นักเรียนครูรวบรวมเสื้อผ้าที่ใช้แล้วของทั้งกำนัน คุณนายและลูกชายใส่ตะกร้าหวายใบใหญ่กระเตงลงมาที่ลานซักผ้าอย่างทุลักทุเล คุณนายช่างใจดำนัก กีดกันคนที่พอจะช่วยเหลือได้ไปหมดสิ้น ซ้ำยังจงใจสั่งให้ซักผ้าแบบนี้ มือจ้อยจะหนีน้ำไปไหนพ้น
ลานซักผ้าอยู่หน้าเรือนครัว หนุ่มน้อยค่อยๆ เตรียมอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ ทั้งเปลสังกะสีหนารูปยาวรี อ่างเคลือบกลม และแผ่นคราดไม้หยักช่วยครูดผ้าหนาที่สกปรก มือเล็กเปิดน้ำผ่านสายยางลงอ่างเคลือบ เพียงลงมือแยกผ้าเนื้อหนาของกำนัน และผ้าเนื้อดีบอบบางของคุณนายออกจากกัน ทันใดนั้น.. อัศวินขี่ควายดำก็มาปรากฏกาย
จู่ๆ มันก็พรวดพราดเข้ามา แย่งผ้าในตะกร้าที่จ้อยกำลังแยกยกไปวางข้างตัว ลับๆ ล่อๆ ล่อกๆ แล่กๆ เหมือนกลัวใครเห็น
“บอกมาว่าทำยังไงบ้าง” ร่างใหญ่โตเป็นยักษ์มักกะสันนั่งแปะลงบนม้านั่งตัวเล็กหน้ากะละมัง พอเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ตีหน้าเหรอหราก็ขู่เสียงเฉียบ “เร็วๆ สิวะ! เดี๋ยวแม่ข้าก็มาเห็นเข้าหรอก”
จ้อยอึกอัก ทำอะไรไม่ถูก มันควรแล้วหรือที่เขาจะมาใช้ศัตรูซักผ้าให้ ที่สำคัญ.. วันนี้.. มันช่วยเหลือเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว
สิงห์สุดจะทนกับความเบื้อใบ้ไม่ทันใจ เลยคว้าสบู่กรดก้อนสีฟ้าขาวประเดิมถูลงบนเนื้อผ้า
เสื้อผ้าไหมสีปีกแมงทับของคุณนายพูนทรัพย์!
“อย่า!” เสียงเล็กร้องห้ามลั่น มือใหญ่ชะงักกึก “ของป้าทรัพย์ต้องใช้นี่ซัก” มือบอบบางยื่นโหลแก้วบรรจุผงสีขาวสะอาดส่งให้ นักเลงหนุ่มคว้าไปส่องดู มีรอยปากกาขีดพร้อมระบุวันที่ซื้อเสร็จสรรพ ด้วยลายมือผู้เป็นมารดา
“ส่วนที่เหลือใช้สบู่ซันไลต์” จ้อยชี้ไปทางสบู่สีเหลืองก้อนโตชนิดปาหัวหมาแตก “ยกเว้นกางเกงยีนส์นั่น ใช้สบู่กรด”
ไอ้สิงห์ย่นจมูก ก็พอจะรู้อยู่ว่าแม่เขาหน้าเลือด แต่คาดไม่ถึงว่าจะขนาดนี้ ผ้าตัวเอง ใช้แฟ้บราคาแพงซักอยู่คนเดียว!
อีกอย่างที่คาดไม่ถึง.. ซักผ้านี่มัน.. กินแรงฉิบหาย!!
ทุกทีจ้อยมันซักคนเดียวได้ยังไง แถมเสร็จแล้วยังมีแรงแต่งเนื้อแต่งตัวไปโรงเรียน มีแรงเรียนหนังสือทั้งวันอีก ยิ่งถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์แบบนี้ งานบ้านอีกสารพัดก็กองสุมรอให้ไปจัดการ จ้อยมันทำได้ยังไง?
หนุ่มน้อยนั่งตาปริบอยู่หน้าอ่างเคลือบพูนฟอง ๒-๓ ใบ หัวหน้าอันธพาลที่ท้าตีท้าต่อยมาทั้งตำบลกำลังนั่งขยี้ผ้าด้วยเรี่ยวแรงเหมือนวัวควายอยู่ตรงหน้านี่ คิ้วหนาขมวดมุ่น สายตาแน่วแน่อย่างตั้งใจ เม็ดเหงื่อผุดซึมตามไรผมดำสนิท กระทั่งแผ่นอกกำยำจนมันปลาบ จ้อยนึกละอายขึ้นมา เพราะนี่มันงานของจ้อยชัดๆ แต่พอยื่นมือไปแค่หมายจะใช้มือเดียวซักน้ำสะอาดให้เท่านั้น
“เอ็งนั่งเฉยๆ!” มันขู่เสียงเหี้ยม ขัดกันเหลือเกินกับมือที่กำลังขยี้เสื้อแพรเนื้อบางเบาจนฟองฟอด “เดี๋ยวมือโดนน้ำ!”
จ้อยเลยได้แต่นั่งนิ่ง หุบเล็บเก็บเขี้ยวเอาไว้พยศกันวันหลัง
ไม่ทันไรก็ได้เรื่อง มือหยาบที่ตะโบมโหมแรงลงกับผ้า ทำฟองกระเด็นใส่ตาตัวเองเข้าให้!
“โอ๊ย!” มันทำตัวเองนะ จ้อยไม่เกี่ยว! “แสบตาโว้ย!” มันร้องเป็นควายถูกเชือด พยายามเช็ดตากับหัวไหล่ จ้อยจะนิ่งดูดายก็กระไรอยู่ อารามตกใจ ทำอะไรไม่ถูก จ้อยลนลานเข้าเรือนครัว คว้ากระปุกเกลือเม็ดเทพรวดเต็มฝ่ามือแล้ววิ่งกลับมาหามัน อาศัยจังหวะที่มันแหกปาก จ้อยก็โปะเกลือเข้าปากมันทีเดียวหมดกำ
ทีนี้มันเลยหายแสบตาเป็นปลิดทิ้ง เปลี่ยนเป็นเค็มขึ้นสมองแทน หน้าย่นยู่ยี่เหมือนผ้าขี้ริ้วแช่น้ำ แทบไม่มีสีเลือดที่หน้าเพราะมันคงกรูกันไปเลี้ยงไตหมด
“เอ็งจะฆ่าพี่รึไง!” มันตวาดใส่ พ่นเกลือในปากใส่จ้อยกราวๆ จ้อยต้องเบือนหน้าหลบ นี่จ้อยไม่ได้แกล้งมันนะสาบานได้ อ้อ แล้วอย่านึกว่าจ้อยห่วงมันล่ะ ก็แค่กลัวมันตาบอดแล้วจ้อยจะต้องมีภาระดูแลคนพิการขึ้นมาอีกอย่างก็เท่านั้น
ผลสุดท้ายน่ะหรือ.. เสื้อผ้าทั้งหมดถูกนำขึ้นตากบนราวลวดเรียบร้อย มือใหญ่คู่นั้นสะบัดผ้าแรงจนน่ากลัวตะเข็บขาด งานเบาๆ ที่ไม่ต้องถูกน้ำอย่างเอาไม้หนีบผ้าหนีบเสื้อกันไม่ให้ร่วงเวลาต้องลม เป็นงานเดียวที่มันยอมให้จ้อยแตะ
ลมโบยโบกพัดมา หอมไอแดดจางๆ มันเปียกปอนทั้งตัวยังกะไปมุดน้ำที่ไหนมา ส่วนจ้อย.. เหมือนเดิม.. ไม่มีแม้ละอองน้ำกระเซ็น
***************************
รุ่งเช้า..
เมื่อขอบฟ้าพร่าพราวราวทองทาบ
สิงห์นั่งดูดบุหรี่อยู่ที่นอกชาน นิ่งมองท้องฟ้าเคลือบสีทองเรืองรอง บัวหลวงบัวสายบานสะพรั่งกลางคลองสีน้ำตาลอ่อน หากอยู่ใกล้ๆ คงได้เห็นฝูงแมงปอบินว่อนลอยวน
เสียงฝีเท้าทำให้นักเลงหนุ่มหันขวับ ดวงตาสีเข้มนิ่งมองน้องน้อยในชุดนักเรียนครูที่เขาหามาให้ สองมือกอดตำราเรียนที่เขาซื้อมาให้ ชายหนุ่มมองมันด้วยความเต็มตื้น ท่าทางคงยังไม่รู้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือเขา ไม่ใช่พ่อ แต่ไม่เป็นไร ไม่รู้อย่างนี้แหละดีแล้ว
จ้อยดูประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ ใบหน้าอ่อนใสอึกอักเหมือนไม่รู้จะทายทักกันเช่นไร คนตัวโตลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “เดี๋ยวไปส่ง”
“ไปเองได้” ประโยคนั้นสั้น ห้วน หลบสายตา แถมทำท่าจะเดินหนีลงเรือนไป
“เดินไป?” เขาถามเสียงต่ำ “กี่ปีชาติจะถึง”
เขาเห็นความลังเลในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน มือใหญ่ดับบุหรี่โยนทิ้ง แตะแขนเล็กนำทางไปที่ท่าน้ำหน้าบ้าน “ไปเถอะ เดี๋ยวเข้าเรียนสาย”
ริมฝีปากได้รูปลอบยิ้มสบใจ เจ้าตัวเล็กต้อยตามติดมาแต่โดยดี ไม่มีพยศเลยสักนิดเดียว
คลองใสไหลเย็นเงียบสงบ ต้นไม้ใบหน้าเขียวชอุ่มระบัดใบ แดดหอมจนไม่มีใครอาลัยฝน หลั่งลงเคลือบคลุมทุกตารางนิ้วในท้องทุ่ง ริ้วแดดส่องกระทบผิวน้ำระยิบระยับเหมือนเกล็ดเพชร งดงาม.. แต่ฝีพายไม่ละสายตาจากสิ่งใด นอกจากแผ่นหลังเล็กๆ ของคนตรงหน้า หัวใจอิ่มเอิบพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด
สิงห์แวะที่ท่าท้ายโรงเรียน มือใหญ่คว้าหัวหลักเหนี่ยวเรือเข้าเทียบท่า ร่างเล็กที่หัวเรือลุกขึ้นเดินไป มิวายหันมามองหน้ากัน
“เอ่อ..” จ้อยก้มหน้างุด กลีบปากสีเรื่อพึมพำอะไรบางอย่าง รอบกายสงบจนนักเลงหนุ่มจับใจความได้ว่า..
ขอบคุณ...
เท่านั้นก็ผินหลังทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยว!” เสียงห้าวเรียกไว้ทันควัน เจ้าตัวจ้อยชะงักกึก หันกลับมามอง เครื่องหมายคำถามเต็มใบหน้า ร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นจากเรือ เดินอาดๆ ไปหา
เพียงเพื่อจะปัดเศษใบมะขามที่เกาะอยู่บนไหล่เล็กให้..
จ้อยนิ่งขึงเหมือนรูปปั้นจนน่าขัน มือใหญ่คู่นั้นยังสาละวนจัดชุดนักเรียนให้เข้ารูป ดึงจีบแขนเสื้อจนเรียบสวย สองมือจับบ่าเล็กไว้ กวาดตามองด้วยความชื่นชม รอยยิ้มระบายเกลื่อนหน้า
“ตั้งใจเรียนนะครู” เสียงทุ้มละมุนลงกว่าที่เคย พูดแค่นั้นก็หันหลังลงเรือไป แต่มิวายมองนักเรียนครูเดินไปจนลับสายตา
ถึงใจน้องหมองหมางไปอย่างนี้
แต่ใจพี่ยังรักนั้นหนักหนา
เหมือนแมงภู่อยู่ที่พุ่มปทุมา
จะรอรายั้งหยุดนั้นสุดใจ*****************************
Why does my heart go on beating?
Why do these eyes of mine cry?
Don’t they know it’s the end of the world?
It ended when you say goodbye*** “โอ๊ย ทำไมเพลงมันเศร้าแท้” สง่าโอดขึ้นหลังจากเลอมานเดินออกจากห้อง เสียงเพลงจากแผ่นไวนีลยังดำเนินไป เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ออกมายืนมองท้องฟ้านอกห้องเรียน เสียงพวกนักเรียนบ่นยังลอยมาเข้าหู ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าหรอก เดี๋ยวนี้ทุกคนเกรงใจเขาขึ้นเยอะ บรรยากาศในห้องเรียนเมื่อมีเขาอยู่หน้าชั้นสงบเงียบขึ้นมาก ไม่มีใครแซว ไม่มีใครพูดยวนกวนโมโห เขาเองก็ไม่ต้องปาชอล์คใส่ใคร แค่ดำเนินการสอนไปเงียบๆ ให้หมดคาบไปวันๆ
แต่เลอมานชอบแบบเมื่อก่อนมากกว่า..
บุคคลในวงกลมมิตรภาพของเลอมานดูจะเหลืออยู่เพียงสองจำพวก หนึ่ง.. เอาอกเอาใจ สอพลอจนเกินไป หรือไม่ก็ สอง.. ไม่แยแส ไม่ใยดีกัน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่ไม่ว่าจะจำพวกไหนก็ตามแต่ ยังความอดสูสู่หัวอกเขาได้เพียงกัน
คนอื่นทิ้งระยะห่างจากเขายังไม่เจ็บปวดเท่าไร แต่อาจารย์คนึงนี่สิ ‘เบื่อ’ งั้นหรือ? อาจารย์พูดคำนั้นออกมาได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าแค่คำนั้นก็ทำให้เขานอนน้ำตาเปียกหมอนทั้งคืน ตอนแรกเขาเข้าใจว่าอาจารย์คงโกรธและหึงหวงที่เขาหายไปกับนายสิงห์ทั้งวัน คำนั้น.. อาจารย์คงพูดออกมาด้วยความโกรธ
แต่พอเวลาผ่านไป ‘คำนั้น’ มีน้ำหนักขึ้นจนน่าตกใจ จนแสนปวดร้าว ทุกอย่างที่อาจารย์ทำ ทุกคำที่อาจารย์พูด ล้วนแสดงออกถึงความ ‘เบื่อ’ อย่างชัดเจน ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป แม้แต่ดวงตาคู่นั้นยามมองเขา เลอมานพยายามมองหาความรักที่เคยเปี่ยมล้นอยู่ในนั้น แต่ก็หาไม่เจอ
คนเรานั้น.. เมื่อรู้สึกว่าได้รับความรักจะรู้สึกหัวใจพองโต แถมโลกทั้งใบจะเล็กลงจนเหมือนคว้ามาได้ในอุ้งมือ แต่พอความรักจางหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่ามาก็กลับตรงข้ามกัน โลกใบเดิมขยายขนาดขึ้น แต่หัวใจถูกบีบจนเล็กลงๆ ท่ามกลางโลกกว้างใหญ่ เลอมานกลับอ้างว้างเหมือนถูกทิ้งไว้อยู่เดียวดาย
เด็กหนุ่มไหวไหล่เพื่อจะรั้งตัวเองอยู่ในอ้อมกอดตน ราวต้นไม้ขึ้นผิดที่ ผลิดอกผิดฤดูกาล หรือสายน้ำหลงทางวกเวียนขึ้นดิน มีแต่จะระเหยหายไป มีแต่จะกลายเป็นของแปลกปลอม กลับบ้านดีไหม หรืออยู่ที่นี่ อยู่กับผู้ชายที่มอบความรักแสนหวานให้ แต่ก็เปลี่ยนแปลงจากเทพบุตรเป็นซาตานในชั่วข้ามคืน
อย่างเมื่อเช้านี้ อาจารย์ใหญ่ประกาศประชุมอาจารย์ทุกคน รวมถึงอาสาสมัครฝึกสอนเช่นเขาด้วย ขณะนั่งกลางวงล้อมผู้ชายเจ็ดแปดคน แม้ทุกคนจะพูดคุยกันอย่างรื่นเริงสนิทสนม เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแปลกหน้า เคว้งคว้าง.. ราวเก้าอี้ที่นั่งอยู่เป็นสิ่งเดียวในจักรวาล
คนึงเหลียวมาหา เลอมานส่งสายตาไถ่ถาม ก่อนหน้านี้แค่ขยับตัว คนึงก็เข้าไปเดินกลางใจ แต่เวลานี้ เขาเบือนหน้ากลับไปฟังอาจารย์ที่นั่งข้างๆ อย่างตั้งใจ
ผลการประชุมหรือ? ทุกคนมีรายงานการปฏิบัติหน้าที่ของตนถ้วนหน้า ยกเว้นเขาเพียงคนเดียว อาจารย์ใหญ่ซึ่งปกติใจดีมาตลอด แต่หากเป็นเรื่องงาน ท่านก็ต้องว่าไปตามผิดถูก หม่อมราชวงศ์เลอมานจึงถูกตำหนิอย่างช่วยไม่ได้
ความจริง.. เรื่องนี้เขาผิดเต็มประตู อาจารย์ใหญ่แจ้งเรื่องนัดประชุมตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์แล้ว วันที่เขาหายไปกับนายสิงห์ทั้งวันนั่นอย่างไรเล่า แต่อาจารย์คนึงก็เหลือเกิน ทำไมถึงไม่ยอมบอกกันบ้าง
ตกเย็น อาจารย์วิรัชกับอาจารย์ประพนธ์เลยมาออกันเต็มห้อง อาสาช่วยให้คำแนะนำเรื่องสรุปงานที่เขาต้องทำส่ง อาจารย์วิรัชก็ยังเหมือนเดิม ประจบสอพลอเหลือรับ ใบไม้สะบัดพลิ้วได้เพราะลมฉันใด ลิ้นอ.วิรัชก็พลิ้วได้ด้วยผลประโยชน์ฉันนั้น อย่างที่ใครสักคนกล่าวไว้ว่าพวกลิ้นกระดาษทราย น้ำลายเชลแล็คไม่มีผิด
ไม่อย่างนั้นจะมากระซิบบอกเขาหรือว่า.. “กลับอังกฤษไปแล้ว อย่าลืมฝากฝังกระผมกับท่านพ่อเรื่องงานในสถานทูตด้วยนะขอรับ”
“อาจารย์คนึงไปไหนเล่า ทำไมไม่มาช่วยสอนคุณชาย” อาจารย์ประพนธ์ถามเมื่อเหลียวรอบห้องไม่เห็นแม้เงาของสมาชิกร่วมห้องอีกคน
หม่อมราชวงศ์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืดฝืน ตอบไม่สบตา “ไม่รู้สิครับ เขาคงงานยุ่ง” อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าอาจารย์ไปไหน ระยะนี้ตกเย็นไม่ค่อยเห็นหน้ากันเหมือนเคย แถมบางคืน.. กว่าอาจารย์จะกลับเขาก็หลับไปแล้วด้วยซ้ำ
“นั่นสินะ เห็นว่าต้องเตรียมงานทำบุญกระดูกให้จินดานี่” อาจารย์ประพนธ์ว่า เด็กหนุ่มสูงสักดิ์ชะงัก เสียวยอกในอกโดยไม่รู้เหตุ แค่เพียงได้ยินชื่อนั้น.. จินดา..
“ศิษย์รักเขานี่นะ” อาจารย์วิรัชเสริม
“งั้นหรือครับ”
“ตอนยังอยู่ละก็ทั้งรักทั้งหวงเชียวละ” อาจารย์ประพนธ์เล่าให้ฟัง ความจริงที่เลอมานเองก็ไม่เคยรู้ “พอไม่อยู่แล้วทำอาจารย์คนึงกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย จนคุณชายมาอยู่ได้สักพักละถึงดีขึ้น” ว่าพลางชี้นิ้วไปทางเตียงนอน “เมื่อก่อนจินดาก็นอนเตียงคุณชายนี่ละ”
“อย่างว่า เขาเห็นกันมาแต่เด็ก คนึงเขาสอนจินดามา พอเรียนจบก็ได้มาฝึกสอนโรงเรียนเดียวกันอีก” วิรัชว่า “ถ้าสักคนเป็นผู้หญิง แห่ขันหมากคงดังทั่วทุ่งไปแล้ว”
“จะเป็นผู้หญิงได้ยังไง นี่โรงเรียนชายล้วน”
“นั่นสินะ ฮะๆๆๆ”
“เอ้อ ว่าแต่คุณชายจะไปร่วมงานบุญด้วยไหม นี่อาจารย์คนึงเขาชวนพวกผมด้วยนะ” ประพนธ์หันมาชวนเขา เล่นเอาคุณชายอึ้งไปอีกรอบ..
ทุกคนรู้กันหมด แต่อาจารย์คนึงไม่เคยบอกเขาเลยสักคำ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้กระมัง
***************************
คนึงกลับห้องพักตอนสามทุ่มกว่า หลังจากมัวคุยกับยายช้อยที่บ้าน พยายามถ่วงเวลาจนเห็นว่ารบกวนแกเกินไป จึงขอตัวกลับ แต่ยังมิวายโอ้เอ้อยู่กับวงเสวนาของอาจารย์ใหญ่ เขาไม่อยากกลับถึงห้องพักเร็วนัก เหตุผลสำคัญ.. เขาไม่อยากกลับห้องมาเห็นหน้าใครบางคน
ร่างสูงใหญ่เดินฝีเท้าเบากริบขึ้นกระไดกลับไปที่ห้อง ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีแว่วมาจากตึกนอนของนักเรียน มือหนาผลักประตูเปิดออกแผ่วเบา ไฟในห้องยังสว่าง เลอมานคงเปิดไว้รอเขา นัยย์ตาสีเข้มอ่อนแสงลง อดสะท้อนใจไม่ได้
ร่างนุ่มละมุนหอมกรุ่นฟุบหลับอยู่กับโต๊ะหนังสือ ดูท่าคงตรากตรำกับงานที่อาจารย์ปรีชาสั่งพอตัว ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นปากกายังคาอยู่ในหว่างนิ้วเรียวขาว ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบออกให้ แล้วนั่นอะไร สิ่งที่เจ้าเด็กดื้อเอาหน้าทับไว้ รายงานผลสรุปการเรียนการสอนประจำปี คนึงค่อยๆ ดึงออกแผ่วเบา เอามาอ่านอย่างตั้งใจ ไม่ไหว ขนาดฝากให้วิรัชกับประพนธ์มาช่วยสอนให้ก็ยังทำผิดอยู่หลายจุด ภาษาไทยก็ยังเขียนผิดๆ ถูกๆ อาจารย์หนุ่มส่ายหน้าให้ความไม่เอาไหน ก่อนคว้าปากกามาแก้ไขให้เท่าที่พอจะทำได้
“อาจารย์..” สีปากพลิ้วราวกับจิ้มลิ้นจี่แต้มละเมอเรียกเขาแผ่วเบา เปลือกตายังคงปิดสนิท คนึงได้แต่ทอดมองนิ่งงัน ฝันถึงเขาอยู่หรือเปล่าหนอ ถ้าฝันอยู่ ก็อย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาพบความจริงอันโหดร้ายจากผู้ชายคนนี้เลย
กลิ่นกายหอมสะอาดกระทบนาสิกประสาทจนคนึงยากจะหักใจข่ม ปลายจมูกโด่งเป็นสันก้มลงหมายจะสูดกลิ่นหอมที่แสนอาลัยกักเก็บไว้ในหัวใจส่วนที่ลึกที่สุด
“อือ..” เด็กหนุ่มครางในคอแผ่วเบา คนึงรีบผงะออกห่างทันใด และแล้วเปลือกตาบอบบางก็กะพริบปริบ
คุณชายตื่นเต็มตา ตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าผู้มายืนตรงหน้าเป็นใคร “อาจารย์มานานแล้วหรือ”
คนึงไม่ตอบคำ สายตาเย็นชาเข้ามาแทนที่แววตาอ่อนโยนเมื่อครู่เสียสิ้น
ตัดบัวอย่าเหลือใย ตัดใบอย่าเหลือขั้ว!
บุตรชายท่านทูตถอนใจพรู พบเจอความเย็นชาแบบนี้มาบ่อยแล้วก็จริง แต่เขายังทำใจให้ชินไม่ได้เสียที
“เห็นอาจารย์ประพนธ์บอกว่าจะจัดงานทำบุญให้.. จินดาหรือครับ” เขาพยายามชวนคุย ไขว่คว้าหาความจริงในคราเดียวกัน “ผมไปด้วยคนได้ไหม”
แล้วนี่หรือคำตอบที่ได้รับ..
“คุณชายไม่ต้องยุ่งหรอก จัดการเรื่องตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” อาจารย์ตอบเหมือนไม่ยี่หระสักนิด “แต่คงไม่มีปัญหาแล้วสินะ ได้ข่าวว่าอาจารย์วิรัชกับอาจารย์ประพนธ์มาสอนถึงในห้องนี่”
“ผมทำไม่เป็น..” เลอมานตอบอุบอิบ หยิบรายงานบนโต๊ะขึ้นดู เอ.. ใครมาเขียนแก้ให้เต็มไปหมด อาจารย์ประพนธ์กระมัง
“คุณชายนี่ดีจริงนะ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เคยสิ้นไร้ไม้ตอก มีแต่คนเอ็นดู” ถ้อยคำเสียดสีเห็นได้ชัด ครั้นเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นตาความเหยียดหยัน นั่นใช่สายตาอาจารย์คนึงหรือ? “อยู่อังกฤษก็มีพี่ชานนท์ มาอยู่นี่ไม่ทันไรก็คว้าเอาผม สักพักก็มีนายสิงห์มาหาถึงห้อง อีกวันก็มีประพนธ์กับวิรัชมาประจ๋อประแจ๋ สนุกมากไหม”
ความเงียบงันไหลบ่าเข้ามา เลอมานพูดไม่ออก แม้ลมหายใจยังติดขัด สายตาพร่าพรายคล้ายเมฆหมอกบดบัง อาจารย์เป็นอะไร พูดจาตัดรอนหัวใจเขาได้ไม่เว้นวัน เขาไปทำอะไรให้ พูดมาแต่ละคำ เหมือนไม่ใช่คนรักกัน
เหมือนเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหน..
“อาจารย์พูดอะไร..” เด็กหนุ่มริมฝีปากสั่น “เล็กรักอาจารย์คนเดียว”
“หึ” คนึงหัวเราะขึ้นจมูก ผินหลังทำท่าจะเดินหนี หม่อมราชวงศ์หนุ่มทิ้งยศศักดิ์ทั้งปวงกองไว้ ปรูดไปคว้าแขนแกร่ง ทวงถามอย่างไร้ศักดิ์ศรี “อาจารย์เป็นอะไรไป เรารักกันไม่ใช่หรือ”
ชายคนรักหันหน้ามา ยิ้มเยาะหยันทั้งดวงตาอย่างเลือดเย็น
“ตลกดี แค่ได้นอนด้วยกันก็นึกว่ารักกัน”
ในดวงตาที่เคยสัญญาฝากใจ
กลับมีน้ำตาอาบไว้ ล้นเอ่อ
เก็บน้ำตาเอาไว้ทำไม ร้องไห้สิเธอ
เพื่อเธอจะยิ่งเกลียดฉัน.. โปรดติดตามตอนต่อไป__________________________________________________________________________
*คนเลวของเธอ, กวี สัตโกวิท คำร้อง, ชรินทร์ นันทนาคร ขับร้อง
**พระอภัยมณี, สุนทรภู่
***The End of The World, Skeeter Davisช่วงดอกไม้เม้ามอย 
เอิ่ม... ๑..๒..๓..๔... (นับนิ้วงึมงำ) ๒๐ วันพอดีเป๊ะเลยค่ะ สำหรับเวลาในการเขียนครึ่งหลังนี้
ห่างจากครึ่งแรกที่อัพไป ๒๐ วัน ไม่ทิ้งช่วงเป็นเดือนแล้วนะเอ้อ
ดอกไม้จะพยายามนะคะ จาก ๒๐ วัน ต่อไปจะให้เหลือ ๑๕ วัน ๑๐ วัน และจะพยายามเป็น ๗ วันต่อตอนให้ได้เลย ฮูเร่!
รักคนอ่านเหมือนหนมตาลรักใบตอง
ดอกไม้ค่ะ
๒๓ มี.ค. ๕๗
ปล. ไม่ทันได้ตรวจคำผิดเลยค่ะ ขออภัยถ้าอาจมีบ้างนะคะ เดี๋ยวว่างๆ จะมาตรวจทานแก้ไขอีกทีเน้อ
