บทที่ ๒๖
เหลือความดีให้พี่บ้าง (ครึ่งแรกฮะ

)
เหลือความดีให้พี่บ้างน้อง
พี่นอนน้ำตาหลั่งนองหมองในดวงใจพี่
โอ้น้องเอยก่อนเก่าเจ้าเคยภักดี
หวานถ้อยคำพาที แต่บัดนี้ไยเฝ้าประณาม
โถ..ยามชังเจ้าว่าพี่ร้าย
ก่อนเคยรักก็เปลี่ยนใจ กลายกลับมองเลยข้าม* กลางเดือนสิบ แม่โพสพจัดแจงแต่งตัวจะตั้งท้อง ท้องนาที่เคยเขียวขจีเริ่มกลายเป็นสีอมไพลนวลๆ ด้วยต้นข้าวที่เริ่มออกรวง ลมทุ่งพัดมาทีก็พลิ้วไหวเป็นระลอกราวกับผืนพรมสุดลูกหูลูกตา
ลมทุ่งเย็นอยู่หรอก แต่ยามนี้หัวใจนักเลงหนุ่มอย่างไอ้สิงห์กลับร้อนรุ่มเหมือนไฟสุมขอน
เมียรักเมียขวัญไม่กลับบ้านมาร่วมอาทิตย์แล้วน่ะซี!
ณ ชานเรือนกว้างขวางของกำนัน ไอ้สิงห์นั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดหวิดจะทุบกำปั้นลงเสื่อจันทบูรผืนโต ผัวเจ็บปางตายไม่เคยมาดูดำดูดี บอกว่าจะอยู่โรงเรียนเตรียมงานต้อนรับคณะเจ้าห่าเหวอะไรนั่น พอมันไม่กลับบ้าน เขารึสู้อุตส่าห์แบกหน้าแบกหัวบากๆ ไปเยี่ยมๆ มองๆ มันถึงโรงเรียน จะหันมาเหลียวแลกันบ้างสักนิดก็ไม่เคย ไอ้จ้อยนะไอ้จ้อย เอ็งมันใจดำยิ่งกว่าอีกา!
น้าเวกเด็ดดอกอัญชันใส่ขันรองหินเสียพูน แกมาแหวกๆ กบาลลูกชายกำนันแล้วก็ขยี้ดอกน้ำเงินเข้มลงรอยแผลเป็นที่เริ่มแห้งให้
“ผมเลยไม่ขึ้นเลยสิงห์เอ๋ย” แกบ่นพึม เท่านั้นก็ทำคนฟังสะดุ้งโหยง
“ผมไม่ขึ้น?!” ไอ้สิงห์ตาเหลือก แหวกหัวตัวเองอย่างพะวงในความหล่อสุดแสน “จะหัวล้านไหมน้า” ฉิบหาย! ขนาดผมดกๆ ดำๆ เมียยังตีจาก ถ้ากูหัวล้านเป็นลานบินล่ะมึงเอ๋ย เมียคงหอบผ้าหนีวันละ ๓ รอบ
“หมายถึงแค่ตรงแผลเป็นนี่” นิ้วสากๆ เคาะกระหม่อมนักเลงโตก๊อกๆ “ไม่เห็นหรอก ผมมันยาวลงมาปิดหมด”
พูดไปยังงั้น แต่ลูกกะตาเหลือบมองหัวเลี่ยนเตียนโล่งของกำนันที่ยืนให้น้ำนกหัวจุกอยู่ไม่ไกล..
แกคงคิดในใจ.. แต่ถ้าแก่ตัวไปมันคงไม่แคล้วเหมือนพ่อเอ็งหรอกว่ะไอ้สิงห์เอ๋ย..
“จ้อยมันจะกลับมาเมื่อไรน้า” ลูกชายกำนันถามคำถามนี้เป็นรอบที่สิบของวันได้ หากคำตอบก็ยังเหมือนเดิม น้าเวกส่ายหัวไม่รู้ไม่ชี้
ร่างกำยำขยับลุกพรวดพราด ร้อนรนจะไปตามหา หากคนมากวัยกว่ารั้งไหล่ไว้ทันควัน “ไม่ต้องไปตามหรอก ครูคงมีธุระ สิงห์จะเอาอะไรบอกน้ามาก็ได้”
สิงห์กัดริมฝีปาก ในสายตาน้าเวก แกคงเห็นเขากระวนกระวายเพราะขาดขี้ข้าช่วงใช้?
อยากจะประกาศให้รู้กันเสียตรงนี้ ไอ้จ้อยไม่ใช่ขี้ข้าของเขาอีกแล้ว มันเป็นนายของเขาต่างหาก.. เป็นนายหัวใจเพียงหนึ่งเดียว
น้าแป้นกับน้ำฝนกลับมาพร้อมเสียงหัวเราะครื้นเครง สองแม่ลูกเพิ่งกลับจากไปดู ‘เจ้า’ ที่โรงเรียนฝึกหัดครู สองมือหิ้วหม้ออวยปิ่นโตรุงรัง น้ำฝนหนีบสมุดดินสอใหม่เอี่ยมมาด้วย คนเห็นเล่าให้คนไม่ได้เห็นฟังไม่ขาดปาก สารพัดเรื่องเล่า พ่อคุณชายหล่อยังกะพระเอกหนังฝรั่งเอย ฮอลำใหญ่เหมือนในหนังกลางแปลงเอย มีอาหารแจกฟรีที่โรงทานเอย
แต่ไอ้สิงห์อยากรู้คำเดียว
“จ้อยมันจะกลับมาเมื่อไรน้า” คำถามเดิมหล่นจากปากเป็นรอบที่สิบเบ็ด
“เจ้าจะกลับกันแล้วนี่ เดี๋ยวครูคงมาแล้วล่ะ ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้” แล้วน้าแป้นก็หันไปฝอยกะผัวต่อ “จะว่าไปครูของเราก็มีราศีนะพ่อมึ๊ง ดูน้ำนวลขึ้นจับหน้า สวยกินกันไม่ลงกับลูกท่านหลานเธอเชียวล่ะ”
ไอ้สิงห์ฟังแล้วเหงื่อตกขมับ ความห่วงหาในคราแรกเริ่มแปรเปลี่ยน มีความหวง.. หึง.. เจือเข้าปนทีละนิด
เห็นทีมะม่วงพวงงามนามเจ้าจ้อยเนื้อหอม ไม่ช้าคงจะร่วงหล่นลงนอกชายคาบ้านกำนันเป็นแน่ มดแดงตัวเป้งที่มีวาสนาได้ลิ้มรสฉ่ำหวานไปแค่ครั้งเดียวมีหรือจะยอม!
นักเลงหนุ่มไม่รอช้า คว้าเสื้อแสงใส่แล้วโจนพรวดพราดลงบันได กำนันเสริมด่าไล่หลังมาแว่วๆ “มึงจะรีบไปตามควายที่ไหนวะ!”
ถ้าควายน่ารักอย่างนี้ ไอ้สิงห์ขอไถนาจนขาดใจตายคาแปลงล่ะ!
*************************
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราฉันใด งานต้อนรับคณะเจ้าก็มีวันจบลงไปฉันนั้น เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่คงพาหม่อมย่ากับท่านพ่อเสด็จไปถึงบางปะอินแล้ว ทว่าโรงเรียนฝึกหัดครูยังวุ่นเป็นจุลกฐิน ทั้งอาจารย์และนักเรียนร่วมแรงกันเก็บของและทำความสะอาดพัลวัน โรงอาหารใหญ่ที่แปรสภาพเป็นโรงทานจากน้ำพระทัยท่านชายอาทิตย์ยังคึกคักไปด้วยชาวบ้านและเด็กๆ
เลอมานรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก่อนจากไปหม่อมย่ายังพร่ำกอดพร่ำหอมเขาไม่รู้จักเบื่อ ต่อหน้าสายตาคณาจารย์และนักเรียนจนอดประดักประเดิดไม่ได้ จากนั้นอาจารย์ปรีชาก็เรียกตัวไปพบเพื่อคุยเรื่องสรุปผลงาน กว่าเด็กหนุ่มสูงศักดิ์จะปลีกตัวมาได้ ก็เห็นเพื่อนๆ ช่วยกันยกโต๊ะเก้าอี้ลำเลียงลงจากเรือนคนละไม้ละมือแล้ว
มือขาวผ่องอย่างคนไม่เคยต้องงานหนักคว้าหมับเข้าที่เก้าอี้ไม้ที่สันติกำลังทุลักทุเลยก นายสี่ตาชะงักกึก ตีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จู่ๆ สันติก็ขาแข็งก้าวไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น คุณชายนิ่วหน้าฉงน และยังไม่ทันไร อาจารย์วิรัชหัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษก็พรวดพราดหน้าตาตื่นเข้ามา ฟาดผ่ามือลงกบาลสันติดังเพี๊ยะ
“กล้าดียังไงมาใช้คุณชายยกของ!” อาจารย์ตวาดใส่ โมโหหน้าดำหน้าแดงยังกะสันติไปฆ่าบุพการีแก
“ผะ..ผมเปล่านะ!” นักเรียนคลำหัวป้อย “เลอมาน..เอ๊ย! คุณชายเลอมานเขามาช่วยเอง”
ครั้นเลอมานบอกว่าไม่เป็นไร อาจารย์วิรัชก็เข้าสู่ท่าประจำตัว มือกุมเป้า ค้อมหลังนอบน้อม สุ้มเสียงเกรี้ยวกราดลดลงสุภาพนิ่มนวลทันควัน “ไม่เป็นไรมิได้ขอรับคุณชาย กระผมเกรงคุณชายจะเหนื่อย ให้พวกนักเรียนมันทำกันเถอะขอรับ”
เลอมานมุ่นคิ้วให้ความพิลึกพิลั่น ส่ายหน้าหน่ายก่อนหันไปช่วยคนอื่นแทน แต่น่าแปลก ไม่ว่าเขาจะปราดเข้าไปหยิบจับอะไร ต้องมีคนมาพินอบพิเทารับของนั้นไปถือเองเสียทุกครา
ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด?
เมื่ออาจารย์วิรัช ‘เชิญ’ เขาไปนั่งเฉยๆ เลอมานยังพอทน แต่ครั้นมีคำสั่งให้คนไปเอาน้ำมาให้เขาดื่มนี่เห็นทีจะทนไม่ไหวล่ะ
คุณชายเดินหนีกลับเรือนไม้ ความสอพลอของคนบางคนดูทีจะรุนแรงขึ้นในวันนี้ เขาว่า.. เขาเอากล้องตัวใหม่ไปถ่ายรูปเล่นกับพวกจ้อย สง่าและสันติดีกว่า พวกนั้นจะต้องชอบแน่ๆ เผลอๆ จะแย่งกันเป็นนายแบบหรือช่างภาพกันสนุกเชียว
หากผิดคาด..
ทันทีที่บุตรท่านทูตวิ่งไปหากลุ่มเพื่อน อวดกล้องถ่ายรูปราคาแพง ของขวัญจากท่านพ่อที่แสนภูมิใจ แล้วยื่นให้ลองหยิบจับดูเท่านั้น..
“มะ..ไม่เอาหรอกคุณชาย ผมไม่กล้าจับ” สง่าโดดหนีราวกับไอ้ที่ยื่นให้เป็นงูพิษไม่ใช่กล้องถ่ายรูป เลอมานเลยหันหาสันติ
“แพงน่าดู เดี๋ยวผมทำหล่นละเป็นเรื่อง” นายสี่ตาทำหน้าขยาดแหยง เลอมานเลยหันหาจ้อย..
รายนี้หนักสุด.. แม้หน้ายังไม่มองกันเลย..
ไม่รู้ว่าต้นหูกวางต้นนั้นมันมีอะไรน่ามองกว่าหน้าเขานัก..
“ไม่เป็นไรๆ” คุณชายทำเป็นไม่ใส่ใจ ไม่ละความพยายามง่ายๆ “งั้นมาถ่ายรูปเล่นกันหน่อยไหม” มือขาวๆ เปิดหน้ากล้อง หมุนไกเลื่อนฟิล์มอย่างที่พี่ชานนท์สอน หากพอยกขึ้นจ่อลูกตาเท่านั้น สง่ากับสันติก็โดดหนีกันโหยงเหยง
เลอมานลดกล้องลง สิ่งที่สะท้อนในดวงตาคือความไม่เข้าใจ
“น้ำหน้าอย่างพวกผม คุณชายจะถ่ายไปทำม้าย” สง่าโบกมือวุ่นวาย “เก็บไว้ถ่ายคนที่เขาคู่ควรเถอะ”
เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งเหมือนเบื้อใบ้ ถ้ากดชัตเตอร์ตอนนี้ ภาพที่ประทับลงบนฟิล์มราคาแพงเห็นทีจะเป็นแววตามิตรสหายที่เคยร่วมกอดคอกันมา ที่ยามนี้ไม่เหลือความสนิทสนมเหมือนเก่าก่อนอีกแล้ว
จ้อยเป็นคนเดินจากไปก่อน สง่ากับสันติมองหน้ากันก่อนเก้กังค้อมหัวให้เขาแล้วตามกันไป หม่อมราชวงศ์เลอมานยังอยู่กับความสับสน แต่มิวายตะโกนเรียก ‘เพื่อน’
“รอฉันด้วย!” สองเท้าวิ่งตามเพื่อนที่ไม่แม้จะเหลียวหลังมามอง “จะไปไหนกันหรือ”
พอเพื่อนบอกว่า ‘ไปเตะบอลกัน’ คนฟังอดน้อยใจไม่ได้ ไม่มีชวนกันสักคำนะคนเรา
ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์เอากล้องคล้องคอเดินตามไปจนถึงสนาม ทั้งนักเรียนและอาจารย์ร่วมสิบที่นั่งๆ นอนๆ ผ่อนคลายกันอยู่ดูจะ ‘เกร็ง’ ขึ้นทันทีที่เห็นเขา พอเลอมานเอ่ยปากขอร่วมเล่นด้วย ทุกคนก็มองหน้ากัน และแล้ว.. จ้อยก็เป็นคนตัดรอนสั้นๆ ว่า “คนครบแล้วครับ”
เลอมานยิ้มเจื่อน ไม่เป็นไร ก็คนครบแล้วจริงๆ เขาจะฝืนแทรกเข้าไปเล่นก็กระไรอยู่ เลยได้แต่นั่งดูอยู่ขอบสนาม ยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์ไปตามเรื่อง แต่พอมีคนเตะลูกลอยหวือเฉียดหัวเขาไปหน่อยเดียวเท่านั้น กีฬาครื้นเครงอลเวงก็แปรผัน ผู้เล่นทุกคนชะงักกึกในความเงียบงันที่คลี่คลุม
“อย่ามานั่งตรงนี้เลยครับ” นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “มันอันตราย”
“เกิดบอลโดนกล้องพังไป พวกผมไม่มีปัญญาใช้ให้หรอกนะ” ส่วนคำนี้เป็นของสง่า ทุกคนมองหน้าคุณชายข้างสนามเป็นตาเดียว
ไม่มีใครเอ่ยปาก ‘ไล่’ เขาสักคำ
แต่เหตุใดเลอมานได้ยินกึกก้องหัวใจ
สายตาทุกคนกำลังพูดว่า ‘จะไปไหนก็ไป’ เป็นเสียงเดียวกัน
โอรสในหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัช บูรพวงศ์เดินคอตกออกจากสนามบอล ไม่เป็นไร.. ทุกคนจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุใดก็สุดปัญญาที่เลอมานจะคาดคิด
สองขาพาร่างซึมเซาตรงไปยังเรือนพัก
ไม่เป็นไร.. ที่นั่นยังมีอาจารย์คนึง..
ถึงอย่างไร.. เขาก็ยังมีอาจารย์คนึง..
คล้อยหลังหม่อมราชวงศ์หนุ่ม ทุกคนพากันถอนใจโล่งอก
‘หงส์’ ออกไปจากฝูง ‘อีกา’ ได้เสียที
ดูท่าการมาเยือนของหม่อมเจ้าอาทิตย์และหม่อมดารา จะตอกย้ำความยิ่งยศทรงศักดิ์ของเลอมานยิ่งขึ้นไปอีก อาจารย์คนหนึ่งรี่เข้าไปแพ่นกะโหลกนักเรียนแข้งทองที่หวุดหวิดจะเตะบอลไปโดนหัว ‘เจ้า’
“เกิดลูกท่านหลานเธอบาดเจ็บอะไรไป หม่อมย่าหม่อมปู่เขาจะมาเฉ่งกบาลเอ็ง!”
*************************