เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆนะคะ... รู้ตัวอีกที ก็ดูเหมือนถึงเวลาที่จะต้องเอานิยายตอนใหม่มาโพสต์อีกแล้วอยู่เรื่อยเลย...
แถมนี่ยังเป็นเรื่องที่ 8 แล้วอีกด้วยต่างหาก บอกตรงนี้เลยค่ะว่า เรื่องสั้นที่เขียนเอาไว้เนี่ย ใกล้จะหมดสต๊อกเต็มทีแล้ว ระยะนี้ก็แทบไม่ได้คิดพล็อตเรื่องใหม่เลยด้วย เพราะว่ามีงานเข้ามาแทรกตลอดเวลาเลยจริงๆ แล้ว... ขอแอบบอกอะไรสักหน่อยเถอะนะคะ ค่าที่ว่า เอานิยายมาลงหลายเรื่องหลายตอนแล้ว นักอ่านบางท่านก็คุ้นเคยชื่อของคนเขียนอยู่บ้างประมาณนึง
คืองี้ค่ะ ปกติแล้วนิยายของนิ้วไขว้เนี่ย ไม่เพียงแต่จะฟีลกู๊ดเป็นส่วนใหญ่ (แม้บางทีจะแอบดราม่าหนักหน่วงไปบ้างในนิยายเรื่องยาว) พล็อตและเรื่องราวยังออกแนวใสๆ น่ารักๆด้วย อันนี้พอจะรู้ แต่ทีนี้หลังจากที่ได้เริ่มเขียนเรื่องสั้นไปพักนึง ก็เกิดอยากลองของขึ้นมา นั่นก็คือการเขียนพล็อตที่ติดเรต หรือไอ้ที่เขาเรียกว่า NC นั่นแหละค่ะขึ้นมา ก็เลยลองเขียนดู ปรากฏว่าพอเอาให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวลองอ่าน ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจนน่าตกใจ ไอ้เราเลยพลอยประหลาดใจตัวเองด้วยว่า เอาจริงๆก็เขียนได้นี่นะ
ทีนี้... มันแอบเขิน เพราะตั้งแต่เอานิยายลงเว็ป ไม่เค้ยไม่เคยลงแบบที่เป็น NC เลย คนเขียนเกิดอาการประหม่าจนน่าถีบ (แอบไปบอกเพื่อนนาเมฮ์ นางถึงกับหัวเราะชอบใจขึ้นมาทีเดียว) ก็เลย... คิดว่า อีกไม่นานล่ะค่ะ คงจะได้เอามาลงให้อ่านกัน เพราะเรื่องที่อยู่ในสต๊อกที่ว่าใกล้จะหมดแล้วเนี่ย เป็น NC ไปเสียสองสามเรื่องทีเดียว ซึ่งก็หวังเอาไว้พอสมควรว่า คนอ่านของนิ้วไขว้อาจจะชอบก็ได้ ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ ก็... รออ่านก็แล้วกันนะคะ ^^
มาค่ะ มาถึงเรื่องที่ 8 กันแล้ว เข้าไปอ่านกันได้เลย ชอบไม่ชอบยังไง คนเขียนก็ยังอยากจะทราบฟีดแบ็กจากเพื่อนนักอ่านเหมือนเดิมนะคะ... อ่านให้สนุกกันเช่นเคยค่ะ
----------------------------------
เรื่องสั้น 8: Plan
อากาศเย็นเยือกทั้งที่สวมเสื้อแขนยาวแบบนี้ นับเป็นเรื่องที่ผิดคาดจริงๆสำหรับหน้าหนาวหลงฤดูในเมืองใหญ่ที่ปกติอากาศจะร้อนอบอ้าวจนชวนให้หงุดหงิดเป็นส่วนใหญ่แห่งนี้ อากาศแปรปรวน เขาว่ากันอย่างนั้น แม้จะเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เขาชอบอากาศแปรปรวนแบบนี้ และไม่รังเกียจเลยหากมันจะแปรปรวนต่อไปอีกอย่างน้อยสักสัปดาห์หนึ่ง
ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวในสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนั้นกระชับเสื้อให้แน่นขึ้น ราวกับว่ามันจะช่วยปัดเป่าความหนาวเย็นให้บรรเทาเบาบางลงได้บ้าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตจ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่นอนอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์บนม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปโข
โทรศัพท์มือถือที่เปิดเป็นระบบสั่นส่งเสียงครืดคราดอยู่ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว เจ้าตัวล้วงออกมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วกดรับ
“ว่าไง” เขากรอกเสียงลงไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ไอ้หอกนท มึงหายหัวไปไหน!!!” มธุรจวาจาจากปลายสายเดาได้ไม่ยาก เพื่อนสนิทที่คณะของเขานั่นเอง
“เออ แล้วจะทำไม” นททำเสียงรำคาญขึ้นมาอย่างไม่ปิดบัง
“น้องทรายเขามาหามึงที่คณะ มารอมึงอยู่เนี่ย!”
เออหนอ... ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้ เขาไม่เคยตกลงปลงใจจะคบหากับเด็กสาวต่างคณะคนนี้สักหน่อย แต่เพราะไอ้เพื่อนกลุ่มนี้นี่แหละที่หาเรื่องมาให้เขา เดือนก่อนไอ้พลเพื่อนในกลุ่ม เกิดไปปิ๊งสาวคณะบัญชีชื่อวาเข้า แต่สาวเจ้ากลับตั้งแง่ว่า ถ้าพลอยากคบหากับเธอ จะต้องให้เพื่อนที่ชื่อทรายได้มาทำความรู้จักเขาด้วยเสียอย่างนั้น
สรุปก็คือ ไอ้พลที่อยากคบกับน้องวา ต้องพยายามทุกทางเพื่อให้น้องทรายมาทำความรู้จักกับนท หาไม่แล้ว สาวเจ้าจะไม่ยอมตกลงปลงใจคบกับมันนั่นเอง
เดือดร้อนนทที่อย่าว่าแต่รู้จักมักจี่ ขนาดหน้าตายังไม่รู้จัก ต้องมาตกบันไดพลอยโจนไปด้วย อันที่จริง นทไม่พอใจด้วยซ้ำที่เพื่อนทำแบบนี้ แต่ด้วยเห็นว่ามันชอบผู้หญิงเขาจริงๆ นทก็เลยไม่อยากจะพูดจาตัดรอนให้เสียน้ำใจ นี่ถ้าไม่เห็นแก่เพื่อนนะ เขาอยากจะบอกจริงๆว่า คนเราถ้ามันจะชอบใคร ก็หัดมีความกล้า เป็นตัวเองหน่อย ไม่ใช่ใช้วิธีมัดมือชกกันแบบนี้ แล้วคิดว่าอีกฝ่ายจะชอบน่ะเหรอ ฝันไปเหอะ ต่อให้หยาดฟ้ามาดินเหมือนทรายก็เถอะ เขาไม่เอาด้วยแน่นอน
ก็เลยใช้วิธีหนีไปให้ไกลๆเสียเลยดีกว่า กันการกระทบกระทั่ง เจอกันครั้งสองครั้ง พูดคุยกันตามมารยาทน่ะก็พอไหวอยู่หรอก แต่จะให้ร่วมวงสนทนาด้วยคงไม่ไหวจริงๆ
“กูมีธุระ ไอ้พล แค่นี้นะ” ก่อนจะกดตัดสายโดยไม่สนใจจะฟังอะไรจากปลายสายอีก
ระยะหลังเขาจึงไม่ค่อยอยากแกร่วอยู่ที่คณะของตัวเองมากนัก สองสามวันก่อนเขาจึงตัดสินใจเดินเรื่อยเปื่อยเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา อารามว่าอากาศไม่ร้อนสักเท่าไร เลยเดินเพลินๆมายังสวนสาธารณะแห่งนี้ สารภาพตามตรงว่าเขาชอบมันมากจนถึงขั้นเรียกได้ว่าติดใจ ยิ่งอากาศเย็นสบายอย่างช่วงนี้ เขาก็ยิ่งชอบ
และให้สารภาพจริงๆ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาอยากจะกลับมาที่นี่เรื่อยๆ ก็เพราะไอ้ร่างสูงยาวที่นอนไม่สนโลกภายนอกใดๆ นั่นด้วยแหละ ที่จริงเขาคงจะไม่สังเกตเห็นหรอกถ้าหมอนั่นมันจะไม่โดดเด่นเสียขนาดนั้น
ก็จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เด็กลูกครึ่งต่างคณะที่มีเสียงร่ำลือและเล่าอ้างว่าหล่อเทพที่สุดในสามโลกจากสาวๆหนุ่มๆทั่วมหาวิทยาลัย แน่ล่ะ ใช่ว่าจะมีเด็กลูกครึ่งหน้าตาดีแบบนี้มาเรียนกันบ่อยๆเมื่อไหร่ ไม่จำเป็นต้องอยู่คณะเดียวกันเขาก็พอจะเดาได้อยู่หรอก เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้เท่านั้นเอง
ที่จริงมองจากกระยะไกลๆแบบนี้ ก็พอจะเดาได้ไม่ยากหรอกว่าหน้าตามันดีจริงๆ ผมสีน้ำตาลนั้นขับให้ผิวขาวๆแบบชาวตะวันตกยิ่งดูโดดเด่นขึ้น เขาไม่เห็นหรอกว่าหมอนั่นมีดวงตาสีอะไร รู้แค่ว่า ดวงตากลมโตในเบ้าตาลึกกว้างคู่นั้นส่งเสริมให้ใบหน้าเข้ารูปนั้นสมบูรณ์แบบ ไหนจะจมูกโด่งเฟี้ยว บวกกับริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปนั่นอีก ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า เออหนอ หล่อแบบเทพบุตรมันเป็นแบบนี้นี่เล่า
แล้วที่มันน่าแปลกก็คือ เวลาที่เขาได้มองร่างนั้นนอนอยู่อย่างสงบแบบนี้ จิตใจก็เลยพลอยสงบไปด้วยเหมือนกัน โชคดีว่าจากมุมที่เขานั่งอยู่นี้ อีกฝ่ายไม่น่าจะจับสังเกตได้ว่ามีใครกำลังจับตามองอยู่
ร่างขาวๆของนทสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะผวาลุกขึ้นและยกข้อมือขึ้นดูเวลา บ่ายสามโมงครึ่งแล้วหรือนี่ เผลอหลับไปนิดเดียวแท้ๆ เขาไม่ลืมจะหันไปมองม้านั่งยาวที่คุ้นตา และพบว่าไม่มีร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ถึงเวลากลับไปที่คณะเสียที
**************************
“ไอ้นท” เออหนอ เห็นทีจะหนีไม่พ้นจริงๆแน่แล้ว
“ว่าไงพล” นทหันไปทางต้นเสียงอย่างเสียไม่ได้
“มึงหายไปไหนมาวะ โทรไปก็ไม่รับสาย น้องทรายเขามารอมึงโคตรนาน มึงปล่อยให้เขารอมึงเก้อแบบนี้ได้ยังไง” พลต่อว่าเขาเสียงดังกว่าปกติ คงเพราะฉุนที่เพื่อนตัดสายแถมปิดโทรศัพท์เสียอีก
“จะไปไหนแล้วมันเรื่องอะไรของใครวะพล มึงเป็นพ่อกูเหรอ ถึงต้องคอยรายงานเวลาจะไปไหนมาไหน” นทสวนกลับอย่างเหลืออด ที่ระยะหลังไอ้เพื่อนคนนี้ชักจะล้ำเส้นเขาอยู่บ่อยๆ
“ผู้หญิงเขามาหา ปล่อยให้เขาคอยได้ไงวะ”
“กูขอให้ใครมาคอยกูเหรอ เขาเป็นอะไรกับกู”
“ไอ้นทมึงทำงี้ได้ไง ถ้าทรายไปฟ้องน้องวา กูจะทำยังไง”
“ไอ้ห่าพล กูถามมึงจริงๆ ถ้าน้องวามึงจะไม่คบมึงเพราะกูไม่ยอมคบน้องทราย มึงจะทำไงวะ” นทถามไปตรงๆพร้อมสะกดอารมณ์ต็มที่
“โถ่ ไอ้นท เห็นแก่เพื่อนเถอะวะ กูชอบน้องวาเขาจริงๆนะ ถ้ามึงไม่ช่วยกู ใครจะช่วย กูขอล่ะนะ มึงไปคุยกับน้องทรายเขาบ้างเถอะ แค่นี้น้องเขาก็ดีใจแล้ว ถือว่าทำเพื่อกูนะนท” พลใช้ไม้ตาย ยกมือไหว้ท่วมหัว ทำหน้าตาเหมือนคนอับจนหนทางเต็มที่ ใจแข็งอย่างนทก็มีอันใจอ่อนจนได้
“กูไม่รับปากนะเว้ยพล กูไม่ชอบทำอะไรฝืนใจมึงก็รู้ แค่นี้มึงก็ทำกูลำบากใจจะแย่” นทขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เอาน่านท ช่วยกูนิดนึง”
ร่างสูงเพรียวของนทผละจากพลมาได้ ก็บังเอิญเจอกับทราย สาวงามประจำคณะที่มานั่งรอเขาเป็นชั่วโมงที่เดินสวนมาพอดี อะไรมันจะพอดีไปหมดขนาดนี้นะ
“พี่นท ทรายมารอตั้งนานน่ะค่ะ” เออหนอ ผู้หญิงก็สวย แถมมามีใจให้ด้วยแบบนี้ เป็นผู้ชายคนอื่นอาจจะตีปีกด้วยความดีใจไปแล้ว แต่นี่เขาไม่เพียงจะไม่ได้ชอบ ขนาดพูดคุยกันยังนับครั้งได้ แล้วจะให้เขาชื่นชมยินดีกับการที่จู่ๆมีผู้หญิงมานั่งเฝ้าเทียวไปเทียวมาอย่างนี้ได้ยังไงกัน
“ครับ พลมาบอกแล้ว”
“ทรายจะมาชวนพี่สองคนไปดูหนังกัน วาก็ไปนะคะ”
แค่มาชวนไปดูหนัง ต้องถึงกับมารอเขาอยู่ที่นี่เลยหรือเนี่ย
“คือพี่... “
“ไปด้วยกันนะคะ ทรายไม่อยากให้พี่พลเขาผิดหวัง” แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาวะเนี่ย ผู้หญิงนี่บางที่ก็ทำอะไรเข้าใจยากเสียจริง “นะคะ”
“ไปก็ไป” รับปากไปเพื่อตัดปัญหา และถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้พลด้วย ต่อไปมันจะได้เลิกใช้เขามาเป็นข้ออ้างเสียที
“ถ้างั้นวันอาทิตย์นี้ เที่ยง เจอกันนะคะ” ทรายบอกสถานที่นัดพบก่อนจะบอกลาอย่างติดจะร่าเริงเกินปกติไปสักหน่อย
***************************
แรงเขย่าเบาๆนั่นทำให้ร่างขาวๆของนทสะดุ้งตื่น
ตายล่ะวา นี่เขาเผลอนอนหลับเข้าไปได้ยังไง หลับลึกเสียด้วย พอจะตั้งสติได้ก็เพิ่งจะสังเกตว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวเหมือนทุกครั้งเสียแล้ว และแทบจะตกเก้าอี้เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าที่อยู่ห่างจากเขาไม่กี่นิ้วนั้น เป็นใบหน้าของร่างที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดีมาหลายวัน เพียงแต่วันนี้มันไม่ได้ทิ้งระยะห่างเหมือนทุกครั้ง แต่อยู่ตรงหน้าเขาแค่นี้เอง
“นาย เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มใหญ่นั้นถามอย่างติดจะเป็นห่วงอยู่ในที
“ทำไม...” นทยังไม่แน่ใจนักกว่าเกิดอะไรขึ้น
“นายนอนหลับไปนานมากผิดปกติ คิดว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เลยตัดสินใจเดินมาปลุก”
“ฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย” นทถามราวกับรำพึงกับตัวเอง
“สองชั่วโมงล่ะมั้ง”
“นานขนาดนั้นเชียวหรือ” นททำตาโต ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองราวกับกำลังพยายามเรียกสติให้กลับมา ก่อนจะเบิกตามองร่างสูงใหญ่ข้างตัวเขาอีกครั้ง “แล้วนายมาได้ยังไงเนี่ย”
“อ๋อ... ก็...” ใบหน้าหล่อคมแบบลูกครึ่งยิ้มออกมา “ฉันเห็นนายมานั่งที่นี่เกือบทุกวัน”
“นายเห็นฉัน ทุกวันเลยหรือ”
“ก็ทุกครั้งที่นายมานั่นแหละ” ภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยะชนิดที่ว่าถ้าหลับตาฟังก็คือคนไทยพูดดีๆนี่เองพรั่งพรูออกมา สร้างความประหลาดใจให้กับนทอย่างยิ่ง อันที่จริงในหัวของนทตอนนี้ นอกจากจะยังไม่หายมึนกับการสะดุ้งตื่นแบบปุบปับ เขายังงงไม่หายกับการที่จู่ๆคนที่เขาเฝ้ามองมาหลายวันมานั่งอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้ แถมยังพูดไทยได้ชัดแจ๋วเสียด้วย ทำไมไม่ค่อยทยอยมากันทีละอย่างวะเนี่ย มันรับไม่ทันจริงๆ
“ฉันชื่อเจฟ” เสียงนุ่มนั้นเอ่ยแนะนำตัว ก่อนจะยื่นมือออกไป
“นท ยินดีที่ได้รู้จัก” ว่าพลางยื่นมือออกไปจับ
“ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการเสียทีนะ” นทเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเต็มที่ ทำเอาเจฟยิ้มกว้างขวางออกมา
“ฉันเห็นนายจากตรงนั้นทุกวัน ไม่บ่อยหรอกที่จะเห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันในที่แบบนี้ มันก็ต้องสะดุดตาเป็นธรรมดา”
“แต่ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเป็นใคร” นทยิ้มออกมาได้บ้าง “นายออกจะดัง แล้วก็สะดุดตาเสียขนาดนี้”
“งั้นหรือ ฉันดังขนาดนั้นเชียว” บรรยากาศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้เจฟนั่งลงบนม้านั่งยาวข้างคู่สนทนาอย่างไม่ถือเนื้อถือตัวอันใดอีกต่อไป
“ปีนึงจะมีลูกครึ่งเข้ามาเรียนซักกี่คนกัน”
ไม่น่าเชื่อว่า การพบกันเป็นครั้งแรกจะมีเรื่องราวให้พูดคุยถามไถ่กันถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มสนทนากันอย่างออกรสอยู่เป็นนาน ชนิดที่รู้ตัวอีกทีก็ห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว
“คงต้องกลับเสียที” นทเอ่ยขึ้น
“ใจจริงฉันอยากจะชวนนายไปหาอะไรง่ายๆทานแถวนี้อยู่เหมือนกัน แต่เผอิญมีธุระเสียก่อน” เจฟว่า “วันนี้ก็วันศุกร์แล้วด้วย เอาไว้โอกาสหน้านะ”
นทพยักหน้ารับง่ายๆพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ ก่อนจะแยกย้ายกันตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ที่แน่ๆหัวใจมันพองฟูอย่างไรพิกล
*************************
หัวใจมันช่างแห้งเหี่ยวเมื่อนทตื่นรับอรุณในวันอาทิตย์ จะดีกว่านี้ไหมนะ ถ้าวันนั้นเขาไม่รับปากทรายไป ไม่เอาอีกแล้วความรู้สึกแบบนี้ วันนี้เขาจะบอกทรายไปตรงๆว่า เขาคิดอย่างไร และไม่อยากจะฝืนใจอีกต่อไปแล้ว ไอ้พลมันจะไม่นับเป็นเพื่อนอีกก็ช่างมัน จะเสียเพื่อนเพราะเรื่องแบบนี้ก็ให้มันรู้ไป
ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะจับรถไฟฟ้าไปตามนัดที่ทั้งไอ้พลและน้องทรายย้ำนักย้ำหนาว่ายังไงเขาก็ต้องมาให้ได้ ดูเอาเถอะ แฟนก็ไม่ได้มีกับเขาเป็นตัวเป็นตน พอมีคนมาชอบ ก็ดันเป็นเสียแบบนี้ นี่เขาก็พยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองนะว่า ตัวเองไม่ใช่คนขี้เหร่ เพื่อนฝูงคนรู้จักก็ชมว่าหน้าตาดี แล้วก็ตบท้ายทุกครั้งว่า แล้วทำไมไม่มีแฟน
ก็มันไม่เจอคนที่ชอบจะมีได้ไงวะ แฟนนะเว้ยไม่ใช่ไอแพด แค่เจอก็ชอบได้เลยแบบนั้น
“ไอ้นท” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมอง ถึงได้เห็นว่า เพื่อนซี้จับมือสาววาแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้แน่น ท่าทางก็เหมาะสมกันดี จะไม่ปลื้มก็อีตรงเงื่อนไขประหลาดนี่แหละ ถ้าน้องวาบอกเลิกไอ้พลด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่ยอมคบน้องทราย งานนี้จะยุให้เพื่อนเลิกสาวแน่นอน เป็นไงเป็นกันสิน่า
ทรายเดินทางตามมาติดๆ ครบองค์ประชุมพอดี เห็นหน้าตาแช่มชื่นมีความสุขของเพื่อนก็ให้สะท้อนใจ หลงสาวอาการหนักจริงๆ พลเอ๋ย
“เดี๋ยวให้พี่พลกับวาไปร้านอาหารก่อนก็แล้วกันนะ ทรายมีอะไรจะบอกพี่นทนิดหน่อย” ทรายเอ่ยขึ้นหลังจากที่คู่รักเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่ไหนดี
นทนิ่วหน้าอย่างไม่สู้จะเข้าใจนัก แต่ก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน ที่จะได้พูดคุยกับเด็กสาวให้เข้าใจเสียที เพราะสารภาพตามตรง เขาไม่ได้มีอารมณ์อยากจะไปกินข้าวกับใครนักหรอก
“ทราย พี่...” ทรายยกมือขึ้นห้ามก่อนจะลากเด็กหนุ่มให้เดินตามไป
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยค่ะพี่นท ทรายเข้าใจ ตอนนี้ทรายขอแค่พี่ตามทรายมาแป๊ปเดียวนะคะ”
นทไม่เอ่ยอะไรอีก ได้แต่เดินตามทรายไปแต่โดยดี ในใจคิดสงสัยแค่ว่าหมายความว่าอย่างไรที่เด็กสาวบอกว่าเข้าใจ จะเข้าใจได้ยังไง คุยกันนับครั้งได้ขนาดนี้ ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเสียจริง ทรายจับข้อมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหน พลางตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างไม่สนใจใคร
เด็กสาวพาเขาเดินข้ามมาอีกฝั่งที่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แล้วจึงพาเดินลงบันไดเลื่อน เดินต่อไปอีกนิด ก็ถึงร้านกาแฟชื่อดังตั้งอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน ทรายหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มแล้วโพล่งออกไปว่า
“ทรายไม่ได้ชอบพี่นท” คนฟังได้แต่ทำตาโตกับคำพูดของเด็กสาวที่เอ่ยออกมาแบบไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว “หมายถึงไม่ได้ชอบพี่นท แบบนั้น... แบบพี่พลชอบวาน่ะค่ะ”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังทำหน้างงไม่เลิก ทรายก็พูดต่อชนิดไม่มีจังหวะให้ได้แทรก
“ทรายขอโทษที่มัดมือชกพี่นท สร้างเงื่อนไขที่ทำให้วากับพี่พลลำบากใจ ทรายไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
“แล้วทรายทำไปทำไม พี่ยังไม่เข้าใจเลย” นทถามออกไปแบบงงๆ
“มีคนขอร้องทรายมา”
“มีคนขอร้อง? ใครขอร้องอะไรประหลาดแบบนี้ครับ”
“พี่ชายทราย”
“หา!?!?” งงเป็นไก่ตาแตกเลยทีนี้
“ทีแรกเขาจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่วันก่อนเขามาบอกทรายว่า พอจะมีหวัง”
“ทรายครับ... คือว่า... พี่... “ พี่ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น นทอยากจะบอกออกไปใจจะขาด
“พี่ชายทรายบอกว่า ในที่สุดพวกพี่ก็ได้คุยกันแล้ว” เด็กสาวหันเข้าไปมองในร้าน นทมองตามก่อนที่จะอ้าปากค้าง เมื่อร่างอันคุ้นตานั้นหันมาทางเขากับทราย ก่อนจะลุกออกมา
“หวัดดีนท” เสียงทุ้มหูนั่นเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปบอกแก่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวว่า “ขอบใจนะทราย ขอโทษที่ต้องให้ทำอะไรแบบนี้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
“เจฟเหรอ?” ปากเรียกชื่อไปอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าสมองจะยังตามอะไรไม่ทันนัก
“พี่นท อย่าไปโทษพี่พลกับวานะคะ ทรายขอเขาไว้เอง ทรายไปก่อนนะ พวกพี่คุยกันให้เข้าใจนะคะ” ก่อนที่จะมีใครได้ทันพูดอะไรออกไป เด็กสาวก็เดินผละออกไป
“นาย... ตกลงมันเป็นยังไงไปยังไงเนี่ย งงไปหมดแล้ว”
“ไปนั่งคุยกันตรงนั้นไหม” ร่างสูงใหญ่กว่า ชี้ไปยังโต๊ะที่เขานั่งครอบครองอยู่ก่อนแล้ว นทเดินตามไปนั่งพร้อมกับคำถามมากมายที่ตีกันอยู่ในหัว
“ฉันรู้จักนายมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ แล้วฉันก็อยากจะรู้จักนายให้มากขึ้น” เจฟโพล่งออกมาชนิดไม่รอให้นทได้ทันตั้งตัว “คิดหาวิธีที่จะเข้าไปคุยกับนายอยู่นาน จนกระทั่งวันนึงเกิดโชคดีอะไรขึ้นมาไม่รู้ ไปเห็นนายที่สวนสาธารณะใกล้มหาวิทยาลัย ฉันก็คอยมองนายมาตลอด ก่อนหน้านั้นก็ไหว้วานทรายให้ช่วย ก็จังหวะที่เพื่อนนายมาขอคบเพื่อนน้องสาวฉันพอดี ก็เลย... ขอโทษนะที่ใช้วิธีแบบนี้” เขาก้มหน้าขอโทษเป็นการสำนึกผิด “วันก่อนฉันเห็นนายนอนนิ่งไปนาน เป็นห่วงก็เลยลองปลุกดู ฉันดีใจนะ ที่นายรู้จักฉัน แล้วก็คุยกับฉันแบบนั้น”
“เดี๋ยวนะ...” นทยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามอะไรสักอย่าง “นายกำลังบอกว่า นายสนใจฉัน เหรอ?”
“ฉันอยากคบกับนาย”
สมกับเป็นลูกครึ่ง ตรงเป็นบ้าเลย
“นายเป็นผู้ชายนะเว้ย ฉันก็เป็นผู้ชาย”
“เออ รู้ ทีแรกถึงไม่กล้าไง” เจฟว่าอย่างหงุดหงิด “แต่พอได้คุยกัน ฉันว่าฉันชอบนายจริงๆ นอกเสียจาก...”
“นอกจากอะไร”
“นอกจากนายจะรังเกียจฉัน”
“ใครจะไปรังเกียจนายวะ!” โพล่งออกไปเร็วกว่าที่ใจคิด ถึงรู้ว่าเสียท่าเข้าให้แล้ว
“นายไม่รังเกียจฉัน?”
นทถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน คำถามมันจะต้องเจาะลึกขนาดไหนวะเนี่ย เกิดมาไม่เคยมีใครมาขอคบด้วยตรงๆขนาดนี้ ยิ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ไม่เคยรังเกียจเลย”
“แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับตอนนี้” นทเห็นรอยยิ้มโล่งใจปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย
“น้องทรายกับนายเป็นพี่น้องกันจริงๆหรือ” เขาถามโพล่งออกไปด้วยความสงสัยมากกว่าจะคาดคั้นจริงจัง
“พ่อเขาแต่งงานกับแม่ฉัน” ตั้งแต่เรายังเด็กๆแล้ว เป็นพี่น้องกันมาสิบกว่าปี จนลืมไปแล้วว่าเราไม่มีความผูกพันทางสายเลือดกัน” เจฟยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อพูดถึงน้องสาวคนละพ่อคนละแม่ “ก็โตมาด้วยกันนี่นะ”
“ฉันแอบไม่ชอบน้องเขามาตั้งนาน เพราะไอ้เรื่องมัดมือชกนี่แหละ” นทว่าขึ้นลอยๆ “คงต้องมองน้องเขาใหม่แล้ว”
“เขารักพี่เขาไง”
“นายนี่ หน้าตาดี แต่ไหงหลงตัวเองจัง” นทเอ่ยหน้าตาเฉย เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากอีกฝ่ายได้ชนิดฟังชัด
“หิวแล้ว หาอะไรกินกันนะ”
“ต้องไปร้านเดียวกับไอ้พลกับน้องวาด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่เอา เรื่องอะไร” เจฟรีบส่ายหน้าก่อนจะจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตากรุ้มกริ่มที่นทรู้สึกตะหงิดๆว่า น่าถีบมากกว่าน่าชม “อุตส่าห์ได้เดตกับนายครั้งแรกทั้งที”
“หน้าตาไม่เหมาะพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้เลย” คนฟังพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะอยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
เจฟลุกขึ้นยืนพลางพยักเพยิดให้อีกฝ่ายลุกขึ้นบ้าง เขาให้นทเดินนำออกไปก่อน แล้วจึงเดินตามไปติดๆ
และคนรอบคอบอย่างเขาถ้าไม่ทำอะไรให้ชัดเจนจนแน่ใจเสียแล้วล่ะก็ มันจะติดอยู่ในใจแบบนี้แหละ ว่าแล้วก่อนจะเดินออกจากร้าน เขายื่นหน้าเข้าไปเพื่อนกระซิบให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆว่า
“เราคบกันอย่างเป็นทางการแล้วนะ”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยตอบรับอะไรออกไป แต่ท่าทางเสียอาการบวกกับใบหูที่ร้อนจนแดงฉ่านั้น เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เป็นฝ่ายตกหลุมรักข้างเดียวอย่างแน่นอน
------------------------ END ---------------------
เรื่องนี้ใช้เวลาเขียนค่อนข้างสั้น อารมณ์จะคล้ายกับอ่านหนังสือการ์ตูนบอกไม่ถูก แต่มันก็เรียบง่ายไปอีกแบบนะคะ ^^