บทที่ ๑๘
ที่รัก(ครึ่งแรกจ้ะ

)
นานแล้วพี่หลงพะวงมิหน่าย
นานแล้วพี่หมายจะได้ภิรมย์
นานแล้วพี่รักคอยจักชื่นชม
นานแล้วรักเพียงลมๆ ตรมเช้าค่ำ
ที่รักนะรักแต่ใจมิกล้า
ที่ช้านะช้ามิกล้าเผยคำ
ที่คิดนะคิดกลัวอกจะช้ำ
เอ่ยคำแล้วเจ้าจะทำช้ำใจ*“แกต้องไปขออนุญาตตาสิงห์ก่อน ถ้าเขาให้ไปแล้วค่อยว่ากัน”
ชื่อใครอีกคนที่ได้ยินเล่นเอาใจจ้อยเต้นรัวขึ้นมาจนอึดอัดไปทั้งอก และยิ่งสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงห้าวดังมาพร้อมฝีเท้าหนักแน่นขย่มเรือน
“ใครจะขออนุญาตอะไร!”
จ้อยก้มหน้างุด เจ้าของเสียงเดินอาดๆ มาโน่นแล้ว มือใหญ่ลูบผมเผ้าที่กระเซิงเพราะบิดรถเครื่องโต้ลมรีบกลับมากินข้าวบ้านจนเรียบดี
“เดินให้มันเบาๆ หน่อยได้ไหม” กำนันเสริมเอ็ดลูกชายเสียงเขียว “มือหนักตีนหนัก เดินทีเรือนสะเทือน เงินทองตกใจสะดุ้งหนีหมด”
ไอ้สิงห์สนใจเสียที่ไหน ร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่งข้างมารดา หากดวงตาจับจ้องแต่นักเรียนครูตัวเล็กบนพื้นไม่ลดละ
“เมื่อกี้แม่ว่าใครจะขออนุญาตอะไร”
“ก็ไอ้จ้อยน่ะสิ มัน..”
“เอ่อ ป้าทรัพย์จ๊ะ” โพล่งออกไปแล้วจ้อยก็นึกอยากตบปากตัวเอง การพูดแทรกผู้ใหญ่นั้นเสียมารยาทที่สุด แต่จ้อยไม่พูดแทรกไม่ได้จริงๆ นี่ “เดี๋ยวจ้อยไปยกสำรับมาเลยดีกว่า”
จ้อยและน้าแป้นช่วยกันลำเลียงสำรับมาจากในครัว มีหนูน้ำฝนประคองขันน้ำลอยดอกมะลิเดินตามต้อยๆ
อันว่าอาหารบ้านนานั้น ถ้าจะทิ้งน้ำพริกเสียก็ดูจะไม่เป็นอาหารบ้านนา วันนี้จ้อยทำต้มยำปลาช่อนที่ต้มแบบโฮกอือ หอมเผา กระเทียมเผา พริกชี้ฟ้าแห้งเผาใส่ลงไปในแกงแล้วโรยด้วยใบกะเพรา ส่วนตะไคร้ใบมะกรูดนั้นก็ใส่อยู่ธรรมดา มะนาวไม่ใช้ เอาน้ำส้มมะขามเปียกแทน กำนันตักซดแล้วครางอืออย่างโล่งคอ หอมกลิ่นทุกอย่างที่ผสมลงไป ส่วนน้ำพริกนั้นตำอย่างเหลวเวลาคลุกข้าวเอาปลากรอบย่างไฟป่นละเอียดโรยคลุกลงไปด้วย ใช้แตงโมอ่อนลูกเล็กๆ ต้มสุกเป็นผักแกล้ม ตบด้วยของหวานคือเผือกแกงบวด ขนมหวานของจ้อยทุกชนิดหอมหวานกลมกล่อม ไม่หวานแหลมแสบไส้ ใช้วิธีตัดเค็มนิดหนึ่งตามสูตรยายช้อย ตักกินร้อนๆ อุ่นท้องอร่อยนัก
ทั้งกำนันและคุณนายดูเจริญอาหารดี ในวงข้าวไม่มีใครคุยเรื่องจ้อยขออนุญาตไปดูหนังอีก คล้ายทุกคนจะลืมเลือนกันไปแล้ว หนุ่มน้อยได้แต่ลอบถอนใจโล่งอก ถ้าไอ้สิงห์มันรู้เข้าว่าเขาริอ่านขอไปดูหนังละมีหวังบ้านแตก
หารู้ไม่ว่าคิดผิดเสียแล้ว
หัวหน้าอันธพาลอดทนรอเวลา กินข้าวกินปลาเสร็จแล้วเจ้านักเรียนครูตัวดีก็รีบเก็บกวาดเอาชานจามไปล้าง พอฟ้ามืดเข้าไต้เข้าไฟ ก็ยังอุตส่าห์หางานหาการทำชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้น ขนผ้าผ่อนของพ่อแม่เขามารีดเสียแทบหมดตู้ เสร็จแล้วก็เอาเครื่องทองเหลืองที่พ่อเก็บไว้ในตู้กระจกมานั่งขัดๆๆ จ้อยเคยจะกวาดเรือนตอนกลางคืนอยู่ครั้งหนึ่งแต่ถูกแม่เขาเอ็ดว่าห้ามกวาดตอนกลางคืน เดี๋ยวจะกวาดเงินกวาดทองออกไปด้วย หันรีหันขวางไม่รู้จะทำอะไร เจ้าตัวเล็กก็ถือตะเกียงกับกะลามะพร้าวไปทางท่าน้ำเห็นหลังอยู่ไวๆ
ตะไคร่มันก็จับอยู่ที่ท่าแบบนั้นมาหลายปีดีดัก นึกยังไงมาขัดเอาตอนนี้
นี่ถ้าจ้อยมันขัดเสาเรือนได้ล่ะก็มันคงทำไปแล้ว
สิงห์รู้ดี ทุกอย่างที่จ้อยทำลงไปนั้นเพียงเพื่อต้องการหลบหน้าหลบตาเขา ก็เพราะไอ้เรื่องที่เขาอุตริไปมุดมุ้งมันเมื่อคืนก่อนโน้นนั่นแหละ
แต่สุดท้าย ยังไงก็ต้องนอนห้องเดียวกันอยู่ดี จ้อยมันจะหนีไปไหนพ้น
คนตัวโตแกล้งหลับอยู่บนเตียง เสียงประตูบานพับไม้เก่าลันออดมาพร้อมกลิ่นแป้งหอมกรุ่น ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงขึ้นมา ภาพแผ่นหลังขาวต้องแสงตะเกียงนั่งอาบน้ำอยู่ที่ท่าซึ่งเขาแอบมองผ่านหน้าต่างเมื่อครู่ยังติดตา
สิงห์ยังคงปิดตานิ่ง ความมืดมิดใต้เปลือกตามีแสงมลังเมลืองวูบไหวไปตามเปลวตะเคียงที่จ้อยถือติดมือเข้ามาด้วย เขาเฝ้ารอจนได้ยินเสียงน้องเปิดสมุดหนังสือกรอบแกรบ
“เอ็งจะไปดูหนังเรอะ”
ถึงจะหลับตา แต่ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงปากกาหล่นลงพื้นกระดานดังแกร๊ก
ลูกชายกำนันค่อยๆ ลืมตาพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง มือใหญ่แหวกประตูมุ้งเปิดออก กางเกงขาก๊วยผูกไว้หลวมๆหมิ่นสะโพก แผ่นอกเปลือยเปล่าล่ำสัน ท่ามกลางแสงตะเกียงสว่างนวล เจ้าตัวดีเล่นไปนั่งหลบทำการบ้านเสียตรงมุมห้อง
อยากให้จ้อยมันเห็นหน้าตัวเองตอนนี้จริงๆ ใบหน้าอ่อนใสปะแป้งเสียขาวว่อกลายพร้อยเป็นแมวคราว ตาที่ปกติก็โตอยู่แล้วตอนนี้เหลือกทะลานเท่าไข่ห่าน ปากสีเรื่ออ้าๆ หุบๆ เหมือนปลาดุกฮุบเหยื่อ สิงห์ต้องฝืนทำหน้านิ่งทั้งที่ใจอยากขำจะแย่
“มานี่” เสียงห้าวออกคำสั่ง พยักหน้าเป็นเชิงบังคับ จ้อยกลับส่ายหน้ารัวจนผมสะบัด สิงห์ลอบยิ้มมุมปาก ไอ้บ่าวคนนี้มันทั้งดื้อทั้งรั้นนัก ในเมื่อเรียกแล้วไม่มา ร่างใหญ่โตเป็นยักษ์ปักหลั่นจึงก้าวอาดๆ ไปย่อตัวนั่งอยู่ตรงหน้าคนที่นั่งตัวลีบอยู่มุมห้อง
แสงตะเกียงนวลส่องให้เห็นแววตาคู่ใสตื่นตระหนก ใกล้แค่คืบ ยิ่งใกล้ กลิ่นแป้งกลิ่นสบู่บนเนื้อนิ่มยิ่งหอมอวล กระทั่งไอเย็นจากเรือนผมชื้นยังหวานซ่าน
จ้อยขยับจะหนีไปทางซ้าย ท่อนแขนกำยำยันผนังกางกั้นไว้ พอจะหนีไปทางขวา สิงห์ก็กั้นเอาไว้อีก
เลยกลายเป็นหนุ่มน้อยถูกกักอยู่ในอ้อมแขน ไร้ทางเลี่ยง หมดทางหนี หากสิงห์ขยับอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก็จะสามารถรวบร่างน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมอกอย่างง่ายดาย
ห้องหรือก็แค่นี้ ดูซิจะหนีไปทางไหนพ้น เผลอๆ อาจได้เล่นเกมปิดประตูตีแมว
แมวตัวนี้มันน่ารักเสียด้วย
“ข้าถามว่าเอ็งจะไปดูหนังเรอะ” สิงห์แค่ตีหน้าเครียดอีกนิด กดเสียงเข้มอีกหน่อย จ้อยก็กลืนน้ำลายเอื๊อก ปฏิเสธปากคอสั่น
“ปะ..เปล่า..”
“อย่าโกหก!” และพอเขาตะคอกใส่ ไอ้ตัวเล็กก็ถึงกับย่นคอหลับตาปี๋ “แม่ข้าเล่าให้ฟังหมดแล้ว”
นั่นแหละ จ้อยถึงพยักหน้าอย่างยอมจำนน
“ไปกับใคร”
“คุณชายเล็ก.. อาจารย์คนึง..” ดวงตาคู่ใสจ้องมองแต่นิ้วตัวเองที่ยกขึ้นมานับ ไม่ยอมสบตาเขาสักนิด “สันติ..แล้วก็สง่า.. ๔ คน”
สิงห์หรี่ตานิ่งคิด อืม..ผู้ชายทั้งนั้น ซ้ำแต่ละคนก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งสิ้นด้วย ชายเล็กก็เคยซื้อเสื้อผ้ามาฝากจ้อยแค่คนเดียวอย่างน่าผิดสังเกต ไอ้สันติสี่ตากับไอ้สง่าหน้าเป็นนั่นก็ชอบเดินกอดคอจ้อยของเขาอยู่เรื่อย ส่วนไอ้คนึงยิ่งแล้วใหญ่ ภาพที่จ้อยหนีเขาไปซุกหลังมันเมื่องานวัดวันก่อนนู้นยังติดตา
สรุปว่าไว้ใจไม่ได้สักคน!
“ไปเมื่อไร”
“คืนพรุ่งนี้”
ลูกชายกำนันเม้มปากแน่น กลางวันก็มีไม่ไป ทำไมต้องไปกันกลางค่ำกลางคืนวะ
“ที่ไหน”
“โรงเปรมประชา”
โรงเปรมประชา? ก็แถวบึงพระรามน่ะซี ไกลฉิบหาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะไปช่วยทันได้ยังไง
“แล้วจะไปกันยังไง”
“คืนพรุ่งนี้ อาจารย์จะขับรถมารับ”
สิงห์แทบตบเข่าฉาด นั่นปะไรเล่า ไอ้คนึงเอ๋ย ไอ้รากไส้ นี่มึงคิดจะเอาราชรถมารับน้องจ้อยของกูถึงที่เลยเรอะ
“หนังเรื่องอะไร” คนตัวโตเค้นเสียงลอดไรฟัน หน้าตาถมึงทึงขึ้นทุกทีจนจ้อยหดกายเกร็งแทบจมหายไปกับฝาเรือนไม้สัก
“เอ่อ..เจ็ดเสือแดนสิงห์” เสียงเล็กตอบปากคอสั่น
พลันนั้น ใบหน้าเคร่งเครียดก็คลี่คลาย ริมฝีปากหยักยิ้มระบายบนใบหน้าคมสัน
หนังอะไรนั่น มีชื่อเขาอยู่ในนั้นด้วย
เมื่อเห็นน้องมองมาอย่างสับสนเหลือดี น้องคงงงว่าเขาจะเอายังไงกับอารมณ์กันแน่ เดี๋ยวก็บึ้งเดี๋ยวก็ยิ้ม หัวหน้าอันธพาลกระแอมกระไอ ปรับใบหน้าให้เคร่งเครียดก่อนถาม “แล้วเอ็งมีเงินรึไง ค่าตั๋วใบนึงไม่ใช่ถูกๆ”
“ปะ..เปล่า..” ร่างเล็กขยับกายอึดอัด อึดอัดกับการสอบสวนประหนึ่งจำเลยก็ไม่ปาน “คุณชายเขาจะออกให้”
“ชายเล็กมันเป็นอะไรกับเอ็ง ทำไมต้องให้มันเสนอหน้าออกให้” สิงห์ยังคงตีรวนอย่างหาเรื่อง ดีชั่วไม่สน ขอมองในแง่ร้ายไว้ก่อน ดวงตาสีสนิมเหล็กจ้องจ้อยตาเขม็ง ชี้หน้าประกาศกร้าว “เอ็งจำไว้เลยไอ้จ้อย กะอีแค่คนที่..”
คนที่พี่รักคนเดียว
เสียงห้าวสะดุดลมหายใจ คำที่หัวใจบงการให้พูดถูกดวงตาคู่ใสที่มองมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวสกัดกั้นไว้ที่ปลายริมฝีปาก เขาพูดได้หรือ? พูดออกไปแบบนั้นได้หรือ?
“แค่บ่าวข้าคนเดียว ข้าเลี้ยงเองได้เว้ย” สิงห์กลืนคำนั้นกลับลงคอ พ่นคำใหม่ออกไปแทนทันควัน “ข้าจะพาเอ็งไปเอง” สั่งเฉียบขาดแล้วร่างสูงใหญ่ก็ลุกพรวด เลี่ยงไปจุดบุหรี่สูบที่ริมหน้าต่าง พ่นควันสีขาวลอยฟุ้งไปในกลิ่นหอมดอกไม้ชวยรื่น
“ไม่เอา ไม่ต้องไปหรอก ไปเองได้” อยู่กันไปนานเข้า สิงห์เริ่มรู้สึกว่าจ้อยมันมีความสามารถพิเศษอยู่อย่าง ช่างพูดจาหลีกเลี่ยงสรรพนามได้เก่งแท้
“ทำไม! ไปกับข้าแล้วมันเป็นยังไงวะ!” มือใหญ่ตบฝาเรือนดังเปรี้ยงจนจ้อยสะดุ้งตัวโยน คราวนี้เขาโมโหจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง “หรือเดี๋ยวนี้เป็นนักเรียนครูแล้ว เดินกับกุ๊ยอย่างข้ามันน่าอายนักงั้นสิ!”
เห็นวงหน้าอ่อนเยาว์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วสิงห์นึกอยากเดินไปกระชากคอเสื้อจ้อยนัก
กระชากมาจูบสักทีสองทีให้หายรั้น!
“เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ข้าจะพาเอ็งไปเอง ตกลงตามนี้” สิงห์ตัดสินใจมัดมือชกเอาดื้อๆ “ถ้ารู้ว่าแอบไปกับไอ้คนึงนะ เอ็งเจอดีแน่ไอ้จ้อย”
ว่าแล้วก็ดับบุหรี่กับวงกบก่อนโยนทิ้งออกหน้าต่าง ร่างกำยำโดดผลุงขึ้นเตียง นอนหันหลังให้คล้ายไม่ยินดีรับฟังเหตุผลใด ไม่สนใจจ้อยที่อ้าปากจะทักท้วง ลับหลังน้อง ริมฝีปากได้รูปยิ้มพรายอยู่คนเดียวในแสงจันทร์สลัว เงาไม้ทาบลายบนมุ้งขาวยังดูราวนางฟ้าจับมือกันเต้นระบำ
ที่มุมห้อง จ้อยได้แต่ถอนใจออกมาอย่างอึดอัด ลูกชายกำนันทั้งเอาแต่ใจ ชอบบังคับ ไม่คิดจะฟังเหตุผลกันบ้างเลย
เขาไม่อยากไปกับสิงห์เลยสักนิด
แต่ไม่ใช่เพราะรู้สึกอายที่ต้องเดินกับกุ๊ยหรอก
มันมีเหตุผลอื่นที่มากกว่านั้น
***************************
แค่เนี้ยะ 
แค่นี้แหละจ้ะ
ขอโทษน๊า ช่วงนี้คนเขียนเป็นหวัดงอมแงมเลย โงหัวขึ้นมาตั้งฉากกับพื้นแล้วมันจะฟุบอยู่เรื่อย
ขาดงานไปสองสามวันแล้ว ก็เลยมีแรงปั่นพี่สิงห์น้องจ้อยมาแค่นี้เองค่ะ

หายหวัดเมื่อไหร่จะปั่นต่อให้จบตอนเลย
คนอ่านก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ฮ้าดดดชิ้วว ฟืดด..
ไปละค่ะ
รักคนอ่านนะ
ดอกไม้
๑ ก.ย. ๕๕