บทที่ ๑๘
ที่รัก(ครึ่งหลังจ้ะ

)
อย่าเหมือนน้ำค้างพราวพร่างใบพฤกษ์
พอยามดึกเหมือนดังจะดื่มกินได้
พอรุ่งร้างก็จางหายไป
รู้แน่แก่ใจได้แต่ระทมชีวี* ตลาดยอดคึกคักแต่เช้ามืด พ่อค้าแม่ขายส่งเสียงเรียกลูกค้ากันเซ็งแซ่ ผู้คนพากันมาจับจ่ายซื้อของขวักไขว่ เด็กเข็นรถขนผักส่งเสียงขอทางโหวกเหวก เจ๊เน้ยร้านข้าวแกงเคาะตะหลิวกับกระทะเสียงดังโคร้งเคร้ง
ที่ห้องแถวไม้อันเป็นที่ตั้งร้านกาแฟของเจ๊กโก นายสิงห์และพรรคพวกมานั่งจิบกาแฟกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หลังรับหน้าที่จากแม่ให้มาเก็บดอกจากพวกพ่อค้าแม่ค้า พวกเขามักมานั่งแช่ที่นี่กันทุกเช้าเพราะไอ้ลอยมันหมายตาหมวยเกี้ยลูกสาวคนงามของอาโกไว้ สิงห์ไม่ได้อยากมานักหรอก แต่ด้วยความเป็นหัวหน้ามันค้ำคอ ลูกน้องมันเฮไปทางไหน เขาก็ต้องเฮไปทางนั้นด้วยอย่างช่วยไม่ได้
พอสิงห์กับลอยสั่งโอยั๊วะ เจ๊กโกก็ตักน้ำร้อนจากหม้อกาแฟเทลงในถุงกาแฟที่ใส่ไว้ในเหยือกทองเหลืองบนหม้อต้มน้ำ ยกถุงกาแฟจากเหยือกเอาไปไว้เหนือแก้ว ปล่อยให้น้ำกาแฟค่อยๆ ไหลลงแก้วจนเกือบเต็ม ส่วนไอ้เลิศไอ้หมานติดรสหวานจัด กาแฟของพวกมันเลยต้อง ‘ยกล้อ’ ตัดรสขม
หัวหน้าอันธพาลยกโอยั๊วะขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี ควันยังลอยกรุ่นอยู่เหนือของเหลวสีดำในแก้วก้นจีบ
สิงห์เคยเข้าโรงหนังมานักต่อนัก กับพวกไอ้ลอยบ้าง กับพวกสาวๆ ดาราโรงเรียนก็เคย แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้เข้าไปกับจ้อย ตอนเด็กๆ อย่างดีก็แค่นั่งดูลิเกด้วยกัน หรือไม่ก็หนังขายยาที่กว่าจะเริ่มฉายได้ก็ประกาศขายยาวิเศษอยู่นั่นจนจ้อยหาวแล้วหาวอีก
นานเท่าไรแล้วที่เขากับน้องไม่ได้ดูหนังด้วยกัน
ใบหน้าคมสันยิ้มจางให้ปาท่องโก๋ตรงหน้า แค่คิดถึงคืนนี้ หัวใจก็อิ่มเอิบนัก หน้าโรงหนังเปรมประชามีข้าวโพดคั่วคลุกน้ำตาลเคี่ยวกับแบะแซขายด้วย จ้อยจะต้องชอบแน่
จู่ๆ คนที่อยู่ในห้วงคำนึงก็มาปรากฏตรงหน้า เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินหิ้วตะกร้าจนตัวเอียงผ่านหน้าร้านกาแฟไป คนที่สิงห์คิดว่าต่อให้เห็นแค่ปลายนิ้วหรือปลายผมก็ยังจำได้ หน้าขาวๆ ตาโตๆ อย่างนี้จะมีใครอีก
จ้อย..
พวกไอ้ลอยมัวแต่เกี้ยวพาอาหมวยคนสวยที่ยกขนมปังสังขยามาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ หัวหน้านักเลงลุกพรวดขึ้นทันใด วิ่งไปชะโงกมองแผ่นหลังเล็กว่าเดินไปทางไหน ก่อนวิ่งกลับมาหาโถใส่ขนมที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นข้างหม้อกาแฟ มือใหญ่ลนลานล้วงหยิบโถละกำสองกำวุ่นวาย ทั้งขนมตุ้บตั้บ ถั่วตัด งาตัด ขนมโก๋ ขนมคอเป็ด ท็อฟฟี่นม
เจ๊กโก ชายกลางคนชาวจีนร่างผอมหัวโล้นเลี่ยน ไว้หนวดปรกข้างปาก ตาตี่ๆไม่มีเหล่าเต๊งของแกถึงขั้นเหลือกลานเมื่อเห็นขนมกองพูนบนโต๊ะตรงหน้า สาละวนดีดลูกคิดได้สองเม็ด ลูกค้าตัวโตก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าถุงกระดาษมาโกยขนมใส่ลงไปแล้วโยนธนบัตรสีเขียวมาให้ ตะแกรีบคว้าเอาไว้แทบไม่ทัน เผลอแผล็บเดียวเจ้านักเลงโตก็เผ่นออกจากร้านยังกับจะไปหาเรื่องใคร
ไอ้หยา.. แต่หน้าตาไหงยิ้มแฉ่งยังงั้นล่ะเหวย.. อั๊วะละเท้าฮิ้งน่อ
จ้อยมัวแต่ยืนคุยกับยายอยู่ที่แผงขายผัก มือเหี่ยวย่นลูบแขนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า คว้าไปกอดไปหอมอย่างรักใคร่ แม้ว่าเขาจะโตเป็นหนุ่มแล้ว แต่ในสายตายาย เขายังเป็นหลานตัวน้อยเสมอ เสียงแหบพร่าพร่ำถามว่าเขากินข้าวกับอะไร เมื่อคืนหลับสบายดีไหม ลูบแขนลูบแก้มแล้วก็ทักว่าผอมไปหรือเปล่า กระแสความห่วงใยถ่ายทอดมาจนจ้อยน้ำตาคลอเอ่อ
ทันใดนั้น ตะกร้าในมือถูกใครไม่รู้มาฉุดกระชากไป เล่นเอาจ้อยใจหล่นวูบ นึกว่าถูกวิ่งราวแต่เช้า แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นใครเท่านั้น หนุ่มน้อยมีอันต้องตกใจยิ่งกว่าเก่า
ไอ้สิงห์!
“หิ้วเข้าไปสิของหนักน่ะ” เสียงห้าวแข็งกระด้าง ดวงตาเรียวคมมองจ้อยหัวจรดเท้า “เอ็งถึงได้เตี้ยอยู่อย่างนี้!” เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าคมสัน แผ่นอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงยังกะไปวิ่งไล่ตามใครมา
“จ้อยมันเกิดปีน้ำน้อย” ยายช้อยหัวเราะเฮ่อะๆ “ไม่เหมือนพ่อสิงห์หรอก”
หนุ่มน้อยเม้มปากแน่น ขึงหน้าตึงเป็นสะดึงเย็บผ้า อยู่ดีๆ ก็ถูกล้อสังขารแต่เช้า มือเล็กพยายามแย่งตะกร้ากลับมา แต่กลับถูกไอ้นักเลงโตยันหน้าผากเสียหัวซุน
“ไม่ต้องเลยไอ้เตี้ย! แขนสั้นอย่างเอ็ง กับข้าวข้าลากพื้นหมด” แขนล่ำสันคล้องตะกร้าแน่นเข้าอย่างหวงแหน “เอ็งถือนี่ละกัน” ว่าพลางโยนถุงกระดาษสีน้ำตาลในมือมาให้ จ้อยตะครุบไว้แทบไม่ทัน
หากพอเปิดถุงออกดูก็ต้องแปลกใจ ขนมนมเนยอัดแน่นเต็มถุง หนุ่มน้อยเงยหน้าที่มีแต่ความสงสัยขึ้นมอง
“เอาไปฝากยายฝน” เสียงห้าวตอบห้วน จ้อยถึงบางอ้อ นึกไปถึงแม่หนูน้อยตากลมลูกสาวน้าแป้น แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายกำนันต้องเสมองไปทางอื่น ถูกปลายจมูกฟุดฟิด กระแอมแฮ่มๆ “แต่.. ถ้าเอ็งจะแบ่งไปกินบ้างข้าก็ไม่ว่า”
หญิงชราเห็นขนมหวานของโปรดหลานรักแล้วหัวเราะเฮ่อฮ่าเห็นฟันดำ “พ่อสิงห์ใจดีจริง” แกชมเปาะ คนถูกชมเลยยิ่งยืดใหญ่ จ้อยเหลือบมองท่ายืนอย่างนักเลงแต่คล้องตะกร้าจ่ายตลาดไว้ที่แขนแล้วตีหน้าปุเลี่ยน รู้สึกทะแม่งๆ เหมือนกลืนแกงเผ็ดใส่ไข่หวาน
มันเข้ากันเสียทีไหนล่ะ!
มือเหี่ยวย่นเลือกกล้วยน้ำว้าแก่จัดจนเหลี่ยมลบผลกลมเปล่งปลั่งส่งให้ลูกชายกำนันสองหวี ให้ฟรีไม่คิดเงิน จ้อยมองเปลือกกล้วยสีกระดังงาแล้วคิดรายการของหวานค่ำนี้ได้ทันที หนุ่มน้อยกระพุ่มมือไหว้ลายายแล้วเดินจากมา เขายังมีรายการอาหารสดที่ต้องซื้อยาวเป็นหางว่าว
คนตัวโตหิ้วตะกร้าเดินตามต้อยๆ พอจ้อยพยายามเอาตะกร้าคืน ใบหน้าคมสันก็ถลึงตาใส่ จนเจ้าตัวเล็กขี้เกียจจะทวงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
ยายช้อยมองภาพลูกชายกำนันเดินตามหลานชายของแกด้วยดวงตาเปี่ยมสุข
“กล้วยบวชชีกับข้าวต้มผัด อยากกินอะไร” จู่ๆ ร่างเล็กหันไปถามคนที่เดินตามหลังแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คนที่เอาแต่เดินใจลอยชะงักเท้ากึก มองดวงตาใสซื่อแล้วนิ่งงันไปชั่วครู่
พอตั้งสติได้จึงตอบอ้อมแอ้ม “อะ..อะไรก็ได้” ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคำถามง่ายๆ แค่นี้ถึงทำหัวใจเขาพองโตได้ “ถ้าเอ็งทำ ข้ากินได้หมด”
ทั้งรักทั้งหลงขนาดนี้ แม้จ้อยจะป้อนยาพิษให้ เขาก็คงเต็มใจกลืนทุกหยาดหยด
จ้อยพยักหน้าหงึก เกาปลายคางอย่างใช้ความคิด กล้วยแก่จัดกำลังดีน่าเอามาทำกล้วยบวชชีที่สุด “กล้วยบวชชีดีกว่า ถ้าทำข้าวต้มผัดต้องรอให้งอมกว่านี้” เสียงเล็กพูดกับตัวเองลอยๆ ก่อนเดินลิ่วไปซื้อถั่วเขียว ตั้งใจเอามาคั่วกะเทาะเปลือกใส่ลงไปด้วย
พ่อค้าแม่ค้าตลาดยอดคงต่างพากันแปลกใจ ไหงวันนี้ไอ้นักเลงโตมาถือตะกร้าเดินจ่ายตลาดตามนักเรียนครูต้อยๆ ได้ สิงห์กระชับตะกร้าในมือแน่น มองน้องทุกอิริยาบถ มองปลายนิ้วเรียวจิ้มพุงปลาทูที่นอนอัดกันอยู่ในเข่ง มองมือขาวหยิบๆ เลือกๆ หมูเนื้อแดงอย่างคล่องแคล่ว ก่อนยื่นให้เถ้าแก่จั่นใช้ใบตองห่อเนื้อหมูผูกเงื่อนกระตุกด้วยเชือกกล้วยส่งให้ มองดวงตาคู่ใสกวาดไปทั่งกองมะพร้าวห้าวเลือกลูกเหมาะๆ มองกลีบปากบางคลี่ยิ้มให้กับลูกเจี๊ยบย้อมสีชมพูสีเขียวที่ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อยู่ในลัง
ตะกร้าหนักขึ้นทุกที แต่สิงห์สุขใจขึ้นทุกครา เผลอยิ้มตามไม่รู้ตัว ยิ่งนึกไปถึงค่ำคืนนี้ หัวใจยิ่งอิ่มเอิบนัก
เมื่อจ้อยบอกว่าซื้อของครบตามรายการแล้ว มือใหญ่ไม่รั้งรอ จู่ๆ ก็ฉุดข้อมือน้อยเดินนำลิ่วๆ พาน้องเดินออกจากตลาดสด ลัดเลาะไปตามแนวห้องแถวไม้ แกล้งทำเมินคำถามที่น้องพร่ำถาม แกล้งไม่ไยดีกับแรงน้อยนิดที่พยายามยื้อข้อมือตนออก จนกระทั่งถึงที่หมาย
ร้านตัดเสื้อในตลาดมีอยู่สองร้าน สิงห์เลือกร้านที่มีเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากกรุงเทพสวมอยู่กับหุ่นโชว์หน้ากระจกใส เขาสังเกตมานานแล้วว่าน้องไม่มี ‘ชุดเที่ยว’ ใส่เหมือนอย่างใครเขาเลยสักตัว ที่ชายเล็กซื้อให้เมื่อวันก่อนก็เป็นชุดนักเรียน นอกเวลาเรียน สิงห์ก็เห็นน้องใส่แต่เสื้อยืดที่เก่าจนคอยุ่ยย้วย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีหม่นที่ปะชุนจนเข็มหลง กางเกงหรือก็ใส่พวกกางเกงนักเรียนสีกากีที่เคยใส่ตอนเรียนโรงเรียนประชาบาล
มือใหญ่เลือกเสื้อเชิ้ตผ้าลินินแขนสั้นสีฟ้าทาบกับร่างเล็ก จ้อยจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาจะซื้อเสื้อให้ เจ้าเด็กรั้นยืนกรานปฏิเสธท่าเดียว สิงห์ทาบเสื้อกับหลังไหล่น้องไม่สนใจคำทักท้วง ครั้นรำคาญหนักเข้าก็กลั้นใจใช้ไม้แข็ง
“อย่ารั้น!” เสียงห้าวตะคอกทีเดียวจ้อยก็เงียบกริบ “คืนนี้ข้าไม่อยากเดินกับคนนุ่งผ้าขี้ริ้ว!”
แล้วก็หันไปจัดแจงจ่ายเงินเสร็จสรรพ ไม่ทันสังเกตเห็นหนุ่มน้อยในชุดมอซอหน้าสลดวูบ ก้มมองแต่ปลายเท้าตัวเอง จนกระทั่งมือใหญ่ยื่นถุงกระดาษส่งให้ จ้อยยังไม่มีทีท่าจะยื่นมือไปรับ จนหัวหน้าอันธพาลเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันให้กับความดื้อด้าน บังคับยัดเยียดใส่มือเล็กจนได้
สาสมอารมณ์หมาย คนตัวโตเดินผิวปากออกจากร้านไป คล้ายไม่รู้ตัว ว่าทิ้งหินก้อนเขื่องถ่วงลงในหัวใจดวงเล็กจนหนักอึ้ง
สิงห์ดึงดันจะหิ้วตะกร้าไปส่งจ้อยถึงเรือที่ผูกไว้ที่ท่า แต่พอจ้อยบอกว่ากำนันฝากให้ซื้อกาแฟร้านเจ๊กโก พ่อนักเลงโตก็มีอาการอึกอักลังเลทันที
ลูกน้องนั่งอยู่เต็มร้าน เขาจะหิ้วตะกร้าเข้าไปได้อย่างไร อายพวกมันตายโหง
จ้อยฉลาดพอที่จะไม่ทำให้เขาหนักใจ มือเล็กแย่งตะกร้ามาถือเอง สิงห์ใจวูบเมื่อเห็นตะกร้าที่เขาถือได้สบายๆ ครั้นพอน้องรับไปแล้วถึงกับต้องหิ้วสองมือ เกร็งข้อมือแน่น หัวหน้าอันธพาลได้แต่เดินตามร่างเล็กที่หิ้วตะกร้าจนไหล่เอียงเข้าไปในร้านเจ๊กโก
ไอ้ลอย ไอ้เลิศ ไอ้หมานยังนั่งหน้าสลอนอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“พี่สิงห์ไปไหนมา” ไอ้หมูเลิศถามซื่อๆ ปากมันแผล็บเคี้ยวปาท่องโก๋ตุ้ยๆ ลูกพี่กลับนั่งลงโดยไม่ตอบคำถาม
ไอ้ลอยลอบยิ้มมุมปาก ก้มหน้าจิบโอยั๊วะไม่สนใจ แต่สายตาคมวาวเหลือบมองนักเรียนครูร่างเล็กที่เดินเข้ามาพร้อมกัน จ้อยเดินผ่านพวกเขาไปสั่งกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล เจ๊กโกยิ้มแต้ กุลีกุจอกรอกของเหลวสีน้ำเข้มลงขวดเหล้าสีขาวที่ล้างจนสะอาด แต่พอจ้อยจะจ่ายเงินกลับต้องชะงัก เมื่อมือเหี่ยวย่นยื่นโอเลี้ยงในกระป๋องนมร้อยเชือกกล้วยส่งให้อีกอย่าง
“อั๊วะแถมห้ายลื้อ” สำเนียงแต้จิ๋วปนไทยมาพร้อมรอยยิ้มแปลกประหลาด จ้อยยืนยันจะจ่ายเงินค่าโอเลี้ยง เจ๊กโกก็ไม่ยอมรับท่าเดียว “ไม่เป็งลาย กากี่นั้งน่า”
นักเรียนครูคนซื่อเลยพนมมือไหว้นอบน้อม รอยยิ้มสดใสแต่งแต้มบนใบหน้าอ่อนเยาว์ “ขอบคุณจ้ะ”
สิงห์จ้องมองไม่วางตา ทีกับเขาล่ะไม่เห็นยิ้มแบบนี้ให้บ้าง
คล้อยหลังจ้อย เจ๊กโกก็ออกลาย ร่างผอมเกร็งมองตามจนลับตาขณะเดินไปนั่งรวมกลุ่มกับตาสุ่มขี้เมาประจำตลาด
เปิดฉากนินทาลับหลังอย่างหน้าไม่อาย
“อาจ้อยอีแซฮ่อ โค่ไอย้ จิ๊ๆๆๆ” เจ๊กโกส่ายหน้าทำท่าเสียดมเสียดาย โบกพัดใบตาลในมือพรึ่บๆ จนเสื้อกล้ามสีขาวพะเวิบพะวาบตามแรงลม
“ไอ้จ้อยมันถอดแม่มาเปี๊ยบ อีกำไลแม่ไอ้จ้อยมันสวย” ตาสุ่มแกคุยกะเจ๊กโกบ่อยจนพอฟังออก ใบหน้าดำคล้ำนินทาออกรส “สวยแต่ร่านยิ่งกว่าอีตัวซะอีก ผ่านผู้ชายมาทั้งบางแล้วมั้ง ไอ้จ้อยกับจินดายังไม่รู้เลยว่าพ่อเดียวกันหรือเปล่า”
“ฮ่าย อึมใจม่ายซั่วเค้าแป๋ อีหยำฉ่า เมื่อก่องอีนั่งขายขนมโตงนี้” ชายจีนชี้มือไปหน้าร้าน “พวกพูชายมาตีกางแย่งอีทู้กวาง”
“หน้าอย่างนี้ ยิ้มหวานอย่างนี้ ถ้าเป็นผู้หญิงมันคงแรดเหมือนแม่มันนั่นแหละ”
สองคนสนทนากันสนุกปาก หารู้ไม่ว่าปากตัวกำลังพาความซวยมาเยือน เข้าตำราแกว่งปากหาเสี้ยนนั่นเทียว
อันธพาลหนุ่มจ้องพวกนั้นตาเขม็ง มือใหญ่กำหมัดแน่น
“อาจ้อยอีชีชี แปะแป๊ะ หลั่นแหง๋ชิกฮุงเสี้ยว” เจ๊กโกทำท่าสูดปากแล้วก็ตบเข่าฉาด “เฮ่อ เสียลาย เป็งพูชายซะล่าย นี่ถ้าอีเป็นพูหญิงนา..”
“ถ้ามันเป็นผู้หญิงแล้วมึงจะทำไม!” เสียงห้าวตะคอกถามลั่น สิงห์ทะลึ่งตัวลุกพรวดจนเก้าอี้ล้มกลิ้ง แผงอกกำยำกระเพื่อมขึ้นลง กำหมัดแน่นจนสั่นสะท้าน สายตานั้นเหมือนจะเผาเจ๊กโกได้
อีกฝ่ายกลับลอยหน้าลอยตาตอบ “ถามล่าย อั๊วะก็จับทำเมียน่ะซี ฮ่าๆๆ.. โอ๊ย!”
กำปั้นลุ่นๆ ซัดปากไอ้เจ๊กปากหมาจนกระเด็นหงายหลัง ร่างสูงใหญ่ไม่หนำใจตามไปคร่อมไว้แล้วรัวหมัดลงใบหน้าซีดขาวอีกหลายครั้งติดๆ กัน ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน หมวยเกี้ยคนงามถึงกับกรีดร้องลั่น
“โอ๊ย! ไอ้เช้าโท้ว! ฝู่โบ้ เก๋าเจ้ง!” เจ๊กโกพ่นคำหยาบคายออกมาเป็นชุด พยายามปัดป้องด้วยเรี่ยวแรงน้อยนิด ตาสุ่มงกเงิ่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนรีบปรี่เข้ามาช่วยเพื่อน คว้าเก้าอี้ไม้ฟาดลงหลังไอ้อันธพาลอย่างแรง
ความเจ็บปลาบแล่นลามไปทั่วแผ่นหลัง สิงห์กัดฟันข่มไว้ แล้วชกหน้าตาสุ่มกลับไปบ้างอย่างบ้าคลั่ง เฮียโหล่งลูกชายเจ๊กโกปราดเข้ามาช่วยพ่อ ไอ้เลิศ ไอ้หมาน โดดเข้ามาร่วมวงตะลุมบอนช่วยลูกพี่ ร้านกาแฟเจ๊กโกชุลมุนวุ่นวายไปหมด ขวดน้ำอัดลม แก้วเปล่าปลิวหวือไปทางโน้นทีทางนี้ที พ่อค้าแม่ค้าข้างนอกได้ยินเสียงดังก็รุมล้อมกันเข้ามาดู นินทากันสนุกปาก เรื่องเดิมๆ ไอ้สิงห์ลูกชายอันธพาลของกำนันก่อเรื่องอีกแล้ว
มีเพียงไอ้ลอยที่ทำเป็นประคองอาหมวยคนสวยไว้อย่างปลอบขวัญ ไม่คิดเข้ามาช่วยลูกพี่สักนิดเดียว
***************************
จ้อยนั่งพับเพียบแต้อยู่กับพื้น บนตั่งไม้สักตรงหน้า คุณนายพูนทรัพย์กำลังตรวจดูรายการข้าวของที่บ่าวคนใหม่ซื้อมาอย่างละเอียด ซักถามราคาชนิดไม่ให้เงินทอนกระเด็นแม้สักสตางค์เดียว
แล้วสิ่งที่จ้อยกลัวก็เกิดขึ้น
“นี่อะไร” มือขาวอูมหยิบห่อกระดาษขึ้นเปิดออกดู พอเห็นว่าเป็นขนมนานาชนิดก็จ้องจ้อยตาถลน “แกเอาเงินฉันไปซื้อขนมเรอะไอ้จ้อย!”
“เปล่าจ้ะ” หนุ่มน้อยปฏิเสธเลิ่กลั่ก “คือ.. คุณสิงห์ซื้อมา”
“ของหวานทั้งนั้น ตาสิงห์คอตื้นจะตาย เขาไม่แตะของพวกนี้หรอกย่ะ”
“เขาซื้อมาฝากหนูฝนน่ะจ้ะ”
คุณนายกำนันหรี่ตา เขย่าถุงดูเห็นถั่วตัดงาตัดก็เบ้หน้าหมั่นไส้ “เฮ่อะ! ยัยฝนฟันหลอทั้งปาก ขนมแข็งๆ ทั้งนั้นมันจะเคี้ยวเข้าไปได้ยังไง” นิ้วขาวทาเล็บแดงสดจิ้มหน้าผากจ้อยจนหน้าหงาย กำนันไปทำงานแล้ว คุณนายเลยโขกสับบ่าวตัวดีได้อย่างไม่มีใครขัดขวาง “เขาซื้อให้แกนั่นแหละ นี่คงไปอ้อนลูกฉันให้ซื้อให้ล่ะสิไอ้ลูกนังหยำฉ่า”
จ้อยหน้าซีดเผือด ทั้งตกใจทั้งสับสน ไอ้สิงห์จะซื้อขนมให้เขาเพื่ออะไร กำลังขยับปากจะท้วง คุณนายก็ค้นเจอถุงกระดาษน่าสงสัยซุกอยู่ก้นตะกร้า
“แล้วนี่อะไร” เมียกำนันล้วงของข้างในออกมา พอสะบัดดูเห็นเป็นเสื้อเนื้อดีก็ทำตาโต ขึ้นเสียงแหลมปรี๊ด “ต๊าย! ทีนี้จะแก้ตัวว่ายังไง เสื้อตัวเล็กอย่างนี้ ตอแหลอีกสิยะว่าตาสิงห์ซื้อใส่เองน่ะ”
“เขาซื้อให้จ้อยเอง” จ้อยว่าไปตามความจริง อยากบอกคุณนายด้วยซ้ำว่าเขาไม่ได้อยากได้สักนิด
“อยู่ดีๆ ลูกฉันจะซื้อเสื้อให้แกทำไม! ห๊า!”
“เขาบอกว่าไม่อยากไปดูหนังกับคนนุ่งผ้าขี้ริ้ว”
เปลือกตาเคลือบสีสดเหลือกลาน ลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
“นี่แกหน้าด้านถึงขั้นให้ลูกฉันพาไปดูหนังเลยเรอะ แล้วเขาก็ต้องออกเงินเลี้ยงแกด้วยงั้นสิ มันจะมากไปแล้วนะไอ้ขี้ข้านี่!” ริมฝีปากแดงสดพ่นแต่ถ้อยคำระคายโสต คนฟังได้แต่ก้มหน้านิ่ง เพราะเหตุนี้ไงเล่าเขาถึงไม่อยากไปดูหนังกับนักเลงตัวโตเอาแต่ใจคนนั้น “ฉันไม่ให้ไป! แกไปบอกเขาเลยว่าฉันไม่ให้ไป เสื้อกับขนมนี่ก็เอาไปคืนเขาซะ ชะ! มาอยู่ไม่ทันไรก็เบียดเบียนเอาโน่นเอานี่ ดีนะที่แกเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงคงจ้องจะจับลูกฉันแล้วสิ โอย.. ฉันจะเป็นลม”
คุณนายพูนทรัพย์โยนทั้งเสื้อทั้งถุงขนมใส่หน้าจ้อย มือขาวลูบอกที่กระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธ ก่อนชี้หน้าหนุ่มน้อยที่เอาแต่ก้มหน้าเจียมตน ตอกย้ำความต่ำต้อยให้คนฟังยิ่งรู้สึกด้อยค่าแทบจมดิน
“จำใส่กะลาหัวแกไว้เลยนะ เกิดมาเป็นขี้ข้าก็อย่าเสือกเสนอหน้า แกมันคนละระดับกับลูกฉัน อย่าฝันว่าลูกอีกำไลมันจะมาเทียบลูกฉันได้!”
บทสนทนาเผ็ดร้อนมีอันต้องยุติลง เมื่อเสียงเรือยนต์แว่วมาจากท่าน้ำหน้าบ้าน จ้อยกับคุณนายเหลียวมองตาม เห็นกำนันเสริมในชุดสีกากีเดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเหมือนเพิ่งกินรังแตนมาจากไหน ใบหน้าทรงอำนาจแดงก่ำ พร่ำพ่นถ้อยคำผรุสวาทมาแต่ไกล
ร่างสูงใหญ่ที่เดินตามหลังมานั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้สิงห์!
หากพอจ้อยเห็นหน้ามันชัดๆ กลับต้องตกใจ ใบหน้าคมสันที่เมื่อครู่ยังยิ้มย่องผ่องใสเดินตามเขาในตลาด ตอนนี้กลับฟกช้ำดำเขียว มุมปากแตก คราบเลือดแห้งกรังเป็นทางจากขมับ บางส่วนหยดลงเสื้อเชิ้ตตาสก็อตสีเข้มเป็นดวงๆ
คุณนายพูนทรัพย์อุทานลั่นเมื่อเห็นหน้าลูกชาย ร่างอวบแล่นถลาเข้าไปปลอบรับขวัญ ไอ้สิงห์กลับสะบัดแม่ออกอย่างก้าวร้าว ครั้นพอคุณนายถามกำนันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตะแกก็เล่าหมดเปลือก ว่าไอ้สิงห์ไปมีเรื่องชกต่อยกับเจ๊กโกที่ร้านกาแฟ เจ๊กโกแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย เดือดร้อนแกต้องบากหน้าไปเจรจาไกล่เกลี่ย เสียทั้งเงิน เสียทั้งหน้า
ทุกคำพูดของพ่อลอยผ่านหูไปเหมือนเป็นอากาศ สายตาสิงห์จับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่มตัวเล็กที่นั่งพับเพียบตั้งแต่เดินขึ้นเรือนมา
แค่เห็นดวงตาใสๆ คู่นั้น เห็นใบหน้าอ่อนละมุนยังผ่องแผ้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกคล้ายรอยแผลบนหน้าจะทุเลาความเจ็บลง
ทว่ามองนานไม่ได้ ในความยินดีนั้นมีความละอายอดสูเคลือบแฝง ยิ่งเห็นน้องมองมาด้วยสายตาตระหนกกึ่งหวั่นกลัว นักเลงโตปวดยอกในอกจนต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
มือหยาบใหญ่ของพ่อกระชากคอเสื้อเขาไปกลางชาน ผลักให้นั่งลงกับพื้นตรงข้ามนักเรียนครู จ้อยยังดูตกใจไม่หาย ร่างเล็กขยับจะลุกออกไป อาจเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัวที่จ้อยไม่เกี่ยวด้วย
“ครูไม่ต้องไป! อยู่ตรงนี้แหละ!” เสียงดังกัมปนาทของพ่อตวาดก้องจนเจ้าตัวเล็กสะดุ้ง “ลุงจะด่าไอ้ลูกเวรนี่ต่อหน้าครู ดูซิว่ามันจะละอายใจบ้างไหม”
แล้วใบหน้าถมึงทึงก็หันมาทางสิงห์ กระแทกตะพดในมือลงพื้นกึงๆ
“มึงเห็นครูไหมไอ้สิงห์ พ่อแม่ไม่มี บ้านก็ยากจน เขายังอุตส่าห์พากเพียรร่ำเรียนเป็นครูได้ ไม่เหมือนมึง เสียแรงที่เป็นลูกกู!”
สิงห์เงียบเหมือนคนไม่มีปาก ดวงตาสีเข้มเสมองไปทางอื่น กระนั้นคำพูดพ่อก็ยังเข้าหู ทะลุทะลวงแทงใจทุกคำ
“มึงอายุเท่าไรแล้ว ยืนขึ้นมาก็สูงกว่ากูแล้ว ต้องให้กูพูดยังไงมึงถึงจะฟัง ตอนนี้กูอยากรู้ว่าในสมองมึงคิดอะไรอยู่ ตอนกูเท่ามึงกูเลี้ยงแม่เลี้ยงน้องได้แล้ว แล้วดูตัวมึงสิ ไม่เป็นโล้เป็นพาย วันๆ สร้างแต่ความเดือดร้อน!” ถ้อยคำติเตียนพรั่งพรูจากปากพ่อ แม่ถลาเข้ามาจะห้าม แต่พอพ่อเอาตะพดชี้หน้าทีเดียว แม่ก็ชะงักนิ่ง
“นั่งเงียบอยู่ทำไม ไม่มีอะไรจะพูดรึไง ไหนบอกกูมาซิว่าเรื่องอะไรถึงต้องไปชกปากไอ้เจ๊กมัน”
คล้ายมีก้อนแข็งแล่นขึ้นมาจุกคอหอย สิงห์พูดอะไรไม่ออก ดวงตาสีเข้มหันมาสบตานักเรียนครูตรงหน้า ตอบคำถามนั้นอยู่ในใจ
พี่ยอมให้พวกมันหยามจ้อยไม่ได้..
อาการนั่งนิ่งเหมือนเบื้อใบ้ของลูกชาย ยังความโกรธมาให้กำนันจนตัวสั่นเทิ้ม
“ไอ้ลูกทรพี! ทำแต่เรื่องขายหน้า หน้าของพ่อแม่ มึงเอาไปขายเสียเกลี้ยงแล้ว มึงไม่อายบ้างรึไง สมองมึงนอกจากเรื่องท้าตีท้าต่อยแล้วมีเรื่องดีๆ บ้างไหม เรียนหนังสือก็ไม่เอาไหน พอให้ทำงานก็หนีเที่ยว ทีเรื่องชกต่อยกลับไม่ขี้เกียจสักนิด ตอบมาซิ ชีวิตมึงคิดจะเอายังไงต่อ มึงอายุเท่าไรแล้ว ผู้ชายอายุ ๒๐ เลี้ยงตัวเองได้แล้ว ดูสารรูปมึงสิ มีตรงไหนสมเป็นลูกกูบ้าง!”
ในคำดั่งมีคม มีดกี่เล่มหั่นเฉือนเนื้อใจจนขาดเป็นริ้ว สิงห์เงยหน้าขึ้นมองพ่อ ในดวงตาที่คล้ายคั่งแค้นนั้นมีหยาดน้ำใสคลอเอ่อ
พ่อไม่เห็นความน้อยใจ ไม่เห็นความเสียใจ ไม่เห็นความผิดหวัง พ่อเห็นแต่ความระยำบัดซบ “มองหน้ากูทำไม! ไม่พอใจงั้นหรือ กูพูดผิดตรงไหน!”
“ผมทำให้พ่อขายหน้านักใช่ไหม” เสียงแหบพร่าเค้นขึ้นจากลำคอขมปร่า “งั้นพ่อปล่อยให้ผมเกิดมาทำไม ทำไมไม่เอาขี้เถ้ายัดปากให้ผมตายไปซะ!”
“หุบปากเดี๋ยวนี้! เลิกพูดไร้สาระซะที ดีแต่โทษนั่นโทษนี่ ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดสักอย่าง! ไอ้ลูกไม่รักดี!” กำนันโกรธจนหน้าแดง ฝ่ามือเทอะทะฟาดเปรี้ยงเข้าบ้องหูจนหน้าหัน ทุกสิ่งคล้ายมืดดับลงชั่ววูบ เจ็บจนชา แม่ร้องเสียงหลง ปราดเข้ามาหาเขา ในขณะที่จ้อยตกตะลึงตัวสั่น สิงห์ขบกรามกรอด ลุกพรวดขึ้นยืนค้ำหัวพ่อ
“ผมไม่รักดีก็เพราะพ่อนั่นแหละ! ตั้งแต่เล็กจนโต ผมทำอะไรก็ผิดหมด พ่อเคยพูดดีๆ กับผมไหม คิดว่าผมอยากเป็นลูกพ่อหรือ พ่อเย็นชาเห็นแก่ตัวแบบนี้ผมไม่อยากได้หรอก!”
สายตาที่พ่อมองมาเหมือนมองหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง “ไอ้ลูกชั่ว! มึงไม่ใช่ลูกกู!” สิ้นเสียงตะคอก พ่อเงื้อง่าตะพดในมือขึ้นสูง แม่ถลาเข้ามากางกั้นไว้ ออกปากไล่ให้เขากลับเข้าห้อง
ร่างกำยำเดินลงส้นปึงปังเข้าห้อง กระแทกประตูปิดเสียงดังลั่น กระนั้น เสียงพ่อแม่ทะเลาะกันก็ยังเล็ดลอด..
เรื่องเดิมๆ เหตุการณ์เก่าๆ วนเวียนซ้ำซากไม่หยุดหย่อน
“ช่วงนี้ฉันงานยุ่งแทบไม่มีเวลา ไอ้ลูกสารเลวดันมาก่อเรื่องเอาตอนนี้”
“ฉันรู้ว่าพี่งานยุ่ง ถึงจะยุ่งแค่ไหนก็ต้องคุมลูกชายบ้าง ถ้าเขาเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันต้องถูกจับเข้าคุกแน่ พี่เป็นถึงกำนัน ดูแลคนทั้งตำบล แต่ลูกชายคนเดียวกลับสั่งสอนไม่ได้”
“สิงห์มันเสียคนตั้งแต่เด็ก ไม่มีอนาคตแล้ว”
“ทำไมพี่พูดแบบนี้ ตาสิงห์เป็นลูกพี่นะ”
“เลี้ยงเสือตั้งแต่เด็ก โตขึ้นก็ทำร้ายคน เพราะเธอโอ๋เขาจนเสียคน”
“ทำไมโยนความผิดมาให้ฉัน พี่ไม่ผิดหรือ บอกว่าออกไปทำงาน ไปบ้านเล็กบ้านน้อยสิไม่ว่า ทิ้งฉันกับลูกเอาไว้ไม่เคยสนใจ ตอนเด็กๆ ตาสิงห์เป็นเด็กดี แต่เพราะพี่ไม่สั่งสอนถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ถ้าฉันผิด พี่ไม่ผิดหรือไง”
“พอๆๆ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลยน่า”
ร่างสูงใหญ่ทว่าบอบช้ำเหมือนสัตว์บาดเจ็บยืนอยู่ริมหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เหม่อมองท้องน้ำสีน้ำตาลเบื้องหน้าด้วยขอบตาร้อนผ่าว
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกสิงห์ให้ตื่นจากห้วงความคิด ดวงตาแดงก่ำหันไปมอง เห็นจ้อยในชุดนักเรียนครูอันทรงเกียรติเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
นักเลงโตแค่นหัวเราะคล้ายจะหยันตัวเอง สูดจมูกลึก จับจ้องวงหน้าละมุนไม่วางตา
จ้อยเอ๋ย.. ยิ้มให้พี่ชื่นใจสักนิดเถิด มองพี่อย่างห่วงใยสักหน่อยได้ไหม โปรยเศษรักเป็นทานแก่หัวใจพี่สักเสี้ยว เป็นน้ำรินรดหัวใจที่แห้งผากดวงนี้ที ต่อให้ถูกพ่อด่าว่าแค่ไหน ต่อให้ถูกชาวบ้านแช่งชักหักกระดูกเพียงใด ต่อให้เป็นคนไร้ค่าในสายตาใครต่อใครก็ตาม ขอเพียงพี่ได้อยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง
เพียงคนดีของพี่คนเดียวก็พอ
“เอาคืนไป ไม่อยากได้” ดวงตาสีน้ำตาลใสว่างเปล่า มือเล็กยื่นห่อกระดาษส่งให้ ทำไมสิงห์จะจำไม่ได้ ห่อขนม ถุงกระดาษใส่เสื้อที่เขาเป็นคนยัดใส่มือจ้อยเองกับมือ เพียงคำพูดนั้น.. เพียงแววตานั้น.. สิงห์ไม่อยากเชื่อว่ามันจะมีฤทธิ์ทำให้เขาชาวาบได้ทั้งร่าง
“เอ็ง.. เอ็งว่าอะไรนะ” แผลฟกช้ำบนหน้า หัวที่แตกเลือดอาบคล้ายเจ็บสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
จ้อยไม่ตอบคำ เมื่อเห็นเขาไม่ยื่นมือไปรับคืนเสียที มือเล็กจึงวางห่อกระดาษลงกับพื้นตรงหน้า สิงห์ได้แต่นิ่งมองซากหัวใจตนถูกวางทิ้งอย่างไร้ค่าไม่ต่างจากเศษขยะ
เหมือนพิษงูกรูแทรกชำแรกรวด ให้ร้าวปวดปิ้มจิตปลิดสลาย
นักเรียนครูเงยหน้ามองด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากบางปล่อยคมมีดมากรีดใจเขาอีกแผล
“คืนนี้.. ไม่ไปดูหนังแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป__________________________________________________________________________
*ที่รัก, สุนทรียา ณ เวียงกาญจน์ คำร้อง, ชรินทร์ นันทนาคร ขับร้องวะฮะฮ่าฮ่า ต้องยังงี้มันถึงจะซ๊ะใจ ดราม่าเท่านั้นที่เราต้องการ

ไปล่ะค่ะ ขอโทษที่มาช้าไปหน่อยนะคะ
รักคนอ่านเน้อ

ดอกไม้
๑๖ ก.ย. ๕๕