Chapter :: 08 :: อยากมีเซ็กส์?! “..มึงดูคล่องดีนะ” ผมพูดขณะมองดูเอี้ยฟ้าประทานกำลังพันแผลที่หลังมือซ้ายให้
อันที่จริงแล้วเราต่างคนต่างเงียบกันมาพักใหญ่..
ตัวผมนั้นไม่รู้จะพูดอะไร ผมยังงงไม่หายว่าเหตุการณ์วุ่นวายเกือบฆ่ากันตายเมื่อครู่มันมาจบลงตรงที่การนั่งทำแผลให้กันได้ยังไง? ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย
ส่วนตัวมัน.. ผมก็ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ มันแค่นั่งทำแผลให้ผมเงียบๆ โดยไม่ปริปากสักคำ
และนั่นแหล่ะที่มันทำให้ผมอึดอัดจนต้องหาหัวข้ออะไรบางอย่างขึ้นมาพูด เป็นต้นว่า.. ฝีมือการทำแผลของมันอยู่ในระดับอ๋องเลยทีเดียว นี่ถ้าไม่รู้ว่ามันเรียนเภสัช ผมอาจจะหลงคิดว่ามันเรียนหมอก็ได้นะ
“กูเคยทำให้ตัวเองบ่อยๆ” มันตอบเรียบเรื่อย โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
“เป็นอะไร?” ผมอดถามต่อไม่ได้
“..โดนกระทืบ”
ผมหลุดขำพรืดออกมา ไอ้เอี้ยฟ้าประทานเนี่ยนะโดนกระทืบ? โอ้ว~ นึกว่าเคยแต่กระทืบคนอื่นอย่างเดียว จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างจากผมหรือซินสินะ มีทั้งเคยกระทืบคนอื่น ทั้งเคยโดนคนอื่นกระทืบเอา
งี้แหล่ะ..รสชาติของชีวิต ฮ่ะๆๆ
“ทำไม?” มันเงยหน้าง่วงๆ ขึ้นมาถามผม คงเพราะเห็นผมหัวเราะมันมั้ง
“เปล่า.. กูก็นึกว่ามึงเป็นแต่กระทืบคนอื่นซะอีก” ผมยกมือที่ทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วมาสำรวจดู ...โอ เยี่ยมเลย
“..ไม่เคยแพ้ จะรู้จักชนะได้ยังไง?” มันว่างั้น.. มือก็ถือสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผลบริเวณแก้มซ้ายของตัวเอง
อุว้าว.. ปรัชญาแบบฟ้าประทานเหรอ? ฮ่ะๆ ผมมองมันอย่างแปลกใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าคนอย่างมันก็คิดอะไรแบบนี้ด้วย
ผมแย่งสำลีในมือมันมาแล้วเช็ดให้ซะเอง ก็เห็นมันเช็ดถากไปถากมาไม่ทั่วสักที เลยจะช่วยสงเคราะห์ให้ซักหน่อย ไหนๆ มันก็อุตส่าห์ทำแผลให้ผมแล้ว จะได้ไม่ติดค้างกัน มันฟันผม ผมฟันมัน มันทำแผลให้ผม ผมก็ทำแผลให้มันซะ
โอเค เจ๊าๆ
มันก็นั่งนิ่งให้ผมเช็ดอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร ผมหยิบยาในกล่องปฐมพยาบาลมาใส่ที่แผลและแปะพลาสเตอร์เป็นอย่างสุดท้าย ..เสร็จ!
แล้ว...ยังไงต่อ?
เอี้ยฟ้าประทานยังนั่งมองหน้าผมเฉยๆ ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ ผมเองก็นึกไม่ออกว่าควรจะทำยังไง? ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทรงสูงที่บาร์ ขามันยื่นมาเหยียบที่พักเท้าของเก้าอี้ตัวที่ผมนั่ง ส่วนผมก็เหยียบอยู่ที่เก้าอี้ตัวที่ผมนั่งเหมือนกัน(งงไหม?) แต่มีขาทั้งสองข้างของเอี้ยฟ้าคร่อมเอาไว้อีกที
ตอนนี้ผมเลยไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อมันยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน
หรือผมควรจะก้าวข้ามขาของมันออกไปเลยดี? ..มันจะน่าเกลียดไหม? หรือที่ผมปล่อยให้มันพาดขาคร่อมไว้แบบนี้ก็น่าเกลียดอยู่แล้ว?
อะไรวะ? อยู่ๆ ก็ทำตัวไม่ถูก..
หรือจะลุกไปซัดมันสักเปรี้ยงแล้ววิ่งหนีไปดี? ..เออ เข้าท่าว่ะ
“ซันนี่”
“ห๊ะ?” ผมสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ได้ยินมันเรียก ก่อนจะนึกอะไรได้ “กูชื่อ ซันชายน์..”
“ซันนี่” มันยังหน้ามึนเหมือนเดิมเป๊ะ
ผมอ้าปากจะบอกมันอีกครั้งพร้อมกับแถมลูกด่าไปด้วย แต่แล้วก็คิดเปลี่ยนใจเพราะว่ามันคงไร้ประโยชน์ ถ้าเอี้ยฟ้าประทานมันจะใส่ใจฟังผมซักนิด มันก็คงจะเลิกเรียกแบบนี้ไปนานแล้ว เลยได้แต่พึมพำปลงๆ “...เอาเหอะ”
“ซันนี่”
“อะไรเล่า?!” ผมชักรำคาญ
จะพูดอะไรก็พูดสักทีสิวะ! เรียกอยู่ได้ น่ารำคาญ!
“กูอยากมีเซ็กส์”หือ...?
‘กูอยากมีเซ็กส์’ ...เหรอ?
อืมมมม.. กูอยากมีเซ็กส์...?
จงตอบคำถามต่อไปนี้ (10 คะแนน + จูปาจุ๊บ 1 อัน)
กู อยาก มี เซ็กส์ เป็นประโยคชนิดไหน?
ก.) ประโยคบอกเล่า ...กูอยากมีเซ็กส์ แปลว่า มันอยากมีเซ็กส์ แล้วมันก็เลยบอกให้ผมรู้...เหรอ? (เพื่ออะไรวะ?)
ข.) ประโยคคำถาม ...กูอยากมีเซ็กส์ แปลว่า มันอยากมีเซ็กส์..หรือเปล่า? มันไม่แน่ใจ ก็เลยถามผม...เหรอ? (ไม่ใช่มั้ง?)
ค.) ประโยคปฏิเสธ ...กูอยากมีเซ็กส์ แปลว่า อะไร...เหรอ?? (อันนี้ยิ่งงงไปใหญ่)
ง.) ประโยคเชิญชวน ................ เหรอ???
“...กับมึง” มันเติมกรรม(ของกู) เพื่อให้รูปประโยคสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ง่ายต่อการเข้าใจ
โอเค กูเก็ทละ..
โครม!!.. ผมลุกพรวดทันที เก้าอี้ที่เคยนั่งเลยล้มกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นห้อง คว้าขวดเหล้าแถวนั้นได้ขวดหนึ่งผมก็ถอยกรูดออกไปตั้งหลักให้พ้นจากระยะมือระยะตีนของไอ้เอี้ยนั่น...แต่มันยังนั่งอยู่ที่เดิม
“ถ้ามึงเข้ามานะ กูจะฟาดให้หัวแบะด้วยขวดนี่แหล่ะ!” สองมือผมจับคอขวดไว้แน่น ชูไปทางมันอย่างมาดหมาย
“ทำอะไรน่ะ?” มันส่ายหัวช้าๆ ราวกับว่าสิ่งที่ผมทำนั้นช่างไร้สาระปัญญาอ่อน ก่อนจะหยิบเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งขวดใกล้ๆ มือมาเทใส่แก้ว ..ยกขึ้นจิบเบาๆ
พูดให้กูสติแตก แล้วมึงยังจะมีอารมณ์แดกอีกนะ ไอ้เวรตะไลเอ๊ย!!
“แล้วเมื่อกี๊มึงพูดเชี่ยอะไรออกมาล่ะ?!” ผมตวาด “แค่ที่มึงเคยทำกับกูเอาไว้ กูยังไม่ฆ่ามึงทิ้งก็บุญเท่าไหร่แล้ว ไอ้เอี้ยฟ้าประทาน!? ถ้าขืนยังคิดอะไรกามๆ กับกูอีกล่ะก็ มึงเตรียมตัวตายซะเดี๋ยวนี้เลย!”
“ถ้า ‘ไม่’ ก็ไม่เป็นไร...ไม่เห็นต้องโวยวาย” มันยักไหล่ จิบเหล้าอีก “กูก็แค่ลองพูดดูเฉยๆ ...เผื่อฟลุค”
“ตายซะมึง!!” ผมวิ่งเข้าไป เงื้อขวดขึ้นสุดแขน แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือหัวหงอกๆ ของมันนั่นแหล่ะ ผมฟาดลงไปสุดแรงเกิด
เพล้งงงง!!.. ขวดแก้วฟาดเข้ากับเก้าอี้แตกกระจาย..ทั้งเหล้า ทั้งเศษขวด เกลื่อนพื้นไปหมด ส่วนไอ้เอี้ยฟ้าหลบไปได้อย่างหวุดหวิด
แต่มึงอย่าคิดว่ารอดแล้วนะ เพราะตอนนี้มึงอยู่ในวิถีของกูพอดี เสร็จล่ะ!
ผมหมุนตัวส่งลูกถีบหลังไปประทับยอดอกของมันพอดิบพอดี ส่งผลให้มันเซไปกระแทกกับเคาน์เตอร์บาร์ดังโครม เสียงขวดเสียงแก้วแถวนั้นหล่นแตกกระจาย เสียหายแค่ไหนผมไม่รู้ ไอ้เอี้ยนั่นจะถึงที่ตายหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ผมวิ่งมาที่ลิฟต์แล้ว แต่ไม่ลืมจะคว้ารองเท้าตัวเองติดมือมาด้วย พอกดเข้ามาข้างในได้ก็ให้โล่ง..
เฮ้อ~ ก้มมองคอขวดแตกที่ถือติดมือมาก็ต้องยกยิ้มสะใจ
“...สมน้ำหน้า ไอ้บ้าเอ๊ย!”
ผมนอนดูแหวนทองคำขาววงเล็กๆ ที่มีเพชรสีน้ำเงินประดับอยู่อย่างหนักใจ ไม่รู้ว่ามันติดตัวผมมาได้ยังไงเหมือนกัน รู้อีกทีก็ตอนที่ผมถอดเสื้อเตรียมจะอาบน้ำนั่นแหล่ะ มีเสียงบางอย่างหล่นกระทบพื้น พอลองหาดูก็ดันกลายเป็นแหวนวงนี้ไปซะได้
นี่ผมกลายเป็นหัวขโมยโดยไม่ตั้งใจไปแล้วหรือเปล่าวะ?
เพชรซะด้วยสิ.. เอาไงดี?
“เฮอะ!” แต่พอนึกถึงหน้าไอ้เจ้าของแล้วก็พาลอยากเขวี้ยงลงชักโครกให้รู้แล้วรู้รอด ..เพชรก็เพชรเหอะ
ก๊อก ก๊อก!
ผมสะดุ้งเล็กๆ กับเสียงเคาะประตู เหลือบดูนาฬิกาที่หัวเตียงก็เห็นว่าเกือบตีหนึ่งแล้ว ทั้งบ้านก็มีอยู่แค่สองคน เพราะงั้นคนเคาะจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..ซิน
และเหตุผลเดียวที่ซินจะมาเคาะห้องผมกลางดึกแบบนี้ก็คือ...ฝันร้าย?
ผมยิ้มกว้างทันที โอกาสเป็นของผมล่ะ..!
เมื่อตอนเย็นไม่ว่าจะพยายามพูด พยายามชวนคุยยังไงซินก็ไม่ยอมใจอ่อนซักที ยังทำมึนตึงใส่ผมไม่เลิก จนผมแทบจะร้องไห้แล้วคุกเข่าอ้อนวอนมัน ขอให้มันยกโทษให้ ขอให้มันหายโกรธ ขอให้เราคืนดี..
แต่ผมรู้ดีว่าซินคงไม่อยากเห็นผมในสภาพนั้นหรอก ถ้าทำแบบนั้นมันอาจจะเกลียดผมมากกว่าเดิม ...เพราะซินเกลียดพวกขี้แพ้
ถึงมันจะไม่ค่อยดีกับซินเท่าไหร่ แต่ผมต้องสารภาพว่าดีใจมากจริงๆ ที่มันมาฝันร้ายในคืนแบบนี้ ก็เพราะทุกครั้งที่มันฝันร้ายน่ะ มันจะต้องมานอนให้ผมปลอบไงล่ะ
“ซันนี่..” ร่างของคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ค่อยๆ แง้มประตูเข้ามาพร้อมกับหมอนประจำตัวหนึ่งใบ
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ?” ผมถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ พลางขยับตัวถอยไปทางด้านข้างของเตียง เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับอีกคน
ซินพยักหน้า เดินหอบหมอนมาล้มตัวนอนข้างๆ ผม นอนตะแคงหันหลังให้ โดยไม่พูดอะไร ทั้งที่ปกติแล้วซินจะหันหน้ามาหา มุดเข้ามาซุกที่อกผมและให้ผมกอดเอาไว้จนถึงเช้า
แต่ที่เป็นแบบนี้คงเพราะยังโกรธผมอยู่สินะ..
“ซิน..” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ ถ้าซินไม่เป็นฝ่ายเข้ามา ผมก็จะเข้าไปหาเอง ผมสอดแขนเข้าไปกอดเอวมันไว้หลวมๆ ซบหน้าลงกับกลุ่มผมเดทร็อคเส้นหนา
..ฝันร้ายของซินไม่ใช่ฝันเพ้อเจ้อ ไม่ใช่จินตนาการ หรือจิตใต้สำนึกอย่างที่คนส่วนใหญ่มักฝันกัน แต่ฝันร้ายของซินคือ ความจริง...ความจริงอันเลวร้ายที่ตามหลอกหลอนมาจากอดีต และก็คงจะคอยหลอกหลอนไปจนถึงอนาคต..
ซินไม่มีทางลืมเรื่องนั้นง่ายๆ
ผมเองก็เหมือนกัน.. แน่ใจได้เลยว่าฝันร้ายนั่นจะอยู่กับเราไปจนวันตาย!
“ขอโทษนะ” ผมพูดจากใจจริง
“...เรื่องไหนล่ะ?” เสียงซินถามอู้อี้กลับมา
“ซิน..” ผมไม่รู้จะพูดยังไง ผมรู้ว่าซินรู้ดีอยู่แก่ใจว่าผมพูดเรื่องไหน แต่มันก็ยังถามคำถามเย็นชาแบบนั้นกับผม
“ช่างมันเถอะ กูเข้าใจแล้วล่ะว่าเราไม่สามารถเชื่อใจใครได้...แม้แต่แฝดของตัวเอง”
“ซิน!” คำพูดนั้นของมันทำเอาผมหูอื้อ หน้ามืดขึ้นมาทันที
ผมกระชากไหล่ของซินให้นอนราบลง ก่อนจะขึ้นคร่อมและใช้มือกดไหล่ทั้งสองข้างของมันเองไว้กับเตียง สองมือของผมกำหัวไหล่มันเอาไว้แน่น
“..มึงเชื่อใจกูได้...อย่าพูดแบบนั้น..อีก” ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมเชื่อฟังเลยสักนิด “มึงต้องเชื่อใจ..กูนะ..ฮึก..มึงต้อง..เชื่อใจกู”
“อย่าร้อง..” ซินยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่แก้มของผม “อย่าร้อง..ซันนี่..กูต่างหากที่อยากจะร้อง...กูถูกคนที่เชื่อใจที่สุดโกหกเอานะ”
“ขอโทษ..กูขอโทษ..มันจะไม่เกิดขึ้นอีก..ฮึก..ขอโทษ” ผมประครองมือของซินเอาไว้และซบหน้าลงไป
มันเจ็บปวดจริงๆ ที่ได้ยินคำว่า ‘เชื่อใจไม่ได้’ จากปากของซิน...
ผมเข้าใจความรู้สึกของมันตอนที่รู้ว่าผมโกหกแล้ว ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก มันจะไม่เกิดขึ้นอีก...ไม่อีกแล้ว
ตอนนี้ความรู้สึกของเราคงไม่ต่างอะไรกัน..
“กูจะไม่..ทำอีก”
“อือ..ลืมมันซะเถอะ” ซินรั้งผมลงไปกอดเอาไว้พลางลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน เหมือนกับต้องการจะบอกว่า..มันให้อภัยผมแล้ว..
“กูขอโทษ..”
“ไม่เป็นไร”
“..ขอโทษ”
“อือ”
“กูว่าตอนนี้มึงดูเหมือนคนบ้ามากกว่าตอนเล่นละครอีกว่ะ” ผมอดพูดไม่ได้จริงๆ
ก็ดูไอ้กายดิ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จิ้มสเต็กใส่ปากไปก็หัวเราะไป ยิ่งกว่าคนบ้าซะอีก หรือที่องค์ประทับเมื่อกี๊ยังไม่ออกจากตัวมันวะ นี่มันนอกเวทีแล้วนะโว้ย! มึงจะสมบทบาทไปไหม สกาย?
“ก็กูอารมณ์ดีนี่” ไอ้กายยิ้มพยักพเยิด ยื่นมือไปลูบกุหลาบหินในกระถางอย่างเบามือ “..เนาะ ”
มันพูดกับต้นไม้ด้วยว่ะ ชักจะกรู่ไม่กลับแล้วเพื่อนกู เหอๆ
แล้วไอ้กุหลาบหินกระถางนั้นน่ะ ซินเป็นคนซื้อมาเองแหล่ะ..
เมื่อตอนกลางวัน.. ก่อนที่เราจะไปดูละครเวทีของคณะนิเทศที่กายมันรับเล่นเป็นพระเอก พวกเราก็ออกไปหาซื้อดอกไม้กันก่อน เพื่อจะเอามาแสดงความยินดีกับพระเอกหน้าใหม่สักหน่อย
แต่ระหว่างที่เลือก..ไม่ว่าผมจะเสนอดอกอะไรก็ดูเหมือนจะไม่ถูกใจซินไปซะหมด ช่อดอกไม้ที่ทางร้านจัดไว้แล้ว ซินก็บอกว่า..เกร่อ ใครๆ ก็ซื้อ มันดูสามัญไป พอผมเสนอดอกกุหลาบ ซินก็บอกว่า..ไม่เหมาะกับผู้ชายตัวควายๆ อย่างไอ้กายหรอก กุหลาบก็ต้องคู่กับสาวงามสิ พอผมบอกลิลลี่ ซินก็ว่า..ไฮโซไป พวกดอกไม้ซื้อแพงเท่าไหร่ก็อยู่ได้แค่ไม่กี่วัน
สุดท้ายเราก็ต้องเดินออกจากร้านขายดอกไม้ แล้วไปร้านขายต้นไม้แทน แต่ก็ยังเห็นไม่ตรงกันอยู่ดี ซินมันอยากได้ต้นกระบองเพชร เพราะมันดูแข็งแกร่ง ทนทาน เลี้ยงง่าย ตายยาก เหมาะสมกับผู้ชายอย่างไอ้กายที่สุด มันบอกแมนๆ ก็ต้องเลี้ยงกระบองเพชรนี่แหล่ะ(เกี่ยว??) แต่ผมยังยืนยันว่าเป็นต้นกุหลาบ ถ้าซื้อแค่ดอกแล้วมันอยู่ได้ไม่นาน ก็ซื้อต้นไปปลูกเลยก็ได้ มันดูสดใสน่ามองน่าเลี้ยงกว่าต้นกระบองเพชรที่ดูแห้งแล้งแข็งทื่อเป็นไหนๆ เถียงกันไปเถียงกันมาจนลุงเจ้าของร้านคงเริ่มรำคาญ ก็เลยเดินถือกระถางต้นกุหลาบหินมายื่นให้ แล้วบอกว่า ..จุดกึ่งกลางระหว่างความงดงามและแข็งแกร่ง.. ผมกับซินมองหน้ากันงงๆ และตกลงซื้อมาในที่สุด ..เอวังก็มีประการฉะนี้
แล้วอีตอนให้นะ แทนที่ซินมันจะเอาไปให้หลังเวที..หรือว่าค่อยให้ทีหลังก็ได้เพราะยังไงเดี๋ยวก็เจอกัน แต่ซินมันดันเดินดุ่มๆ เอาไปยื่นให้ตอนนักแสดงออกมาขอบคุณในตอนท้ายแบบไม่แคร์สื่อ มันว่ามันเมื่อย มันขี้เกียจถือแล้ว ก็เรียกเสียงฮือฮาเป่าปากจากคนทั้งโรงละครเลย คงคิดว่าไอ้สองตัวนี่มีซัมธิงรองอะไรกันล่ะมั้ง ..คิดแล้วก็ขำ ฮ่ะๆๆ
แต่ท่าทางไอ้กายมันจะชอบกุหลาบหินต้นนี้มากนะเนี่ย ตั้งแต่ได้มาผมก็เห็นมันถือร่อนไปร่อนมาไม่ยอมวางเลย ขนาดเข้ามาในร้านมันก็ยังอุตส่าห์ถือมาตั้งบนโต๊ะด้วยเหอะ ทั้งที่ดอกไม้และของขวัญอื่นๆ มากมายที่มันได้จากพวกแฟนคลับมันยังวางกองๆ รวมไว้ที่หลังเวทีอยู่เลย เห็นบอกว่าเดี๋ยวละครจบค่อยขนกลับทีเดียว ..ก็ทำไปได้
“เอาเหอะน่า ละครยังมีอีกหลายรอบ มึงก็ปล่อยให้มันอินกับบทคนไข้ของมันไปก่อน” เมย์บีพูดอย่างไม่ใส่ใจ มือก็จิ้มสเต็กในจานใส่ปากเคี้ยวหยับๆ
ตอนนี้พวกเราสี่คน..ผม ซิน สกาย และเมย์บี กำลังฉลอง(..เนื่องในโอกาสอะไรก็ยังไม่แน่ใจ)อยู่ในร้านซิสเลอร์ หลังจากที่ได้ดูละครจบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อยากจะบอกว่า..ฮาเพ้อเจ้อมาก..ฮ่ะๆๆ ไม่รู้ว่าคนเขียนบทละครคิดอะไรอยู่ ไอ้กายก็นะ...จ้างร้อย เล่นให้หมื่นอ่ะ งานนี้คนดูมีแต่คุ้มกับคุ้ม
ท่าทางว่าเรตติ้งของมันจะพุ่งกระฉูดสมใจอยากแน่ล่ะงานนี้
แล้วทำไมต้องซิสเลอร์?
อันนี้ก็ไม่แน่ใจอีก.. ทั้งที่ตอนถามความเห็นว่าอยากไปร้านไหน ผมกับเมย์บีก็ยกมือคนละสองข้างแบบสุดแขน แหกปากร้องบอกเจ้ามือผู้ใจดี(ซึ่งในวันนี้คือไอ้กาย)ว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่น พวกกูจะกินอาหารญี่ปุ่น! แต่ไอ้กายดูเหมือนจะไม่ได้ยิน มันหันไปมองซินอย่างขอความเห็น ซินคิดนิดนึงแล้วพูดว่า ‘ซิสเลอร์’
ไอ้กายพยักหน้าทันที..
เป็นอันว่าหนึ่งเสียง ชนะสองเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์
นี่มันอะไรกันวะ? ..ผมกับเมย์มองหน้ากันงงๆ สุดท้ายก็กลายเป็นปลงๆ เอาเหอะ อย่างน้อยมื้อนี้ก็ฟรีล่ะ
“แล้ววันนี้นึกเฮี้ยนอะไรขึ้นมาวะ? จู่ๆ ก็อยากพาพวกกูมาเลี้ยง” ซินถามพลางเคี้ยวพลางใช้ส้อมชี้ไปทางไอ้กายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ทุกทีมีแต่ร้องตะแง้วๆ ให้พวกกูเลี้ยงอยู่ตลอด”
ผมกับอีเมย์พยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่คบกันมามีน้อยครั้งมาก(..ถึงแทบไม่มีเลย)ที่ไอ้กายอยากจะเลี้ยงพวกเรา ถ้าไม่โวยวายให้พวกเราเลี้ยงมันเนื่องในโอกาสต่างๆ ที่มันสรรหามาอ้าง(แดก) มันก็ต้องพูดว่า ‘อเมริกันแชร์’ ทั้งที่มันก็ไทยแท้นี่ล่ะ ..อ้อ ไม่สิ ลูกผสมจีนด้วยนี่นา
“ก็เพราะว่ากูอารมณ์ดี” ไอ้กายยังยืนยันสภาวะทางอารมณ์ของมันเช่นเดิม “แบบนี้ก็ต้องฉลองดิ”
“เรื่อง?” ซินถามอีก
สกายค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มือหนึ่งถือแก้วน้ำ อีกมือถือส้อม ท่าทางเหมือนกำลังจะปาฐกถาอะไรสักอย่าง.. แต่ดูเหมือนว่าแค่ยืนธรรมดาจะยังไม่สาแก่ใจ มันก็เลยถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ซะเลย ..ทีนี้ก็เด่นสมใจอยาก ทุกคนในร้านหันมามองที่มันเป็นจุดเดียว พนักงานก็มองมาแบบลุ้นๆ คงกำลังคิดว่า..ไอ้นี่มันจะสร้างปัญหาอะไรให้พวกกูต้องวุ่นวายหรือเปล่าวะ?
“ทุกคนครับ ทุกคน..” ไอ้กายเคาะส้อมกับแก้ว เพื่อเรียกร้องความสนใจ
ผมบอกได้เลยว่ามันประสบความสำเร็จ เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังจดจ่อรอฟังสิ่งที่มันกำลังจะพูด บางคนกำลังจะจิ้มอาหารเข้าปากก็ยังหยุดค้างรอฟังมันอยู่ท่านั้นเลย
“วันนี้ผมมีเรื่องดีๆ ที่อยากให้ทุกคนช่วยยินดีและร่วมฉลองไปกับผม” มันพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก แต่เมื่อทุกคนกำลังเงียบ มันก็เลยกลายเป็นคนที่พูดดังที่สุดในร้านแล้วล่ะ ..ท่าทางของมันราวกับ โอบาม่า กล่าวปาฐกถาในวันที่เข้ารับตำแหน่งยังไงยังงั้น
“เรื่องแรก..ฉลองให้กับความสำเร็จในการเป็นพระเอกละครเวทีครั้งแรกของผม”
มีเสียงเฮและเสียงปรบมือชื่นชมยินดีดังมาจากทุกโต๊ะรอบสารทิศ บางคนก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไอ้กายเก็บไว้ด้วย คงเข้าใจไปว่าไอ้นี่เป็นพระเอกใหม่ของ บอย ถกลเกียรติ ล่ะมั้ง
ส่วนตัวมันก็โค้งขอบคุณทุกคนรอบโต๊ะอย่างมีมารยาท..หรือถ้าเป็นภาษาอีเมย์ก็คงจะพูดว่า..ดัดจริตน่ะ ฮ่ะๆๆ
ผมว่านับวันมันจะยิ่งหน้าด้านแบบอันลิมิตขึ้นเรื่อยๆ นะเพื่อนผมคนนี้
“ขอบคุณครับ ขอบคุณ ...สกายรักทุกคนครับ” ว่าแล้วก็ส่งจูบให้เขาด้วย
เอ้า เอาเข้าไป..
ซินนั่งหัวเราะชอบใจใหญ่ ส่วนเมย์บีไม่สนใจใคร มันกำลังตั้งหน้าตั้งตาจกเนื้อในจานไอ้กายใส่ปากระหว่างที่เจ้าตัวมันมัวบ้าอยู่ คงตั้งใจจะเอาคืนบ้าง เพราะปกติเห็นมีแต่มันที่โดนไอ้กายแย่งกินตลอดๆ
“เรื่องที่สอง ฉลองให้กับการคืนดีของฝาแฝด..เพื่อนรักของผม” ไอ้กายผายมือมาทางพวกผม ก่อนจะปรบมือนำ คนอื่นๆ ในร้านก็พลอยปรบมือตามและส่งเสียงเฮร่วมยินดีไปด้วย ..ช่างช่วยกันทำมาหากินดีจริงๆ
แต่ได้ยินมันพูดแบบนั้นผมก็ต้องยิ้มกว้าง หันไปมองหน้าซินก็เห็นมันยิ้มอยู่ก่อนแล้ว ซินลุกขึ้นยืนบ้าง มือหนึ่งตบอกตัวเอง มือหนึ่งตบแปะๆ บนหัวผม ปากก็พูด ‘ผมกับน้องๆๆ’ ขณะที่ไอ้กายก็พูด ‘เพื่อนผมๆๆ’ อย่างไม่ยอมแพ้
“และเรื่องสุดท้าย..” สกายคนเดิมก้มลงมาหยิบกระถางต้นกุหลาบหินไปชูขึ้น “ฉลองให้กับ..กุหลาบหินของผมต้นนี้ ..ผมสัญญาว่าจะรักและดูแลมันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่” ว่าแล้วก็เอาแก้มถูๆ กับกระถาง
คราวนี้มีเสียงหัวเราะปนมากับท่าทางบ้าๆ บอๆ ราวกับขอต้นไม้แต่งงานของไอ้กาย
“เอ้า! ยินดีให้กับทั้งคู่หน่อย ไชโย! ไชโย! ไชโย!” อีเมย์บีที่กินอิ่มแล้วลุกขึ้นยืนบ้าง มือชูแก้วน้ำนำไชโยๆ คนในร้านก็บ้าจี้ชูแก้วน้ำแล้วพูดไชโยตามมันไปด้วย
“ขอให้รักกันยาวนานจนแก่เฒ่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง” พอเมย์อวยพรไอ้กายกับเจ้าสาวกุหลาบหินของมันจบ ก็มีเสียงคำอวยพรต่างๆ ดังตามมาจากคนรอบโต๊ะอีก ..ไปกันใหญ่ บ้าจี้กันทั้งร้าน
ฝ่ายไอ้กายก็กอดกระถางกุหลาบหินยืนบิดเขินอายม้วนต้วนอยู่ตรงนั้นแหล่ะ ..กล้าทำนะ ฮ่าๆๆ
ผมกับซินนั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็งความเพี้ยนของทุกคนในที่นี้ ไม่คิดว่าคนเพี้ยนคนเดียว จะพาเพี้ยนได้ทั้งร้าน ...โอยยย ช่างเป็นมื้ออาหารที่เหนื่อยจริงๆ
หัวเราะจนเหนื่อยน่ะ ฮ่ะๆๆ
“เอ้อ อย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมจะเลี้ยงทุกคนนะครับ ไม่นะครับ จ่ายกันเองนะ” ท่าทางมีสติของไอ้กายกลับคืนมาพร้อมกับคำสารภาพแบบซื่อๆ “..ผมบ่จี๊~”
คนในร้านก็เลยโห่กันใหญ่ คงผิดหวังนึกว่ามื้อนี้จะได้กินฟรีเพราะเสี่ยอารมณ์ดีอย่างไอ้กายล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ อย่าได้หวังๆ เห็นหน้าตาดีแบบนี้แต่ทะเลยังเรียกมันลูกพี่เลยครับทุกคน
“หือ?” ระหว่างที่ผมนั่งรอซินไปเข้าห้องน้ำอยู่ที่ลานจอดรถของห้าง ก็มีเหตุการณ์ไม่ค่อยแปลกเกิดขึ้น..
ที่ว่าไม่ค่อยแปลกก็คือ...เด็กช่างกลทะเลาะกัน.. ใช่ไหมล่ะ? เรื่องแบบนี้มีให้เห็นได้บ่อยๆ ทั่วไป แต่ไม่นึกว่าเดี๋ยวนี้จะมาตีกันในลานจอดรถของห้างแล้วแฮะ
ผมเริ่มปรับเบาะ เลื่อนตัวลง แล้วกึ่งนั่งกึ่งนอนสังเกตการณ์อยู่ในรถเงียบๆ ไม่อยากโดนลูกหลงน่ะ ...ว่าแต่พี่ยามแถวนี้ไปไหนหมดหนอ?
มีเด็กช่างกลใส่เสื้อช็อปสถาบันคุ้นตาอยู่ประมาณหกคนได้ล่ะมั้ง ส่วนอีกฝ่ายก็...มีคนเดียว กำลังถูกล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ ตัวสูงโย่งโดดเด่นอยู่กลางกลุ่มเลย หมอนั่นใส่เสื้อนักศึกษากับหมวกผ้าสีดำ...ถึงจะเห็นแค่ข้างหลัง แต่ผมรู้สึกว่ามันดูคุ้นตายังไงบอกไม่ถูก ท่าทางว่าไอ้หมวกดำดวงจู๋นั่นจะไปเดินเหยียบหางเด็กช่างกลเข้าล่ะมั้ง ถึงได้โดนตีกรอบไว้แบบนั้น
ตอนแรกก็ดูเหมือนจะแค่พูดกันเฉยๆ แต่คงจะพูดกันไม่รู้เรื่องก็เลยมีผลักอกกัน เด็กช่างกลเป็นฝ่ายผลักไอ้เสื้อนักศึกษาก่อน แล้วไอ้เสื้อนักศึกษาก็แจกหมัดเลยทันที ...เปรี้ยวมาก มึงมาคนเดียวนะนั่น ลืมไปหรือเปล่า?
จากนั้นพวกมันก็ตีกันอีลุงตุงนังแบบไม่รู้ใครเป็นใคร ผมว่าต้องมีโดนพวกเดียวกันบ้างแหล่ะว่ะ
จากที่ดูนะ..ผมว่าไอ้นักศึกษานั่นมันเก่งพอตัวเลย คนตั้งครึ่งโหลก็ดูเหมือนว่าจะเอามันไม่อยู่ ..ไม่สิ เอาไม่อยู่หรอก ถ้าไม่มีไอ้เด็กช่างคนหนึ่งมันเอาท่อนเหล็กมาจากไหนไม่รู้ฟาดเข้าไปที่ไหล่ของไอ้นักศึกษา แล้วก็ฟาดซ้ำไปที่ขาของมันอีกหลายที จนไอ้นักศึกษาคนเก่งแต่ดวงกุดเริ่มทรุด มันก็โดนรุมกินโต๊ะอย่างที่ควรจะเป็น ...ก็ไว้อาลัยให้ละกัน
เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยก่อน ผมกับซินก็เคยเจอแบบนี้บ่อยๆ ประเภทที่กร่างเวลามีพวกเยอะ หรือชอบข่มคนที่มาคนเดียวอะไรแบบนี้ เกลียดจริงๆ พวกหมาหมู่ พอเห็นว่าพวกผมมีกันแค่สองคน แถมยังตัวเล็กๆ หน้าก็เหมือนเด็กผู้หญิง ก็คงคิดว่าหมูล่ะสิ แต่โทษเหอะ..พอดีผมกับซินมันหมูเขี้ยวตัน และพวกผมก็ไม่เคยไปไหนมาไหนแบบตัวเปล่าอยู่แล้ว ถึงเราจะคนน้อยกว่า แต่ถ้ารู้จักใช้เครื่องทุ่นแรงเป็นเราก็ไม่มีทางแพ้หรอก พวกนั้นก็ได้แต่เจ็บตัว เจ็บใจกันกลับไป แล้วฝาแฝดก็มีศัตรูเพิ่มขึ้นอีกกลุ่ม ฮ่ะๆๆ ..แต่เดี๋ยวนี้พวกผมไม่เป็นงั้นแล้วนะ
กลับมามองผู้เคราะห์ร้ายรายล่าสุดอีกที ผมว่ามันกำลังอิ่มตีนได้ที่เลยล่ะ กำลังคิดว่าจะโทรเรียกรถพยาบาลให้มันดีไหม? ก็พอดีมีไอ้บ้าจากไหนไม่รู้วิ่งเข้าไปถีบเด็กช่างกลคนหนึ่งล้มหัวทิ่ม มันคงคิดว่ามันเป็นฮีโร่มั้ง สงสัยตอนเด็กจะดูหนังฝั่งอเมริกามากไปหน่อย มันถึงได้กล้าออกไปซ่าส์ท้าตีนแบบนั้น ตอนนี้เด็กช่างก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นมันแทน
ผมเห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจเซ็งๆ กะว่าจะดูอยู่เฉยๆ แล้วเชียว แต่ถ้าผมไม่ลงจากรถไปช่วยอีกแรง ท่าทางว่าไอ้ฮีโร่หัวหลอดนั่นจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายไปด้วยน่ะสิ..
ใช่ครับ.. ก็คนที่วิ่งเข้าไปอ้อนตีนเด็กช่างรายใหม่ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มันคือพี่ชายฝาแฝดของผมเอง
ซินเซียร์ นั่นล่ะครับ
“อยู่ดีไม่ว่าดี” ผมบ่นซิน พลางจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ หลังจากช่วยกันไล่เด็กช่างกลุ่มนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ซินยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สาทั้งที่มุมปากมีรอยช้ำเด่นชัด มันเดินไปดูไอ้นักศึกษาดวงซวยคนนั้นที่นอนแน่นิ่งอยู่ ไม่รู้ว่าตายไปหรือยัง ซินใช้ตีนเขี่ยๆ มันก็ไม่ขยับ ก็เลยเอาตีนยันให้มันพลิกตัวนอนหงาย พอเห็นหน้าไอ้นั่นชัดๆ ผมกับซินก็ร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน
“ไอ้ฟ้าประทาน?!”
มันมาทำเชี่ยอะไรคนเดียวแถวนี้วะ? ..เราหันมองหน้ากันเองโดยไม่รู้จะพูดอะไร ไม่คิดว่าคนที่ช่วยเอาไว้จะเป็นไอ้เอี้ยที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี รู้งี้ผมปล่อยให้ซินฉายเดี่ยวซะก็ดี ไม่น่าลงมาช่วยมันให้เสียแรงเลย ให้ตายเหอะ!
“ถ้ารู้ว่าเป็นไอ้นี่มึงยังจะช่วยมั้ย?” ผมถามซินอย่างสงสัย
ถ้ากูรู้ กูไม่ช่วยนะ กูอยากให้มันตาย!
“ช่วยมั้ง...มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบพวกหมาหมู่” ซินบอกอย่างไม่ใส่ใจ ใช้ตีนสะกิดไอ้เอี้ยฟ้าอีก แต่มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะขยับ “มันตายรึยังวะเนี่ย?”
“ใครจะรู้?” ผมก้มลงไปดูมันใกล้ๆ ..ท่าทางก็ไม่ได้สาหัสอะไรนี่นา ง่วงหรือไงวะ? ไม่ยอมตื่น..
“เอาไงต่อ?” ผมหันกลับมามองหน้าซิน
“มึงโทรเรียกรถพยาบาล..ไม่ก็ป่อเต็กตึ๊งให้มันทีสิ” ซินบอกแล้วเดินกลับไปที่รถ ผมก็เดินตามไปด้วย ทิ้งให้ไอ้เอี้ยฟ้านอนฝันดีอยู่ตรงนั้นต่อไป
“ทำไมต้องกูวะ? มึงช่วยมันแต่แรกมึงก็โทรดิ” ผมบ่นเซ็งๆ
“เออ! งั้นเอาโทรศัพท์มาให้ยืมหน่อย ของกูไม่มีตังค์” ซินแบมือขอผม “อย่ามาแล้ง ซันนี่ ยังไงมันก็เด็ก ม.เดียวกับเรานะ”
“อะไรวะ?” ผมได้แต่บ่นงึมงำ
“..ซันนี่” กำลังจะควักโทรศัพท์ให้ซิน ก็พอดีได้ยินเสียงเรียกอ่อยๆ จากซากศพที่ทิ้งเอาไว้ข้างหลังซะก่อน
“มันเรียกมึงเหรอ?” ซินถามผมเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ “ทำไมมันถึงเรียกมึงว่า ซันนี่ ล่ะ?”
ผมยักไหล่ “จะรู้เหรอ...มันอาจจะเรียกตามคนแถวนี้ก็ได้”
“ซันนี่..” เสียงไอ้นั่นดังขึ้นอีก..แบบแผ่วๆ แต่มันยังไม่ขยับเขยื้อนตัวเลย
พวกเรามองหน้ากันอย่างชั่งใจ “เอาไงดี?”
“พามันไปโรง’บาล?” ซินเสนอ
“เกิดมันมาตายบนรถล่ะ?” ผมท้วง
“ถึงตอนนั้นค่อยถีบลงข้างทางก็ได้” ซินบอกง่ายๆ แล้วเดินนำผมกลับไปหาไอ้เอี้ยฟ้าอีกครั้ง
เป็นอันว่าผมกับซินก็จบเย็นวันนี้ด้วยการช่วยกันลากไอ้เอี้ยฟ้าประทานขึ้นรถมาด้วย...นั้นแล
TBC. 