Chapter :: Special Sky :: พระอาทิตย์สีเทอร์ควอยซ์ (I) Part.1
“...อย่าตายนะ ผมไม่อยากต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”ผมนั่งมองจี้เงินรูปพระอาทิตย์ที่ใจกลางดวงเป็นหินเทอร์ควอยซ์สีฟ้าสดใสอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก...
ผมอยากจะรอต่ออีกสักหน่อย แม้จะค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าเจ้าของคงไม่มาเอาคืนหรอก..
“ไง อาตี๋ ท่าทางลื้อดูอาลัยอาวรณ์ที่นี่จังเลยนะ รึว่าไปติดใจนางพยาบาลคนไหนเข้าอีกล่ะ?” ป๊าที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพักร้องทักผมที่นั่งห้อยขาหน้าเหี่ยวอยู่บนเตียงผู้ป่วย หลังจากป๊าได้ไปเดินเล่นสำรวจ(นางพยาบาล)รอบโรงพยาบาลเพิ่งกลับมา
นี่คงคิดว่าลูกชายจะเป็นเหมือนกับตัวเองล่ะสิ ฮ่าๆๆ
..คิดถูกแล้วป๊า เอ้ย! ไม่ใช่
“โธ่ ป๊า! เห็นกายเป็นคนยังไงเนี่ย?” ผมแกล้งบ่นกระปอดกระแปด
“ก็เห็นเป็นคนชีกอ หน้าม่อ ลามก ยังไงล่ะ”
บรรยายสรรพคุณซะครบเลย ป๊าผม เกิดลูกชายขายไม่ออกนี่จะรับผิดชอบยังไงฮะ? ต่อให้เป็นคานทอง(ของป๊า)ฝังเพชร(ของม้า)ผมก็ไม่อยู่นะ ไม่เด็ดๆ
“เหมือนป๊าน่ะเหรอ?” ผมกระเซ้าคืนบ้าง จะให้ถูกปรักปรำอยู่ฝ่ายเดียวได้ยังไง
“บ๊ะ! เดี๋ยวปั๊ดโบก” ป๊าทำท่าเงื้อมือ แต่ก็เปลี่ยนเป็นป้องปาก ขยับมาพูดกระซิบกระซาบ สายตาก็แอบชำเลืองมองม้าที่กำลังพับผ้าใส่กระเป๋าอยู่ “แต่พยาบาลที่นี่แจ๋มจริงๆ ว่ะ เห็นแล้วอยากป่วยบ้างอะไรบ้าง วะฮะฮ่าฮ่า” ว่าแล้วก็ฮาซะลั่นห้อง แต่ก็ต้องเหยียบเบรกจนล้อปัดเมื่อหันไปเห็นม้าถือมีดปลอกผลไม้ ยืนแสยะยิ้มเย็นอยู่
“จะเอาซักแผลมั้ยล่ะ ป๊า? แต่ม้าไม่แน่ใจนะว่าจะได้นอนที่นี่ซักกี่วัน ..ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปวัดน่ะ” นี่ล่ะครับ ฤทธิ์เดชของ คุณนายฟ้าใส ผู้มีวัยต่างกับป๊าเกือบ 20 ปี ..ถ้าไม่เด็ดจริง เอาบรรพบุรุษปลาไหลอย่างป๊าผมไม่อยู่หรอกครับ คอนเฟิร์ม!
“ลองดูมั้ย? ตายบ้างอะไรบ้างงี้” ม้าชี้ปลายมีดมาหา
“อั๊ยยะ! มันไม่ใช่ของที่ลองกันได้นะหนู” ป๊าถึงกับอุทานแล้วยิ้มแหยๆ หันมาหาผมอย่างต้องการตัวช่วย แต่ลูกรักอย่างผมมีหรือจะช่วย ฮ่าๆๆ
ฮาครับ งานนี้ฮาจนแผลสะเทือน
“โอย โอย โอย~” ผมต้องโหยหวนต่อ หลังจากหัวเราะอย่างไม่เจียมสังขารไป ก็เลยถูกทั้งคุณป๊าคุณม้าสมน้ำหน้าเข้าให้อีก
ดูสิ แต่ละคน รักผมมากจริงๆ
ผมถูกหามส่งที่นี่เมื่อหลายวันก่อน เนื่องจากมีบาดแผลฉกรรจ์อันเกิดมาจากของมีคมที่รู้จักกันในนามของ ‘มีด’ เสียบเข้าให้บริเวณท้อง เยื้องมาทางด้านขวา เพิ่งมารู้ข่าวร้ายจากหมอทีหลังว่าไส้ติ่งอันเป็นที่รักยิ่งของผมขาดหายไปจากการถูกทำร้ายครั้งนี้ด้วย.. (ฮึก เสียใจ๋~)
ถึงแม้จะไม่ถูกแทงในจุดสำคัญที่เป็นอันตรายเท่าไหร่ แต่เพราะเสียเลือดมากเกินกว่าร่างกายจะทนไหว ทำให้หัวใจผมหยุดเต้นไปหลายครั้ง ต้องปั๊มหัวใจกันหลายหน กว่าผมจะกลับมามีชีวิตได้อีก..
หลังจากนอนดูอาการอย่างใกล้ชิดอยู่ในห้องไอซียูหลายวัน ผมก็ถูกย้ายมาพักฟื้นในห้องพิเศษ และตอนนี้ก็กำลังจะออกจากที่นี่เพื่อไปพักฟื้นต่อที่บ้าน
ถ้าจะให้เล่าถึงสาเหตุของการเฉียดตายในครั้งนี้ก็คงต้องย้อนไปตั้งแต่...เอ่อ..เมื่อไหร่ดีนะ?.. เอาเป็นว่า ผมเนี่ย..มาจากขอนแก่น ..ใช่ครับ บ้านผมอยู่ขอนแก่น แต่ทุกซัมเมอร์ผมจะเข้ามาเรียนพิเศษในกรุงเทพเป็นประจำ ก็ไม่ใช่ว่าที่ขอนแก่นมันจะไม่มีที่ให้เรียนหรอกนะ ผมก็แค่หาเรื่องมาแรดไปอย่างนั้นเอง ฮ่ะๆๆ
เพราะผมตั้งใจจะสอบเข้ามหาลัยในกรุงเทพด้วย ก็อ้างนู่นอ้างนี่จนที่บ้านยอมให้มาล่ะ
ปีนี้ก็เหมือนเดิม.. มันเป็นช่วงซัมเมอร์ ม.4 เตรียมขึ้น ม.5 ผมก็เข้ามาเรียนพิเศษตามปกติ คืนวันเกิดเหตุผมเลิกเรียนประมาณ 5 โมงเย็น ไปแรดต่อกับเพื่อนๆ จนถึง 2 ทุ่ม ระหว่างเดินเตร็ดเตร่จะกลับหอพักก็เห็นวัยรุ่นหลายคนจับกลุ่มกันอยู่ ทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่พอมีเสียงแซวกันเกิดขึ้น ผมก็เลยหันไปดูบ้าง
ปรากฏว่าคนที่โดนวัยรุ่นกลุ่มนั้นแซวน่ะมีกันสองคน แวบแรกผมเข้าใจว่าเป็นทอมเหอะ เห็นท่าทางห้าวๆ แต่หน้าตาหวานซะ แถมยังหน้าคล้ายๆ กันด้วย
ผมยืนดูต่ออย่างสนใจ อยากรู้ว่าสองคนนั้นจะทำยังไงต่อไป..
ตอนแรกคนที่ดูเหมือนจะตัวสูงกว่าหน่อย ผมสีดำๆ กระตุกชายเสื้อคลุมของคนที่ตัวเตี้ยกว่า ผมสีทองๆ ให้เดินต่อ เหมือนว่าไม่อยากจะมีเรื่อง ผมที่ยืนดูอยู่(ห่างๆ)ก็คิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น ดูจากจำนวนแล้ว 10(กว่าๆ) ต่อ 2 ยังไงก็ถอยดีกว่า และก็ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะทำเป็นไม่สนใจเสียงนกเสียงกาแล้วเดินต่อไป ..แต่จู่ๆ ก็มีผู้ชายตัวสูงๆ หน้าตาดีคนหนึ่ง เดินแหวกผู้คนในกลุ่มวัยรุ่นออกมา แล้วพูดประมาณว่า ‘ไม่เจอกันนานนะ’ หรืออะไรทำนองนี้แหล่ะ ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
เท่านั้นล่ะ.. คนผมดำ(ที่เคยห้าม)ก็พุ่งเข้าใส่ไอ้โย่งคนนั้นก่อนเลย หลังจากนั้นก็เกิดการตะลุมบอนขึ้น อย่างที่บอก 10(กว่าๆ) ต่อ 2 ..สมควรแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง แต่สองคนนั้นมันสู้ได้ว่ะ สุดยอดเลย! เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นฉากบู๊ดุเดือดแบบนี้นอกจอทีวีเป็นครั้งแรก ผมเลยต้องยืนดูต่ออย่างสนใจยิ่งกว่าเดิม อยากรู้ว่าจะจบยังไง? ..เอ้อ ก็ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะ คนยืนดูเยอะแยะ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งหรอก ใครก็กลัวโดนลูกหลงกันทั้งนั้น อย่างว่าแหล่ะ วัยรุ่นมันเลือดร้อน แต่ก็เห็นมีคนโทรไปแจ้งตำรวจแล้วล่ะ คิดว่าคงจะโผล่มาเร็วๆ นี้
แต่ระหว่างที่ยังไม่มาก็ยืนเชียร์กันไปก่อน ชะละล่า~
ผมเห็นคนผมดำใส่สนับมือทั้งสองข้างเลย ส่วนคนผมทองก็มีดาบไม้ไผ่ที่หัวกลมๆ เหมือนที่เคยเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นด้วย ทีแรกเห็นสะพายกระเป๋ายาวๆ สีดำๆ มา ผมก็หลงนึกไปว่าเป็นเครื่องดนตรีซะอีก ท่าทางว่าสองคนมันจะผ่านศึกมาเยอะว่ะ เตรียมพร้อมมากมาย แล้วลีลาการต่อสู้ก็หยั่งกับคนที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง รู้จังหวะ รู้ทิศทางคู่ต่อสู้เป็นอย่างดี ผิดกับอีกฝ่ายที่กำหมัดพุ่งเข้าใส่แบบมั่วๆ ดูแล้วคนละชั้น คนละวรรณะเห็นๆ แทบไม่มีใครเข้าถึงตัวสองคนนั้นได้เลย ..ร่วงไปแล้วก็หลายคน
แล้วทีนี้เรื่องของผมมันก็เริ่มต้นขึ้น(พระเอกมาแล้วครับ วะฮ่าฮ่า)..
เมื่อผมเห็นคนหนึ่งในกลุ่มใหญ่ควักมีดพกความยาวประมาณ 4-5 นิ้วเห็นจะได้(เฉพาะส่วนที่เป็นใบมีดนะ) เป้าหมายของมันคือคนผมดำที่กำลังหันหลังไม่ทันระวังตัวอยู่
ไวเท่าความคิด.. ผมวิ่งเข้าไปแบบไม่คิดว่าตัวเองจะโดนแทงสักนิด ก็ผมไม่ได้ตั้งใจจะเอาตัวไปรับมีดแทนใครนี่ ผมแค่จะไปปัดมีดออกจากไอ้บ้านั่นเฉยๆ ผมว่ามันไม่ค่อยแฟร์ที่คนมากกว่าแล้วยังจะเล่นมีดอีก ..นั่นแหล่ะคือสาเหตุที่ผมเอาตัวเองเข้าไปเอี่ยว
แต่ไอ้ผมทองอีกคนมันดันหันมาจังหวะนั้นพอดี มันคงคิดว่าผมเป็นฝ่ายตรงข้ามมั้ง อาจจะคิดว่าผมจะวิ่งไปทำร้ายคู่หูของมัน มันก็เลยถลาเข้ามาถีบผมจนเซไปหามีดที่ถือรออยู่แล้ว
ก็..อย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหล่ะครับ มิดด้ามกันเลยทีเดียวเชียว
แล้วก็เหมือนพล็อตหนังไทยทั่วไป ตำรวจมักมาตอนใกล้จบ แต่ในที่นี้คือ..ชีวิตผมนี่แหล่ะที่ใกล้จะจบ.. พอได้ยินไซเรนรถตำรวจ พวกมันก็แตกฮือวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ในขณะที่ผมทรุดลงเลือดอาบพุง ไอ้คนผมทองก้มมองผมเหมือนลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ถูกไอ้คนผมดำฉุดให้วิ่งหนีตามกันไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึง
หลังจากนั้นผมก็ถูกพาส่งโรงพยาบาล และตอนเช้าผมก็ได้กลายเป็นซุป’ตาร์! ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ(อ้อ ทีวีก็มีมาถ่ายนะเออ) ..ในฐานะคนที่โดนลูกหลงจากเหตุการณ์วัยรุ่นวิวาทกันกลางสยามฯ
มารู้ทีหลังว่าคืนนั้นมีคนถูกจับไปหลายคนเหมือนกัน แต่ไม่มีไอ้คู่หูผมทองกับผมดำรวมอยู่ในนั้นหรอก
“มีอย่างที่ไหน..วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปให้มีดมันเสียบพุง? ลื้อไม่รู้รึไงว่าตรงนั้นมันไม่ใช่ที่เก็บมีด? นี่อั๊วก็เพิ่งรู้ว่าขายทองส่งควายเรียนมาตั้งนาน”
ผมตื่นจากภวังค์เพราะเสียงบ่นพึมพำของป๊าที่นั่งอยู่ข้างเตียง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้กำลังพูดเรื่องอะไรกันถึงวกเข้ามาเรื่องนี้ได้?
“..ใจหายใจค่ำแทบแย่ นึกว่าตระกูลอั๊วจะสูญพันธุ์ซะแล้วสิ” แล้วป๊าก็หันไปบ่นกับม้าที่กำลังพับผ้าขนหนูต่อ “อั๊วถึงได้บอกลื้อไง อาฟ้าใส ว่าให้ทำเอาไว้หลายๆ คน ..ไม่เชื่ออั๊วแล้วเป็นไง? มีคนเดียวก็อย่างเนี้ย พอมันเป็นอะไรขึ้นมาก็ต้องเป็นห่วงกันให้วุ่น”
ป๊าหยุดกระแอมนิดนึง “เดี๋ยวกลับไปนะ ไปทำเพิ่มอีกซักคนสองคนกันเถอะหนู” ว่าแล้วก็ขยิบตาให้ม้าอีกที จนม้าขว้างผ้าขนหนูมาใส่หน้า แล้วก็ด่าว่าไปตามเรื่องราว ทำเอาผมต้องหัวเราะจนแผลสะเทือนอีกรอบ
ป๊าผมก็อย่างนี้แหล่ะ เป็นคนมีอารมณ์ขันตลอดๆ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ม้าผมก็เหมือนกัน ปกติแล้วก็เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น(ถ้าไม่ถูกป๊ายั่วโมโหนะ) เลี้ยงผมเหมือนเลี้ยงน้องมากกว่าจะเป็นลูก คงเพราะวัยเราไม่ห่างกันมากด้วยล่ะ(ม้ามีผมตอนอายุสิบแปด) เราก็เลยค่อนข้างสนิทสนมกัน คุยกันเหมือนเพื่อน ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ผมเกิดมาเป็นเด็กอารมณ์ดี อีคิวล้นหลามขนาดนี้ ฮ่ะๆๆ
..โอย เจ็บๆๆ
“แล้วเนี่ย.. จะนั่งถืออีกนานมั้ย ลูกชาย? ไหนๆ เค้าให้แล้วก็ใส่ซะสิ” ม้าดึงจี้รูปพระอาทิตย์ที่ติดอยู่กับสร้อยหนังสีดำไปจากมือผม ก่อนจะแกะขอแล้วเอามาคล้องคอให้
“ว่ากันว่า เทอร์ควอยซ์ มีพลังในการคุ้มครองและรักษา ยิ่งหินมีสีฟ้าสดใสมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพลังมากเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เปอร์เซี่ยนเทอร์ควอยซ์ สีฟ้าใสไร้ลวดลายแบบนี้จะมีอานุภาพขนาดไหน” ม้าพูดต่อพลางมองจี้ที่คอผมยิ้มๆ “คนที่เอามาให้เค้าคงจะหวังให้กายหายไวๆ น่ะ..”
อย่าแปลกใจที่ม้าผมจะมีความรู้เรื่องหินมีค่าพวกนี้ เพราะม้าผมเปิดร้านจิลเวอรี่ ขายเพชรขายพลอยอยู่ในห้างใหญ่กลางเมืองขอนแก่นไงล่ะ ส่วนป๊าก็ดูแลกิจการร้านทองอยู่ที่บ้านน่ะ ทั้งสองที่ก็ไม่ห่างกันมากหรอก
ส่วนจี้(พร้อมสร้อยหนัง)อันนี้ผมเจอมันวางอยู่ข้างหมอนหลังจากที่ฝื้นคืนชีพอีกครั้ง ม้าบอกว่าเห็นมันวางอยู่ตั้งแต่คืนก่อนผมจะฟื้นแล้ว แต่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าจี้นี่มันมาได้ยังไง
เลยทำให้ผมนึกย้อนไปถึงตอนที่ยังไม่ได้สติ ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ มีใครบางคนมายืนมองผมอยู่ข้างเตียง แล้วพูดว่า..
“อย่าตายนะ ผมไม่อยากต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
ผมขอร้องให้ม้าช่วยไปติดต่อขอดูเทปจากกล้องวงจรปิดให้หน่อย ผมอยากรู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใครกันแน่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือ.. คนที่เดินเข้าไปในห้องไอซียูตอนกลางดึกเป็นคนรูปร่างสูงประมาณ 170 เซ็นต์กว่าๆ ส่วนหน้าตานั้นไม่รู้ เพศก็ระบุไม่ได้ เพราะคนคนนั้นใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ แถมยังเอาฮูดสวมหัวเพื่อพลางตัวอีก
สรุปว่าผมก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมาย นอกจากแน่ใจว่ามีคนเข้ามาหาผมจริงๆ ..แค่นั้น
ถ้าคาดเดาจากคำพูดที่ว่า ’อย่าตายนะ’ ตอนแรกผมก็มีช้อยส์อยู่ในใจ 3 ข้อ คือ.. 1) มันเป็นคนที่แทงผม มันอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยรู้สึกผิด และเข้ามาหาผมพร้อมหินสีฟ้า...ประมาณนั้น
2) มันคือคนผมดำ ที่ผมตั้งใจจะไปช่วย ก็เลยซวยแทน มันคงไม่อยากให้ผมตายเพราะมัน ก็เลยเข้ามาหาผมพร้อมหินสีฟ้า...อะไรทำนองนั้น
หรือสุดท้าย.. 3) มันคือไอ้คนผมทอง ที่ถีบผมไปให้มีดจิ้มพุง ถึงมันจะไม่ได้ตั้งใจ แต่มันคงไม่อยากมีส่วนผิดในการตายของผม...ก็เลยเข้ามาหาผมพร้อมหินสีฟ้า
แต่พอตำรวจมาบอกว่าจับไอ้คนที่แทงผมได้แล้ว รอให้ผมไปชี้ตัวที่โรงพักอยู่ ก็เป็นอันว่าเหลือตัวเลือกอยู่แค่ 2 คือไอ้คู่หูผมดำกับผมทองนั่นเอง ..แต่ก็ไม่มีอะไรมาช่วยพิสูจน์ได้ว่ามันจะเป็นใครในนั้นอยู่ดี
“เทอร์ควอยซ์เป็นสัญลักษณ์ของสุริยะเทพ เพราะงั้นเค้าถึงเอามาไว้กลางดวงอาทิตย์แบบนี้รึเปล่า? ..ม้าเดานะ แต่ว่าเทอร์ควอยซ์เป็นอัญมณีประจำเดือนธันวา ประจำวันศุกร์ กายก็เกิดเดือนธันวา แถมยังเกิดวันศุกร์อีก เหมาะมากเลยนะเนี่ย” ม้ายังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจว่าจะมีใครฟังหรือเปล่า “คนโบราณเค้ามีความเชื่อว่า สีของเทอร์ควอยซ์จะซีดจางลงเมื่อเจ้าของใกล้จะตายด้วยล่ะ แล้วก็นะ..” ม้าผมมักจะมีความสุขและเพลิดเพลินไปกับการพูดถึงพวกหินมีค่าแบบนี้แหล่ะ..
หลังจากที่ผมกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ระยะหนึ่ง ใจของผมก็อยู่ไม่ค่อยเป็นสุขสักเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งคงเพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรให้ทำตามประสาคนไฮเปอร์ก็เลยเกิดอาการฟุ้งซ่าน ..อีกส่วนหนึ่งก็คงเพราะมีเรื่องบางอย่างที่ยังค้างคาใจอยู่
ผมอยากรู้ว่าเจ้าของจี้ห้อยคอรูปพระอาทิตย์สีฟ้านี่เป็นใคร? มาจากไหน? แล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน?
ผมโทรให้เพื่อนที่เรียนกวดวิชาที่เดียวกันช่วยหาข้อมูลของคนที่ก่อเรื่องในคืนวันนั้นให้หน่อย เลยทำให้รู้ว่าพวกกลุ่มใหญ่ที่ถูกตำรวจซิวไปหลายคนมันเป็นเด็กโรงเรียนดังที่อยู่แถวย่านนั้นแหล่ะ ..แน่นอนว่าผมไม่ได้สนใจพวกมันอยู่แล้ว คนที่ผมสนใจคือไอ้คู่หูผมดำผมทองต่างหาก แล้วผมก็สมใจ เมื่อเพื่อนที่ให้ช่วยสืบเรื่องให้มันรู้จักกับเด็กอีกคนที่มาจากโรงเรียนนานาชาติ...ซึ่งมันรู้จักไอ้สองคนนั้นเป็นอย่างดี
นี่เป็นข้อมูลที่ผมได้มา.. ไอ้คนผมทองมันชื่อ
กานต์ ..
กานต์ระพี เฮย์เดน มันเป็นพี่ชายฝาแฝดของไอ้คนผมดำที่ชื่อ
ฉาย ..
ตะวันฉาย เฮย์เดน เป็นเด็กนานาชาติเหมือนเพื่อนของเพื่อนผม(ไม่งงนะครับ?)
พวกมันเป็นที่รู้จักดีในชื่อของ ‘แฝดนรก’ มีเรื่องทะเลาะตบตีกับเด็กย่านนั้นเป็นประจำ สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากการแซวกัน การแก้แค้นกัน แล้วก็พวกอยากลองของ ..เป็นแบบนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว
เพื่อนของเพื่อนผมบอกว่า.. ก่อนหน้านี้พวกฝาแฝดก็ปกติดี น่ารัก เฟรนด์ลี่ มีเพื่อนมากมาย มีคนคอยล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตลอด แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับพวกมัน พอเปิดเทอมขึ้น ม.2 มา เพื่อนที่ดูเหมือนจะสนิทกับฝาแฝดมากที่สุดก็ย้ายออกไป ฝาแฝดก็เปลี่ยนไป ไม่เอาใครหน้าไหนทั้งนั้น เกรี้ยวกราด พร้อมจะอาละวาดได้ทุกเมื่อ เหมือนลูกระเบิดเดินได้ยังไงยังงั้น เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยก็ว่าได้ ..แค่ทักว่า ‘วันนี้ก็น่ารักอีกแล้วนะ’ ซึ่งเป็นคำทักทายตามปกติของเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ดันกลายเป็นคำสั่งประหารตัวเองไปอย่างไม่มีใครรู้สาเหตุ
และหลังจากที่ก่อเรื่องคืนนั้นพวกมันก็หายตัวไปเลย...
ไม่มีใครรู้ว่าไอ้แฝดนรกนั่นหายไปไหน แต่มีข่าวลือว่าพวกมันถูกกลุ่มของไอ้ครีส(ครีสไหนผมก็ไม่รู้..?)จัดการไปแล้ว แต่บางข่าวก็บอกว่าพวกมันโดนกลุ่มของไอ้โด้(โด้ไหนอีกวะ?)ลากไปเล่นงาน จนต้องไปนอนโรงพยาบาล ตอนนี้อาการปางตาย แต่ไม่ว่าข่าวลือไหนๆ ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่า ‘จริง’
..ก็ได้แต่คาดเดาไปต่างๆ นานา
ไอ้การที่คิดไปเองว่า.. รู้แล้วจะสบายใจขึ้น เป็นสุขขึ้น..นั่นมันผิดอย่างมหันต์เลย พอรู้อย่างนั้นผมก็ยิ่งกระวนกระวายมากกว่าเดิม ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รู้จักสักหน่อยหรือก็เปล่า คุยกันสักคำก็ยังไม่เคย แต่ผมกลับอดเป็นกังวลเกี่ยวกับชะตากรรม(เวร)ของเจ้าของจี้พระอาทิตย์อันนี้ไม่ได้(..ซึ่งผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนไหน)
ตอนนี้กิจวัตรประจำวันสิ่งใหม่ของผมก็คือการสังเกตสีของเทอร์ควอยซ์ที่อยู่ใจกลางดวงอาทิตย์ ทุกเช้าหลังจากตื่นนอน สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือหยิบมันขึ้นมาดูว่าสีซีดจางลงไปบ้างหรือเปล่า?
ถ้ามันยังสดใสดีก็แปลว่าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่ดีหรือเปล่านะ?
สิ่งที่คนโบราณเคยเชื่อจะยังใช้ได้กับสมัยนี้ไหม?
ผมก็คงได้แต่สงสัยต่อไป..
เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี โดยที่ไม่มีอะไรกระจ่างขึ้นกับผม แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตไปตามปกติสุข สนุกสนานไปวันๆ จนเกือบจะลืมเรื่องเฉียดตายคราวนั้นไปแล้ว
ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฝาแฝดนรกที่กลายเป็นตำนานนั่นหน้าตาเป็นยังไง ให้นึกตอนนี้ก็นึกไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียวก็คือการสังเกตสีของเทอร์ควอยซ์ในจี้พระอาทิตย์...
มันยังคงเป็นสีฟ้าสดใสมาจนถึงทุกวันนี้..
ก็ได้แต่ภาวนาว่า...เจ้าของมันคงสุขสบายดี
ในวันที่ผมตรวจสอบรายชื่อคนที่สอบติดคณะวิศวะ สาขาวิศวกรรมโยธา มหาลัยที่ผมตั้งใจเอาไว้ ชื่อที่เข้ามากระแทกสายตาก่อนจะเจอชื่อของตัวเองก็คือ
กานต์ระพี เฮย์เดนผม..ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องดีใจขนาดนั้น..?
ผมดีใจมากกว่าที่ได้เห็นชื่อของตัวเองติดอยู่ในลำดับต่อลงมาซะอีก ..ป๊ากับม้าที่นั่งลุ้นอยู่ด้วยเพิ่งมาบอกทีหลังว่าอาการของผมเหมือนคนบ้าไม่มีผิด ทำเอาป๊าใจแป้วไปเลย นึกว่าจะได้ลูกเป็น บ้า ก่อนเป็น บัณฑิต ซะแล้ว ฮ่าๆๆ
ที่ผมรู้ตอนนั้นก็มีแค่ว่า..
ถ้ามี
กานต์ระพี ก็ต้องมี
ตะวันฉายไม่ใครก็ใครสักคนที่เป็นเจ้าของจี้รูปพระอาทิตย์อันนี้
และเรากำลังจะได้เจอกันอีกครั้ง...
ผมแทบจะอดใจรอวันเปิดเทอมไม่ไหว TBC.
ลักษณะของ เปอร์เซี่ยนเทอร์ควอยซ์จ้ะ จะเป็นสีฟ้าเนียน ไม่มีลวดลาย
