ราตรีประดับดาว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ราตรีประดับดาว  (อ่าน 103285 ครั้ง)

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว
« เมื่อ21-11-2007 22:34:34 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ









เรื่องนี้ได้รับการอนุญาติให้เอามาลงจากคนเขียนแล้ว นะค่ะ ดดยที่งานเขียนชิ้นนนี้ ตอนต้นๆๆคนเขียนใช้ชื่อว่า ทิวารา แต่ตอนหลังได้เอา ชื่อเดิมมาใช้ คือ ชื่อLuvless  คะ  เด่วยังไงเจ้าของผลงานคงเข้ามาดุการโพสลงที่บอร์ดนี้ ถ้าสนใจจะคุยกะคนเขียนโพสบอกได้ นะค่ะ :m13: :m17: :m22:


ราตรีประดับดาว 1
โดย:ทิวารา

เงาไม้ใกล้เรือนแผ่ปกจนเมื่อเด็กหนุ่มมองฟ้ายามค่ำผ่านบานหน้าต่างก็ชวนให้คิดถึงความอ่อนหวานละมุนของใครบางคน แสงจันทร์คืนนี้นวลตาดูงามนัก แสงที่ฉายบางนั้นดูอ่อนบางตามธรรมชาติของแสงเดือนเหมือนนิสัยของใครบางคนที่คุ้นเคย

“ วา...เจ้าอยู่ไหน ? ”

เสียงทุ้มละมุนเอ่ยจากด้านนอก พร้อม ๆ กับเสียงย่างเท้าย่ำเบาให้ได้ยินวะแว่วมา

“ คุณพี่... ”

เสียงน้อย ๆ ยินดีก่อนที่จะขยับลุกขึ้นช้า ๆ พร้อม ๆ กับที่คนตัวสูงกว่าจะเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับอ้าแขนออกกว้างขวางเตรียมกอดน้องชายของตน

“ วันนี้ทำไมวาไม่ไปเรียนหือ ? พี่แวะรับก็ไม่เจอ...ตกใจเสียแทบแย่ ”

“ ก็...คุณพี่ไม่บอก ไม่งั้นจะได้... ”

ฟังเพียงนั้น...คนพี่ก็เอ็ดเอาเบา ๆ

“ บอกกี่หน...ไม่ให้เรียกคุณพี่ ให้เรียกพี่สนไง...วา ”

ทิวาน้อยทำหน้าเศร้า...เมื่อคิดถึงความไม่ถูกไม่ควรหากเรียกคุณสนธยาของคนในบ้านเป็นคำอื่น ถึงอยากเรียกเพียงไหนก็ไม่อาจทำได้ดังที่ใจต้องการ ได้แต่เพียงเรียกขณะอยู่เพียงลำพังพี่น้องเท่านั้น

“ วันนี้พี่เด็ดดอกมะลิมา...วาชอบไหม? ”

เป็นที่รู้ว่า...คุณสนธยาตามใจก็แต่ทิวา รักใคร่ก็แต่ทิวา สนใจ...ก็แต่ทิวา

เพียงแค่นึกถึงมาลิ เขาก็ช่างสรรหามาให้ อยากทานอะไร...เขาก็ช่างไปหามาให้ทาน โดยที่ดวงตาที่นิ่งสงบแลฉ่ำเย็นไม่มีแม้แต่ร่องรอยบอกว่าเดือดร้อนรำคาญใจ

“ พี่สน...วาไม่อยากไปโรงเรียนเลยจ้ะ วาไม่ไปได้ไหม? ”

ทิวาก้มหน้าลงน้อย ๆ เมื่อนึกถึงยามที่เพื่อนร่วมเรียนพูดแปลก ๆ พาให้ไม่สบายใจอยู่เสมอ

“ วา...ไม่ได้นะ เด็กดี...อดทนนะวานะ หากใครทำให้เจ้าต้องรู้สึกเสียใจขอให้บอกพี่มาเท่านั้น แต่วาต้องไปเรียน...ไม่อย่างนั้นแล้วคนเขาจะหาได้ว่าน้องของพี่เป็นคนไม่มีความรู้ ”

ทิวาหยิบดอกมะลิจดปลายจมูกค่อยยิ้มให้คนตัวสูง กลิ่นหอมอ่อนหวาน ไม่ฉูดฉาด...เพราะเหตุนี้จึงได้นึกชอบดอกมะลินักหนา จะว่าไป...นิสัยใจคอของสนธยาก็เย็นระเรื่อย อ่อนหวานเหมือนน้ำลอยมะลิ ใบหน้าคมมักมีรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับดวงตาสีเข้มประกายคมแต่แลดูอ่อนหวาน

“ พี่สน...คืนนี้นอนกับวาได้ไหม? ”

“ เอาสิ...พี่ก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่ นี่ก็บอกคนที่บ้านโน้นไว้ว่าคืนนี้จะมานอนเป็นเพื่อนวา ”

ความหอมอ่อนหวาน กลิ่นตัวและกลิ่นแป้งผสมกลิ่นเหงื่อลอยจางบางเบาในบรรยากาศ ในขณะที่พี่ชายค่อย ๆ จูงมือนุ่มนิ่มของน้องเดินพาขึ้นไปนอนบนเตียงไม้ก่อนที่จะเอนกายลงไปบ้าง

“ พี่สน...ตอนเช้าปลุกวาได้ไหม ? ”

คนเป็นพี่ได้แต่มองดวงหน้าของน้องนิ่งนานพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาโดยไม่เอ่ยตอบ ก่อนที่เจ้าตัวจะใช้มือลูบหลังของน้องไปพร้อม ๆ กับที่น้ำเสียงทุ้มเย็นร้องเพลงกล่อมไปเบา ๆ

ลมเย็น ๆ ...พร้อมกลิ่นมะลิลอยอวลเบาบางจางเจือในห้วงคำนึง เป็นความสงบสุขที่หาไหนไม่ได้

แต่ถ้าหากว่า...มันจะยืนยงอยู่เนิ่นนาน นาน...กว่าแค่กาลหนึ่งก็คงจะดี

TBC...
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2010 11:31:08 โดย THIP »

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #1 เมื่อ21-11-2007 22:37:38 »

ราตรีประดับดาว2
โดย:ทิวารา

เด็กหนุ่มตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้องในตอนเช้า...ในห้องว่างเปล่าที่ไม่มีเงาคนตัวสูงที่คุ้นเคย ตื่นขึ้น...ในห้องที่ผนังปูนเต็มไปด้วยภาพนก ภาพต้นไม้ ใส่กรอบรายเรียงเป็นทิวแถว แล้วตนเองก็นอนอยู่บนเตียงโครงเหล็ก

ไม่มีกลิ่นมะลิ...ไม่มีดวงจันทร์ทอประกายนวลตา ไม่มี...พี่สนธยาของทิวาอยู่เลยเมื่อยามเช้ามาเยือน

ทิวาลุกขึ้นเหม่อมองไปนอนกหน้าต่างซึ่งติดเหล็กดัดแน่นหนาแล้วถอนใจเบาบาง เมื่อนึกเปรียบกับหน้าต่างไม้ในเรือนเดิมที่มองดูปลอดโปร่งเสียกว่าในความเป็นจริง

พี่สนไม่เคยปลุกทิวาเลย ทุกคืนที่ขอ...จะไม่ได้รับคำตอบ และเมื่อเช้า...ก็จะต้องตื่นโดยไม่มีพี่สนธยาอยู่ข้าง ๆ

“ หลงรัก...เงาของดวงจันทร์ ”

ตั้งแต่อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วทิวาก็ได้แต่ฝันเห็นคนในรูปถ่ายสีขาวดำ รูป...ที่ถ่ายแล้วสอดไว้ในสมุดเล่มนั้น ทำให้รู้ว่าคุณสนธยานั้นจริง ๆ หน้าตาเป็นแบบไหน อ่อนหวานเหมือนดังที่หนังสือกล่าวเท่าไหน

ทิวายิ้มบาง ๆ เมื่อเปิดหน้าแรกซึ่งมีรอยลายมือใครบางคนตวัดสวยไว้บาง ๆ

เขาถูกเตือนตั้งแต่เพียงแรก...หน้าแรกที่เปิดอ่านด้วยข้อความสั้น ๆ ง่าย ๆ ซึ่งเมื่อแรกที่อ่านประโยคนั้นทิวาไม่เคยเข้าใจ แต่วันนี้เข้าใจแล้ว และก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่ไม่อาจลบเลือนได้...ไม่รู้จะลบอย่างไร

“ อ่านได้...แต่อย่าหลงรักเงาของดวงจันทร์ ”

แต่ทว่า...ถึงคำเตือนจะย้ำในอก ทิวาก็ยังฝันเห็นคุณสนธยาทุกคืน ได้ยิน...เสียงที่เรียกชื่ออ่อนหวาน เหมือนคนที่ติดใจในรสหวานของน้ำผึ้งหรือน้ำตาล หวาน...จนผละไปไหนไม่ได้

“ ช่างเถิด...อย่างน้อยว่าก็มีพี่สน ถึงในยามตื่นจะไม่มีใครเลยก็ตาม ”

เจ้าตัวแนบรูปถ่ายใบเก่าลงก่อนจะปิดหนังสือเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียงอย่างถนอม เพราะสำหรับทิวาแล้ว...สนธยาคือฝันที่สวยงามที่เขาไม่ต้องการให้ใครทำให้แปดเปื้อน

นั่นเพราะ...เขายังลบมันไม่ได้ เขายังติดใจ ติด...ในเสียงอ่อนหวานและเอาใจยามเรียกชื่อเขา

// วา...วา...วาเจ้าอยู่ไหน ? //

รู้...ทั้งรู้ว่าไม่ใช่ความจริง แต่ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรให้ลบภาพอ่อนหวานนั้นได้ลง เพราะ...ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ทิวารู้สึกดีที่สุด อบอุ่นที่สุดคือยามที่อยู่กับสนธยาในเรื่อนเก่ายามกลางคืนที่ลมพัดเย็นเอื่อยเรื่อยและอ่อนหวาน

“ วา!! ไอ้วา!!!! ไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวสายนะโว้ย!! ”

เสียงเพื่อนข้างห้องเคาะเรียก ก่อนที่ฝีเท้าย่ำหนักโครมครามจะค่อย ๆ ไกลออกไป ในขณะที่ทิวาได้แต่สายหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

// เทียบไม่ได้เลย...กับความอ่อนหวานของพี่สน พี่สนเดินเบาเสมอ //

เด็กหนุ่มลุกขึ้นอาบน้ำไปโรงเรียนพร้อมกับเสียบหูฟัง และเปิดเพลงเบา ๆ ดวงตากลมค่อนไปทางหวานในกรอบแว่นมองไปตามทางที่มีแต่สายตากลับไม่เคยแลเห็นพี่สนของเขาในแสงสว่างยามกลามวันที่แสนเจิดจ้าเลยสักครั้ง

“ พี่สนเป็นดวงจันทร์จริง ๆ น่ะแหละ หึ ๆ ๆ ๆ ”

// หอม...หอมดอกชมนารถ กลิ่นไม่...ฉูดฉาด แต่...เอ๋ย หอม...ยวนใจ //

เสียงนุ่ม ๆ เย็น ๆ ดังขึ้นในสมอง พร้อม ๆ กับรอยยิ้มกว้างขวางเป็นสุข

สุขทุกครั้งที่นึกถึงเสียงที่ร้องกล่อมด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นทุกคืน...ทุกคืน อย่างอ่อนหวาน

“ ขอเวลาสักหน่อยก่อนเถอะ ขอรู้สึกมีความสุขอีกสักนิดเถอะ แล้วค่อยกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง ”

ดวงตาคมหวานเศร้าลง เพราะแม้รู้ว่าต้องทำ...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย

// ถ้าไม่ได้เห็นพี่สน...ไม่ได้รับความอ่อนหวาน อบอุ่นนั้น...เราจะไปหาได้จากใครที่ไหน ? //

เป็นคำถามที่ค้านในหัวใจของทิวาทุกครั้งทุกครายามคิดว่า...ไม่นานก็คงต้องออกจากโลกของความฝัน!!

=TBC=

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #2 เมื่อ21-11-2007 22:40:58 »

ราตรีประดับดาว3
โดย:ทิวารา

เปิดเทอมใหม่...ทิวาก็ยังเป็นทิวาที่ไม่ใส่ใจอะไรมากมายไปกว่าการจับจองที่นั่งในห้องตรงริมหน้าต่าง นอกเหนือจากนั้นก็มีเพียงนั่งฟังเพลงให้รื่นใจเพียงคนเดียว ปากก็ร้องเบา ๆ โดยไม่รับรู้ว่าคนที่ได้ยินจะวิจารณ์อันใด

เพลงที่สนธยาร้องให้ฟังทุกคืน...เพลงที่เขาไม่รู้จักเลยสักนิด แต่เมื่อได้ฟังชายหนุ่มร้องก็รู้สึกติดในใจ...พยายามหามาฟัง แล้วก็ฟังวนเวียนซ้ำแทบตลอดเวลา

// เพลง...ราตรีประดับดาว //

เพลงเก่าโบราณ...ที่แม้จะไม่สามารถทำให้ฟังเป็นเสียงของสนธยาได้ทุกเวลา แต่ว่าก็ยังดีที่มีฟัง เพลงไทยที่ไม่เคยนึกอยากฟัง...กลับทำให้ทิวารู้สึกอ่อนหวานและเนื้อร้องก็ติดในใจ

ในขณะที่ทิวาเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ใครคนหนึ่งก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งลงยังโต๊ะตัวข้าง ๆ ...เด็กหนุ่มจึงค่อยหันไปมอง กะว่าจะมองเพียงเล็กน้อยเพื่อรู้จักใบหน้าของคนที่จะนั่งข้างกันในชั้นเรียน

แต่ดวงตาของคนตัวเล็กกลับต้องหันไปจ้องนิ่งนาน...

คนตัวสูง...ใบหน้าที่เคยคุ้นแต่อ่อนวัยกว่ามากนั้นแลมาทางทิวา ก่อนจะขมวดมุ่นคิ้วอย่างไม่พอใจเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องหน้านิ่ง

“ มองทำไม...ประสาทเหรอไงไอ้แว่น!! ”

ให้เหมือน...ให้คล้ายเพียงไหนแต่ก็คงแค่เปลือกกระมัง แต่เนื้อแท้ภายในคงไม่ใช่คนเดียวกัน เพราะสนธยา...พี่สนของวาไม่เคยพูดทำร้ายคนอื่นเช่นนี้ ไม่เคยดูถูกเหยียดหยามใคร ไม่เคยต่อว่าหรือมองด้วยแววตาฉุนเฉียวเช่นนี้เลย

ทิวาหันหนีก้มลงมองมือที่สั่นระริกของตนก่อนที่หูจะได้ยินเสียงเพื่อนคนอื่นเรียกคนที่นั่งเคียงข้างชัดถนัดหู

“ เฮ้ย!! ไอ้สน แกจะบ้าเหรอมานั่งกับไอ้แว่นน่ะ มันเพี้ยน ๆ อยู่นะเว้ย...มึงไม่กลัวรึไง ”

//สน... คน ๆ นี้ก็ชื่อสน หรือว่า...ชื่อจะเหมือนกัน จะเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ !?//

เหมือนเค้าลาง เหมือนความเป็นจริงกำลังบดบังความฝัน...ทิวาจิกนิ้วกับฝ่ามือจนแน่น หวาดกลัว...ว่าความเป็นจริงมันกำลังฟ้องถึงเวลาที่ใกล้จะหมด

ความฝัน...ค่อย ๆ ถูกความเป็นจริงที่โหดร้ายทาบทับ แล้ว...พี่สนของวาก็จะหายไปกระนั้นหรือ ?

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยามกลางคืนเหมือนเมื่อวันก่อน ๆ ที่ทิวาถูกกล่อมด้วยเสียงทุ้มเย็น...แต่คืนนี้คนตัวเล็กนอนน้ำตาซึม หลับตาในอ้อมกอดของสนธยาที่ลูบหลังน้องเบา ๆ ด้วยความสงสาร

“ วา...วาของพี่ เจ้าจะร้องไปใย ? พี่อยู่นี่แล้ว...ใครมันทำร้ายวา ขอเพียงให้วาบอกพี่มาสักคำ ”

ทิวาซบหน้ากับอกสนธยาพร้อมกับสะอื้นเบา ๆ ...ได้แต่ส่ายหน้าโดยไม่ยอมเอ่ยเล่า ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ผ่านมา

“ วา... ”

สนธยามองน้องด้วยแววตาหมองพลางลูบหลังลูบไหล่น้องด้วยความใจหาย เมื่อแลเห็นดวงตาน้องเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แพขนตาหรือก็เปื้อนเปียกเสียจนเห็นแล้วใจหายนัก

“ พี่สน...พี่สนอยู่กับวานะ พี่สนไม่ไปไหนใช่ไหม? ถึงไม่มีใคร...แต่มีพี่สนคนเดียวก็พอแล้ว ”

ทิวาเอ่ยทั้งที่ยังสะอื้นเบา ๆ ...เหมือนคนที่ขาดความมั่นคง เหมือนกลัวจะถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย

“ วา...คนดี นอนเสีย...พี่จะร้องเพลงให้ฟัง ”

ทิวาน้อยของพี่ชายพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังซุกแน่นอยู่ดุจเดิม ดวงตากลม ๆ นิ่งฟังเพลงกล่อมที่ถูกขานขึ้นด้วยรอยเสียงสั่นไหวทุ้มนุ่ม และเต็มไปด้วยความฉ่ำเย็นเหมือนสายน้ำ

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย

ขอเชิญเจ้าฟังเพลงวังเวงใจ.................เพลงของท่านแต่งใหม่ในวังหลวงเอย
หอมดอกแก้วยามเย็น..........................ไม่เห็นใจพี่เสียเลยเอย

ดวงจันทร์หลั่นลดเกือบหมดดวง.........โอ้หนาวทรวงยอดชีวาไม่ปราณี
หอมมะลิกลีบซ้อน...............................อ้อนวอนเจ้าไม่ฟังเอย

จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลา.................แสงทองส่องฟ้าสง่าศรี
หอมดอกกระดังงา.............................ชิชะช่างน่าเจ็บใจจริงเอย

หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี.......................แต่ตัวพี่จำจากพรากไปเอย
หอมดอกจำปี....................................นี่แน่ะพรุ่งนี้จะกลับมาเอย ฯ //


เสียงทุ้มเย็นร้องเรื่อยระรินไหว ฉ่ำเย็นอบอุ่น กล่อมให้ทิวาน้อยคล้อยนอน...จนกระทั่งคนเป็นน้องหลับสนิท สนธยาก็ค่อยใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมของคนตัวเล็กในอ้อมแขนอย่างเบามือ ...ในดวงตา เคว้งคว้างแลเปลี่ยวเหงา

// จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลา...นี่แนะพรุ่งนี้จะกลับมาเอยฯ //

“ วาน้อยของพี่เอย...ใยเจ้าจึงไม่เคยเหลียวหาทิวาวาร เหตุใดจึงมาจมกับยามค่ำยามคืนเช่นตัวพี่เช่นนี้หนอ ? ”




ราตรีประดับดาว4
โดย:ทิวารา

หอม...หอมเอยหอมดอก...ชำมะนาด กลิ่น...ไม่ฉูดฉาด แต่หอม...ยวนใจ

ทิวาฟังเพลงเดิมเวียนวนซ้ำ พยายามไม่หันไปมองคนที่นั่งเรียนอยู่เคียงข้างราวกับจะทำให้หายไปราวกับธาตุใดก็ตามที่ตนมิต้องขายตาแลเห็น และทางด้านของสนธยาเองก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่ารู้สึกถึงการหลบเลี่ยงนั้น

กลับกัน...จากที่ปรกติทุกคืนทิวาจะอ่านหนังสือเก่าเล่มนั้นพร้อมกับมองภาพคุณสนธยาไปเรื่อย ๆ แต่พักหลัง ๆ กลับพยายามอ่านแค่ไม่กี่หน้าและก็ค่อย ๆ อ่านช้า ๆ โดยลดจำนวนหน้าต่อวันลงไปทีละน้อย ๆ

// พี่สนของวา...ถ้าวาอ่านเรื่องของพี่จบแล้วพี่ก็อาจจะหายไปตลอดกาลก็เป็นได้ใช่ไหม ? //

เพียงคิดดังนั้นก็ก่อให้เกิดความหวาดกลัวว่าคนที่เคยเคียงข้าง...คนเพียงคนเดียวที่เรียกชื่อด้วยหัวใจและน้ำเสียงที่อ่อนหวานจะไม่มีอีกแล้ว นั่นยิ่งทำให้โลกรอบข้างแทบไม่มีคุณค่าจะเสียเวลานึกถึงสำหรับทิวา เด็กหนุ่มเลือกที่จะมองเมินคนที่นั่งเคียงข้างแล้วจมห้วงความคิดลอยลับไปในวนางดงาม ลอยรินระเรื่อยไปตามเสียงเย็นรื้นของบทเพลงที่เขาเปิดมัน...เวียน แลวนซ้ำ

เหมือนสังหรณ์ถึงตอนจบที่ไม่อยากพบเจอ ไม่อยากไปถึง...จึงกลัวที่จะก้าว กลัวที่จะพลิกอ่านหน้าต่อไป กลัว...วันที่ต้องอ่านหน้าสุดท้ายเพื่อจากลา ลาจากสิ่งที่แสนจะอ่อนโยนซึ่งชั่วชีวิตนี้ที่ทิวาไม่เคยได้รับจากใครไหน ไม่เคยได้พบได้เจอ...ได้สัมผัส


ระหว่างที่ทิวาจมอยู่กับห้วงคำนึงหาที่ห่างไกลจากความเป็นไปรายรอบตัว สนธยาก็แอบเหลือบมองเจ้าแว่นตัวเตี้ยที่เหม่อไปนอกบานหน้าต่างโดยไม่ใส่ใจเพื่อนฝูงหรือใครอื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่สน...แม้กระทั่งตัวเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสียด้วยซ้ำ!!

// ไอ้แว่นมันเป็นอะไรของมันนะ ไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ไร้มนุษยสัมพันธ์ขนาดนี้เลย...ไม่มีใครคุยด้วยก็เหม่ออยู่คนเดียวได้ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เฮอะ!!...สมแล้วที่มีแต่คนเขาหาว่าประหลาดคน //

คนตัวสูงกว่านึกค่อนในใจ...ลึกแล้วรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อครั้งที่เห็นหน้ากันคราแรก เพราะถูกอีกฝ่ายจ้องไม่วางตา

แต่ว่า...เมื่อหลังจากนั้นกลับไม่เคยเหลียวแลหรือแม้แต่จะชวนคุยด้วย สนธยาก็อดรู้สึกฉุนโดยไม่รู้สาเหตุไปเสียละไม่ได้!!

// เอ...รึว่าเพราะเราไปด่าว่าไอ้แว่นประสาท ก็เลยโกรธ ? //

คนตัวสูงกว่าเริ่มตั้งข้อสงสัยเอาเอง ก่อนที่จะนั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นเงียบ ๆ โดยที่ทิวาก็เอาแต่เสียบหูฟัง...เหม่อมองและทอดหัวใจไปไกลลิบ ไปยังบ้านไม้เก่า ๆ ที่อยู่ในเงารื้นแห่งความฝัน และคำนึงถึงร่างสูงและรอยเสียงเย็นชื้น แลรื่นหัวใจทุกคราที่ได้ยิน

ทิวาเอย...ทิวาน้อยของพี่เอย

เพียงนึกถึงน้ำเสียงทุ้มต่ำและอ่อนหวานนั้น เจ้าแว่นของคนที่กำลังทำหน้ายุ่งก็ยิ้มหวานไปกับลมกับฟ้า โดยไม่รู้ว่าสนธยาคนที่นั่งอยู่เคียงข้างจะตกใจกับรอยยิ้มอ่อนหวานชื่นหัวใจนั้นสักเพียงไหน

// เจ้าเตี้ยมันยิ้ม...ยิ้มสวย ทำไมมันไม่ยิ้มให้บ้างนะ ? ถ้ามันยิ้มให้ละก็...จะไม่มีใจด่ามันสักคำเดียวแท้ ๆ //

สนธยาคนเดิมคิดในใจเช่นนั้น เพราะมั่นใจว่าหากไอ้เตี้ยของเขายิ้มให้สักหน...เขาลงไม่ใจดำด่าอีกฝ่ายได้ลงคอเลย คงไม่กล้าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทว่า...ที่แล้ว ๆ มามันกลับเฉยใส่เขา กลับทำหน้าเย็น...นิ่ง

ให้หนักหนากว่าก็คือทำสายตาเสมือนแลเลยเขาไปโดยไม่เหมือนแม้จะมองเห็นเขาในสายตา การกระทำเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองจนต้องเผลอเอ่ยวาจากระทบแดกดันใส่ไปเสียละหลายหน

สุดท้าย...เมื่อหลุดคำว่ากระทบออกไป คนตัวเล็กมักทำสายตามองเขาอย่างเจ็บปวด เหมือนกับคำพูดเหล่านั้นทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายอย่างไม่น่าเป็นไปได้


สนธยาคนนี้หรือจะรู้...ว่าวาจาดุว่าเพียงน้อยนิดนั้นก็มีผลเหมือนหัวใจของทิวาน้อยจะฉีกขาดออกจากกัน

ใบหน้าที่คลา...คลับคล้าย
น้ำเสียงละม้าย...มิแม้นเหมือน
แต่คำกล่าวกลับทำร้าย...ให้ใจเตือน
แม้แม้นเหมือน...แต่ดวงใจมิใกล้เคียง

ใบหน้าที่เหมือนคนเดียวกัน น้ำเสียงที่เหมือนพี่สนของวาคนนั้น แต่วาจากลับทำร้ายหัวใจยิ่งนัก นั่นทำให้เจ็บปวดเสียกว่าถ้อยคำทำร้ายไหน ๆ ที่เคยพบเคยเจอในชีวิตที่มี

คำร้ายใดใดจากใครก็เหมือนสายลม พัดมาแล้วก็ราแรงและผ่านไป...
แต่เหตุใด...คำกล่าวให้เบาน้อยค่อยกระทบเสียแค่ไหน
หัวใจทิวาน้อยก็คอยจะจำ...ย้ำ...จนใจเจียนจะขาดรอน

“ วา... ”

เสียงทุ้ม...ลองเรียกเบา ๆ ให้คนข้าง ๆ หันมา ลอง...เรียกดี ๆ เผื่อว่าเจ้าแว่นตากลมจะหันมายิ้มบ้าง แต่...ทิวาที่หันมากลับจ้องหน้าเขาปานว่าฟ้าได้ถล่มลงกับตาในครานั้น แล้วพลัน...ดวงตาก็เอ่อคลอด้วยหยดน้ำใสไหลรินลง

“ ใจ...ใจร้าย ”

เพราะเพียงน้ำเสียงโทนเดียวกันนั้น...ภาพพี่สนของทิวาน้อยก็ถูกลบออกไปโดยพลัน!!

แล้วคนที่มาแทนที่นั้นกลับเป็นสนธยาคนใจร้ายตรงหน้าเสียแทน...นั่นจึงเหมือนยิ่งตอก ยิ่งย้ำให้หวาดให้กลัวว่าซักวันความเป็นจริงที่โหดร้ายจะมาทาบทับความฝันที่แสนอ่อนหวานนี้

ทั้งที่กลัวแสนกลัวอยู่แล้ว...แต่คนตรงหน้าก็ยังแกล้งอีกเหรอ แกล้ง...ลบรอยของพี่สน

ทิวาที่ใบหน้าและดวงตากลม ๆ นั้นเปียกไปด้วยหยดน้ำตา ผลุดลุกขึ้นท่ามกลางความตกใจของเพื่อนฝูง ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้องเรียนโดยไม่เหลียวกลับมามองหน้าคนใจร้ายที่นั่งข้าง ๆ อีกเลย

=TBC=

วันนี้ ลง แค่ 4 ตอนก่อนนะคะ เรื่องนี้เป้นผลงานที่เขียนไว้จนจบแล้ว นะค่ะ แต่ ขอทยอยเอามาลง นะคะ  ยังไง ถ้ามีคอมเม้นอะไรมาบ้างก้อดี นะค่ะ คนเขียนเจ้าของผล งาน ยังอยากได้ความคิดเห้น จากทุกคนอยู่ นะคะ

 :m5: o1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2007 22:46:08 โดย himecrazy »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #3 เมื่อ21-11-2007 22:56:05 »

อืม ความจริงกับความฝัน ต่างกันแค่ไหน  :m13:  :m13:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #4 เมื่อ22-11-2007 17:14:55 »

ชอบเรื่องนี้จังเลย  อ่านแล้วรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่โลกเดียวกับวา 
 :m1:  :m1:  :m1:  :m1:

อ้างถึง
ใบหน้าที่คลา...คลับคล้าย
น้ำเสียงละม้าย...มิแม้นเหมือน
แต่คำกล่าวกลับทำร้าย...ให้ใจเตือน
แม้แม้นเหมือน...แต่ดวงใจมิใกล้เคียง

ชอบจัง  เพราะๆๆ
โครงเรื่องแปลกดี  ความจริงกับความฝัน  ทำไมสนถึงได้มีรูป และอะไรหลาย ๆอย่างคล้ายกันขนาดนั้น

รออ่านต่อจ้า  บวกหนึ่งเป็นกำลังใจให้คนโพสก่อน
เรื่องแนวนี้  ไม่ค่อยมีเลย  สู้ๆน้า  :a2:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #5 เมื่อ22-11-2007 20:17:48 »

น่าติดตามครับ
มาเป็นกำลังใจให้ครับ

kei_kakura

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #6 เมื่อ22-11-2007 20:59:15 »

เรื่องน่าติดตามจร๊า  จะรออ่านต่อน๊า   :a1:

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #7 เมื่อ22-11-2007 22:50:28 »

ราตรีประดับดาว5
โดย:ทิวารา

อยาก...เขาอยากให้มันยิ้มดีใจ แต่ทว่ามันกลับร้องไห้แล้ววิ่งหนีไปคนเดียว...นี่เขาทำอะไรผิดไปล่ะนี่ ?

สนธยาขมวดคิ้วครุ่นคิด...พลางหมุนปากกาในมือไปมา พร้อม ๆ กับที่หลายคนตั้งคำถามกันอยู่ในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้คนเฉย ๆ เหมือนคนลืมโลกอย่างทิวาถึงกับร้องไห้ออกมาแล้ววิ่งจากไป

หลายคนที่เคยหัวเราะเยาะเวลาที่ไอ้แว่น...ตัวผอมบางทำอะไรแปลก ๆ นั้น ในตอนนี้กลับรู้สึกหัวเราะไม่ค่อยออก เนื่องจากที่แล้วมานั้น...จะให้แกล้งให้แหย่ อย่างไรก็ไม่มีช่วยให้คนหน้าตายแบบทิวารู้สึกรู้สาไปมากกว่าพูดแค่สั้น ๆ เพียงคำว่า “หือ” กับคำว่า “อือ”

พอหนนี้...มันร้องไห้ เพื่อน ๆ จึงเริ่มรู้สึกเหมือนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาอย่างไรก็อย่างนั้น

“ เฮ้ย...สน แกไปทำอะไรไอ้แว่นวามันวะ ? ”

เพื่อนคนหนึ่งขยับถาม...ในขณะที่ใครอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาที่ตรงสนธยาแล้วทำหน้าแปลกใจที่คนซึ่งเคยนั่งข้าง ๆ คนตัวสูงกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ ๆ เคยนั่ง

“ อ้าวสน ถามหน่อยดิ...ไอ้วาไปไหนเหรอ ยายมันโทรมาจากกาญจนบุรี นี่กูว่าจะมาเรียกมันไปที่ห้องธุรการซะหน่อย เพราะเห็นเค้าว่าประกาศมาสองหนมันก็ไม่ไปรับสายสักที ”

ภูริซึ่งปีที่แล้วอยู่ห้องเดียวกับสนธยามาก่อนเอ่ยถาม ซึ่งสนธยาเองก็แปลกใจไม่น้อยที่คนขี้เล่นอย่างภูริจะมารู้จักมักคุ้นกับทิวาคนที่เรียกได้ว่าไร้มนุษยสัมพันธ์สุดขั่วแบบนี้

“ เฮ้ย!!! เวร...กูก็ว่าทำไมไอ้วาไม่เคยพูดถึงชื่อมึงสักคำ เพราะมึงไปแกล้งด่ามันไว้ใช่ไหมล่ะ ? ”

ภูริเริ่มเดาออก...เพราะเคยอยู่ห้องเดียวกันและสนิทกันมากอยู่ จึงรู้ว่าสนธยาเองก็มีวาจาค่อนข้างแรงทีเดียว ยิ่งเมื่อได้ฟังเรื่องที่ทิวาวิ่งออกไปจากห้องก็เริ่มนึกรู้ทันขึ้นมา

“ ไปสนิทกันตอนไหนเหรอ ? ”

สนธยาถามอย่างสงสัย ในขณะที่ภูริเพียงยักไหล่ก่อนจะเฉลย

“ ก็ที่หอพักน่ะ กูอยู่ห้องข้าง ๆ มันเพราะงั้นบางทีก็ได้คุยกันบ้าง...วามันเป็นคนเงียบ ๆ แต่จริง ๆ มันน่ะนิสัยดีนะมึง ทำไมไปทำกับมันยังงั้นล่ะ ? ”

“ ก็ตอนแรกที่เปิดเทอมน่ะ เรามาจะนั่งตรงนี้แล้วเขามองหน้าเราน่ะสิ...เราเลยว่าเขาไปว่าไอ้แว่นประสาท เพราะว่าเขามองเราจนเหมือนจ้องแบบมีปัญหาน่ะดิ ”

สนธยาแก้ตัว...ในขณะที่ภูริพูดเหมือนเดา

“ แกคงเข้าใจผิดมั้งสน เพราะไอ้วามันไม่ค่อยพูดกะใคร อีกอย่าง...ถ้าคิดว่ามันเหมือนเพื่อนคนอื่นน่ะคงผิดไปหน่อยละ เพราะมันได้ทุนเข้าโรงเรียนเรานะ แล้วบ้านจริง ๆ ของมันก็อยู่ที่กาญจนบุรีโน่น พ่อแม่ก็รู้สึกว่าจะไม่มีแล้ว มีแค่ยายคนเดียวเอง...เด็กที่อยู่กับคนแก่มาตั้งแต่เด็กน่ะคงไม่ใช่พวกช่างโหวกเหวกโวยวายหรอกน่ะ ”

ภูริเล่าก่อนที่จะขอตัววิ่งไปที่ห้องธุรการเพื่อรับสายจากย่าของทิวาแทน ในขณะที่สนธยาก็พึ่งจะนึกรู้...ว่าตัวเองคงเดาผิดไปหน่อย

// ใครจะไปรู้...เพราะโรงเรียนนี้หรือก็มีชื่อ แล้วเขาก็เห็นว่าเนื้อตัวขาวปานนั้น หน้าตาหรือก็สะอาดสะอ้านเหมือนลุกคนมีอันจะกินทั่ว ๆ ไป จนจะให้มองอย่างไรก็ไม่คล้ายเด็กจากต่างจังหวัดเอาเสียเลย //

คนตัวสูงบ่นในใจ...เริ่มรู้สึกผิดนิด ๆ ที่ตีค่า และประเมินผู้อื่นไปเองผิด ๆ

// จะว่าไป...ก็เคยได้ยินแว่ว ๆ ว่าเพลงที่ฟังแทบตลอดเวลานั่นไม่ยักใช่เพลงสติงสมัยใหม่ที่วัยรุ่นนิยมกันนัก แต่กลับได้ยินเป็นเพลงไทยเอื้อนหวานลอยมาแว่ว ๆ เข้าหูเพียงเท่านั้น //

ที่เขาค่อนข้างแน่ใจก็เพราะ...บางทีไอ้เตี้ยมันก็เผลอร้องเบา ๆ และจำได้ว่าคราแรกที่ได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจที่คนอายุเท่านี้เอื้อนเพลงไทยได้คล่อง เสียงก็สวย เป็นการเอื้อนหวานยาวและนาน

“ คงต้องขอโทษละมั้ง...ยังไงเรามันก็เอาแต่ใจ ตีค่าเขาไปฝ่ายเดียว คิดอย่างไรก็ผิดเสียเต็มประตู เจ้าตัวคงหาว่าเรากำลังจะไปแกล้งอะไรอีกละมัง ถึงได้ร้องไห้เอาอย่างนั้น ”

สนธยาถอนใจพลางสรุปง่าย ๆ ขณะที่ในหัวก็วางแผนว่าจะลองถามจากภูริดูว่าอีกฝ่ายชอบอะไรเป็นพิเศษ เผื่อจะไปหาของมาขอโทษกันได้บ้าง

อันที่จริงแล้วสนธยาก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหนักหนา แต่คงเป็นเพราะการพบกันนั้นทำให้ต้องต่อปากต่อคำกันมาแต่แรกพบ...ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงไม่ไปกันถึงไหนเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ เขา

จะว่าไป...เมื่อรู้อย่างนี้เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ทิวาจะเหงาบ้างไหมเมื่อต้องอยู่เงียบ ๆ คนเดียวโดยที่ตัวเขาที่มานั่งข้าง ๆ ก็ดันทำตัวขวางเข้าให้ตั้งแต่วันแรกที่พบกัน

ถ้า...คุยกันดี ๆ ตั้งแต่วันแรกเสียละก็คงจะดีหรอก เจ้าตัวคงไม่รู้สึกอึดอัดแบบนี้

สนธยาคิดในใจอย่างเสียดาย...ก่อนจะหันไปมองกระเป๋าและข้าวของ ๆ เจ้าแว่นผอมของเขา จนมือใหญ่ ๆ เริ่มลงมือจัดเก็บให้โดยตั้งใจว่าจะเอาไปส่งคืนให้ที่หอพัก เพื่อจะได้ถือโอกาสขอโทษไปเสียด้วยเลยในคราวเดียว




ราตรีประดับดาว6
โดย:ทิวารา

ทิวานั่งซึมอยู่บนเตียงโดยถือหนังสือเก่าเล่มเดิมไว้ในมือทั้ง ๆ ที่น้ำตายังซึมไม่หาย ทั้งที่ตอนนี้ก็โดดเรียนโดยทิ้งสัมภาระต่าง ๆ ไว้ข้างหลังแท้ ๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ใคร่จะนึกใยดีห่วงถึง

ดวงตากลมใต้แว่นกรอบบางกระพริบไล่น้ำตาในขณะที่มือเล็ก ๆ พลิกกระดาษอ่านไปอย่างช้า ๆ อยากเหลือเกินที่จะหลับลงตั้งแต่วินาทีนี้...เพราะอยากจะไปพบให้แน่ใจว่าพี่สนของวายังอยู่ ไม่ได้ไปไหน

หนังสือนี้เป็นหนังสือเก่าที่ไม่เหมือนหนังสือเท่าใดนัก เนื่องจากมันถูกเขียนขึ้นจากลายมือสวยงามตวัดหางยาวไหว กระดาษหรือก็เหลือง ก็กรอบจนต้องค่อย ๆ พลิกไปทีละหน้าอย่างแสนเบามือ

และถ้าจะให้พิจารณาแล้ว...ปกคงถูกทำขึ้นใหม่ภายหลัง ในขณะที่กระดาษตัวในที่บันทึกข้อความใดใดนั้นกลับแลดูเก่ากว่ามาก

อาจเหมือนหนังสือนิยาย...แต่มิได้เหมือน เพราะว่าสิ่งที่บันทึกไว้นั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง และคุณสนธยาก็เป็นคนจริง ๆ ที่เคยมีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินนี้มาก่อน แม้ไม่ทราบว่าในช่วงเวลาคราปีที่เท่าใด แต่ก็มั่นใจว่าไม่ต่ำว่ารุ่นทวดของทิวาอย่างแน่นอน อีกทั้งรูปภาพของคุณสนธยา...หรือพี่สนของทิวานั้น ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับคุณสนธยานั้นไม่ใช่เรื่องโกหก

“ คุณสนธยาชักภาพนี้เมื่อตอนอายุ 21 ปี และเราก็อ่านจนถึงตอนคุณสนธยาอายุได้ 24 ปีแล้ว...หน้ากระดาษก็ค่อย ๆ ถูกเปิดไปเรื่อย ๆ จนสามารถคะเนได้คร่าว ๆ ว่าหากอ่านจนจบคงไม่พ้นช่วงที่คุณสนธยาอายุสักปลาย 24 ปี หรืออายุต้น 25 ปีเป็นแน่ ”

ทิวาสรุป...ก่อนที่จะเริ่มต้นอ่านต่อ อ่านเหมือนทุกคืนยามที่จะเข้านอน...อ่านแล้วก็เลยได้ฝันเรื่อยมาตั้งแต่คืนแรกที่ได้รับหนังสือนี้มาจากคุณยายที่บ้านหลังเก่า หนังสือที่เขาเจอมันเก่าเก็บในห้องคุณตาที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยที่คุณยายเองก็ไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของใคร เขียนเมื่อใดกันแน่

“ คุณสนธยาโปรดปรานดอกบัว และมักนำดอกบัวมาวางไว้ในห้องนอน อีกทั้งน่าประหลาดนักที่ดูเหมือนกลิ่นที่อวลอยู่รอบตัวท่านจะเป็นกลิ่นดอกบัวกรุ่นอยู่ทุกเพลา แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าเพราะสิ่งใด ในขณะที่คุณทิวาซึ่งเป็นน้องชายกลับสนใจดอกมะลิเสียมาก ”

สิ่งที่มาพร้อมกับหนังสือนี้...มีเพียงภาพของคุณสนธยาเพียงเท่านั้น โดยที่ไม่มีภาพคุณทิวาคนน้องตัวจริงให้ได้ดู ซึ่งน่าแปลก...ที่ชื่อของเขากับคุณทิวาบังเอิญมาเหมือนกันเสียได้ และทุกครั้งที่ฝัน...เขาก็เหมือนจะกลายเป็นคุณทิวาไปเสียทุกครั้ง

หลายครั้ง...ที่ทิวาคนที่ไม่ได้โง่คนนี้อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้

เวลาที่คุณสนธยามีชีวิตอยู่นั้นเป็นช่วงเวลาใดพุทธศักราชใดกันแน่ ? แล้วใครเป็นผู้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับคุณสนธยาเอาไว้อย่างนี้หนอ ? แต่เท่าที่พอจับความได้นั้น ทิวาคาดว่าน่าจะเป็นลูกหลานคนใดคนหนึ่ง หรืออาจเป็นคนสนิท...ที่เป็นผู้เขียนบันทึกนี้ขึ้น

เนื่องจากภาษาแลถ้อยคำที่ใช้นั้นดูยกย่องนับถือคุณสนธยาอยู่มิใช่น้อย โดยจะสังเกตได้ว่าในบันทึกนี้จะเรียกพี่สนของทิวาว่า “คุณสนธยา” แทบทุกครั้ง อีกทั้งการเขียนก็มิได้ละเอียดลออเหมือนนิยายที่อ่านจนชินตา แต่สำนวนการเขียนและการเล่าต่อเรื่องราวนั้นกลับเป็นไปในลักษณะสังเกตจุดเด่นมาเพื่อเล่าเสียมากกว่า ไม่ได้มีความละเอียดและระบุวันเวลาแน่ชัดอย่างลักษณะการเขียนไดอารี่หรือบันทึกประจำวัน

จะมีบ้าง...บางเหตุการณ์ที่การเขียนในวรรคในเรื่องนั้น ๆ จะบรรยายสิ่งต่าง ๆ ไว้โดยละเอียด และมักจะเป็นเหตุการณ์สำคัญ ๆ เสียเสมอ ๆ

สิ่งที่ทิวารู้...ก็คือ คุณสนธยา เป็นคนเก่งและเป็นที่นับถือ เป็นพี่ชายที่ดีของน้องชาย เป็นคนอ่อนโยนและให้บรรยากาศฉ่ำเย็น มีกลิ่นประจำเป็นกลิ่นบัว แต่ที่โปรดปรานและชอบนำไปไว้ในห้องนอนเสมอ ๆ นั้นดูเหมือนจะเจาะจงเป็น “ บัวหลวง ” เสียมากกว่าจะเป็นบัวชนิดไหนก็ได้ อีกทั้งยังเป็นคนไม่ถือตัวจึงไม่ยอมให้ผู้อื่นเรียกแทนตัวยกให้สูงไปกว่าให้เรียกเพียงว่าคุณสนธยา

พอนานหลายคราเข้า....

เมื่อเริ่มฝันไปเรื่อย ๆ ทุกคืน...ทิวาก็ได้ยินเสียงของพี่สน ได้ฟังเพลงไทยด้วยหูตัวเองอยู่หลายเพลงในความฝันที่ยากจะทำใจตื่นนั้น และแม้ว่าเพลงไทยหลาย ๆ เพลงนั้น...คุณยายของเขาจะเคยร้องให้ฟังอยู่บ้าง แต่บางเพลงทิวาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน จนบางคราที่ตื่นก็ยังนึกสงสัยว่าเหตุใดจึงเก็บไปฝันได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้สดับรับฟังมาก่อนสักครั้ง

และเมื่อกลับไปเยี่ยมคุณยายที่กาญจนบุรีเมื่อสักสองสัปดาห์ก่อน...ทิวาก็ขอให้คุณยายร้องเพลงที่เคยไปได้ยินในฝันให้ฟัง และปรากฏว่าทำนองและคำร้องนั้นบอกชัดว่าผิดประหลาดนัก ที่คนซึ่งไม่เคยฟังเพลงเก่านั้น ๆ มาก่อนจะนำไปฝันได้เป็นคุ้งเป็นแควโดยที่เพลงในฝันนั้นก็ร้องได้ถูกต้องตรงกับที่คุณยายร้องให้ฟังเสียอีก

จะต่างกัน...ก็แต่ตรงสำเนียงเสียงภาษาที่อาจมีบ้างที่ออกเสียงไม่เหมือน แต่ก็คลับคล้ายว่าจะเป็นคำเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นยิ่งทำให้ทิวายิ่งรู้สึกว่าสนธยาคือคน ๆ หนึ่ง...เป็นตัวตนที่ชัดเจนไม่พร่ามัวเหมือนอย่างที่ควรเป็น

แต่น่าประหลาดเหลือใจ...ที่ทุกครั้งจะได้พบกันในยามกลางคืน ไม่เคยแม้สักครั้งที่ในฝันนั้นจะเป็นยามกลางวันอันเจิดจ้าด้วยแสงทองของดวงอาทิตย์งาม ที่เคยได้เห็นความงามในความฝันนั้น...กลับมีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นเอง

“ วันเกิดของคุณทิวา...คืนนั้นจะได้ยินเสียงคุณสนธยาเอื้อนเพลงราตรีประดับดาว เสียงนั้นงามนุ่มนวลนัก...อีกทั้งยังได้ยินเพลงอื่นดังวะแว่วมาไม่ขาดอยู่นานชั่วเพลาหนึ่งเลยทีเดียว ”

ทิวาอ่านต่อจากคืนก่อนพร้อมกับแตะนิ้วสั่นน้อย ๆ กับภาพคุณสนธยาไปด้วย และเพียงแค่ไม่ถึง 15 นาทีเท่านั้น...เสียงที่อ่านบันทึกเหตุการณืนั้นก็ขาดหาย กลายเป็นเสียงหายใจสม่ำเสมอของคนที่นิทราหลับอย่างสงบโดยสุข

// หอมเอย...หอมบัว กลิ่นกรุ่นกำจายทั่ว...กลิ่นบัวจากเนื้อตัวของพี่เอย //

โอ้...ทิวาเจ้าเอย ใยเจ้าไม่เคยหยุดฝัน
โอราตรีเอย...ราตรีนิรันดร์
ใยเจ้าใฝ่ฝัน...ทั้งที่เจ้ารู้ว่านิรันดร์
สำหรับคำว่าฝัน...ราตรีนั้นคงไม่มาถึง

=TBC=


เกี่ยวกับเพลงนี้.....

// พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เพลงราตรีประดับดาว
ขึ้นจากเพลงมอญดูดาว 2 ชั้นของเก่า เมื่อปีพุทธศักราช 2472 พร้อมทั้งบทร้อง
มีพระราชประสงค์ที่จะใช้หน้าทับเป็นประเภทปรบไก่
จึงจำเป็นต้องเพิ่มเติมทำนองขึ้นให้ครบถ้วนหน้าทับ

เป็นเพลงแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ ๆ ยังมิได้ทรงตั้งชื่อ
มีเจ้านายผู้ที่ทรงคุ้นเคยหลายท่านเสนอชื่อเพลงนี้ถวาย เช่น ดาวประดับฟ้า ดารารามัญ เป็นต้น
ระหว่างที่ยังมิได้ทรงเลือกว่าจะใช้ชื่อไหน วงมโหรีหลวงซึ่งได้รับพระราชทานต่อเพลงนี้มา
ก็นำออกกระจายเสียงที่สถานี 11 พี.เจ. ณ ศาลาแดง ประกาศชื่อเพลงว่า ราตรีประดับดาว
อันเป็นชื่อที่พระองค์ทรงคิดขึ้นเอง จึงเป็นอันตกลงใช้ชื่อราตรีประดับดาวต่อมา //

สำหรับเวอร์ชั่นที่นำลิ้งค์มาแปะไว้นี้เป็นเวอร์ชั่นที่ร้องโดยคุณดวงพร ผาสุข ซึ่งเป็นอันที่ใช้ประกอบละครเรื่องสี่แผ่นดิน

และหากสังเกตแล้วจะพบว่าเวอร์ชั่นนี้จะร้องไม่เหมือนกับแบบเก่า คือร้องไม่ครบเนื้อทั้งหมด

ซึ่งเราก็เคยฟังอันอื่นมาแค่ไม่กี่หนเมื่อสมัยก่อน ค่อนข้างนานมาแล้ว เลยจำไม่ได้เหมือนกันว่าเวอร์ชั่นนั้ร้องไม่ครบ หรือว่าเนื้อที่เราเอามาใช้นั้นถูกแต่งเพิ่มกันแน่ (แต่คิดว่าน่าจะถูกตัดเนื้อออกมากกว่า)

ส่วนตัวแล้วจำเพลงนี้ได้เพราะชอบท่อน ๆ หนึ่งซึ่งในเรื่องนี้เราจะเน้นมันบ่อย ๆ บางคนที่อ่านไปอาจจะพอรู้สึกได้

นั่นก็คือท่อนนี้ค่ะ.........

" หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย "


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2007 10:25:05 โดย himecrazy »

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #8 เมื่อ22-11-2007 22:55:36 »

ราตรีประดับดาว7
โดย:ทิวารา

เด็กหนุ่มนั่งบนเตียงไม้เก่าพลางทอดสายตาไปด้านนอก แต่พอยิ่งคิดถึงคนตัวสูงที่นั่งเรียนเคียงข้างแล้วก็พลันหน้างอ เข้าตำราทำหน้างอราว “จวัก” ดังที่คุณสนธยาเคยว่าไว้ไม่มีผิด

“ วา...วาน้อยของพี่ ”

เสียงทุ้มแลนุ่มนวลเอ่ยเรียกพร้อมรอยยิ้มบางเบาแต่อ่อนหวาน ก่อนที่ทิวาจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าที่ดีกว่าแตกแรกมาก ชายหนุ่มกอดน้องไว้เบา ๆ ก่อนที่จะจูงน้องไปนั่งบนเตียงไม้ โดยส่งห่อผ้าในมือให้คนตัวเล็กกว่าพร้อมยิ้มบาง ๆ เย็น ๆ

“ ของรับขวัญ...อายุเท่าใดแล้วล่ะเจ้าปีนี้น่ะ ? ”

เอ๋...ทำไมพี่สนถามอย่างนี้ล่ะ ? ก็ทุกที...เราเหมือนจะมาแทนคุณวาคนน้องไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไม...ดวงตาของพี่สนถึงได้ไม่เหมือนพูดหรือถามเล่น ๆ เอาเสียเลย

“ ถามอะไรดั่งว่าคุณพี่จะไม่รู้...ว่าน้องอายุเท่าใดอย่างไรอย่างนั้น ”

ทิวาเอ่ยอย่างใจเย็น...พยายามคิดว่าตัวเองกลัวไปคนเดียว แต่ทว่า...

“ โธ่...ใจคอจะไม่พูดความจริงกับพี่เลยหรือไร ? สำหรับเจ้าวาน้องพี่น่ะปีนี้ก็ได้ 13 ปีแล้ว แต่วาคนนี้ของพี่เล่า...อายุเจ้าเท่าใดแน่ ? ”

// อะไรนะ ? ...นี่ไม่ใช่อย่างที่เราคิดหรือนี่ ? เรา...ไม่ได้มาแทนคุณวาหรือนี่ ? แล้ว...โธ่เอ๋ย!! เด็กอายุเพียง 13 เท่านั้นเองหรอกหรือคุณทิวา มิน่าเล่า...ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะเราน่ะอายุก็ตั้ง 16 จะไปละม้ายกับเด็กอายุเพียง13 ก็คงเป็นไปไม่ได้ //

“ คุณ...คุณสนรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไรหรือ ? ”

ทิวากลั้นใจถาม...หัวใจก็แสนจะหวั่น ๆ ไหว ๆ กลัวคนตัวสูงจะโกรธเคืองที่ไม่เล่าเรื่องเล่าความกันมาแต่แรก แต่ชายหนุ่มเพียงหัวเราะเบา ๆ ด้วยเสียงต่ำเย็นระรื่น ก่อนจะยกมือหนาขึ้นลูบข้างแก้มของคนตัวเล็กกว่าอย่างเบามือ

“ แต่แรกแล้วละเจ้า... ”

ห๊ะ!!!!

“ วันนั้น...เด็กที่เรือนโน้นเดินผ่านเรือนเล็กนี้แล้วได้ยินเสียงคล้ายคนเดิน ก็เลยวิ่งไปร้องไห้ให้ฟังว่าคงโดนวิญญาณคุณย่าท่านมาหลอกเอาเป็นแน่ เพราะตอนนั้นท่านพึ่งเสียไปได้ไม่ถึงปีดี ”

ชายหนุ่มเล่าไปเรื่อย ๆ โดยที่คนฟังได้แต่ทำตาโต

“ พี่เองกลับคิดว่าจะเป็นโจรเสียละมากกว่า เลยขึ้นเรือนมาดู แล้วก็เลยได้พบกันเราในตอนนั้นนั่นละเจ้า... ”

ได้ฟังเพียงนั้นทิวาก็ให้รู้สึกเสียใจ ไม่รู้ว่าตัวเองได้โกหกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองโผล่มาแทนที่ใคร ไม่รู้ว่าถ้าพูดความจริงไป...จะมีผลอะไรหรือเปล่า ดังนั้นจึงได้แต่ตามน้ำ...เป็นคุณวาไปเรื่อย

เด็กหนุ่มค่อย ๆ เปลี่ยนลงนั่งบนพื้นในขณะที่คุณสนธยารั้งคนตัวบางไว้แทบไม่ทัน

“ ทำอะไรน่ะเจ้า ? ไม่เอา ๆ พี่ไม่ได้ต้องการให้ทำดังนี้เลย ”

เขารั้งคนที่ทำท่าทางคล้ายหมายใจจะก้มลงกราบขอลุแก่โทษที่ได้พูดปดไปต่าง ๆ นานาตั้งแต่มาในคราแรกจนกระทั่งในวันนี้

“ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาได้อย่างไรทุกคืน...คิดว่ามาแทนคุณทิวา ก็เลยไม่อยากพูดว่าตัวเองไม่ใช่ กลัว...ว่าคุณสนธยาจะตกใจ... ”

“ พอเลยเจ้า...วาน้อยของพี่ เรียบร้อยอย่างเจ้าละหรือจะไปละม้ายตาวาได้ รายนั้นซนราวพญาลิง พี่เองก็ดีใจจึงไม่ได้คิดจะห้ามปราม แต่เห็นว่าหลัง ๆ มานี้เจ้าร้องไห้เสียหลายหน...เลยคิดว่าน่าจะไม่สบายใจที่ต้องพูดปดทุกคืน ”

นิ้วมือใหญ่นั้นลูบไหล่ที่ห่อลู่นั้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะทวงถามขึ้นอีกครั้ง

“ ว่าแต่...ยังไม่ตอบพี่เลย ว่าอายุเท่าใดแล้ว ? ”

คุณสนลูบนิ้วไปมาบนมือเล็ก ๆ อย่างประโลม ก่อนที่จะยิ้มให้บาง ๆ เหมือนปรกติ ...ดวงตาคมคู่นั้นบอกแววเอ็นดูในตัวทิวาไม่ใช่น้อย

“ ปะ...ปีนี้ได้ 16 ละ...แล้วขอรับ ”

คุณสนธยาทำหน้างอบ้าง ก่อนจะกระเซ้าให้

“ ไม่เอา...ไม่ให้พูดดังนี้ วาน้อยไม่เคยใช้คำพูดแบบนี้กับพี่เลยนะ เดี๋ยวเถิด...บอกว่าไม่ได้โกรธเคืองเจ้ายังจะไม่เชื่อกัน ดื้อนักละก็พี่จะตีมือเสียให้ ”

คุณสนธยาพูดไป...หัวเราะไป ในขณะที่นายสนธยาอีกคนหนึ่งกลับกำลังยืนเคาะประตูทำหน้ามุ่ย ๆ อยู่กับภูริที่หน้าห้องของทิวา โดยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะเคาะ จะเรียกอย่างไร...ก็ไม่มีเสียงตอบจากภายในห้อง

“ สงสัยยังไม่กลับละมั้ง แกมาอยู่ที่ห้องเราก่อนดีกว่าไอ้สน เดี๋ยวยุงหามเอา ”

ภูริชวนก่อนที่นายสนธยาใจร้ายของไอ้แว่นวาจะได้แต่พยักหน้ารับคำ แล้วระเห็จไปรออยู่ในห้องของนายภูริเสียแทน

อันนี้เป็น ปล. ของผู้เขียน นะค่ะ

ปล. พวกกลอนที่ดูเหมือนจะแต่งได้หาความไพเราะไม่ได้ทั้งหลายบทนั้น เราเป็นคนเขี่ยมั่วออกมาเองล่ะค่ะ

ส่วนเพลงต่าง ๆ นั้น เราก็จะก็นึก ๆ จากเพลงที่เคยฟังมาบ้างสมัยเรียนอยู่ตอนมัธยม แล้วก็หาเนื้อมาจากเท่าที่จำได้ค่ะ บางเพลงก็ดีไปที่มีให้ฟังทางเน็ตละค่ะ




ราตรีประดับดาว8
โดย:ทิวารา

ในขณะที่ทิวาเล่าไปทำหน้างอไปด้วย คุณสนก็เพียงแต่นั่งฟังด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จนกระทั่งคนตัวเล็กเล่าจนจบเท่านั้นละ ชายหนุ่มจึงได้เริ่มพูดขึ้นบ้าง

“ เขาว่าเราเป็นคนบ้ากระนั้นเชียว ? ปากคอร้ายน่าดูเหมือนกันนะนายสนคนนั้นน่ะ แต่ว่า...เขาคงไม่ได้ร้ายกาจมากมายกระมัง ไม่เช่นนั้นคงรังแกวาน้อยของพี่ไปมากมายเสียกว่ามาประชดประชันดังที่ว่า อีกอย่าง...วันนี้เขาก็เรียกวาของพี่ด้วยท่าทางที่ดีกว่าวันก่อน ๆ ไม่ใช่หรือ ? ”

คุณสนตั้งข้อสังเกตจากคำบอกเล่าของทิวา ในขณะที่ทิวากลับทำหน้าเจือนลง

“ พี่สน...วาอยากอยู่กับพี่สน ไม่อยากยุ่งกับใครแล้ว... ”

“ ไม่เอาสิ...อย่าพูดดังนี้เลย ไม่ว่าวาจะเป็นใคร...วาก็ยังเป็นวาน้อยของพี่ รู้ไหมละเจ้า ? ”

คุณสนธยาแกะห่อผ้าแล้วส่งแหวนทองลายบัวหลวงให้คนตัวเล็กกว่าพร้อมรอยยิ้มบาง ในขณะที่ทิวาตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูกที่ได้รับของมีค่ามากเช่นนี้

“ สวมไว้เถิด...มันมิได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนของเจ้านายท่านใส่กันก็จริง แต่พี่ว่ามันเหมาะสมกับนิ้วเล็ก ๆ ของเจ้านัก ”

คุณสนค่อย ๆ สวมแหวนลงไปที่นิ้วกลางของทิวาขณะที่เด็กหนุ่มพยายามปฏิเสธพลางดึงมือหนี แต่ทว่าสุดท้าย...แหวนทองวงน้อยลายบัวหลวงก็ถูกสวมเข้าที่นิ้วเล็ก ๆ ของทิวาจนได้ พร้อม ๆ กับที่คุณสนเอาแต่ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความพอใจ

“ ของราคาสูงเช่นนี้...วาไม่ควรรับไว้เลย พี่สน...คือวา... ”

ในขณะที่เด็กหนุ่มรังแต่จะปฏิเสธ คุณสนธยากลับวางมือใหญ่ ๆ ของตนเองลงกับมือนุ่ม ๆ ของเด็กหนุ่ม ซึ่งนั่นทำให้ทิวาสังเกตว่า...คุณสนธยาก็สวมแหวนทองรูปบัวซึ่งมีหลวงลวยลายแม้ไม่เหมือนของทิวานัก แต่ก็ละม้ายกันอยู่มากราวกับเป็นสิ่งของชุดเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น

“ ตาวาน้องพี่นั่น...ก็สวมแหวนบัวหลวงนี้เช่นกัน พี่เองก็สวม...แล้วใยวาน้อยของพี่คนนี้จึงไม่อยากสวมมันไว้เล่า ? เจ้าไม่รักพี่หรือ ? ”

เสียงทุ้มเย็นของชายหนุ่มเอ่ยนุ่มนวลแต่แฝงแววทอดอ่อนในท้ายประโยค พาให้ทิวารู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกประหลาด แต่แม้ว่าถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกนั้นเป็นคำพูดเด็กหนุ่มก็ทำมิได้

“ ว่าอย่างไรละเจ้า...เจ้าไม่รักพี่ละหรือ ? จึงได้ไม่อยากสวมมันเอาไว้ ”

เด็กหนุ่ม...ทิวาน้อยของคุณสนบัดนี้รู้สึกประหลาดจนไม่อาจมองตาคม ๆ คู่เดิมนั้นได้ สุดท้ายเจ้าตัวจึงแลเลยไปอีกทางหนึ่ง พร้อม ๆ กับที่เจ้าตัวพยายามตอบตะกุกตะกัก

“ วาไม่ได้หมายความอย่างนั้น...คือว่า... ”

ท่าทางเช่นนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างขวางจากคุณสนธยา เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยตะล่อมเด้กน้อยให้อยู่ในโอวาทด้วยความชำนาญ เนื่องจากทิวาอีกคนหนึ่งนั้นซุกซนเสียยิ่งกว่าวาน้อยคนนี้ แล้วเหตุใดวาน้อยคนนี้จะดื้อแพ่งไปได้หากเข้าลองหว่านล้อม

“ แม้แหวนของเจ้าจะลวดลายไม่เหมือนของพี่กับของตาวา แต่นี่ก็เป็นสิ่งแสดงความรักของพี่...วาจะสวมไว้ไม่ได้หรือ ? ...วาน้อยของพี่เอย ”

คุณสนพูดเบา ๆ พร้อม ๆ กับที่แววตาคู่คมนั้นแลคล้ายหม่นหมองลง

เมื่อเจอวาจาคล้ายน้อยอกน้อยใจดังนั้นแล้ว ทิวาน้อยในอ้อมแขนคุณสนก็ต้องรีบรับคำ เพราะกลัวว่าคนตัวสูงจะน้อยอกน้อยใจ หาได้รู้เท่าทันไม่...ว่าตนเองได้ถูกเกลี้ยกล่อมเรียบร้อยเสียแล้ว

“ วาไม่ได้หมายความดังนั้นเลย เพียงแต่เกรงว่าราคาของมันอาจจะสูงเกินไป...คือถ้า...เอ่อ...วารับไว้ก็ได้จ้ะ พี่สนให้เพราะว่าวาเป็นน้องใช่ไหม? เพราะงั้น...เอ่อ วารับไว้ก็แล้วกันนะพี่สนนะ อย่าน้อยใจไปสิจ๊ะพี่ ”

แลดูเหมือนทิวาจะไม่ได้รู้สึกเอาเสียเลยว่ากำลังถูกกล่อม คุณสนมองกิริยาลนลานที่น่าเอ็นดูนั้นก่อนจะค่อย ๆ ระบายรอยยิ้มอ่อนโยน

“ แล้วถ้าพี่ไม่ได้ให้เพราะเห็นเป็นน้อง...วาก็จะไม่รับไว้เลยละหรือ ? ”

ชายหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ กระแสเสียงนั้นแม้เหมือนมิได้มีใจอันใด แต่ลึกลงไปในอกกว้างกลับรู้สึกหม่นหมองไม่ใช่น้อย ๆ

// อยากรู้เสียจริง...หากพี่บอกเจ้าว่าตัวพี่นั้นมิได้มอบให้ด้วยความรักเหมือนว่าเจ้าเป็นเพียงน้อง ....เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรับมันไว้หรือไม่เล่าวาน้อยของพี่เอย //

เด็กหนุ่มมองคุณสนธยาด้วยแววตาคล้ายไม่เข้าใจในคำถามเมื่อครู่ จนเมื่อชายหนุ่มตบมือลงกับตัก ชวนให้คนตัวเล็กเอนลงนอน...ทิวาจึงเอนกายลงหนุนตักคุณสน หลับตาฟังเพลงดังที่คุณสนว่า

“ คืนนี้พี่จะร้องเพลงให้เจ้าหลับฝันดี... ”

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย

หอม...ดอกชำมะนาด...........................กลิ่นไม่...ฉูดฉาด เอ๋ย แต่หอม...ยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย................ผูกจิตสนิทได้...เอ๋ย ให้รักจริงเอย //

ยามแลเห็นใบหน้าเจ้าหลับฝันดี พี่นี้แสนสุขใจนัก
รัก...เอยรัก สุดหักสุดร้างแลเลย โอขวัญเจ้าเอย
ยามใดพี่จึงจะได้เฉลย รักเอยพี่จะเผยให้เจ้า บอกเล่าได้เมื่อใด

คุณสนธยามองเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มนิทราลงอย่างแสนสบายบนตกเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะลูบไล้ใบหน้านวล ๆ ซึ่งเมื่อครู่เขาแลเห็นมันแดงเรื่อยามที่เขาพยายามหว่านล้อมเรื่องแหวนบัวหลวงวงน้อย ก่อนที่เขาจะยิ้มบาง เงยหน้าขึ้นมองออกไปยังดวงจันทร์ซึ่งทอแสงนวล

// เจ้าจะรู้ตัวหรือไม่หนอเจ้าวาน้อยเอย...ว่ายามเราได้มาพบหน้ากัน ไม่ว่าจะคืนไหนดวงจันทร์ก็ยังทอแสงนวล เป็นจันทร์เต็มดวงงดงามทุกคืนไม่เคยเปลี่ยนเลย //

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ทั้งที่แววตาคู่คมยังทอประกายโศกเศร้า แม้แลเศร้าลึกไหลเย็นราวสายน้ำ แต่ความซึ่งซึ่งอยู่ก็ชวนให้เจ็บปวดอยู่มิรู้หาย วาเจ้าเอย...เจ้าจะรู้หรือไม่ว่าในขณะนี้ที่เราได้พบกันนั้น เราพบกันได้เพราะเหตุอันใดกันแน่ ...เจ้าจะมีวันรู้ตัวไหมหนอ วาน้อยของพี่เอย

// ยามเมื่อลมพัดหวน เอ๋ย...ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง
ไม้เอย...ไม่สุดสูง อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง
แต่ยิน นามดวงเอย โอ้เจ้าดวง เจ้าดวงดอกโกมล
กลิ่นหอม เพิ่งผุดพ้น พุ่มในสวนดุสิตา
แข่งแข อยู่แต่นภา ฝูงภุมรา สุดปัญญา เรียมเอย
โอ้อกคิดถึง คิดถึง คนึง นอนวัน
นอนไห้ ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลด สวยสดโสภา
แสงทอง ส่องหล้า ขวัญตา เรียมเอย //


ไม้เอย...ไม่สุดสูง เอย...อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง
เจ้าอยู่สูงเกินสอย ไหนเลยพี่จะได้ปอง แม้ต้องด้วยรักสลักจิต
แต่เพียงพี่คิดก็พลันหม่นหมอง ไผ่เลยจะได้ต้อง...

เสียงเพลงลาวคำหอมดังก้อง...สะท้อนใสในคืนวันเพ็ญที่สายลมเย็นฉ่ำ กลิ่นบัวหลวงพัดอวลหวนร่ำไห้ในอากาศเย็นแลสบาย เสียงเพลงนั้นดังเรื่อยรินอยู่เป็นนาน ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มฉ่ำเย็นของคุณสนธยา

แต่ทว่าใครเลยจะรู้...ในความเย็นฉ่ำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยรอยเศร้าลึกในหัวใจ พร้อม ๆ กับที่ชายหนุ่มทบทวนบทเพลงมั่นในใจคล้ายต้องการตอกย้ำ

// ไม้เอย...ไม่สุดสูง เอย...อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง //

=TBC=

ปล. เพลงราตรีประดับดาว    >>>>> http://www.esnips.com/doc/177b76dc-6e1d-4e47-b811-2cf04a800205/05-ราตรีประดับดาว

และ เพลงลาวคำหอม >>>>>http://oldsonghome.exteen.com/20070321/entry-1

ปล.  จากผู้โพส ค่ะ  อันนี้ขอแก้ไขลิงค์นะค่ะไปหาของที่มีคนทำใส่ไว้ได้เลยอยากให้เพื่อนๆๆได้ฟังกัน  เป้นเพลงเก่าที่เพราะมากๆๆทั้ง สอง เพลง อยากให้ได้ฟังกัน คะ   


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2007 10:23:54 โดย himecrazy »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #9 เมื่อ22-11-2007 23:12:41 »

หุหุ รึว่าจะเป็นเรื่องผี ๆ  :a5:  :a5:  :a5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-11-2007 23:12:41 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






clarinet34858

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #10 เมื่อ23-11-2007 02:01:00 »

อ่า...ฟังเพลงไม่ได้อ่ะครับ   แต่ก็พอเคยได้ยินมาก่อน  อยากอ่านต่อจังครับ

graydragon

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #11 เมื่อ23-11-2007 09:20:35 »

เดี๋ยวลองไปฟังเพลงดูก่อนนะงับ :m7:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #12 เมื่อ23-11-2007 09:41:13 »

เรื่องนี้ออกแนวทวิภพป่าว  :m1:
แปลกดี  เหมือนอยู่ในความฝัน  เหมือนย้อนเวลาหาอดีต

แล้วจะมองโลกแห่งความจริงได้อย่างไร  เมื่อใจหมกมุ่นถึงแต่คนในความฝัน   :เฮ้อ:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
«ตอบ #13 เมื่อ23-11-2007 12:09:26 »

มาเป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
[Talk] ราตรีประดับดาว

ตอนนี้มีหลายคนชักอ่านแล้วจ้องเดากันว่าเรื่องจะเป็นยังไงกันแน่ มีบ้างที่เดาว่านายสนธยากับคุณสนท่านเป็นคน ๆ เดียวกัน

บางคนก็มีเดาว่าคุณสนเป็นต้นตระกูลของนายสนธยาใจร้าย

นี่ดูจากที่มีคนอ่านแสดงคอมเมนต์นะคะ....

ยังไม่นับคนที่ไม่เคยโพสแสดงความคิดเห็น (เดา) ว่าคิดกันไว้อย่างไร

รู้สึกว่าตัวเองกำลังเขียนอะไรคล้าย ๆ การ์ตูนโคนัน รึ คินดะอิจิ เพราะมีแต่คนจดจ่อกับการเดากันมาก ๆ เลย รู้สึกว่าบางคนพยายามอ่านแล้วแกะทุกทุกแง่ โพสเดาทางกันไปเรื่อย ๆ ดีใจจังค่ะที่มีคนลองเดา 555

จะว่าไปก็ไม่เคยบรรยายว่าใครเป็นยังไงกันแบบละเอียด ๆ เลย ก็เลยมาลองบรรยายประกอบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเดาให้แก่คนอ่าน...เอากันสนุก ๆ ละกันค่ะ


+++ คุณสนธยา หรือคุณสน +++
สูงราว 180 เซนติเมตร
น้ำหนัก...เดาเอาซิจ๊ะ
รูปลักษณ์: ในสายตาน้องวา คุณสนเป็นผู้ชายตัวสูง ไหล่หนา ใบหน้าคมคายแต่ดวงตาคมจะแลประกายดูเย็นรื่น ฉ่ำ ๆ เย็น ๆ ส่วนผิวคุณสนท่านผิวขาวแต่ก็ไม่ได้ขาวมากนัก

คุณสนเป็นคนมีกิริยานุ่มนวล พูดเสียงนุ่ม ไม่ค่อยหัวเราะเสียงดัง แต่จะยิ้มบาง ๆ หรือหัวเราะเบา ๆ ท่านคล้ายคนขี้อายแต่มีแค่ดวงตาของคุณสนท่านเท่านั้นที่บอกชัดว่าท่านไม่ได้ขี้อาย เพียงแต่ท่านไม่แสดงออกมากนักเท่านั้นเอง


+++ ทิวา หรือเจ้าวา +++
สูงราว ๆ 160 เซนติเมตร
น้ำหนัก...จะบอกดีไหมน้อ
รูปลักษณ์:
ในสายตาคุณสน...ทิวาเป็นเด็กยิ้มสวย (ลำเอียงมากคุณสน) เหมือนเด็ก ๆ ที่ชอบอ้อนแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะบางทีก็อ้อน แต่บางทีก็แสดงออกว่าเกรงใจเอามาก ๆ แล้วก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย (จริง ๆ จะบอกว่า ตะล่อมง่ายละสินะ...คุณสน-_-iii)

ในสายตาสนธยาใจร้าย...ทิวาเป็นคนตัวเล็กบาง ๆ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวขาวเหมือนลูกคนจีนหรือเป็นลูกคุณหนู เป็นคนไร้มนุษยสัมพันธ์เอามาก ๆ แล้วก็ชอบมองด้วยสายตาเฉย ๆ ทำให้คนรอบข้างเดาอารมณ์ไม่ถูก รู้สึกว่าทิวาเป็นเด็กแว่นพิลึก ๆ อะไรทำนองนั้น


+++นายสนธยา หรือนายสนใจร้าย+++
สูงราว ๆ 170 ปลาย ๆ
น้ำหนัก...ไอ้สนไม่อยากให้บอกอ่ะ
รูปลักษณ์: ในสายตาทิวา...นายสนใจร้ายจะเป็นคนกวนประสาทแบบเงียบ ๆ คอยเหน็บคอยขวางใส่ตลอด ใบหน้าท่าทางจะคล้าย ๆ เกือบเหมือนคุณสนท่าน แต่นายสนใจร้ายจะมีสายตาที่ดูแข็งกว่าคุณสนท่านซึ่งสายตาท่านจะอ่อนโยนฉ่ำ ๆ เย็น ๆ มากกว่า แต่ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนพูดน้อยเหมือน ๆ กันทั้งคู่ (พูดน้อยแต่ไม่ได้ขี้อายนะ...ขอย้ำ)


.......บอกประมานี้แล้วกันค่ะ เพราะในเรื่องเราไม่ค่อยบรรยายลักษณะของทั้ง3คนมากเท่าไหร่ กลัวคนอ่าจะนึกไม่ค่อยออก





ราตรีประดับดาว9
โดย:ทิวารา

แม้ยามตื่นขึ้นจะแปลกใจเล็กน้อยที่มันยังไม่เช้าเหมือนทุก ๆ ครั้งที่เมื่อตื่นขึ้นจะพบว่าเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์พึ่งขึ้นที่ขอบฟ้า ทิวาควานหาแว่นตาก่อนจะสมอย่างลวก ๆ พลางหันไปมองนาฬิกาเรือนเก่าจนแทบจะต้องเก็บเข้ากรุ

// 6 โมงครึ่ง...พึ่งจะเย็นเท่านั้นหรือนี่ ? //

คนตัวเล็กนั่งเรียกสติสักครู่ก่อนที่จะยกมือซ้ายขึ้นมอง...นิ้วกลางของตัวเอง แต่ทว่าแหวนบัวหลวงวงน้อยที่พี่สนให้มากลับไม่อยู่ที่นิ้วนี้เสียแล้ว ยิ่งคิดคำนึงถึงความเป็นจริง...ทิวายิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างดูเหมือนจะค่อย ๆ ดำเนินไปยังจุดสิ้นสุด เมื่อรู้สึกได้ดังนั้นเจ้าตัวก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

แหวนบัวหลวงวงน้อย เมื่อตื่นก็หายไปไม่อยู่เสียแล้ว...ราวกับจะย้ำ ซ้ำ...ให้รู้สึกตัวมากขึ้น ให้รู้สึกตัวว่านี่มันเป็นเพียงฝันเพียงนั้น

// ไม่อยากให้เป็นแค่ฝันไป ไม่อยากอยู่เพียงคนเดียว ไม่อยาก...ถูกทิ้ง //

เด็กหนุ่มแตะนิ้วลงกับมือซ้าย ราวกับแหวนวงเดิมนั้นยังอยู่...พร้อมกับน้ำตาไหลเงียบ ๆ เมื่อนึกถึงความทรงจำอันเลือนรางเมื่อสมัยยังเด็กนัก นึกถึง...วันที่แม่จูงมือตัวเขาซึ่งอายุเพียง 6 ขวบ มาฝากไว้กับยาย แล้วหลังจากนั้นก็หาย...ไม่เคยได้พบกันอีกเลยมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่คิดทิวาก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อสำนึกรู้ว่าตนเองถูกทิ้งแล้วผู้เป็นแม่ก็จากหาย แต่ก็โศกเศร้า...เป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าป่านนี้แม่ผู้อ่อนโยนจะเป็นอย่างไรหลังจากแต่งงานใหม่

ทิวาสลัดศีรษะเบา ๆ ไล่ความรู้สึกที่ราวกับม่านหมอก ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินไปล้างหน้า ไปล้างคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มออก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับเป็นเหมือนทุก ๆ ที...เด็กหนุ่มทรุดลงจนเข่ากระแทกกับพื้น เนื่องจากเรี่ยวแรงที่เคยมีไม่รู้ว่าลาไปที่ใด เป็นแบบนี้เสียทุกครั้งยามตื่นจากความฝัน...ทั้งหมดเรี่ยวแรง ทั้งง่วงงุนและสติไม่ค่อยสู้จะแจ่มใสนักทั้ง ๆ ที่เมื่อนับระยะเวลาก็ถือว่าเขาหลับไปนานเสียมากกว่ายามหลับปรกติเสียอีก

กลับกัน...สนธยาคนใจร้ายของคนตัวเล็กกลับกำลังนั่งฟังภูริเล่าเรื่องของเจ้าแว่นพิลึกของเขาอย่างแปลกใจ เพราะแต่ละอย่างที่ได้ฟังกลับทำให้ความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายแทบจะจางหายไปจากใจจนแทบจะไม่เหลือเค้าลางที่เคยเป็นมา

“ วันไหนมันกลับจากบ้านยายมันนะ มันจะเอาของกินมาฝากเรื่อยเลย ปีที่แล้วกูก็เคยไปบ้านมันมาหนนึงก่อนจะเลยกลับไปที่บ้านน่ะ ”

สนธยาหมุนแก้วน้ำในมือไปพลางระหว่างที่ฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปด้วย

“ บางทีแม่กูส่งเงินมาช้า...ก็ได้ไอ้วาแหละคอยแบ่งกับข้าวให้กิน ไม่งั้นอดตายไปแล้ว ”

สิ่งที่สนธยาได้เป็นความรู้ใหม่ก็คือ...ไอ้แว่นพิลึกมันมีน้ำใจ มันทำกับข้าวเก่งแล้วก็กินง่ายอยู่ง่าย อีกอย่างก็คือ...เจ้าเตี้ยมันได้เข้ามาเรียนที่นี่เพราะได้ทุนเรียนดี ซึ่งข้อนี้เขาไม่เคยรู้เลยว่าทิวาสอบได้อันดับที่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

“ พูดถึงขนาดนี้แล้วมึงจะเลิกแกล้งวามันเสียทีจะได้ไหมวะ สงสารมันหน่อยเหอะ...อีกอย่างกูก็ไม่ค่อยชอบนักหรอกที่รู้ว่ามึงมาแกล้งวามันแบบนี้น่ะ ”

“ อือ...โทษที ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเรื่องเป็นแบบนี้ เห็นเจ้าแว่น...เอ๊ย!! วาชอบเหม่อ ๆ ไม่คุยกับเราสักคำก็เลยคิดว่าวาคงไม่ชอบเราน่ะ ”

สนธยาที่นั่งพิงผนังห้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวกุกกักจากห้องข้าง ๆ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงคล้ายมีอะไรหล่นกระแทกพื้นสักอย่าง ทั้งสนธยาและภูริจึงออกไปเคาะประตูเรียกเจ้าของห้องอีกหนหนึ่ง

ใบหน้าที่สนธยาเห็นคือใบหน้าของเจ้าแว่นพิลึกคนเดิมเปิดประตูออกมาจากห้อง แต่ผมเผ้าเจ้าช่างยุ่งเหยิงเสียแท้ อีกทั้งดวงตายังชื้นน้อย ๆ พาให้คนตัวสูงคิดมาก...ว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพราะตนเองหรือเปล่า ?

“ เอ่อ...เอากระเป๋ากับหนังสือเรียนมาให้ ”

คนตัวเล็กที่ยังติดง่วงงุนเล็ก ๆ อยู่นั้นรับข้าวของของตนเองก่อนจะเอ่ยขอบคุณตามมารยาท ทั้ง ๆ ที่ยิ่งมองคนใจร้ายตรงหน้ามากเท่าใดก็ยิ่งแสลงใจมากขึ้นทำนั้นจนแทบจะทนไม่ได้

// เพราะแม้แม้นละม้าย แต่นิสัยใจคอหาได้คล้ายไม่
ยิ่งมองยิ่งซึ้งยิ่งปวดใจ เหมือนเงาใครคนหนึ่งซึ่งต่างกัน //

“ นี่...อย่าพึ่งปิดประตูซิ คือ...เมื่อกลางวันน่ะขอโทษละกัน ไม่ได้ตั้งใจทำให้...เอ่อ ร้องไห้ ”

สนธยาพยายามพูดไปโดยมองหน้าภูริที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหมือนจะให้ช่วยคิดหาคำขอโทษไปด้วย ในขณะที่ทิวากลับรู้สึกงงงวยกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง...เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น คือ คนที่มีใบหน้าราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับพี่สน ซึ่งในวันวานเคยพูดจาทำร้ายจิตใจทิวามาโดยตลอด กลับมายืนทำหน้าตาตกประหม่าไปพลางเอ่ยขอโทษอย่างตะกุกตะกัก

“ กินอะไรผิดสำแดงเหรอ ? ถึงได้มาขอโทษกันน่ะ ”

รูปประโยคอาจดูยียวนกวนโทสะเสียนัก แต่เมื่อคนตัวสูงมองตากลมใต้แว่นกรอบบางเขาก็เริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าต้องการที่จะเอ่ยกวนโมโห

“ เรายอมรับนะ ว่าเคยมองนายผิดจากที่มันเป็นอยู่...เราคิดว่านายหยิ่ง คิดว่านายประสาทเพราะเพื่อน ๆ ก็พูดแบบนั้นให้เราฟัง แล้วก็ไม่รู้ว่าบ้านนายเป็นยังไงก็เลยไม่เข้าใจนิสัยของนายมาก่อนเลย เพราะงั้น...ก็เลยรู้สึกไม่ชอบนาย แล้วเราก็ยอมรับว่าแกล้งนาย แล้วก็พูดอะไรร้าย ๆ ใส่ตลอด คือ...เราขอโทษก็แล้วกัน นายจะยกโทษให้ได้ไหม ? แล้วเรามาเป็นเพื่อนกัน คือ... ”

แม้ว่าวาจาที่พูดไป...จะวกวน แต่ทิวากลับรู้สึกทั้งแปลกใจ ทั้งผิดคาด อีกทั้ง...ราวกับรู้สึกว่าความรู้สึกหนักอึ้งในใจส่วนหนึ่งมลายหายไปโดยพลันโดยมิทันรู้เนื้อรู้ตัว

“ เข้าใจแล้ว... ”

คนตัวเล็กบอกเรียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจยังสับสนน้อย ๆ

// ทำไมเราจึงยกโทษให้นายคนใจร้ายง่าย ๆ ล่ะ ? หรือเพราะใบหน้าที่ละม้ายพี่สน...เราจึงใจอ่อน แต่...เขาก็ขอโทษเราแล้วนี่นา จะให้โกรธตอบอีกก็ดูจะไม่มีน้ำใจมากเกินไป อันที่จริง...ถ้าเข้าใจกันได้ก็คงจะดีแล้วกระมัง //

ในขณะที่ภูริตบไหล่เพื่อนพร้อมยิ้มน้อย ๆ อยู่นั้น...ตัวสนธยาเองกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคนตัวเล็กยอมกลับมาเป็นเพื่อนอีกครั้ง อีกทั้งสายใยเบาบางที่ถูกความไม่เข้าใจบดบังนั้นก็ค่อย ๆ ชัดเจน สนธยารู้สึกว่าเมื่อขจัดทิฐิออกไปจากหัวใจแล้วนั้น...ดูเหมือนสายใยอะไรบางอย่างกลับค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นในห้วงลึก โดยที่เขาเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน

=TBC=

ปล. ถึงสนธยาจะขอโทษเค้า...แต่เจ้าตัวก็ยังทำเหมือนไม่ค่อยอยากรับผิดเท่าไหร่ อ้างโน่นอ้างนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่ค่อยสนใจ เขียนไปก็หมั่นไส้ไปเรื่อย ๆ เลยนะ (คนเขียนลำเอียงนะบอกตรง ๆ ว่าชอบคุณสนมากกว่านายคนปากแข็งคนนี้ซะอีก)


ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว10
โดย:ทิวารา

“ เออ...ยายโทรมาหาน่ะวา บอกว่าคุณยายใหญ่ไม่สบาย ”

ภูริบอกเจ้าของห้องก่อนจะหยิบขนมเข้าปาก ในขณะที่สนธยาได้แต่นั่งฟังไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่คิดเลยว่าความแตกต่างระหว่างตอนที่คนตัวเตี้ยบางคนเดิมนั้นคุยกับภูริ มันจะแตกต่างกับเวลาที่คุยกับเขาราวฟ้ากับเหวเช่นนี้

“ ขอบใจมากภู ”

คนพูดยิ้มหวาน...คนอื่นอาจมองดูเหมือนยิ้มเฉย ๆ แต่ในสายตาของสนธยามองดูเป็นยิ้มหวาน ๆ เข้าไปได้

// ปรกติอยู่ต่อหน้าเราไม่เคยเห็นยิ้มได้ขนาดนี้เลยแท้ ๆ //

คนตัวสูงแอบไม่ชอบใจเล็ก ๆ แต่กลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เลยได้แต่ทำหน้าเรียบเหมือนถูกเตารีดทับอยู่อย่างนั้น

“ คุณยายใหญ่...ปรกติท่านก็แข็งแรงดี แม้ว่าท่านจะเป็นพี่สาวที่อายุมากกว่าคุณยายเกือบ 6 ปีก็เถอะ พอรู้แบบนี้แล้วเราเป็นห่วงจังเลย ”

ทิวาเอ่ยเสียงอ่อน...เป็นห่วงคุณยายใหญ่ เพราะคนเฒ่าคนแก่มักชอบว่า คนที่ดูแข็งแรงดีนี้เวลาไม่สบายทีหนึ่งจะเป็นหนักเสียละมาก ใจนึกอยากจะกลับไปหาแต่ว่าติดสอบกลางภาคคงกลับไปไม่ได้ในวันสองวันนี้เป็นแน่ อย่าเร็วก็คงต้องเกือบ 2 อาทิตย์...กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

// พี่สนจ๋า...ถ้าเป็นไปได้ วาไม่รู้ว่าพี่เป็นวิญญาณหรือใครกันแน่ แต่...ถ้าเป็นไปได้ พี่สนช่วยคุณยายใหญ่ของวาด้วยนะจ๊ะ //

ทิวาก้มลงมองมือซ้ายพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ...กิริยานั้นทำเอาสองหนุ่มที่เหลือแปลกใจ แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กัดขนมไปตามเรื่องตามราว และตัวสนธยาเองก็รู้สึกขัดใจนิด ๆ ตั้งแต่รู้สึกว่าคนตัวเล็กจะให้ความสนิทสนมกับภูริมากกว่าตนเอง

สนธยานั่งทำหน้าเฉยเมย ไม่ได้เหน็บกัดแต่ก็ทำใบหน้าเรียบสนิท เย็นเยือก ได้แต่ยกแก้มขึ้นดื่มน้ำเป็นพัก ๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ยากจะบรรยายได้ แต่จะด้วยความรู้สึกใดก็แล้วแต่ แต่เขาก็รู้ว่าการจะแสดงทีท่าไม่พอใจออกไปนั้นมันก็คงไม่ใคร่งามนัก มันจะดูไร้เหตุไร้ผลจนเกินไป...ดังนั้นเจ้าตัวถึงได้เอาแต่เงียบเฉย

แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าแว่นตัวผอมของเขาทำหน้ากลัดกลุ้มจนถึงขนาดนั้น เขาจึงชวนคุยขึ้นบ้าง หวังในการสนทนาช่วยไม่ให้ทิวาคิดมากไปกว่านี้

“ ที่บ้านอยู่กันเยอะไหม? ”

“ ที่เรือนมีแค่คุณยายกับน้านงที่เป็นคนบ้านใกล้ ๆ จะมาคุยกันทุกวัน แต่ถัดไปไม่กี่กิโลก็เรือนคุณยายใหญ่ แล้วก็หลานชายที่เป็นครูอยู่ด้วยกัน นอกนั้น...ก็ไม่มีใคร ”

คนถามแทบผงะ...เมื่อได้ฟังคำตอบ

“ อะไรนะ ? เป็นกิโลเชียวหรือ ? ”

// อะไรกันเนี่ย ? เดินแค่ป้ายรถเมล์เดียวก็เหนื่อย ก็ร้อนจะแย่แล้ว นี่เดินกันเป็นกิโลเชียวหรือกว่าจุถึงบ้านแต่ละหลัง แบบนี้คนตัวผอม ๆ แบบนี้จะเดินเข้าไปได้ยังไงกัน!! //

“ ก็...ราว ๆ 2 กิโลละกระมัง สมัยก่อนอยู่บ้านจะเดินไปหาคุณยายใหญ่แทบทุกวัน เอาปลาที่ดักได้ไปฝาก ท่านชอบน่ะ...ยิ้มทุกหนเลย แต่ท่านจะไม่ชอบให้เราตีหัวปลาเอง ท่านว่าบาป ”

ทิวานึกถึงคุณยายใหญ่ที่ดูจะรักและเอ็นดูเขาอยู่ไม่ใช่น้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านดุกับลูกหลานคนอื่นทุกคน จนบางทีคุณลุงคุณป้าที่นาน ๆ จะได้เจอกันสักทีเวลามีวันหยุดยาว ๆ จะชอบแซว ว่าทิวาเป็นลูกคุณยายใหญ่มากกว่าใครอื่น

คุณยายใหญ่มักจะสอนทำกับข้าว สอนทำขนม สอนร้องเพลงไทยสมัยยังเด็ก เวลาเอาอะไรไปให้ท่านจะดีใจมาก ดักปลา เก็บผัก เด็ดบัว เอาอะไรไปให้ท่าน ๆ ก็ดีใจทั้งนั้น...เว้นแต่ท่านชอบกำชับหนักหนา ว่าเอาปลามาฝากได้...แต่อย่าไปตีมันตาย เพราะว่าบาป

แต่สุดท้าย...คุณยายใหญ่ที่ลงมือจัดการเอาปลาไปทำกับข้าวนี่แหละกลับเป็นคนตีปลาทำกับข้าวเสียเอง จนสมัยเด็กทิวายังอดถามตามประสาเด็กช่างสงสัยไม่ได้

“ แม่คุณครับ...ทำไมแม่คุณถึงตีปลาซะเองละครับ ทำไมไม่ให้วาตีมันตั้งแต่แรก อย่างนี้วาก็ทำให้แม่คุณทำบาปสิครับ ? ”

ทิวามักจะเรียกคุณยายใหญ่ว่า ‘แม่คุณ’ เสมอ ๆ ด้วยเสียงอ้อน ๆ แล้วก็ชอบถามเสียงเจื้อยเสียงแจ้ว เวลาวิ่งเล่นรอบเรือนแล้วเจออะไรที่ไม่รู้จัก ทำให้คุณยายใหญ่หัวเราะเบา ๆ อยู่เสมอทั้งที่ก่อนหน้าที่ทิวาจะไปอยู่ที่บ้านนอกนั้น คุณยายจะไม่ค่อยยิ้ม จะดูดุสำหรับญาติ ๆ เหลือเกิน

“ ไม่ได้...คุณท่านคงไม่ชอบใจนักหรอกถ้าจะให้วาทำบาป หลานรักของยาย...หนูรอยายทำกับข้าวเฉย ๆ ดีกว่านะลูกนะ ”

คุณยายใหญ่มักพูดถึง ‘คุณท่าน’ ซึ่งคุณยายท่านเคยบอกว่าคงเป็นคุณตาที่เสียไป เนื่องจากคุณตาท่านรักเด็กผู้ชายมากและก็หวังจะได้ลูกชายสักคน...ตอนที่ท่านเสียคุณยายใหญ่ก็มีลูกสาวให้ท่านได้เพียงนั้น แต่ก็ไม่มีลูกชายให้คุณตาท่านได้ดังที่หวัง

“ คิดถึงจังเลย แม่คุณของผม... ”

ทิวาพูดกับตนเอง พร้อม ๆ กับใบหน้าขาว ๆ กับดวงตากลม ๆ นั้นทอดกระแสเหงาดาย...คิดถึงคนที่อยู่ไกลเหลือเกิน

วินาทีนั้น...ผู้ชายอีก 2 คนต่างมองใบหน้าของเจ้าแว่นตัวบางด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดหนักหนา

ตัวสนธยานั้นรู้สึกอยากจะลูบไหล่ปลอบเสียนัก...แต่ก็ติดที่ว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่แสดงอาการสนิทสนม เขากลัวว่าหากทำไปแล้วอีกฝ่ายจะไม่พอใจเอาได้

ในขณะที่ภูริมองคนตัวเล็กที่หัวใจเหงาหงอยด้วยสายตาอบอุ่นก่อนที่จะทันหันมาสังเกตในตอนหลังว่าเพื่อนของตนที่นั่งอยู่เคียงข้างนั้น กลับมองคู่อริเก่าเมื่อไม่นานมานี้ด้วยแววตาอ่อนโยนแบบแปลกประหลาดจนภูริรู้สึกสะดุดกับสายตาแบบนั้นของสนธยานัก





ราตรีประดับดาว11
โดย:ทิวารา

ระยะหลังจากเย็นวันนั้น...นายสนธยาได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ เหมือนคนสับสนตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองทำอะไร...แปลก ๆ

“ เอากองสมุดมานี่...ตัวเท่ากุ้งแห้งดันอุ้มสมุดแบบฝึกหัดตั้งขนาดนี้เข้าไปได้ พอดีเดี๋ยวได้ตกบันไดตาย ”

เสียงเหมือนหงุดหงิด กับรูปประโยคยั่วโมโหดูจะเป็นสิ่งติดตัวสนธยามาตั้งแต่เย็นวันนั้น ปากก็ว่าไป แต่ก็ทำโน่นทำนี่ให้ทุกครั้งที่คนตัวสูงเห็นว่ากิจกรรมเหล่านั้นไม่ปลอดภัยกับคนตัวเล็กกว่า

“ ถ้ารำคาญก็ไม่ต้อง...สมุดกองแค่นี้น่ะหิ้วเองได้ ”

แม้ว่าทิวาจะพูดปฏิเสธไปเรียบ ๆ แต่คนตัวสูงกลับหงุดหงิดเหมือนมีอะไรมาอุดปลายจมูก จากนั้นมือหนากว่าก็รวบกองสมุดจากมือของทิวาไปถือโดยที่คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากจะค้าน แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก

“ เอ้า!! เดินตัวเปล่ายังจะชักช้าอีกนะ เดินเร็ว ๆ หน่อย...หึ!! ก็นะ...ลืมไปว่าขาสั้น ”

สนธยาใจร้าย ปากก็ร้ายด้วย แต่จากที่เคยประชดเหน็บหน้านิ่ง ๆ ...เดี๋ยวนี้กลับมีบ้างนาน ๆ ที ที่จะหัวเราะบ้าง แม้จะเป็นหัวเราะขำคล้ายจะหัวเราะเยาะกันก็ตามทีเถิด

“ ไอ้...บ้า ”

ทิวาบ่นเบา ๆ ก่อนจะพยายามวิ่งตามอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะคนตัวสูงจงใจก้าวยาว ทิ้งให้เขารั้งท้ายเสียอย่างนั้น

“ พรุ่งนี้เห็นว่าอาจารย์จะให้ตั้งทีมเล่นวอลเล่ย์เล่นแข่งเป็นการสอบเอาคะแนน เย็นนี้สงสัยต้องชวนภูริมาสอนเพราะยังเล่นไม่ค่อยเป็นเลย ”

คนตัวเล็กบ่นเบา ๆ ในขณะที่สนธยาพูดเสียงโทนต่ำเรียบสนิท พร้อม ๆ กับตีสีหน้าหงุดหงิด หน้างอเหมือนจวัก

“ พอเหอะ...ตัวเท่าแมวริจะลงเล่นเดี๋ยวก็พาเพื่อนแพ้กันหมด อดคะแนนกันพอดี นั่งเป็นตัวสำรองไปนั่นแหละดีแล้ว ”

แล้วก็อย่างที่เห็น...วันดีคืนดี ย้ำเรื่องเตี้ยไม่พอ...มีข่มใส่ให้ด้วย แต่ด้วยความที่บรรยากาศไม่น่าอึดอัดเท่าวันก่อน ๆ ทำให้ทิวาพอจะทนเก็บปากเก็บคำต่อไปได้

“ ปากนายมันเสียนะรู้ตัวรึเปล่า ? ”

ทิวาพูดเรียบลอยก่อนจะวิ่งนำหน้าคนตัวสูงที่หอบสมุดจดงานของคนทั้งห้องไปอย่างไม่สนใจ ในขณะที่คนถูกด่ากลับทำหน้าตาบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะโมโหหรือขำดี

// จะด่าทั้งที...แน่จริงอย่าด่าแล้วหนีสิเว้ยไอ้เตี้ย!! //

สำหรับทิวาแล้ว...ถึงอีกฝ่ายจะดูปากเสียขึ้นกว่าเก่า แถมยังหาเรื่องว่ากระทบหลายหนจนเรียกได้ว่าแทบตลอดเวลา แต่อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกระหว่างคนตัวเล็กกับคนตัวใหญ่ดีขึ้นก็คือการที่สนธยาเอ่ยขอโทษในวันนั้น มันทำให้ทิวารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใจร้ายมากมายอย่างที่คิด จนกระทั่งทำให้บรรยากาศอึมครึมจางหายไป

แต่อย่างไร...บางทีสนธยาก็ดูแปลกจนคนตัวเล็กอดระแวงไม่ได้ เพราะถึงเดี๋ยวนี้จะรู้สึกดี ๆ กับนายสนคนนี้บ้าง แต่บางเวลาก็ถูกทำรุนแรงใส่หลายหน จึงมีไม่น้อยที่ทิวาจะรู้สึกระแวงว่าอีกฝ่ายขอโทษจริง ๆ หรือว่ายังเกลียดเขาอยู่กันแน่

“ นิ้วมีอะไรนักหนา ? ถึงได้ยกมือขึ้นมามองจัง ห๊ะ!! ”

นายสนเริ่มอารมณ์เสียแบบแปลก ๆ เมื่อคนข้าง ๆ เอาแต่ยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมามองทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นจะมีอะไรติดอยู่บนนิ้วบนมือสักนิด แต่ส่วนที่ทำให้หงุดหงิดที่สุดเห็นจะเป็นสายตาหวาน ๆ แปลก ๆ ที่ใช้มองมือตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เขาถึงกับบังคับเสียงให้สงบราบเรียบไม่ได้อย่างที่หมายใจไว้

“ เปล่า...แค่คิดถึงคน ”

ทำตาหวาน...ยิ้มเศร้า ๆ ....แล้วบอกว่าคิดถึงคน คิดถึงใคร !! ตาแบบนั้นใครเขาทำกันบ่อย ๆ บ้าง!! ต้องปิดบังอะไรกันนักหนานะ ทั้ง ๆ ที่บอกแล้วว่าตอนนี้เป็นเพื่อนกัน แต่ทำไมยังชอบปิด ๆ บัง ๆ แล้วพอถามว่ามีอะไรก็บอกแต่คำว่า...เปล่า ๆ !!

“ นายไม่สบายเหรอ ? ทำไมวันนี้ดูหงุดหงิดจัง ? ”

ทิวาที่คิดไปอีกทางหนึ่งกลับแตะปลายนิ้วบนหน้าผากของคนตัวสูงกว่าเบา ๆ ทำเอาคนที่กำลังคิดในใจอย่างโมโห เผลอปัดมือเล็ก ๆ อย่างหัวเสีย เพราะรู้สึกแปลก ๆ กับการที่อีกฝ่ายจะมาเอามือแตะหน้าผากของตนเองแบบนั้น

“ นาย... ”

ถามว่าตกใจตัวเองไหม? คำตอบง่าย ๆ คือ...ตกใจมาก!! ไม่รู้ว่าทำไมถึงปัดมือของอีกฝ่ายเสียแรง แถมรู้สึกเหมือนมือของทิวาเหมือนของร้อนจนแทบจะทนสัมผัสไม่ได้จนถึงขนาดนั้น

ทิวาได้แต่กัดริมฝีปากเม้มน้อย ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่จะเก็บสมุดหนังสือ หิ้วไปอีกทางหนึ่งเงียบ ๆ ทำเอาคนตัวสูงถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่ทว่าก็ได้แต่ทำหน้านิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ปั้นหน้างอหงิกต่อไป

// นายผิดเองนะไอ้เตี้ย...งึม นายผิด อยากมาทำแบบนี้ทำไมล่ะ เฮอะ!! ไม่มีซะละ...ไม่มีคำขอโทษครั้งที่สองแน่ ๆ คิดว่าไปนั่งที่อื่นได้ก็ไปเลย!! //

คนตัวสูงคิดอย่างหงุดหงิด ทั้ง ๆ ที่มือไม้อยู่แทบจะไม่สุก ตาก็เหลียวแลหาแต่คนที่เดินจากไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของห้อง จนเมื่อหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายพูดคุยกับเพื่อนที่ไปขอนั่งเรียนด้วยกันแล้ว...ในใจมันก็ทั้งรู้สึกเจ็บทั้งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่นายสนก็ได้แต่ฮึดฮัดไปคนเดียวโดยสมองก็เอาแต่ด่าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

// ไม่น่าเลย ไอ้คนประหลาดแบบนั้น...ไม่น่าไปขอโทษมันเลย!! ไปไหนก็ไปเลย!! ไม่ต้องกลับมานั่งตรงนี้อีกนะ!! //

สนธยาคิดอย่างหงุดหงิด แต่หางตาก็ยังจะเหลียวไปทางเดิมเสมอ ทำเอาทุกหนที่เผลอเหลียวไปหาเขาก็ต้องด่าตัวเองไปซะทุกรอบ หารู้ไม่ว่าคนที่เดินจากไปนั้นก็คิดแทบไม่แตกต่างไปจากเขาเลยสักนิดเดียว

ทิวามองคนที่เหมือนเส้นอารมณ์บกพร่องกำลังฮึดฮัดอยู่กับที่นั่งที่เดิม จนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอากระเป๋ามาวางทับเก้าอี้ของตนที่อยู่ข้าง ๆ นั้น มันเลยทำให้คนตัวเล็กก็ยิ่งรู้สึกว้าเหว่

“ มน...ตรงนี้ไม่มีคนนั่ง งั้นเราขอนั่งตรงนี้ต่อไปได้ไหม? มนจะเบื่อเราไหม? ”

เขาหันไปหาเพื่อนนักเรียนหญิงห้องเดียวกันซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง พิมลซึ่งเป็นเด็กขยัน ถักเปียยาวตึงเปรี๊ยะสองข้างและใส่แว่นกรอบค่อนข้างหนากลับมองเขาก่อนจะหัวเราะ

“ ก็เอาสิ!! ไม่เป็นเป็นไรเลยนี่...ก่อนนี้อาจเคยมีบ้างที่เห็นว่าวาเป็นคนแปลก แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่านายก็นิสัยดีเพียงแต่เงียบเชียบเรียบร้อยเสียเกินไปเท่านั้นเอง จะนั่งด้วยกันเราก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ ”

ทิวาได้แต่ยิ้มบาง ๆ เป็นการขอบคุณ ทั้ง ๆ ที่ในใจรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่าเสียจนน่ากลัว เด็กหนุ่มก้มลงลูบมือลงตรงที่ ๆ แหวนบัวหลวงวงนั้นเคยอยู่ ก่อนที่จะยิ้มกับตัวเองอย่างขื่น ๆ ในใจกลับคิดอยากให้เวลาเรียนหมดลงเร็ว ๆ เพื่อที่จะได้เดินกลับหอ ไปเปิดบันทึกเล่มเดิมแล้วจะได้นอนหลับอย่างมีความสุข

“ บางที...สิ่งที่เห็นก็คงไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นเสมอไปละมั้ง ”

ทิวาพูดกับตัวเองพลางหัวเราะอย่างขื่น ๆ เมื่อรู้สึกว่าคำขอโทษของคนใจร้ายในเย็นวันนั้นอาจไม่ใส่สิ่งที่เจ้าตัวคิดจริง ๆ ก็เป็นได้ อาจจะ...มีแค่เขาคนเดียวที่คิดไปเองว่าได้เพื่อน

เด็กหนุ่มตัดใจก้มหน้าก้มตาลงจดเลคเชอร์อย่างเอาเป็นเอาตายเมื่ออาจารย์เริ่มสอน โดยภาวนาขอให้เวลาเรียนจบลงไวไว เพราะเขาอยากกลับไปนอน...ไปหาใครคนหนึ่งซึ่งมีแต่ความอ่อนโยนให้อยู่ตลอดเวลาคนนั้นจะแย่แล้ว

“ พี่สนครับ...วาน่ะ...ก็แค่อยากมีความสุขเท่านั้นเอง ”

=TBC=


Andreas

  • บุคคลทั่วไป

ผมกำลังสงสัยว่า จำเป็นต้องใช้คำว่า "อัญเชิญ" สำหรับเพลงพระราชนิพนธ์หรือไม่ครับ.... และสมควรที่จะต้องใช้การอ้างอิงที่เป็นทางการมากกว่านี้หรือไม่อีกเช่นกัน....

รบกวนผู้รู้ หรือ คุณผู้แต่งช่วยตอบคำถามด้วยครับ...

Andreas

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
แอบอึดอัดไปกับทิวา  :m23:
คนในฝัน (รึเปล่า) กับ คนในโลกของความจริง  เฮ้อ

เห็นด้วย  ว่าควรใช้คำว่าอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์คะ
เพลงเพราะมากๆ ค่ะ  ขอบคุณคะ  เสียงขิมเพราะดี
 :m1:  :m1:  :m1:  :m1:  :m1:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ขอโทษทุกคนด้วยนะค่ะเรื่องความผิดพลาดเรื่องคำที่ลงเกี่ยวกับเพลง  จริงๆๆต้องใช้คำว่าอัญเชิญ ค่ะ  คนโพสก้อไม่ทันได้อ่านทวนอีกรอบ เอามาลงเลยโดยไม่ได้ดู ขอโทษทุกท่านด้วย นะค่ะ

ราตรีประดับดาว12
โดย:ทิวารา

เสียงฝีเท้าเบาเกือบกริบดังมาวะแว่ว สายลมพัดหวนแผ่วเบาในบรรยากาศเอื่อยเรื่อยราวสายน้ำรินพาให้ดวงใจสงบว่างเปล่าเสียเหลือจะกล่าว เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นในขณะที่ใครคนหนึ่งเปิดประตูเรือนนอนเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ อันอ่อนหวาน

“ วาน้อยของพี่... ”

ชายหนุ่มอ้าแขนกว้างพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะตวัดกอดคนตัวเล็ก...แนบร่างสนิทแน่นด้วยความรักใคร่ ดวงตาสีเข้มทอประกายฉ่ำเย็นระรินราวสายน้ำ ในขณะที่เด็กหนุ่มยกแขนเล็ก ๆ ขึ้นโอบแผ่นหลังกว้างไว้แน่นพร้อมรอยความรู้สึกอันทอดล้า...โรยใจ

เป็น...ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มหาญกล้า หาญกล้า...ที่จะกอดตอบคนตัวสุงไว้ตามที่ใจต้องการ

“ วา... ”

คุณสนธยารู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่ลอยวนในบรรยากาศชวนให้รู้สึกพิศวง รู้สึก...เหมือนคนที่เคยกลัวกลับมีอะไรบางอย่างผลักดันให้ความกลัวที่จะร้องขอหายไป ถึงแม้มันจะไม่มากมาย...แต่มันก็สามารถรู้สึกได้ในความรู้สึกโดยลึกของเขา

“ พี่สน...ถ้าวาไม่มีใครแล้ว วาอยู่ที่นี่กับพี่ได้ไหม? ”

ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงอันสั่นครือ ไม่มี...รอยชอกช้ำในดวงตา แต่ทว่ารอยเศร้ากับเร้าลึกในอกเมื่อได้ยินเสียงใส ๆ นั้น

“ วาน้อย...เจ้าวาน้อยของพี่ ทำไมจึงเอ่ยเช่นนั้นเล่า ? ”

โดยไม่แสดงความเจ็บปวดในสายตา...แต่ทว่ารอยเศร้ายังอวลอยู่ในบรรยากาศ

“ ก็...วาเพียงแต่พูดเล่น ๆ เพราะถ้าไม่มีใครให้ห่วง...วาก็อยากจะอยู่กับพี่สนไปตลอดแบบนี้แหละ ”

ทุกวันนี้ทิวาห่วงแค่คุณยายที่มีบุญคุณเพียง 2 คนเท่านั้น หากสิ้นท่านแล้ว...เด็กหนุ่มก็นึกไม่ออกว่าจะอยู่อย่างขื่นขมไปทำไมคนเดียวถ้าหากโลกแห่งความตื่นยังไม่น่ารื่นใจเท่าในยามหลับ

คุณสนธยาจูงทิวาน้อยไปยังเตียงนอนหลังเดิมพร้อมกับพาเด็กหนุ่มนั่งลง...แล้วจึงกอดไว้คล้ายจะประโลม แม้จะไม่รู้ว่าเกิดเหตุร้ายแรงอันใดขึ้นกับคนตัวเล็กเลยก็ตามที

“ เจ้าคิดว่าพี่เป็นอะไรเล่า...บอกพี่ได้ไหม? ”

ชายหนุ่มเอ่ยถามแผ่วเบาทั้ง ๆ ที่ยังกอดทิวาน้อยไว้ พร้อมกับใช้นิ้วมือลูบเส้นผมนุ่มหอมไปมา

“ วาไม่รู้...ว่าพี่เป็นวิญญาณ เป็นเพียงภาพฝันของวาเพียงคนเดียว หรือว่า...อะไร วารู้...รู้แต่ว่าวารักพี่สน อยากอยู่ด้วยไปนาน ๆ ”

ในคำพูดมีรอยสะท้านคล้ายแฝงความรู้สึกไม่มั่นใจเอาไว้มิใช่เบา แต่ทว่า...คำที่หวานกว่าคือคำท้ายที่เอ่ยมา เอ่ยว่ารัก...เอ่ยว่าอยากอยู่ด้วยกันไปให้นาน ๆ นั่นทำให้คุณสนธยาระบายรอยยิ้มพร้อม ๆ กับความอิ่มเอมในหัวใจอย่างหาใดเปรียบ

“ พี่มิได้เป็นวิญญาณหรอกเจ้า...เด็กเอ๋ย มีชีวิตอยู่เช่นดังที่เจ้าเป็น มีญาติ...มีเรือนแลหน้าที่ที่ต้องรับผิดรับชอบมากมาย ”

ชายหนุ่มเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่จะใช้มือหนาประคองใบหน้าเล็ก ๆ ให้เงยขึ้นมาสบดวงตาคมคู่เดิมของเขา เพียงแต่ดวงตาคู่ที่เคยฉ่ำเย็นนั้นกลับมิได้รื่นเย็นดังเช่นที่เคย แต่กลับมีความหวาน...ความร้อนรนและความรู้สึกบางอย่างแฝงลึกไว้ในรอยละมุนของสายตา

“ ที่เจ้าเอ่ยว่ารักพี่นั้น...เจ้ารักเช่นไร ? รัก...เพราะพี่เป็นพี่ชาย หรือเจ้ารัก...ด้วยนัยอื่นเล่า ? ”

ใบหน้าคมค่อย ๆ เรื่อสีจาง ๆ พร้อม ๆ กับที่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงหัวใจที่โลดแรงในอกกว้าง และพร้อม ๆ กับสัมผัสของนิ้วมือที่ขยับไล้นุ่มนวลนั้นเอง...ใบหน้าของคุณสนก็ค่อย ๆ ลดลงมาจนประชิด พาให้ใบหน้าของคนตัวเล็กตากลมเริ่มระบายสีเรื่ออ่อน ๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดใดให้ชัดเจนมากไปกว่านั้น

“ ว่าอย่างไรเล่า...เจ้าบัวน้อยยของพี่ เจ้าร...รับพี่ไว้ในดวงใจเจ้า...ด้วยความหมายใดเล่า ? บอกพี่หน่อยได้ไหม? ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มมิได้มีรอยเร่งเร้า...แลคาดคั้นใดใด เพียงแต่แฝง...ความรู้สึกคล้ายไฟเย็นที่ค่อย ๆ แผดเผาเอาไว้โดยลึกของกระแสเสียงนั้น

ไม่เคยเลย...ทิวาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองรักคุณสนธยาด้วยนัยไหน ไม่เคย...ไตร่ตรองความรู้สึกของตนเองเลยมาจนกระทั่งวันนี้ คำพูดที่แสดงออกถึงความรักอันอ่อนหวานทำให้หัวใจของคนตัวบางรู้สึกอ่อนไหวพิกลนัก

รู้ใจแต่เพียงว่าตนเองมิได้เดียดฉันท์ในคำพูดนั้นแม้แต่น้อย แต่กลับกัน...กลับรู้สึกวูบวับแบบแปลก ๆ รู้สึก...เหมือนสาวที่ถูกเกี้ยวแล้วเอียงอายกระนั้นเอง

จะคิดอย่างไร...จะคิดแบบไหน ก็รุ้สึกเหมือนหาเหตุผลออกนอกความรู้สึกรักไม่ได้ ออกนอก...ความรักแบบคนรักไม่ได้!!

“ พี่สน...คือ...คือวา ”

ชายหนุ่มยิ้มหวานคล้ายจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะทวนคำอย่างใจเย็น

“ หื้อ ? เจ้าว่ากระไรนะ ? ”

ทิวาที่เหมือนถูกความเขินอายไล่ต้อนจนทำอันใดไม่ใคร่ถูก...ชักจะเริ่มจนปัญญาจะเอ่ยความใดออกไป เพราะเวลานี้คนตัวเล็กกลับรู้สึกราวกับริมฝีปากสั่นน้อย ๆ นั้นจะซ่านชา ขยับพูดไม่ได้ดั่งใจนึก

มัวแต่ขยับอ้ำอึ้งราวกับน้ำจะท่วมปากและมัวแต่คิดแต่จะหาคำพูด...กว่าจะรู้สึกตัว คนตัวเล็กก็ถูกเอนร่างลงกับเตียงไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ถูกเอนร่างลงอย่างช้า ๆ ทั้ง ๆ ที่มีดวงตาคม ๆ จ้องในระยะกระชั้นชิดตลอดเวลา...ดวงตาที่ราวกับจะหลอมให้หลงไหลมัวเมากระนั้น

“ พี่สน...ทะ...ทำไมถามเช่นนั้นเล่า ? ”

“ ก็ถ้าเจ้าไม่เอ่ยว่ารัก พี่คงไม่นึกอยากถามเจ้า เพราะที่ผ่านมาพี่ไม่เคยรู้สึกมั่นใจเลย...ว่าความรู้สึกของเราจะมาต้องกันได้ ”

เขาแฉลยพลางยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่ใบหน้าของทิวาเริ่มซับสีเรื่อมากขึ้นเมื่อรู้ว่าคำพูดของตน...พาจนเข้าให้เสียแล้ว

“ บอกพี่ได้ไหมเล่า...พี่จะได้เข้าใจ รักหรือไม่...อยู่ที่ใจเจ้าเท่านั้น นึกอย่างไรก็เอ่ยมาเถิด ”

ชายหนุ่มเกลี่ยนิ้วกับแก้มใส ก่อนที่จะแตะริมฝีปากคมลงบาง ๆ บนปลายจมูกเล็ก ๆ ก่อนจะยิ้มให้คนตัวเล็กที่ยิ่งตกใจนั้นด้วยแววตาราวกับจะยั่วเย้าแต่กลับเต็มไปด้วยร่องรอยอ่อนหวานจนเต็มล้นในห้วงความรู้สึก...เหมือนเป็นการเร่งเร้าจะเอาคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดอีก

ทิวาที่ตกประหม่าจึงเริ่มพูดด้วยความรู้สึกคล้ายไม่ใครปะติดปะต่อมองน่าเอ็นดูนักในสายตาของเขา...พูด ถึงแม้ว่าจะเขินอาสักเพียงไหน

“ รัก...แบบอยากอยู่ใกล้ ๆ อยู่ด้วยกันไปตลอด...เวลาที่ เอ่อ...รู้สึกเศร้าก็นึกถึงพี่ อยาก...อยู่ด้วยกัน ”

เมื่อจนปัญญาจะบรรยายต่อ คนตัวเล็กก็อึกอัก พูดอะไรไม่ออกอีกเลย ในสมองขาวโล่งไม่มีเหลือหรอ...ไม่มีคำพูดสวยหรูอ่อนหวานที่ออดอ้อนเหมือนนางไหนทั้งนั้น มีแต่...ใบหน้าที่แดงเรื่อเท่านั้นที่ยืนยันให้คุณสนธยารู้สึกแจ่มชัด

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ พร้อมรอยเสียงทุ้มนุ่มระรินเย็นเรื่อย เอ่ยเพียงแผ่วเบาในขณะที่ริมฝีปากคมนั้นอยู่ไม่ห่างจากแก้มนุ่มนิ่มนั้น

“ น่ารัก...น่าถนอมเหลือเกินนะเจ้า วาน้อยของพี่เอย...พี่รักเจ้านักจนไม่รู้จะเอ่ยกระไรได้มากไปกว่านี้อีกแล้วละเจ้า ”





ราตรีประดับดาว13
โดย:ทิวารา

ทิวาวางหูโทรศัพท์ลงก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ ก่อนจะเดินออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะด้วยท่าทางหงอย ๆ จนภูริที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ รู้สึกผิดสังเกต

“ เป็นอะไรไปละวา? ทำไมทำหน้าแบบนั้น...มีอะไรรึเปล่า ? ”

ดวงตากลมใต้กรอบแว่นพยายามกลั้นน้ำตา ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ โดยไม่เอ่ยอันใด ก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินนำตรงกลับไปยังหอพักพร้อมกับข้าวถุงในมือ

ทิวานึกถึง...เสียงเหนื่อยล้าของคุณยายใหญ่ น้ำเสียงที่ใจดีเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเด็ก...ใจดีอย่างไรก็ใจดีอย่างนั้นมาตลอดจนทุกวันนี้ แล้วก็นึกถึงถ้อยคำ...คำขอร้องของคุณยาย

“ ลูกวา...ยายจะรอหนูนะลูก สอบเสร็จแล้วหนูกลับมาหายายนะลูกนะ ”

// แม่คุณครับ...ทำไมพูดเหมือนกับว่าจะไปเสียแล้วละครับ โธ่เอ๋ย...แม่คุณของผม ผมจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี //

ยิ่งทิวาคิดเท่าไร...น้ำตาก็ยิ่งพาลจะไหล จนภูริที่แอบมองอยู่ยังรู้สึกสงสารแทน สงสารจนไม่รู้จะทำยังไงให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ ได้แต่มองคนที่เดินข้าง ๆ เดินน้ำตาเอ่อคลอไปจนถึงหอพัก สภาพน่าสงสาร...จนน้ำตาทำท่าจะหยดจากดวงตากลม ๆ อยู่มะรอมมะร่อ

“ ภูริ...เราขอกินแค่ข้าวต้มปลาแล้วกัน ที่เหลือเราให้ ”

ทิวาส่งกับข้าวถุงที่ซื้อมาให้ภูริไปจนหมด ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ...ทำเอาภูริรู้สึกเป็นห่วง เพราะช่วงหลาย ๆ วันมานี้ทิวาดูเหมือนคนอดนอนมากมาย ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ปฏิเสธอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ได้อดนอน อีกทั้ง...ข้าวปลาที่เคยหุงหากินกันอย่างสนุกสนานก็กลายเป็นการซื้อปลากระป๋องบ้าง เมนูสิ้นคิดอย่างข้าวผัดบ้าง ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วทิวาเป็นคนที่มีรสมือดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ และเป็นคนชอบทำกับข้าวเสียด้วย

นาน...เป็นสัปดาห์แล้วที่ทิวากินแต่กับข้าวบ้าง อาหารกระป๋องบ้างโดยไม่ลงมือทำอาหารเองอย่างที่เคย

ในห้องนอนเงียบเหงา...เด็กหนุ่มทรุดลงนั่งจ้องถุงข้าวต้มปลาเงียบ ๆ โดยไม่ยอมลุกไปเปิดไฟ พยายามกลั้นน้ำตาเท่าไรก็ยังไหลออกมาจนมองอะไรไม่เป็นสิ่งเป็นอัน ไม่มี...เสียงสะอื้นไห้ ไม่มี...อาการร่ำร้องแลโวยวายใดใด แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยร่องรอยคล้ายถูกทำร้ายให้เจ็บปวดอย่างทารุณ

“ จะทำยังไงดี...แม่คุณของผม ผมจะทำยังไงดี ? ”

..............................................................................

ภูริเดินเข้าห้องของตัวเองด้วยท่าทางหนักอกหนักใจ ในขณะที่แขกผู้มาเยือนกลับนั่งพิงเสาเตียงรออยู่เงียบ ๆ ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากอาการจ้องแก้วน้ำในมือแล้วค่อยเอ่ยถามขึ้น

“ วา...เอ่อ เจ้าแว่นวาเป็นไงมั่ง ? ”

“ ไม่ดีเลยว่ะ...เห็นว่าโทรไปที่บ้าน ออกมาจากตู้โทรศัพท์แล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ น้ำตาจะไหลอยู่แล้วนะนั่น กูมองวาแล้วอยากกอดมันแล้วโอ๋สักทีเหมือนกันว่ะ มองแล้วสงสารเป็นบ้าเลย...แต่ไม่กล้าทำแบบนั้น กลัวมันจะว่าเอา ”

ข่าวที่ได้ฟังทำเอาสนธยาหน้าเสียไปไม่น้อย เพราะเขามองคนตัวเล็กดื้อเงียบอยู่ห่าง ๆ นานหลายวันแล้ว อยาก...จะเดินเข้าไปคุยด้วยไม่น้อย แล้วก็รู้สึกเหมือนพึ่งรู้ตัวว่าไม่ควรทำอะไรงี่เง่าใส่อีกฝ่ายไปแบบนั้น เพราะ...พอไม่มีคนนั่งข้าง ๆ พร้อมกับเสียงเล็ก ๆ คอยด่านิดกัดหน่อยพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เหมือนเคยแล้วนั้นมันก็ทำเอาอดรู้สึกเหงา ๆ ไม่ได้

“ แกน่ะ!!...เมื่อไหร่จะดีกับวาสักที เห็นมันซึม ๆ มาหลายวันแล้วนะเว้ย แล้วพอเป็นแบบนี้กูเลยรู้สึกอยากกระทืบมึงจังเลยว่ะสน ”

“ อย่ามาโบ้ยสิวะ!! ก็กำลังจะไปขอโทษอยู่แล้วละ แต่...ยังหาโอกาสเหมาะ ๆ ไม่ได้เลย ”

พอถูกคาดโทษ...สนธยาก็เผลอโวยเข้าให้เหมือนกัน แต่ก็เหมือนโวยวายเพราะหงุดหงิดตัวเองมากกว่า เพราะพอได้จังหวะเหมาะ ๆ ว่าจะอ้าปากพูด...เสียงก็ไม่ผ่านออกจากลำคอมันซะทุกทีไป สุดท้ายก็ได้แต่ยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ....แล้วจบลงด้วยการประชดแก้เขินจนอีกฝ่ายยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“ นี่...ได้ยินเสียงอะไรไหม? ”

สนธยาถามพลางพยายามเงี่ยหูฟังให้ชัด เพราะเหมือนได้ยินเพลงอะไรดังมาแว่ว ๆ

“ เออ...ได้ยินจริง ๆ ว่ะ ”

ภูริเองก็พยายามฟังให้ชัด แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็ค่อย ๆ เงียบหายไป

“ เพลงอะไรนะ...คุ้น ๆ ได้ยินแว่ว ๆ ว่าร้องแบบเนี้ย.... ”

ภูริร้องท่อนที่ได้ยินออกมาคร่าว ๆ แล้วสนธยาเองก็เห็นด้วย
// โอ้อกคิดถึง คิดถึง คนึง
นอนวัน นอนไห้
ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า//

“ เพลง...ลาวคำหอมรึเปล่า ? ทำไม...มันคุ้น ๆ ใจยังไงพิกลนะ ”

ไม่ใช่เพียงเพลง...เสียงที่ร้องก็คุ้นใจยังไงประหลาด คุ้น ๆ เหมือน...เหมือน...เหมือน

“ เสียงเจ้าแว่น...วา นี่!! ”

.................................................................................


เสียงหายใจสม่ำเสมอนั้นดังเป็นจังหวะแผ่วเบาหลังจากที่คนตัวเล็กร้องเพลงจนหลับไป ที่ร้องเพลงเพราะเหงา...เพราะเจ็บปวด อยากจะรีบหลับและฝันโดยไว เพราะว่า...ใครคนหนึ่งยังยืนรออยู่ที่นั่น ในบ้านเรือนไทย...ในห้องนอนห้องเดิม

“ พี่สนจ๋า... ”

รอยยิ้มแลกระแสอุ่นที่รอคอยอยู่นั้นทำให้ทิวาน้อยน้ำตาไหลพลางซบหน้านิ่งนาน...ทำเอาคุณสนรีบลูบหน้าลูบหลังด้วยความตกอกตกใจเหลือจะกล่าว

“ เป็นอะไรไปละเจ้า ? วาน้อยของพี่ ”

“ แม่คุณของผม...คุณยายน่ะครับ ผมจะทำยังไงดี... ”

ทิวาเล่าไปร้องไห้ไป...ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยร้องไห้โยเย เนื่องจากตั้งแต่เด็กทิวาต้องอยู่คนเดียวบ้าง อยู่กับคุณยายบ้าง ทำให้เป็นเด็กใจเย็นและสงบเสงี่ยมจนไม่ค่อยโวยวาย แม้แต่จะร้องไห้...ยังไม่เคยร้องไห้ได้ขนาดนี้เลย

เด็กหนุ่มสูดน้ำมูกไปพลางเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงครือคราง ในขณะที่คุณสนพยายามลูบหน้าลูบหลังและปลอบโยนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งประโยคที่ทิวาน้อยพูดออกมานั้นกลับไปสะดุดใจคุณสนเข้า

“ ผมบอกว่าให้คุณลุงย้ายแม่คุณของผมไปโรงพยาบาล แต่ดูเหมือนคุณยายท่านจะไม่ยอม ผมกลัว...เพราะโรงพยาบาลก็อยู่ไม่ใช่ใกล้ ๆ เดินทางก็ลำบากเพราะบ้านเราอยู่ในทุ่งของกาญจนบุรี ไม่ใช่ในเมืองที่ถนนมันดี ๆ เสียด้วย...ฮือ ”

“ อยู่กาญจนบุรีหรือเจ้า ? ”

คุณสนถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะซักต่อเพราะอยากรู้ความให้ละเอียดยิ่ง ๆ ไปกว่านี้

“ แม่คุณของเจ้าชื่อแซ่ใดเล่า ? ทางหลวงเขาไม่ดูแลหรือกระไร ? พี่นึกว่าเจ้าเป็นครอบครัวที่เป็นคนของหลวงเสียอีก เพราะเห็นเจ้าสุภาพเรียบร้อยแลใช้ภาษาต่างจากบ่าวไพร่นัก ”

“ คุณยายใหญ่ชื่อเนียมจ้ะพี่สน สกุลผมนามสกุล นิลุรัตนาการ จริง ๆ บ้านเราก็ปลูกเรือนอยู่กันตรงนั้นมานานแล้วละครับ...เห็นคุณยายท่านเคยบอกอย่างนั้น แต่ตอนนี้ต่างจากสมัยก่อนที่ไม่มีใครรับราชการอีกแล้วจ้ะ นอกจากมีหลานของคุณยายใหญ่คนเดียวที่เป็นครูอยู่โรงเรียนแถวนั้น ”

คุณสนมองใบหน้าทิวาน้อยด้วยอาการนิ่งอึ้ง ดวงตาคมที่เคยเยือกเย็นเหมือนล่องลอยไปไกล คนตัวสูงยกมือที่สั่นสะท้านขึ้นไล้ใบหน้ากลม ๆ นั้นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อสิ่งที่หูได้ยิน ไม่อยาก...เชื่อถือความเป็นจริงใดใดที่รับรู้ในวินาทีนี้เลย

ความเจ็บปวดแล่นริ้วในหัวใจของร่างสูง ราวกับจะกรีดจะแทงให้สิ้นใจไปในวินาทีนั้น ความขื่นขม...ความเจ็บปวดพาให้ดวงตาคู่คมทอประกายสั่นไหวหนักหน่วงจนทิวาเองก็รู้สึกได้ในทันที

“ ทำไมหนอ...ทุกอย่างจึงเป็นดังนี้ได้ ”

คุณสนธยาก้มลงแตะหน้าผากกับคนตัวเล็ก...ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจากดวงตาคู่คมที่เคยฉ่ำเย็นนั้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยสั่นไหว ก่อนจะปล่อยน้ำตารินไหลราวกับจะบอกว่าวินาทีนั้นหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งกำลังแหลกสลายลงจนไม่เหลือดี

นิ้วมือหนาและสั่นไหวแตะแผ่วเบาลงกับเนื้อแก้มนวลนิ่ม ดวงตาคู่คมนั้นปล่อยน้ำตาไหลบาง ๆ อย่างสุดจะเก็บกลั้น ก่อนที่เสียงทุ้มที่แตกพร่าด้วยรอยขื่นขมจะเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยรอยเสียงทอดกระแสเจ็บปวดยิ่ง

“ พี่...พี่สนเป็นอะไรครับ เจ็บตรงไหนเหรอ ? ร้องไห้ทำไมครับ ? ”

คุณสนธยานั้น...แม้รู้ แต่วินาทีนี้กลับรู้สึกอยากกระทำในสิ่งที่ฝันไว้ ดังนั้นคนตัวสูงจึงค่อย ๆ เกลี่ยปลายจมูกโด่งดุนแก้มนิ่ม ๆ ของทิวาน้อยในอ้อมแขน ก่อนที่จะค่อย ๆ ประทับริมฝีปากที่แสนอุ่นและสั่นสะท้านลงกับริมฝีปากของเด็กน้อยที่เขาแสนจะรัก

ที่ทำไป...ก็เพื่อลา

// พี่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของพี่...เธอเองก็มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของเธอ แต่ที่เราได้มีวาสนามาพบกันนั้น เราต่างก็ได้มาพบกันในโลกของความฝันในขณะที่เราเลือกที่จะหลับใหล หากเราจะอยู่คู่กัน...ก็ต้องทิ้งทุกอย่าง ต้องหลับไปทั้งอย่างนี้ตลอดจนสิ้นอายุไข ในตอนแรกพี่คิดว่าพี่ยอมทิ้งทุกสิ่งได้ทั้งหมดเพื่อเธอ แต่ว่า...ในตอนนี้คงทำไม่ได้อีกแล้ว //

“ วาน้อยของพี่เอย...เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว ”

// ทำไม ? ...พี่สนถึงได้พูดแบบนี้เล่า ? //

“ พี่สน....พี่สน ทำไมละครับ ? ”

“ ถ้าเป็นไปได้...ถ้าเลือกให้เลือดในกายแปรไปได้ละก็พี่จะไม่ลังเลเลย แต่ทว่า...มันคงไม่ได้ ”

คุณสนธยาลูบแก้มใสที่แสนรัก ก่อนที่จะยิ้มให้เด็กหนุ่มบาง ๆ เหมือนกับในวันวาน

“ พี่นี้ต้องลาแล้ว...เจ้าแก้วใจของพี่เอย ”

คุณสนบอกลาคนตัวเล็กที่แสนรัก...คนรักที่อ่อนโยนเหมือนบัวน้อย ในขณะที่ทิวาน้อยตกใจจนพูดอะไรไม่ออก แสงสุดท้ายที่ได้เห็น...คือรอยยิ้มอันอ่อนโยนเป็นครั้งสุดท้ายของคุณสนธยา

ก่อนที่...จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า!!

ทิวาลุกพรวดขึ้นจากเตียงพร้อมกับดวงตากลมเต็มไปด้วยรอยน้ำตาที่รินไหล ทั้งเจ็บปวดแลตื่นตระหนกยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่คนตัวเล็กยังอ่านบันทึกไม่จบ...ใยพี่สนจึงจากไปเล่า ?

แม้จะเหลือแค่ไม่กี่หน้าที่ทิวารั้งรอไว้...ไม่ยอมอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย แต่...ทำไมพี่สนจึงลาไปเช่นนี้

เด็กหนุ่มเปิดบันทึกและอ่านหน้าสุดท้ายทั้งน้ำตา...หน้าสุดท้ายที่ไม่เคยคิดเปิดอ่านเพราะว่ากลัวจะเสียพี่สนที่รักยิ่งไป วินาทีนี้เด็กหนุ่มค่อย ๆ เปิดมัน...และพบเพียงข้อความเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ข้อความสั้น ๆ ที่เขียนด้วยตัวหนังสือตวัดงาม...เหมือนลายมือในหน้าแรกที่ระบุว่า “ อ่านได้...แต่อย่าหลงรักเงาของดวงจันทร์ ”

ข้อความ...ที่เพียงแค่อ่านเด็กหนุ่มก็รู้ในทันทีว่าคนที่เขียนนั้นคือใคร เพราะภาพถ่ายใต้ข้อความนั้นบ่งบอกชัด

// ข้อความนี้...พี่ทิ้งไว้ให้เจ้า บัวหลวงวงเดิมรออยู่...กลับไปเรือนเราเถิดหนาเจ้าทิวาน้อยของพี่เอย //

ข้อความเดียว...ที่ทำให้ทิวาต้องร้องไห้เสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวจนเข้าใจครบถ้วน จนรู้...ว่าพี่สนของเขาที่เคยสงสัยนั้นเป็นใครกันแน่ แต่ทว่า...วินาทีนี้ทิวาอยากให้เวลาย้อนกลับไปและไม่อยากรับรู้ความจริงใดใดอีกเลย

“ พี่สน...ที่บอกว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะถ้า...พี่ไม่อยู่ในโลกของพี่ ตัวผม...คงไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ใช่ไหม? พี่สน...ที่แท้พี่คือคุณทวดของผมเองหรอกหรือ ? ”

ในภาพ...คุณสนที่อายุราว 40 ปี เศษ รายล้อมด้วยลูกหลาน โดยที่คุณสนธยาอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นหลานไว้ในอ้อมแขน และแม้ว่าเด็กหญิงผู้นั้นจะยังเล็ก แต่ตำหนิตรงแขนขวาของเด็กหญิงนั้นทิวาจำได้เป็นอย่างดี

เด็กหญิง...คงเป็นใครไปมิได้นอกจาก “คุณยายใหญ่”

เด็กหนุ่มกอด...กอดบันทึกน้ำตาไหลพราก เหมือนหัวใจหายไปไกลลิบตา เหมือน...ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงความฝันอันแสนไกลจนแทบเรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่...จะให้ลืมคงไม่ได้!!

// อ่อนหวานเท่าพี่คงหาไหนมิได้อีกแล้ว...พี่สนของวา //

ราวเสียงหนึ่งซึ่งอ่อนหวานนั้นลอยลมมา บอกช้า ๆ ด้วยรอยทอดนุ่มอ่อนหวานเหมือนวารวันที่ฝันถึง

“ หลวงวงเดิมรออยู่...กลับไปเรือนเราเถิดหนาเจ้าทิวาน้อยของพี่เอย ”

=TBC=

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว14
โดย:ทิวารา

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย //


ทิวาฟังเพลงไปเรื่อย ๆ โดยหัวใจก็กระหวัดคิดถึงใครคนหนึ่งซึ่งสุดเอื้อมเสียแล้วในครานี้...น้ำตาที่ไหลทั้งคืน เสียงตะโกนร้องไห้ที่ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ภาษาใดใด กลับหลุดรอดออกจากปากสลับกับเพลง ๆ นี้

ภูริกับสนธยา...ปัจจุบันต้องผลัดกันมานอนเป็นเพื่อน ในห้องของคนตัวเล็ก

นายสนธยา...คนที่เคยใจร้าย กลับร้ายไม่ออกอีกแล้วเมื่อมองสภาพของคนไม่ไปโรงเรียน 1 วันเต็มเพราะพิษไข้ ซึ่งเกิดจากการร้องไห้และความเครียดรุมเร้า และทุกครั้งที่ทิวาโก่งตัวอาเจียนพร้อมอาการปวดหัวเพียงข้างเดียวนั้นคนตัวสูงแทบจะทนมองไม่ได้เลย

// ต้องผลัด...มาดูมัน...มาดูเจ้าแว่นวา //

สนธยาพูดเพียงเท่านั้นเมื่อปรึกษากับภูริ และอีกฝ่ายก็เห็นด้วย...ต่างคนต่างรู้สึกว่าปล่อยให้ทิวาอยู่คนเดียวไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่

// ทำไม ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นหนอ...ทำไมนายเหมือนจะตายลงไปวินาทีไหนก็ได้แบบนี้ล่ะ !? //

ข้าวไม่ค่อยทาน น้ำก็ทานน้อย...น้อยกว่าน้อย ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร

ดวงตาแล...เหม่อลอยไปไกลตลอดวันตลอดคืน เวลาเรียนก็เอาแต่มองไปไกล ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น...และบางทีก็ถึงกับร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นโดยไม่มีเสียงสะอื้นไห้คร่ำครวญใดใด ไม่มี...แม้สีหน้าเหมือนคนร้องไห้ รู้แต่ว่าน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นราวกับหยดน้ำไหลจากดวงตาของรูปปั้นเนื้อขาวนวล

สนธยาเลิกทำสงครามกับคนตัวเล็กไปนานหลายวันแล้ว...นับตั้งแต่วันที่ไปค้างที่ห้องภูริแล้วปรากฏว่าเช้าวันถัดมาคนตัวเล็กกลับไม่ได้ไปโรงเรียน พอกลับมาที่หอในตอนเย็นถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่สบาย และในความป่วยไข้นั้นเขากลับสำนึกรู้ได้ถึงสาเหตุซึ่งเกิดจากความเสียใจอย่างรุนแรง...แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่เคยเอ่ยถามถึงสาเหตุนั้น

“ชมแต่ดวงเดือน ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา ”

เพลง...ที่ได้ยินคนตัวเล็กร้องเบา ๆ กลับดังวนไปวนมา เหมือนกับเพลงนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สำหรับสนธยา...ทิฐิใดใดนั้น ในตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว จะมีก็แต่ความห่วง...กังวลถึงจนทำอะไรไม่ถูก จนต้องอ้างกับที่บ้าน ต้องแอบอ้อนคุณแม่...มาค้างที่หอ มาอยู่กับคน ๆ นี้

อย่างไรก็เป็นห่วง...ถึงจะเคยลองกลับไปนอนที่บ้าน แล้วให้ภูริมานอนเฝ้าคนตัวเล็กนี้แทน แต่สุดท้ายเขากลับต้องลืมตาโพลงอยู่ที่บ้านโดยไม่อาจข่มตาหลับลงได้เลย เพราะอย่างนั้น...เขาถึงต้องมา

“ วา...กินข้าวต้มหน่อยนะ ”

สรรพนาม...ไม่รู้เปลี่ยนไปตอนไหน จากเจ้าแว่น กลายเป็นการเรียกชื่อด้วยรอยเสียงอ่อนหวาน ไม่ได้ฝืดฝืนใดใด แต่เต็มใจทำให้ เต็มใจอ่อนหวาน...หาสาเหตุไม่ได้ ไม่มีแม้แต่เหตุผลใดใดยามที่ภูริแกล้งกระเซ้าถาม

ทิวาค่อย ๆ ตักข้าวต้มเข้าปาก ในขณะที่สนธยาทำหน้าย่น รั้งแขนของคนตัวบางไว้ก่อนจะเอ่ยดุน้อย ๆ

“ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะ...ข้าวต้มมันร้อนไม่ใช่เหรอ ? ทำไมตักแบบนั้น แล้วยังกินแบบนั้น....แบบนั้นก็ลวกปากลวกคอแสบกันพอดีสิ! ”

ดุพลางยกชามข้าวต้มจากมือคนตัวเล็ก ก่อนจะค่อย ๆ ตัก...แล้วเป่าเบา ๆ พลางจรดริมฝีปากแตะเม็ดข้าวเบา ๆ เพียงฉาบฉวยจนแน่ใจว่าอุ่นกำลังดี คนตัวสูงจึงยื่นช้อนที่ตักข้าวต้มมาทางคนตัวเล็กอีกครั้งหนึ่ง

“ ไม่ต้องป้อนก็ได้... ”

“ เอาน่า...ป้อนได้ ไม่ลำบากยากเย็นนักหรอก ”

เหมือนเด็กอ่อน ๆ ...ให้ทำก็ทำ มีบ้างที่แย้ง แต่สุดท้ายก็ยอมตาม...

ทิวามองคนตรงหน้าด้วยแววตาท่าทางเรียบสนิท ในสมองพยายามคิดหาเหตุผลมากมายเพื่อตอบคำถาม...ว่าทำไมนายสนคนใจร้ายถึงได้หายไป เหลือแค่คนตรงหน้าที่ดูแลตนเองอย่างดีทุกอย่างโดยไม่เคยบ่นว่ารุนแรง

“ ขนมไหม ? มีลูกชุบ พอดีวันนี้คุณแม่ซื้อมา...ตอนไปเจอก็เลยขอแบ่งมาจากที่บ้านน่ะ ”

ไม่ตอบ...แต่สนธยาก็รู้ว่าอีกฝ่ายชอบ

ภูริแหละ...เล่าหลายอย่าง ทั้งของชอบ ของที่เกลียด ของที่กินไม่ได้...ไอ้เขาเองก็เงียบ แต่ก็ดันฟังแล้วจำได้มันเสียทุกอย่างไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ จนเดี๋ยวนี้พอเห็นของกินอะไรก็ตามแต่ สมองก็จะประมวลผลไปก่อนเลยว่าของนี้ทิวากินได้ และของนี้ทิวากินไม่ได้ ...ไอ้ที่ว่ามันเป็นของที่ตัวเขาเกลียดรึเปล่านี้ค่อยมาคิดกันทีหลัง

ไม่ต้องแค่น ไม่ต้องบังคับ...แต่ก็กินยาก กินน้อยราวแมวดม จนตัวผอมลงเล็กน้อยคล้ายคนตรอมใจกับอะไรสักอย่างแต่เขาก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการสรรหาของกิน และทำให้อีกฝ่ายยอมกิน รวมทั้งหาวิธีทำให้กินได้มาก ๆ อีกด้วย

“ พรุ่งนี้...กินชะอมกันเนาะ เราให้คนที่บ้านทำเผื่อแล้ว เอาปลาทูซักตัวด้วยดีไหม? แล้วก็...ผักต้ม เออ...วาไม่ชอบแตงกวาใช่ไหม? ”

แปลก...ทิวากินของชาวบ้าน ๆ ทั้ง ๆ ที่เด็กสมัยนี้ไม่ได้ติดใจกับอาหารประมาณนี้กันเลย แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่กิน อย่างแตงกวา...ดูเหมือนจะเกลียดเอามาก ๆ แล้วก็ถั่วงอกสด ๆ ที่เจ้าตัวบอกว่ากินสด ๆ แล้วเหม็นเขียวในปาก แต่ของที่ชอบมาก...กลับกลายเป็นชะอมที่คนบ่นว่ามันเหม็นเขียวซะกว่าถั่วงอกนี่สิ!! นี่ยังไม่รวม...มะระอีกนะที่เจ้าตัวดูจะโปรดปรานเหลือเกิน

สนธยายิ้มน้อย ๆ ในแววตา...ทันทีที่สังเกตเห็นว่าเมื่อพูดถึงอาหารที่ชอบ คนตัวเล็กก็ค่อยยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างดีใจ





ราตรีประดับดาว15
โดย:ทิวารา

ไม่อร่อย...ไม่อร่อย ทำไม...มันกลายเป็นของไม่อร่อยไปได้ขนาดนี้นะ ?

แค่คิดได้เพียงนั้น...คนตัวเล็กก็โก่งตัวอาเจียน จนคนนั่งอยู่ตรงข้ามแทบจะผวาเข้าหา คนตัวสูงลนลานจนได้แต่ลูบหน้าลูบหลังให้คนตัวเล็กกว่า พลางใช้มือหนาควานหากระดาษทิชชู่รอบทิศ

ค่อก!!...ค่อก!!...

สำลัก...แล้วขย้อนออกมาจนหมดไส้หมดท้อง สุดท้ายคนตัวเล็กก็อาเจียนจนหมดแรง ซบหน้าลงกับไหล่ของสนธยาเหมือนคนไม่มีแรงจะนั่งด้วยตัวเอง เหมือน...กระดูกในตัวหายไปหมด

“ วา...วา เป็นอะไรรึเปล่า ? คลื่นไส้เหรอ ? ”

แม้จะไม่มีเรี่ยวแรง เหนื่อยหอบจนตัวโยน หายใจหายคอไม่ค่อยออก เจ็บในปอดใจแทบขาด...แต่คนตัวเล็กก็พยายามจะตอบ

“ ไม่รู้...มัน มันไม่รู้ พอกินแล้ว...ลิ้นมันไม่รับรส รู้แต่ว่ามันมีน้ำมัน...แล้วพอลงกระเพาะ ก็โดนบีบขย้อนออกมาหมดเลย ”

เคยกินได้...อร่อย เคยโปรดนัก แต่ตอนนี้กลับกินเข้าไปไม่ได้ ทำเอาทิวาสับสนตัวเองเป็นที่ยิ่ง รู้สึกแย่จนทำอะไรไม่ถูกแล้วเมื่อเห็นว่าสนธยาต้องมาเบื้อนคราบที่ตัวเองขย้อนออกมาจนเลอะ

“ ขอโทษนะ...เราขอโทษ ”

คนมองรู้สึกแสนสงสาร เมื่อคนที่แทบไม่มีแรงพยายามจะขอโทษกับสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แล้วดวงตากลม ๆ คู่นั้นก็ค่อย ๆ รื้น...น้ำตาไหล ทำเอาสนธยาต้องลูบไหล่นั้นเบา ๆ พลางเอ่ยปลอบ

“ ไม่เป็นไร...เพราะวาไม่สบายหรอกนะถึงได้เป็นแบบนี้ เราก็ผิด...ลืมคิดไปวาชะอมทอดมันมีน้ำมัน คนป่วยไม่ควรทาน ”

เขาปลอบไป...แล้วก็ค่อย ๆ เช็ดคราบเปื้อนที่เสื้อของคนตัวเล็ก แล้วค่อย...พยุงไปเอนบนเตียงนอนช้า ๆ

ทิวามองร่างสูง ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ เช็ดทำความสะอาดคราบอาเจียนของตนเอง โดยที่ใบหน้านั้นไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งกลับกันนั้น...สนธยาก็มักจะหันมามองคนตัวเล็กเป็นพัก ๆ ให้มั่นใจว่าไม่ได้กำลังคลื่นไส้อีก

………………………………………………………..

มองคนตัวเล็กที่เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง เหมือนคนป่วยหนักอย่างนั้นก็ให้ยิ่งใจเสีย เพราะเพียงระยะไม่ถึงกับครบสัปดาห์ดีนั้น ทิวาก็ทานน้อยมาเรื่อยจนถึงขั้นอาเจียน ห่วงก็แต่อีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะถึงวันสอบกลางภาค...นักเรียนทุนสอบตกคงจะยุ่งไปกันใหญ่

ในใจกระหวัดสงสัย...อยากรู้เหลือใจว่าเจ้าตัวเล็กบอบบางกำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อแรกก็ว่าร่างกายผอมบางเหลือเกิน ผิวหรือก็ขาวจนบางคราวก็แลดูซีด พอมาวันนี้...ที่ผอมก็ผอมหนักขึ้น ร่างกายแลเบาลงไปราว 4 กิโลกว่า สีหน้าและสีตาก็ไม่สู้ดี ทำเอาเขายิ่งทำอะไรไม่ถูก...พยายามจะปรึกษาคนที่บ้าน พยายามจะหาของ หายาให้ทาน แต่สุดท้าย...ยิ่งนานก็ยิ่งอาการย่ำแย่

ที่เคยกลัว...ไม่กล้าถาม วันนี้แหละต้องถามให้ได้ จะเอาอะไร...ก็จะทำให้ทั้งนั้น

สนธยาล้างมือที่เคยเปื้อนคราบอาเจียนพร้อม ๆ กับความรู้สึกที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด แม้จะรู้สึกเกร็ง...แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้ ต้องถาม...เพราะไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับคนที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงหน้านี้

“ วา...บอกได้ไหมว่าตอนนี้กังวลอะไรอยู่ ? ”

ถาม...ถามไปแล้ว พลางพยายามมองดวงตากลมโตนั้นด้วยแววตาที่เยือกเย็นที่สุด ไม่อยาก...ให้ทิวาต้องรู้สึกเหมือนถูกคาดคั้นบังคับ

“ ไม่เป็นไร...จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่บ้าน ไม่เกี่ยวกับนายหรอก... ”

“ แล้ว...เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม ? ”

สนธยาค่อย ๆ ถาม รู้สึกเหมือนไม่ยอมรับ...กับความคิดของอีกฝ่ายที่คิดว่าเขาช่วยอะไรไม่ได้

“ เรา...อยากกลับบ้าน แต่ว่า...ไม่มีเงินกลับ ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่มีเงินนั่งรถกลับมาสอบ แต่ว่า...คุณยายใหญ่ท่านไม่สบาย เราใจคอไม่ดีเลย...อยากกลับไป ”

ทิวาบอกหงอย ๆ ซึ่งเหตุผลข้อเดียวคือเจ้าตัวไม่มีเงินกลับบ้าน...เพราถ้ากลับไปแล้วก็คงกลับมาสอบไม่ได้ และสำหรับนักเรียนทุนนั้น เกรดและการวัดผลนั้นหมายถึงชะตากรรมทางการศึกษาในปีถัดไปเลยทีเดียว และเท่าที่สนธยารู้...ทิวาได้รับทุนจากเอกชน ไม่ใช่รัฐบาล ดังนั้นดูเหมือนทางผู้ให้ทุนจะพิจารณาจากผลการเรียนและเกรดที่ได้ออกมาเป็นหลัก

สนธยามุ่นคิ้วนิ่งอยู่พักหนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นช้า ๆ พลางความโทรศัพท์มือถือโทรออก และเดินไปอีกด้านหนึ่ง

ทิวาได้ยิน...เสียงทุ้ม ๆ ดังสลับสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่ 2-3 ที ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินอมยิ้มเข้ามาหา แล้วใช้หลังมือไล้ที่แก้มขาว ๆ นั้นเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

เป็นยิ้มบาง ๆ ...แบบที่ทิวานั้นแสนจะเคยคุ้น

“ มะรืนนี้วันศุกร์...ไปกันนะ ออกรถกันตอนเย็นนี่แหละ เราโทรไปอ้อนลุงหัวหน้าคนงานที่บ้านให้แล้ว พ่อเราก็ไม่ได้ว่าอะไร...แค่จะขอรถวิ่งไปกาญจน์แล้วอยู่สักคืนคงไม่เสียหายอะไรหรอก ”

ไม่รู้...สนธยาคนใจร้ายหายไปไหน
ไม่รู้...ว่าทำไมถึงดีใจเหลือเกิน
ไม่รู้...ว่าทำไมถึงได้ร้องไห้แล้วกอดคนตรงหน้าไว้จนแน่นพลางพร่ำขอบคุณซ้ำ ๆ จนนับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่นึกอาย

รู้สึกก็แต่ว่า...ภาพที่คนตัวใหญ่ตรงหน้าเคยแลดูใจร้ายเหลือเกินนั้น

...มันได้หายไปแล้ว




ราตรีประดับดาว16
โดย:ทิวารา

สงสัย...แล้วก็สับสนตัวเอง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเขาเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่และไม่รู้ด้วยว่าเพราะอะไรถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ รู้...ก็แต่ว่า แต่ก่อนตั้งแง่ใส่อีกฝ่ายว่ามันแปลก มันเงียบ มันไร้มนุษยสัมพันธ์มากที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเจอ

แต่ตอนนี้...เพราะใจอ่อน เพราะเผลอ ก็เลยได้เข้าใกล้...ได้เรียนรู้ว่าในความแปลกนั้นคือความอ่อนโยน คือความเป็นจริงเสียกว่าใครที่ไหน ได้รู้ว่าคนตัวเล็กพูดน้อยนั้นแม้ว่าจะพูดน้อยแต่ก็โกหกไม่เก่ง และได้รับรู้และเข้าใจเสียใหม่ ว่าความเป็นจริงที่ว่าการทำเฉยมันก็เสมือนจะบอกให้รู้ว่าอายที่จะพูด ไม่กล้า...ไม่มั่นใจ รึบางครั้งก็คือ...เกรงใจ

“ ลูกชุบอีกไหม ? ”

สนธยาถามพลางยื่นลูกชุบที่เสียบด้วยส้อมเล็กเข้าหาคนที่ทำตาโตบ้องแบ๊ว ก่อนที่จะทำหน้างงน้อย ๆ แล้วหันไปมองกองกล่องโฟมข้าง ๆ คล้าย ๆ กับจะเป็นการอุทธรณ์

พอหายเครียด...อาการที่เหมือนจะคลื่นไส้อยากอาเจียนก็หายตามไปด้วย ดังนั้นพอเขารู้สึกว่าทิวาเริ่มกินอะไร ๆ ได้ เขาก็รีบขนของกินมาชนิดนับอย่างไม่ถ้วน ชวนกินโน่นกินนี่จนกองกล่องโฟมเปล่าซ้อนเรียงกัน 4 – 5 กล่องได้

“ พอแล้ว...คนนะ ไม่ใช่ไก่งวง ”

เสียงเล็ก ๆ บ่นพลางพยายามเก็บจานชามซ้อนกันแล้วเดินตรงไปยังอ่างล้างจาน

“ ใครว่าเหมือนไก่งวง...อย่างนายน่ะมันเหมือนแมวมากกว่า ”

จากที่ก้มหน้าก้มตาล้างจาน เจ้าตัวก็หันมามองแปลก ๆ ก่อนจะหันกลับไปล้างจานต่อ แต่...สนธยากลับนึกรู้ ว่านั่นเป็นอาการไม่พอใจน้อย ๆ ที่ถูกเปรียบกับแมว ทำให้คนตัวสูงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะคว้าลูกชุบเข้าปากซะเองคล้ายไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร

// โกรธ...งอน แต่ไม่พูดแบบนี้จะให้ทำไงล่ะ ถึงจะรู้...จะอ่านท่าทางออกว่างอน แต่จะให้พูดอะไรได้ล่ะ ? //

เขาหัวเราะ...รู้สึกตัวได้ว่าตั้งแต่รู้ตัวว่าได้เปิดใจใกล้ชิดอีกฝ่ายไปแล้วนั้น การเรียนรู้ซึ่งกันและกันก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในทุก ๆ เรื่อง รู้...จนจับได้ไล่ทันว่าตอนไหนอีกฝ่ายรู้สึกแบบไหน

// แต่ก่อนรู้สึกแต่ว่าทิวาทำหน้านิ่ง...แล้วก็ไม่พูดไม่จามันทำให้เดาอารมณ์ลำบาก แต่พอมาตอนนี้...ถึงได้รู้ว่าไอ้ที่เคยบ่นว่าดูยากน่ะจริง ๆ แล้วมันง่ายกว่าคนอื่น ๆ รอบตัวเป็นไหน ๆ //

โกหกไม่เก่ง...ถ้าจับทางได้แล้วก็จะรู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นธรรมชาติกับการแสดงออกตามความรู้สึกแท้ ๆ ขนาดไหน

ทิวานั้น ทำอะไรผิดก็จะทำหน้าสำนึกผิดแล้วก็จะรีบขอโทษทันที...ต่างจากตัวเขาที่ก่อนหน้านี้ขนาดตัวเองทำผิดยังเฉไฉไปได้เรื่อย แล้วก็ไม่กล้าขอโทษอีกฝ่ายอีกต่างหาก

แล้วก็...โกหกไม่เก่งชอบทำ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ถามอะไรก็ใช้วิธีเงียบไว้ก่อนในเวลานึกคำพูดไม่ออก...แต่ดวงตากลม ๆ คู่นั้นกลับอยู่ไม่สุข ไม่พยายามหันมามองหน้าเขาเลย มองเพียงแค่นั้นก็จะจับได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามเฉไฉโกหก ทั้ง ๆ ที่ไม่แนบเนียนเอาซะเลย

“ วา...ยาเคลือบกระเพาะทานรึยัง ? อย่าลืมกินนะ ”

“ หายแล้ว...จะกินทำไม ? กินอะไร ๆ ไปตั้งมากมายยังงั้นยาเคลือบกระเพาะคงไม่ต้องแล้วละ ”

คนตัวเล็กตอบ...พลางทรุดลงนั่งทำท่าโงน ๆ เงน ๆ เหมือนคนง่วงนอนเต็มที่ แต่สนธยาก็เข้าใจ...เพราะเมื่อกลางวันมีชั่วโมงวอลเลย์ที่อีกฝ่ายไม่ค่อยถนัด เลยทำให้เหนื่อยพอสมควร จนตอนนี้ทิวาที่พยายามนั่งกางตำราอ่านหนังสือนั้นก็อยู่ในสภาพที่แทบจะจะล้มลงหลับแหล่ไม่หลับแหล่

“ นอนเถอะ...หนังสือน่ะอ่านตอนง่วงไปก็จำอะไรไม่ได้หรอก ”

เขาคว้าหนังสือจากมือเล็ก ๆ ก่อนที่จะสอดแขนรั้งคนดื้อ ๆ ลุกขึ้นจากพื้น แล้วหิ้วไปที่เตียงนอนอย่างง่ายดายราวกับหิ้วตุ๊กตายัดนุ่นตากลม ในขณะที่คนถูกหิ้วกลับร้องเสียงหลง

“ เอ๊ย!! ปล่อย...ทำอะไรเนี่ย!! ”

“ นอนไปเลย...ตาจะปิดแล้วยังจะอ่านหนังสืออีก ง่วง ๆ น่ะ...อ่านไปทำไม อ่านไปก็ไม่ไหลซึมเข้าสมองหรอกน่า ”

สนธยาบ่น ๆ ก่อนที่จะวางร่างคนตัวเล็กลงกับเตียงแล้วกางผ้าห่มคลุมทับร่างนั้นว่องไว ทำเอาทิวาเหมือนคนยอมแพ้...เพราะง่วงก็ง่วง แถมลุกขึ้นไปก็คงโดนหิ้วปีกจับมานอนอยู่ดี เลยไม่รู้จะตะเกียกตะกายลุกไปทำไม เพราะงั้นก็เลยเลยตามเลย...นอนก็ได้

แต่ก็ยังไม่วายบ่น...

“ เราไม่ใช่เด็ก...อย่ามาทำเหมือนเราเป็นเด็กแบบนี้อีกนะ ”

ตัวเล็กที่โดนคุณชายตัวสูงห่มผ้าเซอร์วิสให้อย่างดีบ่นอย่างไม่ค่อยพอใจ

สนธยามองคนตัวเล็ก...ตากลม ๆ ที่กำลังตะกายถอดแว่นเอื้อมไปวางที่ข้างหมอน พร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำเบา ๆ ในลำคอ ในขณะที่ทิวาพยายามลูบผมของตัวเองที่ชี้โด่ชี้เด่จากการถูกหิ้วมากองกับเตียงไปพลางอาการบ่นน้อย ๆ

คนตัวสูงค่อย ๆ ปิดสวิทช์โคมไฟหัวเตียงแล้วยิ้มอ่อน ๆ ในความมืดที่แสงสีภายในห้องขับให้ทิวามองเห็นใบหน้าคมเข้มนั้นเพียงราง ๆ สนธยาค่อย ๆ แตะหลังมือกับแก้มของคนตัวเล็กเหมือนกับที่ชอบทำอยู่บ่อย ๆ ในระยะหลัง ๆ ก่อนที่เสียงทุ้ม ๆ นั้นจะเอ่ยกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ในความมืด

“ นาย...เหมือนเด็ก เหมือนแน่ ๆ ...เรารู้สึกเหมือนจะชอบทำแบบนี้กับนายจังเลยวา รู้สึกเหมือนนายเป็นเด็ก...แล้วเราก็อยากดูแล ”

คนตัวสูงว่าพลางทรุดลงนั่งลงตรงขอบเตียง ในขณะที่ทิวาทำหน้างอน้อย ๆ ในความมืด

“ ไอ้...บ้า เราไม่ใช่...อายุก็เท่ากันนั่นแหละ!! อย่ามามั่วนะ ”

// ดู...ขนาดจะด่า ทิวายังนึกคำไม่ออก ด่าก็เหมือนไม่ด่า แต่จะว่าก็ไม่ได้...อยู่กับคุณยายคนแก่ ๆ คงไม่เคยต้องด่าอะไรกับใคร แต่จะว่าไป แบบนี้ก็น่ารักดี //

“ แต่ก็...ขอบใจน้อ ที่ช่วยเหลือมาตลอดหลายวันมานี้...เราขอบคุณ...นะ ”

อึกอัก...ตะกุกตะกัก แต่...น่ารักเหลือเกิน!!

สนธยาหัวเราะเบา ๆ กับอาการน่ารัก ๆ ที่แม้ว่าจะเห็นไม่ชัดในความมืด...แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเขินของคนตาโต

“ อือ ไม่เป็นไร...ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า เอาละ นอนได้แล้ว...เด็กดื้อ ”

มือที่เคยไล้อยู่ที่ข้างแก้มนั้นค่อย ๆ แนบสัมผัสประคองไว้น้อย ๆ ก่อนที่คนตัวสูงจะค่อย ๆ ก้มลงแตะริมฝีปากอุ่น ๆ ลงกับหน้าผากมน ๆ นั้นเบา ๆ

“ ...ฝันดี เด็กน้อย ”

สนธยาพูดเพียงแค่นั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังฟูกของตนเองที่กางไว้ที่มุมห้อง ก่อนจะล้มตัวลงนอน...เงียบสนิท

แต่...ในความเงียบสนิทนั้น ไม่ได้เงียบสงบไปซะทีเดียว เพราะ...คนที่นอนบนเตียงนั้นอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองตามไหล่หนา ๆ เดินไปล้มตัวลงนอนบนฟูก

ในขณะที่...คนที่ล้มตัวลงนอนบนฟูก แล้วหันหลังให้คนบนเตียงนั้นกลับแตะริมฝีปากของตนเองในความมืด ก่อนที่จะก่นด่าตัวเองอยู่ในใจทั้ง ๆ ที่ถูกความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเข้าจู่โจม ทำเอาตัวสนธยาเองแทบนอนไม่หลับ

// เฮ้ย!!...นี่เราไปทำอย่างงั้นทำบ้าอะไรวะ... //



ราตรีประดับดาว17
โดย:ทิวารา

คนตัวนั่งยองข้างเตียงนอนพลางกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง ในขณะที่คนตัวเล็กขี้เซากำลังนอนหลับ...แถมดิ้นไปดิ้นมาจนอยู่ในสภาพที่เขาแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้

ทิวานอนหลับสบาย ในขณะที่นอนกอดหมอนข้าง...ขดจนตัวกลมในขณะที่ผ้าห่มถูกพันไว้รอบเอวเล็ก ๆ นั้น คนนอนหลับสนิทขดตัวจนเนื้อที่บนเตียงว่างเกือบครึ่งนั้นมักจะบ่นว่าเมื่อยหลังบ่อยครั้งเมื่อนั่งอยู่ในห้องเรียน

ก็จะไม่เมื่อยได้ยังไง...ในเมื่อนอนขดซะจนตัวกลมขนาดนี้

เจ้าตัวคิดอย่างขำ ๆ พลางใช้นิ้วจิ้มแก้มนิ่ม ๆ นั้นซ้ายทีนึง...ขวาทีนึง จนคนนอนกำลังสบายถึงกับละเมอหันหนีไปหนีมา หน้าตาเหมือนจะบ่นน้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ดวงตากลม ๆ ยังปิดสนิทอยู่เช่นเดิม

ยิ่งแหย่...ก็ยิ่งมีเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ แล้วเมื่อยิ่งแหย่...สนธยาก็ยิ่งมันเขี้ยว ยิ่งมันเขี้ยวก็เลยยิ่ง....

“ วา...จะ7โมงแล้วนะ ตื่นเร็ว ”

“ อือ...... ”

คนตัวเล็กคราง...ก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนข้าง ทำเอาเขาชักมันเขี้ยวเข้าไปทุกที ๆ ...สนธยายิ้มพลางยักคิ้วแผลบนึง ก่อนที่จะก้มลงหอมแก้มแรง ๆ จนคนที่นอนหลับอยู่อย่างสบายอกสบายใจถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นทันที

“ เฮ้ย...ไอ้...ไอ้บ้า ทำ...ทำอะไรเนี่ย!! ”

“ ก็นอนขี้เซาเองนี่นา...ช่วยไม่ได้ เห็นแล้วมันน่าแกล้ง ”

คนตัวสูงยกมือหนา ๆ ขึ้นยีผมคนตัวเล็กที่พึ่งตื่นนอนก่อนจะรีบหลบมือเล็ก ๆ ที่เหวี่ยงเข้าใส่ แล้วสุดท้ายจึงหัวเราะดัง ๆ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทำเอาทิวาได้แต่นั่งทุบหมอนดังปั่ก ๆ อยู่หลายหนด้วยความเจ็บใจ

เจ้าตัวพยายามลูบผมที่ชี้โด่ชี้เด่อย่างหงุดหงิดน้อย ๆ ก่อนที่คนตัวเล็กตากลมจะนั่งนิ่ง...ยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง รู้สึกราวกับใบหูร้อนน้อย ๆ ทบทวนรอยสัมผัสแล้วก็ให้รู้สึกสับสน...ไม่เข้าใจ

“ หมอนี่...ทำบ้าอะไรกันเนี่ย ”

กลับกัน...คนที่ตัวเปียกซกอยู่ในห้องน้ำก็ได้แต่อาบน้ำไปยิ้มไปกับตัวเอง และเมื่อดวงคม ๆ สบกับดวงตาของตัวเองในกระจกแล้วก็ยิ้มให้...เป็นสุข

// ไม่รู้ว่าทำไมอยากทำแบบนั้นนัก...รู้แต่ว่าตัวมันหอม แก้มมันก็หอม ตัวนิ่มด้วย...เวลาจับก็รู้สึกอยากลากมากอดแน่น ๆ ชอบ...เวลามันงอน เวลาวาโกรธตามันเป็นประกายแวววาว ปากมันเม้มน้อย ๆ มองดูแล้ว...น่ารัก //

สายน้ำสัมผัสผิวเนื้อ...แต่ใจไม่รู้สึกถึงความเย็น ในใจ...สนธยารู้สึกถึงความสุขสงบแลอบอุ่นแปลก ๆ ที่เคยคุ้น

เมื่อคืนเขานอนคิดอยู่นาน...เขารู้ว่าเขาทำตัวแปลก เขาทำเหมือนมันเป็นเด็ก เขาชอบดูแลมันนัก ชอบทำเหมือนมันเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ น่ารัก...แต่ไม่ชอบดุมันบ่อยนักเพราะไม่ชอบที่จะนึกถึงตอนมันร้องไห้

เขาชอบแตะตัวมัน...ชอบมองดู ชอบอ่านสีหน้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเวลาที่มันอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจจนปั้นหน้ายู่ยี่

และทั้ง ๆ ที่ตัวเขาไม่ชอบให้ใครมาใกล้ชิดนัวเนียมากมายเพราะตัวเขาเองเป็นคนขี้รำคาญมาแต่ไหนแต่ไร แต่...ทำไมเวลาที่คนตัวเล็กเว้นระยะกับเขานั่น เขากลับไปยุ่งวุ่นวายกับทิวาเสียเอง นัวเนียเสียเอง

“ อ้าว...เวร ลืมเอาผ้าขนหนูเข้ามาด้วยซะอีก!! ”

มัวแต่คิดเพลิน ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าลืมผ้าเช็ดตัวก็ตอนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ สนธยาจำต้องสวมกางเกงนอนขายาวออกมาจากห้องน้ำทั้ง ๆ ที่ร่างกายชุ่มโชก ทำเอากางเกงจากชุดนอนเปียกลู่ไปกับท่อนขายาว ๆ ในขณะที่เจ้าตัวได้แต่หิ้วเสื้อนอนติดมือออกมาโดยไม่ได้สวม

“ หงะ... ”

คนตัวเปียก...ใส่กางเกงนอนขายาวบาง ๆ ตัวเดียวเดินฉับ ๆ ออกมาจากห้องน้ำทำเอาทิวาผงะไปไม่น้อย เมื่อเห็นว่าการที่คนตัวเปียกสวมแต่กางเกงนอนออกมานั้นแทบไม่มีประโยชน์เลย เมื่อความเปียกชื้นนั้นทำเอากางเกงนอนเนื้อบางเปียกลู่จนเนื้อผ้าดูบาง...แลได้ไปถึงไหน ๆ

“ โทษที ๆ อาบนานไปหน่อย วาเข้าไปอาบเลยนะเดี๋ยวจะสาย...ไปโรงเรียนไม่ทัน ”

“ อะ...อือ เอ่อ...แล้วเย็นนี้เอาไง จะกลับมาก่อนแล้วค่อยเตรียมเสื้อผ้า รึว่าให้เตรียมใส่เป้ไปโรงเรียนด้วยเลย ? ”

คนที่กำลังคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดตัวจะหันมาตอบง่าย ๆ แต่ก็ต้องชะงัก...

“ เอาใส่เป้ไปเลย เพราะเราให้คนขับรถเค้าไปรับที่โรงเรียน...เลย ....อ่ะ เอ่อ ”

พูดไม่ออก...เพราะหันมาตอบแล้วเห็นคนตัวเล็กยืนหน้าแดงเอาผ้าขนหนูปิดหน้า คิดได้แบบนั้นก็ค่อยก้มลงมองตัวเอง...ถึงได้รู้วว่ากางเกงนอนเปียก ๆ มันเปียกลู่ไปกับท่อนขาของเขาเสียจนน่าหวาดเสียว

“ อะ...ทะ...โทษที กางเกง ๆ กางเกงอยู่ไหนวะ ”

ทิวาหนีเข้าห้องน้ำ...ยืนอึ้งกับกระจกในห้องน้ำอยู่นาน หัวใจเต้นโครม ๆ เหมือนคนกำลังวิ่งมาราธอน สมองวิ่งฉิวแต่มันก็ขาวโพลน รู้แต่ว่าเมื่อครู่นั้นตัวเขาเหมือนจะอายจนทำอะไรแทบไม่ถูก แต่...ไอ้จะให้โวยวายเรื่องแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันก็คงประหลาด เลยได้แต่ยกผ้าขนหนูขึ้นปิดหน้าเสียอย่างนั้น

“ ...หมอนั่นไม่ใช่สาว ๆ นะ ทำไมเราต้องไปอายยังงั้นด้วยเนี่ย!! ”

เออ...แปลกดี สนธยามันหนุ่มนะไม่ใช่สาว ๆ แล้วเขาจะไปตื่นเต้นทำไมเนี่ย!!

ทิวาได้แต่วักน้ำราดโครม ๆ ด้วยความอาย...ในขณะที่คนไม่ใช่ ‘ สาว ๆ’ ก็รีบสวมเสื้อผ้าเพราะก็อายไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก มันจึงเป็นเช้าที่สุดจะบรรยายเลยจริง ๆ ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?...เพราะต่างคนก็ต่างไม่เข้าใจ...และไม่เข้าใจพอกันทั้งคู่

=TBC=


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
คุณสนในฝันจากไป คุณสนในความจริงก็ก้าวเข้ามา  :m13:

graydragon

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วลุ้นต่อไป แต่กลายเป็นว่าพี่สนเป็นทวดซะงั้นอะ :sad2: :sad2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
รู้สึกดีเหมือนกัน  ที่หลุดจากโลกแห่งความฝัน
วาโชคดี  เจอคุณสนในโลกของความจริงแล้ว
แต่ยังแปลกใจอยู่ดีอะ  ว่าทำไมรูปร่างหน้าตาของสนในสองภพถึงคล้ายกันขนาดนี้
หรือ คุณสนกลับชาติมาเกิด  :a5:

รออ่านต่อจ้า  :m1:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว18
โดย:ทิวารา

คนที่เอาแต่ทำตัวยุกยิกมาตลอดทั้งวัน...บัดนี้นอนสงบอยู่ภายในรถโฟร์วิลที่ขับมุ่งไปยังบ้านของคนตัวเล็กที่กาญจนบุรี ในขณะที่สนธยาลอบมองคนที่นอนหลับเป็นระยะ ๆ สลับกับการอ่านหนังสืออ่านเล่นในมือ ซึ่งสำหรับคนปรกติแล้วคงไม่มีใครทำแบบนี้แน่ ๆ เพราะมันชวนให้เวียนหัวจะตายไป

เมื่อรถพ้นเขตถนนลาดยางเข้าสู่ช่วงที่เป็นหลุม รถก็โคลงเคลงจนเขาต้องไปโอบคนที่หลับมานอนพิงตนเองเอาไว้ เพราะถ้าปล่อยไว้...หัวเล็ก ๆ ก็มักจะโคลงไปกระแทกกับกระจกรถอยู่เป็นระยะ ๆ

“ ถึงแล้วครับ ตามแผนที่ๆเพื่อนคุณบอกเลยครับ ”

ลุงคนขับหันมาบอกกับเขาเมื่อพารถมาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เขาจึงค่อย ๆ ปลุกคนตัวเล็กขึ้นมาถาม จนเจ้าตัวโดดลงจากรถวิ่งเข้าไปหาเจ้าของบ้านด้วยความเคยชินนั่นแหละ เขาจึงได้สั่งให้ลุงคนรถ ขับเข้าไปจอดฝากในบ้านหลังนั้นได้

“ ผมฝากรถเพื่อนหน่อยนะป้านะ ”

ทิวาบอกเสียงแจ๋ว ๆ เหมือนไม่ใช่คนพึ่งตื่น...กับคุณป้าเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันมาอธิบายให้สนธยาฟัง

“ บ้านเราน่ะ รถเข้าไม่ได้หรอก ต้องเดินกันไปเท่านั้นแหละ...ไหวไหม? ”

สนธยาหันไปถามลุงคนรถซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าสบายมาก ก่อนที่จะหันกลับมาพยักหน้าให้คนถาม ขณะที่เจ้าตัวเตรียมลากกระเป๋าเป้ซึ่งบรรจุเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนแบกขึ้นบ่า

“ พอแล้ว...เอาไปแค่ของตัวเองใบเดียวพอ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวเรากับลุงถือให้เอง ขืนแบกพะรุงพะรังเดี๋ยวเดินตกคันนาไป เราจะไปงมได้จากไหน มืดก็มืด ”

เขาดุ...ก่อนที่จะฉวยบรรดาข้าวของมาจากมือเล็ก ๆ แทบหมด ทิวาจึงได้แต่ขมวดคิ้วน้อย ๆ เดินนำไปตามทาง

ลมกลางคืนเย็นสบายอย่างไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์คลายร้อนใดใด แถมได้กลิ่นดินหอม ๆ เพราะดูเหมือนฝนพึ่งตกไปเมื่อตอนสาย ๆ ราวชัวโมงหนึ่ง ดังนั้นทางจึงไม่ค่อยแฉะ แต่ดินก็หอม...แลอ่อนนุ่ม

คนตัวเล็กเดินสบายอกสบายใจไปตามทางแคบ ๆ ที่เจ้าตัวเล่าว่ารถไถเข้าได้...แต่ถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะถึงช่วงที่รถไถเข้าไปไม่ถึง ดังนั้นทางช่วงแรกจึงค่อนข้างกว้าง เดินกำลังสบาย และสังเกตได้ว่าต้นหญ้าบนพื้นนั้นเว้นเป็นเส้นยาวขนานไปตามทางถึง 2 เส้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นรอยที่รถไถวิ่งประจำ...ต้นหญ้ามันจึงไม่ขึ้น

“ เดี๋ยวพอถึงคันโน้นทางมันจะแคบแล้ว ระวัง ๆ หน่อยน้อ ไม่งั้นตกลงไปละจมโคลนมีหวังรองเท้าเละ ”

คนตัวเล็กที่เดินนำบอกก่อนจะพาเข้าเส้นทางที่แคบลง ซึ่งสนธยาต้องยอมรับเลยว่ามันเดินยากมาก นี่ถ้าทิวาไม่หยุดรอเป็นพัก ๆ ละก็ มีหวังเจ้าตัวคงเดินนำไปเป็นไม่รู้กี่ช่วงนา ส่วนลุงคนรถของเขาก็ค่อนข้างชินเนื่องจากเจ้าตัวเคยเล่าว่าที่บ้านก็ทำนาเหมือนกัน

จากบ้านที่ฝากรถไว้...เดินมาได้ราวชั่วโมงเจ้าตัวเล็กถึงได้ร้องเสียงใสด้วยความดีใจ

“ ถึงแล้ว...จะถึงแล้ว โน่นไง...เห็นแสงไหม เรือนโน้นแหละเรือนคุณยายใหญ่ ”

ในความมืดเขาแลเห็นเพียงเค้าโครงเรือนไทยหมู่เล็กและต้นมะขามใหญ่ โดยที่ข้างเรือนอีกด้านหนึ่งมีร่องน้ำค่อนข้างใหญ่ที่แลไปแล้วพบแต่บัวหลวงมากมาย มองดูงามจับใจยามอยู่ใต้แสงสว่างอ่อนบางงดงาม ไล้ไปตามกลีบใบของเหล่าบัวที่ลอยเต็ม

“ เสียดาย...ถ้าอยู่หลาย ๆ วันจะพาไปจับปูกับเต่า…จับเต่ามาหงายกระดองให้ร้องเพลงชมจันทร์น่ะสนุกนะสน ”

// เอ่อ...แบบนั้นเค้าเรียกรังแกเต่านะวา //

คนตัวเล็กบ่นเสียดาย ก่อนจะหิ้วของวิ่งตื๋อไปยังเรือนโดยแทบจะไม่รอคนข้างหลัง ท่าทางที่เคยเงียบขรึมมาก..กลับกลายเป็นเด็กน้อยจอมซนไปในทันใดที่เหยียบถึงบ้าน

“ แรก ๆ ผมว่าเพื่อนคุณดูเงียบ ๆ แต่พอตอนนี้ผมว่า...ดูแล้วท่าจะซนเอาการทีเดียวเทียวละ ”

ลุงคนขับรถพูดเดาได้ตรงใจเขาเสียละมาก จนพากันหัวเราะเจ้าบ้านเบา ๆ โดยไม่ให้รู้ว่าแอบ...นินทากันเล็ก ๆ

“ ยายยยยยย ยายจ๋า ยายอยู่ไหม ? หนูมาแล้ววววว ”

เสียงที่คุ้นเคยดังชัดเจนแจ่มแจ๋ว...จนสนธยาอดตกใจไม่ได้ เพราะคำพูดคำจาแลสรรพนามแทนตัวนั้นมันต่างจากตอนที่อยู่ที่โรงเรียนนั้นราวฟ้ากับก้นเหว

// สาบานนะว่านั่นเสียงวา... //

เจ้าตัวคิด...พลางเกาหัวแกร่ก ๆ เดินตามคนตัวเล็กขึ้นเรือนไป จนเจ้าของบ้านหันมารายงาน...ว่าคุณยายอยู่อีกเรือนหนึ่ง คืนนี้ไม่ได้มาค้างที่เรือนนี้ ก่อนที่คนรายงานจะวางข้าวของ...วิ่งตึง ๆ ไปยังห้องคุณยายใหญ่

“ เพื่อนเจ้าวาเหรอ ? ...วางของก่อนสิเรา กินอะไรมารึยัง ? ถ้าหิวประเดี๋ยวจะไปจัดมาให้จ้ะ ”

พี่คนที่ทิวาแนะนำว่าเป็นลูกสาวของคุณยายใหญ่ถาม ก่อนจะยกขันน้ำลอยมะลิมาส่งให้แล้วค่อยเดินหายเข้าไปในครัว และได้ยินเสียงถ้วยเสียงชามดังแว่ว ๆ ก่อนที่พี่สาวคนนั้นจะยกสำรับกับข้าวมาให้เขาและลุงคนขับรถ

“ ขอบคุณครับ... ”

“ พี่ตกใจมากเลยนะ...เพราะนาน ๆ ทีวาจะมากับเพื่อน คนก่อนเห็นชื่อภูริ...รู้จักกันรึเปล่าจ๊ะ ? ”

สนธยายิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้า...พลางรับจานข้าวที่พี่สาวคนนั้นส่งให้ ก่อนจะส่งช้อนอีกคันนึงแบ่งไปให้ลุงคนขับรถพร้อมถ้วยซึ่งเต็มไปด้วยข้าวหอมร้อน ๆ

“ ภูรินั่นก็เพื่อนกันครับ...เอ่อ ว่าแต่...วาเค้าไปไหนแล้วละครับ ”

“ ห้องทางโน้น สุดทางนั่นเป็นห้องนอนคุณยายใหญ่จ้ะ วาติดคุณยายใหญ่จะตายจ้ะ นี่คงรีบวิ่งไปหาท่านน่ะแหละ ”

คุยกันไปได้พัก...สนธยาถึงพึ่งรู้ว่าลูกสาวคุณยายใหญ่คนนี้ชื่อนุช เธอเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนใกล้ ๆ นี้ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นอยู่บ้านใกล้ ๆ กันนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ตกทุ่มกว่าแล้ว...ทุกคนจึงกลับไปกันหมดแล้ว

“ ปรกติวาจะมาทุกวันละจ้ะ คุณแม่ท่านก็รักของท่านคนเดียว พี่เองยังโดนดุประจำ...ยกเว้นแต่ตาวานี่แหละที่ท่านจะใจดีด้วย แต่ว่าพี่เองก็เข้าใจ...เพราะตาวาแกเป็นเด็กนิสัยดี ญาติ ๆ ก็รักกันทุกคน ”

“ จะมาทีหนึ่งก็ต้องเดินกันเป็นนา ๆ แบบนี้เหรอครับ ไม่เหนื่อยแย่เหรอ ? ”

คุณนุชเพียงยิ้ม แล้วก็สายหน้าน้อย ๆ จนกระทั่งทิวาวิ่งมา...เธอจึงหันไปทักทายเจ้าตัวเล็กจอมซน ซึ่งบัดนี้ถอดแว่นไปเรียบร้อยแล้ว

“ สนนอนห้องวาก็ได้...ลุงนอนด้วยกันไหมครับ ? ”

ทิวาหันไปถามลุงคนขับ ในขณะที่คุณนุชเธอแย้งกลาย ๆ พลางหัวเราะน้อย ๆ

“ ห้องเราน่ะไม่ใช่กว้างนะตาวา...นอน 2 คนก็ว่าเบียดกันแล้วนะ จะให้คุณลุงไปเบียดอีกคนละก็ปลากระป๋องแล้วละตาหนูเอ๊ย ”

“ พี่นุช...อย่าเรียกวา ว่าตาหนูซิพี่ อายนะครับแบบนี้อ่ะ ”

ทิวาทำท่าห่อปากน้อย ๆ ในขณะที่คุณนุชเธอหัวเราะ เมื่อคนตัวเล็กโวยวายอย่างเขิน ๆ พร้อมกับใบหน้ากลม ๆ นั้นซับสีเรื่อน้อย ๆ

// น่ารัก...มาก ๆ เลย //

พอคิดได้แบบนี้แล้วไพล่ไปอิจฉาภูริ...ที่เจ้าตัวได้มีโอกาสมาเห็นทิวาในแบบที่เขาได้เห็นวันนี้ก่อนตัวเขาเสียอีก คิดไปคิดมาได้อย่างนั้นแล้วชักติดเคืองภูริหน่อย ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ

“ เดี๋ยวผมนอนตรงระเบียงนี่ได้ไหม ? ผมเองก็ไม่ได้กลับบ้านนอกนานเป็นปีละครับ เห็นระเบียงลมน่าสบาย คิดว่านอนตรงนั้นคงได้ละครับ ”

“ ลมแรงอยู่นะ...ยุงคงไม่หาม นอนสบายเทียวละลุง เพราะยุงมันบินสู้แรงลมไม่ได้แน่ ๆ ลมแรงแบบนี้อ่ะ ”

คนที่ทำหน้าบู้บี้อยู่เมื่อครู่ชักมีทีท่าเห็นด้วยกับไอเดียลากเสื่อไปนอนระเบียงของลุงคนขับ ในขณะที่คนตัวสูงต้องรีบปรามเพราะเห็นว่าไอเดียนี้คงไม่ดีสำหรับทิวาเท่าไหร่เพราะทิวาพึ่งจะหายป่วยไปหยก ๆ เลยทำให้คนตัวเล็กค้อนกลับปะหลับปะเหลือก

“ เราไปนอนห้องวา...ช่วยดูคุณยายใหญ่กันก็ได้ เห็นพี่นุชว่าเฝ้าคุณยายท่านมาหลายคืน คืนนี้เรามาผลัดไปดูแลท่านแทนพี่นุชกันดีกว่านะวา ”

สนธยาเสนอ...ทำเอาที่เคือง ๆ เพราะถูกขัดคอเมื่อครู่นั้น กลายเป็นอารมณ์ดียิ้มแฉ่งขึ้นมาได้...เหมือนเด็ก ๆ ไม่มีผิด

“ งั้น...สนนอนกับวาละกัน ห้องวาอยู่ข้างห้องคุณยายใหญ่พะดีเลย ”

คนตัวเล็กสรุป...ก่อนที่จะยิ้มแฉ่งให้คนตัวสูงกว่าจนตาหยีแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง ทำเอาคนที่เจอเรื่องแปลกใจตั้งแต่มาถึงยิ่งตกใจกันเข้าไปใหญ่

// เอ่อ...จะผิดไหมถ้าเราจะคิดลึกกับคำนี้เนี่ยวา แถม...อย่าดิ ถอดแว่นแล้วยิ้มน่ารักแบบนี้ได้ไงล่ะ!! ขี้โกงงงงงง แบบนี้เราก็แย่น่ะสิวา!! //

สนธยาได้แต่ร้องบ่นในใจ...ในขณะที่เจ้าตัวเล็กตากลม ๆ นั้นกลับไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

// น่ากอด...ถ้ากอดมันนอน มันจะโวยวายไหมนะ เจ้าตัวเล็กคนนี้น่ะ //

สนธยาถามตัวเองในใจอย่างสงสัย...ก่อนที่จะมองอีกฝ่ายจัดการกับอาหารตรงหน้า และมอง...ดวงตากลม ๆ แย้มยิ้มกับพี่นุชอย่างสดใส สิ่งเหล่านี้ทำให้สนธยามีความสุข และไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองชักจะคิดอะไร ๆ เลยไปทุกที ๆ

อย่างเมื่อแรกว่าเผลอหอมเพราะมันเขี้ยว...แต่พอจากนั้นเขากลับทำแบบนั้นไปเรื่อย เพราะรู้สึกว่าคนตัวเล็กนั้นน่ารัก น่าหอม...แก้มก็นิ่ม และเพราะอย่างนั้นก็ไม่นึกห้ามตัวเองอีก จนมาตอนนี้...ชักอยากกอด อยากนอนกอด...ถึงมันจะละเมอน้ำลายยืดใส่เขาเหมือนตอนนั่งมาในรถนั่นเขาก็ยอมละวะ

// วา...นายทำให้เราแปลกเข้าไปทุกทีแล้วว่ะ //

เขาคิดกับตัวเอง ก่อนที่จะเดินตามคนตัวเล็กไปยังห้องนอน โดยหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตามไปด้วยพร้อมรอยยิ้มและความคิดวุ่นวายอยู่ฝ่ายเดียวที่วนเวียนเต็มสมองนั้น






ราตรีประดับดาว19
โดย:ทิวารา

ทิวาเดินนำหน้า...พาสนธยาไปยังห้องนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งเลยออกไปจากห้องนอนห้องเดิม เนื่องจากห้องเดิมนั้นไม่มีหน้าต่าง แล้วเรือนนี้ก็ไม่มีพัดลม ทิวาจึงตัดสินใจพาคนตัวหนาย้ายไปนอนกันอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องไปจากห้องเดิมแทน

“ ห้องนี้มีระเบียง ลมพัดเย็นดี ”

สนธยาเพียงพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง...ก่อนที่คนตัวเล็กจะครึ่งลากครึ่งจูง พาเดินไปที่ห้องคุณยายใหญ่ด้วยกัน

“ ไปหาคุณยายกัน... ”

“ เอ๊ย!!! จะดีเหรอวา... ”

จะค้านก็ไม่ทันซะแล้ว...เพราะถูกลากมาถึงที่พอดี ทิวาค่อย ๆ เคาะเบา ๆ ก่อนที่จะเปิดประตูห้องเข้าไปช้า ๆ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับอาการซุกซนเมื่อครู่เป็นเหมือนภาพลวงตาเท่านั้น

ทิวาค่อย ๆ พาคนตัวสูงทรุดลงข้าง ๆ เตียงซึ่งมีคุณยายใหญ่นอนเอนกายอยู่ คนตัวเล็กยิ้มหวาน...แบบที่สนธยาไม่เคยเห็นมาก่อน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลและซุ่มเสียงเบาแสนเบา

“ แม่คุณของผม...คนนี้ไงที่วาบอกว่าอยากให้มาเจอ ”

สนธยาผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวค้อมไหล่ลงพลางยกมือไหว้อ่อนน้อม...แต่กลับกันคุณยายใหญ่กลับพยายามลุกขึ้นจากท่านอน ดวงตาของผู้มากวัยรื้นด้วยหยดน้ำน้อย ๆ จนสนธยามองแล้วใจไม่ดีขึ้นมาทันที

“ พ่อคุณเอ๋ย...กว่าจะมาตามสัญญา ทำเอาคิดว่าคงไม่มีบุญได้อยู่รอพบคุณท่านเสียแล้ว ”

// ทำคนแก่ร้องไห้...บาป ต้องบาปแน่ ๆ ...ทำไงดี ? ทำไงดีละทีนี้ ? //

สนธยาเริ่มมือไม้พันกันยุ่ง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่รู้แค่ว่าดูเหมือนตนเองจะเป็นคนทำให้คุณยายร้องไห้ พยายามจะปลอบ...แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่เขยิบกายเข้าใกล้ตามแรงรั้งน้อยนิดของผู้สูงวัยก่อนที่เจ้าตัวจะถูกคุณยายใหญ่กอดไว้...

“ พ่อคุณเอย...ฝากตาวาด้วยนะคุณ ”

คุณยายพูดก่อนจะยิ้มให้บาง ๆ ...ก่อนจะหันไปบอกให้หลานชายตัวเล็กไปเปิดตู้มุมห้อง แล้วหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมาให้

“ วา...กล่องนี้คุณสนฝากไว้ มันเป็นของหนู...รับไปเถอะ แล้วก็นี่...กุญแจ ”

คุณยายวางกุญแจเล็ก ๆ ที่ใช้ไขล็อคของกล่องนั้นลงบนมือเล็ก ๆ ของหลานชาย ก่อนที่จะหันไปยิ้มให้สนธยาซึ่งยังรู้สึกงง ๆ ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

“ ในเมื่อกลับมาแล้วก็ให้กันกับมือด้วยตนเองเถอะนะ ”

ในใจสนธยาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจต่าง ๆ นานา ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณยายของทิวาพูดมันหมายความว่าอะไรกันแน่...แต่สิ่งเดียวที่ติดในใจก็คือกล่อง

กล่องไม้ใบใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงนิดเดียวและกุญแจอยู่ในมือของทิวา โดยที่สนธยามีทีท่าสนใจมันอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนตัวสูงเหมือนรู้สึกเคยคุ้นกับมันเหมือนประหนึ่งเคยได้ครอบครองมาก่อนไม่ตอนใดก็ตอนหนึ่ง แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่กันแน่

“ เปิดดูดีไหมสน ? ”

“ ละ...แล้วแต่วาเถอะ ”

ขณะที่อยู่กันสองคนภายในห้องนอนซึ่งมีลมพัดเย็นสบายมาจากระเบียง จู่ ๆ ทิวาก็เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าสนธยามีท่าทางสนใจเจ้ากล่องที่เขาได้มาอย่างเห็นได้ชัด

“ เปิดก็ดี...เราก็อยากรู้น่ะสนว่าอะไรอยู่ในนี้ ”

ว่าอย่างนั้นแล้วเจ้าตัวก็ค่อย ๆ หยิบกุญแจดอกเล็กมาไข...จนเกิดเสียงโลหะดังกริ๊ก แล้วมือเล็ก ๆ นั้นจึงค่อยเปิดฝากล่องขึ้นช้า ๆ อย่างเบามือ ดวงตากลม ๆ ไม่ได้มีแววว่าจะใส่ใจถึงอะไรที่อยู่ภายใน แต่เมื่อฝากล่องเปิดออกเพียงเท่านั้นคนตัวเล็กก็เบิกตาโพลงก่อนจะคว้าของชิ้นนั้นขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ พี่สน... ”

ร้องไห้...เจ้าตัวเล็กของเขาร้องไห้

นึกได้เพียงนั้นสนธยาก็นิ่วหน้านิ่ง ก่อนที่จะค่อยสังเกตเห็นของที่อยู่ในมือของคนตัวเล็ก ซึ่งทิวาถือมันพลางใช้ปลายนิ้วไล้ไปมาอย่างอ่อนโยนราวกับมันเป็นของที่เปราะบางเหลือเกิน

แหวน...บังหลวงวงน้อย พี่สนเคยให้ไว้ในคืนหนึ่งที่หลับฝัน ไม่เคยนึกเลยว่าแหวนวงนี้จะมีอยู่จริง ๆ

ในขณะที่ทิวากำลังดีใจ...กลับกันสนธยารู้สึกเหมือนตัวเองหัวหมุน เหมือนเรือนไหว...โคลงไปมาตามแรงลมอย่างไรอย่างนั้น คนตัวสูงพยายามเงยหน้า แต่พอดวงตามองไปยังดวงจันทร์ที่ทอแสงเต็มดวงด้วยลำแสงสีนวลชวนมอง เพียงเท่านั้นเองสมองของสนธยาก็เหมือนจะถูกน้ำพัดวน เหมือนดูหนังขาด ๆ เกิน ๆ เหมือน...........คลื่นความรู้สึกที่มองไม่เห็น หาที่มาที่ไปไม่ได้มันผุดขึ้นมาในสมองนั้น

เหมือนสับสน...สมองไม่สั่งงาน

เหมือน...มีใครอีกคนหนึ่งอยู่ข้างใน แล้วสิ่งที่คิดในใจก็มีเสียงถึง 2 คน ทั้งตัวเขา...และใครก็ไม่รู้อีกคนหนึ่ง!!!!

เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในวินาทีเดียวแล้วมันก็หยุดลงทันที ทิ้งไว้แต่เสียงของใครอีกคนหนึ่งดังลั่นในสมองเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างในสมองจะสงบนิ่ง...คืนสู่สภาพปรกติ!!

// พี่รักเธอเหลือเกิน ทิวาน้อยของพี่เอย...//





ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว20
โดย:ทิวารา

“ พี่รักเธอนัก...ทิวาน้อยของพี่เอย ”

ริมฝีปากคม...ค่อย ๆ พูดตามรอยคำนึงซึ่งดังขึ้นภายในสมอง ก่อนที่สองมือหนา ๆ จะตะปบ...ปิดปากตัวเองแทบจะในทันทีที่รู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ส่วนคนตัวเล็กนั้น...หันขวับกลับมาจ้องมองดวงตาคู่คมนั้นด้วยรอยสงสัย เหมือนคลับคล้ายคลับคลาวิธีการแลน้ำเสียงที่เอ่ยเอื้อนวาจาอันอ่อนหวานนั้น

“ ...โทษที เรา...ไปอาบน้ำก่อนนะวา ”

หาทางออกได้เพียงเท่านั้นก็รีบคว้าผ้าขนหนูจากในกระเป๋าเสื้อผ้า...เดินจ้ำออกจากห้องและข้ามฟากเรือนตรงไปยังห้องน้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าคุณนุชเธอกำลังอาบอยู่ เขาจึงเลี่ยงมาอาบที่ใต้ถุนบ้านแทน

สนธยารู้สึกมึน ๆ งง ๆ รู้สึกเหมือนครึ่งหนึ่งเข้าใจ...และอีกครึ่งหนึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่...ที่แน่ ๆ คือสิ่งที่เขาหลุดปากออกไปเมื่อครู่นั้นกลับทำให้เขาทบทวนการกระทำของตนเองต่อทิวาเสียใหม่...แล้วคำตอบคำเดียวก็ลอยมาในสมองนั้นโดยไม่มีคำอื่นใดอีกนั้นก็ทำให้เขาแทบสะอึก

สนธยาวักน้ำราดโครม...อาบน้ำทั้ง ๆ ที่ยังสวมกางเกงยีนส์ คล้าย ๆ กับคนกำลังทำอะไรทั้ง ๆ ที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คนตัวสูงวักน้ำราดเอา ๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่เอาแต่คิดวนไปวนมาจนสบู่ที่ถือมากับขันน้ำนั้นเขาก็ไม่ได้นำมาใช้

// รัก...เรารักเจ้าตัวเล็กคนนี้จริง ๆ หรือนี่ //

แล้วพอเข้าใจตัวเอง...ใบหน้าคม ๆ ที่เปียกน้ำก็ค่อย ๆ แดง ก่อนที่เจ้าตัวจะเอาขันตักน้ำราดใส่หัวโครม ๆ เหมือนคนร้อนเพราะถูกไฟลนจนต้องราดน้ำให้มันหาย...ร้อน

“ รู้สึกเหมือนตัวเองมีอีกคนหนึ่ง...แล้วนี่วารักเรา หรือว่ารักอีกคนหนึ่งของเราล่ะ ? ”

ตัวเขาเองไม่เคยถาม...ไม่เคยบอกคนตัวเล็กสักครั้งว่ารัก เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ที่ทำให้เขาหวั่นใจที่สุดเห็นจะเป็นเพราะ...ในภาพสลัวรางของความทรงจำที่เคยปิดตายนั้นมีภาพที่คนตัวเล็ก ๆ นั้นบอกรักเขาด้วยใบหน้าเอียงอาย เหมือน...เหมือนว่าทิวาจะเคยบอกว่ารักกับตัวเขาอีกคนหนึ่ง

// วา...วามองเราเป็นใครกันแน่ มองเราเพราะเราเหมือนใครอีกคนหนึ่งหรือเปล่า ?...ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นวาใช้เราเป็นตัวแทนหรือเปล่า ? //

ความกังวลนี้ผุดขึ้นมาภายในใจพร้อม ๆ กับความหวาดหวั่นเหมือนคนใจหาย และพอเขาคิดว่าถ้าทิวาใช้เขา...มองเขาเป็นตัวแทนละก็มันคงเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

สนธยาคิดในใจเงียบ ๆ โดยปล่อยให้หยดน้ำไหลจากเส้นผมหยดลงบนผิวน้ำ...พร้อม ๆ กับที่ขอบตาคม ๆ นั้นเริ่มรู้สึกเหมือนมันจะร้อนผะผ่าว...เหมือนน้ำตามันจะไหลออกมาซะให้ได้!!

“ สน...ทำไรเหรอทำไมนานจัง ไม่รีบขึ้นเดียวหนาวตายหรอก ”

คนตัวเล็กถือผ้าขนหนูผืนใหญ่เดินลงมาตามโดยไม่รู้สึกถึงภาวะอารมณ์ของสนธยาเลยว่าเป็นอย่างไร ในขณะที่สนธยาก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งก่อนที่จะค่อย ๆ ช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวเล็กตากลมด้วยแววตาต่างจากปรกติ

แววตาฉ่ำ ๆ เย็น ๆ แต่แสนเศร้า...มองตรงไปยังคนตัวเล็กที่เขารัก

ทิวาสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อแววตานั้นทำให้ระลึกถึงพี่สน...คนตัวเล็กนั้นแม้ว่าจะเคยร้องไห้เป็นทุกข์สาหัสหลายวันเมื่อรู้ตัวว่าจะไม่ได้พบกับคุณสนธยา แต่สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กที่เคยชินกับการอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวมาแต่เด็กก็เข้มแข็งพอที่จะบอกตัวเองได้ว่า...

// พี่สนจากไปแล้ว และคงจะไม่คืนมา //

เมื่อตอบตัวเองได้ดังนั้น...ไม่นานความทุกข์ก็ค่อย ๆ ถูกกดไว้ภายใน ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้ร้องไห้เท่าวันเก่า...แต่ความรู้สึกและระลึกถึงความอ่อนหวานทั้งมวลก็ยังคงอยู่

// ยังเศร้า...แม้กดไว้ภายในได้แต่ก็ไม่เคยลืมเลือนไปได้เลย //

ความเงียบโรยตัวเข้ามาระหว่างคนทั้งคู่...นานหลายอึดใจก่อนที่สนธยาจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนท่ามกลางความเงียบสงัดที่เสียดแทงไปทั้งหัวใจ

“ พี่รัก...รักเจ้านัก รัก...ทิวาน้อย...ของพี่เอย ”

เสียงทุ้ม...เอ่ยด้วยโทนเสียงเย็นรื้น แต่ตะกุกตะกักนั้น ทำให้ทิวาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงตรงหน้าอีกครั้งก่อนที่สายตาคมเย็นซึ่งเต็มไปด้วยกระแสอ่อนหวานนั้นจะทำให้ทิวารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันที่ลืมตื่นอีกครั้งหนึ่ง

“ ละ...เล่นบ้าอะไรยังงี้ล่ะสน!! ”

คนตัวเล็กปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาจากดวงตากลม ๆ เพราะสุดที่ใจจะกลั้นไว้ได้...ก่อนที่จะกลับหลังหันหนีดวงตาคู่คมนั้นคล้ายทนไม่ได้ที่จะถูกอีกฝ่ายแกล้งเอาเหมือนว่าไปรู้อะไรเกี่ยวกับพี่สนมาสักอย่าง เพราะงั้นก็เลยมาแกล้ง...หลอกให้หลงดีใจกันเสียอย่างนั้น

ในขณะที่คนตัวเล็กหันหลังหนีดวงตาคู่นั้นแล้วร้องไห้...สนธยาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กับทิวา

เพราะการตัดสินใจลองทำ...ทำเหมือนกับที่คุ้นเคยว่าตัวเขาอีกคนเคยทำและเคยพูดเช่นนี้...ทำเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาได้รู้นั้นมันไม่ใช่แค่ภาพไร้สาระที่ผ่านเข้ามาในสมอง ทำ...เพื่อพิสูจน์ว่าหากว่าเป็นคน ๆ นั้นมายืนอยู่ตรงนี้แล้วทิวาจะรู้สึกอย่างไร...อยากรู้ว่าคนตัวเล็กนั้นรักตัวเขาอีกคนหนึ่งซึ่งเขาเห็นภาพในสมองนั้นหรือเปล่า

และการที่ทิวาร้องไห้...หันหนีไปพร้อม ๆ กับน้ำตานั่นมันก็บอกทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าทิวารักตัวเขา...แต่ทว่ารักอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เขา!!

สนธยามองภาพคนตัวเล็กซึ่งหันหลังให้อยู่นั้นพยายามปาดเช็ดน้ำตาซึ่งไหลไม่ยอมหยุดด้วยสองมือ มอง...ด้วยหัวใจเจ็บร้าวสั่นไหว เจ็บเหมือนต้องกลืนก้อนสะอื้นเมื่อรู้ว่าทิวาไม่ได้รักเขา และอาจเป็นไปได้ที่ตัวเขาในสายตาของทิวานั้นอาจจะไม่ใช่ตัวเขาจริง ๆ ...แต่เป็นใครอีกคนหนึ่งต่างหากเ!!

แต่ทว่า...หัวใจที่ดื้อดึงก็ยังไม่ยอมหยุด แม้ว่าจะรู้แล้วว่าคนที่ทิวามองเห็นมันไม่ใช่ตัวเขาแต่หัวใจก็กลับไม่ยอมสั่งให้ร่างกายนี้หยุด

ทิวาที่พยายามปาดเช็ดน้ำตาซึ่งไหลไม่ยามหยุดนั้นสะอื้นน้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ขอบตาร้อนผ่าว ก่อนที่สัมผัสจากใครคนหนึ่งจะทำให้คนตัวเล็กนั้นสะดุ้งเฮือก

สะดุ้ง...เมื่อถูกคนตัวสูงที่เปียกปอนนั้นโอบกอดไว้จากด้านหลัง ก่อนที่ปลายจมูกโด่ง ๆ นั้นจะกดลงที่ไหล่เล็ก ๆ และสุดท้ายสนธยาก็ซุกใบหน้าของตัวเองกับไหล่ของคนตัวเล็กกว่านิ่งนานอยู่เช่นนั้นพร้อม ๆ กับอาการโอบประคองแผ่วเบา

แผ่วเบาเพื่อรั้งไว้...บอกให้รู้ว่าอยากให้อยู่ด้วย แต่ทว่า...กลับไม่รัดแน่น ไม่เรียกร้อง ไม่ฝืนใจไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ทั้งนั้น

“ วา...เราขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะรังแกให้ร้องไห้เลยนะ แต่...ถึงเราจะไม่ใช่...ไม่ใช่ใครอีกคนหนึ่งที่วารอก็ตาม แต่ว่า...เราก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจ ”

ทิวารู้สึกสับสน...เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...เมื่อสัมผัสได้ถึงหยดน้ำอุ่น ๆ ไหลมาสัมผัสผิวเนื้อ

“ วา...บอกเราได้ไหม...บอกได้ไหมว่าวามองเรายังไงกันแน่ วามองเห็นตัวเราเป็นเราคนนี้...หรือเป็นคนอื่น ”

อยากถาม...เพราะอย่างนั้นจึงได้ถามออกไป แต่ดูเหมือนว่าความกลัวที่เคยรู้สึกจนถึงเมื่อครู่กลับมลายหายไปทันทีที่คนตัวเล็กเอ่ยตอบขึ้นด้วยเสียงแข็ง ๆ

“ สน...ทำไมถามแบบนั้นล่ะ!! นายก็เป็นตัวนายสิ ทำไมเราต้องมองเป็นคนอื่นล่ะ...กับพี่สนน่ะ ถึงเหมือนแต่ก็ไม่ใช่นายหรอกนะ!! แล้วทำไมนายถึงได้รู้เรื่องพี่สน...ทำไมถึงมาถามกันอย่างนี้ล่ะ ? ”

“ เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ...แต่วาช่วยตอบให้เราฟังชัด ๆ หน่อยได้ไหมว่าเกลียดเราหรือเปล่า ? ”

//จะไปเหมือนพี่สนได้อย่างไร...ก็ดูเถิด ใจร้อนบังคับถามเอาโดยไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังกันเลย...แบบนี้จะไปเหมือนกับพี่สนได้ยังไง//

ทิวาบ่นในใจ ก่อนที่จะยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะแก้มของคนตัวสูงที่ซบหน้ากับไหล่ตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะ..........ดึงแก้มแรง ๆ ทีหนึ่ง!!!

“ บ้า!! คิดได้ไงวะ...กล่าวหากันชัด ๆ เลยนะที่มาถามแบบนี้น่ะ!! ”

สนธยาสะดุ้งพลางคลำแก้มที่เกิดรอยแดงน้อย ๆ จากการหยิกในขณะที่คนตัวเล็กบ่นต่ออย่างยั๊วะ ๆ

“ คิดว่าเราเป็นคนยังไงกันห๊ะสน!! นายเห็นเราเป็นคนโหดร้ายขนาดทำเพื่อความสุขของตัวเอง จนถึงขนาดมองข้ามความเป็นตัวของนายไปได้เลยหรือไง!! ”

“ อะ...เอ่อ วา...เราไม่ได้หมายความว่ายังงั้นนะวา คือ...เราไม่ได้บอกว่าวาใจร้ายนะ ”

คนตัวสูงแก้ตัวในขณะที่คนตัวเล็กนิ่วหน้ามุ่ย ก่อนที่จะเอ่ยต่อ

“ นายเหมือนพี่สนตรงไหนกัน!! ไม่เหมือนสักนิดเดียวรู้ไหมล่ะ!!...ก็นายมันปากเสีย นายมันนิสัยใจร้อนจะตาย ไม่มีอะไรเหมือนพี่สนเลยสักนิดเดียว!! ”

ฟังอย่างนั้น...คนตัวสูงก็หน้าหมองลงในทันที ก่อนที่ทิวาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมมาก

“ แต่ว่า...นายก็เหมือนพี่สนตรงที่เป็นคนดี ...เหมือนตรงที่จริง ๆ แล้วนายเป็นคนอ่อนโยนนะสน ”

ประโยคก่อนหน้านี้เหมือนจะผลักคนตัวสูงลงนรก...แต่พอประโยคถัดมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกฉุดขึ้นสวรรค์ยังไงอย่างงั้น

“ ถึงจะปากเสีย...ใจร้อนไปหน่อย แต่นายก็ใจดี...ตอนที่เราไม่สบายนายยังทำถึงขนาดเช็ดอ้วกให้เราเลยนะ เพราะงั้นเราถึงได้บอกไงว่านายน่ะเป็นคนดี เป็นคนอ่อนโยน... ”

พูดยังไม่ทันจบดี...นายสนธยาที่เคยหน้าซีดเพราะใจเสีย กลับกลายมาเป็นยืนอึ้งโดยที่ใบหน้าคม ๆ นั้นเริ่มซับสีเรื่อขึ้นมาด้วยความเขิน

// พูด...พูดแบบนี้ได้ไง ขี้โกง...วาขี้โกง!! มาพูดแบบนี้...แล้วถ้าวาไม่รักเรา แล้วเราจะทำไงดีล่ะ!! //

มือหนา ๆ ยกขึ้นมาปิดหน้า...เพราะสนธยารู้สึกเหมือนใบหน้ากำลังร้อน ร้อนจนไปถึงใบหูโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้...รู้แต่ว่าคนตัวเล็กตรงหน้านี้แหละเป็นคนทำ!!

นายสนผู้ที่ยังหน้าแดง...ค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาหาคนตัวเล็กตาโต ก่อนที่จะค่อย ๆ ถาม ถามทั้ง ๆ ที่แววตานั้นสั่นไหวอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ รอยเสียงนั้นสั่นไหวและแหบพร่า

“ วา...สน...เอ่อ เรารักวา แล้ว...แค่เป็นคนดีของวาน่ะมันยังไม่พอหรอกนะ เพราะงั้น...บอกทีเหอะว่ารักกันบ้างไหม? ”

จากที่เมื่อแรก...คนตัวสูงอายอยู่ฝ่ายเดียว ในวินาทีนี้ใบหน้ากลม ๆ ของทิวากลับแดง...แดงกว่าคนตัวสูงเสียอีก!!

“ ถาม...ถามอะไรเนี่ย!! ”

พอเห็น...คนตัวเล็กเขินถึงขนาดนั้น สนธยาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนสมองจะยิ่งเร่งให้ถาม ถามซ้ำ ๆ เพื่อเอาคำตอบ

ดวงตาคม...มีแววเย็นรื้นแต่สั่นไหวก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ คว้าข้อมือของคนตัวเล็ก จูงขึ้นไปบนห้องโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่ทิวานั้นรู้สึกเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่ก้าวขาตามแรงรั้งนั้นอย่างสับสนก่อนที่นายสนธยาคนเดิมจะลากคนตัวเล็กเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูก่อนที่จะหันกลับมารวบร่างของคนตัวบางตากลมไปกอดไว้จนแน่น

“ บอกเถอะ....นะวา ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว...ไม่ต้องอาย ...บอกเถอะนะ...ได้ไหม? ”

ทั้งเนื้อทั้งตัว...สนธยาเปียกชุ่มไปหมด แม้แต่กางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่กับตัวก็เปียกจนชุ่มโชก แต่ทว่ารอยกอดกลับทำให้ทิวารู้สึกเหมือนถูกกอด...ด้วยเปลวไฟ

// ถ้าพี่สนเหมือนน้ำ...สนธยาคนนี้ก็เหมือนไฟ แต่ยังเป็นไฟที่อุ่น...ไม่ถึงกับเผาไหม้ให้คนเข้าใกล้ต้องแหลกสลาย แต่กลับลุกไหม้เพียงเพื่อให้คนที่อยู่เคียงข้างรู้สึกอบอุ่นเพียงนั้นเอง //

“ ไม่เหมือนเลย...นายไม่เหมือนพี่สนเลยรู้ไหมล่ะ ”

ทิวาค่อย ๆ พูด ขณะที่ยังก้มหน้างุดอยู่กับไหล่ของคนตัวสูงที่ตัวเปียกโชก

“ แต่ก็เพราะไม่เหมือนนั่นแหละ...เราถึงได้ต้องมองนายใหม่นะสน ”

ทิวาพูดไป...ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียหัวใจของคนตัวสูงซึ่งกอดรัดตนเองเอาไว้นั้นกำลังเต้นรัว...เต้นรัวรุนแรงกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“ แล้ว...พอมองไปมองมา นายก็.....ก็....... ”

พอถึงประโยคสุดท้าย...ทิวากลับพูดไม่ออก อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จนคนตัวสูงต้องก้มหน้าลงกระซิบถามใกล้ ๆ ด้วยความใจร้อน

“ ก็...อะไร ? ”

เงียบ...คนตัวเล็กเงียบพลางเม้มริมฝีปากบาง ๆ จนแทบจะแลเป็นเส้นตรง ในขณะที่ใบหน้านั้นเริ่มซับสีเรื่อหนักขึ้น พร้อม ๆ กับที่หัวใจโลดโครมครามเหมือนจะกระดอนหลุดออกมาจากอกให้ได้

“ ก็........น่า......น่า......รัก ”

สนธยารู้สึกว่า คำว่าน่ารักเนี่ย มันช่างไม่ได้เหมาะกับคนตัวสูงใหญ่อย่าเขาเอาซะเลย เจ้าตัวเลยยิ่งทำหน้างง ๆ จนทิวาต้องอธิบายขึ้นด้วยอาการกระท่อนกระแท่นเต็มทนเพราะความเขิน

“ น่า...รัก ก็.....หมายความว่า น่าจะ...รักได้ ไงล่ะ!! บ้า...ต้องให้อธิบายทำไมนะ!! ”

ท้ายประโยค...ทิวาบ่นคนตัวสูงเข้าให้อีก!!

แต่คนที่เคยทำหน้าขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจนั้น บัดนี้กลับยิ้มกว้าง...ยิ้มเหมือนเด็กกำลังดีใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะซุกปลายจมูกลงดุนแก้มนุ่ม ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่นิ้วมือหนา ๆ นั้นไล้ไปตามวงหน้าและแก้มนุ่มนิ่มทั้ง ๆ ที่ในดวงตาคมคู่นั้นมีประกายพรายระยับแห่งความยินดียิ่ง


“ วา...วาก็น่ารัก ตัวก็...นิ่ม อยากกอดมาก ๆ เลยรู้ไหม ? แล้ว...ตัวก็หอมด้วย หอมมะลิ ชอบ...ชอบจังเลย ”

คนตัวสูงบอกทีละคำ...ในขณะที่ริมฝีปากคม ๆ นั้นแตะเบา ๆ ที่แก้มนุ่มนิ่ม สลับกับการไล้ปลายจมูกนั้นไปตามใบหน้าของทิวา เสียงของสนธยานั้นทุ้มต่ำและสั่นพร่า เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกลับพลุ่งเข้ามาในห้วงความรู้สึกของคนตัวสูงนั้น

หวาน...หอม...น่าถนอมนักหนา

“ อื๊อ!!!! สน...ทำอะไรน่ะ มันจั๊กจี้...ปล่อยนะ!! ”

คนตัวเล็กเริ่มทำดุ เมื่อรู้สึกเหมือนโดนคุกคามอย่างช้า ๆ ...คุกคามในแบบที่ทิวาเองก็อธิบายไม่ถูกเสียด้วย เพราะมันไม่ได้จาบจ้วงเหมือนจงใจล่วงเกิน แต่กลับค่อย ๆ คืบใกล้ แม้มิได้เร่งเร้าบังคับ...แต่กลับกระทำราวกับร้องขอซ้ำ ๆ

คนตัวสูงกดปลายจมูกลงกับแก้มนิ่มย้ำ ๆ ก่อนที่ดวงตาคมกริบนั้นจะจ้องเข้าไปในดวงตากลม ๆ โดยไม่ฟังคำขู่หรือห้ามปรามของคนตัวเล็กเลย สนธยาค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงกด...ดุนปลายจมูกลงกับหน้าผากมน ๆ ก่อนที่จะแตะริมฝีปากอุ่น ๆ ของตนเองลงไป...พาให้ทิวาเริ่มรู้สึกได้ถึงภาษากายที่อีกฝ่ายกำเรียกร้อง เรียกร้องอย่างต่อเนื่องซ้ำ ๆ ...จนวินาทีนี้แม้ไม่พูดแต่คนตัวเล้กก็รู้ว่าขออะไร

“ วา...วาเคยบอกว่าเรานิสัยไม่ดีใช่ไหม? เพราะงั้นก็เลย...พยายามไม่ทำตัวไม่ดีใส่วานะ...แต่ว่า ”

สนธยาพูดอ้อนเสียงอ่อย ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อในขณะที่นิ้วมือลูบไล้อ่อนโยนบนแผ่นหลังคนตัวเล็ก...ทิ้งสัมผัสอุ่นร้อนจากปลายนิ้ว และการกระทำนั้นก็สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้เกิดแก่คนตัวเล็กอยู่ไม่น้อย

“ วันนี้...เราอยากกลับไปเกเรอีกแล้วละวา อยากแกล้งวาอีกแล้ว...ทำไงดีล่ะ เรานิสัยเสียอีกแล้วนะตอนนี้ ”

เสียงที่เอ่ยนั้นสั่นไหว...ก่อนที่สนธยาจะค่อย ๆ ช้อนอุ้งมือที่ผ่าวร้อนของตนรองท้ายทอยของคนตัวบางแล้วจึงค่อยก้มลงแตะริมฝีปากคมลงไปบนริมฝีปากนิ่ม ๆ นั้นอย่างรวดเร็ว

กระทำโดยไม่รอให้อนุญาต...กระทำอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ากลับค่อย ๆ สอดปลายลิ้นรุกล้ำเข้าไปภายใน...ควานหาความหวานและสัมผัสจากปลายลิ้นของคนตัวเล็กอย่างนุ่มนวลเนิบช้า

// วันนี้อยาก...เป็นคนเกเรอีกแล้ว //

แต่เพราะรวดเร็ว...และรุกล้ำเข้ามาโดยที่ทิวามิอาจนึกรู้ได้เลยว่าควรจะสนองตอบอย่างไร ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรดี...ดังนั้นแม้ว่าเจ้าของดวงตากลม ๆ นั้นจะไม่ได้นึกรังเกียจ แต่เพราะรู้ถึงความไม่ประสาของตนเองดี...ในวินาทีที่ทำอะไรไม่ถูกนั้นคนตัวเล็กก็เริ่มมีน้ำตาคลอในดวงตาดำขลับนั้น

ยังผลให้สนธยาที่เมื่อแรกหมายใจจะบำเพ็ญตนเป็นเด็กเกเร คิดจะงอแงตื้อให้ได้...กลับเริ่มใจเสีย เพราะชักรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองแพ้น้ำตาของอีกฝ่ายเข้าแล้วจริง ๆ เสียด้วย แล้วยิ่งเห็นว่าทิวาเริ่มน้ำตาซึม...คนตัวสูงก็หยุดกึ่กและชะงักอาการตื้อนั้นทันที ก่อนที่คนที่พยายามจะเกเรนั้นจะค่อย ๆ ลูบหน้าลูบหลังคนที่อยู่ในอ้อมแขนของตนอย่างประโลม

“ วา...สนไม่เกเรแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เป็นแล้วคนเกเร...อย่าร้องเลยนะวานะ สนแพ้ใจตัวเองเวลาวาร้องไห้ทุกทีเลยรู้ไหม? ”

สนธยาพยายามปลอบ...ในขณะที่ทิวาเอ่ยขึ้นช้า ๆ เหมือนคนขาดความมั่นใจอย่างร้ายแรงด้วยน้ำเสียงเหมือนตกประหม่าเต็มที่

“ สน...วาไม่รู้ บางทีวาก็รู้ว่าสนจะทำอะไร แต่ว่า...วาก็ทำอะไรไม่ถูกนะสน มันแย่มากไหมที่วาเป็นคนโง่เง่าไม่รู้เรื่องรู้ราวขนาดนี้น่ะ ...แบบนี้สนจะหัวเราะใส่เราไหม? ”

คนตัวเล็กเอ่ยอู้อี้...สารภาพด้วยสีหน้าเหมือนคนทำผิดเสียเอง บอกให้สนธยารู้ว่าคนตัวเล็กกำลังซีเรียสกับการที่ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่ควรจะทำ และนั่นก็ยิ่งทำให้คนฟังอย่างเขารู้สึกดีใจผสมผเสกับความรู้สึกโล่งใจและรู้สึกขำขันด้วยความเอ็นดูในความน่ารักนั้นเป็นอย่างมาก

“ วา...วารู้ใช่ไหมว่าเราจะอ้อน จะตื้อขออะไรน่ะ ?”

คนตัวเล็กพยักหน้าช้า ๆ ...ในขณะที่สนธยาก้มลงแตะริมฝีปากลงกับหน้าผากมนเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง

“ รู้ไหม...อย่าว่าแต่วาไม่เคยเลย สนก็ไม่เคยเหมือนกันแหละ...สรุปว่าไม่รู้เรื่องกันทั้งคู่ เพราะงั้น...เราก็ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปกันสองคนเถอะนะ อย่ากังวลกับมันเลยนะวา ”

= TBC =

ขอโทษง๊าบ คนอ่านที่รักทุกท่าน
ตอนนี้ยังไม่ NC แต่อ่านแล้วก็คงรู้กันแล้วละนะว่ามันกำลังจะมาตอนหน้านี่แหละ

เหตุผลก็เพราะ...ตอนนี้แต่งไปแล้วมันยาว...ยาวจนรู้สึกว่าตัดเป็น 2 ตอนดีกว่าตู ไม่ไหว ๆ ขืนรอโพสทีเดียวละก็คงยาวตายชักแน่ ๆ

.......ต้องขอโทษเพราะความไม่ประสีประสา กับความตื่นตระหนกกับการแต่ง NC ของเรานี่แหละ

หนก่อนก็ตื่นเต้น...พิมพ์บรรยายจนเหงื่อแตก
แล้วก็เป็นแบบหนนี้เปี๊ยบ ๆ เลย...ตรงที่ว่ามันยาวจนต้องตัดมาโพสก่อน 1 ส่วน

หนนี้จริง ๆ แล้วตอนนี้กำลังปั้น NC อยู่พอดีเลยจริง ๆ นะ...แต่เห็นว่ากว่ามันจะ NC กันก็ยาวเท่า 1 ตอนเข้าไปแล้ว

แล้วก็กลัวคนอ่านจะบ่นว่ารอนาน...ก็เลยจัดการ(ฆ่า)ตัดตอน เอรามาโพสก่อน1ส่วน

สรุปคือ...ตอนหน้าละถึงแน่....NC

(ก้มหัวปะหลก ๆ) ขอโทษอีกครั้งนะค๊าคนอ่านทุกคน แบบว่า...เวลาแต่ง NC มันจะตื่นเต้น แล้วกะอะไรไม่ถูกแบบนี้ทุกทีเลย เพราะเรามันคนมือใหม่ (หนนี้หนที่ 2 เองนะNCเนี่ย) อภัยให้หนูเถิดดดดด
(กระต่ายก้มหัวปะหลก ๆ)......รออีก คิดว่าไม่เกิน...3วัน มันมาแน่!! ตอนต่อไปและ NC สัญญา ๆ

รอบนี้เอ็กซิเดนท์จากอาการมือใหม่หัดแต่ง ประหม่าไปหน่อยเลยกะตอนผิด ขออภัยอย่างแรงนะคะ อภัยให้หน่อยน้า....หนูก๋อโต้ดดดด


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด