(ต่อ)
“อ้าว ฉาย?” ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในมินิมาร์ทก็เจอเข้ากับเหมยลี่และชิฮัวที่เพิ่งซื้อของเสร็จพอดี เห็นสองคนนั้นถือถุงใบใหญ่คนละใบที่ข้างในน่าจะอัดแน่นไปด้วยเครื่องดื่มและขนมนานายี่ห้อ “กินอะไรกันเยอะแยะ? แล้วนี่มาเยี่ยมมานะกันอีกแล้วเหรอ?”
“อือ หมาฝูกับหมาปอก็มานะ แต่พอบอกว่าหิวขนมแม่งก็รีบยัดตังค์ใส่มือแล้วฝากพวกฉันให้ซื้อไปเผื่อพวกมันด้วยหน้าตาเฉย สุภาพบุรุษสุดตรีนเลยมั้ยล่ะ เพื่อนฉันแต่ละตัว?” ชิฮัวบ่นกระปอดกระแปดไม่สบอารมณ์
ผมก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ ..พวกนี้มาขลุกอยู่โรงพยาบาลกันแทบทุกวันตั้งแต่เกิดเรื่อง(สงสัยจะว่างจัด) ตอนที่ผมยังนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง บางทีก็มียกโขยงกันไปเม้าส์มอย(ไม่ก็กัดกันเอง)ที่ห้องผมบ้างเหมือนกัน หนวกหูได้อีก(..โดยเฉพาะชิฮัวกับเมย์บีนี่แมร่งจับคู่กันได้เมื่อไหร่ล่ะไม่รู้ว่าสรรหาอะไรมาคุยกันได้น้ำไหลไฟดับ) ก็ไม่รู้มานะทนนอนฟังเฉยๆ ได้ไงวันละตั้งหลายชั่วโมง เป็นผมลุกขึ้นมาไล่เตะโด่งออกจากห้องกันไม่ทันละ ฮ่ะๆๆ
ว่าแต่วันนี้มากันซะเย็นเลยแฮะ สงสัยตอนกลางวันคงติดธุระ เพราะปกติมักจะเห็นมาตอนสายๆ แล้วก็กลับกันตอนบ่ายๆ ..ประมาณนั้น ช่วงนี้ก็ปิดเทอมพอดีด้วยสิ
“แล้วนี่ฉายหายดีแล้วเหรอถึงได้ออกมาเดินร่อนแบบนี้?” เหมยถามผมบ้าง
“เดินร่อนอะไรกัน? แค่ออกมาหาอะไรกินนิดหน่อยเอง ..แล้วหมอก็อนุญาตให้เราหายป่วยแล้วด้วย”
“อนุญาตให้หายป่วยนี่มันมีด้วยเรอะแก?” ชิฮัวว่า
“งั้นไปกินด้วยกันมั้ยล่ะ? ซื้อมาเยอะแยะเลยเนี่ย” เหมยชวนพร้อมทั้งชูถุงขนมใบโตให้ดู “..หรือว่าต้องรีบกลับไปเฝ้ากานต์?”
“ไม่หรอก.. มีคนคอยเฝ้าอยู่แล้วน่ะ” ผมบอกยิ้มๆ ก่อนจะตัดสินใจตามสองคนนั้นไปจนได้..
ผมกลับเข้าไปหาซินอีกครั้งตอนประมาณเกือบสามทุ่ม ตอนนั้นซินหลับไปแล้ว ผมต้องแอบๆ เข้าไปโดยไม่ให้พยาบาลรู้ เพราะปกติแล้วพยาบาลจะงดให้เยี่ยมซินตั้งแต่เวลาสองทุ่มเป็นต้นไป ตอนแรกก็กะจะเข้าไปดูหน้าและสำรวจอาการโดยรวมไม่นานก็ว่าจะกลับไปนอนห้องพักของตัวเอง แต่ตอนที่ลุกขึ้นเตรียมจะกลับชายเสื้อก็ถูกคนป่วยยื่นมือมาคว้าไว้ก่อน
ดูเหมือนว่าผมจะมาทำให้ซินตื่นซะแล้ว..
“ซิน..” ผมหันกลับมามองพี่ชายที่นอนลืมตาอยู่ ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงตามเดิม ซินยื่นมือออกมาเหมือนอยากให้ผมจับ ผมก็เลยเอามาจับ แล้วซินก็บีบมือผมตอบเบาๆ “อาการเป็นยังไงบ้าง? รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมบ้างมั้ย?”
“ฮือ” ซินครางตอบในลำคอเบาๆ ดูเหมือนการหายใจจะยังลำบากอยู่บ้างเล็กน้อย นอกจากอวัยวะภายในที่ได้รับความบอบช้ำอย่างหนักแล้ว กระดูกซี่โครงของซินยังหักถึงสามซี่ แต่หมอบอกว่าโชคดีมากที่มันไม่ไปทิ่มเอาปอดทะลุเข้า ไม่งั้นคงจะสาหัสกว่านี้
ผมประคองมือของซินขึ้นมาจุมพิตเบาๆ ก่อนจะเอามาแนบกับแก้มของตัวเอง หลับตาลง และเอ่ยขอบางสิ่งบางอย่างซึ่งจะนำไปสู่การปลดปล่อยผมออกจากคำโกหกมากมายที่มัดผมติดเอาไว้กับความรู้สึกผิด
“ซิน.. ช่วยรับฟังกูหน่อยได้มั้ย?”
คืนนั้นผมเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เก็บไว้ในใจมาตลอดเจ็ดปีให้ซินฟังทั้งหมด มันไม่ต่างอะไรกับการสารภาพบาป ..บาปที่เกิดจากน้ำมือของผม แต่พระเจ้ากลับตีตราลงไปที่ซินราวกับอยากกลั่นแกล้ง อยากสั่งสอนให้ผมรู้จักกับความเจ็บปวด ความอัดอั้นตันใจของผมทะลักทลายไหลออกมาเป็นคำพูด คำขอโทษ ผสมคลุกเคล้าเข้ากับหยดน้ำตาที่กลิ้งลงมาเป็นสาย ผมจำไม่ได้แล้วว่าร้องไห้ไปกี่รอบตั้งแต่เกิดเรื่อง มันคงเป็นเพราะอารมณ์ของผมยังไม่เสถียรดี ผมเลยค่อนข้างจะอ่อนไหวง่าย ต่อมน้ำตาก็เลยต้องทำงานหนักหน่อยในช่วงนี้
ซินยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ราวกับจะปลอบ ซินคงอยากจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ซันนี่.. ไม่เป็นไร’
จบเรื่องของเรา.. ผมก็เล่าเรื่องของฟ้าประทานให้ซินฟังด้วย เล่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน...จนถึงปัจจุบันที่เป็นอยู่ เห็นซินหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นพักๆ คงจะโกรธแทนผมในช่วงแรกๆ และบางช่วงที่ฟ้าทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่บางช่วงซินก็ยิ้มขำกับความประหลาดปนหน้ามึนไม่ซ้ำแบบใครของฟ้าที่ผมเอามาเล่าให้ฟัง ..คิดแล้วก็ใจหาย ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกไม่นานผมกับฟ้าก็ต้องแยกย้ายกัน แม้มันจะเป็นการจากลาเพียงชั่วคราว แต่ก็ทำเอาอดรู้สึกโหวงในอกไม่ได้จริงๆ..
ซินเองก็คงคิดเช่นนั้น ถึงได้บีบมือผมราวกับต้องการให้กำลังใจ เป็นอีกครั้งที่ซินคงอยากจะพูดว่า ‘ไม่เป็นไร ซันนี่.. ไม่เป็นไร’ …
เวลานั้นได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ.. ซินใช้เวลานอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลราวสามสัปดาห์เศษ ก่อนที่หมอจะอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่คอนโดได้ แต่ดูเหมือนพระราชฐานอันแสนโอ่อ่าของฝาแฝดจะคับแคบเกินไปสำหรับการรองรับสมาชิกทั้งหมดในครอบครัวเฮย์เดน ที่จู่ๆ ก็เกิดอยากจะอยู่กันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
สุดท้ายเพื่อความสะดวกสบายและโล่งกว้าง พวกเราทั้งหมด พ่อ แม่ และลูกอีกสามคน ก็เลยพากันยกโขยงไปอยู่บ้านคุณหญิงย่าชั่วคราว(บ้านที่พวกเราเคยอยู่ด้วยกันเมื่อก่อนขายทิ้งไปนานแล้ว) คฤหาสน์เฮย์เดนที่เงียบเหงามานานก็เลยดูมีชีวิตชีวา(จนถึงขั้นวุ่นวาย)ขึ้นมาอีกครั้ง
ถึงผมกับซินจะดูสถุลๆ แบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเราก็พอจะมีเชื้อสายผู้ดีอยู่กับเขาบ้างเหมือนกันนะ ฮ่ะๆๆ คุณปู่ของผมท่านเคยเป็นทูตแคนาดาที่มาประจำที่ประเทศไทยน่ะ หลังจากเสียภรรยาคนแรก(ชาวแคนาดา)ไปเพราะอุบัติเหตุ ท่านก็ได้มาพบรักและแต่งงานอีกครั้งกับคุณย่า(ซึ่งเป็นชาวไทย)ของผมที่นี่ มีลูกด้วยกันสามคน นอกจากป๊ะป๋ากับอาเซซีล ก็มีคุณลุงซึ่งเป็นลูกชายคนโตของตระกูลอีกคน แต่ตอนนี้ทั้งคุณปู่และคุณลุงของผมไม่อยู่แล้วล่ะ พวกท่านเสียไปนานหลายปีแล้ว ที่บ้านหลังนี้ก็เลยเหลือแค่คุณย่า ป้าพรรณี(ภรรยาของคุณลุง) และพี่แบลล์(ลูกสาวคนเดียวของคุณลุงและเป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูลด้วย) แค่สามคนเท่านั้น(ไม่นับคนทำงานในบ้าน) แต่เห็นว่าอีกไม่นานพี่แบลล์ก็จะแต่งงานกับคู่หมั้นแล้ว เดี๋ยวก็คงจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากกว่านี้แหล่ะ
แต่อันที่จริงแล้วผมไม่ค่อยอยากมาที่นี่นักหรอกหากไม่จำเป็น ผมไม่ค่อยถูกจริตกับท่าทางเชิดๆ และคอแข็งๆ ของคุณย่าเท่าไหร่น่ะ เห็นแล้วเมื่อย.. แถมเวลาที่ถูกตาสีดำขลับของคุณย่าจับจ้องมามันก็ทำให้ผมหายใจหายคอไม่ค่อยทั่วท้องด้วย รู้สึกเหมือนถูกกดดันแปลกๆ ยากแก่การอธิบาย ..อยู่บ้านนี้จะเดินจะนั่งผมนี่หวาดระแวงแทบจะทุกฝีก้าวเหอะ ยังจำฝังใจว่าตอนเด็กๆ เคยถูกคุณย่าเอาไม้เรียวมาฟาดตาตุ่มเพราะวิ่งขึ้นบันไดด้วย หึยยย..
ผ่านไปอีกสัปดาห์กว่า.. อาการของซินก็ดีวันดีคืนจนตอนนี้สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้คล่องแล้ว แต่ยังออกแรงมากไม่ได้เพราะร่างกายยังไม่เข้าที่เข้าทางดี ดูเหมือนนั่นจะทำให้ไอ้ตัวดีรู้สึกขัดอกขัดใจอยู่ไม่น้อยที่ยังไม่สามารถปล่อยพลังบ้าได้ ยังดีหน่อยที่มีเพื่อนฝูงและคนรู้จักมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาเยี่ยมมาเล่นด้วยไม่ขาดสาย ซินเลยไม่ค่อยมีเวลาให้รู้สึกเบื่อมากนัก
ไท่หลันเองก็เคยมาหาครั้งนึงตั้งแต่ซินย้ายออกมาพักที่นี่ ..แน่นอนว่าผมก็หลบออกไปอยู่ที่อื่นอีกตามเคย
อีกเรื่องหงุดหงิดใจที่เห็นซินมักจะบ่นอยู่บ่อยๆ ก็คือ..เมื่อไหร่ผมจะยาว? ทรงต่อไปที่ซินเล็งเอาไว้รู้สึกจะเป็นเดทร็อคแบบเปีย ซินว่าคราวนี้จะได้ไม่มีใครมาเรียกว่า ‘ไอ้หัวหลอด’ ได้อีก.. แต่ผมคิดว่าไม่ทำเดทร็อคอีกเลยน่าจะเวิร์คกว่านะ
ฟ้ามีกำหนดกลับอิตาลีก่อนคริสต์มาสเพียงแค่ไม่กี่วัน ..จนกว่าจะถึงตอนนั้นเราจึงพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุด ฟ้าบอกผมว่าตอนแรกเขาจะขออยู่ไปจนถึงเดือนกุมภาฯด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้รับอนุญาต ..เขาบอกอยากจะอยู่ฉลองวันเกิดกับผม(ผมเพิ่งรู้ว่าฟ้าเกิดวันที่ 29 กุมภาฯ ปีถัดมาจากปีที่ผมเกิด เขาเป็นน้องผมตั้งหลายเดือนแน่ะ พอผมแกล้งแหย่ว่า ‘ไอ้เด็กน้อย’ เขาดันสวนกลับว่า ‘ไอ้แก่’ หน้าตาเฉยเลย น่าโบกจริงๆ ให้ดิ้นตาย..) ตั้งแต่เกิดมาฟ้าเคยฉลองวันเกิดแค่ครั้งเดียวตอนอายุสี่ขวบ หลังจากนั้นก็มักจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในช่วงวันเกิดของเขาเสมอ ทั้งที่สี่ปีจะมีสักครั้งแท้ๆ
ฟ้าบอกผมอีกว่าเขาอยากเกินเค้กช็อคโกแล็ตเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เขามีงานวันเกิด อยากให้ผมเป็นคนป้อนเค้กให้เขาเหมือนที่คุณขลุ่ยเคยทำด้วย(นี่เขาเห็นผมเป็นแม่หรือเป็น..เอ่อ..แฟนกันแน่นะ?)
ก่อนฟ้าจะเดินทางหนึ่งวันผมได้จัดงานเซอร์ไพรส์วันเกิดล่วงหน้า(หลายเดือน)ให้แก่เขา เราทุกคน(หมายถึงผมกับพวกเพื่อนของผมและเพื่อนของฟ้า)แอบนัดมารวมตัวกันที่ห้องพักฟื้นของมานะก่อนเวลาที่ฟ้ามักจะมาประจำเล็กน้อย(จนถึงตอนนี้มานะก็ยังไม่ฟื้น แต่อาการของเขาค่อนข้างทรงตัวและไม่ท่าทีว่าจะทรุดลง หมอเคอิจึงย้ายเขามาพักที่ห้องพิเศษแทนไอซียู) พอฟ้าเข้ามาเราก็จุดเทียนและร้องเพลงอวยพรให้
ดูเหมือนฟ้าจะตกใจอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีดำล้ำลึกฉายแววตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผมเป็นคนถือเค้กช็อคโกแล็ตอย่างที่เขาอยากกินไปให้ตามคำยุยงส่งเสริมของคนอื่นๆ แต่แทนที่เขาจะเป่าเทียนบนเค้กเขาดันคว้าผมไปจูบโชว์ต่อหน้าทุกคนเฉยเลย ผมที่ทั้งตกใจทั้งอับอายก็เลยเผลอยัดเค้กใส่ท้องของเขาไปทั้งก้อน ...เละอย่างไม่ต้องสงสัยเลยงานนี้
ท่ามกลางเสียงโห่ฮาหัวเราะชอบใจของบรรดาเพื่อนฝูงและสายตาเขียวปั้ดเอาเรื่องของผม ฟ้ายังมีหน้าเอานิ้วป้ายเค้กที่เสื้อไปดูดกินหน้าตาเฉย
โชคดีที่เหมยลี่ไม่ว่างมางานนี้ด้วย ไม่งั้นผมคงจะรู้สึกเสียหน้ามากกว่านี้แน่(ก็แฟนเก่านี่นะ แล้วดูหน้าแฟนใหม่ของผมสิ หึยย) แค่ยัยชิฮัวคนเดียวก็ล้อจนผมไม่กล้าสบตาใครแล้ว
หลังจากจบงานฉลองเล็กๆ ที่นั่น.. ผมก็ตามฟ้ากลับมาค้างที่คอนโดของเขา เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน นอนคุยกันจนถึงเช้า.. ฟ้าเล่าหลายเรื่องที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตของเขาให้ผมฟัง ทั้งเรื่องของแม่ เรื่องของน้า เรื่องที่ว่าเขาเก็บไอ้หน้าหวานจี้ได้ที่หน้าบ้านเก่าของตัวเองด้วย(แต่ไม่ได้เล่าหรอกว่าหมอนั่นไปไงมาไงถึงไปโผล่ที่บ้านฟ้าได้) เขาเล่าเรื่องของพ่อใจดีที่ไม่เคยรู้ว่าคิดอะไรอยู่ เล่าเรื่องของพี่(โคเนโร)ขี้แกล้งที่ก็ไม่เคยรู้ว่าคิดอะไรอยู่เช่นกัน..
ผมรู้แล้วว่ามือซ้ายของฟ้าเป็นอะไรถึงต้องใช้ผ้าพันแผล ฟ้าเล่าว่าหลังจากผมและซินตาม มาริโอ คาวัวร์ ออกจากโรงพยาบาลในวันนั้น เขาก็ได้ส่งบอดีการ์ดสองคนที่คอยเฝ้าอยู่หน้าห้องตามพวกผมออกมาด้วย ..จังหวะนั้นเองที่ศัตรูได้อาศัยช่วงที่ไม่มีคนคุ้มกันบุกเข้าไปหมายจะเก็บงานของตัวเองให้เรียบร้อย ฟ้าว่ามันมาแค่คนเดียว คงจะเป็นพวกนักฆ่ารับจ้าง ตอนนั้นเขากำลังนอนอยู่ และเมรันดรีก็ออกไปติดต่อธุระที่เคาน์เตอร์ด้านนอกพอดี ที่เห็นมือเจ็บนี่ก็เกิดจากการต่อสู้ขัดขืนกันนั่นแหล่ะ ..ฟ้าบอกคิดว่าจะแย่ซะแล้ว ถ้าจู่ๆ โคเนโรไม่โผล่เข้ามาพร้อมกับปืนเก็บเสียง ป่านนี้ก็คงจะเป็นฟ้าเองนั่นแหล่ะที่โดนเก็บ
เรื่องเล่านั้นทำเอาผมยังสยองไม่หาย ไม่อยากจะเชื่อว่าโคเนโรจะลงมือฆ่าคนได้ด้วย ..คนนะเว้ย ไม่ใช่แค่ยุงสักตัวที่จะตบเลือดสาดได้โดยไม่คิดอะไร ..พอผมรำพึงออกไป ฟ้าก็เลยเสริมอีกว่าโคเนโรน่ะเหนี่ยวไกได้ทั้งที่หน้ายังยิ้มอยู่ด้วยซ้ำ ..หึยยย ทำไมถึงได้เป็นคนที่น่ากลัวขนาดนั้นนะ? ท่าทางก็ดูเป็นมิตรดีแท้ๆ
ผมเลยอดถามต่อไม่ได้ว่าฟ้าเองล่ะเคยฆ่าใครหรือเปล่า? แอบกลัวคำตอบนิดๆ เหมือนกัน แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้มๆ แล้วเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นซะงั้น
พูดถึง มาริโอ คาวัวร์.. หมอนั่นช่างเป็นคนที่ร้ายกาจและทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายจริงๆ ..เพียงแค่ต้องการจะพาฟ้ากลับไป เขาถึงกับวางแผนฆ่าผมทิ้ง!
ใช่! มันเป็นแผนทั้งหมด ตั้งแต่หลอกล่อผมออกจากโรงพยาบาล พูดจาหว่านล้อม สุดท้ายพอไม่สำเร็จก็ไล่ต้อนผมเข้าสู่แผนฆาตกรรมอำพราง!
มาริโอเตรียมการเอาไว้แล้วทั้งหมด เขาแกล้งให้ลูกน้องบอกจะไปส่งผม แต่ให้ทำท่าทางเหมือนอยากจะพาไปเชือด ให้พวกผมหวาดระแวงจนต้องขัดขืนและลุกลามกลายเป็นเรื่องวิวาท แล้วพวกนั้นค่อยไล่ต้อนจนผมต้องเข้าไปชิงรถพวกมันเพื่อขับหนี ..ทุกอย่างถูกคำนวณเอาไว้แล้ว มันเป็นฉากที่ถูกเซ็ตมาอย่างดี รถถูกทำให้มีปัญหาเรื่องเบรกตั้งแต่แรก เพราะงั้นพวกมันก็เลยปล่อยให้ผมแย่งไปได้ง่ายๆ จากนั้นค่อยขับรถไล่ตามเพื่อให้ผมต้องเร่งความเร็วสูงสุด พอถึงจุดนัดพบก็...ปัง! ..จะผิดแผนไปบ้างก็ตรงที่ผมรอดมาได้นี่ล่ะ
ถ้าไม่ได้รู้จากปากฟ้าผมก็อาจจะโง่งมคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุต่อไป(ใช่.. ก่อนหน้านี้ผมนึกว่าเรื่องเบรกกับเรื่องรถบรรทุกที่โผล่เข้ามาในรัศมีการชนนั่นเป็นเรื่องไม่คาดฝันซะอีก ที่ไหนได้...)
ฟ้าบอกว่ามาริโอถูกเรียกตัวกลับเนเปิลส์ด่วนหลังจากเกิดเหตุ เห็นว่าถูกเรียกกลับไปเพื่อสอบสวนกรณีที่เกิดกับพวกผมนี่ล่ะ ดูเหมือนหมอนั่นจะทำผิดข้อตกลงบางอย่างที่พ่อของฟ้าเคยขอ(สั่ง)เอาไว้ แน่นอนว่าเขาจะต้องปฏิเสธการมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องครั้งนี้แน่(แหงล่ะ ก็เขาอุตส่าห์ตั้งใจทำให้มันเหมือนอุบัติเหตุซะขนาดนั้นนี่) ถ้าไม่มีหลักฐานแน่นหนามามัดตัว เขาจะต้องดิ้นจนหลุดอย่างไม่ต้องสงสัย ..เหมือนครั้งของคุณขลุ่ย..
แต่ฟ้าบอกว่างานนี้เจ้ามาริโอนั่นคงจะรอดยากหน่อยแหล่ะ เพราะคนของโคเนโรเฝ้าติดตามพฤติกรรมของหมอนั่นมาพักใหญ่แล้ว และที่โคเนโรทำแบบนั้นก็เป็นเพราะถูกคนเป็นพ่อขอร้องมาอีกที นั่นจึงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขามาปรากฏตัวที่นี่ ..ส่วนสาเหตุอื่นๆ ฟ้าบอกว่ายังนึกไม่ออก แต่คิดว่าต้องมีแน่ๆ เพราะคนอย่างโคเนโรไม่เคยทำอะไรเพื่อใครโดยไม่มีเป้าหมายเป็นของตัวเอง
แต่ก็นั่นล่ะ.. ไม่มีใครเคยรู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
นอกจากนี้ฟ้ายังเล่าเรื่องของ ‘ริเน่’ นางฟ้าของ ‘ฟาฟา’ ให้ผมฟังด้วย.. ‘ริเน่’ เป็นน้องสาวคนเล็กของพวกเขา เป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไปอยู่มาก ทั้งที่ปีนี้เธอจะมีอายุครบ 16 ปีแล้ว แต่พัฒนาการทางด้านสมองยังเท่ากับเด็กอายุ 5-6 ขวบเท่านั้น ..แต่ริเน่มีความสามารถทางด้านดนตรีค่อนข้างสูง เธอสามารถอ่านและจดจำโน้ตได้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เริ่มเรียนดนตรีเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ ริเน่ชอบเล่นเปียโนที่สุด เธอชอบเล่นเพลงแคนอน(Canon in C)ซ้ำไปซ้ำมา เล่นได้เป็นวัน ..แต่ถ้าอยู่กับฟาฟา ริเน่จะเล่นแต่เพลงที่ฟาฟาชอบ
ริเน่ชอบฟาฟามาก.. ที่เรียกว่า ‘ฟาฟา’ นั้นเป็นเพราะว่าเธอไม่สามารถออกเสียงว่า ‘ฟ้า’ อย่างในภาษาไทยได้ เธอพูดได้แค่ ‘ฟา’ แล้วก็เลยเติม ‘ฟา’ เข้าไปอีกตัวจนติดปาก(โคเนโรก็พลอยเรียกตามไปด้วย) ..ดูเหมือนว่าฟ้าจะเอ็นดูน้องสาวคนนี้อยู่มากทีเดียว ผมสังเกตได้จากแววตาเวลาที่เขาพูดถึงเธอ
ฟ้าบอกว่า..ในบ้านหลังใหญ่ที่พ่อเอาแต่ทำงาน แม่เลี้ยงทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน พี่ชายขี้แกล้ง ญาติบางส่วนก็จ้องแต่จะเขี่ยเขาออกไปให้พ้น ...มีแค่ริเน่คนเดียวเท่านั้นที่ใจดีกับเขา..
สุดท้ายฟ้าก็เล่ามาถึงเรื่องของผม.. มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่คาดคิดว่าฟ้าจะจดจำเกี่ยวกับตัวผมได้ ..แต่เขาก็ทำได้ แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวผมเองยังไม่ใส่ใจจำ ฟ้าก็ยังจดจำได้หมด ..ไม่มีอะไรรอดพ้นสายตาของเขาไปได้เลย
ฟ้าทำให้ผมตื้นตันกับความรู้สึกมากมายที่เขามอบให้ จนอดคิดไม่ได้ว่านอกจากซินแล้ว ก็คงมีแค่เขานี่แหล่ะที่ทุ่มเทเพื่อผมได้ขนาดนี้ ..มีบางช่วงบางตอนที่ฟ้าทำผมหลุดยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ อย่างเช่น.. ตอนที่เขาบอกถึงสาเหตุที่ชอบใส่แว่นตากันแดดเวลาอยู่ต่อหน้าผม(แต่พักหลังๆ นี้ไม่ค่อยทำแล้ว) เขาบอกเวลาที่เขามองผมแล้วมักจะรู้สึกแสบตา มันเหมือนกับว่าผมสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง(แบบเดียวกับดวงอาทิตย์) เขาบอกไม่ค่อยชินกับความสว่างในระดับนี้ แต่ยิ่งมองก็ยิ่งติดใจ ยิ่งละสายตาไม่ได้ ก็เลยต้องควักแว่นออกมาใส่เพื่อความปลอดภัยของสายตาแทน ...ผมว่าเขาเพ้อเจ้อได้อีกนะ ฮ่ะๆๆ
ก่อนจากกันวันนั้น.. ผมได้เอาแหวนที่มันแอบติดตัวผมไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มาสำรวจห้องนี้คืนให้ฟ้าด้วย แต่ฟ้ากลับไม่รับคืน เขาบอกว่าแหวนวงนี้เป็นของที่คุณขลุ่ยรักมาก เลยเปรียบเสมือนเป็นของสำคัญมากสำหรับเขาไปด้วย เขาบอกว่ารู้มานานแล้วว่าแหวนอยู่กับผม แต่ที่ไม่ทักท้วงก็เพราะคิดว่ามันคงไม่เป็นไรหากจะให้ผมเก็บไว้ ฟ้าบอกว่าเขาจะฝากผมเอาไว้ก่อน ให้เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาจะต้องกลับมาเอามันคืนแน่นอน ..ในตอนที่เขากลับมาหาผมอีกครั้ง
มานะยังคงเป็นเจ้าชายนิทราต่อไป เขาถูกพาไปอิตาลีพร้อมกับฟ้า เมรันดรี และคุณหมอเคอิด้วย ..ผมเพิ่งได้รู้ว่าจริงๆ แล้วหมอเคอิเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ของแบร์ลุสโคนี ที่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพราะถูกพ่อของฟ้าส่งมาเหมือนกับมานะและเมรันดรีนั่นล่ะ
ผมเริ่มต้นนับถอยหลังรอวันที่เราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง...
คริสต์มาสปีนี้ช่างเป็นคริสต์มาสที่ยิ่งใหญ่และน่าจดจำที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมฉลองมา มันเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ครอบครัวเครือญาติของพวกเราได้มาร่วมฉลองกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ ทั้งครอบครัวของผม ครอบครัวของแบรี่ และครอบครัวของพี่แบลล์ เราช่วยกันจัดปาร์ตี้วันคริสต์มาสพ่วงด้วยปาร์ตี้ฉลองที่ซินหายดีที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ทั้งร้องเพลง เล่นเกม ดื่มกินกันอย่างสนุกสนานเต็มที่ ทุกคนมีแต่เสียงหัวเราะและร้อยยิ้มให้แก่กัน แม้แต่คุณหญิงย่าก็ยังยอมสลัดมาดนิ่งนางพญาทิ้งหนึ่งวัน แล้วหันมาหัวเราะเสียงดังแบบไม่มีกั๊กกับพวกแม่และอาเซซ ..เป็นอีกหนึ่งคืนในชีวิตที่ผมคงจะจดจำไปได้อีกนานเลยล่ะ
แต่ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา.. หลังผ่านพ้นเทศกาลคริสต์มาสเราทุกคนต่างก็ต้องแยกย้ายไปตามวิถีทางของตัวเอง ป๊ะป๋ากลับไปทำงานของตัวเองต่อ แม่ก็กลับอังกฤษไปพร้อมกับซอลลี่ ส่วนฝาแฝดก็ย้ายกลับมาอยู่คอนโดตามเดิม
ครอบครัวขนาดใหญ่สลายหายไปทิ้งไว้เพียงความทรงจำ..
ฤดูกาลหมุนเปลี่ยนไปตามวันเวลา ..จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ช้า.. ขึ้นอยู่กับว่าเราจดจ่อกับการรอคอยมากแค่ไหน
ช่วงแรกๆ ที่แยกกันไป ผมกับฟ้าติดต่อกันบ่อยมาก เราติดต่อกันทุกช่องทางเท่าที่จะสามารถทำได้ แต่พอเวลาผ่านไป..ช่องว่างแห่งความห่างไกลก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น.. มากขึ้น.. มากขึ้น.. จนสุดท้ายความมีตัวตนของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา..
ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เพราะระยะตัวอยู่ไกล ระยะใจก็เลยไม่เท่าเดิม ..แต่ก็ยังพยายามจะมองโลกในแง่ดี บางทีฟ้าอาจจะยุ่ง เขาคงไม่ค่อยมีเวลา มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้เขาไปจัดการ ถ้าสะสางปัญหาเรียบร้อยแล้วฟ้าก็คงจะติดต่อกลับมาเอง...สักวันหนึ่ง
แต่ก็เปล่า..
เขาหายไปเลย..
หายไปพร้อมกับคำสัญญาที่ว่าจะกลับมาภายในหนึ่งปี
มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงท้ายๆ ของชีวิตนักศึกษาของผม.. เดี๋ยวนี้ผมมักจะแวะไปหาคุณพิณทุกวันพฤหัสฯที่ 2 และ 4 ของทุกเดือน เพื่อระบายสิ่งต่างๆ และบอกเล่าเรื่องราวร้อยแปดที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ..ใช่ อย่างที่คุณคิดนั่นล่ะ ตอนนี้คุณพิณกลายเป็นจิตแพทย์ที่ปรึกษาของผมไปแล้ว
อันที่จริงแล้วผมไม่ได้เจอกับคุณพิณอีกเลยตั้งแต่จบเรื่องของฟ้าคราวนั้น เพิ่งเมื่อครึ่งปีก่อนนี่เองที่ผมบังเอิญไปเจอเขานั่งอ่านหนังสืออยู่ในคอฟฟี่ช็อปใกล้กับมหาลัย ผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปทัก แล้วเราก็เลยได้คุยกัน คุณพิณสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในตัวผม เขาบอกว่าผมอาจจะแย่ถ้ายังเก็บความเครียดสะสมเอาไว้ในใจแบบนี้ เขาแนะนำให้ผมลองแวะไปที่คลินิกสักครั้งหากมีเวลาว่าง ..ตอนแรกผมก็ลังเลอยู่หลายวัน แต่ความรู้สึกที่ว่าอ่อนล้าเต็มทนกับการมีชีวิตอยู่ก็ทำให้ผมตัดสินใจได้ ..และการไปที่นั่นก็ช่วยผมได้จริงๆ
ผมได้รู้จากคุณพิณว่าฟ้ายังอยู่สบายดี แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือ ..ทำไมเขาไม่กลับมา?
ชิฮัวท้อง.. นั่นยังไม่น่าช็อคเท่ากับคนที่รับเป็นพ่อคือเมย์บี ..ถึงพักหลังๆ สองคนนี้จะทำตัวติดกันประหนึ่งฝาแฝดก็เหอะ แต่มันก็มีโอกาสเป็นไปได้น้อยกว่าหนึ่งส่วนล้านเสียอีกที่คนอย่างเมย์จะทำชิฮัวท้องได้ ..ที่มั่นใจแบบนั้นเพราะผมรู้ดีว่าเมย์บีคือสิ่งมีชีวิตชนิดที่เรียกว่า ‘กะเทย’ ไงล่ะ เมย์บีไม่เหมือนผมหรือว่าเกย์คนอื่นๆ มันไม่ใช่แค่ชอบผู้ชายด้วยกัน แต่มันมีจิตใจที่ฝักใฝ่อยากจะเป็นผู้หญิงด้วย
แต่ที่เราไม่เคยเห็นมันพยายามจะทำตัวให้เหมือนผู้หญิงเลยก็เพราะว่ามันรักเตี่ยของมันมาก มากจนยอมกดเก็บความต้องการลึกๆ ในจิตใจของตัวเองแล้วพยายามจะเป็นในสิ่งที่เตี่ยมันภูมิใจ ผมรู้มาว่าบ้านมันมีแค่มันสองคนกับเตี่ย ส่วนแม่มันหอบผ้าหนีตามชายชู้ไปตั้งแต่มันยังเป็นเด็กแดงแล้ว เตี่ยเป็นคนเลี้ยงมันมาตามลำพัง มันก็เลยทั้งรักทั้งผูกพันจนไม่สามารถทำร้ายจิตใจของเขาได้ลง เมย์เคยบอกผมว่าไม่อยากทำให้เตี่ยเสียใจเหมือนที่แม่มันเคยทำ
แต่พวกเราต่างก็รู้ดีว่าจริงๆ แล้วเมย์บีเป็นยังไง เพราะงั้นไม่มีทางเป็นไปได้แน่ที่มันจะเผลอมีอะไรกับชิฮัวซึ่งมันเชื่ออยู่เสมอว่าเป็นเพศเดียวกันกับมัน แถมผมยังบังเอิญไปได้ยินมาอีกว่าชิฮัวเพิ่งจะเลิกกับแฟนเก่าที่ขึ้นชื่อกระฉ่อนเรื่องฟันแล้วทิ้ง(ผมว่าเธอโชคร้ายนะ ที่มักจะได้เจอแต่กับผู้ชายประเภทนี้) บางทีหมอนั่นอาจจะเป็นพ่อที่แท้จริงของเด็กที่กำลังจะเกิดมาก็ได้(เห็นว่าตอนเลิกกันชิฮัวก็ไปเตะก้านคอเขาอีกแล้ว) แต่ไม่ว่าจะพยายามคาดคั้นยังไงเมย์บีก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
นั่นยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าสิ่งที่คิดต้องไม่ผิดแน่ๆ ผมถามมันไปว่า ‘คิดว่าทำแบบนี้มันดีแล้วเหรอ?’ เมย์ตอบผมว่า ‘ดีหรือเปล่ากูก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ากูได้เลือกแล้ว และที่สำคัญเตี่ยกูดีใจมากที่จะมีหลาน’ ..ดูเหมือนว่าพักหลังๆ เตี่ยเมย์จะเริ่มระแวงบ้างแล้วล่ะว่ามันอาจจะไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ เพราะงั้นพอได้ยินว่าจะมีหลานก็เลยดีใจมากสินะ
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลงเอยแบบนี้มันดีแล้วหรือเปล่า ..แต่ในเมื่อเจ้าตัวได้เลือกแล้ว เราก็คงต้องเคารพการตัดสินใจ
ส่วนซินกับสกาย.. สองคนนี้ระหองระแหงกันมาตลอดในระยะสองสามเดือนหลัง ..เรื่องมันเริ่มที่ว่าครอบครัวของสกายบังเอิญมารู้และรับไม่ได้กับความสัมพันธ์ของลูกชายกับอดีตเพื่อนสนิทที่ผันตัวมาเป็นคนรักอย่างซิน
ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้.. กายเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ป๊ากับม้าของมันก็คงจะหวังเอาไว้เยอะพอควร แล้วอยู่ดีๆ ต้องมารับรู้ว่าลูกชายคนเดียวไปคบกับผู้ชายด้วยกันก็คงจะทำใจยอมรับได้ยากเป็นธรรมดา ขณะที่ลูกของเพื่อนสนิท(เตี่ยของเมย์)ที่มีท่าทีว่าอาจจะเป็นตุ๊ดกลับกำลังจะมีหลานให้อุ้ม ..ผมว่าป๊ากับม้าของสกายคงจะเครียดหนักพอควรเลยล่ะ(..คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่กับป๊ะป๋า)
ตอนแรกทั้งคู่ก็ว่าจะสู้ จะเอาความรักมาพิชิตใจผู้ใหญ่ให้ยอมรับให้ได้ แต่ด้วยอะไรหลายๆ ที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงที่มักจะมีเข้ามาพัวพันกับชีวิตของซินอยู่เสมอ แถมพักหลังๆ ซินยังติดต่อกับไท่หลันบ่อยจนสกายเริ่มหวาดระแวง และเพราะซินไม่เคยคิดจะทำอะไรให้เคลียร์ ตัวสกายเองก็เป็นคนคิดมาก.. จากจุดร้าวเล็กๆ ในใจก็เลยค่อยๆ ขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้..
ทั้งคู่เลิกลากันในวันสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาพอดี
ถึงชีวิตจะทำร้ายเรายังไง เราก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป..
หลังจากเรียนจบ ผมกับซินตัดสินใจขายคอนโดและรถที่มีอยู่ แล้วย้ายไปลงหลักปักฐานกันที่ลอนดอนตามคำแนะนำของแม่และคุณพิณ..
ถึงเวลาปล่อยให้อดีต..ได้เป็นเพียงอดีตอย่างแท้จริงสักที..
...ลาก่อน ทุกความทรงจำ...TBC. 
^
^
^ ถ้าเปลี่ยนจาก TBC. เป็น END จะมีคนอยากกระทืบตรูไหมหนอ??

ทำไมล่ะ? ถ้าจบแบบนี้ก็ดูชีวิตจริงดีออก

ก็ชีวิตคือชีวิต! เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกปายยยย~

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังเป็น TBC. อยู่นะฮัฟ (อย่าเพิ่งข่วนหน้าหนูนะ แอร๊ยยย)
ปล. ทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว มาต้นเดือนตอน ปลายเดือนอีกตอนแล้วกันเนาะ
ปล2 ตอนนี้อัพเดทเนื้อหาทุกตอน(รวมตอนนี้ด้วย)เป็นเวอร์ชั่นเดียวกับในหนังสือเรียบร้อยแล้วนะฮัฟ ใครว่างจัดจะลองอ่านซ้ำดูอีกรอบก็ได้ ถ้าเจอคำผิดก็บอกด้วย ช่วยๆ กัน

(กร๊ากกกก เนียนอีกแล้วตรู)