แต่ยังไงผมก็เหนือกว่าเพราะว่าโชกโชนในการต่อสู้มาบ้าง ถึงช่วงหลังๆ จะสนิมเกาะจนฝืดไปหมดก็ตาม
นัวเนียกับมันจนหอบแฮ่กไปพักหนึ่ง ไอ้เหี้ยโมเดลก็ลงไปกองอยู่บนพื้น สภาพสะบักสะบอมหายใจหอบๆ จนลุกไม่ขึ้น ผมเลยยกตีนขึ้นกระทืบอกมันอีกสักหนึ่งทีก่อนจะถ่มน้ำลายใส่สั่งสอน ให้มันรู้ซะบ้างว่าเล่นอยู่กับใคร
“จำเอาไว้ กูไม่ได้ง่าย แล้วถ้ากูไม่เล่น มึงก็อย่าหวังว่าจะเล่น”
จัดการมันเสร็จผมก็เดินออกมาจากตรงนั้น ใช้หลังมือแตะมุมปากกับโหนกแก้มนิดหน่อยเพราะว่ามันคงระบมถึงได้เจ็บแบบนี้ หมัดแม่งก็หนักใช่ย่อย เล่นเอาจุกไปหลายที
นี่ถ้าไม่มีฝีมืออยู่บ้างผมคงได้กลายเป็นคนที่นอนหมดสภาพอยู่ตรงนั้น คิดแล้วก็นึกโกรธไอ้เหี้ยกัสขึ้นมา ผมจึงรีบกดโทรศัพท์ไปหามันทันที
“สัตว์กัส มึงนะมึง”
[เฮ้ย อะไรวะ อยู่ดีๆ ด่ากูทำไม]
มันถามเสียงหลงที่อยู่ดีๆ ก็โดนด่า แต่ว่าผมไม่มีอารมณ์จะคุยกับมันดีๆ หรอก แม่ง นึกถึงไอ้เหี้ยนั่นที่ทำหน้ากระลิ้มกระเหลี่ยมองผมเหมือนอยากเอาแล้วก็นึกโมโหขึ้นมาอีกเลยกระแทกเสียงใส่โทรศัพท์
“เพราะมึงนั่นแหละ! หาใครมาวะ เหี้ย”
[อ้าว มึงพูดมาอย่างนี้กูงงนะเว้ย]
“ก็ไอ้สัตว์โมเดลนั่นแม่งจะปล้ำกู”
[เฮ้ยยยยยยยย จริงดิ]
มันร้องดังยิ่งกว่าผมที่ระเบิดอารมณ์ไปเมื่อกี้อีก ดูท่ามันจะตกใจมากและไม่คิดว่าเพื่อนห่าเหวอะไรของมันจะมีจิตพิศวาสผมถึงขนาดนั้น
“เออ แม่ง มึงทำอะไรของมึง สัตว์เอ๊ย”
[กูไม่รู้นี่หว่าว่ามันจะชอบมึงจริงๆ ห่าเอ๊ย แล้วนี่มันทำอะไรมึงหรือเปล่า ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เดี๋ยวกูจะถวายตีนแม่งถึงที่]
“ไม่ต้องถึงตีนมึงหรอก แค่ตีนกูมันก็รวยรินแล้ว”
ผมตอบกลับไป ไอ้กัสก็พ่นเสียงหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ผมไม่ได้เป็นอะไร แต่คิดว่าพรุ่งนี้ไอ้โมเดลคงไม่ได้มีชีวิตอยู่ในคณะวิศวะฯ อีกต่อไปอย่างแน่นอน
[แล้วตอนนี้มึงอยู่ที่ไหน]
“มหา’ลัย กำลังเดินออกไปหาแท็กซี่”
ถึงจะไม่มีเงินติดตัว แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้คงต้องกลับไปขอเงินพี่กล้วยมาจ่ายก่อนแล้วค่อยไปรีดไถกับไอ้กัสอีกที ผมวางแผนเอาไว้ในใจแบบนั้น แต่ไอ้กัสเสือกแทรกขึ้นมา
[งั้นมึงนั่งรอที่หน้าม.นั่นแหละ เดี๋ยวกูไปรับ]
“แล้วมึงอยู่ม.?”
[เปล่า กูอยู่คอนโดแล้ว]
“แล้วมึงจะกลับมารับกูเนี่ยนะ ประเสริฐว่ะ”
เพื่อนทำตัวดีทั้งที่รู้ว่ามันรู้สึกผิด ผมก็ยอมจะเอ่ยปากชม แต่มันก็แค่ตอบปัดๆ กลับมา
[เออๆ มึงรออยู่นั่นนะ ไม่เกินสิบห้านาที]
“เออ”
พอผมตอบกลับ บทสนทนาระหว่างผมกับไอ้กัสก็จบ ผมเดินต่อไปอีกพักนึงเพราะระยะห่างระหว่างจุดที่ผมจากมากับหน้ามหา’ลัยห่างกันพอสมควร ระหว่างทางที่เดินมาก็มีรถของนักศึกษาคนอื่นๆ ขับผ่านไปบ้าง เพราะคนส่วนมากไม่ค่อยเดินกันหรอก และแน่นอนว่าผมกลายเป็นจุดสนใจ ยิ่งอยู่ในสภาพเสื้อเชิ้ตมอมแมมแถมยังกระดุมหลุดรุ่ย แว่นแตกตรงมุมอีก ไม่ว่าใครขับรถผ่านไปก็มีแต่จะมอง
กว่าจะเดินมาถึงก็ไม่รู้ว่ากลายเป็นเป้าสายตาของคนกี่สิบคนแล้ว ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินที่มีอยู่หน้ามหา’ลัยใกล้ๆ กับป้อมยาม ก้มลงตรวจเช็คเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ถอนหายใจออกมา เพราะจะให้กลับไปติดกระดุมเนี้ยบๆ อย่างก่อนหน้าก็ไม่ได้แล้ว ไอ้เหี้ยนั่นแม่งกระชากกระดุมกระเด็นหายไปหมด อกขาวๆ ที่มีกล้ามเนื้อนิดๆ ของผมเลยต้องออกมาอวดโฉมหลังจากที่ไม่ได้โชว์มานาน
จัดเสื้อผ้าให้ตัวเองนิดหน่อยไม่ให้ดูเหมือนไปฟัดกับหมาที่ไหนมาแล้วก็ลูบผมเบาๆ ให้เข้าที่เข้าทางไม่ยุ่งกระเซิง ก่อนจะเห็นร่างของคนคุ้นตาเดินลงมาจากรถที่จอดอยู่ห่างเพียงแค่นิดเดียว มันมาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าผม ดวงตาคมๆ นั้นไล่สายตามองผมจนทั่ว ก่อนปากอิ่มจะเอื้อนเสียงที่ผมไม่ได้ยินมาหลายวัน
“ไอ้กัสให้กูมารับ”
เพียงแค่ประโยคสั้นๆ เท่านั้นแต่ไม่รู้ว่า... ทำไมหัวใจของผมมันถึงรู้สึกพองโตขึ้นมาได้
---------------------
และแล้วก็สามารถแถตอนนี้จนจบได้ 
แต่พี่ภูค่าตัวน้อยมาก โผล่มาสองช็อตสั้นๆ ตอนหน้าเขาคงมาเรียกฉากตัวเองคืน
ส่วนเรื่องกราฟก็เคลียร์ไปส่วนนึงแล้วค่ะ น่าจะชัดเจนพอมั้งนะว่าทั้งคู่รู้สึกยังไงกันแน่
มีตอนคอมเมนต์ด้านล่างนะคะ
Undel2Sky