(ต่อ)
แล้วการเชียร์ฟุตบอลแมทนั้นก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน โดยมีแกนนำเป็นอีเมย์บีที่ชูตะเกียบตะโกนเชียร์ผีแดงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู จริงจังจนลืมดัดจริตเป็นตุ๊ดไปซะสนิทเลย ฮ่าๆๆ
ตามมาด้วยซินที่พร้อมจะเชียร์(แช่ง)ให้ทุกทีมที่มีคะแนนสะสมมากกว่าเชลซีแพ้ย่อยยับไปซะ เพี้ยงๆๆ!(เพราะมันเชียร์เชลซีเหมือนผมไงล่ะ) ซึ่งในที่นี้ก็คือแมนยู มันเลยกลายเป็นศัตรูกับอีเมย์ไปโดยปริยาย มีการท้าทายทับถมกันตลอดทั้งเกม
ปิดท้ายด้วยไอ้กายที่บอกว่าใครจะชนะก็ได้ ไม่เป็นไร ถ้าไม่ใช่ บุรีรัมย์ พีอีเอ ลงแข่งล่ะก็.. มันขอดูแบบขำๆ
แล้วอยากรู้กันไหมว่าเอี้ยฟ้าประทานเชียร์ทีมไหน?
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ไม่ได้ถาม ให้เดาก็เดายาก เห็นมันนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบอยู่บนโซฟา สองมือประสานกันที่หน้าตัก สายตาก็จดจ่อหน้าจอไม่มีวอกแวก ไม่รู้ว่ากำลังส่งกระแสจิตไปทำลายแผนการเล่นของทีมไหนอยู่หรือเปล่า?
ส่วนผมดูได้แค่ครึ่งแรกก็เข้าไปนอน ง่วงเต็มทน คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่(ซินบังคับให้)กินเข้าไป จำได้ว่าตอนนั้นประมาณห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนแล้ว..
ตื่นมาอีกทีเพราะรู้สึกคอแห้ง หิวน้ำ ควานหาคนข้างตัวก็ไม่เห็นมี..
ซินยังไม่เข้านอน? ..ผมเปิดโคมไปหัวเตียง เห็นนาฬิกาบอกเวลาเกือบตีสอง.. บอลก็น่าจะจบไปนานแล้วนี่หว่า งั้นซินมัวทำอะไรของมัน?
สงสัยอยู่ได้ไม่นาน พอเปิดประตูห้องออกมาก็ได้ยินเสียงคนพูดเบาๆ จนแทบจะเป็นกระซิบกระซาบดังมาจากทางโซฟาหน้าทีวี ไฟในห้องนั่งเล่นปิดหมดทุกดวงจนผมต้องเพ่งมองหาที่มาของเสียงท่ามกลางความมืด พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นเมย์บีกำลังเล่าเรื่องผีอย่างออกรสออกชาติอยู่บนโซฟาด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นเอี้ยฟ้านั่งกอดสติทช์(ตุ๊กตาของซิน)ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ(มากอ่ะ) ที่พื้นพรมข้างล่างมีซินกับสกายนั่งทำหน้าสยดสยองกอดกันกลมอยู่
ตรงกลางระกว่างพวกมันสี่คนมีเพียงมือถือเครื่องเดียวที่คอยให้ความสว่าง.. ก็เข้าใจสร้างบรรยากาศกันนะ
ซินน่ะมันเป็นพวกกลัวผีขึ้นสมองซะยิ่งกว่าที่ผมกลัวเข็มฉีดยาอีก แต่มันดันชอบฟังเรื่องเล่าผีหรือชอบดูหนังผีนะ แบบ..ปิดตาดู ไม่ก็ปิดหูฟังน่ะ ..ก็ไม่รู้ว่ามันสนุกตรงไหน?
“...แล้วระหว่างที่แฟนมันกำลังอาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่ที่ระเบียง ตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติ เพราะคนที่อยู่ในสลัมข้างหลังหอมักจะทะเลาะกับแฟนบ่อยๆ แต่พอฟังไปนานๆ กลับได้ยินว่า “เดี๋ยวกูจะเอาปืนยิงมึงให้ตาย!” ..” เมย์เล่าเรื่องหลอนต่อไปพร้อมทำท่าทางประกอบ
ผมได้แต่ส่ายหัว แล้วเดินไปหาน้ำในตู้เย็นกิน ไม่เข้าใจอารมณ์ของพวกมันเอาซะเลย จากเชียร์ฟุตบอลอินเตอร์ กลายมาเป็นเล่าเรื่องผีโอทอปได้ไงวะ?
..ช่างเป็นกลุ่มคนที่พิลึกจริงๆ
“แฟนมันก็เลยตกใจตะโกนปลุกรุ่นน้องเพื่อนกูที่นอนหลับอยู่ ให้ลองลุกขึ้นไปดูหน่อย มันได้ยินก็เลยลุกขึ้นมา เดินไปที่ระเบียงห้อง พอเลื่อนประตูกระจกออกเท่านั้นแหล่ะพวกมึงเอ๊ย! ..มันบอกว่าไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆ ก็ขยับขาไม่ออก รู้สึกเหมือนกำลังถูกบังคับให้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และสิ่งที่มันเห็นก็คือ!” เมย์บีเว้นวรรคเพื่อเร้าคนฟังให้ลุ้นระทึกยิ่งขึ้น “ผู้หญิงผมยาวกำลังนั่งอยู่ที่ซี่เหล็กของขอบระเบียง! ผมเธอยาวจนถึงพื้น ใส่เสื้อนักศึกษา แต่เป็นกางเกงขาสั้น ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ หันมามองหน้ารุ่นน้องของเพื่อนกู แล้วก็มีเสียงพูดโดยที่เธอไม่ขยับปากแม้แต่น้อย”
“เสียงนั้นพูดว่า..” อีเมย์หยิบมือถือขึ้นมาส่องหน้าตัวเอง บีบเสียงเล็กแหลม ตวาดดังลั่น
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย คนอย่างมึงอยู่ไปก็รกโลก!”“แว้กกกก!”
ผมเผลอเอามือทาบอกตัวเอง แอบตกใจเบาๆ ไม่รู้ว่าไปสนใจฟังมันเล่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ดีนะแก้วน้ำที่ถืออยู่ไม่หลุดมือหล่นแตก ..อย่าถามว่าเสียงแหกปากร้องเมื่อกี๊ของใคร ไม่ใช่ผมแน่ เป็นซินนั่นแหล่ะ ตอนนี้มันขยับไปเบียดไอ้กายจนแทบจะขึ้นไปนั่งซ้อนตักกันแล้ว ไอ้นั่นก็ลูบหลังลูบไหล่ช่วยเรียกขวัญเอ๊ยขวัญมาให้
ส่วนเอี้ยฟ้านั่งกัดหูสติทช์ดึงแล้วดึงอีก โดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ เลยไม่รู้ว่ามันกำลังลุ้นหรือมันกำลังหิวกันแน่?
“พอรุ่นน้องของเพื่อนกูรู้สึกตัวอีกที มันก็เห็นว่าตัวเองนอนอยู่บนที่นอน แล้วแฟนมันก็ชะโงกมองอยู่ แฟนมันด่าว่าไปยืนบนซี่เหล็กขอบระเบียงทำไม? เดี๋ยวก็ตกลงไปตายห่าหรอก มันก็ตกใจสิทีนี้ แล้วก็เล่าเรื่องที่เจอให้แฟนมันฟัง วันต่อมาพวกมันก็รีบแจ้นย้ายออกจากห้องนั้นไปเลย”
“หึยยย~ มึงว่าหอแถวไหนนะ อีเม้ย? กูจะได้ไม่ไปเฉียด” เสียงซินถามแบบหวาดๆ
“แถวประชาสงเคราะห์อ่ะ หอไฮโซๆ หน่อยที่อยู่ตรงข้ามวัดอะไรนะ? กูจำชื่อไม่ได้..”
“อ๋อ ถ้าเป็นที่นั่นล่ะก็..กูเคยไป กิ๊กเก่ากูเคยอยู่ที่นั่น” ไอ้กายว่า
“แล้วมึงไม่เจออะไรมั่งเหรอ?” ซินถาม
“ไม่นะ คงเพราะอยู่คนละห้องละชั้นกับที่อีอาจเล่ามั้ง”
“มีเรื่องอื่นอีกมั้ย?” ..น่าน ไอ้คนกลัวผีกว่าใครเพื่อนยังซ่าส์ถามหาเรื่องอื่นอีก เอากับมันสิ เหอะๆ
“ก็..มี แค่หอนี้ก็มีตั้งหลายเรื่อง ..แต่กูเหนื่อยแล้ว ให้คนอื่นเล่าบ้างดิ” อีเมย์เริ่มมองหน้าคนนู้นคนนี้ สุดท้ายก็มาหยุดที่หน้าเอี้ยฟ้า มันยิ้มหวานหยดย้อยส่งไปให้ไอ้นั่น ก่อนพยักพเยิดบอก “ฟ้าลองเล่าบ้างสิ เมย์อยากฟัง”
ผมถึงกับน้ำติดคอ เมื่อได้ยินน้ำเสียงและคำพูดคำจาของเมย์บีที่ใช้กับเอี้ยฟ้า อยากจะหัวเราะออกมานะ แต่เก็บไว้ขำในใจคนเดียวดีกว่า ..ท่าทางมันจะลืมความแค้นเคืองที่เคยถูกเอี้ยฟ้าถีบยอดหน้าแล้วไม่ตามด้วยจูบไปหมดสิ้นแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ
“อืม กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าผีของเอี้ยฟ้าจะเป็นยังไง?” ซินเห็นด้วย ขณะที่มือก็ยังกอดแขนคนข้างๆ แน่นไม่ยอมปล่อย
“เออว่ะ น่าสนใจๆ” ไอ้กายอีกคน
“..........” ขอสารภาพตามตรง ..ผมเองก็อยากฟังเหมือนกันว่ะ
ลองคิดดูสิว่าเป็นคนยังแปลกขนาดนี้ แล้วเป็นผีจะประหลาดขนาดไหน?
ผมค่อยๆ หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว รินน้ำใส่แก้วอีกรอบ แอบนั่งฟังพวกมันแบบเนียนๆ
“..เคยได้ยินมาเรื่องนึง” ในที่สุดเอี้ยฟ้าก็ยอมพูดออกมา หลังจากปล่อยให้คนอื่น(รวมทั้งผม)นั่งลุ้นอยู่นานว่ามันจะเล่าหรือไม่เล่า
เอาล่ะ มาลองฟังเรื่องผีของเอี้ยฟ้าประทานกันเถอะทุกท่าน..
“..ที่หมู่บ้านนึงในญี่ปุ่น มีร้านขนมจีบที่ลือกันว่าเป็นขนมจีบที่ทำมาจากเนื้อคนอยู่ร้านนึง” เอี้ยฟ้าพูดเนิบๆ ไอ้สามตัวนั้นก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้ากึ่งอยากรู้อยากเห็นกึ่งลุ้นระทึก
โอ๊ะ แบบนี้ก็เรียกผีโอทอปไม่ได้แล้วสิ ก็เล่นอิมพอร์ตมาจากแดนปลาดิบกันเลยนี่นา เหอๆ ผมยกน้ำเย็นขึ้นจิบพลาง ฟังเอี้ยฟ้าเล่าไปพลาง..
“แต่มีผู้ชายอยู่คนนึงที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องแนวนี้ซักเท่าไหร่..เค้าไม่สนใจข่าวลือ และซื้อกลับบ้านมากล่องนึง..”
เผื่อใครนึกภาพไม่ออกนะ ผมจะบอกให้ว่า..ขนมจีบของญี่ปุ่นเขาจะชิ้นใหญ่ๆ หน่อย ใช้กินเป็นกับข้าว เวลาที่เราซื้อกลับบ้านเขาก็จะจัดเรียงสวยงาม ใส่แพ็คเกจอย่างดี..ตามสไตล์ยุ่นเขาล่ะ
“ตอนนั้นเอง.. ระหว่างที่เค้ากำลังเดินกลับบ้าน...อยู่ดีๆ เค้าก็รู้สึกแปลกๆ..เหมือนกับว่ามีคนเดินตามมา ตอนนั้นมันก็มืดมากแล้ว พอเค้าหันหลังกลับไปดู..” เอี้ยฟ้าเว้นวรรค ส่ายหน้าไปมาช้าๆ “..ไม่เห็นมีใครอยู่เลย.. เค้ารู้สึก..สังหรณ์ใจพิกล ก็เลยเปิดฝากล่องขนมจีบออกดู..”
เสียงใครสักคนก็เลยกระตุ้นถามด้วยเสียงเบาๆ สั่นๆ “แล้วยังไงต่อ..?”
“ขนมจีบ..” ไอ้เอี้ยฟ้าหยุดพูด แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงกลางมาส่องหน้า(เฉยๆ) ของตัวเอง ก่อนจะเล่าต่อ “..มันหายไปจากกล่อง”
ถึงตอนนี้ผมแอบได้ยินเสียงกลืนน้ำลายคนละเอื๊อกสองเอื๊อกด้วยความลุ้น ..ผมยกแก้วน้ำขึ้นจิบอีกครั้งเพื่อบรรเทาความระทึก แล้วฟังมันเล่าต่อ
“แต่ผู้ชายคนนั้นพยายามพูดปลอบใจตัวเองว่า..สงสัยคงจะขาดไปชิ้นนึงตั้งแต่แรกแล้วมั้ง..แต่เค้าก็ยังนึกสังหรณ์ใจไม่ดี พอเลี้ยวตรงหัวมุมถนน เค้าเลยเปิดฝากล่องดูอีกที...คราวนี้แหล่ะ..ขนมจีบมันหายไปอีกชิ้นนึงแล้วนี่นา! เค้ารู้สึกกลัวขึ้นมาตงิดๆ.. เลยรีบจ้ำอ้าวกลับบ้าน พอถึงบ้าน..เค้าก็สงบสติอารมณ์ แล้วค่อยๆ เปิดฝาออกมาดูอีกครั้งนึง..แล้วเค้าก็เห็น!”
“เห็นอะไร?” เมย์บีรีบเร้าเมื่อไอ้คนเล่ามันหยุดไปอีก
“โอ้โฮ..คราวนี้มันหายไปสามชิ้นพร้อมๆ กันเลยล่ะ!” เสียงเอี้ยฟ้าเล่าเฉื่อยๆ ด้วยหน้าเฉยๆ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้น่ากลัวนัก?
อาจเป็นเพราะใต้คางมันมีไฟจากหน้าจอมือถือส่องอยู่ด้วยมั้ง
“เหวออออ” ซินผวาขึ้นไปนั่งบนตักไอ้กายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เค้ารู้สึกกลัวจนเผลอร้องจ๊ากออกมา... ก่อนจะปิดฝากล่องนั้นลงไปใหม่...แล้วทีนี้เค้า..ค่อยๆ บรรจงเปิดฝาดูอีกครั้ง....ไม่มี! ไม่เหลือเลยซักชิ้นเดียว..คราวนี้ขนมจีบมันหายไปหมดทั้งกล่องเลย....มันยังไงกันเนี่ย? เค้ารู้สึกกลัวมาก แต่ก็พยายามองดูให้ดีอีกครั้งนึง...แล้วเค้าก็...ก็.....ก็......” จู่ๆ แผ่นเอี้ยฟ้าก็ตกร่องขึ้นมา
“ก็อะไรวะ?” ซินที่กำลังกอดคอไอ้กายแน่นร้องถามด้วยอดรนทนไม่ไหว
“ก็เห็นว่าขนมจีบมันติดอยู่ที่ฝากล่องทุกชิ้นเลย..ล่ะ” เอี้ยฟ้าเฉลยหน้าตาย
“..........” ไอ้กาย
“..........” อีเมย์
“..........” ซิน
“...ไม่ดีเหรอ?” เอี้ยฟ้าทำหน้าสงสัย(อย่างแรงนิ)ทั้งที่ยังถือไฟส่องหน้าตัวเองอยู่ ..คงเป็นเพราะไม่ว่าจะมองคนไหนก็มีแต่ทำหน้าตาพิลึกกึกกือไร้ซึ่งวจีจะเอื้อนเอ่ยกันทั้งนั้น
“.....อุ๊บส์...ฮึก..ฮึก..ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้อง ..พยายามจะกลั้นเอาไว้จนถึงที่สุดแล้ว แต่มันไม่ไหวจริงๆ ผมไม่ได้ขำเรื่องผีอุบาทว์ๆ ของมันนะ แต่ผมขำที่คนอย่างมันกล้าเอามาเล่าได้หน้าตาเฉยนี่แหล่ะ!
แหม ทำไปได้ ..ชักจะเหนือความคาดหมายมากเกินไปแล้วนะเนี่ย มึงนี่มันเป็นมนุษย์ที่สุดของความประหลาดจริงๆ เอี้ยฟ้าประทาน! ฮ่าๆๆ คนอย่างมึงน่าเอาไปสตาฟไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาว่ะ น่าจะพอมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติบ้างไม่มากก็น้อย ..โหยยย สุดๆ อ่ะ
พรึ่บ! ..แสงไฟในห้องสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง
“ซันนี่? มึงไปนั่งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? ทำกูตกใจหมด” ซินทำหน้ายุ่งร้องถามแข่งกับเสียงหัวเราะทั้งของผม ของอีเมย์ และของไอ้กาย ..ไอ้สองตัวหลังนี่เพิ่งจะประมวลผลจากเรื่องที่ฟังได้ และมาฮาเอาตอนที่ผมเริ่มจะเหนื่อยแล้ว
“ฮ่ะๆๆ..กูมา..กูมา...กินน้ำ..ฮ่ะๆ..พักนึงแล้ว ฮ่าๆๆ” ผมพูดตอบไปอย่างยากลำบาก เมื่อพยายามจะหยุดหัวเราะแต่ไม่สำเร็จ ก็เลยนั่งหัวเราะต่อไปให้มันสาแก่ใจเลยแล้วกัน ฮ่าๆๆ
มองไปทางเอี้ยฟ้าก็เห็นมันนั่งแทะหูสติทช์อยู่ ไม่รู้มันเขินหรืออะไร
เขินเหรอ? ...คงเป็นไปไม่ได้หรอก
พอเห็นผมมองมันก็ยิ้มให้...ยิ้มแบบมนุษย์ปกติน่ะ
..มนุษย์ปกติเวลาที่มีความสุข..?
ตอนนั้น...ผมเลยเผลอยิ้มตอบมันไปด้วยรอยยิ้มที่เหมือนๆ กัน..
TBC. 
ปล. เรื่องผีขนมจีบที่เอี้ยฟ้าเล่าเอามาจากการ์ตูนเรื่อง จีทีโอ นะจ๊ะ
