บทที่ ๑๖
ดอกฟ้ารักดอกดิน(ครึ่งหลังจ้ะ

)
เรือนพักอาจารย์ท้ายโรงเรียนเงียบสงบ ณ ห้องน้อยริมสุด ห้องเล็กๆ ห้องนั้นราวกับจะเรืองรัศมีแห่งความละเมียดละไมออกมา ตะเพียนน้อยสองตัวแกว่งไกวอยู่ในอากาศ แว่วเสียงทุ้มอ่อนโยนขับขานเป็นท่วงทำนองแผ่วเบาล่องลอย
“ลมพัดเอย พัดมาเอื่อยเอื่อย ขุดบ่อใต้เหื้อย อาบน้ำในขันแก้ว” มือใหญ่บรรจงผูกเงื่อนตามสาบเสื้อม่อฮ่อมบนร่างเล็ก
“นิ้วมือนิ้วตีนเหมือนเทียนฟั่น ผมสั้นเหมือนทองเขาหล่อแล้ว..” คนึงจับช่วงไหล่บางหมุนไปมาหน้ากระจก ดวงตาสีเข้มทอดมองอย่างชื่นชม เด็กหนุ่มสูงศักดิ์มาอยู่ในชุดแบบนี้ก็น่ามองไปอีกแบบ ร่างเล็กบางในเสื้อม่อฮ่อม กางเกงขาก๊วยสีน้ำเงินเข้มตัดกับผิวขาวผุดผาด
เลอมานมองภาพตัวเองในกระจกพลางตีหน้าปุเลี่ยน เอี้ยวคอหันมาถามอย่างไม่มั่นใจ
“หล่อแล้วจริงหรืออาจารย์” มือเล็กรีดไปตามรอยยับบนเสื้ออยู่นั่น
คนึงหัวเราะในคอ ลูบผมสีอ่อนนุ่มมือไปมา “อาบน้ำในขันแก้ว หล่อแล้วไม่พักต้องแต่งเอย..”
คุณชายมุ่นคิ้ว ยังงงไม่หาย วันนี้วันเสาร์ จู่ๆ ก็ถูกอาจารย์ปลุกตั้งแต่ไก่โห่ จับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่เคยคุ้น เสร็จแล้วก็จูงมือเขาเดินลิ่วๆ ไปยังเรือแจวลำน้อยที่ผูกไว้ที่ท่าน้ำท้ายโรงเรียน
แม้ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหน พาไปทำอะไร แต่เลอมานก็ไม่รู้สึกขัดข้องใจหรือระแวงสักนิด ทุกครั้งที่อยู่ใกล้อาจารย์คนึง.. คนที่เขาเชื่อสุดหัวใจ ว่าจะไม่มีทางทำร้ายกัน..
เหมือนที่ผ่านมา..
แดดเช้าอ่อนใส เป็นประกายในสายหมอก เรือน้อยแล่นไปตามลำคลองนิ่งสงบ ต้นไม้ใบหญ้าสองฝั่งเขียวชอุ่มชื้นเย็น น้ำค้างกลั่นหยดดูแวววาวราวอัญมณีกลิ้งบนใบบัว เลอมานนั่งหัวเรือ หันหน้าหาอาจารย์คนึงที่นั่งคัดท้าย ทัศนียภาพงดงามปานใดก็ไม่อาจดึงดูดใจเขาได้เท่าคนตรงหน้า
ร่างสูงใหญ่อยู่ในเสื้อม่อฮ่อมกางเกงชาวนาเหมือนกัน ต่างตรงที่มีผ้าขาวม้าคาดเอวด้วย แขนล่ำสันวาดพายจ้วงน้ำช้าๆ ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มส่งให้ เด็กหนุ่มจุ่มมือลงในน้ำคลองใสเย็น โลกสุขสงบเหลือจะกล่าว เป็นความสงบที่หาไม่ได้เลยจากมหานครศิวิไลซ์ที่เขาจากมา
เรือน้อยจอดนิ่งที่ท่าเมื่อถึงจุดหมาย บุตรชายท่านทูตเบิกตากว้างให้กับท้องทุ่งนาเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา อาจารย์ยื่นมือให้เขาจับขณะขึ้นจากเรือ ก่อนจับจูงไปตามคันนาชุ่มน้ำค้าง หญ้าเขียวระข้อเท้าฉ่ำเย็น ลมโบยโบกพาใบข้าวพลิ้วเหมือนคลื่น กบน้อยตาใสแจ๋วกระโดดหลบใต้กอข้าว กวนโคลนใต้น้ำฟุ้งขึ้นหอมชื่นใจ
คันนาแคบเกินกว่าที่สองคนจะเดินเคียงข้างกันได้ คุณชายจึงเป็นฝ่ายเดินตามหลังทั้งที่มือยังถูกจับจูง เท้าขาวเก้กัง พยายามหลบหลีกความชื้นแฉะที่ดูเหมือนหลีกยังไงก็หลีกไม่พ้น
อาจารย์เล่าว่าต้นฤดูฝนเป็นช่วงของการเตรียมดิน ขึ้นแปลง ปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะแก่การหว่านเพาะต้นกล้า เลอมานขมวดคิ้วยุ่ง
อะไรคือเตรียมดิน? อะไรคือต้นกล้า?
หากเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ถามออกไปอย่างใจคิด จนกระทั่งเห็นกลุ่มคนนับสิบก้มๆ เงยๆ อยู่ในแปลงที่เต็มไปด้วยโคลนเลนอยู่ไกลๆ เสียงพูดคุยกันแว่วมาตามลม
“รู้ไหมว่าทำไมเครื่องแบบข้าราชการถึงเป็นสีกากี” อยู่ดีๆ ใบหน้าคมสันก็หันมาถาม
“สีกากี?” เลอมานตีหน้ายุ่งกว่าเก่า อยู่ที่นี่เหมือนเขาจะฉลาดน้อยลงทุกทีสิหนอ
“สีเครื่องแบบของครูเรียกว่าสีกากี” คนึงอธิบายยิ้มๆ ศิษย์เพิ่งถึงบางอ้อ นึกไปถึงเครื่องแบบสีน้ำตาลอ่อนที่อาจารย์สวมใส่ทุกวันจันทร์ มือใหญ่กุมกระชับแน่นขึ้น ส่งยิ้มอ่อนโยน “เพราะสีกากีคือสีของดิน เหตุผลก็เพื่อให้ข้าราชการทำตัวติดดินอยู่กับประชาชน รับใช้แผ่นดิน”
อาจารย์เดินนำไปหาพวกชาวบ้านที่โบกไม้โบกมือมาให้ ตะโกนทักทายกันเสียงดังลั่นทุ่ง กลุ่มชายหญิงนับสิบในสภาพเนื้อตัวมอมแมมมองมาเป็นตาเดียว แม้จะเหงื่อไหลไคลย้อย หากแต่ละคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
เลอมานทำตามที่อาจารย์สอน เจอผู้ใหญ่ให้ยกมือไหว้ เด็กหนุ่มจึงยกมือไหว้ทีละคนจนแทบหน้ามืด เล่นเอาพวกชาวบ้านพนมมือรับไหว้กันเป็นฝักถั่ว
“ลุงแสง ผมมาช่วยดำนาครับ พาผู้ช่วยมาด้วยคนนึง ใช้งานได้ตามใจชอบเลย” คนึงพาเขาไปหาเจ้าของที่นา ฝากฝังเสร็จสรรพแล้วก็ตบไหล่เขาปุๆ
กลุ่มชาวบ้านต่างมองหนุ่มน้อยแร่รวยสวยสะอาดที่ยืนเก้กังบนคันนา ได้ข่าวว่าเจ้าหนูนี่มีเชื้อเจ้ามาจากเมืองนอก ผมและนัยน์ตาสีอ่อนเหมือนไหมและพลอยสูงค่า กระทั่งเท้ายังขาวจัดเหมือนไม่เคยต้องแดดหรือเหยียบดิน จู่ๆ ก็ข้ามฟ้ามาโผล่อยู่กลางทุ่งนากลิ่นโคลนสาบควาย ผิดที่ผิดทางจริงอยู่ แต่ยิ่งมองยิ่งเจริญตาเจริญใจ
ดั่งรุ้งแปลงแปลกฟ้าลงมาดิน
บางคนหันไปซุบซิบกัน ข่าวลือเรื่องคุณชายเสเพลริอ่านเข้าซ่องยังทิ้งควันกรุ่น หากน่าสงสัย คนเสเพลไหงลดตัวลงมาใส่กางเกงชาวนา แล้วใครนะว่าคุณชายกับอาจารย์คนึงต่อยกันกลางซ่อง หากไม่ถูกกันจริง ไฉนจูงมือกันมาช่วยลงแขกปลูกกล้าอย่างนี้เล่า
ฝั่งคุณชายอยากจะร้องไห้เต็มแก่
ประสบการณ์สุดสยองยังจำฝังใจ เจอกับตัวครั้งเดียวก็เกินพอ อะไรน่ะหรือ.. ก็เจ้า ‘ปลิง’ น่ะซี เลอมานคิดว่าเขาจะคงจำชื่อเจ้าตัวประหลาดนั่นขึ้นใจไปจนวันตายแน่
จ้อยเล่าให้ฟังว่าปลิงชอบอยู่ในน้ำตื้นและขุ่น ซึ่งท้องนาที่เขายืนมองอยู่นี่ มันก็.. ทั้งตื้นทั้งขุ่นคลั่กอย่างที่จ้อยว่าเสียด้วย
เลอมานเงยหน้ามองหาอาจารย์ หวังให้เป็นที่พึ่ง แต่กลับเห็นเพียงชาวบ้านมองมาตาแป๋ว ไร้วี่แววคนตัวสูงที่เป็นคนพามา ชาวบ้านชาวทุ่งเห็นคุณชายทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก็พาให้นึกไปว่า เด็กหนุ่มสูงศักดิ์คงรังเกียจโคลนเลนสกปรก ใครคนหนึ่งจึงไปหารองเท้าบู๊ตยางมาให้สวม นั่นแหละ เขาถึงกล้าเดินย่ำลงแปลงนาเปี่ยมน้ำ
อาจารย์คนึงเพิ่งกลับเข้ามาตอนนั้น เลอมานได้แต่ส่งสายตาเคืองขุ่นไปให้โทษฐานที่ทิ้งเขาไว้ให้ยืนเด๋อด๋า คนตัวโตเหลือบมองรองเท้าที่เขาใส่แล้วอมยิ้ม ก่อนยืนกล้าอ่อนมาให้กำหนึ่ง ไม่ลืมกำชับให้ระวังบาดมือ
ถึงจะไม่เคยทำมาก่อน แต่ทุกสิ่งก็ไม่ยากเกินกว่าที่เขาจะเรียนรู้ ลุงๆ ป้าๆ ต่างสอนว่าการปักต้นกล้าที่ดีต้องหยิบครั้งละ ๓-๕ ต้น ใช้หัวแม่มือปักลงไปลึกจนจมนิ้ว ระยะห่างแต่ละกอประมาณคืบกว่าๆ แบบนี้ข้าวจะเติบโตสมบูรณ์ดี คุณชายทำตามอย่างตั้งอกตั้งใจ ปักๆ ไปก็เพลินดี
และแล้ว.. นอกจากวิธีการดำนาที่ได้เรียนรู้ คุณชายยังได้เรียนรู้เพิ่มอีกอย่าง
ว่าการสวมรองเท้าบู๊ตยางลงแปลงนา มันไม่ต่างอะไรกับหนูติดกาวเลยจริงๆ
โคลนเหนียวข้นดูดรองเท้าเขาจนติดหนึบ อย่าว่าแต่ก้าวขา ตอนนี้แค่ขยับขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ดวงตาคู่สวยเหลียวมองรอบตัว เห็นต่างคนต่างก้มๆเงยๆปักดำก็ถอนใจโล่งอก มือมอมแมมพยายามยื้อยุดรองเท้าตัวเองกับดินโคลน แต่ยิ่งออกแรงดึงยิ่งเหมือนโดนดูดกลับเข้าไปลึกกว่าเก่า ยักแย่ยักยันอยู่อย่างนั้น
“อ้าว เกือกติดซะแล้วเรอะ!” ป้าคนหนึ่งหันมาเห็นเข้า แกเล่นตะโกนเสียลั่น คุณชายเลยเป็นจุดสนใจเลยทีนี้ ใครๆ ก็กรูกันเข้ามาช่วยคนละไม้ละมือ
แต่มีอยู่คนนึงละ เห็นเขาติดแหง็กอยู่นานแล้วแต่ไม่ยักเข้ามาช่วย เอาแต่ยืนยิ้มอยู่ไกลๆ เลอมานซาบซึ้งน้ำใจอาจารย์เสียจริง
มือชาวบ้านกับขี้เลนลื่นเหลวชักเย่อกันแย่งเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ ดึงกันไปยื้อกันมา คุณชายซวนเซเสียหลัก ลิ่วถลาจะเอาหน้าลงปักท้องนาแทนต้นกล้า
โอ..ไม่นะ เขายังไม่อยากเอาโคลนพอกหน้าเหมือนหม่อมแม่!
เดชะบุญ มือขาวยันพื้นไว้ทันก่อนหน้าจะทิ่มลงดิน ทีนี้ทั้งสองมือสองเท้าเลยติดแหง็กแขนขากางอยู่กลางแปลงข้าว คุณชายกลายร่างเป็นแมงกะพุ้งน้ำ ให้ลุงป้าน้าอาหัวเราะกันครืนด้วยความเอ็นดู
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงฉุนเฉียว แต่ครานี้ เพราะอะไรไม่รู้ อาจเป็นเพราะธรรมชาติชุ่มฉ่ำรินรดใจ อาจเป็นเพราะน้ำใสใจจริงจากลุงป้าชาวนาชาวไร่ แทนที่จะตีหน้าบูดบึ้ง คุณชายกลับหัวเราะเอิ้กอ้ากเห็นฟันหมดปาก เสียงใสเหมือนระฆังแก้วกังวานก้องท้องทุ่ง
สนุกจัง!
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาก่อนตัว เลอมานเงยหน้าขึ้นเห็นร่างสูงใหญ่ยิ้มเรี่ยเดินเข้ามาหา มือแข็งแรงออกแรงทีเดียวก็ฉุดแขนเขาลุกขึ้นยืนสองขาเหมือนผู้เหมือนคนได้สำเร็จ
ขี้โคลนเปื้อนมาถึงข้อศอกเหมือนสวมถุงมือสีเทา
อาจารย์ส่ายหน้าระอา ในดวงตาสีเข้มฉายแววยั่วล้อ ทำทีเป็นก้มลงปักกล้าต่อ แต่ริมฝีปากได้รูปขยับร้องเป็นเพลง “หนูเล็กเด็กๆ ทั้งหลาย อย่านอนตื่นสายเป็นเด็กเกียจคร้าน..”
ชาวบ้านหัวเราะกันเฮ่อๆ ฮ่าๆ ก็เพลงที่อาจารย์ร้องน่ะมันเพลงที่เขาเปิดกันตามโรงเรียนประถมน่ะซี
‘หนูเล็ก’ ยืนเซ่อ กว่าจะรู้ตัวว่าเขาร้องเพลงล้อ แก้มก็แดงปลั่งไปถึงใบหู ดูเถอะ..เขายังลอยหน้าลอยตาร้องไม่หยุด เลอมานหมั่นไส้เกินทน “ตื่นเช้าจะได้เบิกบานสดชื่นสำราญ.. โอ๊ะ”
มือเปื้อนโคลนป้ายปากที่ร้องเพลงเข้าให้ โคลนเทาๆ เลอะเป็นปื้นตามไรหนวดเขียว ได้เห็นคนเคร่งขรึมเช็ดหน้าเช็ดตาเลิ่กลั่กก็ตลกดี
เด็กหนุ่มหัวเราะขำที่เอาคืนได้สำเร็จ ลอยหน้าลอยตาแก้ตัวบ้าง “ผมเห็นตัวอะไรเกาะปากอาจารย์ เลยปัดออกให้”
ดวงตาคมเข้มมองมาอย่างคาดโทษ หยักยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ ขายาวๆ ก้าวพรวดเข้าหา ทำท่าเหมือนจะหักคอเขาจิ้มน้ำพริก แม้จะดูกึ่งเล่นกึ่งจริง แต่เลอมานก็สะดุ้งโหยง ลนลานโดดหนี แต่ติดที่สองเท้าติดหนึบอยู่ในแปลงโคลน!
เขาคงหน้าทิ่มรอบสองแน่ๆ ถ้าไม่มีอ้อมแขนล่ำสันรวบเอวบางรั้งไว้แนบอก ลุงๆ ป้าๆ หัวเราะกันร่วน ศิษย์อาจารย์หยอกกันน่าเอ็นดูแท้
แดดเริ่มแรงทอแสงจ้า อาบหน้าเขาจนร้อนผะผ่าว ร่างเล็กค่อยขืนตัวออกจากอ้อมอกอุ่น สองแก้มยังแดงซ่าน
ใช่.. เพราะแดด.. เพราะแดดแน่ๆ
แล้วเสียงหัวใจที่กระทุ้งอกโครมๆ จนหวั่นว่าใครจะได้ยินนี่เล่า เป็นเพราะเปลวแดดด้วยไหมหนอ
บู๊ตยางถูกถอดทิ้งไว้บนคันนา อาจารย์จูงมือศิษย์ที่ยังแก้มแดงไม่หายลัดเลาะหลบเปลวแดดไปใต้ต้นก้ามปูใหญ่ ห่างไกลสายตาผู้คน
มือใหญ่ล้วงลูกมะกรูดผ่าซีกออกมาจากชายพก ไม่รู้ไปหามาจากไหน ในขณะที่เลอมานยังยืนงง คนตัวโตก็ย่อตัวลงนั่ง บีบมะกรูดเค้นเอาน้ำลงฝ่ามือ ชโลมไล้ปลีน่องขาวจัดแผ่วเบา
เด็กหนุ่มสะดุ้งสะท้าน ตกใจและแปลกใจระคนกัน
“ทาไว้ ปลิงจะได้ไม่มาเกาะอีก” หากทันใดที่เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ย อะไรบางอย่างก็ซึมแทรกเข้ามา ตื้นตัน.. หวั่นไหว.. หัวใจเด็กหนุ่มเริ่มปริพองจนคับอก ดูเถอะ ราวกับคนึงมานั่งกลางใจ ละเอียดอ่อนและเอาใจใส่กันประหนึ่งของล้ำค่า
เหมือนต้องมนต์ เลอมานหลุดจากสรรพเสียงรอบตัว ตามองแต่คนที่ก้มๆ เงยๆ ตรงหน้า มือใหญ่อุ่นวาบ ค่อยๆ บรรจงลูบไล้เหมือนปั้นดินเผา หากขาเขาเป็นลำเทียน คงต้องหลอมละลายคามือนั้นเป็นแน่แท้ จู่ๆ ลิ้นชักความทรงจำก็สั่นคลอน คล้ายมีใครเคยบอกไว้ ‘คนไทยถือว่าเท้าเป็นของต่ำ’
ตกใจซ้ำสอง ‘ใคร’ คนนั้น ก็คือคนที่นั่งเอาน้ำมะกรูดลูบเท้าให้เขาอยู่นี่แหละ
ยังจำได้ดี สายตาคมเข้มคู่นั้นดูตำหนิ จงเกลียดจงชัง เสียงห้าวๆ นั่นก็ดุเขาเสียยับ เมื่อครั้งเขาใช้นายแช่มนวดเท้าให้หลังจากต้องฝืนทนนั่งกับพื้นในช่วงแรกๆ ที่มาเหยียบที่นี่
แล้วดูตอนนี้สิ..
“อาจารย์ ผมทาเองได้” เสียงเล็กอ้อมแอ้ม หากไม่กล้าสะบัดเท้าหนี
“อย่าเลย ผิวบางอย่างนี้ มะกรูดกัดมือเสียเปล่าๆ” อาจารย์กลับปฏิเสธยิ้มๆ ดวงตาอ่อนโยนเงยขึ้นมองมา หัวใจดวงเล็กวูบไหวแกว่งไกวเหมือนต้นข้าวต้องลม
ศิษย์อาจารย์กลับมาที่แปลงนาอีกที คราวนี้เลอมานกล้าลงย่ำเท้าเปล่าแล้ว คนึงดูทะมัดทะแมงจนเลอมานอดคิดไม่ได้ว่า ปีก่อนๆ อาจารย์คงพาจินดามาทำนาแบบนี้ มือใหญ่ๆ นั่นตวัดแผล็บเดียวก็ปลูกได้ต้นหนึ่ง ในขณะที่เขาดูเก้งก้างเก้กังกว่าใคร ทำต้นกล้าหักคามือก็หลายต้น จินดาจะปักกล้าขาดๆ วิ่นๆ จนเดือดร้อนอาจารย์ต้องแอบเด็ดทิ้งแล้วปลูกใหม่เหมือนเขาหรือเปล่า
“เป็นอะไร เหนื่อยไหม ร้อนหรือเปล่า” เขาเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป ร่างสูงใหญ่จึงเข้ามาชิดใกล้ ถามไถ่อาทร “ถ้าไม่สนุกแล้วครูจะพากลับนะ”
“ไม่ครับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัว “ผม.. อยากอยู่..”
อยากอยู่.. ใกล้ๆ อาจารย์
อยากทำทุกอย่าง.. เหมือนที่ ‘ใครคนนั้น’ เคยทำ
อยากได้รับ.. เหมือนที่ ‘ใครคนนั้น’ ได้รับ
อาจารย์ยิ้มอ่อนบาง เดินกลับไปหาหมวกฟางปีกกว้างมาสวมลงบนศีรษะเล็กให้ กำชับให้ใส่ติดหัว “แดดเริ่มแรงแล้ว เดี๋ยวไม่สบายไปละแย่เลย”
เลอมานค่อยยิ้มออก รับรู้ความจริงบางอย่างที่ซึบซาบสู่หัวใจ ว่าเพียงแค่อาจารย์ยิ้มให้ แค่อาจารย์ห่วงใย เขาก็อุ่นในอกเหลือเกินแล้ว
เขาไม่ต้องการแทนที่ใคร และอาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องลืมใคร
ขอเพียงวันนี้พวกเขายังยิ้มให้กัน เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอ..
**************************
ปฏิบัติการณ์จับคุณชายเลอมาน ‘ใส่ตะกร้าล้างน้ำ’ ของคนึงประสบความสำเร็จเกินคาด
ภาพเด็กหนุ่มอาสาสมัครย่ำแปลงนาช่วยปักกล้าอย่างร่าเริงในวันนี้ ลบล้างภาพหม่อมราชวงศ์เสเพลที่ก่อเรื่องวุ่นวายกลางซ่องในวันนั้นได้อย่างหมดจด
ยิ่งตอนพักงานมาล้อมวงกินอาหารกลางวันกันในเพิงใต้ร่มไม้ มีเพียงข้าวเปล่า เห็ดเผาห่อใบตอง และปลาช่อนแห้งย่างเกลือ จืดชืดแทบไม่มีรสชาติ แต่คุณชายก็กินได้กินดีเพราะกำลังหิว เปิบข้าวด้วยมือเป็นครั้งแรกในชีวิต เลอะทั้งสิบนิ้วแถมยังทำเม็ดข้าวร่วงกราวเกลื่อนพื้นเป็นอาหารมด ไม่เรื่องมากเรื่องอาหารการกินอย่างที่พวกลุงป้านึกหวั่นกันสักนิด
มีชะงักตาเหลือกนิดหนึ่งก็แค่ตอนที่ลุงแสงบอกว่าไอ้ที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่คือหนูนา ไม่ใช่เนื้อไก่นั่นแหละ
แต่พอคนึงส่งสายตาปรามๆ ไปให้ คุณชายก็กลั้นใจกลืนเอื๊อก แล้วไม่แตะต้องมันอีกเลย
บางคนก็สอนเรื่องปลูกข้าว
“ดูเถอะ กว่าจะปลูกสำเร็จไม่ใช่ง่ายๆ นะ ต้นข้าวมีศัตรูรอบตัวไปหมด ปลูกลงไปแล้ว ถ้าฝนลงหนักเกินไป อ้าวน้ำท่วมนา ฝนน้อยรึดินก็แห้งแข็งใช้ไม่ได้ ถ้าโชคดีน้ำได้ระดับถูกต้อง ก็ยังจะต้องกลัวว่าเจ้าปูมันจะแห่กันมาหนีบต้นเสียหมด ปลูกแล้วบางทีก็ต้องปลูกใหม่ ปลูกใหม่แล้วบางทีก็ไม่ได้ดีอยู่นั่นเอง แต่ก็ต้องปลูก ไม่งั้นก็ไม่มีกิน”
อาจารย์ยิ้มกริ่ม นิ่งมองศิษย์ตัวดีที่ยิ้มเจื่อน ได้รู้แบบนี้ก็ดี คุณชายสูงศักดิ์ที่แตะข้าวคราวละแค่แมวดม ปล่อยข้าวเหลือทิ้งเยอะแยะจะได้คำนึงถึงคุณค่าของข้าวขึ้นมาบ้าง
บางคนก็สอนเรื่องการใช้ชีวิต
“ทีหน้าทีหลังอย่าไปเที่ยวที่พรรค์นั้นอีกล่ะ มันไม่ดี”
“กับพวกไอ้ลอย ไอ้สิงห์ก็อย่าไปคบมันมาก จะพาเราเสียไปด้วย รู้ไหมลูก”
อาจารย์กลั้นขำแทบแย่ ใครจะไปคิดว่าบุตรชายท่านทูตจะมีวันที่ต้องมานั่งกลางท้องนา ก้มหน้ารับคำสั่งสอนจากผู้เฒ่าผู้แก่
“ว่าแต่มาอยู่ตั้งนานแล้ว ถูกใจสาวบ้านไหนบ้างหรือเปล่าล่ะ” ตาแสงเจ้าของที่นาถามแกมหยอก เล่นเอารอบวงหัวเราะครืน คุณชายก้มหน้างุด ถึงกระนั้นอาจารย์ก็ยังสังเกตเห็นแก้มขาวขึ้นสีเรื่อ
“ไม่.. ไม่มีหรอกครับ” กลีบปากบางอ้อมแอ้มปฏิเสธ แก้มยิ่งแดงเป็นลูกตำลึงสุก พวกลุงป้าคงเอาแต่หัวเราะจนไม่มีใครสังเกตเห็น
ศิษย์อาจารย์ลอบประสานสายตากัน
........................................................
เรื่อยเรื่อยมารอนรอน สุริยาจรเข้าสายัณห์ กลุ่มลงแขกดำนาต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน คนึงว่ามอมแมมแล้ว แต่สำหรับเลอมาน คงใช้แค่คำว่า ‘มอมแมม’ ไม่ไหว คุณชายเลอะไปทั้งตัวเหมือนลูกหมาตะลุยโคลน ไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้า อาจารย์จึงจับจูงมือศิษย์ไปล้างตัวที่ท่า
เด็กหนุ่มรับผ้าขาวม้าจากอาจารย์แล้วผลัดเก้กังทุลักทุเล ไม่เหมือนคนึงที่แผล็บเดียวก็เหลือเพียงผ้าขาวม้าพันเอวอวดแผงอกล่ำสัน คนตัวโตโดดลงน้ำทั้งตัว ท่าทางฉ่ำชื่นใจหนักหนา ตรงข้ามกับอีกคนที่ได้แต่นั่งหย่อนขาอยู่บนท่า ก้มลงวักน้ำล้างหน้าล้างตัว
“ลงมาสิ” เสียงห้าวร้องเรียก อดขำไม่ได้เมื่อเห็นวงหน้าละมุนส่ายปฏิเสธจนผมสะบัด คนึงยิ่งนึกครึ้มใจ แหวกว่ายเข้าไปหา มือใหญ่ฉุดมือน้อยที่ไม่ทันตั้งตัวจนตกน้ำดังตูม
“อาจารย์! ผมว่ายน้ำไม่เป็น!” เลอมานร้องลั่น ดิ้นตูมตามเป็นลูกหมาตกน้ำ ขวัญเสียเมื่อได้รับรู้ว่าท่าน้ำตรงนี้ลึกจริงดังคาด ปลายเท้าเขาหวิดๆ พื้นไปนิดเดียวเท่านั้นเอง
“ชู่ว.. ใจเย็นๆ ครูอยู่กับเล็กทั้งคน” เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว ปลอบเด็กขวัญบินได้ชะงัดนัก มือใหญ่จับท่อนแขนขาวเหนี่ยวคล้องรอบคอ “ไม่ต้องกลัวนะครับ”
“อาจารย์ ปลิงจะเกาะผมไหม” เด็กหนุ่มถามปากคอสั่น หน้าที่ขาวอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งซีดเผือด หยดน้ำเกาะพราว
“ตรงนี้น้ำลึก ไม่มีหรอก” พูดให้ใจชื้นแล้วมือใหญ่ก็จัดการล้างคราบโคลนที่เกาะแข็งบนปลายผมสีสวยให้ ปาก คอ คิ้ว คาง ลาดไหล่ ไม่มีตรงไหนไม่เลอะ ไม่มีตรงไหนแตะแล้วไม่นุ่ม..อุ่นวาบ..เหมือนมีประจุไฟในเนื้อ
ทั้งที่สายน้ำเย็นเฉียบ แต่เนื้อตัวเปล่าเปลือยของกันและกันช่างอุ่นนัก
ต่างจับจ้องอยู่แต่ดวงหน้าของกัน หากพอเงยหน้าขึ้นมองบนฝั่งต้องถึงกับสะดุ้ง หญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่บนท่า มาเมื่อไรไม่ให้สุ้มให้เสียง แก่มากแล้ว ผมขาวโพลนมุ่นเป็นมวยรุ่ยร่าย ผิวหยาบกร้านตกกระและตาโตอย่างประหลาด
เลอมานรีบปล่อยคออาจารย์ แต่กระนั้นก็ยังเกาะท่อนแขนกำยำไม่ปล่อย
“ครู” เสียงแกแหบแห้ง เรียกคนหนึ่งแต่ตาจ้องอีกคนหนึ่งเขม็ง “ระวังให้ดี อย่าให้ไอ้หนูใกล้น้ำ” มือเหี่ยวย่นชี้มาทางเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ “ผีน้ำจะมาเอาตัวไป”
ใจคนึงกระตุกวาบ!
แม่เฒ่าพูดเพียงเท่านั้นแกก็เดินจากไป ไปเงียบๆ เหมือนตอนมา
“อาจารย์ ใครน่ะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น เอ่ยถามทั้งที่สองตายังจ้องร่างผอมเกร็งที่เดินไปลิบๆ
“ยายบัว แกสติไม่ค่อยดี” อาจารย์ตอบพลางวักน้ำล้างใบหน้าอ่อนเยาว์ “เล็กอย่าไปสนใจคำพูดแกนะ”
“ผีน้ำคืออะไรหรือ” ศิษย์ถามขึ้นมาอีก แววตายังไม่คลายความสงสัย หากอีกฝ่ายไม่ตอบคำ เร่งมือล้างโคลนจากผมสีสวยรวดเร็ว
เมฆทะมึนครึ้มฟ้ามาลิ่วๆ อย่างไม่มีเค้า ราวกับใครเอาสีเทาเข้มไปละเลงไว้ อาจารย์หนุ่มแหงนมองแล้วอดกังวลไม่ได้ ดินฟ้าอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้เอาเสียเลย
“เรารีบกลับกันเถอะ” สะอาดกันดีแล้วคนึงจึงรีบยุดมือเล็กขึ้นฝั่ง เร่งรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพายเรือกลับ ไม่พูดอะไรสักคำเดียว
ระหว่างทางพายเรือกลับโรงเรียนท่ามกลางเสียงฟ้าฝนไล่หลังมาครืนๆ ข้อแขนล่ำสันจ้วงพายสุดแรง และดูเหมือนสุ้มเสียงเคร่งขรึมของแม่เฒ่าจะติดตามคนึงมาด้วย
‘ผีน้ำจะมาเอาตัวไป’ อย่างนั้นหรือ
คนึงอดคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
จินดา..
ยอมรับจากหัวใจตรงนี้เลยก็ได้ว่า เขายังไม่เคยลืมความรักครั้งเก่า ยังไม่เคยลืมคืนวันที่เคยมีร่วมกันมา ไม่เคยลืมดวงตาหวานคมสวยโศกคู่นั้น ไม่เคยลืมว่าเขาเสียใจมากแค่ไหนกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ และชิงชังหม่อมราชวงศ์หนุ่มผู้เป็นต้นเหตุการตายมากเพียงใด
จนกระทั่งคิดว่าเขาคงไม่มีวันเปิดใจรับใครเข้ามาได้อีก
หากเมื่อคืนวันผันผ่านไปไม่นาน เด็กหนุ่มคนนั้น คนที่นั่งเอามือราน้ำเล่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอยู่ตรงหน้านี้ ทำให้ชุ่มชื่น เบิกบาน เป็นยาใจ เยียวยาบาดแผลที่ความอ้างว้างกรีดไว้จนสมานสนิท รูปโฉมโนมพรรณนั้นไม่ต้องสงสัย พาให้ต้องตาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น ดั่งชาวสวรรค์ชั้นฟ้านภาโพยม มาประโลมโลกาให้อาวรณ์ หากสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มต้องใจ กลับเป็นอุปนิสัยส่วนตัวที่ยิ่งได้ซึมซับยิ่งเอ็นดู เอ็นดูมากจนละลายกำแพงอคติในใจเขาสลายสิ้น ความชิงชังในคราแรกแปรเปลี่ยน ค่อยๆ เพาะหน่อกล้าอ่อนขึ้นในใจ ได้ความใกล้ชิดคอยรดน้ำให้ ยิ่งเจริญเติบโตงอกงาม
หากจะให้ตัดใจตอนนี้ก็ยากเสียแล้ว
ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่ม ไม่ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน
แต่ต้องตาพาใจอาลัยวรณ์ สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน**คนึงไม่โทษเลอมาน หากเรื่องนี้จะมีคนผิด เขาก็ขอรับความผิดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
เสียงฟ้าคำรามลั่นเปรี้ยง กระชากชายหนุ่มจากห้วงความคิด ร่างเล็กที่หัวเรือสะดุ้งสุดตัว สองมือยกขึ้นปิดหู แล้วฝนก็สาดซัดเทลงมาดั่งฟ้ารั่ว ทั้งคู่เปียกโชกในเวลาอันรวดเร็ว สายฟ้าลั่นเปรี๊ยะบนเมฆทะมึนก่อนตามมาด้วยเสียงกัมปนาทกึกก้อง คุณชายขดร่างเข้าหากัน ทั้งหนาวทั้งกลัวจนตัวสั่น คนึงยิ่งเป็นห่วงจับใจ
ฝนกระหน่ำทำให้ความมืดโรยตัวลงอย่างรวดเร็ว หนทางกลับโรงเรียนยังอีกไกลนัก คนึงตัดสินใจจ้วงพายเข้าฝั่ง หาที่หลบฝนบนฝั่งยังปลอดภัยกว่าเท้งเต้งอยู่กลางคลอง ฝนธรรมดาทวีความรุนแรงเป็นพายุ ตกลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ลมแรงจนต้นไม้สองฝั่งคลองระเนนเอนไหว เรือน้อยซัดเซตามแรงคลื่นลมยากจะควบคุมแม้ชายหนุ่มจะออกแรงพายสุดกำลัง
“อาจารย์ ผมกลัว” เลอมานละล้าละลัง หันมองมาด้วยดวงตาตื่นตระหนก คนึงเป็นห่วงสุดหัวใจ
“เล็ก!” เสียงห้าวตะโกนแข่งสายฝน “ค่อยๆ ขยับมาหาครูนี่!”
มือใหญ่เอื้อมไปข้างหน้า คล้ายจะไขว่คว้าหาร่างเล็กที่ลนลานกระเถิบมา พอคว้าตัวได้ก็กอดไว้แน่นแนบอกราวจะปกป้อง วินาทีนั้นคนึงจึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มหวาดกลัวจนตัวสั่นเพียงใด
เปรี้ยง!!อสุนียบาตฟาดลงต้นก้ามปูใหญ่ที่กิ่งเอนเข้าหาน้ำ ในเสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินตั้งตัวทัน กิ่งใหญ่โตก็หักโครมฟาดลงกลางคลองเชี่ยวกราก เกิดเป็นคลื่นลูกโตซัดเรือน้อยตะแคงวูบ พลิกคว่ำอย่างง่ายดาย
“เล็ก!” คนึงตะโกนลั่น กอดร่างน้อยไว้แน่นอย่างหวงแหน สองร่างตกตูมลงน้ำ ท่ามกลางสายฝนซัดสาด กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลแรง ดั่งมีมือที่มองไม่เห็นกระชากร่างเลอมานพลัดออกจากอก
ดิ่งจมลงในห้วงน้ำมืดมิดราวหมึกดำ
โปรดติดตามตอนต่อไป________________________________________________________________________
* ดอกฟ้ารักดอกดิน, ชรัมภ์ เทพชัยและจินตนา สุขสถิต ขับร้อง
** นิราศวัดเจ้าฟ้า, สุนทรภู่
ส่วนรูป จิ๊กมาจากอินสตราแกรมเพื่อนค่ะ 
คุยกันเนอะ

อะแฮ่ม..
อ่านตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งต๊กกะใจ
มหาหงส์ยังไม่เปลี่ยนแนวไปเป็นนิยายผีหลอนวิญญาณทวงแค้นเน้อ

ไม่มีผีโผล่ออกมาหรอกจ้า แค่กล่าวถึงบ้างตามท้องเรื่องเท่านั้นเอง
(เพราะฉะนี้ชายเล็กจึงเจออุบัติเหตุเกี่ยวกับน้ำบ๊อยบ่อย)