(ต่อ)
ซินใช้เวลาคิดนิดหน่อย ก่อนตอบตกลง “ก็ได้ แต่ซักวันนึงกูจะบอกมันนะ กูไม่อยากเก็บไว้คนเดียว”
“เอาแบบนั้นก็ได้” ผมค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย
พอเดินกลับไปที่โต๊ะก็เห็นไอ้กายนั่งทำหน้าลุ้นระทึกอยู่ ผมแอบยกนิ้วเป็นสัญลักษณ์ว่า ‘โอเค’ ให้มัน หน้ามันก็เลยดูมีความหวังขึ้นเยอะ
ใครจะหาว่าผมหลอกไอ้กายก็ได้ ผมไม่ได้ช่วยพูดให้มัน(เพราะซินไม่ได้โกรธมัน) แถมยังยุให้ซินปิดบังบางอย่างกับมันอีก แต่ทั้งหมดนี่ผมก็ทำเพื่อพี่ชายของผมนี่นา ผมไม่อยากให้ซินต้องกระทบกระเทือนใจไปมากกว่านี้
“ซิน..” ไอ้กายลุกขึ้นเมื่อเห็นซินเดินเข้ามาใกล้ “..กู”
“กูขอโทษ” ซินชิงพูดก่อน ไอ้กายถึงกับอ้าปากค้าง
ผมก็ได้แต่ยืนถอนหายใจ ..จะเล่นตัวสักนิดก็ไม่ได้นะพี่กูเนี่ย
“กูจะไม่ทำแบบนั้นอีก อย่าเกลียดกูเลยนะ”
“ไม่ๆๆๆ กูต่างหากที่ต้องขอโทษ กูต่อยมึงเมื่อวาน กูทำเกินไป มึงอย่าเกลียดกูนะ” เมื่อได้สติไอ้กายก็รับปฏิเสธเป็นพัลวัล
ซินส่ายหัว ยกมือขึ้นลูบรอยช้ำตรงมุมปากตัวเอง “ช่างเหอะ ไม่เจ็บเท่าไหร่”
เห็นพวกมันยิ้มให้กันได้ผมก็พลอยยิ้มไปด้วย.. แต่บรรยากาศพิลึกกึกกือแฮะ ยืนไปยืนมาก็ชักกระอักกระอ่วนใจ ผมว่าผมน่าจะย้ายตัวเองไปอยู่ให้ไกลหูไกลตาพวกมันนะ ปล่อยให้มันเคลียร์กันเองดีกว่า
“ซันนี่..?” ซินเรียกผมที่เข้าไปเก็บข้าวของของตัวเอง ผมหันมายิ้มให้มัน ก่อนกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน
“อย่าลืมที่บอกล่ะ ห้ามพูดนะ” ผมยกนิ้วชี้แตะปากตัวเอง ก่อนถอยออกมา ทิ้งพวกมันเอาไว้ข้างหลัง
เดินมาได้สักพักก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนตามมา อ้อ...แน่ล่ะ ผมรู้ดีว่ามันเป็นใคร แต่ผมทำเป็นไม่ใส่ใจ เดินตรงดิ่งมายังรถที่จอดไว้ข้างตึก กดรีโมท เปิดประตู ยัดของเข้าไป แต่ยังไม่ทันได้ยัดตัวเองตามไปก็ถูกดึงต้นแขนไว้ก่อน..
ผมสะบัดแขนออกจากมือเย็นๆ นั่น ก่อนหันไปปล่อยหมัดซ้ายเข้าแก้มมันเต็มๆ ไอ้เอี้ยฟ้าเซถอยหลังไป แทนที่จะรีบขึ้นรถแล้วขับหนีไปให้พ้นมันซะ ผมกลับตามไปถีบท้องมันอีกที จนมันไปกระแทกกับผนังตึก ผมเตะรวบขา มันเลยร่วงลงไปกองกับพื้น ก่อนจะเตะอัดซ้ำๆ อีกหลายทีเพื่อความสาแก่ใจ
จนเริ่มเหนื่อยจึงหยุดยืนหอบ..
ผมเพิ่งรู้ตัวนาทีนี้เองว่าผมโกรธมันมากขนาดไหน
ผมโกรธที่จู่ๆ มันก็เข้ามาในชีวิตผม โกรธที่อยู่ดีๆ มันก็หายหัวไป โกรธที่เห็นใครคนนั้นอยู่บนห้องของมัน โกรธที่เมื่อวานมันทำเป็นไม่สนใจผม ผมโกรธที่มันทำให้ผมสับสนและหวั่นไหว
ใช่! หน้าตาเฉยชาของมันทำให้คนอย่างผมต้องวุ่นวายใจ!
เออ! ผมอาจจะหลงไปชอบมันอย่างที่พวกคุณเข้าใจนั่นแหล่ะ ผมยอมรับก็ได้!! ผมต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ แต่หลังจากที่นอนคิดมากเป็นเพื่อนซินมาทั้งคืน ผมก็ไม่มีข้อสรุปอื่นให้ตัวเองอีก นอกจาก..
ผมคงชอบมัน!!
ทั้งที่คนอย่างมันไม่เห็นจะมีอะไรดีเลยในสายตาผม!
ถ้าตัดเรื่องรูปร่าง หน้าตา ฐานะออกไป มันก็ไม่เหลืออะไรให้เห็นว่า ‘ดี’ แล้วแท้ๆ ..มันคือไอ้นรกส่งมาเกิด มันคือผีห่าซาตาน มันก็แค่ไอ้บ้าคนหนึ่งเท่านั้น!
พอเอาทุกอย่างที่มันทำมารวมกัน ผมก็โกรธจนอยากเห็นมันเจ็บจนร้องไห้ แต่แน่ล่ะ คนหน้ามึนอย่างมันต่อให้กระทืบจนตายคาตีนก็คงไม่ร้องสักแอะหรอก พอเห็นมันไอแค่กๆ และเริ่มขยับตัว ผมก็เตะมันซ้ำอีกทีให้กลับไปนอนตัวงอเหมือนเดิม โชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้ ไม่งั้นความป่าเถื่อนของผมคงได้ประจักษ์แก่สายตาของชาวโลกเป็นแน่แท้
“พอใจยัง?” มันถามเนิบๆ เมื่อลุกขึ้นนั่งพิงผนังซีเมนต์ได้สำเร็จ หลังจากโดนผมเตะร่วงไปอีกหลายครั้ง
ผมก้มมองมันนิ่งๆ ยังหอบไม่หาย มันเองก็เงยหน้าขึ้นมองผมเช่นกัน สภาพสะบักสะบอมน่าดู ที่มุมปากมีเลือดไหลออกมาด้วย แต่ถึงจะเห็นสภาพแบบนั้นผมก็ยังเตะมันไปอีกทีแทนการตอบว่า ‘ยัง’
ได้ยินเสียงมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันนั่งมองผมเฉยๆ ไม่ได้คิดจะโต้ตอบอะไร ..อันที่จริงมันไม่โต้ตอบเลยตั้งแต่แรก ปล่อยให้ผมซัดมันฝ่ายเดียว
“ซันนี่..?”
“...กูชื่อ ซันชายน์”
“ยังจะพูดแบบนั้นอยู่อีก” ได้ยินมันบ่น ผมเลยตบหัวมันไปอีกที แค่เฉี่ยวๆน่ะ เพราะผมขี้เกียจก้มตัวลงไป “เจ็บมากมั้ย?”
ทั้งที่นั่นควรจะเป็นผมถาม(แต่ผมไม่คิดจะถามหรอก) แต่เอี้ยฟ้ามันดันมาถามผมซะนี่ ..แล้วผมจะเจ็บได้ยังไงในเมื่อผมเป็นคนเตะ ไม่ใช่คนถูกเตะ ไม่รู้มันคิดอะไรของมัน? สงสัยจะโดนกระทืบจนสมองกระทบกระเทือนแล้วมั้ง ผมเลยยืนนิ่งๆ ไม่คิดจะตอบอะไรออกไป
“เจ็บมากรึเปล่า?” แต่มันก็ยังถามซ้ำอีก
“กูจะเจ็บได้ไง มึงต่างหากที่สมควรเจ็บ หรือว่าจะโดนกระทืบบ่อยจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว?”
“ก็เจ็บอยู่” มันยอมรับ ไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าผม “แต่เห็นมึงทำหน้าเจ็บกว่า”
ผมเม้มปากจนเป็นเส้นตรงกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่อยากจะยอมรับนักหรอก แต่ผมก็รู้สึกปวดตรงอกจริงๆ นั่นแหล่ะ ...บางทีผมอาจจะเริ่มมีปัญหากับระบบหัวใจ?
สงสัยต้องหาเวลาไปตรวจเช็คบ้างแล้ว..
“ละเมอรึไง?” ผมว่าแล้วหันหลังกลับ ตั้งใจจะไปขึ้นรถ แต่คราวนี้ถูกคว้าขาเอาไว้
“ซันนี่..?” ไอ้เอี้ยฟ้าเรียกผมอีก “ยังไม่ตอบเลย”
“เซ้าซี้จริง” ผมสะบัดขา แต่มันไม่ยอมปล่อย ผมเลยวีนใส่อย่างหงุดหงิด “อะไรนักหนาวะ? ปล่อย!”
“กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บ” สิ่งที่มันพูด ทำให้ผมถึงกับชะงัก
ผมหันไปมองมัน แค่นหัวเราะออกมา “หึ คนอย่างมึงเนี่ยนะ?”
“อือ” มันยอมรับง่ายๆ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนอื่นเขาประชดอยู่
“งั้นก็ไปจากชีวิตกูซะสิ หายไปเลย อย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีก”
“ไม่.. กูไม่อยากไป” มันพูดหน้าด้านๆ เลย ..ให้ตายสิ
“แล้วมึงจะเอายังไง?” ผมชักจะเหลืออดกับมันเต็มทน
“..ไปกินข้าวกันเหอะ หิวแล้ว” มันเปลี่ยนเรื่องเฉยเลย แล้วยื่นมือมาให้ผมช่วยดึงมันขึ้น “ลุกไม่ไหว”
ผมกลอกตาไปมาแบบเซ็งๆ ก่อนจะตัดสินใจดึงมันขึ้นมา พอยืนได้มันก็เดินขโยกเขยกไปที่รถทันที ผมจิ๊ปากขัดเคืองใจแต่ก็ยอมให้มันมานั่งเบาะข้างคนขับ ขี้เกียจจะไล่ เพราะถึงจะไล่มันก็คงไม่ไป และผมก็คงจะเหนื่อยเปล่า
ก็คนอย่างมันน่ะ รู้จักแค่ ‘อยาก’ กับ ‘ไม่อยาก’ เท่านั้นแหล่ะ ถ้ามันไม่อยากไปล่ะก็ ไล่ให้ตายมันก็ไม่ไปหรอก
“จะกินอะไร?” ผมถามระหว่างที่ขับรถออกจากมหาลัย
“หมี่เกี๊ยวหมูแดง” มันตอบ
“ซันนี่?” หลังจากขับรถมาติดไปแดงแยกหนึ่ง ไอ้เอี้ยฟ้าประทานก็เริ่มเปิดปากพูดอีกครั้ง
“อะไร?” ผมถามกลับห้วนๆ
“กูชอบมึง”“ห๊ะ?!” ผมหันควับไปมองคนพูดด้วยตาที่เบิกกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงบีบแตรไล่ของรถคันหลัง หันไปมองก็เห็นว่าไฟสัญญาณกลายเป็นสีเขียวแล้ว
“ทำหน้าตาตลกชะมัด”
“ถ้ายังไม่อยากปากแตกซ้ำซ้อนก็พูดจาดีๆ หน่อย” ผมกระชากคอเสื้อมันมาขู่ฟ่อ มันยกมือทำท่ายอมแพ้ ผมเลยปล่อย แล้วออกรถ
“มีคนบอกกูแบบนั้น” ไอ้เอี้ยฟ้าเริ่มพูดต่อ
“ใคร?!” ผมกระชากเสียงถามอย่างอารมณ์เสีย ถ้าคิดจะล้อเล่นกับความรู้สึกของผมล่ะก็ เดี๋ยวผมจะถีบมันลงไปให้รถคันอื่นทับตายเดี๋ยวนี้แหล่ะ คอยดูสิ!
“คุณพิณ” มันตอบสั้นๆ อย่างกับผมจะรู้งั้นล่ะว่า ‘คุณพิณ’ ของมันเป็นใคร ..ให้ตายเหอะ หัดพูดจาให้คนอื่นเข้าใจง่ายๆ บ้างไม่ได้หรือไงวะ?
“แล้ว ‘คุณพิณ’ น่ะใคร?”
“เป็นน้องคุณขลุ่ย” ..นั่น ‘คุณพิณ’ ยังไม่กระจ่าง ‘คุณขลุ่ย’ มาอีกละ
นี่มึงกำลังทดสอบความอดทนของกูอยู่ใช่ไหม ไอ้เอี้ยฟ้า?!
“ก็แล้ว ‘คุณขลุ่ย’ น่ะใครวะห๊ะ?!” ผมจะถามมันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ถ้ามีคุณห่าคุณเหวอะไรงอกขึ้นมาอีกผมจะไม่คุยกับมันแล้วจริงๆ
มันใช้เวลานึกเป็นนาทีเลย กว่าจะพูดออกมาได้ “..คุณแม่”
อ้อ.. สรุป ‘คุณพิณ’ ที่ว่าก็คือ ‘คุณน้า’ สินะ? บอกว่าน้าแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ต้องให้สืบความยาวสาวความยืด อ่อนใจจะสื่อสารกับมนุษย์ต่างไฟลัมอย่างมันเหลือเกิน
เอ้อ.. ว่าแต่เอี้ยฟ้ามันมีแม่ด้วยเหรอ? ไหนเคยบอกว่าไม่มีไง?
เฮอะ แต่จะไปจริงจังอะไรกับคำพูดของคนอย่างมัน ขนาดเคยบอกว่าไม่มี ‘เมีย’ แต่ก็ยังเห็นเมียมันอยู่ทนโท่
“เมื่อวานจี้ก็พูดเหมือนคุณพิณ มันบอกว่า..กูคงหลงรักมึงเข้าแล้วล่ะ” เอี้ยฟ้าพูดด้วยสำเนียงเนิบๆ ของมันต่อไป ...แต่หัวใจของผมเริ่มทำงานหนักกับสิ่งที่มันพูด กลัวว่ามันจะได้ยินเสียงกลองในอกผม ผมก็เลยเอื้อมมือไปกดเปิดวิทยุหวังให้มันช่วยกลบเสียงอื่น
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้หน้าหวานจี้มันพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน? และทำไมมันถึงคิดแบบนั้น? แต่ตอนนี้ผมชักสงสัยความสัมพันธ์ของพวกมันสองคนแล้วสิ
แน่นอน ผมไม่กล้าถาม.. กลัวว่าความจริงจากปากมันจะกลับมาทำร้ายตัวผมเอง เลยได้แต่นั่งนิ่ง ฟังมันพูดต่อ
“กูไม่แน่ใจหรอกว่าสิ่งที่พวกนั้นพูดจะเป็นเรื่องจริงแค่ไหน? ..อย่างที่เคยบอกว่ากูไม่รู้จัก ‘การชอบ’ หรือ ‘การรัก’ คนอื่นมันเป็นยังไง และไม่เคยสนใจอยากจะรู้จักด้วย แต่ว่านะ ซันนี่..” เอี้ยฟ้ายื่นมือมาแตะแก้มผมในตอนที่เลี้ยวมาจอดใกล้ๆ ร้านขายบะหมี่เกี๊ยวพอดี
ผมหันไปมองมัน เป็นอีกครั้งที่เห็นเงาตัวเองฉายชัดอยู่ในดวงตาสีดำลึกล้ำของอีกฝ่าย
“ตอนนี้กูชักอยากรู้ขึ้นมาแล้วล่ะ ว่าการรักใครซักคนมันเป็นยังไง?”
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า? ..แต่รู้สึกเหมือนระยะห่างของเรามันร่นเข้าหากันเรื่อยๆ ผมรีบยกมือยันไหล่ของมันไว้ กลัวว่ามันจะเข้ามาใกล้กว่านี้ กลัวว่ามันจะได้ยินเสียงหัวใจของผม
และเหมือนว่ากล่องเสียงของผมจะใช้การไม่ได้ซะแล้ว..
“..ถ้าเป็นซันนี่ล่ะก็..ต้องทำให้เข้าใจได้แน่..”
โอเค ผมไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ เพราะตอนนี้จมูกของผมกับจมูกของเอี้ยฟ้าแทบจะชนกันอยู่แล้ว ผมอยากจะผลักมันออกไปให้พ้น แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงของผมจะหายไปตามหากล่องเสียงกันหมดเลย แย่ชะมัด..
“ช่วยสอนหน่อยสิ...การรักใครซักคนมันเป็นยังไง..?”ผมไม่แน่ใจว่าเอี้ยฟ้าประทานไม่อยากได้คำตอบ หรือไม่อยากให้ผมตอบกันแน่ ก็ตอนนี้มันปิดทางออกเสียงของผมด้วยริมฝีปากของมันเสียสนิทเลยนี่นา..
TBC. 