อินเทิร์นจอมจุ้นฯ (Intern VS General Surgeon) ฟิล์มเต็ม #4 ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม (จบ) 13/10/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อินเทิร์นจอมจุ้นฯ (Intern VS General Surgeon) ฟิล์มเต็ม #4 ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม (จบ) 13/10/63  (อ่าน 47552 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตอน 39 จบบริบูรณ์


- หมอนิว -

หลังจากพี่กี้นอนโรง'บาลได้อาทิตย์กว่าๆ อาจารย์อาร์ก็ให้ออกจากโรง'บาลได้ คำถามคือ พี่กี้จะพักฟื้นที่หอพักแพทย์? หรือ ที่บ้าน? เพราะต้องพักงาน 2-3 เดือนเลยทีเดียว ถ้าเป็นคนอื่นคงตอบทันทีว่ากลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่พี่กี้บอกกับทุกคนว่าขออยู่ที่หอพักแพทย๋

แน่นอนว่าทุกคนไม่เห็นด้วย ห้องที่ไม่ใหญ่มาก ไม่มีคนดูแลตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระผมไปโดยปริยาย …นั่นคือคนอื่นคิด แต่สำหรับผมไม่มีปัญหาเลย อาจจะขลุกขลักบ้างในวันที่ผมมีเวร แต่ผมมั่นใจว่าผมจัดการได้ และผมก็ไม่อยากห่างจากพี่กี้ด้วย กลัวคนป่วยซึมเศร้า และก็แอบกลัวตัวเองซึมเศร้าด้วยเหมือนกัน ก็คนมันเคยอยู่ด้วยกันนะครับ ถ้าถูกจับแยกนี่ก็โหวงๆ อยู่นะ

"แม่ว่ากี้กลับไปอยู่บ้านเราดีกว่า ที่นี่ไม่มีคนดูแลตลอดนะ"

"กี้พอไหวน่าแม่ ยังไม่ถึงกับพิการ พอช่วยเหลือตัวเองได้อยู่"

"แม่กลัวน้องกังวล ไหนจะทำงาน ไหนจะต้องรีบกลับมาดูเราอีก"

"ไม่เป็นไรครับแม่ นิวไหว" ผมรีบบอก เดี๋ยวทุกคนจะเข้าใจแบบนั้นจริงๆ

"ดูแลคนป่วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะลูก ไหนจะหาข้าวหาน้ำ พาเข้าห้องน้ำอีก"

"นิวว่า ลองซักอาทิตย์นึงก่อนก็ได้นะครับ ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวนิวรีบบอกเลยครับ" ต้องต่อรองครับ

"เฮ้ออ แม่ต้องยอมใช่ไหมเนี่ย ดื้อกันทั้งสองคนเลย"

"เอาน่าแม่ เดี๋ยวกรีนแวะมาหาบ่อยๆ" กรีนเอ่ยสำทับขึ้น

สุดท้ายแม่ก็ยอมให้พี่กี้อยู่หอพักครับ จากนั้นก็เป็นหน้าที่ผมที่ต้องจัดการเวลา และจัดการคนป่วยที่บางวันก็ดื้อเหลือเกิน

"พี่กี้ ถึงเวลากินข้าวแล้ว เดี๋ยวนิวพยุงมาที่โต๊ะนะ"

ผมพูดกับคนป่วยที่ตอนนี้ติดซีรี่ส์ US หนักมาก และดูท่าทางแล้วไม่น่าจะได้ยินที่ผมพูด

"พี่กี้! ฟังนิวไหมเนี่ย?!"

"ฟังๆๆ ครับ"

"งั้นก็กด pause ไปก่อน มากินข้าวเร็ว" ผมมายืนอยู่ตรงหน้าคนป่วยแล้วครับตอนนี้ ส่วนคนป่วยนั้น

"แป๊ปๆ กำลังสนุกเลย"

"ไม่ได้! วันนี้นิวมีตรวจ opd ต้องรีบราวด์รีบไปตรวจ เข้าใจไหม?!" ผมเริ่มแหวใส่แล้วครับ ทำให้คนป่วยยิ้มแหยๆ แล้ววางไอแพด ยอมยืดตัวขึ้น แล้วหย่อนขาลงเตียง เพื่อให้ผมพยุงได้สบายๆ ผมก็เข้าไปพยุง แล้วค่อยๆ เดินกันมาที่โต๊ะอาหาร ผมจึงเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง คนป่วยก็นั่งลงอย่างว่าง่าย

จากนั้นผมก็ตักข้าวเตรียมจะป้อน แต่คนป่วยกลับเอ่ยขึ้น

"เดี๋ยวพี่กินเอง จะลองฝึกใช้มือซ้าย"

"ไหวเหรอพี่ ให้นิวป้อนนี่แหละ"

"ไม่เอา อยากลองช่วยตัวเองบ้าง"

สุดท้ายผมก็ต้องยอมครับ เอาถ้วยโจ๊กไปวางไว้ตรงหน้าคนป่วย มือซ้ายหยิบช้อนขึ้นมา ตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งคำ พยายามจะเอาเข้าปากตัวเอง แต่ก็ดูลำบากเหลือเกิน ผมทนมองภาพนั้นไม่ได้ จึงต้องไปแย่งช้อนในมือพี่กี้มาถือไว้ซะเอง

"มานี่ เดี๋ยวนิวป้อน …อย่าคิดมากน่า นิวไม่ได้รู้สึกว่าพี่เป็นภาระ เพราะงั้นนิวป้อนพี่เอง" ประโยคหลังๆ ผมพูดไปพร้อมกับจ้องตาพี่กี้นิ่งนาน สุดท้ายคนป่วยก็ต้องยอมอ้าปาก และกลืนโจ๊กลงไปในลำคอ

"ว่าง่ายแบบนี้ น่ารัก" ผมเอ่ยชมคนป่วยจากใจจริงเลยครับ

"จากหล่อๆ กลายเป็นคนน่ารักเลยเรา" พี่กี้บ่นไม่จริงจังอะไรนักครับ ทำเอาผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

"เปลี่ยนกันไหม"

"เปลี่ยนอะไร?"

"เปลี่ยนตำแหน่งกัน"

"ตำแหน่งอะไร"

"บางครั้ง…นิวก็…อยาก…รุกบ้าง"

"ไม่มีทาง"

"ฮ่าๆๆ" ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ครับ ดูพี่กี้จะกลัวจริงจังนะว่าตำแหน่งรุกจะถูกผมแย่งชิงไป  ฮ่าๆๆ

"หัวเราะชอบใจใหญ่เลยนะ"

"ก็มันอดไม่ได้นี่นา ฮ่าๆๆ"

"เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวพ่อก็จับปล้ำทั้งอย่างนี้เลย"

"ฮ่าๆๆๆๆ" เป็นอีกครั้งที่ผมขำออกมาหนักมากกก โถววว แค่เดินยังต้องพยุง จะมาจับเราปล้ำ ฝันรึเปล่าพ่อ เอ็นดูววว ฮ่าๆๆ

"ระวังตัวไว้เถอะไอ้ตัวดี"

"กลัวจังเลยคร๊าบบบ"

แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ดีจังเลยครับบรรยากาศแบบนี้ ทำให้คนป่วยไม่ป่วยใจตามไปด้วย ไม่นานผมก็ป้อนโจ๊กพี่กี้เสร็จ จากนั้นก็พยุงคนป่วยไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะกว่าผมจะกลับมาคงเที่ยงเลยครับ สงสารคนป่วยก็สงสารอยู่ แต่ทำไงได้ ต้องอดทนไปด้วยกันนะครับ ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากแบบนี้ เป็นช่วงเวลาทดสอบใจกันเลยล่ะ



.



พอเที่ยงผมก็รีบไปป้อนข้าวพี่กี้ครับ ส่วนอาหารนั้นผมเลือกผูกปิ่นโตร้านอาหารตามสั่งหน้าโรง'บาล เค้ามาส่งทุกเช้าเที่ยงเย็นที่ล่างหอพัก พอผมเดินไปถึงหอ อาหารก็ถูกวางไว้มุมประจำอยู่แล้ว เพราะงั้นเรื่องอาหารจึงตัดไปได้เลย ผมจัดการแล้ว เรื่องเสื้อผ้าก็ส่งซักรีดเป็นประจำอยู่แล้ว ของใช้ส่วนตัวก็ซื้อมากักตุนไว้เยอะอยู่ ถ้าหมดก็พึ่งพาร้านสะดวกซื้อไปก่อน เรื่องเงินก็ไม่มีปัญหาครับ เพราะแม่พี่กี้มาทีไรก็ชอบยัดเงินใส่มือผม ซึ่งผมก็ไม่อยากรับไว้หรอกครับ เพราะผมก็ไม่ได้เดือดร้อนมาก แต่พี่กี้บอกว่าให้รับไว้เถอะ แม่จะได้สบายใจ

ส่วนเรื่องเวลานั้นเป็นเรื่องที่จัดการยากที่สุดครับ แต่ก็พยายามจัดสรรอย่างดีที่สุด โชคดีที่พี่ๆ เพื่อนๆ เข้าใจผม จึงจัดเวรให้ผมเบาๆ ไม่ค่อยมีเวรดึกเท่าไหร่ หรือถ้ามี ก็จะขอแลกกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนก็ใจดีครับ ยอมแลกด้วยตลอด

"เย็นนี้ เราไปเดินเล่นที่สวนของโรง'บาลดีไหมพี่" ผมเอ่ยชวนพี่กี้ เพราะคนป่วยอยู่แต่ในห้องมาเป็นอาทิตย์แล้ว

"เอาสิ"

"งั้นนิวรีบดูเคส แล้วรีบกลับมานะ"

"…เหนื่อยไหม" อยู่ดีๆ พี่กี้ก็ถามผมขึ้นครับ

"ไม่เหนื่อย"

ผมตอบพี่กี้เสียงใส แต่ความจริงมันก็มีความเหนื่อยอยู่บ้างแหละครับ แต่เพื่อคนที่เรารัก ความเหนื่อยมันก็อันตรธานหายไปเอง ถูกเติมเต็มด้วยความสุขใจแทน

"ขอบใจมากนะครับ…ที่ดูแลพี่ดีมาตลอด"

พี่กี้ค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้น แล้วก็ยกขึ้นได้ นั่นทำให้ผมตื่นเต้นมาก เจ้าตัวก็ตื่นเต้นไม่ต่างจากผมเลย

"พี่ยกแขนได้แล้วหนิ!"

"อืม นี่ครั้งแรกเลยนะ!"

"เก่งมากกกก เพิ่งพักฟื้นไม่นานเองนะ"

นาทีนี้ผมดีใจกับพี่กี้มากๆ เหมือนเราได้เห็นพัฒนาการจากวันแรกจนมาถึงวันนี้ เห็นถึงความตั้งใจที่พี่กี้ทำกายภาพเองบ่อยๆ แม้ว่าจะนั่งดูซีรี่ส์ไป แต่แขนก็พยายามทำกายภาพตามที่นักกายภาพสอนอยู่ตลอดเวลา นั่นจึงทำให้พี่กี้ฟื้นตัวเร็ว ที่เหลือก็คงเป็นขา แน่นอนว่าต้องไปเดินที่สวนโรง'บาลบ่อยๆ เพราะเค้าทำราวไว้สำหรับฝึกเดินด้วย



ตกเย็นมา ผมก็พาพี่กี้ไปยังสวนโรง'บาลโดยอาศัยรถเข็น ระหว่างทางก็เจอคนรู้จักเต็มเลย ทุกคนล้วนบอกให้พี่กี้สู้ๆ เจ้าตัวก็ยิ้มรับทุกความห่วงใย และขอบอกขอบใจทุกคน วันนี้ผมรู้สึกดีนะ เพราะทุกข้อความที่บอกให้สู้นั้นไม่ได้ส่งถึงแค่พี่กี้ แต่คำเหล่านั้นมันส่งมายังผมด้วย ผมจึงรู้สึกมีพลังมากกว่าทุกวัน

ไม่นานเราก็มาถึงสวนครับ เป็นสวนที่ไม่ใหญ่มากครับ เอาไว้ให้ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่มาเดินทอดอารมณ์ เวลาทำงานเครียดๆ เพราะมีต้นไม้ดอกไม้เยอะพอสมควร ได้ยินเสียงน้ำตกจำลอง ช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป

ผมจอดรถเข็นไว้มุมหนึ่งใกล้กับราวที่ใช้ฝึกเดิน จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงพี่กี้ลุกขึ้น แล้วเดินมายังราว เมื่อมาถึง ผมก็ค่อยๆ ปล่อยตัวพี่กี้เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวจับราวทั้งสองมือแล้ว แต่ผมก็อยู่ข้างๆ ไม่ไปไหนนะครับ

"ลองดูก่อนนะพี่กี้ ถ้าไม่ไหวก็ค่อยหยุด …นิวอยู่ข้างๆ พี่ ไม่ไปไหนแน่นอน"

ผมสร้างความมั่นใจให้พี่กี้ เมื่อเห็นสายตาคนข้างๆ มีแววกล้าๆ กลัวๆ อยู่ในที แต่เมื่อได้ยินคำพูดผม พี่กี้ก็ก้าวเท้าขาข้างที่หักไปข้างหน้าช้าๆ ดูลำบากมากครับ ผมนี่สงสารจนจับใจ คนที่เคยเดินเหินได้สะดวก อยู่ดีๆ ต้องมานั่งรถเข็น แถมยังต้องมาฝึกเดินใหม่ มันเป็นอะไรที่สะเทือนใจมากครับ ผมที่เป็นคนดูแลก็ต้องสร้างกำลังใจ และส่งคำพูดที่เป็นพลังบวกให้อยู่เสมอ

"เก่งมากครับพี่กี้ อีกก้าวครับ เดี๋ยวก็ถึงปลายทางแล้ว"

"สุดยอดเลยพี่กี้ อีกนิดเดียวๆๆ"

"อ่าา ใกล้แล้วๆๆๆ"

"ว้าววว สุดยอดด แฟนใครเก่งจังเลยครับ!"

ผมกอดรับพี่กี้เมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงปลายทาง เจ้าตัวก็ยิ้มดีใจมีความสุข พลางกอดผมตอบด้วย มันเป็นโมเม้นท์เล็กๆ ที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกครับ แค่เห็นเขาพัฒนาขึ้น เราก็มีความสุขมากแล้วครับ

"พี่ทำได้ว่ะนิว" พี่กี้พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ใช่ พี่ทำได้อยู่แล้ว เก่งมากเลยครับ"

"เดี๋ยวพี่จะลองเดินกลับนะ นิวอยู่ข้างๆ พี่นะ"

"ครับผม ได้เลย" ผมตอบรับพี่กี้ พร้อมกับจับไหล่คนป่วยให้ค่อยๆ หมุนกลับ จากนั้นเจ้าตัวก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินกลับไปอีก ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังไม่สามารถเดินได้เองโดยไม่มีราวจับ

จากการที่ดูแลพี่กี้มาระยะหนึ่ง และจากการตรวจของอาจารย์อาร์ ผลออกมาว่าพี่กี้ฟื้นตัวเร็วมาก ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะผ่าตัดไม่ได้ ข้อมือก็สามารถบิดได้ครบทุกทิศทาง เป็นผลดีจากการทำกายภาพล้วนๆ นั่นยิ่งทำให้พี่กี้มีกำลังใจและขยันกายภาพกว่าเดิมอีก

เมื่อผมเห็นว่าวันนี้สมควรแก่เวลาแล้ว ก็ชวนคนป่วยกลับห้องครับ เจ้าตัวก็ไม่อิดออดอะไร พอมาถึงหน้าห้อง ผมกำลังจะเอากุญแจออกมาไขเข้าไป พี่กี้กลับบอกว่า

"แค่เคาะห้องก็พอ"

"มีคนอยู่ข้างในเหรอ" ผมถามขึ้นงงๆ เพราะไม่มีใครบอกก่อนนี่นาว่าวันนี้จะมีคนมาหาที่ห้อง

"ลองเปิดเข้าไปสิ"

ก็ยังงงกับคำพูดพี่กี้ สุดท้ายก็เลยเคาะหนึ่งที แล้วหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก…



"Surprissssssse!!!"



ภาพที่ผมเห็น คือ พี่แนน กรีน เต็ม ฟิล์ม ตะวัน คุณอิส อาจาร์ต๊ะ อาจารย์อาร์ พี่มินนี่ อยู่ในห้องพี่กี้ พูดคำว่า 'Surprise' ออกมาพร้อมกัน มีตัวแทนหนึ่งคนที่ถือเค๊กมา คือ พี่แนน บนเค๊กเขียนว่า



'สุขสันต์วันเกิด New คนเก่ง'



ใช่แล้วครับ วันนี้วันเกิดผม! ผมแทบจะลืมไปแล้วด้วย เพราะวันทั้งวันวุ่นวายมาก เพิ่งมีเวลาหายใจหายคอก็ตอนเข็นพี่กี้ออกไปเดินเล่นที่สวนนี่แหละครับ นาทีนี้ตื่นเต้นจังเลย มีทั้งเพื่อนๆ และพี่ๆ มาเซอร์ไพรส์ถึงห้อง ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนทำแบบนี้ให้ เขินอยู่นะครับเนี่ย

พี่แนนเดินเอาเค๊กไปให้พี่กี้ถือ คนบนรถเข็นก็รับไว้พร้อมรอยยิ้มกว้าง



"แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู๊ยู…แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู๊ยู…แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู๊ยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู๊ยู"



"เป่าเลยๆๆ" เสียงเชียร์จากทุกคนให้ผมเป่าเทียนบนเค๊กในมือพี่กี้



ผมจะทำไงได้ละครับ เดินไปหาพี่กี้อย่างเขินๆ แล้วก็นั่งลงเป่าเทียนที่อยู่บนตักพี่กี้ผู้ซึ่งนั่งในรถเข็น ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ข้างหู

"ชอบไหมครับ"

ผมไม่ตอบ แต่ยกตัวขึ้นหอมแก้มพี่กี้ต่อหน้าทุกคน ทำเอามีเสียงวี๊ดว้ายตามมาพอสมควร คนถูกหอมก็ดึงผมไปหอมคืนด้วยนะ อู๊ยยยย เขินจนตัวบิดได้แล้วครับ >____<

อยู่ดีๆ พี่แนนก็เดินมาดึงเค๊กไปจากมือพี่กี้ แล้วไฟในห้องก็ติดขึ้น ผมมองเห็นว่าพี่กี้กำลังล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

สิ่งที่พี่กี้ดึงออกมา คือ กล่องเล็กๆ พอเปิดออก สิ่งที่อยู่ภายใน คือ



'แหวนหยก 2 วง'



เป็นแหวนหยกที่มีลวดลายสวยงามเป็นธรรมชาติ ปรากฎทั้งสีเขียวอ่อน เขียวแก่ และสีขาว ผสมกันในหนึ่งวง …นาทีนี้ผมยิ้มไม่หุบเลยครับ หัวใจก็เต้นจนจะเด้งออกมาจากอกอยู่แล้ว ตื่นเต้นนะเนี่ยยยย โอ้ยๆๆๆๆ จะเป็นลม

พี่กี้ดึงมือผมข้างซ้ายไปจับไว้



"เราก็คบกันมาได้ซักพักแล้วเนอะ อาจเป็นเวลาที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่นิวก็ทำอะไรเพื่อพี่หลายอย่าง พี่ซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดออกมายังไงให้หมด วันนี้ พี่คิดว่าพี่มั่นใจพอสมควร…พี่อยากขอให้นิวมาเป็นครึ่งหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของพี่…มาเป็นหุ้นส่วนในชีวิตของพี่นะครับ"



"ครับ ตกลง"



พี่กี้ขอผมแต่งงานใช่ม้ายยยยย แต่ลึกซึ้งกว่าคำว่า 'แต่งงาน' ก็คือ 'หุ้นส่วนในชีวิต' อร๊ากกกกก กรีดร้องอยู่ภายในใจ~~

ทันทีที่ผมตอบตกลง ทุกคนก็เฮขึ้นพร้อมกัน และพี่กี้ก็สวมแหวนหยกที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ผม อีกหนึ่งวงที่เหลือ พี่กี้ก็ให้ผมสวมให้เจ้าตัวที่นิ้วนางข้างซ้ายเหมือนกัน

เมื่อใส่แหวนเสร็จ พี่กี้ก็ดึงผมเข้าไปกอด เรากอดกันแนบแน่นจนแทบจะลืมว่ารอบข้างยังมีเพื่อนๆ พี่ๆ อยู่ จนพี่แนนต้องมาสะกิดอีกนั่นแหละครับ ฮ่าๆๆ เห็นใจผมนิดนึงครับ เซอร์ไพรส์วันเกิดก็ว่าดีใจแล้ว นี่เซอร์ไพรส์ขอเป็นหุ้นส่วนชีวิตอีก ใจบางมากคร๊าบบบบบตอนนี้

พี่แนนสะกิดให้ผมกับพี่กี้หันหน้าไปถ่ายรูปคู่กัน รูปที่ได้คือ ผมกับพี่กี้ใช้มือด้านที่ใส่แหวนปิดหน้าตัวเองครึ่งหนึ่ง โดยที่ผมย่อตัวลงไปให้หน้าผมอยู่ระดับเดียวกันกับพี่กี้ที่นั่งรถเข็น เป็นภาพน่ารักๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ถ่ายเลยครับ

พอถ่ายรูปคู่เสร็จ พี่แนนก็เรียกถ่ายรูปรวม ได้ยินเสียงหัวเราะ มองเห็นรอยยิ้มของทุกคน ผมก็มีความสุขตามไปด้วยครับ ยิ่งมองไปยังคนข้างๆ ที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว ก็เห็นทั้งรอยยิ้มระยับในดวงตาและใบหน้าหล่อเหลานี้…ผมมีความสุขมากเหลือเกิน

ขอบคุณ…ทุกคนที่สร้างโมเม้นท์อันน่าจดจำให้ผมและพี่กี้

ขอบคุณ…คนข้างกายที่ไม่หลงลืมวันสำคัญของผม

ขอบคุณ…คนข้างกายที่มั่นใจในตัวผมและพร้อมจะเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน

ขอบคุณ…ความรักของเราที่ดำเนินมาจนถึงตรงนี้และมันจะยังดำเนินต่อไปในทุกๆ วัน

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ



จบบริบูรณ์



Talk with writer
|
|
|
|
|
V

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2020 18:01:19 โดย a-mee-ra »

ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Talk with writer

และแล้วก็จบลงสำหรับเรื่องราวความรักระหว่าง 'หมอกี้' และ 'หมอนิว' จริงๆ แล้วไม่อยากให้จบค่ะ แต่ไรท์ติดภารกิจที่จะต้องห่างหายจากงานเขียนไปเป็นระยะเวลา 2-3 เดือน ทำให้ต้องตัดสินใจจบเรื่องราวนี้ลงค่ะ แต่ถ้าพวกเขามีชีวิตจริงๆ ความรักของพวกเขาก็ยังจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สำหรับใครที่ยังคิดถึงคุณหมอทั้งสองก็รอตอนพิเศษนะคะ จะมีทั้งหมด 3 ตอน แบบจัดหนักเลยค่ะ (เดี๋ยวจะเอาตัวอย่างพอกรุบกริบมาให้ลองอ่านดูก่อนค่ะ) ซึ่งตอนพิเศษนี้จะมีแค่ใน e-books หรือ หนังสือรวมเล่มเท่านั้นค่ะ ถือว่าให้รางวัลพิเศษสำหรับ fc หมอกี้หมอนิวละกันนะคะ ส่วนเรื่องของ 'เภฟิล์ม' และ 'หมอเต็ม' มีประมาณ 5-6 ตอน จะลงให้อ่านฟรีค่ะ

เรื่องขายของพอก่อนค่ะ 555 สิ่งที่เราอยากบอกรี๊ดมีอีกมากมายเลยค่ะ เรามีความสุขที่ได้เขียนนิยายเรื่องนี้มากๆ ถึงภาษาจะไม่ได้สวยงามอะไรเลย เราตั้งใจให้มันเป็นภาษาพูดค่ะ เพราะเป็นการดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองของตัวละคร เป็นการพูดและคิดแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา จึงใช้ภาษาที่สั้นกระชับ เข้าใจง่าย และตรงประเด็น ไม่ได้บรรยายเวิ่นเว้อ ยกเว้น nc ที่ต้องขยายความหน่อยค่ะ ไม่งั้นจะเสียอรรถรส เพราะฉะนั้นรี๊ดที่อ่านมาจนถึงตอนจบนี้ คือ คนที่มีความอดทนจริงๆ อดทนกับความ 'ไม่สวยงาม' ที่เราตั้งใจให้มันไม่สวยงามจริงๆ

นิยายเรื่องนี้ไม่มีพล๊อต ไม่มีการวางตัวละครใดๆ ก่อนแต่ง อยู่ดีๆ เราก็อยากแต่งนิยายวายขึ้นมาเฉยๆ (เมื่อก่อนเคยแต่งฟิคชั่น) แต่เนื่องจากไม่ได้แต่งมานานมาก จนลืมไปแล้วว่าควรเตรียมตัวยังไงบ้างนะ วันที่ 20 พ.ค. 63 คือวันแรกที่เราเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา แล้วพิมพ์บทนำ เพราะเราเพิ่งไปรับน้องหมอ น้องทันตแพทย์จบใหม่มา บวกกับเอาคาแรคเตอร์ของคนสนิทมาเป็นตัวดำเนินเรื่อง เอาฉากและเหตุการณ์ที่ได้รับรู้มาใส่ตัวละครและบทบาทลงไป ค่อยๆ ทำแบบนี้ไปทีละตอน พล๊อตคิดสด เพราะเราทำงานประจำตั้งแต่ 8.30 - 20.00 น. ทุกวัน มีวันหยุดแค่เสาร์หรืออาทิตย์ 1 วัน (ไม่นับวันที่อู้หนีเที่ยว 555) เพระงั้นทุกอย่างจะด้นสดเกือบหมดค่ะ มีฉากที่ต้องใช้ความรู้วิชาชีพก็ค่อย consult บรรดาหมอๆ ก็ต้องขอบคุณคุณหมอทุกท่านด้วยที่ช่วยอธิบายให้เราเข้าใจ แม้ว่าบางครั้งจะถามหลายรอบ

ด้วยความที่ด้นสุด เพราะงั้นนิยายเรื่องนี้จะมีช่วงที่อืดๆ จะมีช่วงที่พีคๆ เราคงรีไรท์ได้แค่บางส่วนก่อนทำเล่ม และ e-books เพราะงั้นก็ต้องขออภัยผู้อ่านไว้ก่อนนะคะ เพราะสำหรับเราแล้ว ด้นสดได้ขนาดนี้ก็รู้สึกขอบคุณความพยายามของตัวเองมากแล้วค่ะ 39 ตอน ในเวลาเกือบ 4 เดือน และยังเป็นนิยายเรื่องยาวมากที่สุดที่เคยแต่งมาเลยค่ะ และไม่เคยแต่งเร็วขนาดนี้ด้วย เรายอมรับว่านิยายเรื่องนี้ของเรายังไม่ 'เพอร์เฟค' ยังมีข้อด้อยหลายอย่าง เราจะเอาไปแก้ไขและปรับปรุงในเรื่องต่อๆ ไปค่ะ

อ่อ ตอนแรกแต่งได้ประมาณ 7 ตอน ไม่อัพลงไหนเลยค่ะ เพราะไม่รู้จะอัพลงไหน ไม่รู้จักแพลตฟอร์มใดๆ แต่ก่อนเคยลง dd บ้าง แต่ไม่ใช่ช่องทางหลัก ก็เลยลองส่งนิยายให้เพื่อนอ่านก่อนแล้วค่อยหาช่องทางลง เพราะจริงๆ แล้วไม่มั่นใจในตัวเองเลย ไม่ได้แต่งมานาน มันก็จะขาดความมั่นใจ อีกทั้ง fc งานเขียนเก่าๆ ของเรา ป่านนี้ก็น่าจะแต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว ไม่น่ามีหลงเหลืออยู่ (เพราะก่อนหน้านี้ ประกาศชัดเจนเลยว่าเลิกแต่งฟิควาย ด้วยเหตุผลส่วนตัว) จึงรู้สึก 'กลัว' อยู่ลึกๆ ว่า ถ้าลงนิยายไปจะมีคนอ่านอยู่เหรอวะ? เพราะตอนนั้นแค่ได้แต่งก็รู้สึกมีความสุขแล้ว แค่เพื่อนบอกว่า 'นิยายเมิงสนุกว่ะ' คนเดียวก็เพียงพอแล้ว

แต่ภายในใจลึกๆ นั้นก็อยากให้มีคนเข้ามาอ่าน เข้ามาชื่นชมผลงานเราอยู่ สุดท้ายแล้วเพื่อนก็ต้องมาเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ 'โลกของนิยาย' เค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว โหลด raw joy twl dd meb ook คือโหลดมาทุกสิ่งมาประดับเครื่องไว้ก่อน เข้าไปอ่าน joy งงมาก อะไรวะนิยายแชท (ปัจจุบันก็ยังงงอยู่ ป้าตามโลกไม่ทันจริงๆ) สุดท้ายก็พบว่านิยายของเราควรลงแพลตฟอร์มไหน ก็ใช้เวลางมพอสมควร พอเริ่มอัพตอนแรกๆ มียอดวิวขึ้นถึงหลักสิบก็ดีใจแล้วค่าาา ยิ่งมีคอมเม้นท์เข้ามานี่คือ ตอบขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ดีใจที่มีคนอ่านนิยายเราด้วยวุ้ย~~ ยิ่งช่วงหนึ่งมีคนเอานิยายเราไปรีวิวให้นี่คือโคตรดีใจเลยค่ะ รักคนรีวิวมากๆ อยากจะกอดแล้วหอมซักฟอดเลยทีเดียว เพราะช่วงนั้นยอดทุกอย่างเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

จนมาถึงวันนี้ วันที่มีคนติดตามพอสมควร อาจจะไม่ได้มากมาย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เรายิ้มได้ หัวเราะได้เวลายอดวิว ยอดหัวใจ ยอด add shelf ขยับ และเวลาเลื่อนอ่านคอมเม้นท์ มันทำให้รู้ว่าความพยายามของเราไม่สูญเปล่า มีคนเห็นคุณค่าของงานเรา เรามีความสุขมากๆ ค่ะ

วันนี้เราจะถือโอกาสขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน และรี๊ดทุกคน ทุกช่องทาง raw dd twl tbl ถ้าไม่มีพวกคุณ เราอาจจะเลิกแต่งไปตั้งแต่สิบตอนแรกก็ได้ค่ะ ขอบคุณที่เดินทางมาด้วยกัน มาก่อน มากลาง มาหลัง ทุกคนมีความหมายกับเรามากๆ เราขอพูดคำเดียวกับน้องนิวเลยนะคะ

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ

a-mee-ra




twitter : @ameera2465

hashtag : #หมอกี้น้องนิว #เภฟิล์มหมอเต็ม #อินเทิร์นจอมจุ้นฯ

ฝากกดติดตาม ถ้าคิดถึงกันก็ mention หาได้ค่ะ (ยิ้มหวาน)


ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เขินไปหมดด :o8: หวานและโรแมนติก สวมแหวนและขอแต่งงาน  :-[ :กอด1: :L2: :3123: กว่าจะมาถึงวันนี้ ผ่านอะไรกันมาเยอะ สนุกกกกมากก ขอบคุณที่มอบความสุขกับนิยายเรื่องนี้ แต่งดี รอตามผลงานหน้านะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
:L2: :3123: :L1: :pig4:

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนจบค่ะ รออ่านตอนพิเศษ #เภฟิล์มหมอเต็ม นะคะ  :L2:

ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เขินไปหมดด :o8: หวานและโรแมนติก สวมแหวนและขอแต่งงาน  :-[ :กอด1: :L2: :3123: กว่าจะมาถึงวันนี้ ผ่านอะไรกันมาเยอะ สนุกกกกมากก ขอบคุณที่มอบความสุขกับนิยายเรื่องนี้ แต่งดี รอตามผลงานหน้านะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่ชื่นชอบผลงาน และอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนจบค่ะ รออ่านตอนพิเศษ #เภฟิล์มหมอเต็ม นะคะ  :L2:

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
สนุกมากค่ะ เอ็นดูหมอนิวจัง แต่แอบสงสารหมอกี้ที่เจออุบัติเหตุ แต่มีหมอประจำตัว คงดีวันดีคืน เสียดายที่ไม่ได้อ่านบทที่ล๊อคไว้(ทำไม่เป็นค่ะเลยไม่ได้อ่าน)แต่ยังไงก็ขอบคุณ สำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ Freezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ดราม่า มาจุกๆ ตอนท้าย กลั้นหายใจเลยครับ 555
แต่ก๋น่ารักมากครับ  ชอบมาก ^^

ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
(คำแนะนำ : กลับไปอ่านตอน 'นายแบบ' ก่อนนะคะ แล้วจะเพิ่มอรรถรสในการอ่านมากขึ้น)



- หมอเต็ม -

และวันนี้ผมก็ต้องไปเวียนเทียนกับไอ้ฟิล์มตามที่ตกลงกับมันไว้ เนื่องจากกว่าจะถึงเวลาเวียนเทียนนั้นอีกนาน เราจึงตกลงกันออกไปหาข้าวกินก่อน มันให้ผมเลือกว่าอยากกินร้านไหน แต่ผมบอกว่ากินอะไรก็ได้ง่ายๆ จะได้รีบกิน รีบถ่าย รีบกลับ แต่มันบอกว่า

"จะรีบกลับไปทำไม ห้องมึงไม่หายไปไหนหรอก"

"กวนตีนนะมึง"

"ไม่ได้กวน กูพูดจริง …กูว่าไปร้าน zennn ดีกว่า มีมุมถ่ายรูปด้วย"

"ไหนว่าจะไปถ่ายตอนเวียนเทียน"

"เก็บหลายๆ โลเคชั่น จะได้มีรูปให้เลือกเยอะไง"

"อือๆ ตามใจมึงละกัน"

ขี้เกียจเถียงกับแม่งละ อะไรคือการให้กูเลือกร้านอาหาร แต่พอกูบอกว่าต้องการอะไร ก็ไม่ตามใจกู ก็ได้เหรอวะ





สุดท้ายเราก็มาจบที่รัาน zennn ระหว่างรออาหาร มันก็ไล่ให้ผมไปยืนมุมนั้นมุมนี้ของร้าน สั้งให้ยิ้ม สั่งให้เผลอ (เผลอก็ต้องมีท่านะเออ) ผมก็ทำๆ ไปตามที่มันต้องการ ต้องตามใจมันครับ จะได้รีบถ่ายรีบเสร็จ ไม่อยากไปไหนมาไหนกับมันบ่อยๆ เดี๋ยวจะเสียอาการ

"พอยังมึง กูว่าได้หลายรูปแล้วนะ" ผมถามมันหลังจากให้ผมเปลี่ยนมุมถ่ายรูปไปแล้วแปดมุม

"ได้หลายรูปอยู่ แต่กูอยากได้รูปหน้าร้านด้วยอ่ะ"

น่านนน ได้คืบจะเอาศอก คนเรา แล้วผมก็ต้องเดินตามมันออกไปหน้าร้าน พอเริ่มมืด ร้านจะเปิดไฟที่ประดับตกแต่งไว้ตามทางเดิน และมุม outdoor หลายมุม

"มึงไปยืนตรงนั้น แล้วก็หันข้างให้กูนะ" ผมทำตามที่มันบอก

"เงยหน้าขึ้นมองไฟ แล้วก็ยิ้มน้อยๆ …มึงปัดผมขึ้นไปอีกหน่อย มันบังหน้ามึงอ่ะ" แล้วผมก็ปัดผมตามที่มันบอก

"ไม่ใช่มึง ปัดไปอีกทางนึง" ผมก็ทำตามอีก

"ปัดขึ้นอีกนิดมึง"

"อะไรของมึงเนี่ย ก็กูปัดแล้ว"

ดูเหมือนผมจะปัดผมไม่ได้ดังใจมัน มันเลยเดินเข้ามาใกล้ผม แล้วเอื้อมมือมาปัดผมที่ตกระนิดหน่อยที่ใบหน้าให้ย้ายไปอยู่ฝั่งซ้าย วินาทีนั้นผมแทบกลั้นหายใจไว้เลยครับ เพราะหน้าเราใกล้กันมาก ลมหายใจรินรดกัน อยู่ดีๆ หัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นมาซะงั้น

มันจะรู้ตัวไหมนะว่า การที่เข้ามาใกล้ผมขนาดนี้ ผมมีท่าทีผิดปกติไปแล้ว

"กูว่าผมมึงเริ่มยาวแล้วนะเต็ม พรุ่งนี้ไปหาร้านตัดผมกัน" เดี๋ยวๆๆ ถ้ากูจะตัดผม กูไปตัดเองคนเดียวได้

"ผมกู กูไปตัดเองคนเดียวได้"

"กูมีร้านแนะนำ ตัดดีมาก"

"บอกชื่อร้านมา เดี๋ยวกูไปเอง"

"ไม่ได้ มึงหาไม่เจอหรอก"

"ไป google maps ก็ได้"

"ไม่ได้ เพราะกูรู้จักเจ้าของร้าน คุยกันง่ายกว่าถ้ามึงไปกับกู"

"งั้นกูจะบอกว่ากูรู้จักมึง เดี๋ยวเค้าก็คงคุยง่ายกับกู"

"ไม่ได้…"

"ไม่ได้อะไรอีก!? "

"…ใดๆ คือ กูอยากไปกับมึง"

เอิ่มมมม ยังงาย ยังงายยยวะไอ้ฟิล์ม กูต้องยังไงกับมึงวะเนี่ย??





พอกินข้าวเสร็จ เราก็ไปวัดประจำจังหวัด จริงๆ วันนี้เค้ามีสวดมนต์ทำวัตรเย็นด้วย แต่พวกผมมาช้าไป เลยได้แค่เวียนเทียน เราไปทำบุญ แล้วหยิบดอกไม้ธูปเทียนออกมา แล้วเดินเวียนขวาเป็นจำนวนสามรอบ ระหว่างนั้นไอ้ฟิล์มก็เก็บภาพผมไปด้วย ไม่ค่อยมีสมาธิเวียนเทียนเลยผม สรุปแล้วจะได้บาปหรือบุญกันแน่เนี่ย

"เต็ม หันมานี่หน่อย"

…แชะ…

"ดี ดีมาก แสงตรงนี้กำลังสวยเลย"

…แชะ…แชะ…แชะ…

"กูเดินได้ยัง"

"ได้ละๆๆ "

ผมเดินต่อครับ มันก็มาเดินข้างผม นี่เป็นการเวียนรอบสุดท้ายแล้ว ผมเลยบอกมันว่า

"เวียนรอบสุดท้ายแล้ว รอบนี้ตั้งใจนะมึง" …จะได้ทำบุญร่วมชาติบ้าง

"อืมๆ "

มันตอบรับ แล้วปิดเลนส์กล้องไว้ รับดอกไม้ธูปเทียนที่ฝากผมไว้ไปถือแทน จากนั้นเราก็เดินเวียนเทียนกันเงียบๆ ต่างคนต่างใช้สมาธิไม่พูดคุยกัน จนกระทั่งครบรอบ พวกเราก็นั่งลงตรงหน้าพระพุทธรูป สวดมนต์ แผ่บุญ พร้อมกับอธิษฐานขอพร ซึ่งไอ้ฟิล์มก็แอบถ่ายตอนผมนั่งลงไหว้พระอีกแล้วครับ คือจะเอาทุกอิริยาบถเลยใช่ไหม ผมว่ามันได้รูปผมเป็นร้อยแล้วนะครับ แค่วันนี้วันเดียวด้วยนะ

"เต็ม เรามาถ่ายรูปคู่กันดีกว่า"

ว่าแล้วมันก็ยกกล้องขึ้นมา selfie ระหว่างผมกับมัน โดยที่ผมไม่ได้ตั้งตัวเลยสักนิด รูปมันต้องออกมาตลกแน่ๆ เลย

"ไม่ให้กูตั้งตัวอีกแล้ว"

"เชื่อมือกูเถอะน่า"

"ไหนเอามาดูซิ"

แล้วมันก็ยื่นกล้องให้เช็ครูป เออว่ะ รูปออกมาดีอยู่นะเนี่ย

"เป็นไงล่ะ ใช้ได้เลยดิ"

"ก็ดี… รูปก็ได้แล้ว เวียนเทียนก็เรียบร้อยแล้ว ทีนี้กลับกันเถอะ" ผมรีบตัดบทครับ เพราะไม่อยากใช้เวลากับมันนานกว่านี้

"อย่าเพิ่งกลับได้ไหม กูหิวอีกรอบแล้วอ่ะ"

"ห๊ะ เพิ่งกินไปไม่ถึงสองชั่วโมง หิวอะไรอีกวะมึง" จะบ้าตาย เพิ่งกินไปหยกๆ จะมาหิวอะไรอี๊กกก ไม่เข้าใจรึไงว่ากูไม่อยากอยู่กับมึงนานๆ

"อยากกินนมอ่ะ ไปนั่งร้านนมกันเถอะ"

"อะไรของมึงอีกเนี่ยยย มึงไปคนเดียวได้ไหม กูอยากกลับแล้ว"

"ไปกินแป๊ปเดียว เดี๋ยวก็กลับ เถอะน่า" มันคะยั้นคะยอผมมากเลยครับ โอ้ยยยย ไปก็ไปวะ

"เออ ไปก็ไป"

หลังจากนั้นเราก็ออกมาจากวัด แล้วขับรถไปร้านนมแถวนั้นละครับ วันนี้ผมก็นั่งมากับมันเหมือนเดิม หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์เหมือนเมื่อคืน ก็คงไม่มีหรอกมั้งครับ เพราะวันนี้กินนม ไม่ได้กิน 'เบียร์'

วันนี้ผมน่าจะ…ปลอดภัย





พอมาถึงร้านนม เป็นร้านที่ต้องนั่งพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นกั้นกลางเราสองคนไว้ บรรยากาศสบายๆ เปิดเพลงเบาๆ คลอไปด้วยทำให้ผมอารมณ์ดีกว่าเดิมนิดหน่อย

"เต็ม มึงอยากกินอะไร" ไอ้ฟิล์มมันถามผม ซึ่งต้องเขียนเมนูที่สั่งไปส่งเจ้าของร้าน

"นมเย็น"

"กินอะไรหวานแหววน่ารักเชียวนะมึง"

"จะนอนแล้ว จะให้กูสั่งกาแฟก็ไม่ใช่ป่ะ" เนี่ยยย เริ่มจะอารมณ์ไม่ดีก็เพราะมันนี่แหละ

"กินพวกปังปิ้งไหม"

"ไม่อ่ะ กูอิ่มแล้ว"

"แต่กูอยากกิน"

"มึงก็สั่งมากินคนเดียวมึงอ่ะ"

"ใจร้าย กินเป็นเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้"

ดูมันว่าให้ผม กูอุตส่าห์มาเป็นนายแบบ ออกมากินนมด้วยนี่ยังหาว่ากูใจร้ายอีกเหรอ โอ้ยยย คนเรา

"ถ้ากูใจร้าย กูไม่ออกมากับมึงหรอก" อันนี้ผมแอบพูดคนเดียวเบาๆ

"มึงว่าอะไรนะเมื่อกี้"

"เปล่า… รีบเอาเมนูไปส่งเค้าสิ" รีบตัดบทครับ ขี้เกียจเถียงมัน

ระหว่างมันเดินกลับมานั่งที่ มันแวะไปอีกโต๊ะนึง ผมพยายามมองว่ามันไปหาใคร เผื่อผมรู้จัก แต่มุมของโต๊ะนั้นไม่ค่อยสว่างจึงมองไม่ชัดนัก ผมเลยเลิกสนใจ แล้วหยิบมือถือออกมาเล่นเกมแทน

ไม่นาน ไอ้ฟิล์มก็กลับมาโต๊ะพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมว่าผมคุ้นๆ ผู้หญิงคนนี้นะ น่าจะเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่า

"เต็ม มึงจำน้องพริกได้ป่าว น้องที่โรงเรียนเราอ่ะ" นั่นไง ว่าแล้วเชียว

"สวัสดีค่ะ พี่เต็ม"

"สวัสดีครับ น้องพริก"

"พอดีน้องเค้ามากินนมอยู่โต๊ะโน้น แล้วพ่อน้องเค้าป่วย น้องเค้าเลยอยากมาปรึกษามึงหน่อย"

"อ่อครับ นั่งก่อนครับ …มีอะไร ว่ามาเลยครับ" ผมยิ้มให้น้อง เอาจริงๆ น้องก็สวยน่ารักเลยล่ะ

"พอดีคุณพ่อเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังนะค่ะ"

"ยังไงครับ มีผื่นไหม"

"เป็นผื่น…"

"เดี๋ยวกูมานะเต็ม มึงคุยกับน้องเค้าไปก่อน"

ผมมองตามทางที่มันเดินไป มันไปสมทบกับเพื่อนโต๊ะเมื่อกี้ มีผู้ชาย 2-3 คน ผู้หญิง 1 คน แล้วอะไรคือการมาทิ้งน้องผู้หญิงไว้กับผมครับ

พอมองกลับมาดูคนที่โต๊ะ ก็ยิ้มรอผมอยู่แล้ว จากนั้นน้องก็ชวนคุยไปเรื่อยครับ มีประเด็นพ่อป่วยนิดหน่อย นอกนั้นถามเกี่ยวกับตัวผม ชีวิตความเป็นมาอะไรยังไงบ้าง ผมก็ถามกลับเป็นมารยาทครับ เราคุยกันนานพอสมควร มองไปทางไอ้ฟิล์มก็เห็นมันกำลังคุยสนุกสนานกับเพื่อนมัน ไม่ยอมกลับโต๊ะซักทีนะมึง ผมจึงต้องคุยกับน้องเค้าไปเรื่อย คุยจนไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว สุดท้ายน้องก็เลยขอกลับโต๊ะ ก่อนกลับก็ขอ id line ผมไว้ด้วย เผื่อไว้ปรึกษาเรื่องพ่ออีก ผมก็ให้ไปแหละครับ

"ถ้าไลน์ไป ตอบไลน์พริกด้วยนะคะพี่เต็ม"

"ครับผม"

"บายค่ะ ไว้เจอกันอีกนะคะ"

"ครับ บาย"

จบประโยค น้องก็จากไปด้วยอาการใช้มือข้างซ้ายลูบผมไปเหน็บที่ข้างใบหู ยิ้มน้อยๆ มายังผมแล้วเดินจากไป…

เอ่อ…นี่ผมกำลังถูกขายขนมจีบเหรอ??

เกิดมาเป็นลูกผู้ชายอายุย่างเข้าวัย 25 นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาแสดงท่าทีสนใจ ผมควรจะดีใจ แต่ทำไมใจผมมัน 'ปวดหนึบๆ ' หรือเพราะจริงๆ แล้ว คนที่ผมอยากให้สนใจ คือ คนที่พาน้องเดินมาหา ไม่ใช่น้องพริกคนสวยคนนี้?





ไม่นาน ไอ้ฟิล์มก็เดินกลับมาที่โต๊ะ ผมเบือนหน้าหนีไม่สนใจมัน หงุดหงิดครับ! อยู่ดีๆ ก็เหม็นขึ้หน้ามันขึ้นมาซะงั้น

"เป็นไงมึง น้องเค้าโอเคไหม"

"…"

"เงียบแบบนี้ หรือว่ามึงไม่ชอบวะ"

"…"

"มึงโอเคไหมเนี่ย หันมาคุยกับกูดิ"

"…รีบกินนมที่มึงสั่งมาสิ น้ำแข็งละลายหมดแล้ว" แก้วนมที่มันสั่งมา ยังไม่ถูกดูดซักอึก

"ช่างนมเถอะ"

"อ้าว ไหนตอนแรกบอกหิว"

"ตอนนี้ไม่หิวแล้วไง"

"งั้นก็กลับ"

ผมสรุปให้เอง เรียกพนักงานร้านมาเช็คบิล จ่ายเงินเสร็จสรรพก็ออกมาเลย มันไม่พูดกับผม ผมก็ไม่พูดกับมัน ระหว่างทางเรามีแต่ความเงียบ เป็นอะไรที่อึดอัดสุดๆ แต่ก็ไม่มีใครปริปากออกมา พอมาถึงหอพัก เราก็แยกย้ายกันไปโดยไม่มีใครพูดอะไรอีกเช่นเคย

ผมเดินไปกดลิฟท์ที่คุ้นเคย พอลิฟท์ลงมาถึง ผมก็เดินเข้าไปเป็นปกติ วินาทีที่ลิฟท์กำลังจะปิด มีมือใหญ่มาขวางไว้ให้เปิดออกอีก พอผมเงยหน้ามองก็พบว่า…เป็นมัน ไอ้ฟิล์มไง

มันแทรกตัวเข้ามาในลิฟท์ อยู่ดีๆ มันก็ดึงมือผมไปถือไว้ ถูกแล้วครับ 'ถือไว้' ไม่ใช่ 'จับ'

พอลิฟท์เปิดออกชั้นที่เป็นห้องพักของผม มันก็ดึงผมออกมาจากลิฟท์ ตรงไปยังห้องผม พอถึงหน้าห้อง มันยื่นมือมาขอกุญแจผม ผมก็ไม่อยากโวยวาย เดี๋ยวคนอื่นได้เปิดประตูออกมาดู เลยตัดสินใจหยิบกุญแจออกมาให้มัน

มันไขกุญแจเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว เหมือนกับเป็นห้องของตัวเอง พอเข้ามาในห้อง ผมก็สะบัดมือของผมออกจากฝ่ามือใหญ่ของมัน

"อะไรของมึงเนี่ยไอ้ฟิล์ม?! "

"มึงนั่นแหละเป็นอะไร เงียบทำไม?! "

"ก็กูไม่มีอะไรจะพูด! "

"มึงชอบหรือไม่ชอบน้องเค้า มึงก็บอกมาสิ! "

"แล้วทำไมกูต้องบอกมึง?? "

"……"

"มึงมีอะไรจะพูดอีกไหม ถ้าไม่มี ก็กลับห้องไป กูจะอาบน้ำนอนแล้ว เหนื่อย! "

"…เออๆ กูกลับแล้วก็ได้"

พูดจบ มันก็เดินออกไปจากห้องผม ก่อนจะเปิดประตูออกไป มันชะงักนิดนึง หันหน้ามาหาผมเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายสุดแล้ว ก็ไม่ยอมพูดอะไร…





- เภฟิล์ม -

ผมเดินออกมาจากห้องไอ้เต็มด้วยความรู้สึกสับสน ความคิดวกวนอยู่ในหัวตัวเอง นี่ผมหวงไอ้เต็มเหรอครับ? จะเอาสิทธิ์อะไรไปหึงไปหวงมันครับ ก็แค่เพื่อนสมัยเรียน ที่ดันมาเป็นเพื่อนในวัยทำงานอีก

จริงๆ วันนี้ผมไม่อยากให้น้องพริกมาคุยกับไอ้เต็มเลยนะ แต่พอผมเดินผ่านโต๊ะนั้น ก็เห็นว่าเป็นรุ่นน้อง เลยหยุดทักทาย อยู่ดีๆ น้องพริกก็บอกว่าอยากคุยกับไอ้เต็ม ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เลยต้องเดินไปส่งน้องเพื่อเปิดทางให้ทำความรู้จักกัน

ในขณะที่เค้าคุยกัน ผมก็มองไปเกือบตลอดแหละ ก็เห็นว่าไอ้เต็มพูดคุยยิ้มหัวเราะกับน้องเค้าดี ไม่ได้มีท่าทีเบื่อหน่ายเลย มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด ยิ่งพอน้องพริกเดินกลับมาโต๊ะ แล้วบอกกับทุกคนว่าได้ไลน์พี่เต็มด้วย ผมยิ่งฉุนไปกันใหญ่ เพราะการให้ไลน์หมายถึงการที่สนใจอีกฝ่ายพอสมควร

แต่ก็นั่นแหละครับ ถึงผมจะหงุดหงิดแค่ไหน ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราเป็นแค่ 'เพื่อนกัน'

ขนาดเคยมีอะไรกันมาแล้ว ไอ้เต็มมันยังบอกให้ผม 'ลืม' เลย สำหรับมันแล้ว…ผมก็คงเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าอะไร

สังเกตเวลาไปไหนด้วยกัน ถ้าผมไม่ชวนไปต่อ มันก็ไม่คิดชวนผมเลย บางครั้งยังมีท่าทีอิดออดไม่อยากไปอีกต่างหาก เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่า…มันวางตำแหน่งให้ผมเป็นแค่เพื่อน เพราะงั้น…มันขีดเส้นให้อยู่ตรงไหน ก็อยู่มันตรงนั้นล่ะ



ตั้งแต่วันไปกินนมด้วยกัน ผมก็ไม่ทักไลน์หรือเฟซไปกวนมันเลยครับ นี่ก็ผ่านมา 3 วันแล้ว ยอมรับเลยว่ารู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป แต่ก็ต้องทำใจให้ชินแหละครับ

ผมเดินออกมาร้านกาแฟระหว่างพักเที่ยง กินข้าวเสร็จก็ต้องหากาแฟกระแทกปากนิดนึงครับ จะได้ไม่ง่วงตอนบ่าย กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในร้าน สายตาก็ปะทะเข้ากับคนที่ผมเฝ้าคิดถึงในช่วง 2-3 วันมานี้ สายตาเราประสานกันประมาณ 2 วินาที แล้วต่างฝ่ายก็เสหลบไปทางอื่น ทำเหมือนมองไม่เห็นกัน

ผมเดินเลยผ่านมันไป เหมือนอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ ผมสั่งกาแฟเสร็จก็เดินเลี่ยงไปอีกมุมของร้าน มุมที่อยู่ด้านหลังมัน เป็นมุมที่สามารถแอบมองมันได้โดยที่มันจะไม่รู้ตัวเลย

ผมนั่งลง แล้วมองไปที่แผ่นหลังบางนั้น มันมาคนเดียว ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจใครเลย รวมถึงผมด้วย ไม่นานพนักงานก็เรียกให้มันไปเอากาแฟ มันก็ลุกไปหยิบแล้วเดินจากไป โดยที่ไม่เหลียวมาทางผมสักนิด

รู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ที่ใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ สิ่งที่ทำได้ คือ มองตามแผ่นหลังนั้นจนลับสายตาหายไป…



เย็นนี้ รุ่นน้องที่เจอในร้านนมวันนั้นชวนผมไปเล่นบาสครับ ด้วยความที่อยากหาอะไรทำ จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน จึงตอบตกลงไปเล่นด้วย

พอไปถึงสนามบาสก็เจอคนอื่นๆ ที่เคยเล่นด้วยกันสมัยมัธยมเยอะเลยครับ ตั้งแต่ผมจบมายังไม่ได้ไปเหยียบสนามบาสเลย นี่เป็นครั้งแรก เลยมีคนเข้ามาถามสารทุกข์สุกดิบเยอะหน่อย ผมก็คุยกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยครับ กำลังแบ่งทีมเพื่อจะเล่นบาส อยู่ดีๆ มือถือผมก็สั่น เป็นข้อความมาจากไลน์



TemTem : ว่างไหม ไปหาข้าวกินกัน



ผมยิ้มให้กับข้อความสั้นๆ พร้อมกับบอกทุกคนว่า



"เดี๋ยววันหลังมาเล่นด้วยนะเว้ย พอดีมีธุระด่วนต้องไปจัดการ"



TBC.



Talk : ขอโทษที่มาลงให้ช้า ตอนแรกว่าจะลงให้วันเสาร์ที่ผ่านมา แต่แต่งไม่เสร็จ มัวปั่นตอนพิเศษคู่หลักอยู่ค่ะ แหะๆ วันนี้ได้ฤกษ์ของคู่ #เภฟิล์มหมอเต็ม หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนคู่หลักนะคะ ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ

ฝากกดหัวใจ คอมเม้นท์ มาเป็นกำลังใจให้ไรท์ก็ได้นะค๊าา ขอบคุณมากค่าา (ยิ้มหวานนน)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เภฟิล์มหมอเต็ม #2 โลมาไม่ใช่ปลา


- หมอเต็ม -

ทันทีที่มือกดส่งข้อความออกไป ก็อยากจะกด 'ยกเลิกข้อความ' เหลือเกิน ทั้งที่คิดว่า ไม่คุยกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ให้ค่อยๆ ห่างกันไป แต่ 'สิ่งที่ควรจะเป็น' กับ 'สิ่งที่อยู่ภายในใจ' มันกลับสวนทางกันเสมอ

ผมแทบไม่ต้องรอการตอบกลับที่ยาวนานเลยครับ พอผมส่งข้อความไป มันก็ตอบกลับมาในทันทีด้วยสติ๊กเกอร์ 'Ok'

แล้วเสียง line call ก็ดังขึ้น มาจากมันนั่นแหละครับ ผมก็รีบกดรับอย่างไว

"ฮัลโหล"

"ออกไปตอนนี้เลยไหมเต็ม? "

"ได้"

"งั้นเดี๋ยวรอกูแปปนึง พอดีกูออกมาข้างนอก เดี๋ยววนรถเข้าไปรับ"

"อืม"

"อีกประมาณ 10 นาที ลงมารอล่างหอเลย"

"อืม"

แล้วสายก็ถูกวางไป ผมคิดไปเองไหมนะ ว่าน้ำเสียงมันออกจะดี๊ด๊าเกินไปหน่อย…





ไม่นานมันก็มาถึง ผมเข้าไปนั่งข้างคนขับเหมือนเคย มันถามผมว่าอยากกินอะไร เหมือนเดิมครับ พอผมบอกไปว่าอยากกินอะไร มันก็บอกว่า ไปกินอีกร้านดีกว่า เอ่อ ถามกูเพื่อออ

"คราวหน้ามึงไม่ต้องถามกูแล้วนะว่าอยากกินอะไร" ผมอดรนทนไม่ไหว เหน็บมันซะหน่อย

"ทำไมอ่ะ กูต้องเอาความชอบมึงเป็นที่ตั้ง"

"ก็ไม่เห็นมึงตามใจกูวะ"

"ทำไมถึงว่ากูไม่ตามใจ"

"ก็กูบอกว่าวันนี้อยากกินชาบูร้านน้องเก้า"

"ในเมื่อกูรู้ว่าชาบูร้านน้องเก้ามันไม่อร่อยเท่าร้านน้องสิบ กูก็ต้องเลือกร้านน้องสิบที่ชาบูอร่อยให้มึงไง"

"กูบอกว่ากูอยากกินชาบูร้านน้องเก้า ไม่ได้บอกว่าอยากกินชาบูร้านน้องสิบ"

"กูมองว่าสิ่งที่มึงต้องการ คือ ชาบู …ในเมื่อกูรู้อยู่แล้วว่าร้านน้องสิบอร่อยกว่าร้านน้องเก้า กูก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้มึง"

"กูบอกมึงซักคำรึยังว่า…กูต้องการสิ่งที่ดีที่สุด"

"ยัง แต่กูแค่อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับมึง"

"มึงก็เป็นซะยังงี้ ถามกูซักคำก่อนก็ได้ว่ากูต้องการไหม"

ผมเริ่มรู้สึกว่าบทสนทนาเรา มันไม่ได้หมายถึงร้านอาหารแล้วครับ มันเริ่มจะเป็นประเด็นอ่อนไหวอื่นๆ อย่างเช่น น้องพริก ที่มันใส่พานมาถวายผม แต่ผมไม่ต้องการไง แต่มันก็คิดเองเออเองว่าผมต้องการ

"แล้วมึงต้องการอะไร"

"มึง"

"ห๊ะ! มึงว่าอะไรนะ"

"กูหมายถึง มึง…ต้องตามใจกู"

"อ่อ แล้ววันนี้มึงอยากให้กูตามใจเรื่องอะไร"

"เรื่องชาบูนี่แหละอันดับแรก"

"เออๆ ร้านน้องเก้าก็ได้วะ"

จากนั้น เราก็ไปกินชาบูร้านน้องเก้าครับ อร่อยหรือไม่อร่อย ผมไม่สนใจแล้ว แต่ที่สนใจคือคนตรงหน้าที่กินไปคีบเนื้อใส่ถ้วยผมไปด้วย เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ อัพเดตชีวิตว่าช่วงมหา'ลัยใครเป็นไงบ้าง ผมหัวเราะขำมันเรื่องที่มีสาวสองเปิดประตูหอพักมันเข้ามาขอมีอะไรด้วย ละคือมันเกือบเสียตัวให้สาวสองคนนั้น

"ฮ่าๆๆ ละมึงรอดมาได้ไงวะ โอ้ยยย ขำ"

"กูร้องตะโกนให้คนช่วยไง ช่วยด้วยๆๆๆๆ ผมจะถูกข่มขืน ฮ่าๆ "

"ละมีคนมาช่วยมึงเหรอ ฮ่าๆๆ "

"จะเรียกว่าช่วยก็คงใช่ เหมือนมีคนเดินผ่าน แล้วกูได้ยินเค้าโทรเรียก 191 แจ้งเหตุว่าจะมีคนถูกข่มขืน สาวสองคนนั้นก็เลยกระโดดระเบียงหอพักกูออกไปเลย ดีนะแค่ชั้นสอง ฮ่าๆๆ "

ผมทำท่าครุ่นคิดนิดหน่อย ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ไอ้ฟิล์มมันเล่า มันดูคุ้นๆ ยังไงก็ไม่รู้

"แล้วคนที่โทรแจ้ง 191 เป็นใครวะ"

"กูไม่รู้ พอกูเดินออกมานอกห้อง ก็ไม่เห็นใครแล้ว"

"เฮ้ยยย คุ้นจัง มึงอยู่หอนับดาวรึเปล่า"

"ใช่ๆ กูอยู่หอนั้น"

"เฮ้ยยย แล้วตอนเกิดเหตุ มึงอยู่ปีสามรึเปล่า"

"ใช่เลย อย่าบอกนะว่า…"

"ใช่! กูเองเป็นคนร้องดังๆ ให้เหมือนโทรหา 191 แต่ก็ไม่ได้โทรจริงหรอก กะให้ได้ยินเฉยๆ "

"เฮ้ยยย จริงดิ เซอร์ไพรส์มากนะเนี่ย"

"เออดิ เซอร์ไพรส์จริง วันนั้นกูไปติวหนังสือสอบที่ห้องเพื่อน กูแค่ไม่อยากให้หอวุ่นวาย กลัวรบกวนการอ่านหนังสือ กูเลยร้องช่วยเฉยๆ นี่แหละ"

"โธ่ ก็นึกว่าเป็นห่วงจริงๆ "

"ฮ่าๆๆ ใครจะไปคิดว่าเป็นคนรู้จักวะที่โดน ฮ่าๆๆ "

แล้วเราก็คุยไปหัวเราะไป เรื่องนี้จบก็ต่อเรื่องใหม่ มีเรื่องให้คุยเยอะแยะไปหมดเลยครับ นั่งกินตั้งแต่หกโมงเย็น ยันสามทุ่ม ดีนะที่เค้าไม่กำหนดเวลากิน ไม่งั้นได้หาร้านอื่นสิงต่อแน่ๆ ครับ

ผมรู้สึกมีความสุขจังเลยวันนี้ เราคุยกันโดยที่ไม่มีประเด็นของคนอื่น มีแค่เรื่องของ 'ผม' กับ 'มัน' เพียงสองคน…





พอกินเสร็จ เราก็กลับหอพักครับ ผมสงสัยตั้งแต่ตอนเย็นแล้วว่าทำไมมันแต่งตัวเหมือนไปเล่นบาสมา แต่ก็ลืมถาม ระหว่างทางกลับเลยอดถามไม่ได้

"ทำไมวันนี้มึงใส่ชุดเล่นบาสวะ"

"ก็…ใส่แล้วมันสบาย"

"ไม่ใช่ว่ามึงกำลังจะไปเล่นบาสนะ"

"เปล๊า"

"เสียงสูงเชียวนะมึง กูไลน์ไปทำลายความตั้งใจมึงรึเปล่าเนี่ย"

"ไม่หรอก บาสน่ะเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่…ไปกินข้าวกับมึงน่ะ ต้องวันนี้เท่านั้น"

"ยังไงวะ"

มันหันมามองผมแวบนึง ก่อนจะพูดต่อ

"กูก็แค่…อยากไปกินข้าวกับมึง กูไม่ชอบ 2-3 วันที่ผ่านมาเลย กูไม่อยากให้เราเมินเฉยใส่กัน ทั้งที่เราไม่ได้มีเรื่องให้ผิดใจกันซักหน่อย"

"อืม กูก็ไม่ชอบแบบที่ผ่านมาเหมือนกัน กูเลยไลน์ชวนมึงนี่แหละ"

"ขอบใจนะที่ไลน์มาวันนี้"

พูดจบมันก็หันมายิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มให้มันเหมือนกัน จากนั้นเราก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไร แต่แปลกนะครับ การเงียบครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนที่มีแต่ความอึดอัด แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความสบายใจ ราวกับมีมวลอากาศที่แสนอบอุ่นล้อมรอบเราสองคนไว้





หลังจากไปกินชาบูด้วยกันวันนั้น ผมกับไอ้ฟิล์มก็กลับมาพูดคุยสนิทสนมกันเหมือนเดิม ออกจะสนิทมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะบางวันมันก็มาเล่นห้องผมโดยไร้เหตุผล แต่ก่อนมันมาห้องผมด้วยเหตุผลที่ว่า…มาดักเจอนิว แต่ตอนนี้แค่อยากมา มันก็มา บางวันไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเลย แค่มานอนเล่นเฉยๆ เสียด้วยซ้ำ

เหมือนวันนี้ที่เป็นวันเสาร์ มันก็มานอนเอกเขนกยึดครองโซฟากลางห้องผมไปโดยปริยาย

"วันนี้กูมีเวรบ่าย ER นะมึง" ผมบอกมัน

"กูรู้แล้ว ถึงได้รีบมาหาตั้งแต่เช้าไง"

"แล้วนี่มึงกินข้าวเช้ายัง"

"ยัง รอมึงราวด์เสร็จไง จะได้ไปกินด้วยกัน"

"กูขี้เกียจออกไปอ่ะ กูต้องอ่านเปเปอร์ไปตอบคำถามอาจารย์กี้วันจันทร์นี้น่ะ มึงออกไปซื้อแล้วเอากลับมากินที่ห้องได้ไหม เผื่อกูด้วย"

"อือๆ แล้วมึงจะกินอะไร แค่หน้าโรง'บาลพอนะ"

"อืม"

แล้วผมก็บอกเมนูมันไป จากนั้นมันก็ออกไปซื้อ ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับอาหารตามสั่ง เราเปิดข้าวกล่องกินกันไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆ ไลน์ผมก็ดังขึ้น ผมจึงหยิบมาดู เป็นข้อความจากน้องพริกคนสวย ผมแอบเห็นไอ้ฟิล์มเหล่ตามองโทรศัพท์ผมด้วยนะ


Prik : สวัสดีตอนเช้าค่ะพี่เต็ม

ทำอะไรอยู่น๊าา




ผมก็กดตอบไปตามมารยาทครับ



TemTem : ทานข้าวครับ

Prik : พริกก็กำลังทานข้าวค่ะ

        พี่เต็มทานอะไรคะ ถ่ายรูปมาให้ดูได้ไหมคะ






ผมเลยถ่ายรูปข้าวกล่องของตัวเองส่งให้อีกฝ่าย





TemTem : (รูปข้าวผัดกระเพราไข่ดาว)

Prik : กินข้าวกล่องเหรอคะ

         ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพนะคะ

         วันหลังพริกทำใส่ปิ่นโตไปให้นะคะ

TemTem : ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เกรงใจครับ

Prik : ไม่เป็นไรค่ะ พริกชอบทำอาหารค่ะ

        คิดซะว่าเป็นการตอบแทน เพราะพ่อพริกอาการดีขึ้นมาก จากการที่พี่เต็มแนะนำค่ะ






ผมกำลังจะพิมพ์ตอบ อยู่ดีๆ ก็มีมือใหญ่ของไอ้ฟิล์มดึงโทรศัพท์ผมไปวางไว้ที่โซฟากลางห้อง

"กิน ไม่ใช่เวลาเล่นไลน์"

"แค่ตอบแป๊ปเดียวเอง"

"เวลากินก็คือเวลากิน" มันพูดไปหน้าบึ้งไปด้วยครับ อะไรวะ เมื่อกี้ยังอารมณ์ดีๆ อยู่เลย

"อะไรวะ โทรศัพท์ก็โทรศัพท์กู ไลน์ก็ไลน์กู …กูจะคุยตอนไหนก็ได้ป่าววะ"

"ตอนนี้มึงอยู่กับกู…มึงก็คุยแค่กับกู…โอเคไหม"

"กูก็คุยกับมึงอยู่นี่ไง"

"กูไม่ได้หมายความว่ายังงั้น"

"แล้วมึงหมายความว่าไง"

"…ก็ตามนั้นแหละ"

"อะไรวะ งงกับมึงนะเนี่ย"

"เออๆ ไม่มีอะไรหรอก กินเข้าไปข้าวน่ะ"

จากนั้น ผมก็กินข้าวต่อ ขี้เกียจซักไซ้มัน เดี๋ยวได้มีเรื่องกันอีก พาลมองหน้ากันไม่ติดอีก ผมเลยตั้งหน้าตั้งตากิน แล้วรีบไปนั่งอ่านเปเปอร์ โดยที่ลืมไปเลยว่าโทรศัพท์น่ะโดนไอ้ฟิล์มยึดไปแล้ว จริงๆ ก็ไม่ได้ยึดหรอกครับ แค่มันเอาไปวางที่โซฟา ซึ่งเป็นพื้นที่ของมัน ผมก็เลยไม่เข้าไปยุ่ง ปล่อยมันทิ้งไว้นั่นแหละ เพราะจริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ติดโทรศัพท์มากมายขนาดนั้น

ผมอ่านเปเปอร์ไปซักพัก ไอ้ฟิล์มก็เปลี่ยนมานอนเล่นเกมมือถือบนเตียงนอนผม ซึ่งโต๊ะทำงานผมตั้งอยู่ข้างเตียงนอน ไม่นานมันก็ผล็อยหลับไปครับ ผมอดที่จะแอบมองหน้ามันไม่ได้ครับ จริงๆ แล้วมันเป็นคนหน้าตาดีคนนึงเลยนะครับ แต่แปลกจัง ทำไมมันไม่มีแฟน หรือ type แบบมันหาแฟนยาก แต่ผมว่าไม่น่าจะยากแล้วนะ สังคมสมัยนี้เค้าเปิดกว้างแล้ว

มองมันไปเพลินๆ ผมก็เริ่มง่วงนะครับ เลยดันให้มันขยับไปอีกหน่อย ผมจะได้นอนอีกด้านได้ หลังจากพอมีพื้นที่ให้ตัวเองนอนแล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอนอีกด้าน หันหลังให้มันด้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ยังจำได้เสมอว่าเกิดอะไรขึ้นบนเตียงนี้ แต่ตอนนี้ง่วงมาก ขอนอนก่อนละกัน คงไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นหรอก เพราะ 'ไม่มีคนเมา'

.

.

ผมรู้สึกตัวตื่น เพราะสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนรินรดบริเวณท้ายทอย อีกทั้งรู้สึกว่ามี 'บางอย่าง' ดุนดันอยู่แถวก้นผม

ตกใจนะครับ!! ตื่นมาเจอกับอะไรแบบนี้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ผมจึงนอนตัวแข็งเกร็ง ไม่ยอมกระดุกกระดิกตัวเลย พร้อมทั้งหลับตาปี๋เหมือนเดิม ทำเสมือนว่าตัวเองยังหลับอยู่ แต่จริงๆ คือรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

อยู่ดีๆ ไอ้ฟิล์มก็โอบกอดผมจากด้านหลัง มันขยับตัวมาชิดผมมากขึ้น และผมก็สัมผัสได้ถึง 'ความแข็งขึง' ที่เบียดชิดผมมากกว่าเดิม นั่นทำให้เลือดในกายผมสูบฉีดเร็วและแรง จนรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนมาก และความร้อนนั้นมันก็ไม่ได้ไปกระจุกแค่ที่หน้า แต่มันดันไปรวมตัวอยู่อีกที่ คือ ส่วนกึ่งกลางลำตัวของผม

และแน่นอนว่า…มันค่อยๆ ตื่นจากการหลับไหล

นาทีนี้ผมกลัวมาก กลัวว่าไอ้ฟิล์มมันจะจับได้ว่าผมไม่ได้หลับจริง และผมดันมีอารมณ์กับมันซะแล้ว

"เต็ม…"

เสียงครางเรียกชื่อผมเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง ทำเอาใจผมเต้นรัวเร็ว เหงื่อก็ผุดออกมาจากลำตัวเพราะความร้อนรุ่มที่ถูกปลุกเร้า

ผมสับสนไปหมดแล้วครับ ทั้งที่ไอ้ฟิล์มมันไม่ได้เมา แต่ทำไมมันถึงทำแบบนี้กับผม หรือนาทีนี้ผมควรหันไปเผชิญหน้า และถามมันตรงๆ ไปเลย จะได้รู้ว่าควรไปต่อยังไง

แต่…ถ้ามันไม่ได้คิดอะไร ก็แค่คนมีอารมณ์น่ะ ผมจะรับได้เหรอถ้ามันบอกแบบนี้

แน่นอนว่า…ผมรับไม่ได้ ผมอยากให้ความสัมพันธ์ของเราอยู่เท่านี้ เท่าที่เป็นอยู่ มันดีมากแล้ว…

คิดได้แบบนั้น ผมก็ค่อยๆ พลิกตัวหันไปหามัน มองตามันนิ่ง ไอ้ฟิล์มอึ้งนิดนึงที่เห็นผมตื่นเต็มตา

"มึงกำลังจะทำอะไรกู" ผมเอ่ยถามมันตรงๆ พร้อมกับจ้องตามันไม่กระพริบ

"เอ่อ…"

"มึงอยากเหรอ? "

"อือ…"

"นู่น ห้องน้ำ"

"กับมึงไม่ได้เหรอ"

"ไม่ได้"

"ทำไมวะ"

"…กูอยากให้ความสัมพันธ์ของเราอยู่เท่านี้ อยู่แบบนี้ไปนานๆ ถ้ากูกับมึงมีอะไรกันอีก ความสัมพันธ์แบบนี้อาจจะจบลงก็ได้"

"…ได้ ถ้ามึงต้องการแบบนี้ กูก็โอเค"


มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกจากเตียง แล้วเดินคอตกไปเข้าห้องน้ำ…

ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนกัน หลังจากที่มันลุกออกไปแล้ว เฮ้ออออ…





TBC.



Talk : อ่านแล้วเป็นไงกันบ้างคะ คอมเม้นท์บอกไรท์บ้างนะค๊าา (ยิ้ม) ในส่วนของชื่อตอนนั้น ช่วงนี้เราอินกับเพลงนี้มาก รู้สึกว่ามันเข้ากับตอนนี้อยู่นะ 55555

น่าจะมีการเปิดจองรูปเล่มเร็วๆ นี้นะคะ เราจะทำแค่ 12 เล่ม เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนสนใจเท่าไหร่ 555 (12 เล่มก็ให้มีคนอุดหนุนเถ้อออ 55555) แล้วก็จะลงตัวอย่างตอนพิเศษให้อ่านเบาๆ ฝากรอติดตามด้วยนะคะ ><

ขอบคุณทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ดีใจมากๆ ค่ะ ที่มีคน add shelf ถึงหลักพันแล้ว มันเกินความคาดหมายสำหรับนิยายเรื่องแรกในรอบสิบปีของเรามากค่ะ ขอบคุณทุกๆ คนที่เข้ามาอ่านและสนับสนุนมากๆ นะคะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสนับสนุนต่อไปค่ะ ขอบคุณมากค่ะ (รักก็คือรัก)


ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เภฟิล์มหมอเต็ม #3 พูดไม่ออก

- เภฟิล์ม -

วันนี้ผมมีนัดเล่นบาสกับรุ่นน้องกลุ่มเดิม กลุ่มที่ครั้งก่อนไปถึงสนามแล้วไม่ได้เล่นด้วยนั่นแหละครับ ครั้งนี้ไม่น่าจะมีอะไรมาขวางกั้น เพราะไอ้เต็มมาด้วย มันบอกว่ามันเล่นบาสไม่เก่ง แถมตัวเตี้ย แย่งลูกบาสใครเค้าไม่ได้หรอก อย่างมากก็เข้าไปวิ่งเล่นในสนามบาส กลัวไปขัดแข้งขัดขาคนอื่นมากกว่า มันเลยขอนั่งดู หรือรอไปเก็บลูกบาสให้ดีกว่า ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ ตามใจมันเลย

แค่มันมาด้วย…ก็ดีมากพอแล้ว

หลังจากวันนั้น วันที่มันไม่ยอมมีอะไรกับผม ผมกับมันก็ใช้ชีวิตปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังไปกินข้าวด้วยกัน ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันเหมือนเดิม มองแบบผิวเผิน ทุกอย่างก็คงดูปกติ และไอ้เต็มก็คงปกติ แต่สำหรับผมแล้ว…ไม่ปกติ

ผมรู้ชัดเจนแล้วว่าผมต้องอยู่ 'สถานะ' ไหน มันวางให้ผมเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่ง ผมก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีให้มัน ถึงจะลำบากใจไปบ้าง แต่ก็ต้องทำใจและยอมรับให้ได้ เพราะเรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ถึงจะอยากพัฒนาความสัมพันธ์ขนาดไหนก็ตาม

'จงพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่'

นั่นคือสิ่งที่ผมใช้เตือนสติตัวเองทุกวัน พร่ำบอกตัวเองทุกครั้งที่ต้องไปไหนมาไหนกับมัน ดังเช่นวันนี้

"มึงไม่ลงเล่นกับพวกกูจริงเหรอวะ นั่งข้างสนามคนเดียวเหงานะเว้ย" ผมถามมันขณะที่กำลังใส่ถุงเท้าและเปลี่ยนรองเท้าเพื่อลงเล่น ในขณะที่มันนั่งอยู่ข้างสแตนด์เชียร์

"คนเดียวที่ไหน คนดูเยอะแยะ" มันชี้มือไปคนอื่นๆ ที่นั่งห่างออกไป

"แล้วมึงรู้จักเค้ารึไง"

"ไม่รู้จัก"

"แล้วมึงจะอยู่ยังไง"

"ก็นั่งอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเบื่อกูก็แค่เล่นโทรศัพท์ ไม่เห็นยากเลย"

"คราวหน้าไม่พามาด้วยดีกว่า"

"ทำไม หรือมึงมีเด็กแถวนี้"

"กูจะเอาเวลาไหนไปมีเด็ก กูตัวติดกับมึงขนาดนี้ ถ้าบอกคนอื่นว่าเป็นผัวเมียกัน เค้าก็เชื่อเหอะ"

"ฮ่าๆๆ ถ้าต้องการเวลาส่วนตัวก็บอกกูละกัน กูจะได้ปลีกตัวให้ ฮ่าๆๆ"

จบประโยคของมัน ผมก็เปลี่ยนรองเท้าเสร็จพอดี ก็เลยลงเล่นบาส หันไปโบกมือให้มันเป็นระยะ ทุกครั้งที่มองไปก็เห็นมันมองผมตลอด อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ บางครั้ง…แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

จบเซตแรก ทีมผมชนะครับ ก็จะไม่ให้ชนะได้ไง มีแต่ตัวแทนเก่าของโรงเรียน ตัวเก๋าๆ ทั้งนั้น ผมเดินออกจากสนาม ตรงไปหาไอ้เต็ม มันเปิดน้ำรออยู่ก่อนแล้ว ผมจึงฉวยน้ำในมือมันมา กำลังจะกรอกเข้าปาก แต่อยู่ดีๆ ก็มีน้องคนหนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้าผม แล้วยื่นเครื่องดื่มยี่ห้อ 'สปอนเซอร์' ให้

"ช่วยรับไว้ด้วยครับ" น้องใส่ชุดนักเรียน ผมรองทรงสีน้ำตาล ผิวขาว เวลายิ้มออกมาก็เห็นลักยิ้มน้อยๆ ข้างแก้มใส

"ให้พี่เหรอครับ"

"ครับ" น้องพูดกับผม โดยที่ไม่ยอมเงยหน้ามามองผมเลย

"ขอบคุณครับ" ผมเอื้อมไปหยิบเครื่องดื่มในมือน้อง แล้วน้องก็รีบวิ่งหลบไปทางกลุ่มเพื่อนที่ยืนรอลุ้นช่วยอยู่อีกฝั่งของสนาม ผมก็ได้แต่มองตามไป แต่ก็…งงๆ กับเหตุการณ์เมื่อกี้

ผมมองดูภายในมือตัวเอง ขวา คือ น้ำเปล่าของไอ้เต็ม ซ้าย คือ เครื่องดื่มของน้อง แล้วเลยมองไปยังหน้าไอ้เต็ม เห็นมันยิ้มๆ ไม่เข้าใจความหมายเหมือนกันว่ายิ้มทำไม

"กินให้น้องเค้าหน่อย น้องเค้าอุตส่าห์รวบรวมความกล้าเอามาให้"

มันบอกผมครับ ผมเลยกระดกเครื่องดื่มขวดนั้นไปครึ่งขวด แล้วตามด้วยน้ำเปล่าของไอ้เต็มอีกครึ่งขวด ขวด 600 มิลลิลิตรนะครับ ไม่ใช่ 1.5 ลิตร เดี๋ยวได้จุกกลางสนามกันพอดี

หลังจากนั้นผมก็ลงสนามอีกครั้ง คราวนี้ต้องแบ่งสายตาไปมองน้องเค้าด้วยครับ ยอมรับเลยว่าน้องเค้าน่ารักมาก ตรงสเป๊คเลย อดไม่ได้ที่จะมองไปบ่อยๆ น้องเค้าก็ยิ้มให้ผมบ้าง ส่วนเพื่อนๆ น้องเค้านั้นร้องเชียร์ผมเต็มที่ ฮึดสู้สิครับ มีคนน่ารักเชียร์อยู่ทั้งที อิอิ



- หมอเต็ม -

ผมนั่งมองไอ้ฟิล์มเล่นบาส บวกกับดูมันส่งสายตาให้น้องคนนั้น ดูก็รู้ว่ามันสนใจ แล้วหันมาถามตัวเองว่า…แล้วกูมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ? ทั้งที่หนังสือก็ต้องอ่าน แต่เสือกมานั่งเฝ้าไอ้ฟิล์มเล่นบาส แค่มันชวนมาด้วย ผมก็ใจง่ายตามมันมา น่าตีตัวเองจริงๆ

แล้วยังไงล่ะทีนี้ พอมาเห็นมันส่งสายตาให้คนอื่นก็เซ็ง ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือ เป็นผมเองที่บอกมันให้ดื่มเครื่องดื่มจากน้องเค้า นี่ก็น่าตีปากตัวเองจริงๆ

บางครั้งก็เบื่อตัวเอง ที่ปากไม่ตรงกับใจ จริงๆ ก็อยากเป็นแบบน้องเค้า ชอบก็แสดงออกเลยว่าชอบ แต่คิดไปก็เท่านั้น ในเมื่อผมเลือกแล้วว่าจะวางความสัมพันธ์ของผมกับมันไว้จุดไหน ก็ต้องเป็นไปตามนั้นแหละครับ ถ้ามันจะสานต่อกับน้องเค้า ผมก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีสนับสนุนให้เพื่อนมีแฟนเป็นตัวเป็นตน

ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ดูนาฬิกาข้อมืออีกทีก็เกือบสองทุ่ม น้องคนนั้นกลับไปนานแล้วครับ แต่เกมเพิ่งจบ ไอ้ฟิล์มมันเลยเดินมาหาผม แล้วชวนไปหาอะไรกิน

"ป่ะ ไปหาอะไรกินกัน"

"อืม มึงอยากกินอะไรล่ะ" ผมถามมันครับ

"กินอะไรก็ได้ เบาๆ วันนี้กูเหนื่อยว่ะ กินหนักๆ ไม่ค่อยลง"

"ไม่ได้เล่นนานละสิ"

"เออสิ มาเล่นทีนี่แทบหมดแรง"

"งั้นแวะกินก๊วยเตี๋ยวก่อนกลับละกัน เคไหม"

"ได้ ตามนั้น …มึงขับรถให้กูด้วย" แล้วมันก็ยื่นกุญแจรถมาให้ผม ผมก็รับมา แล้วเดินนำไปที่รถมัน

ระหว่างทางที่นั่งไปบนรถ ผมเห็นมันคุยไลน์ตลอดเลยครับ อดแซวไม่ได้

"มึงคุยกับใคร อย่าบอกนะว่าคุยกับน้องคนนั้น"

"เออสิ"

"ไปแอบให้ไลน์กันตอนไหนวะ ทำไมกูไม่เห็น"

"แสดงว่ามึงไม่ได้มองกูตลอดเวลา"

"ใครจะไปมองมึงตลอดเวลาวะ กูก็ต้องมองอย่างอื่นบ้างสิ" เปล่าครับ จริงๆ ผมมองมันเกือบตลอดเวลา แล้วมันเอาให้กันตอนไหนวะ ผมงงเลย

"กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเค้าไปเอาไลน์กูมาจากไหน เล่นบาสเสร็จ กูก็เพิ่งได้เห็นข้อความที่น้องเค้าส่งมานี่แหละ"

"อ่อออ แล้วมึงพูดให้กูฟังทำไม"

"ก็มึงเป็นเพื่อนกูไง กูก็ควรเล่าทุกอย่างให้มึงฟังไหม"

"อ่อออ"

ผมก็ได้แต่ลากเสียงยาว แล้วหาที่จอดรถพามันลงไปกินก๊วยเตี๋ยวครับ…

อ่อ มีอีกประเด็นนึงที่ผมยังไม่เคลียร์เท่าไหร่ ก่อนมันจะไปต่อกับน้องคนนั้น ผมต้องมั่นใจก่อนว่ามันไม่คิดอะไรกับนิวแล้ว ผมไม่เคยถามมัน เพราะกลัวมันเจ็บ เนื่องจากนิวกับอาจารย์กี้เค้าก็เปิดตัวมาซักพักแล้ว มันก็น่าจะทำใจได้บ้างแล้วล่ะ

"กูขอถามมึงหน่อยดิ… มึงเลิกชอบนิวแล้วเหรอ ช่วงนี้กูไม่ค่อยเห็นมึงถามถึงนิวเลย"

"ก็ต้องเลิกแล้วไหม เค้าเปิดตัวกันขนาดนั้น กูคงไม่บ้าไปเป็นมือที่สามให้คนประณามทั้งโรง'บาลหรอก"

"ทำไมมึงเลิกชอบได้รวดเร็วจังวะ ทีตอนชอบนี่ถามกูทุกเช้าเที่ยงเย็น"

"…ไม่รู้ว่ะ จริงๆ กูอาจจะแค่ปลื้มนิวเฉยๆ ก็ได้ เหมือน fc อ่ะ แค่ได้เห็น ได้มอง ไม่ต้องครอบครอง ก็มีความสุขแล้ว"

"เป็นเอามากว่ะมึง แล้วตอนนี้ยังปลื้มอยู่ไหม"

"มึงถามกูจังวะ"

"ก่อนที่มึงจะไปต่อกับน้องคนนั้น มึงก็ต้องเคลียร์ตัวเองก่อนไหม"

"เอาเป็นว่า…กูรู้ว่ากูไม่มีหวังกับนิวแล้ว กูก็หยุด และพยายามตัดใจ ก็ต้องขอบคุณมึงที่อยู่กับกูตลอด มันทำให้กูตัดใจได้เร็วขึ้น"

"กู…มีส่วนช่วยให้มึงตัดใจได้ด้วยเหรอ" ผมชี้นิ้วมาที่ตัวเองแบบงงๆ

"ก็เวลาอกหัก เค้าบอกว่าให้อยู่กับเพื่อน จะได้ทำใจได้ไว …กูก็ทำแบบนั้นไง"

"อ่ออ กูเข้าใจแล้ว งั้นมึงเคลียร์แล้วนะ… กูว่ามึงไปต่อได้"

"มึงว่าน้องคนนี้โอเคไหม?" มันถามผมครับ ดูน้ำเสียงจริงจังอยู่นะ

"ก็น่ารักดี เหมาะกับมึงดี" ตอบปัดๆ ไปครับ

"ถ้ามึงบอกว่าเหมาะกับกู กูก็จะเดินหน้าละนะ" ทำไมผมรู้สึกปวดหนึบๆ กับคำว่า 'เดินหน้า' ของมันวะ

"แล้วแต่มึงสิ เกี่ยวอะไรกับกูวะ"

เกลียดปากที่ไม่ตรงกับใจตัวเองอีกแล้วครับ…



.



วันนี้ผมต้องไปตรวจ opd คลินิก asthma & COPD แทนอาจารย์หมอที่รับผิดชอบประจำ เพราะท่านไปประชุมวิชาการต่างจังหวัด พอไปถึงหน้าห้องตรวจก็ไปเจอไอ้ฟิล์มที่เตรียมอุปกรณ์สอนการพ่นยาอยู่ เลยแวะไปทักทายมันนิดหน่อย

"ไงมึง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะ"

"คิดถึงกูเหรอ" มันยิ้มตอบผมหน้าตาย กวนตีนอีกแล้วนะมึง

"ทำไมกูต้องคิดถึงมึงวะ"

มันเดินเข้ามาใกล้ผม แล้วก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันสองคน

"อย่างน้อยกูก็เคยเป็นผัวมึงตั้งคืนนึงนะ"

พูดจบ มันก็ส่งยิ้มให้ผม แล้วเดินไปเตรียมอุปกรณ์ต่อไป ส่วนผมนั้นรู้สึกว่า…โคตรเสียหน้าเลยว่ะ ทั้งที่ก็รู้นะว่าแค่พูดเล่นกัน แกล้งกันขำๆ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาก็ไม่รู้



ระหว่างที่นั่งตรวจคนไข้ไป ตาผมก็คอยแต่จะเหลือบมองมันไปด้วย มุมที่ผมนั่งสามารถมองเห็นมันที่นั่งรอสอนคนไข้พ่นยาหอบหืดอยู่ ผมเห็นมันคุยไลน์ตลอดเวลา ไม่รู้คุยกับใคร ถ้าให้เดาก็คงคุยกับเด็กมันนั่นแหละ

อยู่ดีๆ ไลน์ผมก็เด้งขึ้นมาครับ เป็นน้องพริกนั่นเอง

Prik : เที่ยงนี้พี่เต็มว่างไหมคะ

TemTem : ยังไม่แน่ใจเลยครับ ยังตรวจคนไข้ไม่เสร็จเลย

Prik : วันนี้พริกเข้าครัว เลยจัดปิ่นโตมาเผื่อพี่เต็มด้วยค่ะ

        พริกเอาปิ่นโตไปให้ได้ไหมคะ

        (รูปอาหารในปิ่นโต)

TemTem : ว้าววว น่าทานจังเลยครับ

                แต่เกรงใจจังเลย

Prik : พริกตั้งใจทำมาให้อยู่แล้วค่ะ

TemTem : (ส่งสติ๊กเกอร์ 'ปลื้มปริ่ม' ไปให้)

Prik : งั้นตอนเที่ยงพริกแวะเอาปิ่นโตไปให้นะคะ

TemTem : (ส่งสติ๊กเกอร์ 'ขอบคุณ' ไปให้)




พอเที่ยงปุ๊ป น้องพริกก็แวะเอาปิ่นโตมาให้ถึงหน้าห้องตรวจ จริงๆ ก็อยากจะชวนน้องทานด้วยกัน แต่ผมยังเคลียร์คนไข้ไม่หมดเลยครับ ยังเหลืออีกเกือบสิบเคส เลยต้องขอติดเลี้ยงข้าวน้องไว้ก่อน น้องก็เข้าใจ และรีบลากลับไป เพราะน้องก็ต้องรีบเข้างานบ่ายโมงเหมือนกัน

การปรากฎตัวของน้องพริกทำให้เจ้าหน้าที่ที่ออกคลินิกวันนี้เอ่ยแซวผมแทบทุกคน แต่มีคนเดียวที่นิ่งเงียบไปเลย คือ ไอ้ฟิล์ม

ไม่นาน ผมก็ตรวจเสร็จ แต่มองไปทางด้านไอ้ฟิล์ม มันยังเหลือคนไข้อีกสองสามคน ผมจึงทำเป็นอ้อยอิ่งเก็บนู่นเก็บนี่เข้ากระเป๋าไม่เสร็จซักที พอมองไปอีกทีก็เห็นมันกำลังตะเก็บอุปกรณ์สอนคนไข้กลับห้องยา ผมเลยเดินเข้าไปหา พร้อมกับชวนมันไปทานข้าวด้วยกัน

"มึง วันนี้กินข้าวด้วยกันไหม"

มันมองปิ่นโตในมือผม แล้วเลยมองมายังหน้าผม พร้อมกับพูดขึ้นว่า

"เดี๋ยวนี้พัฒนานะมึง มีการมาส่งปิ่นโตด้วย"

"ก็ธรรมดาคนคุยกัน… สรุปแล้วกินด้วยกันไหมเนี่ย"

"กินก็กิน"

"งั้นไปนั่งกินโรงอาหารละกัน มึงอ่ะรีบเก็บไวๆ เลย"

"มึงก็ช่วยกูสิวะ ยืนบ่นอยู่ได้"

"เออๆ"

แล้วผมก็เลยต้องช่วยมันเก็บของไปไว้ห้องยา ระหว่างทางอดถามมันไม่ได้ครับ

"ว่าแต่มึงเถอะถึงไหนแล้ว กับน้องคนนั้นน่ะ"

"ก็…แค่คุยผ่านไลน์"

"ทำไมยังไม่พัฒนาอีกวะ"

"เด็กอายุสิบหกนะมึง กูพรากผู้เยาว์เลยนะ"

"สิบหกแล้ว ไม่เด็กแล้วนะเว้ย"

"มึงอยากให้กู…มีแฟน…จริงๆ เหรอวะเต็ม"

อยู่ดีๆ ไอ้ฟิล์มก็ถามผมขึ้น หน้าตาดูจริงจังมาก ผมเลยตอบทีเล่นทีจริงออกไป เพราะไม่อยากให้บรรยากาศเครียดนัก

"ก็อยากสิวะ ถ้ามึงไม่มีแฟน เดี๋ยวมึงก็มาขอมีอะไรกับกูอีก ฮ่าๆๆ"

"ทำเป็นพูดดีไปเถอะมึง ถ้ากูมีแฟนจริงๆ ละเดี๋ยวมึงจะหนาว"

"กูไม่หนาวเว้ย กูมีน้องพริกสุดสวยอยู่ ฮ่าๆๆ"

"กูจะคอยดูละกัน ฮ่าๆ"

แล้วเราก็หัวเราะกันออกมา แต่มันคงเป็นเสียงหัวเราะที่แปร่งๆ ไม่ค่อยเต็มเสียงนักหรอกครับ…



TBC.



Talk : ใกล้จบแล้วนะคะ สำหรับเภฟิล์มกับหมอเต็ม ตอนต่อไปก็จบแล้วจ้า ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ

สำหรับหนังสือเปิดพรีออเดอร์แล้วนะคะ ตามไปที่ลิงค์นี้ค่ะ (มีตัวอย่างตอนพิเศษให้อ่านด้วยค่ะ) https://www.readawrite.com/?action=view_preorder_detail&article_guid=85b4dfa8579583fcf7982a60b8fe925c

ส่วน e-books รอ MEB อนุมัติอยู่ค่ะ คาดว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 1-3 วันนี้

หากชอบ ก็ฝากอุดหนุนเป็นกำลังใจให้เรา เพื่อจะได้มีแรงแต่งนิยายเรื่องต่อไปหน่อยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ (รัก)

ออฟไลน์ a-mee-ra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เภฟิล์มหมอเต็ม #4 ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม (จบ)


- หมอเต็ม -

หลังจากวันนั้น ผมก็เจอกับไอ้ฟิล์มน้อยลง มันไม่ค่อยมาหาผม ซึ่งปกติมันจะเป็นคนเข้าหาผมก่อนอยู่แล้ว เมื่อมันไม่เข้าหาผม แน่นอนว่าเราก็ค่อยๆ ห่างกันไป เพราะผมก็ไม่ติดต่อไปเหมือนกัน

วันนี้หลังเลิกงาน ผมมีนัดดูหนังกับน้องพริก เป็นเดตแรกของเรา หลังจากที่คุยกันทางไลน์มาสองอาทิตย์กว่า ผมขับรถไปรับน้องที่ทำงาน ซึ่งน้องเป็นพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง

"พริกคิดไว้รึยังครับว่าจะดูหนังเรื่องอะไร" ผมเอ่ยถามน้องหลังจากรับขึ้นมาบนรถแล้ว

"พริกอยากดูมู่หลานค่ะ พี่เต็มอยากดูเรื่องอื่นรึเปล่าคะ"

"พี่ดูอะไรก็ได้ที่น้องพริกอยากดูครับ" พูดจบ ก็ส่งยิ้มให้คนข้างๆ

"งั้นพริกหารอบหนังเลยนะคะ"

"ครับผม"

จากนั้น น้องก็ได้รอบหนังตอนเกือบสองทุ่ม เราจึงต้องหาข้าวกินกันก่อน ผมก็ถามน้องอีกตามเคยครับว่าอยากกินอะไร น้องอยากกินอาหารญี่ปุ่น ผมก็พาไปกินครับ พอกินเสร็จก็รีบมารอดูหนังในห้างสรรพสินค้าที่มีหนึ่งเดียวของจังหวัด ซึ่งเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่ง หนึ่งในนั้นก็มีติวเตอร์ต่างๆ

ในขณะที่ผมกับพริกกำลังจะเดินไปดูหนัง สายตาผมก็ไปสะดุดกับแผ่นหลังที่คุ้นเคย ข้างกายมีนักเรียนม.ปลาย ทั้งคู่เดินจับมือกัน กำลังพูดคุยยิ้มหัวเราะให้กันราวกับโลกนี้มีเพียงพวกเขาสองคน

ทำไมใจผมมันเจ็บแปล๊บๆ ขึ้นมาอีกแล้ว

"พี่เต็ม นั่นใช่พี่ฟิล์มไหมคะ" น้องพริกชี้ไปที่คนคู่นั้น แล้วเอ่ยถามผมออกมา

"ไม่แน่ใจอ่ะ เห็นแต่ด้านหลัง พี่จำไม่ได้หรอก"

"แต่พริกว่า ต้องใช่แน่ๆ ค่ะ ว่าแต่…เด็กข้างๆ เป็นใครกันนะ ทำไมเค้าจับมือกัน"

"อันนี้พี่ก็ไม่รู้ครับ"

"พี่เต็ม! หรือว่าพี่ฟิล์มเค้าเป็น?! "

"เอ่อ พี่ไม่ทราบครับ"

"พริกว่าเราไปทักเค้าหน่อยไหมคะ? " ตอนนี้น้องพริกที่แสนเรียบร้อย พูดน้อย น่ารัก กลายเป็นอีกคนไปแล้วครับ ผมนึกเอ็นดูอยู่ในใจ

"ไม่ดีมั้งครับ เค้าอาจจะอยากมีเวลาส่วนตัว"

"พี่เต็มรู้อะไรแน่ๆ เล่าให้พริกฟังหน่อยสิ นะคะ นะคะ" น้องพริกใช้สองมือเล็กๆ เขย่าแขนผม เหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจ ผมจึงเอื้อมมือไปกุมมือเล็กของอีกฝ่ายให้หยุดเขย่า พลางเปลี่ยนเรื่องให้อีกฝ่ายเลิกสนใจ

"พี่ไม่รู้อะไรจริงๆ ครับ ใกล้ถึงเวลารอบหนังเราแล้วนะ เราไปนั่งรอตรงโน้นดีกว่าไหมครับ" ผมพยายามพูดกับน้องด้วยความอ่อนโยน งงตัวเองเหมือนกัน พูดแบบนี้ก็เป็นด้วย โคตรจะแมนเลย

ระหว่างที่ผมคุยกับน้องพริกอยู่นั้น ไอ้ฟิล์มกับเด็กมันก็เดินเข้ามาใกล้พวกผม พอหันไปเจอ มันก็จำเป็นที่จะต้องทักทายแล้วล่ะครับ

"ไงมึง มาดูหนังเหรอ" มันทักผมก่อน

"อืม แล้วมึงล่ะ"

"มารับน้องเรียนพิเศษเสร็จ แล้วจะเลยไปส่งที่บ้าน"

"อ่อ งั้นพวกกูขอตัวก่อนนะ หนังใกล้เริ่มแล้ว"

"อือ"

แล้วผมก็จูงน้องพริกเลี่ยงออกมา พาเดินไปซื้อป๊อปคอร์นและน้ำอัดลมเพื่อรอเข้าไปในโรงหนัง ผมอดที่จะมองตามคนอีกคู่ไม่ได้ ก็เห็นกำลังเดินคล้องแขนกันลงบันไดเลื่อน เด็กมันพูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ มองดูแล้ว…เหมาะสมกันดี

ผมเบือนหน้าหนี หันมาสนใจร่างเล็กคนที่อยู่ข้างๆ ผม ที่ตอนนี้ก็พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย สดใส มีชีวิตชีวา ร่าเริง น่ารัก อยู่ด้วยแล้วน่าจะสบายใจ แต่…ผมกลับรู้สึกไม่แฮปปี้ ใจผมวนเวียนคิดถึงแต่หน้าไอ้ฟิล์ม ยิ่งมาเห็นมันเดินยิ้มมีความสุขกับเด็ก ใจผมยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข

"พี่เต็ม! พี่เต็ม! ฟังพริกอยู่ไหมคะเนี่ย?! "

"อ่อๆ ฟังครับ" เปล่าครับ ไม่ได้ฟังเลย

"งั้นเมื่อกี้พริกพูดอะไรคะ"

"พริกบอกว่า…บอกว่าอะไรนะ…เอ่อ…อะไรน๊าาา"

"ไม่ต้องเลย ไม่ตั้งใจฟังพริกอ่ะ"

"งั้นน้องพริกพูดใหม่ เดี๋ยวคราวนี้พี่ตั้งใจฟังเลยครับ"

"ไม่เอา พริกไม่พูดแล้ว"

ไม่พูดเปล่านะครับ งอนเดินหนีผมแล้ว อิหยังวะ เรื่องแค่นี้ก็โกรธเหรอ? ผมงงเล็กน้อยตามประสาคนไม่เคยมีแฟนครับ





ผมกลับห้องมาด้วยความรู้สึกเซ็งๆ ไม่ใช่เพราะน้องงอนผมนะครับ เพราะน้องงอนผมแค่แป๊ปเดียว ผมแค่ซื้อลิปสติกให้หนึ่งแท่ง น้องก็หายงอนแล้ว แต่ที่เซ็ง เพราะในหัวผมมีแต่ภาพไอ้ฟิล์มกับเด็กนั่นเต็มไปหมด คิดจินตนาการไปต่างๆ นานา ว่าเค้าไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว

นี่ผมชอบมันจริงๆ เหรอครับ?

ทำยังไงถึงจะสลัดความรู้สึกนี้ออกไป ทั้งที่พยายามทุกทาง ไม่ว่าจะขีดเส้นอย่างชัดเจนว่าให้มันเป็นแค่เพื่อน หรือพยายามไปคบคนอื่นเพื่อลบภาพมันออกจากหัว แต่ทุกทางที่ทำไปไม่ได้ช่วยให้ผมลบภาพมันออกไปได้เลย

มีแต่ 'ชัดเจน' มากขึ้นทุกวัน

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อกผมต้องระเบิดเข้าซักวันแน่ๆ





- เภฟิล์ม -

วันนี้ผมต้องไปรับน้องจากที่เรียนพิเศษเหมือนเคยครับ ผมทำแบบนี้ได้อาทิตย์กว่าแล้ว ก็ตั้งแต่ที่ไอ้เต็มมันไล่ให้ผมไปมีแฟนนั่นแหละ ผมก็เริ่มเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์กับน้อง น้องก็น่ารักตามวัย ยังใสๆ ยังอ่อนต่อโลก ครอบครัวเค้าเลี้ยงมาดี ผมก็ไม่กล้าทำน้องเค้าแปดเปื้อนหรอกครับ อย่างมากก็เดินจับมือกันใสๆ แค่นั้นน้องเค้าก็เขินจะแย่อยู่แล้วครับ

"วันนี้พี่ฟิล์มอยู่เป็นเพื่อนบีมก่อนได้ไหมครับ พ่อกับแม่ไปงานเลี้ยงยังไม่น่าจะกลับ" น้องเอ่ยชวนผม ระหว่างที่ใกล้ถึงบ้านน้องแล้ว

"ได้สิครับ" ผมหันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้ด้วย

พอถึงบ้านน้อง ผมก็ขับรถเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย แต่ผมก็เคยเข้าไปแค่ห้องรับแขกนะครับ เพราะน้องเคยพาผมเข้าไปสวัสดีพ่อกับแม่ โดยที่แนะนำว่าผมจะมาติววิชาอื่นๆ ที่น้องไม่ได้เรียนพิเศษให้ พ่อกับแม่น้องจึงต้อนรับขับสู้ผมอย่างดี

จอดรถเสร็จ ผมก็เดินตามน้องเข้าไปในบ้าน แล้วก็นั่งลงโซฟารับแขกเหมือนเคย แต่น้องบอกว่าเข้าไปนั่งเล่นห้องนอนน้องก็ได้ น้องก็คงเชื้อเชิญเพราะไม่คิดอะไรมาก แต่สำหรับผม คนที่ผ่านโลกมาพอสมควร ก็อดคิดไม่ได้ว่า…โอกาสมาถึงแล้ว

ผมเดินตามน้องเข้าไปในห้องนอน เป็นห้องเรียบๆ ไม่มีอะไรตกแต่งมาก มีโต๊ะคอมฯ ตู้เสื้อผ้า และเตียงนอนใหญ่อยู่กลางห้อง และประตูเปิดสู่ห้องน้ำส่วนตัว

"พี่ฟิล์มนั่งเล่นที่เตียงบีมก็ได้นะครับ เดี๋ยวบีมไปอาบน้ำก่อน"

ผมรั้งแขนน้องไว้ น้องก็หันหน้ามามองผมด้วยความแปลกใจ แต่ผมอาศัยจังหวะนั้นฝังเรียวปากของตัวเองลงไปยังริมฝีปากอิ่มเต็มตรงหน้า ดูดเม้มเบาๆ ก่อนจะผละออกมา ผมจ้องตาน้องนิ่ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า

"อย่าชวนใครเข้าห้องนอนง่ายๆ แบบนี้อีกนะครับ…มันอันตราย"

"คะ ครับ"

"รีบไปอาบน้ำเถอะครับ ก่อนที่พี่จะอดใจไม่ไหว"

"คะ ครับ"

"พี่ออกไปรอข้างนอกนะครับ"

"…ครับ"

พูดจบ ผมก็ปล่อยมือน้อง แล้วเดินออกมานั่งรอที่ห้องรับแขก ที่ผมเดินออกมา ไม่ใช่เพราะผมจะอดใจไม่ไหวหรอกนะครับ แต่ขณะที่ปากผมจูบกับน้องบีม หน้าไอ้เต็มกลับลอยเข้ามาในหัว นี่ผมท่าจะอาการหนักแล้วนะครับ

จริงๆ ผมเริ่มหัวเสียตั้งแต่เห็นมันยืนกุมมือน้องพริกอยู่หน้าโรงหนังแล้วครับ แต่ผมก็แสดงออกไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือ เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อทักทาย แต่ก็ดูมันไม่อยากให้ผมเข้าไปทักนักหรอกครับ

แต่ก็ช่างเถอะครับ ผมก็ไม่อยากทนมองภาพบาดตาบาดใจนั้นซักเท่าไหร่ ก็ดีแล้วที่มันรีบขอตัวเดินออกไป เพราะถ้าอยู่นานกว่านี้ อาจเป็นผมที่ควบคุมตัวเองไม่ได้

ผมคิดไปถึงวันที่มันบอกให้ผมไปมีแฟน ดูท่าทางมันก็คงอยากให้ผมมีแฟนจริงๆ เพราะมันจะได้ไม่ตัวติดกับผมไง แล้วที่ผมมาคุยกับน้องบีมก็เพราะมันเลยนะ ถ้าวันนั้นมันบอกให้ผมไม่สนใจเด็กคนนี้ ผมก็จะไม่สนเลย เพราะยังไงผมก็แคร์มันมากกว่าอยู่แล้ว

ไม่ใช่ว่าผมโทษมันนะที่ผมต้องมาเป็นแบบนี้ แต่ผมเต็มใจทำตามสิ่งที่มันต้องการ…ผมเต็มใจทำเพื่อมันเอง

พอพ่อแม่น้องมาถึงแล้ว ผมก็ขอตัวออกมาเลยครับ โดยที่น้องยังอาบน้ำไม่เสร็จ ผมขับรถออกมาเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมาย ยังไม่คิดจะกลับหอพัก เปิดเพลงเบาๆ คลอไปกับบรรยากาศเหงาๆ ยิ่งทำให้ความรู้สึกจมดิ่งสู่เบื้องลึกของจิตใจ

บางครั้งอาจถึงเวลาที่ต้องให้ค่ากับ 'ความรู้สึกของตัวเอง'

ชอบ…ก็บอกไปเลยว่าชอบ

ผลจะออกมาแบบไหน ก็ต้องยอมรับ เพราะถ้าเก็บไว้อีกต่อไป ความรู้สึกเหล่านี้มันคงจุกอกผมตายเข้าซักวัน



ผมขับรถกลับหอพักอย่างคนที่มีเป้าหมาย ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่ผมไม่สนใจเวลาแล้วครับ ผมเดินเข้าไปในหอพักแพทย์ กดลิฟต์ไปยังชั้นห้า ออกจากลิฟต์ก็ไปเคาะประตูห้องบานที่คุ้นเคย

ไม่นานประตูก็เปิดออก…

หลังบานประตู คือ ไอ้เต็มในสภาพที่เหมือนคนหลับไปแล้ว หัวเหอยุ่งเหยิงยืนหน้าหงิกมองผมอย่างเคืองๆ

ผมไม่สนใจแล้วว่ามันจะอยู่สภาพไหน ผมเดินเข้าไปในห้องของมัน ปิดประตูตามหลัง ทันทีที่ได้ยินเสียงบานประตูกระทบกัน เป็นสัญญาณว่า…โลกทั้งใบมีเพียงเราสองคน ผมก็สาวเท้าเข้าไปกอดมัน กอดแนบแน่นชนิดที่ไม่ยอมให้อากาศลอยผ่านได้เลย มีแรงยั้งตัวจากมันนิดหน่อย แต่แค่นิดหน่อยจริงๆ เพราะหลังจากนั้นมันก็โอบกอดผมตอบ…แนบแน่นไม่ต่างกัน



หลังจากที่เรายืนกอดกันนิ่งนาน เป็นเวลากี่นาทีก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันรู้สึกดีจนผมไม่อยากละอ้อมแขนไปไหนเลย แต่ก็เป็นไอ้เต็มอีกนั่นแหละครับที่ผละตัวออกมาก่อน แต่ผมก็รั้งแขนมันไว้ ราวกับว่า กลัวมันจะหายตัวไปเสียอย่างนั้น มันเลยจับมือผมแล้วจูงไปนั่งลงที่ปลายเตียงนอน

สัมผัสอบอุ่นจากมือนุ่มของมันทำให้ผมจับไว้ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าเราจะนั่งอยู่ข้างกันก็ตาม ผมก้มลงไปมองหน้ามันที่เงยมองผมอยู่ก่อนแล้ว นัยน์ตาฉายแววสับสน มีความกล้าๆ กลัวๆ อยู่ในดวงตาคู่นี้ เรื่อยลงไปเป็นจมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้เผยอน้อยๆ ภาพตรงหน้าทำให้ผมอดใจไม่ไหว ฝังจมูกและปากลงไปยังใบหน้าคนข้างกาย รับรู้ถึงการตอบรับอันดี ไม่ใช่แรงต้านอย่างที่นึกกลัว

ลิ้นร้อนไล้เลียขอบปากอิ่มอย่างเชื่องช้า ไม่เร่งร้อน ไม่เร่งเร้า ราวกับต้องการจดจำทุกสัมผัสให้ติดตรึงไว้ในความรู้สึก…

ผ่านไปนานพอสมควร ผมถึงยอมปล่อยริมฝีปากมันให้เป็นอิสระ เรานั่งจ้องตากันนิ่ง ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากปากแต่ละคน เหมือนกลัว…กลัวว่าถ้าฝ่ายใดพูดออกมาแล้วจะกลายเป็น 'คนแพ้'

เพราะความสัมพันธ์ของพวกผมมันเป็นความสัมพันธ์ที่ 'แข่งขัน' กันมาตลอด 

แต่ท้ายสุดแล้ว…ผมก็ต้องยอมแล้วล่ะครับ ยอมเป็นคนแพ้ในการแข่งขันนี้



"วันนี้กูนอนด้วยนะ…"

ผมพูดออกไป โดยที่ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรที่ดีกว่านี้แล้ว มันก็พยักหน้าหงึกหงักเหมือนเป็นการอนุญาตไปในตัว ผมจึงยอมปล่อยมือมัน เพื่อจะลุกไปนอนโซฟาซึ่งเป็นที่ของผม แต่มันก็กระตุกข้อมือผมไว้ แล้วเอ่ยขึ้น

"นอนเตียงด้วยกันก็ได้…จะได้นอนสบาย"

พูดจบ มันก็หลบสายตาผม ผมจึงมองไม่เห็นว่านัยน์คู่นั้นฉายแววอะไรออกมา แต่ในเมื่อมันชวนแล้ว ผมก็ทำตามที่มันบอก ล้มตัวลงนอนแทบจะในทันที มันก็เดินไปปิดไฟ แล้วกลับมาล้มตัวนอนอีกด้านของเตียง เตียงเล็กๆ ที่มีผู้ชายสองคนนอนข้างกันก็ทำให้เราตัวติดกันไปโดยปริยาย

เรานอนหงายมองเพดานไปได้ซักพัก ผมก็ตะแคงข้างหันมาหามัน และมันก็เปลี่ยนมานอนแบบผม ตอนนี้เราจึงจ้องหน้ากันนิ่ง รับรู้ได้ถึงลมหายใจที่รินรดกันและกัน แต่ก็ไม่มีใครยอมพูดอะไร

ผมหายใจลึกๆ อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา

"ถ้าตอนนี้ เรากำลังแข่งกันอยู่ เกมนี้มึงชนะว่ะเต็ม…กูแพ้ราบคาบเลย"

"ทำไมวะ"

"กูว่า…กูชอบมึงเข้าแล้วว่ะ มึงชนะกูแล้ว กูยอมมึงทุกอย่างแล้ว"

"…ไม่ว่ะ มึงไม่ได้แพ้ เกมนี้เราเสมอกัน เพราะกู…ก็ชอบมึงเหมือนกัน"

"กูไม่ได้ชอบมึงแบบเพื่อนนะ"

"แล้วมึงคิดว่ากูชอบมึงแบบเพื่อนรึไง…ไม่มีเพื่อนที่ไหนเค้าเอากันหรอก"

"มึงนี่น๊าา แล้วอะไรคือการไล่ให้กูไปมีแฟน"

"ก็กู…กลัว"

"กลัวอะไรของมึง"

"…กลัวแพ้มึงไง"

จบประโยค ผมก็ดึงมันเข้ามากอดแนบอกอุ่น…บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมปล่อยอ้อมกอดนี้อีกแล้ว ต่อให้เป็นการแข่งขันที่ผมต้องแพ้ ผมก็ยังจะอยู่ตรงนี้ รอกอดมันอยู่อย่างนี้ตลอดไป…



End.




Talk : จบแล้วนะคะ สำหรับเภฟิล์มกับหมอเต็ม  :mew1: :mew1:

สำหรับหนังสือเปิดพรีออเดอร์แล้วนะคะ ตามไปที่ลิงค์นี้ค่ะ (มีตัวอย่างตอนพิเศษให้อ่านด้วยค่ะ) https://www.readawrite.com/?action=view_preorder_detail&article_guid=85b4dfa8579583fcf7982a60b8fe925c

ส่วน e-book ลิงค์นี้เลยจ้า https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzk4NDA4NyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNDAwMSI7fQ&page_no=1

ตัวอย่างตอนพิเศษ #หมอกี้น้องนิว 3 ตอน **ไม่ลงที่ไหน**

Special : พี่เลี้ยงจำเป็น (Mini NC) (ประมาณ 21 หน้า raw)

"ลูกชายคนโตหิวรึยังครับ หึหึ" พี่กี้แซวผม

"หิวครับ" ผมก็เล่นไปกับเค้า

"ให้แกะสปาเก๊ตตี้ให้เลยไหมครับ"

"ไม่หิวสปาเก๊ตตี้ครับ…หิวแด๊ดดี้น่ะครับ หึหึ" แซวผมดีนัก เอาคืนซะเลย ฮ่าๆๆ

"กินแด๊ดดี้ไม่ได้นะครับอานิว" ข้าวกล้องเอ่ยขึ้น ในระหว่างที่เคี้ยวอาหารหมดคำแล้ว

"ทำไมละครับข้าวกล้อง" ผมเอ่ยถามเด็กน้อยอย่างขำๆ

"ก็คุณครูสอนมาว่าป่าป๊า ก็คือพ่อ แล้วพ่อก็คือ daddy ซึ่ง…พ่อ ไม่ใช่ อาหาร นะครับ งั้นอานิวกิน daddy ไม่ได้นะครับ" เด็กน้อยขยายความให้ผมเข้าใจ นั่นแทบจะทำให้ผมกลั้นหัวเราะไม่ได้ เด็กหนอเด็ก

"โอเคๆ อานิวเข้าใจแล้วครับ อานิวไม่กิน daddy แล้วก็ได้"

ผมมองไปที่พี่กี้ ก็เห็นอีกฝ่ายยิ้มรอรับอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็เดินมากระซิบที่ข้างหูผม ให้ได้ยินกันสองคน

"แต่ daddy กินลูกชายได้นะ"

ผมมองตอบพี่กี้เขินๆ อย่างไม่รู้จะตอบโต้ยังไงดีแล้วครับ…คนหื่นก็คือคนหื่นนั่นแหละ!




Special : ในวันที่เราต้องไกลห่าง (ประมาณ 26 หน้า raw)

ผมตื่นแต่เช้าขึ้นมาในห้องที่เริ่มจะคุ้นเคย เพราะอาศัยมากว่าสองอาทิตย์แล้ว ห้องที่ไม่ได้ใหญ่มาก มีเพียงเตียงนอน และห้องน้ำในตัวเท่านั้น สภาพกลางเก่ากลางใหม่ ถูกดัดแปลงมาจากห้องพักผู้ป่วย แต่บัดนี้กลายมาเป็นห้องพักแพทย์เสียแล้ว

ตอนนี้ผมเป็นอินเทิร์นสอง หมายความว่า ทำงานเข้าสู่ปีที่สอง และในปีนี้จะต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลชุมชน หรือ รพช. หรือ โรงพยาบาลประจำอำเภอที่มีขนาด 10-120 เตียง ผมจับฉลากกับเพื่อนๆ ได้รพช. ขนาด 30 เตียง ก็จัดว่าเป็นขนาดเล็ก ไม่วุ่นวายเท่ารพท. (โรงพยายาลประจำจังหวัดทั่วไป) ที่เคยอยู่มา ปริมาณคนไข้น้อยกว่า แต่ต้องมีความรู้แทบทุกด้าน เพราะมีหมอแค่ 3 คน รวมผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว

หนึ่งในหมอ 3 คนก็มีไอ้ตะวันด้วย ดวงผมจะสมพงษ์กับมันเกินไปแล้วนะครับ ตอนเป็นอินเทิร์นหนึ่งก็วนวอร์ดเดียวกันตลอด พอมารพช. ยังได้โรง'บาลเดียวกันอีก แต่จริงๆ แล้วผมก็แอบอุ่นใจนะที่เป็นมัน เพราะทำงานร่วมกันบ่อย จนคิดว่ารู้จักกันดีประมาณหนึ่งแล้ว

เรื่องงานก็หนักใจไปอีกแบบ แต่ก็ไม่มาก รอให้เข้าที่เข้าทางก็คงดีกว่านี้ แต่เรื่องที่มีผลต่อจิตใจมากกว่า คือ ต้องอยู่ห่างไกลกับพี่กี้เป็นระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร เพราะเป็นอำเภอที่อยู่ติดกับอีกจังหวัด

ผมไม่เคยต้องอยู่ไกลกับพี่กี้มากขนาดนี้ และนานขนาดนี้ ใจมันก็หวิวๆ หน่อยครับ ปกติมีคนกินข้าวด้วย มีคนนอนรออยู่ที่ห้อง แต่ตอนนี้มองไปทางไหนมันก็ว่างเปล่าไปหมด ยิ่งต้องมาอยู่ในสภาพ 'ห้องผีสิง' ที่กรีนให้คำนิยามไว้ ใจมันยิ่งห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก...



Special : Honeymoon trip (NC) (ประมาณ 27 หน้า raw)

เราผละริมฝีปากออกจากกัน น้องมองตาผมนิ่ง…นาน

ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่า…ชัดเจน

"ทีนี้ ตาผมแล้วนะ"

"หืมม์? "

ผมถามด้วยความงงงวย มีเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่มอยู่ในหัว

"ก็ที่พี่บอกจะให้นิวไง"

"ให้อะไร"

"ให้นิวรุกพี่"

"เอิ่มมม"

"ไม่ต้องเอิ่ม ป่ะ ไปต่อที่เตียงกัน"

พูดจบ น้องก็กึ่งลากกึ่งจูงผมขึ้นมาจากน้ำ ส่วนผมนั้นยังขาอ่อนปวกเปียกจากการเสียน้ำเมื่อครู่อยู่เลยครับ น้องลากผมเข้าไปชำระล้างร่างกายภายใต้ฝักบัวอันเดียวกัน โรแมนติกสุดๆ แต่จะโรแมนติกกว่านี้ ถ้าฉากต่อไป ไม่ใช่ผมที่ต้องเสียตัวให้น้อง!

///////////////////////////////////////////////////

หากชอบ ก็ฝากอุดหนุนเป็นกำลังใจให้เรา เพื่อจะได้มีแรงแต่งนิยายเรื่องต่อไปหน่อยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ (รัก)

ำหรับหนังสือเปิดพรีออเดอร์แล้วนะคะ ตามไปที่ลิงค์นี้ค่ะ (มีตัวอย่างตอนพิเศษให้อ่านด้วยค่ะ) https://www.readawrite.com/?action=view_preorder_detail&article_guid=85b4dfa8579583fcf7982a60b8fe925c

ส่วน e-book ลิงค์นี้เลยจ้า https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzk4NDA4NyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNDAwMSI7fQ&page_no=1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2020 18:56:59 โดย a-mee-ra »

ออนไลน์ samsung009

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด