Chapter :: Special Sky :: พระอาทิตย์สีเทอร์ควอยซ์ (III) Part.1
“เฮ้ยยยย ไอ้เอี้ยซิน แน่จริงมึงอย่าหนีเด้! กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ กูบอกให้กลับมาไง ไอ้ห่ารากไส้เอ๊ย!!”
เสียงแหกปากโวยวายของผมดังก้องไปทั่วหอพักในเวลาเช้าตรู่ของวันพุธสีเขียว(?) เรียกร้องความสนใจของบรรดาเพื่อนบ้านชั้นเดียวกันได้เป็นอย่างดี แทบทุกห้องต่างเปิดประตูชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นบ้าง อยากด่าอยากตบกะโหลกบ้าง..ก็ว่ากันไป ขณะที่ไอ้ตัวดีคู่กรณีมันเปิดตูดวิ่งหนีแบบไม่คิดจะเหลียวหลัง
ผมหันไปยิ้มแหยๆ พลางค้อมหัวเล็กๆ เป็นเชิงขอโทษขอโพยที่บังอาจไปรบกวนสุนทรีในการนอนของแต่ละท่าน ก่อนที่ประตูห้องเหล่านั้นจะทยอยปิดกลับไปเหมือนเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาโวยวายโหวกเหวกตั้งแต่เช้าแบบนี้น่ะมีแน่ แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ ผมคงต้องขอเล่าเท้าความกลับไปราวๆ 48 ชั่วโมงก่อนโน่นเลย
0.55 นาฬิกา วันจันทร์สีเหลือง(?)บนเนินกำแพงบ้านพัก ณ หาดหัวหิน
“มานั่งเป็นพระเอกมิวสิคอะไรตรงนี้วะ?” ผมเอ่ยทักคนที่กำลังนั่งห้อยขา เหม่อมองออกไปยังทะเลกว้างยามค่ำคืน
“อ่ะ กาย?” อีกฝ่ายหันมาเอียงคอมองและพึมพำชื่อผมเบาๆ คิ้วได้รูปย่นเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะผินหน้าเหม่อมองไปทางทิศเดิมโดยไม่พูดอะไรมากกว่านั้น
“ไอ้ซันตามหาอยู่น่ะ” ผมบอกขณะปีนขึ้นไปนั่งข้างๆ มัน มันปรายตามองผมนิดหน่อย ครางรับรู้ในลำคอ แล้วก็เงียบเหมือนเดิม เห็นแบบนั้นผมจึงอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “มีอะไรรึเปล่า? เล่าให้กูฟังได้นะ”
“..........”
“...ซิน?” ผมเริ่มรู้สึกร้อนรน เมื่อคนข้างๆ ยังเอาแต่เงียบ ..แบบนี้มันแปลกเกินไป มันไม่ใช่ซินที่ผมรู้จัก คนที่ผมรู้จักมันไม่เคยมีท่าทางคิดมาก ไม่เคยต้องมานั่งเงียบแบบนี้หรอก ปกติมันหนวกหูจะตายห่า แถมคิดไงก็พูดงั้น ขวานผ่าซากล่ะที่หนึ่ง แล้วนี่..เกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่? ทำไมถึงมีท่าทางแปลกไปแบบนี้?
“มึงเป็นเพื่อนกูใช่มั้ย กาย?” แล้วจู่ๆ คนที่นั่งเงียบก็จู่โจมถามผมแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
“ห๊ะ? ..ก็...ก็ใช่ไง ถามอะไรของมึงเนี่ย?” ผมตอบกลับไปงงๆ
“แล้วมึงคิดจะเป็นเพื่อนกับกูไปอีกนานแค่ไหน? เมื่อไหร่มึงจะเบื่อ? เมื่อไหร่มึงถึงจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับกู? ..แล้วเมื่อไหร่มึงจะทิ้งกูไป?” คำถามยาวเหยียดพรั่งพรูออกมาหลังจากนั้น
ถ้าเป็นเวลาปกติ.. ถ้าเป็นมันทำหน้าตายียวนขณะถามคำถามเหล่านี้ ถ้ามันทำแบบนั้นนะ.. ผมคงคว้าคอมันเข้ามาต่อยปากสักทีสองทีแล้ว มันกำลังดูถูกความจริงใจของผม ถึงผมจะคิดกับมันมากเกินกว่าเพื่อน แต่ผมจะไม่มีวันก้าวล้ำเส้นแดนที่มันขีดเอาไว้แน่ ผมจะไม่มีวันหักหลังความเป็นเพื่อนที่มันหยิบยื่นให้ พอๆ กับที่ผมจะไม่มีวันเดินจากมันไปไหนนั่นแหล่ะ!
แล้วนี่เบื่ออะไร? ทิ้งอะไร? ไปเอาความคิดเชี่ยๆ นั่นมาจากไหน? ถ้ามันรู้ตัวว่ามันมีความสำคัญต่อผมไม่ต่างอะไรกับออกซิเจนที่ใช้หายใจล่ะก็ มันคงจะไม่พูดหมาๆ แบบนี้แน่ ฮึ่ม! พูดแล้วก็ขึ้นๆ
แต่ก็นั่นแหล่ะ เพราะมันไม่ใช่เวลาปกติ และเพราะมันไม่ได้ทำหน้าตายียวนเหมือนทุกที ดวงตาสีน้ำตาลใสที่จ้องมองมามีแวววูบไหวอย่างเห็นได้ชัด
คล้ายไม่มั่นใจ หรือคล้ายกำลังกลัวอะไรบางอย่าง..
“ไม่มีวันที่กูจะทิ้งมึงไปก่อนแน่ ..แต่ถ้ามึงเบื่อหรือไม่อยากเห็นหน้ากูแล้ว มึงจะทิ้งกูไป...ก็ไม่เป็นไร” ผมเลยเลือกที่จะตอบคำถามออกไปแบบนั้น
“..มึงพูดจริงอ่ะ?” ซินเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน
ยิ่งเห็นยิ่งหมั่นไส้ นี่ผมทำตัวไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอวะ? ..แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อสุดท้ายมันก็ยิ้มออกมาจนได้ ผมเลยไม่คิดถือสาและพลอยยกยิ้มตามมันไปด้วย
“จริงดิ ถ้ามึงไม่ไล่กูก็ไม่ไปหรอก ไม่สิๆ ต่อให้มึงไล่กูก็จะหน้าด้านอยู่ข้างมึงอยู่ดีแหล่ะ กูไม่ไปไหนง่ายๆ หรอก กูจะเกาะติดมึงเหมือนเห็บเกาะหมาเลย คอยดูดิ” ผมพูดกลั้วหัวเราะในประโยคท้ายๆ
“ฮ่าๆๆ ท่าทางมึงจะชอบกูมากเลยนะเนี่ย” พูดไปหัวเราะไปด้วยคำถามที่หน้าหมั่นไส้อีกแล้ว ฮ่ะๆๆ แต่ถ้ามันจะหัวเราะได้สดใสขนาดนี้ ผมก็พร้อมจะให้อภัยมันเสมอแหล่ะครับ
“ที่สุดอ่ะ” ผมตอบตามน้ำและร่วมหัวเราะไปกับมันด้วย ..คำตอบของผมอาจไม่ได้ดูจริงจังสำหรับซิน และมันก็คงไม่มีทางรู้ว่าทุกสิ่งที่พูดล้วนออกมาจากใจ
ใช่..ซิน กูชอบมึง ชอบมากเกินกว่าฐานะเพื่อนที่มึงอยากให้เป็น แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ กูจะไม่ทำให้มึงต้องลำบากใจแน่ กูขอแค่ได้แอบรักมึงอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอ.. กูขอแค่นั้นแหล่ะ
ไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะของเรามันเงียบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็เกิดช่องว่างแห่งความเงียบงันอันน่าอึดอัดขึ้นซะแล้ว ซินหันกลับไปเหม่อมองท้องทะเลอีกครั้ง ผมเลยถือโอกาสนั่งมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายพลางครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ..นอกจากรอยยิ้มที่สดใส เสียงหัวเราะที่น่าฟัง
ผมยังชอบซินเพราะอะไรอีกนะ? ..อืม
“..แล้วถ้ากูตายล่ะ?” คำถามไม่มีอารัมภบทของซินเข้าจู่โจมผมอีกรอบ
ผมแอบถ่วงเวลาโดยการกระพริบตาปริบๆ เพื่อรวบรวมสติกลับคืนสู่ปัจจุบัน ก่อนจะเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลเป็นคำตอบส่งกลับไป
“กูก็จะไปงานศพมึง” ตอบไปแล้วก็ต้องแปลกใจกับหน้าตาประหลาดๆ ของคนฟัง เลยต้องเอ่ยถามออกไปอย่างคนสูญเสียความมั่นใจ “อะไร? ทำไมทำหน้าแบบนั้น?”
“เปล่า.. กูแค่นึกถึงซันนี่ ถ้าเป็นหมอนั่นต้องพูดว่าจะตายตามกูแน่” ทางนั้นตอบกลับ ผมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
อ้อ.. ผมเคยพูดไปแล้วใช่ไหมว่าแฝดคู่นี้มันแปลก? จนตอนนี้ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะ พวกมันดูแปลกคนจริงๆ เมื่อวานผมยังเห็นพวกมัน...เอ่อ..นัวเนียแนบแน่นกันอยู่เลย เหอะๆ
“มึงอยากให้กูทำแบบนั้นรึไง?” ผมถามแล้วหัวเราะเบาๆ “ถ้ามึง..”
“ไม่ๆๆ” ซินรีบแทรกขึ้นก่อนที่ผมจะทันพูดจบ
ผมตั้งใจจะพูดว่า.. ถ้ามึงอยากให้กูทำแบบนั้น กูก็...ขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ~ ...อ้าวๆ อย่ามามองผมด้วยสายตาเหยียดหยามขนาดนั้น? ผมชอบซินมาก ซินเปรียบเหมือนลมหายใจของผมน่ะ พูดจริงนะ ไม่ได้พูดเอาเท่ห์(เพราะคนอย่างเพ่สกายนั้นเท่ห์ทุกท่วงท่าและอิริยาบถอยู่แล้ว กร๊ากกก) แต่ที่ต้องลังเล เพราะผมรู้ว่ายังมีคนที่รักและห่วงใยผมอยู่ข้างหลังอีกมากมาย อย่างน้อยๆ ก็มีป๊ากับม้าล่ะ ผมคงไม่สามารถตัดใจทิ้งพวกเขาแล้วหนีความเศร้าจากการสูญเสียไปเพียงคนเดียวได้หรอก มันดูเห็นแก่ตัวเกินไป
คนเราควรจะรักอย่างมีสติไม่ใช่เหรอ? หรือคุณว่าไง?(โวะ.. เท่ห์อีกแล้วว่ะ สกาย เฮ้อ~ ไม่ได้ตั้งใจจะเท่ห์ไปกระแทกใจใครเลยจริงๆ นะเนี่ย แต่..ก็นั่นแหล่ะ อย่าให้พูดไปมากกว่านี้เลย เดี๋ยวกายจะเท่ห์ไปมากกว่านี้ แล้วพวกคุณจะตกหลุมรักไปมากกว่านี้ กายไม่อยากทำร้ายจิตใจใคร เพราะหัวใจของกายยกให้ซินเซียร์ไปหมดแล้ว กุซิก..)
“..กูอยากให้มึงไปงานศพกูมากกว่า” ซินพูดด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้นกว่าเดิม ผมยิ้มกว้างตอบรับคำขอนั้น
“ถ้ามึงว่าอย่างนั้นนะ”
!.. แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนระยะห่างของใบหน้าเราทั้งคู่มันจะย่นเข้าหากันมากกว่าเดิมยังไงไม่รู้ ทั้งที่ผมก็ยังนั่งอยู่ในองศาเดิมเป๊ะ หรือผมจะคิดไปเอง? ไม่รู้ว่ะ แล้วซินมันไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงมั่งเหรอวะ?
“ซิน?”
“กู...จะลองเชื่อมึงดูนะ กาย” เสียงซินเบาลงจนคล้ายเสียงกระซิบ
“ซิน..?”
ขณะที่หน้าของเราก็เคลื่อนเข้าใกล้กันจนน่าใจหาย โดยที่ผมยังไม่แน่ใจว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น สัมผัสเย็นๆ จากฝ่ายตรงข้ามก็นาบทับลงมาบนริมฝีปากของผม
!!..
วินาทีแรกผมคิดว่าตัวเองคงฝันไป.. ฝันไปแน่ๆ!
ซินกำลังจูบผม?
ใช่สิ! ซินจูบผม! แต่เรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง?! นี่ผมอาการหนักถึงขั้นประสาทหลอนไปแล้วเหรอเนี่ย? หึยยย คงถึงเวลาที่ผมต้องไปหาจิตแพทย์แบบจริงจังแล้วสินะ? ชักจะอันตรายเกินไปแล้ว ไอ้บ้าสกาย!
!!!.. แต่วินาทีถัดมาที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่ายผมก็เริ่มแน่ใจ
เรียวลิ้นชื้นที่ไล้เล่นกับปลายลิ้นของผมยิ่งทำให้แน่ใจ
จิลเย็นเยียบที่สัมผัสได้ทำผมแน่ใจเป็นที่สุด!
ซินตรงหน้ามีตัวตนอยู่จริง..
และกำลังจูบกับผมอยู่จริงๆ
ผมไม่ได้ฝันไป!
แต่สิ่งที่ตอกย้ำให้ผมแน่ใจที่สุดในสามโลกก็คือ...หลังเหตุการณ์ระทึกขวัญนั้นไม่ถึงนาที ผมก็โดนไอ้ตัวดีมันถีบตกลงมาจากเนินกำแพงโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมยังวิ่งหน้าตั้งเข้าบ้านอย่างไม่คิดจะมาดูดำดูแดงกันเลยสักนิดเดียว!
ทุกอย่างมันรวดเร็วจนผมชักจะกลับไปคิดว่ามันคือความฝันอีกรอบ ถ้าไม่ติดตรงที่รู้สึกเจ็บซี่โครงอย่างจริงจังล่ะก็นะ.. โอยๆๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ผมทำอะไรผิดไปป่ะวะ? สกายทำอะไรพลาดไปตรงไหนหรือเปล่าครับท่านผู้ชม? ..งึมๆ
ยิ่งคิดยิ่งงง ผมก็ว่าผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็ยอมนั่งเฉยๆ ให้คนเขาจูบ มีแอบสอดลิ้นตอบกลับไปบ้างพอเนียนๆ ไม่ได้ออกนอกหน้าอะไร(ก็นะ..นานๆ ทีมีโอกาส กรั่กๆๆ)
แล้ว..มันยังไงกันเนี่ย? ซินถีบผมทำไมครับซิน? ผมผิดอะไร? นึกอยากจูบก็จูบ นึกอยากถีบก็ถีบเอาเองตามใจได้ไง สกายไม่ใช่ดอกไม้ริมทางนะเออ นั่นมันจูบแรกกับผู้ชายของสกายเลยนะ กุซิก.. ซินเซียร์ใจร้าย มาทำกันแบบนี้ได้ไง? เขาลูกมีป๊ามีม้านะ คนใจร้ายยยย..~ (โหมดสาวน้อยพร่ำเพ้อ)
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
อ้าว.. ไอ้ห่านจิกที่ไหนมันมาหัวเราะเยาะกูซะสะใจขนาดนั้นวะ? แง่ง!!
ผมเหลือบมองไปทิศที่มาของเสียงทั้งที่ยังนอนแผ่อยู่ และก็ได้เห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนสองคนกับเสียงซุบซิบๆ อะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ออก ก่อนที่เงาสองเงาจะแยกย้ายกัน โดยหนึ่งในนั้นกำลังมุ่งหน้ามาทางผม
สิ่งที่ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตาก็คือหัวสีเงินสะท้อนแสงไฟวูบวาบ ตามมาด้วยใบหน้าอันเฉยชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเจ้าของหัว จากนั้นแสงก็ไล่สาดส่องให้เห็นลำคอ ลำตัวช่วงบน ช่วงล่าง ช่วงขา จนถึงปลายตีนในที่สุด..
ไอ้ฟ้าประทาน.. สิ่งมีชีวิตปริศนาจากกาแล็กซี่อื่นนั่นเอง(ซินเคยบอกงี้อ่ะ)
“...........” ไอ้หมอนั่นมาหยุดตีนไว้ใกล้ๆ กับหัวผม ยืนนิ่งนิดนึง ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองๆ แล้วชะโงกหน้าก้มมองผมด้วยสายตา...เอิ่ม..ก็ไม่แน่ใจนะ แต่ดูคล้ายมันกำลังสมเพศเวทนาผมยังไงชอบกลว่ะ..?
“ไง.. พวก?” มันเอ่ยทักด้วยสำเนียงเนิบๆ ตามแบบฉบับเฉพาะตัว พลางหัวเราะลงคอเหมือนชอบอกชอบใจอะไรนักหนา
“มึงเห็นเหรอ?” ผมถามกลับเซ็งๆ ดึงสายตาตัวเองกลับไปชมเดือนชมดาวบนท้องฟ้าต่อ ไม่เข้าใจว่าเมื่อกี๊มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่..? ตกลงไอ้ซินเซียร์มันทำอะไรกับผมเนี่ย? โอ๊ยยยย คนหล่อสับสน!
“อือ”
“แล้ว.. คิดว่าไงอ่ะ?” ผมถามโดยที่ตายังเหม่อมองดวงดาวบนฟ้าอยู่
“ก็ฮาดี” แล้วมันก็หัวเราะลงคออีก “กูไม่เคยเห็นใครโดนจูบแล้วตามด้วยโดนถีบแบบนี้มาก่อน ..เลยค่อนข้างประทับใจ”
“ขอบใจนะ.. ไอ้หัวหงอก!” ผมอดด่ามันไม่ได้ แหม..มึงนะ ว่าแล้วก็ตวัดสายตามามองมันแบบค้อนนิดๆ พอให้รู้ว่าเคือง(กระแดะว่ะ ฮ่ะๆ) ก่อนจะกลับไปชื่นชมเดือนดาวเหมือนเดิม ส่วนปากก็อธิบายขยายคำถามเพิ่มอีกหน่อย “คือกูหมายถึง...มึงคิดว่าทำไมซินมันถึงทำแบบนั้นวะ? กูไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“มึงไม่ไปถามเจ้าตัวล่ะ? กูจะไปตรัสรู้ได้ไง ..ไอ้หัวเถิก”
ซี้ดดดด แสบถึงในทรวงไปยันพวงไข่(?) ทำไมมันช่างเอาคืนได้เจ็บปวดรวดร้าวขนาดนี้เนี่ย? ดูหน้าดูตาก็ไม่น่าใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นนะ แต่ทว่าวาจาที่ตอกกลับมาช่างแสบแสน.. แง่ง! ก็แค่คิ้วต่ำไปหน่อยเองอ่ะ ไม่ใช่เถิกนะ แบบนี้ไม่เถิกสักหน่อย คนเขาเกิดมาคิ้วต่ำอ่ะเข้าใจกันบ้างไหม? ..ฮึ่ยยย มาเรียกว่าไอ้หัวเถิกได้ไง เขาสะเทือนใจนะเนี่ย ฮือออ..
“แล้วมึงจะนอนอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย?” จู่ๆ ไอ้หัวหงอกมันก็ถามผม “ซันนี่ให้กูมาดูมึงอ่ะ”
ซันนี่.. ไอ้ซัน.. อืมมม
จริงสิ จะว่าไปแล้วไอ้ซันมันก็ไม่เคยยอมให้ใครเรียกมันแบบนั้น...ยกเว้นแค่คนในครอบครัว แล้วก็มีไอ้นี่อีกคนแหล่ะที่มันอาจหาญ ไม่ใช่ว่าผมจะดูไม่ออกว่าพวกมันไม่ใช่แค่เพื่อนกันธรรมดา อันที่จริงพวกมันไม่มีท่าทางว่าน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ด้วยซ้ำ จุดเริ่มต้นก็ไม่ค่อยดี ..แล้วดูปัจจุบันนี้สิ เดินตามตูดกันต้อยๆ จนคนอื่นๆ พากันเรียกพวกมันว่า ‘แม่เป็ด - ลูกเป็ด’ ไปทั่ว
มันแปลก.. ที่อยู่ดีๆ ไอ้หัวหงอกนี่ก็มาเดินตามไอ้ซัน
และมันแปลกกว่า.. ที่คนอย่างไอ้ซันอนุญาตให้ไอ้หัวหงอกมันมาคอยเดินตาม
แต่ที่แปลกที่สุด... ก็เห็นจะไม่พ้นไอ้ซิน
ใช่แล้ว! ไอ้ซินเซียร์ที่คนทั้งคณะพากันละห้อยละเหี่ยใจกับอาการหวงน้องชายจนเกินความจำเป็น จนต้องกันท่าผู้ชายทุกคนที่ทำท่าจะเข้าไปใกล้ แต่กลับหัวเราะชอบใจเมื่อมีไอ้ผู้ชายหัวหงอกมาคอยเดินตามติดแทบประชิดตัวน้องมันซะงั้น ..ผมเคยลองแย้บๆ ถามเหมือนกันว่ามันไม่ระแวงที่ไอ้ฟ้าประทานเข้าใกล้น้องมันขนาดนี้บ้างเหรอ? รู้ไหมคำตอบที่ได้คืออะไร?
“ไม่อ่ะ มันไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นหรอก กูดูออก ที่สำคัญคือมันแปลก มันฮา มันหาดูยากดี กูชอบ ฮ่ะๆๆ”
ผมก็ไม่รู้หรอก ว่าไอ้ ‘ดูออก’ ของซินเนี่ย มันจะ ‘ออกหัว’ หรือ ‘ออกก้อย’ กันแน่ เหอๆ
แถมพักหลังๆ ซินยังเอาแต่พูดว่า ไอ้ลูกเป็ดมันฮาอย่างงั้น ไอ้ลูกเป็ดมันขำอย่างงี้ อิ๊อ๊ะจิ๊จ๊ะน่าหมั่นไส้ แล้วยังมีการยอมให้มันไปนอนค้างที่คอนโดอีกต่างหาก(..มันจะไว้วางใจกันเกินไปหน่อยแล้ว แง่ง!) จนบางทีผมก็อดรู้สึกอิจฉาปนหึงขึ้นมาตงิดๆ ไม่ได้ ..แมร่ง! มันมีดีอะไรนักหนาวะ? พูดถึงอยู่นั่น ก็แค่มันหล่อ มัน(ดูเหมือนจะ)รวย มันมีรถสวยๆ อืม..แล้วมันก็(เรียนคณะที่ดูเหมือนจะ)ฉลาด เออ! ก็แค่นั้นเอง แค่นั้นอ่ะ น่าพูดถึงกว่าสกายผู้ชายสุดแสนจะเพอร์เฟ็คเอ็กซ์แตก(?)คนนี้ตรงไหนวะ?! ..หึยยย ซินอ่ะ มีตาหามีแววไม่ มีคนดีอยู่ใกล้ตัวแบบนี้ยังอุตส่าห์มองข้ามไปอีก ชิชิชิ!
“..มึงกับไอ้ซันไปถึงไหนกันแล้ววะ?” ผมโพล่งถามออกไปด้วยความสงสัย
ไอ้คนที่ทำท่าจะลุกหนีเลยกลับมานั่งยองอีกครั้ง มันเลิกคิ้วน้อยๆ เหมือนไม่ค่อยเข้าใจ ผมเลยต้องเพิ่มช้อยส์ให้มันตอบได้ง่ายขึ้น “ก็ขั้น A หรือ B หรือ C ไงเล่า”
“ABC อะไรของมึง?” มันก็ยังไม่เข้าใจอีก
ป๊าดดดด คือโง่คักเนาะ สงสัยต้องมีภาพประกอบซะล่ะมั้ง?
ได้ๆๆ เดี๋ยวเพ่กายสุดหล่อจัดให้ ..คิดได้แบบนี้ผมก็เริ่มต้นอธิบายใหม่พร้อมทำไม้ทำมือประกอบ ..รู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับเด็กอนุบาลไงไม่รู้แฮะ
“A ก็คือ..จับมือ” ผมบอกพร้อมทำท่าจับมือตัวเองให้ไอ้หัวหงอกดู
ส่วนมันก็ดูอย่างตั้งอกตั้งใจ..เกินไปหรือเปล่าวะ? ท่าทางมึงนี่ชอบสนใจอะไรแปลกๆ อยู่นะ
“B ก็คือ..จูจุ๊บ” ผมขยุ้มปลายนิ้วมือทั้งสองข้างแล้วเอามาชนกัน
มันก็พยักหน้าหงึกๆ เป็นอันว่าเข้าใจ โอเช..
จากนั้นผมจึงเริ่มสาธิตท่าทางสุดท้ายด้วยการจรดปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็นวงกลมที่มือข้างซ้าย แล้วชูนิ้วชี้นิ้วเดียวที่มือข้างขวา เมื่อทุกอย่างถูกเตรียมพร้อม ปฏิบัติการต่อไปก็คือการเอานิ้วชี้ข้างขวาแยงลงไปในวงกลมข้างซ้ายซ้ำหลายที พร้อมคำอธิบายใต้ภาพ “ส่วน C ก็คือ..อะจ๊ายๆ..แบบนี้ไงล่ะ”
“ตกลงมึงกับไอ้ซันไปถึงขั้นไหนแล้ว?” อธิบายจบผมก็ยิงคำถามอีกรอบ
และคราวนี้ไอ้หัวหงอกมันตอบแบบไม่มีลังเลเลย “C”
“จริงดิ?!” ผมรีบผุดลุกขึ้นมานั่งมองมันด้วยตาโตๆ
นึกแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่น้อย ..โหๆๆๆ พวกมันไปไกลกันขนาดนั้นแล้วเรอะ? คิดไม่ถึงจริงๆ นะเนี่ย ซินเซียร์แมร่งมัวทำอะไรอยู่วะ? ม.ค.ป.ด.แล้วน้องมึงอ่ะ เคยรู้บ้างไหมเนี่ย?
“แล้วมึงเป็นนี่..” ผมชูนิ้วชี้ของมือขวาขึ้น “หรือเป็นนี่..” คราวนี้ชูวงกลมของมือซ้ายบ้าง “..วะ?” เอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น ..ก็คนมันอยากรู้อยากเห็นนี่หว่า ขอเสือกอย่างเป็นทางการเลยแล้วกันนะ กูอยากรู้ไม่ไหวละ ฮ่าๆๆ
“เป็นนี่..” มันชูนิ้วชี้ขวาขึ้นมาอย่างมั่นใจ
“จริงอ่ะ?!” ผมผวาเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของมันพร้อมกับตาที่ลุกวาวด้วยความตื่นเต้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า
มันบอกมันเป็น ‘นิ้วชี้’ งั้นไอ้ซันมันก็เป็น ‘วงกลม’ อ่ะดิ?
จริงอ่ะ?! ไอ้โหดซันชายน์ที่กระทืบได้แม้แต่พี่ชายฝาแฝดของตัวเองเนี่ยนะจะยอมให้ใครกด? โอ้วววว.. แต่ไอ้หัวหงอกมันสามารถ? แถมยังรอดพ้นส้นตีนมาโดยไม่มีรอยขีดข่วนด้วย?
มึงทำได้ยังไงวะ? ..โหยยย แมร่งเจ๋งจริงว่ะ พ่อยอดชายนายหัวหงอกของน้องกาย อร๊ายยยยย~(แรดละกู ฮ่ะๆ)
“อะไรของมึง ไอ้เถิก?” ไอ้หงอกมันปัดมือผมด้วยท่าทางรังเกียจเล็กน้อยกับใบหน้าที่ยื่นเข้าไปใกล้พร้อมด้วยสายตาแวววาวปิ๊งปั๊งเป็นประกายของผม
“กูปลื้มมึงอ่ะ หงอก มึงทำได้ไงวะ?” ผมชื่นชมจากใจ อยากจะก้มหัวคำนับแล้วฝากตัวเป็นลูกศิษย์มันเสียจริง ไม่รู้ใช้วิชามารจากสำนักไหนถึงปราบไอ้ซันลงได้? อยากเป็นได้แบบนี้อ่ะ สวดยอดลวกเพียก!!
โหยยย ปลื้มว่ะ กูยกให้มึงเป็นไอดอลของกูเลยแล้วกันนะ ไอ้หัวหงอก
หลังสารภาพความในใจไปแล้วผมก็ถอยห่างออกมาในระยะพองาม นั่งลงทับขาตัวเองแล้ววางมือไว้บนหน้าขาอย่างเรียบร้อย สีหน้าแสดงออกถึงความศรัทธาเลื่อมใสต่อไอดอลคนใหม่อย่างเต็มเปี่ยม ..เอาเหอะ ถ้ามึงอยากจะเรียกกูว่า ‘ไอ้หัวเถิก’ ก็ได้ บ่เป็นหยังดอก กูอนุโลมให้ ที่หยวนนี่เพราะเห็นมึงเป็นขวัญใจของกูหรอกนะ เชี่ยหงอก(..ปลื้มก็ส่วนปลื้ม แค้นก็ส่วนแค้น เพราะงั้นเลยไม่ยอมเลิกเรียกอีกฝ่ายว่า ‘หงอก’ เหมือนกัน ฮ่ะๆๆ)
“หึ..” ไอ้หัวหงอกส่งเสียงในลำคอและกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ มันก้มมองผมที่กำลังแหงนหน้ามองมันอีกครั้ง แล้วเคาะนิ้วชี้ไปที่หัวหงอกๆ ของตัวเอง พลางบอก “มันอยู่ที่นี่..”
ผมมองมันตาปริบๆ กระพริบตาไปก็คิดตามที่มันพูดไป.. ‘มันอยู่ที่นี่’ ..ที่หัวหงอกงั้นเหรอ ไม่สิๆ มันหมายถึงทุกอย่างอยู่ที่มันสมองของเราเองหรือเปล่า?
เออ..แบบนั้นฟังเข้าท่ามากกว่าว่ะ
“..แล้วก็ลีลา” มันพูดต่อเนิบๆ ผมพยักหน้าหงึกๆ ตั้งใจจดจำทุกคำสั่งสอนของทั่นอาจารย์ ..ลีลาสินะ ลีลา อืมๆ...หือ? ลีลาอะไรวะ? อ๊ะ หรือว่า..?
“ที่สำคัญ..” ผมต้องหยุดทุกความคิดฟุ้งซ่านในหัวเถิกๆ...เฮ้ย! เมื่อกี๊ใครพูดอะไรเถิกๆ วะ? เดี๋ยวปั๊ดโบกกะโหลกแตกเลยนี่ ลื้ออย่ามาพูดซี้ซั้วนะเว้ยเฮ้ย คำนี้อนุญาตให้แค่ทั่นบร๊ะอาจารย์หัวหงอกเรียกเท่านั้น คนอื่นอย่าแม้แต่จะคิด!
..เอาล่ะ กลับมาฟังคำสั่งสอนต่อ
เอ๊ะ เมื่อกี๊ทั่นพูดถึงไหนแล้วนะ? ..อ้อ ‘ที่สำคัญ’ ใช่ไหม? ที่สำคัญอะไรครับ’จารย์?
“..อย่าป๊อด”TBC. 
(Part.2 อยู่หน้าต่อไปจ้ะ)
ทีนี้ก็รู้กันแล้วสิว่าเอี้ยฟ้ามันไปเอาอย่างใครมา?(ภาษามือน่ะ)

อย่าแปลกใจกับความเวิ่นของนายสกาย เพราะผู้แต่งตั้งใจให้มันเป็น 'เมะที่แรดที่สุด' มาตั้งแต่แรกแล้วน่ะ
