หนึ่งสัปดาห์ต่อมา....
หงคงฉ่วยก้าวเท้าออกจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าภายในสนามบิน พร้อมกับบรรดาลูกน้องขนาบซ้ายขวา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง เมื่อพบกับคนมารับที่ไม่ได้คาดหมาย
“สวัสดีครับ เดินทางเหนื่อยไหมครับ” คนที่พูดทักทายเป็นชายวัยราวๆ สามสิบปลายๆ ปล่อยผมสีดำปรกหน้าครึ่งหนึ่ง ดวงตาสีดำสนิท วาววับสะท้อนแสงไฟในสนามบิน เขาสวมเสื้อสูทลำลองสีน้ำตาลอ่อน กับเสื้อยืดสีสนิม ด้านล่างสวมกางเกงยีนส์สีเดียวกับเสื้อ พอเห็นผู้ชายคนนี้ หงคงฉ่วยถึงกับนึกคำพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“....... เอ่อ... เอ้อ........ ฮ่ะๆๆๆ” ผู้มีอิทธิพลระดับตำนานของฮ่องกงได้แต่หัวเราะเฝื่อนๆ ก่อนจะพูดตอบไป “ก็ดี เธอแต่งตัวได้แปลกตาดีนะ มาคนเดียวหรือไง?”
“ครับ มาเพื่อพบคุณโดยเฉพาะเลย ให้ผมไปที่รถด้วยได้มั้ย?”
“อืม” หงคงฉ่วยพยักหน้า จากนั้นคนมารับโดยไม่ได้รับเชิญก็เดินตามขบวนไปจนถึงรถลีมูซีนกันกระสุนที่ด้านหน้ามีรูปหล่อโลหะรูปนกยูงสีแดงประดับอยู่
“ให้ตายสิ จินหยิน ฉันล่ะแทบช็อกตายทุกครั้งที่เห็นเธอปลอมตัวจริงๆ” หงคงฉ่วยโพล่งออกมาทันทีหลังจากขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว พลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาประหนึ่งได้เห็นกุ้งมังกรใส่เสื้อขนสัตว์ คนถูกมองยิ้มออกมา แล้วพูดตอบ “อาจารย์น้อยไม่ชอบหรือครับ?”
คนถูกถามสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย “ไม่ล่ะ ไม่เด็ดขาดเลย วันหลังเธอช่วยหวีผมใส่น้ำมันเรียบๆ แล้วใส่แว่นตาเชยๆ นั่นมาหาฉันเถอะ ฉันขี้เกียจเก็บไปฝันผวาอีก”
เว่ยจินหยินไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่ยกมือขึ้นดันแว่นตาด้วยความเคยชิน แต่พอพบว่าไม่มีแว่นตา ก็เลยอ้าปากพูดต่อ “อาจารย์น้อย ไหนว่าไปอเมริกาไงครับ แล้วไหงไฟล์ทบอกว่าไทยล่ะ”
“อ้อ....” หงคงฉ่วยคราง ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “เธอแอบมาหาฉันแบบนี้ทำไมน่ะ อย่าบอกนะว่าทะเลาะกับอาซานอีก”
“ถึงผมทะเลาะกับอาซานจริง ก็ไม่หลบมาหาอาจารย์น้อยแบบนี้หรอกครับ” เว่ยจินหยินว่า “อาจารย์น้อย ตำรวจที่ชื่อลู่อี้เผิงน่ะ ระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ”
“?!” หงคงฉ่วยหรี่ตามองคนที่นั่งเบาะตรงข้าม ก่อนจะเค้นเสียงรอดไรฟัน “อยากจะพูดอะไรกันแน่น่ะ...”
เว่ยจินหยินมองตอบ “เปล่าหรอกครับ ผมแค่เป็นห่วงอาจารย์น้อย ไม่เห็นอาจารย์น้อยหลงใครมานานแล้ว แถมอีกฝ่ายเป็นตำรวจด้วย แต่เอาเถอะครับ ผมรู้ว่าอาจารย์น้อยระวังตัวดีเป็นที่สุดอยู่แล้ว อีกอย่าง ใครจะกล้าทำอะไรคนของอาจารย์น้อยล่ะ”
หงคงฉ่วยจ้องคนตรงหน้าเขม็ง “จินหยิน... เธอต้องการพูดอะไรกันแน่.....?”
รอยยิ้มงดงามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนนั่งเบาะตรงข้าม “พรุ่งนี้ผมจะเริ่มแผน ต้องขอบคุณจริงๆ ระหว่างที่อาจารย์น้อยไปพักผ่อน เครือข่ายของอาจารย์ทำงานได้ดีมากเลย เหลือแค่ให้อาจารย์เล่นละครตบตาอีกนิดๆ หน่อยๆ ลีไป๋หู่คงจะหลงกลผม เขาเพิ่งมาติดต่อผมเมื่อสองวันก่อนนี้เอง”
“อืม... น่าสงสารเขาจริงๆ” หงคงฉ่วยว่า และทำหน้าประหนึ่งได้เห็นเด็กยากจนกำลังถูกหลอกไปค้าแรงงานนรกอยู่ “แล้วสัญญาที่ให้ไว้คราวที่แล้วล่ะ”
รอยยิ้มของเว่ยจินหยินนุ่มนวลกว่าเดิม “แน่นอนครับ ผมรับปากอาจารย์น้อยแล้ว ไม่ผิดคำพูดแน่นอน”
“ฉันจะรอดูแล้วกัน” หงคงฉ่วยว่า แล้วพูดอย่างแปลกใจ “นี่... อย่าบอกนะว่าอุตส่าห์หลบออกมาเพราะจะพูดแค่นี้น่ะ?”
คนถูกถามพยักหน้ายิ้มๆ “จริงๆ ก็ว่าจะมาคุยรายละเอียดแผนการด้วยน่ะครับ แต่ได้มาเห็นว่าอาจารย์น้อยไปเที่ยวกับใครแบบนี้ ถือว่าผมได้กำไรหน่อยหนึ่ง”
“...............”
“วางใจเถอะครับ ผมแค่อยากรู้เอาไว้เฉยๆ ไมได้วางแผนไม่ดีอะไรหรอก ผมไม่กล้าตอแยกับอาจารย์น้อยหรอกครับ”
หงคงฉ่วยนิ่งไปอึดใจหนึ่ง สุดท้ายก็พูดออกมา “นี่ จินหยิน... บอกเธอไว้อีกสักครั้งแล้วกัน ฉันกับอาซานไม่มีอะไรในกอไผ่ เขารักนวลสงวนตัวให้เธอจะตาย เพราะงั้นนะ เลิกคิดเรื่องวางแผนหรือหาจุดอ่อนของฉันได้แล้ว”
“ก็ไม่ได้คิดอะไรทำนองนั้นหรอกครับ” เว่ยจินหยินว่า หงคงฉ่วยมองเขาอีกพัก “จินหยิน ฉันว่านะ เธอรีบกลับไปที่ตึกดีกว่า ดอดออกมาคนเดียวแบบนี้ เจ้ายักษ์นั่นรู้คงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ”
“ผมโทรบอกให้เขาไปรับที่บ้านอาจารย์น้อยแล้วล่ะครับ” เว่ยจินหยินว่า แล้วยิ้มอีก “ขอผมติดรถกลับไปด้วยนะครับ อาจารย์น้อย”
หงคงฉ่วยขยับตัวเหมือนมีแมลงอะไรมาเกาะ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้
“ให้ตายสิ ทำไมฉันถึงไม่รีบเอาขี้เถ้ายัดปากเธอตอนเด็กๆ นะ”
เว่ยจินหยินไม่ตอบอะไร ได้แต่หัวเราะเบาๆ
----------------------------------------------------
ตอนที่รถของหงคงฉ่วยแล่นกลับมาถึงคฤหาสน์ หัวหน้าหน่วยดำของตระกูลเว่ยก็นั่งรออยู่ในห้องทำงานแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อเห็นหน้าของเจ้านายที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเจ้าของคฤหาสน์ คือขมวดคิ้วจนแทบจะผูกติดกันเป็นโบว์ แล้วเอ่ยปากขึ้นทันที “คุณท่านครับ แบบนี้มันอันตรายนะครับ เกิดเป็นอะไรขึ้นมา พวกผมจะทำยังไงล่ะครับ”
ยังไม่ทันที่เว่ยจินหยินจะได้พูดอะไรตอบ หงคงฉ่วยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
“แหม... คุณท่านของเธอก็ดื้อมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ถ้าหวงนักล่ะก็ กลางค่ำกลางคืนก็ขยัน ทำให้มันหนักหน่อยสิ จินหยินน้อยจะได้ลุกหนีไปไหนไม่ได้ไง”
“รุ่นพี่! หยุดพูดอะไรที่มันไม่ตรงประเด็นสักทีเถอะครับ” เถียนซานเอ็ดใส่คนพูด ก่อนจะหันไปหาเจ้านายอีกครั้ง “คุณท่านครับ ผมขอร้องล่ะ ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่คุณแอบออกมาคนเดียวนะครับ”
เว่ยจินหยินทำท่าจะขยับปาก แต่เสียงของหงคงฉ่วยก็ดังขึ้นแทรกอีก “ไม่ตรงประเด็นอะไรกันเล่า ฉันน่ะพูดตรงประเด็นจะตาย ใช่ไหมจินหยิน”
คนถูกถามชะงักไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา “ผมกับอาซานไม่ได้ฟิตอย่างอาจารย์น้อยหรอกนะครับ”
หงคงฉ่วยทำหน้ายุ่ง “อะไรกัน อายุยังไม่เท่าไหร่แท้ๆ อาซานนี่ไร้น้ำยาจริงๆ”
เถียนซานมีสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจเสียเต็มประดา เขาระบายลมหายใจออกมาแล้วพูดตอบ “คุณท่านครับ กลับกันเถอะครับ”
หงคงฉ่วยเชิดหน้าขึ้นๆ นิดๆ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเมินเขาสนิท ขณะที่เว่ยจินหยินยิ้มอีก “ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ ไหนๆ นายก็มาแล้ว เรามาว่าเรื่องแผนการกันให้จบคืนนี้เลยดีกว่า”
“อืม... ก็ดี ฉันจะได้อาซานมาเป็นคู่สักที”
เถียนซานหันควับไปมองคนพูดทันที หงคงฉ่วยหัวเราะคิกคัก แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เว่ยจินหยินก็ชิงพูดขึ้นบ้าง “พูดให้ครบด้วยสิครับอาจารย์น้อย คู่ต่อสู้ไม่ใช่หรือครับ”
“มันก็คู่เหมือนกันนั่นล่ะน่า” หงคงฉ่วยตอบอย่างรำคาญ เถียนซานจึงถามขึ้นบ้าง “วางแผนอะไรกันน่ะครับ ผมต้องสู้กับรุ่นพี่หรือ?”
“อืม.... ก็แค่อาจจะล่ะนะ” เว่ยจินหยินว่า “ก็แค่แผนเผื่อๆ น่ะ เพราะดูท่านายลีไป๋หู่คนนี้จะระวังตัวน่าดู จะตะล่อมให้ยอมตกลงอาจจะต้องแสดงละครฉากใหญ่หน่อย ฉันจะสร้างเรื่องว่าได้หลอกตำรวจให้ไปจับตาดูอาจารย์น้อยแล้ว แต่เพื่อให้แน่นอน ฉันจะให้อาจารย์น้อยแสร้งทำว่ารู้ตัวว่าโดนป้ายสีอยู่ แล้วหันกลับมาเล่นงานพวกเรา ตอนนี้เราก็ต้องแสดงบทผู้ปกป้องเต็มที่ ให้ไอ้หมอนี่มันลงมือขนของตอนที่ยังอยู่ในสายตาของฉัน ก็อย่างว่านั่นล่ะ เจ้าพวกนี้ไว้ใจอะไรไม่ค่อยได้ ฉันไม่อยากเสียเวลาฟรี อาจจะใช้ฉากใหญ่ เปลืองมือเปลืองเท้าอยู่สักหน่อยก็ต้องทำล่ะ”
เถียนซานนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ตกลงครับ ผมรับเป็นคู่มือให้เขาก็ได้”
“แบบนี้สิเรียกว่ารักกันจริง” หงคงฉ่วยว่าแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “งี้ฉันก็จะได้นัวเนียกับนายอีกแล้วสินะ”
เถียนซานกะพริบตาปริบๆ แล้วถอนหายใจอีก “รุ่นพี่ครับ ผมว่ารุ่นพี่เพลาๆ หน่อยก็ดี อายุปูนนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะครับ”
“อ้อ ใช่ จริงสิ” หงคงฉ่วยทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “ฉันหันไปสนใจเด็กหนุ่มๆ แทนตาแก่ห้าสิบอย่างเธอดีกว่า ใช่มั้ยจินหยิน?”
ตอนที่หันกลับมาถาม บนสีหน้าของเว่ยจินหยินก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างที่เรียกได้ว่าชวนให้ขนลุกแล้ว คนถูกถามพยักหน้า “นั่นสิครับ ผมเห็นด้วยกับอาจารย์น้อยทุกประการเลย”
หงคงฉ่วยมองเว่ยจินหยินอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “แล้ว... เธอวางแผนยังไงกับเจ้าเด็กบ๊องตื้นนั่นล่ะ?”
“?” เว่ยจินหยินทำหน้าแปลกใจ อีกฝ่ายจึงพูดขยายความต่อ “เจ้าเด็กที่ชื่อลู่อี้เผิงน่ะ อืม... นี่อย่าหาว่าฉันหลงเด็กไม่ลืมหูลืมตาเลยนะ แต่เจ้านั่นตื้อจะตายไป ถ้าเธอให้เขามาอยู่กับฉันได้ เขาก็คงต้องตามฉันไปเจอเธอเหมือนกันนั่นล่ะ แล้วก็คงไม่อยู่เฉยๆ หรอก”
“อ๋อ...” อีกฝ่ายครางออกมาทันที “เรื่องฉันผมจะจัดการเองครับ อาจารย์น้อยไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ฆ่าเขาแน่ รับรองได้”
“ยาแปลกๆ ก็ห้ามใช้ด้วยล่ะ” หงคงฉ่วยพูดอย่างรู้ทัน พลางเหล่มองแหวนสีเงินเกลี้ยงๆ บนนิ้วมือของเว่ยจินหยิน คนถูกมองหัวเราะร่วน “ครับๆ ผมรับรองกับอาจารย์แล้วกันว่าจะไม่ใช้ลูกไม้อะไรกับเขา แต่ถ้าเขาเล่นผมหนักมือ ผมอาจจะต้องมีป้องกันตัวบ้าง”
หงคงฉ่วยหรี่ตาลงทันที “นี่ฉันขอแลกคู่ยังทันไหม ให้เจ้ายักษ์นี่ไปลุยกับเด็กบื้อนั่น แล้วเปลี่ยนเธอมาเป็นคู่มือฉันแทน”
“ไม่เหมาะมั้งครับ” อีกฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะ “ผมรับมืออาจารย์น้อยไม่ไหวหรอก เอางี้แล้วกัน ถ้าเขาเกิดเล่นงานผมได้จริงๆ อาจารย์น้อยรีบแกล้งแพ้เลยนะครับ เขาจะได้หันไปสนใจอาจารย์น้อยแทนผม”
“อืม... ฉันชักนึกอยากให้เธอแพ้เขาซะแล้วสิ อยากรู้จริงว่าเขาจะหันมาสนใจฉันจริงรึเปล่า” หงคงฉ่วยว่า เว่ยจินหยินหัวเราะอีก “แหม... อาจารย์น้อยดูท่าทางจะเอ็นดูเด็กคนนี้น่าดูเลยนะครับ แต่เอาเถอะ ผมว่าคงไม่มีอะไรผิดคิวหรอก เอาว่าขอให้ทำตามแผนเดิมไว้ก่อนนะครับ”
“ก็ได้ จะกลับแล้วล่ะสิ” หงคงฉ่วยว่า เมื่อเห็นเว่ยจินหยินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู อีกฝ่ายพยักหน้า “ครับ ได้เวลานอนของผมแล้ว”
“เออ อนามัยเหมือนเดิมไม่มีผิด มีพี่เลี้ยงมาด้วยแบบนี้กลับดึกไม่ได้อยู่แล้วนี่นะ”
“กลับเถอะครับคุณท่าน” เถียนซานที่เงียบไปนานพูดขึ้น ขณะเดินเข้าไปหาเว่ยจินหยิน ได้ยินหงคงฉ่วยแค่นเสียง “ออกกันไปเองนะ ฉันจะไปอาบน้ำล่ะ ไม่อยากมองภาพบาดตาบาดใจ”
พูดจบก็เดินฉับๆ เข้าไปในตัวคฤหาสน์ ปล่อยให้ลูกน้องสองสามคนเดินออกมาส่งแขกไม่ได้รับเชิญที่อุโมงค์ด้านหลัง ซึ่งเถียนซานเอารถมาจอดไว้
“อ้าว เอามอเตอร์ไซค์มาหรือเนี่ย?” เว่ยจินหยินเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตรงไปที่มอเตอร์ไซค์สีดำคันใหญ่ เถียนซานพยักหน้า “ครับ ผมไม่อยากให้สะดุดตาคนน่ะ”
“อืม ก็จริงหรอก เอามอเตอร์ไซค์เข้าคฤหาสน์อาจารย์น้อยทางอุโมงค์มันไม่เป็นที่สังเกต แต่ว่าความสูงของนายน่ะมันเด่นสะดุดตาอยู่นะ”
คนถูกแซวไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้มบางๆ บนใบหน้า ก่อนจะคว้าเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำแถบขาวขึ้นมาสวม แล้วส่งอีกตัวให้ผู้เป็นเจ้านาย เว่ยจินหยินรับมาสวมทับเสื้อแล้วพูดขึ้นต่อ “อืม... แบบนี้นึกถึงตอนเด็กๆ ยังไงไม่รู้สิ ตอนนั้นนายเป็นคนขี่ แล้วมีฉันกับอาจารย์น้อยนั่งซ้อนท้ายนี่นะ”
“เพราะคุณเอาแต่เซ้าซี้ว่าอยากจะขึ้นมอเตอร์ไซค์นี่ครับ” เถียนซานว่า พลางส่งหมวกกันน็อคสีดำให้อีกฝ่าย “จะให้รุ่นพี่ขี่เองก็อันตราย ผมก็เลยต้องเป็นคนขี่แล้วให้คุณซ้อนตรงกลางแทน”
“อืม... ตอนนั้นฉันยังตัวเล็กๆ อยู่นี่นะ” เว่ยจินหยินว่า แล้วรับหมวกกันน็อคมาสวม
“นี่ อาซาน” เว่ยจินหยินพูดขึ้น ขณะที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ซึ่งมีเถียนซานเป็นคนขี่ ทั้งคู่กำลังออกจากคฤหาสน์เขาวงกต โดยผ่านอุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับถนนหลวงเส้นหนึ่ง คนอยู่หน้าส่งเสียงตอบรับ “ครับ?”
“นายเจอตำรวจที่ชื่อลู่อี้เผิงแล้วหรือยัง?”
“เคยเห็นหน้าอยู่บ้างครับ เขาเป็นตำรวจสายตรวจด้วย”
“อืม... เป็นคนที่รอดจากบ้านอาจารย์น้อยได้ในรอบหลายปีเลยนะ”
“ครับ.. ดูรุ่นพี่จะถูกชะตาเขามากด้วย”
“เหมือนอย่างที่ถูกชะตานายล่ะมั้ง” เว่ยจินหยินว่า “ฉันเห็นเขาแล้ว คิดว่ามีส่วนคล้ายๆ นายอยู่สักหน่อยเหมือนกันนะ”
เถียนซานหัวเราะแข่งกับเสียงลมที่พัดอยู่รอบตัว เว่ยจินหยินพูดขึ้นต่อ “อาซาน ฉันเป็นห่วงนะ ท่าทางอาจารย์น้อยจะมีจุดอ่อนเสียแล้วล่ะ”
“...........” ร่างสูงใหญ่ด้านหน้าเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถึงพูดขึ้นมา “ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นพี่น่ะ เคยผ่านนรกมาแล้ว เขาไม่ใช่คนที่ไม่มีจุดอ่อนหรอก เพียงแต่เขารู้ว่าควรจะจัดการกับจุดอ่อนของตัวเองยังไง คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะครับ”
“อืม...” เว่ยจินหยินส่งเสียงในคอ ก่อนจะพิงศีรษะเข้ากับแผ่นหลังกว้าง “ฉันรู้ เขาเป็นคนเก่ง เก่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยล่ะ อาซาน... ถ้าฉันไม่ได้ชอบนายแบบนี้ นายจะไปกับเขารึเปล่า?”
เถียนซานระบายลมหายใจ แล้วยิ้มบางๆ ภายใต้หมวกกันน็อค “คุณเป็นคนเดียวที่ผมจะอยู่เคียงข้างรับใช้ไปจนวันตาย เรื่องนี้น่ะ ไม่ว่าใครก็มาเปลี่ยนไม่ได้หรอกครับ”
เว่ยจินหยินสวมกอดปั้นเอวของอีกฝ่ายแน่นขึ้น ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------
เช้าวันรุ่งขึ้น เว่ยจินหยินออกจากสำนักงานตั้งแต่เช้า เพื่อไปที่กรมตำรวจ ตามหมายเรียกที่เขาให้ลูกน้องแอบไปเตี๊ยมกับกรมตำรวจเอาไว้ และดึงตัวหมากทั้งหมดเข้าสู่แผนการในการจัดการกับลีไป๋หู่ โดยมีนายตำรวจที่ชื่อลู่อี้เผิงร่วมอยู่ด้วย
แผนการหลอกซ้ำหลอกซ้อนของเขาดำเนินไปได้ด้วยดีภายในห้าวันต่อมา ลีไป๋หู่หลงกลสนิท กระทั่งวิ่งขึ้นเรือส่งของเอง โดยที่เขากับเถียนซาน รวมถึงหงคงฉ่วยเปลืองมือเปลืองเท้ากันเพียงเล็กน้อย โดยมีนายตำรวจหนุ่มคนนั้นเป็นเครื่องประกอบฉาก
ในที่สุดลีไป๋หู่ก็โดนจับได้คาหนังคาเขา และมีการขยายผลจับกุมเครือข่ายเพิ่มเติมในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา โดยมีเจ้าหน้าที่ประสานงานจากสก็อตแลนยาร์ดที่ชื่อมิลเลอร์ คอยล์เป็นกำลังหลัก
เว่ยจินหยินตัดสินใจว่าจะไปส่งนายตำรวจจากอังกฤษด้วยตนเอง หลังจากเสร็จเรื่อง แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อในเช้าวันหนึ่ง คนที่เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของเขากลับไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทที่เคยคุ้นหน้า แต่เป็นนายตำรวจจากอังกฤษคนนั้น
“อรุณสวัสดิ์ครับ กำลังคิดอยู่ล่ะสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ใช่ไหมล่ะ?” มิลเลอร์ คอยล์พูดเร็วปรื๋อหลังจากเปิดประตูเข้ามา และเห็นเว่ยจินหยินเลิกคิ้ว มองเขาผ่านแว่นตากรอบทอง และอ้าปาก ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง
คนถูกทักเลิกคิ้วอยู่อีกพัก สุดท้ายก็พูดออกมา “อืม... ใช่ ฉันกำลังจะถามว่านายมาได้ยังไง?”
มิลเลอร์ คอยล์ยิ้มกว้างจนแทบเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ แล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ “ผมมาหาคุณน่ะ เดินผ่านประตูเข้ามา ผมอยากจะพบคุณเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย”
เว่ยจินหยินหรี่ตามองคนที่เดินเข้ามาใกล้ “อาซานให้นายเข้ามาหรือ?”
อีกฝ่ายยิ้มให้เขาแทนคำตอบ คนนั่งอยู่ถอนหายใจเฮือก “อืม... มีธุระอะไรล่ะ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่จะมาลาคุณก่อนกลับอังกฤษน่ะ”
“?!”
“ผมถูกเรียกตัวกลับกะทันหันเมื่อคืนนี้เอง ท่าทางคุณจะยังไม่รู้ล่ะสิ” มิลเลอร์ คอยล์ว่า เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของเว่ยจินหยิน ผู้เป็นนายใหญ่แห่งตระกูลเว่ยพยักหน้ายอมรับ “อืม.. ฉันกำลังคิดอยู่พอดีว่าจะไปส่งนายที่สนามบิน”
“หา?!” คราวนี้นายตำรวจจากอังกฤษเป็นฝ่ายมีสีหน้าแปลกใจบ้าง “คุณว่าจะไปส่งผมที่สนามบินเหรอ ว้าว! พูดจริงๆ เหรอครับเนี่ย”
เว่ยจินหยินพยักหน้า “อืม... ก็เห็นว่านายอุตส่าห์มาน่ะ เลยคิดว่าต้องไปส่งสักหน่อย”
“ไม่ได้มีแผนหรือจะส่งจดหมาย หรืออีเมลอะไรนะครับ?” อีกฝ่ายถามอย่างไม่แน่ใจ คนถูกถามสั่นศีรษะ “ยังไม่ได้คิดหรอก แต่มันก็ต้องดูพฤติกรรมโดยรวมของนายด้วยน่ะนะ”
มิลเลอร์ คอยล์อึ้งไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “แค่คุณบอกว่าจะไปส่งผมก็น่าดีใจสุดๆ แล้วล่ะ แต่ไม่ต้องไปหรอกครับ เพราะไงๆ ผมก็มาหาคุณแล้ว”
“อืม..” เว่ยจินหยินส่งเสียงในคอ แต่แล้วจู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อมิลเลอร์ คอยล์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วขโมยหอมแก้มเขาอย่างรวดเร็ว
!!
เว่ยจินหยินคว้ามือตะปบคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ แต่ก็ไม่วายถูกขโมยหอมแก้มอีกข้าง คราวนี้เขาเลยผลักฝ่ายนั้นออกไปเต็มแรง
“ฮะๆ คุณนี่ร้ายเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนจริงๆ” มิลเลอร์พูดกลั้วหัวเราะ ขณะยันตัวเองเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะเสียหลักหงายหลังไปชนกับตู้ใส่เอกสารไม้ที่วางอยู่ด้านหลัง เว่ยจินหยินหรี่ตามองเขา “มารยาททรามไม่มีเปลี่ยนจริงๆ”
คนถูกด่าหัวเราะชอบใจ แล้วพูดยิ้มๆ “มารยาททรามอะไรกันครับ คุณเคยอยู่อังกฤษน่าจะรู้ดีนี่ หอมแก้มก็เป็นการทักทายอย่างหนึ่งนะ”
“นั่นมันวัฒนธรรมฝรั่งเศส ไม่เกี่ยวอะไรกับอังกฤษเลยสักนิด” เว่ยจินหยินแย้งทันที อีกฝ่ายยักไหล่ “มันก็ทักทายเหมือนกันล่ะครับ”
“นี่นายใช่คนอังกฤษจริงๆ รึเปล่าเนี่ย”
มิลเลอร์ คอยล์หัวเราะอีก “ผมกลับล่ะนะครับ เดี๋ยวจะไปเช็กอินไม่ทัน แล้วไม่ต้องส่งจดหมายรายงานความประพฤติ หรืออะไรไปหาหัวหน้าผมอีกนะ เพราะคราวนี้ผมมีพยานว่าอยู่ทำงานตลอด จดหมายโคมลอยของคุณใช้ไม่ได้ผลหรอก”
เว่ยจินหยินสูดหายใจลึก ก่อนจะพยักหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “เอาล่ะ ฉันเข้าใจ ยังไงก็ขอบใจที่มาช่วยแล้วกันนะ”
มิลเลอร์ คอยล์ยิ้มอีก “แบบนี้ค่อยคุ้มค่าหน่อย ผมไปนะครับ รักษาตัวด้วยนะ”
“อืม โชคดีแล้วกัน” เว่ยจินหยินว่า และโบกมือลาให้อีกฝ่ายพอเป็นพิธี หลังจากมิลเลอร์ คอยล์ออกไปได้พัก เถียนซานก็เดินเข้ามาในห้อง เว่ยจินหยินกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกอีกฝ่ายชิงจังหวะพูดขึ้นก่อน
“คุณท่านครับ ท่านห้ามาครับ”
----------------------------------------
“พี่รอง อรุณสวัสดิ์ครับ” เว่ยปิงเซียงเอ่ยปากทักทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง เว่ยจินหยินพยักหน้า แล้วตอบกลับไป “อรุณสวัสดิ์ ไม่มีเข้าเวรหรือไง?”
“ผมแลกเวรมาน่ะ” เว่ยปิงเซียงตอบ แล้วพูดต่อ “ผมดูข่าวแล้ว เรื่องแก๊งค้าอวัยวะน่ะ ฝีมือพี่ใช่มั้ยครับ?”
เว่ยจินหยินไม่ตอบคำถาม ได้แต่ยิ้มๆ แล้วถามกลับ “เขาออกข่าวแล้วหรือ?”
“ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะครับ ผมดูข่าวรอบดึกเอา” เว่ยปิงเซียงว่า “เห็นว่าจับรายแรกได้ตั้งแต่เกือบสัปดาห์ก่อน แต่ปิดข่าวเอาไว้ รอจนขยายผลจับได้ทั้งแก๊งเลยมาแถลงข่าว พี่รอง พี่ช่วยเรื่องนี้ใช่มั้ย?”
“เธอสบายใจขึ้นบ้างหรือยังล่ะ?” เว่ยจินหยินถามโดยเลี่ยงที่จะตอบ ผู้เป็นน้องชายเม้มริมฝีปาก แล้วพยักหน้า “ครับ ขอบคุณมากนะ พี่รอง”
“อืม..” เว่ยจินหยินส่งเสียงในคอ แล้วหันไปสนใจกับเอกสารตรงหน้าต่อ แต่พอเห็นว่าเว่ยปิงเซียงยังคงยืนอยู่ในห้อง เหมือนกับรีรออะไรสักอย่าง เลยเงยหน้าขึ้นมาอีก “มีอะไรอีกหรือ?”
“พี่รอง... เรื่องอุบัติเหตุรถชนที่เกิดขึ้นกับผมน่ะ” เว่ยปิงเซียงพูดออกมาอย่างช้าๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชาย “ผมคุยกับพี่ชายใหญ่แล้ว....”
“อ้อ... เขาว่าไงล่ะ” เว่ยจินหยินวางมือจากเอกสาร หันมาใช้สายตาคมวาวจับจ้องน้องชายที่ยืนอยู่ เว่ยปิงเซียบขบริมฝีปากบน สูดหายใจลึก ในที่สุดก็พูดออกมา “พี่ชายใหญ่ให้ผมมาถามพี่ ว่าอยากให้ผมพูดเรื่องนี้มั้ย?”
“............” เว่ยจินหยินหรี่ตามองน้องชาย “เธออยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ”
เว่ยปิงเซียงนิ่งไปพัก เขามองตรงไปยังพี่ชาย “ผมอยากให้คนอื่นรู้ว่า พี่ไม่ได้วางแผนฆ่าผม พี่ไม่ใช่คนที่ลงมือฆ่าน้องชายตัวเอง”
“....................”
“พี่รอง... พี่ให้ผมอธิบายเรื่องนี้เถอะ.. พี่จะได้ไม่ต้องถูกใครตราหน้าอีก”
เว่ยจินหยินเพ่งสายตามองน้องชาย หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาก็พูดออกมา “เรื่องนี้น่ะเธอไม่ต้องแก้แทนพี่หรอก”
เว่ยปิงเซียงเม้มริมฝีปาก มีสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด “ทำไมล่ะ... เพราะอะไรหรือ?”
ฝ่ายถูกถามเงียบไปพัก สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “แค่เห็นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ ก็ดีสำหรับพี่แล้วล่ะ เธอไม่ต้องทำอะไรเพื่อพี่หรอกนะ ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
“พี่รอง....”
“เชื่อที่พี่พูดเถอะ เธอกลับไปทำงานได้แล้วล่ะ อยากได้อะไรอีกก็บอกพี่แล้วกัน”
เว่ยปิงเซียงยืนมองพี่ชายเขาอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะสูดหายใจลึก “งั้นผมกลับนะครับ”
เว่ยจินหยินพยักหน้า คนเป็นน้องชายหมุนตัว ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง ทันใดนั้นเองฝ่ายที่นั่งอยู่ก็พูดขึ้นอีก
“น้องห้า”
“ครับ?”
“พี่ขอโทษด้วยนะ”
ริมฝีปากของเว่ยปิงเซียงเม้มเข้าหากัน ก่อนจะผงกศีรษะ “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ พี่ชายใหญ่เล่าให้ผมฟังแล้ว.... พี่ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วนะ”
เว่ยจินหยินอ้าปาก เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่มีเสียง เว่ยปิงเซียงยิ้มให้เขา แล้วก้าวเท้าออกจากห้องไป สักพัก เว่ยจินหยินถึงหันหน้ากลับมามองลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ “อาซาน”
“ครับ”
คนเรียกกะพริบตาปริบๆ อยู่พัก แล้วจึงพูดออกมา “นายกับพี่ชายใหญ่น่ะ.....”
เถียนซานพยักหน้าโดยที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ เว่ยจินหยินอ้าปากค้าง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “ช่างเถอะ แต่เรื่องมิลเลอร์น่ะ...”
“ขอโทษด้วยนะครับ” อีกฝ่ายพูดสวนออกมา เว่ยจินหยินหรี่ตามองลูกน้องตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “นายนี่มัน........ จริงๆ เลยนะ ให้ตายสิ”
เถียนซานไม่ตอบโต้อะไร ได้แต่ยิ้มออกมา “เย็นนี้อยากจะทานอะไรเป็นพิเศษหรืออยากไปไหนรึเปล่าครับ?”
เว่ยจินหยินหลับตาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกมา “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ จะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
คราวนี้เถียนซานเป็นฝ่ายเลิกคิ้วบ้าง คนเป็นเจ้านายพูดต่อ “ไปกันแค่สองคนนะ ฉันอยากไปนั่งรถไฟเหาะ”
“............”
“ทำไมเงียบไปล่ะ ไหนถามว่าฉันอยากไปไหนไง?”
เถียนซานเงียบไปพัก สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ผมกำลังคิดอยู่นะ ว่าคุณจะแต่งตัวยังไงไม่ให้สะดุดตาคนดี แต่งแบบนี้ถือสายไหมกับลูกโป่งไม่เหมาะแน่”
เว่ยจินหยินหันมาถลึงตาใส่คนพูด “ฉันจะขี่คอนายไป จะได้เห็นอะไรชัดๆ หน่อย ไม่อยากจะเบียดคนเยอะๆ”
“งั้นต้องเกาะแน่นๆ นะครับ ผมกลัวคุณตกระหว่างทาง เดี๋ยวจะหากันไม่เจอ”
“ฉันรู้ ยังไงนายต้องหาฉันจนเจอได้แน่ๆ”
เถียนซานไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้ม เว่ยจินหยินมองหน้าเขา จากนั้นก็ยิ้มออกมา
------------------------------------------------------
**สงสารลู่อี้เผิงจริงๆ ให้ตายสิ (พิมพ์ว่างั้น แต่ใจกลับหัวเราะอย่างสะใจ
ถือเป็นการเอาคืนที่ในเรื่องนกยูงแดง เผิงเผิงบังอาจมองเว่ยจินหยินเป็นเซลขายตรงไปได้ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)
ตอนนี้คาดว่าจะสะเทือนใจแฟนคลับมิลเลอร์ (ที่ถุกหลอกให้ลุ้นตั้งกะเรื่องYes!Master. และมาถูกตอกย้ำความไม่สมหวังในตอนพิเศษนี้อีกที<<โดนคนอ่านบุกกระทืบ
) เอาน่า มิลเลอร์ก็ให้เป็นมิลเลอร์แบบนี้แหละ นี่แหละมิลเลอร์ (เลิกหวังเรื่องหาคู่ให้มิลเลอร์ไปได้ เพราะพระเอกกะล่อนปราบยาก ดูอย่างรูฟัสสิ..... ให้มีหมอนั่นคนเดียวพอแล้ว=[]=)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ ส่วนตอนพิเศษที่เหลือของเรื่องนี้ (My neighbor is a spy.) จะลงเฉพาะในรวมเล่มเท่านั้นค่ะ เดี๋ยวจะแจ้งอีกทีว่ามีตอนของใคร เกี่ยวกับอะไรบ้างนะคะ^^