ตอนพิเศษวันเข้าพรรษา
เวียนเทียนเสี่ยงรักเทียนจงช่วยเป็นพยาน รักให้ยืนนานดั่งสัญญา
จะไม่แรมร้างราขอสาบานว่า หน้าแสงเทียน
ใจจะเฝ้ารักภักดีอยู่ คู่กันกับเธอไม่ขอเปลี่ยน
รักเธอเสมอ ใจไม่เปลี่ยน รักดังธูปเทียน เฝ้ารักเปลวไฟ* “บ้านพี่มีดอกไม้ประหลาด จ้อยอยากเห็นไหม”
ท่ามกลางเสียงพระสวดบทพาหุง กลางศาลาวัดที่ชาวบ้านพากันลุกขึ้นเอาข้าวไปใส่ในบาตรที่วางเรียงไว้ ต่อคิวกันยาวเป็นงูเลื้อย เด็กชายสิงห์หลบแม่มานั่งข้างจ้อย กระซิบกระซาบบอกให้รู้กันแค่สองคน
พี่ยิ้มกว้างเมื่อน้องพยักหน้าระรัว แววตาแจ่มใสกระตือรือร้น จ้อยก็เป็นแบบนี้ ตื่นเต้นยินดีง่ายดายกับทุกเรื่องที่เขาสรรหามามอบให้
ก่อนเข้าพรรษาเป็นวันอาสาฬหบูชา ตอนเช้าที่วัดมีการทำบุญตักบาตรและฟังธรรม คนเฒ่าคนแก่นุ่งขาวห่มขาว รับศีลอุโบสถ ส่วนหนุ่มสาวและเด็กๆ ใส่บาตรแล้วก็กลับบ้าน
จ้อยให้ยายแวะส่งที่ท่าน้ำหน้าบ้านกำนัน พี่สิงห์รออยู่ก่อนแล้ว พี่พาน้องลัดเลาะมาตามใต้ถุน จูงมือน้อยไม่ปล่อย จนกระทั่งถึงสวนท้ายเรือนชุ่มฉ่ำเขียวชอุ่ม ฝูงผีเสื้อปีกสวยหลากสีบินว่อน หมู่ผึ้งและแมลงภู่บินวน หาดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้ขวักไขว่ พุทธรักษา กุหลาบ ราตรี ดาวเรือง แข่งกันเบ่งบานสดสวย
หากแปลงดอกไม้ต้นสูงแค่เข่า ดอกสีเหลืองอร่ามทิ้งช่อระย้าโดดเด่นสะดุดตาจ้อยกว่าใคร
“นี่ไงดอกไม้ประหลาด” เด็กชายตัวโตชี้มือบอกน้อง เจ้าตัวเล็กยิ้มกว้าง ดวงตาใสแจ๋วมองดอกไม้แปลกหน้าอย่างพิศวง ก่อนทรุดลงนั่งยองๆ ยื่นหน้ามองใกล้ๆ
“ดอกไม้ประหลาด” จ้อยทวนคำพี่ “สวยจัง น้องจ้อยไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“ดอกเข้าพรรษา” พี่อธิบาย สายตายังจับจ้องแต่วงหน้าไร้เดียงสาที่เฝ้ามองดอกไม้อย่างชื่นชม “ออกดอกแค่ตอนเข้าพรรษาเท่านั้นนะ เอาไปถวายพระแล้วจะได้บุญมาก รับรอง ทั่วเกาะเมืองไม่มีบ้านไหนปลูกหรอก”
อย่าว่าแต่ทั่วเกาะเมือง ทั่วอยุธยาก็ยังไม่รู้จะมีหรือเปล่า อย่างแปลงนี้แม่ก็อุตส่าห์ไปขุดมาจากสระบุรีเมื่อครั้งไปทอดผ้าป่าเมื่อปีก่อน ดอกไม้จากเชิงเขาย้ายมาอยู่ที่ลุ่ม น้าเวกทะนุถนอมแทบตาย แต่แกก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นมันออกดอกเมื่อใกล้วันเข้าพรรษา
ฟังพี่โอ่แล้วน้องยิ่งยิ้มกว้าง ผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาเกาะลงตรงไหล่
“ป้าทรัพย์ให้น้องจ้อยจริงๆ หรือจ๊ะ” จ้อยหันมาถามลิงโลด เด็กชายวัย ๑๐ ขวบเห็นแล้วอดคิดไปไม่ได้ ยิ้มของน้อง ตาของน้อง น่ามองยิ่งกว่าเอาดอกไม้ทั้งหมดในโลกมากองรวมกันเสียอีก
“จริงสิ”
สิงห์ไม่ได้บอกน้องหรอกว่า ตอนแรกที่ไปบอกแม่ว่าจะขอแบ่งดอกเข้าพรรษาให้จ้อย คนขี้หวงอย่างแม่ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ให้ จนกระทั่งพ่อเอ็ดว่า ‘จะหวงอะไรเด็กมันนักหนา แค่ดอกไม้’ นั่นแหละ แม่จึงยอมแบ่งให้อย่างเสียไม่ได้
ทั้งที่แม่ออกจะตามใจเขาทุกเรื่องแท้ๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องจ้อย แม่จะตีหน้ายักษ์ใส่ตลอด อย่างเรื่องนี้ ลับหลังพ่อ เด็กชายสิงห์ก็โดนหยิกเนื้อแทบหลุด โทษฐานที่ไปคลุกคลีกับลูกนังหยำฉ่าทั้งที่ห้ามแล้วห้ามอีก
แต่ใครหน้าไหนเลยจะห้ามเขาได้ แค่เห็นน้องยิ้มให้ ก็คุ้มเหลือหลายแล้วกับรอยหยิกเขียวๆ ที่ต้นแขน
เด็กชายตัวโตเลือกตัดเอาแต่ดอกที่มีช่อยาวๆ และเพิ่งจะบานให้น้อง ๔-๕ ช่อ
“แม่พี่บอกว่าใครเอาดอกเข้าพรรษาไปถวายพระในวันเข้าพรรษา ถ้าเป็นผู้หญิงชาติหน้าจะสวย ถ้าเป็นผู้ชายชาติหน้าจะหล่อ” เพราะเหตุนี้ละมั้ง แม่ถึงได้หวงนักหวงหนา
หน้าระรื่นของน้องหมองลงทันตา “งั้นแสดงว่าชาติก่อน น้องจ้อยไม่เคยเก็บดอกเข้าพรรษาไปถวายพระแน่เลย” จ้อยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่หัวก็ยังไม่พ้นไหล่พี่ แบมือขาวซีดขึ้นมองแล้วถอนใจเฮือกๆ “ชาตินี้ถึงได้ทั้งเตี้ย ทั้งผอมเป็นกุ้งแห้งแบบนี้”
“ใครบอกว่าจ้อยไม่หล่อ” พี่หันขวับ เถียงกลับทันควัน เอื้อมมือไปลูบผมน้อง ผมสั้นๆ นุ่มมือเหมือนขนแมว “คนเราน่ะดูตอนเด็กๆ ยังไม่เห็นความหล่อหรอก ต้องรอให้เป็นหนุ่มเสียก่อนรู้ไหม”
เห็นน้องพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย พี่จึงค่อยยิ้มออก ส่งช่อดอกไม้เหลืองอร่ามให้จ้อยถือเต็มมือ ก่อนไปตัดใบตองมาห่อเพื่อกันไม่ให้ดอกไม้ช้ำ ก่อนถีบจักรยานไปส่งน้องที่บ้านด้วยหัวใจเป็นสุข ไม่ลืมนัดแนะกัน
“คืนนี้มาเวียนเทียนกันนะ”
****************************
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ บนฟ้ามีดวงจันทร์ส่องสว่างเปล่งแสงนวล โดดเด่นอยู่ลำพังกลางท้องฟ้าสีเข้ม ไร้แสงดาวระยิบระยับ ดวงดาวคงถูกกวาดลงมาอยู่บนพื้นดินตรงลานโบสถ์กันหมด หากเป็นแสงดาวแห่งศรัทธาที่สว่างไสว ด้วยแสงไฟจากธูปเทียนนับร้อยดวง
ชาวบ้านทุกเพศทุกวัย ถือกรวยใบตองใส่ดอกไม้ธูปเทียนไปร่วมพิธีเวียนเทียนกันมากมาย พระภิกษุสงฆ์เดินสวดมนต์นำอยู่ตอนหน้า ถัดมาเป็นปู่ย่าตายายลุงป้าที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลและชาวบ้านทั่วๆ ไป ส่วนพวกหนุ่มสาวและเด็กๆ ชอบเดินข้างท้าย จะได้พูดคุยและเล่นกัน
แม่ไม่มาเวียนเทียนเพราะไม่ชอบกลิ่นธูปคละคลุ้ง สิงห์จึงหลบพ่อมาเดินเคียงข้างจ้อยที่ท้ายขบวนได้อย่างง่ายดาย จ้อยที่เดินอยู่กับจินดาหันมายิ้มให้ทันทีที่เห็นกัน แสงเทียนเรืองรองส่องหน้านวลใสกระจ่าง ท่ามกลางผู้คนมากมาย สิงห์กลับรู้สึกเหมือนทั้งโลกมีแค่เขากับจ้อยแค่สองคน
จนกระทั่ง..
“โอ๊ย!” จ้อยร้องลั่น มือน้อยตะปบหลังคออย่างแสบร้อน สิงห์หันขวับกลับไปจ้องคนที่เดินตามหลังทันที
นึกว่าใคร ไอ้ลอย ไอ้หมาน ไอ้เลิศ พวกเด็กเกเรในตลาดนี่เอง
จินดาชะโงกดูคอน้อง เห็นเนื้ออ่อนๆ แดงเป็นรอยไหม้ก็กัดฟันกรอด ส่งสายตาตำหนิไปให้พวกอันธพาล ก่อนจูงมือน้องให้ถอยห่างออกมา
ในขณะที่สิงห์เป็นเดือดเป็นแค้นกว่าใคร
“ไอ้ลอย! มึงเดินยังไง ธูปโดนน้องกูแล้วเห็นไหม!”
“เสือกเดินช้าเองนี่หว่า ช่วยไม่ได้” เด็กชายตัวโตยักไหล่ยียวน ไอ้สองคนที่เหลือก็หัวเราะร่วน ลูกชายกำนันชี้หน้าอาฆาตก่อนเดินไปประกบน้อง สามสหายจอมเกเรแทรกผู้คนเข้าไปตามติด
“เทียนดับ ขอต่อหน่อย” ตัวหัวโจกแกล้งเป่าเทียนตัวเอง แล้วยื่นมาขอต่อจากเจ้าตัวเล็กที่มีพี่ชายสองคนเดินขนาบข้าง เด็กชายคนซื่อยืนเทียนให้ต่ออย่างเต็มใจ หารู้ไม่ว่านำภัยมาถึงตัว
ไอ้ลอยแกล้งทำน้ำตาเทียนหยดใส่มือขาว
จ้อยสะดุ้งโหยงเป็นหนที่สอง “ต่อดีๆ ซี โธ่ เทียนหยดใส่จ้อยแล้ว” ได้แต่โอดครวญประสาซื่อ ลูบแขนตนป้อยๆ
“ไอ้ลอย!” เห็นจ้อยเจ็บแบบนั้น สิงห์เริ่มจะหมดความอดทน มือที่เมื่อครู่ยังพนมอยู่กับธูปเทียน ตอนนี้กำแน่นด้วยความเคืองขุ่น และคงปราดไปชกหน้ามันแล้วถ้าจินดาไม่ปรามไว้ด้วยสายตา
พวกเด็กเกเรเห็นอีกฝ่ายนิ่งเฉยจึงยิ่งได้ใจ กลุ้มรุมกันขอต่อเทียนแต่กับจ้อยไม่ยอมหยุด
“ขอต่อหน่อย..”
“ไม่เอา..”
“หน่อยน่า..”
“ไม่ให้แล้ว.. โอ๊ย.. เทียนหยดใส่จ้อยอีกแล้วนะ”
ความอดทนของสิงห์ขาดผึง “ไอ้ลอย!” มือเล็กของเด็กชายวัย ๑๐ ขวบ ผลักอกเด็กโตกว่าอย่างไอ้ลอยจนเซ “เลิกยุ่งกับน้องกู!”
เด็กเกเรเสียหน้าที่โดนผลัก มันชี้หน้าลูกชายกำนันอย่างมาดร้าย เดินปรี่เข้าใส่ จ้อยได้แต่ยืนงง และคงมีมวยหมู่ไปแล้วถ้าจินดาไม่เข้ามาขวางไอ้ลอยไว้ทั้งตัว
“ขอต่อเทียนหน่อย” ใบหน้าหวานคมเรียบนิ่งเล่นเอาไอ้ลอยงง หากจินดากลับยื่นเทียนเข้าหา เทียนที่บอกว่าดับไหงมีไฟลุกโชนสว่างจ้า
จิ้มแขนไอ้ลอยหน้าตาเฉย!
“โอ๊ย!” เสียงที่เริ่มแตกหนุ่มร้องลั่นด้วยความแสบร้อน “จินดา! มึง..”
“จุ๊ๆๆๆๆ” เสียงคนโตข้างหน้าหันมาจุ๊ปากเตือน “อย่าเล่นกันเดี๋ยวบาป ตายไปเกิดเป็นลิงห้าร้อยชาติ”
พวกเด็กเกเรชะงัก มือที่กำหมัดเงื้อง่าค้างเติ่งในอากาศ จินดากับสิงห์จูงมือน้องที่เอาแต่ยืนเป๋อเหลอแทรกเข้าไปในกลุ่มผู้ใหญ่ ทีนี้ไอ้พวกอันธพาลก็ไม่กล้าตามแล้ว
พอเวียนครบสามรอบ ก็หันหน้าไปทางพระประธานในโบสถ์ ตั้งจิตอธิษฐานขอพรพระตามที่ตนประสงค์
“พี่สิงห์อธิษฐานอะไรหรือ” มือน้อยสะกิด เมื่อเห็นพี่ยกธูปเทียนดอกไม้ขึ้นจบที่หน้าผากนานผิดปกติ
พี่หันมายิ้มเผล่ “อธิษฐานให้จ้อยสูง”
จินดาหัวเราะขำ ในขณะที่จ้อยหน้าม้าน เด็กน้อยทำปากอูดใส่พี่ “พูดเล่นต่อหน้าพระระวังจะเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม”
ลูกชายกำนันหัวเราะ ยื่นมือไปลูบผมนุ่มอีกครั้งด้วยสายตาที่ใช้มองแต่จ้อยเพียงคนเดียว
************************
รุ่งเช้าเป็นวันเข้าพรรษา ชาวบ้านพากันไปทำบุญที่วัด ทุกคนแต่งตัวสะสวยเรียบร้อยผู้หญิงนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อหลากสี ดูสดสวยละลานตาเหมือนดอกไม้เบ่งบาน ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยกันจัดกองผ้าป่าสามัคคี เอาข้าวของกะปิน้ำปลาข้าวสารกล้วยอ้อยมะพร้าวและผลไม้อื่นๆ ไปกองรวมกัน เพื่อเตรียมถวายให้เป็นของพระสงฆ์ ทุกคนล้วนสีหน้าเป็นสุขอิ่มเอิบที่ได้มาทำบุญในวันเทศกาล แจกันทุกใบหน้าพระประธานเต็มแน่นไปด้วยดอกไม้สดหลากสี หากดอกเข้าพรรษาสีเหลืองทิ้งช่อระย้าโดดเด่นสะดุดตากว่าใคร
สิงห์ถูกแม่จับแต่งตัวเสียหล่อในเสื้อลายดอกสีสันสดใส ใบหน้าที่ปะแป้งจนขาวว่อกส่งยิ้มมาให้จ้อยแต่ไกล แต่ยังลุกมาหาไม่ได้เพราะถูกแม่จ้องอยู่ ได้แต่เหลียวหน้าเหลียวหลังจนล่อกแล่ก
แปดโมงคนก็มาพร้อมกันเต็มศาลา ลุงมหายกไมโครโฟนขึ้นประกาศ “เอ้า เตรียมตัวไหว้พระรับศีลกันเน้อ” แกกระแอมเสียงดังแอ้มๆ ก่อนที่จะนำกล่าวว่า อิมินาสักกาเรนะ พุทธังอะภิปูชะยามะ ชาวบ้านว่าตามเสียงกระหึ่มไปทั้งศาลา
ไหว้บูชาพระแล้วก็อาราธนาศีล รับศีลจากหลวงปู่ด้วยอาการอันนอบน้อม จากนั้นก็พากันถวายสังฆทาน ช่วยกันประเคนอาหารคาวหวานแด่พระและสามเณร เมื่อพระฉันข้าวแล้ว ก็ถวายผ้าอาบน้ำฝน ถวายผ้าป่า พระให้พร เป็นอันเสร็จพิธี
คราวนี้ก็ถึงเวลาของพวกชาวบ้าน ต่างร่วมรับประทานอาหาร เสียงจานเสียงช้อนเสียงพูดคุยลั่นไปทั้งศาลา คุณนายพูนทรัพย์กับกำนันเฮฮาปราศรัยกับลูกบ้าน สิงห์ค่อยหลบแม่มาหาน้องได้ก็ตอนนี้
ยายช้อยยิ้มแต้เมื่อเห็นหนุ่มน้อยมาเบียดกระแซะหลานชายคนเล็ก มือเหี่ยวย่นยื่นข้าวต้มมัดที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำในปิ่นโตเหลืองขลิบเขียวมาให้ แกรู้ว่าสิงห์ชอบ จึงตั้งใจเก็บไว้ให้ เด็กชายพนมมือขอบคุณก่อนหยิบข้าวต้มมัดใส่ปากเคี้ยวแก้มตุ่ย แล้วจูงมือน้องชวนไปวิ่งเล่นที่ลานวัดอันร่มรื่น
ห่างไกลสายตาผู้คน สิงห์ประคองมือน้อย นิ่งมองเห็นรอยไหม้เพราะถูกเทียนหยดใส่เมื่อคืนแล้วสะท้อนใจ เนื้ออ่อนๆ ขาวๆ ที่สิงห์ถนอมแทบตาย กลับถูกไอ้ลอยมันเอาธูปจี้ เอาเทียนหยดใส่จนเป็นแผลพุพอง เจ็บใจนักที่เขาดูแลน้องไม่ดีเท่าที่สัญญาไว้ต่อหน้าพระ
“จ้อยเจ็บไหม” พี่ถามเสียงอุ่น น้องกลับส่ายหน้าระรัว เอาแต่สนใจลูกแก้วสวยๆ ที่พี่เอามาฝาก
ลูกชายกำนันพาน้องไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นพิกุล ล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบใบมะลิขึ้นมาขยี้ๆ แล้วแตะลงรอยแผลบนแขนเล็กแผ่วเบา
“เอามาจากไหนน่ะ เด็ดของวัดมาหรือ บาปนะ” จ้อยดึงแขนกลับ ยายเคยสอนไว้ไม่ให้เด็ดดอกไม้ในวัด ชาติหน้าจะเกิดมามือด้วน
“พี่เอามาจากบ้าน อยู่เฉยๆ น่า” พี่เอ็ดไม่จริงจังนัก นั่นแหละจ้อยจึงยอมนิ่ง ปล่อยให้พี่ขยี้ใบมะลิแต้มแขนแต่โดยดี แต่พอพี่ขยับมาแต้มที่หลังคอ จ้อยถึงกับหดคอหัวเราะเอิ้กอ้ากด้วยความจั๊กกะจี้
“พี่สิงห์ยังไม่ได้บอกน้องจ้อยเลยว่าเมื่อคืนอธิษฐานอะไร” เสียงเล็กเจื้อยแจ้ว ถามพี่ที่กำลังก้มหน้าเป่าแขนเขาเพี้ยงๆ “เห็นอธิษฐานตั้งน้านนาน”
ลูกชายกำนันชะงัก เงยหน้าขึ้นมองตาใสแจ๋วของน้อง “จ้อยอยากรู้จริงๆ หรือ” เห็นน้องพยักหน้าหงึกๆ สิงห์ได้แต่กลืนน้ำลายฝืดคอ “จ้อยต้องสัญญาก่อน ถ้าพี่บอกแล้ว อย่าเกลียดพี่นะ”
“น้องจ้อยรักพี่จะตาย จะเกลียดพี่ได้ยังไง” น้องพูดไปอย่างไร้เดียงสา หารู้ไม่ว่ากำลังทำหัวใจคนได้ยินพองโตคับอก คำว่า ‘รัก’ ที่ไม่เคยได้ยินจากปากใคร แม้แต่พ่อกับแม่
สิงห์จะกอดคำนั้นของน้องไว้แนบหัวใจจนวันตาย
“จริงหรือ รักแค่ไหน”
“รักเท่าฟ้าเลย”
เขาไม่มีวันลืมคำอธิษฐานของตนเมื่อคืนนี้ ทุกคำยังแจ่มชัด ตราตรึงอยู่ในหัวใจ ต่อให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไรสิงห์ก็ไม่มีวันลืม
พี่จ้องตาน้องที่มองมาอย่างรอคอย ริมฝีปากเล็กขยับเอ่ย “พี่อธิษฐานว่า..”
“ว้าก! ผีหลอกๆ ช่วยด้วย!”
“พี่ลอยรอฉันด้วย ผีหลอกๆๆ”
ถ้อยคำที่สิงห์จะเอื้อนเอ่ยมีเหตุให้ต้องสะดุด เมื่อเจ้าพวกเด็กเกเรตัวแสบสามคนพากันวิ่งหน้าตาตื่นมาทางนี้ โหวกเหวกโวยวาย ขนหัวตั้ง
ทำหน้าเหมือนเพิ่งเจอผีมาอย่างนั้นแหละ
เอ๊ะ! แต่เมื่อกี้พวกมันก็ร้องว่าผีหลอกนี่!
ไอ้ลอย ไอ้หมานวิ่งหน้าตั้งมาเกาะกลุ่มกับจ้อยและสิงห์ คางมันสั่นกึกๆ มือไม้เย็นเฉียบ ไอ้หมูเลิศอุ้ยอ้ายกว่าใคร มันล้มลุกคลุกคลานตามมาทีหลัง เนื้อตัวเต็มไปด้วยขี้ดิน หมดมาดนักเลงไม่เหลือหลอ
วิ่งกันมาจากทางป่าช้า!
“ผะ..ผี..ผีหลอกมาหรือ” พาให้จ้อยกลัวไปด้วย เด็กชายตัวน้อยเบียดชิดพี่อย่างจะหาที่พึ่ง วงหน้าขาวจัดซีดเผือด พี่ได้แต่รั้งน้องไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมปกป้อง
เสียงโวยวายของพวกไอ้ลอยเรียกความสนใจจากหลายคน พวกผู้ใหญ่บนศาลาพากันลงมา ใครคนหนึ่งดึงหูพวกมันคนละที ส่งเสียงติเตียนกันให้ขรม “ไปเล่นแถวเชิงตะกอนกันอีกแล้วละสิ เจ้าเด็กพวกนี้”
“ขะ..ขึ้นไปหายายกันเถอะพี่สิงห์” จ้อยเสียงสั่น กอดแขนพี่แน่น พากันกลับขึ้นไปบนศาลา ลืมคำถามที่อยากรู้คำตอบนักหนาเสียสนิท
สิงห์ได้แต่ซ่อนยิ้ม
ยังไม่ได้บอกวันนี้ก็ไม่เป็นไร
วันข้างหน้า.. เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่.. พี่จะบอกจ้อยแน่นอน
พี่จะบอกจ้อย..
จบตอน-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
*เวียนเทียนเสี่ยงรัก, ประเทือง บุญญประพันธ์ คำร้อง, บุษยา รังสี ขับร้องสวัสดีค่ะคนอ่านที่รัก
คนเขียนกลับมาแล้วจ้า หลังจากหายไปน้านนาน
หายไปนานเพราะคร่ำเคร่งอยู่กับการปิดต้นฉบับ Protege
(ใครสนใจคลิกแฟนเพจเลยเน้อ

)
ตอนนี้เสร็จหมดแล้ว จากนี้จะมาลุยมหาหงส์ต่อละน้า
กำลังเขียนบทที่ ๑๖ ค้างไว้ แล้วคุณ Vava Coco ไปชวนชายเล็ก อ.คนึง พี่สิงห์ น้องจ้อย ไปเวียนเทียนในแฟนเพจ
จากนั้น.. ไปไงมาไงไม่รู้ ตอนพิเศษนี้ก็เลยคลอดออกมาค่ะ
อาทิตย์หน้าจะมาต่อบทที่ ๑๖ ครึ่งหลัง ระหว่างนี้อ่านตอนพิเศษไปพลางๆ ก่อนเน้อ
รักคนอ่านค่ะ

ดอกไม้
๔ ส.ค. ๕๕