[MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!  (อ่าน 61342 ครั้ง)

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยย น่ารักที่สุด
ชอบการ์เดี้ยนตอนนี้มากๆๆๆ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
และแล้วก็เสร็จผู้จัดการ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
โซ่มันเฮี้ยวค่ะ แต่กับพี่เชษฐ์ เอาจริงๆก็เก่งแต่ปาก ชั่วโมงบินมันผิดกัน

ส่วนคนที่สงสัยว่า อายุของคู่นี้ห่างกันแค่ไหน โซ่อายุเกือบ 20 แล้ว ส่วนเชษฐ์ประมาณ 30 ต้นๆ ไม่ห่างกันเท่าไหร่หรอกค่ะ ตอนบรรยายอาจจะทำให้รู้สึกว่าแก่ประสบการณ์เลยเหมือนว่าจะแก่กว่านี้มาก จริงๆเรามีพี่น้องเพื่อนฝูงที่ทำอาชีพแบบนี้อยู่ หลายๆคน อายุยังไม่เยอะเท่าไหร่ หรือต่อให้อายุเยอะ ส่วนใหญ่ก็จะดูเด็กกว่าอายุจริงๆทั้งนั้น

คนทำงานในวงการบันเทิง ส่วนใหญ่จะดูเด็กกว่าอายุจริงค่ะ (แอบอวยตัวเองด้วยเบาๆ ^^'')

ออฟไลน์ kabung

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 468
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-3
อยากจะอ่านตอนพิเศษของทุกคู่เลย แฮ่  :-[

ออฟไลน์ White

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
แอร๊ยย แอบผิดคาด คิดว่า โซ่ จะ รุก ซะอีก

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ชอบเรื่องคุณฮานกับน้องบูลจังเลย จะมีตอนพิเศษมาให้อ่านบ้างหรือเปล่าค่ะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
เดี๋ยวรอโพสต์เรื่องอื่นๆในสต๊อกครบแล้ว จะให้โหวตกันค่ะว่า ใครชอบคู่ไหนมากที่สุด อยากอ่านตอนพิเศษของคู่ใครมากที่สุดนะคะ

แต่คนเขียนแอบหวั่นว่า จะไม่มีคนโหวตมากกว่า เพราะไม่แน่ใจว่ามีคนติดตามอ่านมากน้อยแค่ไหนน่ะค่ะ ^^

ส่วนคู่ล่าสุด... แสดงว่าคนเขียนชี้นำให้คนอ่านเข้าใจผิดได้ตรงบุคลิกน้องสินะคะ โถ... พี่เชษฐ์แกชั่วโมงบินสูงกว่าเยอะค่ะ แถมยังปรบพยศโซ่ได้อยู่มือขนาดนั้น จะโดนกดได้ไงล่ะคะ ^^'''

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
น่ารักทั้ง5เรื่องเลยค่า อ่านจบแล้วยิ้มทุกเรื่องเลย
รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
ตอนอ่านพาร์ทแรกจินตนาการไปว่าท่านผู้จัดการตัวเล็กๆหน้าตาดีแต่สุขุม

แล้วโซ่ต้องเป็นเด็กดื้อตัวโต หล่อเหลา แต่นัยน์ตาเศร้าแต่คิ้วขมวดเสียอีก

มาอ่านตอนจบ
ท่านผู้จัดการกลายเป็นคนแก่เจ้าเล่ห์ตัวใหญ่  น้องโซ่กลายเด็กขี้โวยวายตะแง่วๆเป็นแมวขี้โมโหซะได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
«ตอบ #40 เมื่อ15-01-2012 20:34:20 »

ที่จริงควรจะมาอัปเรื่องใหม่ตั้งแต่วันศุกร์แล้วค่ะ แต่งานเข้าคนเขียน เพราะมีกิจธุระบางประการ ไหนวันเสาร์จะต้องไปดูคอนเสิร์ต AF8 และกลับมาเขียนรีวิวเสียอีก กว่าจะเสร็จก็ค่ำแล้ว พอนึกได้ ก็รีบเข้ามาอัปเรื่องใหม่ให้อ่านกันนี่แหละค่ะ

แต่แหม ไม่น่าเชื่อนะคะว่าเรื่องที่แล้ว ทำให้เพื่อนนักอ่านหลายท่านจินตนาการไปได้หลากหลายแบบขนาดนั้น เราชอบนะคะ รู้สึกสนุกไปอีกแบบด้วย

หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ชื่นชอบอีกเหมือนกัน หนนี้ย้ายโลเกชั่นไปอยู่ญี่ปุ่นโน่นแน่ะ อย่าได้สงสัยไปว่าเอะอะอะไรก็ญี่ปุ่น เนื่องจากคนเขียนชื่นชอบ รู้จัก และผูกพันกับประเทศนี้มากเป็นพิเศษ ก็เลยหยิบเอามาเขียนถึงบ่อยๆเท่านั้นเองค่ะ

อ่านให้สนุกนะคะ ^^

--------------------------
เรื่องสั้น 7: Insomnia
   
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด มือข้างหนึ่งขยี้ผมตัวเองไปมาอย่างหงุดหงิด กี่โมงแล้วนะ? เขารำพึงกับตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปมองนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่บนหัวนอน
   
ตีสาม
   
แม้ว่าจะพยายามมาตั้งแต่ยังไม่เที่ยงคืน แต่ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเสียที ทั้งที่น่าจะชินกับมันได้แล้วแท้ๆ ไม่ต้องไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไหนดูก็รู้ว่าเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ ที่แย่ไปกว่านั้น เขามีอาการนี้มานานร่วมปี จากที่นานๆจะนอนไม่หลับสักครั้ง ก็เริ่มที่จะถี่ขึ้น นานวันเข้าก็กลายเป็นว่า แต่ละคืน เขาข่มตาให้หลับลงได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
   
สำหรับเขามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่มันน่ารำคาญเหลือเกินนี่เล่า ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ สำหรับคนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวแถมอยู่ห่างบ้านห่างเมืองอย่างเขา อาการแบบนี้รังแต่จะทำให้อาการเหงาจับใจเพิ่มมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
   
ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้น รู้ดีว่าจะฝืนใจบังคับร่างกายให้นอนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ มันไม่ง่วงจะให้ทำอย่างไร ว่าแล้วก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อแจ็กเก็ตตัวอุ่นก่อนจะเดินไปเปิดโคมไฟขนาดเล็ก ที่แม้จะให้ความสว่างแค่เพียงสีส้มนวลตา แต่ก็ดูเหมือนจะเพียงพอแล้วสำหรับห้องพักขนาดเล็กเท่านี้ เจ้าตัวเปิดม่านหน้าต่างเพียงบานเดียวของห้อง ภายนอกท้องฟ้ายังมืดมิด อีกทั้งยังเงียบสนิทเพราะคนส่วนใหญ่น่าจะกำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ทีเดียวซึ่งแตกต่างจากสภาพของเขาในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
   
เจ้าตัวเปิดโน้ตบุ๊ก สมบัติล้ำค่าไม่กี่ชิ้นที่เขานำติดตัวมาด้วยเมื่อคราวที่ตัดสินใจว่าจะลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ ก่อนจะเดินทางไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเหมือนอย่างที่ฝันเอาไว้เสียที ด้วยเหตุผลใหญ่ๆสองประการ ข้อแรกพ่อกับแม่ของเขาเสียไปแล้วทั้งคู่ เขาไม่มีพี่น้อง มีเพียงญาติห่างๆที่นานๆจะเจอกันสักที จึงไม่มีเหลือภาระผูกพันอะไรอีก และข้อสุดท้ายเขาเริ่มจะไม่มีความสุขกับงานประจำที่ทำอยู่นานหลายปี แม้ว่ามันจะทำให้เขามีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทนทุกข์อยู่กับมันอีกต่อไป
   
เมื่อเดินเรื่องเอกสารจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ร่ำลาเพื่อนๆ ก่อนจะตัดสินใจมาใช้ชีวิตเป็นนักเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นในที่สุด ง่ายๆตามประสาคนตัวคนเดียวแบบนั้นแหละ ถึงตอนนี้ก็ปีกว่าเข้าไปแล้ว แม้ชีวิตในญี่ปุ่นของเขาจะไม่มีอะไรหวือหวาแต่โดยรวมๆก็ถือว่ามีความสุขดีตามอัตภาพ
   
เขาไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเรียนเอาปริญญาด้านใดเป็นพิเศษ เพราะความสนใจของเขาก็คือเรื่องของภาษา ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาทำหลังจากที่ทำเรื่องหาที่พักเรียบร้อยแล้วก็คือหาที่เรียนภาษาญี่ปุ่นให้เป็นเรื่องเป็นราว เมื่อมีที่เรียนก็เริ่มที่จะมีเพื่อนและคนรู้จักกันมากขึ้น ทำให้มีการแนะนำต่อๆกันมาจนในที่สุด เขาก็ได้งานพิเศษเป็นพนักงานประจำร้านอาหารไทยไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่มีชื่อเสียงเอาการแห่งหนึ่งของเมืองนี้ บวกกับที่เจ้าของร้านเองก็เป็นคนไทย อีกทั้งยังใจคอกว้างขวาง เด็กหนุ่มจึงให้ความนับถือเจ้าของร้านราวกับเป็นพ่อคนที่สองของเขาไปในที่สุด
   
หลังจากเปิดเครื่องไปได้สักพักและตั้งสติได้หลังนั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เจ้าตัวก็คลิกเข้าไปอ่านเมล์ที่เพื่อนฝูงจากเมืองไทยส่งมาบ้าง เข้าไปอ่านกระทู้นั่นบ้างนี่บ้าง ก่อนจะคลิกเข้าไปในบล็อกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง เขายอมรับว่า ตัวเองไม่ใช่คนที่เก่งกาจในเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์อะไรมากมาย ก็แค่พอจะใช้เป็นบ้างเหมือนคนทั่วไปก็เท่านั้น การทำบล็อกก็เหมือนการเขียนไดอารี่ที่ต้องใช้ความสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอีกหน่อย แรกๆก็ออกจะลำบากไปบ้าง ตอนหลัง พอได้คลุกคลีกับมันนานๆเข้า บล็อกจึงกลายเป็นงานอดิเรกที่ออกจะจริงจังอยู่สักหน่อยสำหรับเขา
   
ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไป “อัปบล็อก” ของเขาทุกวัน ไม่ได้เข้าไปตกแต่งบล็อกให้สวยงามฉูดฉาดเกินไป แต่พยายามทำให้มันดูเรียบง่ายและน่าอ่านมากกว่า เพราะเขาเป็นคนชอบเขียน และประสบการณ์ในช่วงปีกว่าๆของเขาที่ญี่ปุ่นก็ดูจะเป็นแหล่งทรัพยากรชั้นดี เมื่อไรที่มีเรื่องสนุกๆ เช่นว่าเขามีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหน หรือได้พบปะเหตุการณ์อะไร ก็จะนำไปบันทึกลงในบล็อกนั่นแหละ จากที่เขียนเอาสนุกๆ ก็กลายเป็นว่ามีคนสนใจเข้ามาอ่านจากคนไม่กี่คน กลายเป็นหลายร้อย ถึงหลายพันคน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คนพวกนี้มากจากไหน แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เขารู้สึกดีและรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นมันมีคุณค่าอะไรบางอย่างเกินกว่าที่ตัวเองจะคาดคิดเอาไว้มากนัก
   
และบล็อกก็ช่วยได้มาก ในเวลาที่เขานอนไม่หลับแบบนี้

***********************************   
   
“เมื่อคืนก็นอนไม่หลับอีกแล้วหรือนิน” เสียงทุ้มใหญ่ของเจ้าของร้านเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกค้าในร้านเริ่มจะเบาบางลงบ้างแล้ว
   
“สังเกตได้ชัดขนาดนั้นเลยหรือครับพี่ฐา” เด็กหนุ่มหันไปถามเสียงเนือยๆ ก่อนจะนั่งพักเอาแรงหลังเดินวุ่นไม่หยุดติดต่อกันมาไม่น่าจะต่ำกว่าสามชั่วโมง พักหลังเขาเริ่มรู้สึกว่า ลูกค้าในร้านชักจะเพิ่มมากขึ้นจนรู้สึกได้เลยทีเดียว
   
“ขอบตาดำเป็นหมีขนาดนั้น” เจ้าของร้านพูดติดตลก
   
“ตั้งแต่ออกจากงานที่เมืองไทยมา ผมก็เป็นมาตลอดเลยนะพี่” นินเอ่ยเพลียๆ “ตอนกลางวันก็มีรู้สึกเหนื่อยๆง่วงๆนะครับ แต่พอตอนกลางคืน ถึงเวลานอนมันกลับไม่ยอมนอนซะอย่างนั้น ยิ่งพยายามก็ยิ่งข่มตาไม่ลง”
   
“เป็นเพราะอะไรนะ” เชษฐารำพึงขึ้นอย่างนึกเป็นห่วง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ลูกค้ากลุ่มใหม่ก็เดินเข้ามาในร้านพอดี เป็นอันจบบทสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพการนอนของเขาลงแต่เพียงเท่านั้น
   
กว่าทุกอย่างจะสงบลงก็เกือบจะห้าทุ่มเข้าไปเต็มที “พี่ต้องขอโทษน้องทุกคนด้วยนะที่ทำให้ต้องอยู่ดึกกันขนาดนี้” เชษฐาโค้งน้อยๆเหมือนคนญี่ปุ่นไม่มีผิด สำหรับลูกจ้างในร้าน แทบทุกคนไม่มีใครโกรธหรือเกลียดเชษฐาได้ลง เพราะความที่เป็นผู้ใหญ่มีน้ำใจต่อเด็กไทยที่มาเรียนที่ญี่ปุ่นนั่นเอง ใครขาดเหลืออะไรก็ได้พี่ฐาของน้องๆนี่แหละที่ยื่นมือเข้าไปช่วยแบบไม่มีอิดออด อีกทั้งยังปฏิบัติกับทุกคนราวกับเป็นญาติพี่น้องก็ไม่ปาน
   
จำได้ว่า มีอยู่หนหนึ่ง นักร้องจากเมืองไทยชื่อดังคนหนึ่งพาเพื่อนฝูงและทีมงานมาทานอาหารไทยที่ร้าน พอมีเด็กที่ร้านไปรับออเดอร์ นักร้องคนที่ว่า ก็ถามอะไรเด็กคนนั้นสักอย่าง ทำนองว่า มาทำมาหากินที่ญี่ปุ่นได้เงินดีไหมด้วยน้ำเสียงติดจะดูถูกอย่างไรพิกล พี่ฐาคนนี้นี่แหละที่ทำหน้าที่ตอบคำถามนั้นเสียเองว่า เด็กร้านนี้มีฐานะทางบ้านดีๆทุกคน ที่มาญี่ปุ่นก็เพราะตั้งใจมาเรียน และอยากที่จะทำงานพิเศษไปด้วยเท่านั้นเอง ก่อนที่จะชี้ไปทางเด็กคนนั้นพร้อมยืนยันว่าเป็นลูกเจ้าของบริษัทอะไรสักอย่าง แล้วจึงชี้ไปทางนินพร้อมกับบอกว่า เขาส่งเสียตัวเองเดินทางมาที่ญี่ปุ่นเพื่อนเรียนภาษา และพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นนานหลายปีเสียด้วยซ้ำ ทำเอานักร้องคนนั้นพูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนานเลยทีเดียว
   
คนเรานี่หนอก็แปลก ทำไมต้องชิงตัดสินคนอื่นไปเสียก่อนเพียงแค่มองเห็นกันแค่ภายนอก ทั้งที่โอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกันนั้นเรียกว่า แทบไม่มีด้วยซ้ำ
   
หลังจากที่ช่วยเชษฐาปิดร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นินเลือกที่จะเดินฆ่าเวลากลับห้องพักของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก ใช้เวลาเดินก็น่าจะกินเวลาไม่เกิน 15 นาที เด็กหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะถอนหายใจออกมาเป็นกลุ่มควันสีขาว เพราะอากาศยามค่ำคืนที่เย็นเยือกลง แล้วตัดสินใจออกเดินไปอย่างไม่รีบเร่งอันใด

************************************
   
สวนสาธารณะเล็กๆแห่งนี้กลายมาเป็นเพื่อนแก้เหงายามค่ำคืนของเขามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว จะว่าไปก็น่าขันที่ในเวลากลางวันสวนแห่งนี้กลับให้ความรู้สึกอีกอย่างที่แตกต่างไปจากเวลาเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง นินรู้สึกเหมือนกับว่า นี่เป็นที่ที่คุ้นเคยสำหรับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น นี่เป็นโลกส่วนตัวของเขา ที่แม้จะเงียบเหงาไปบ้างแต่ก็แตกต่างจากห้องเล็กๆของไปอีกแบบ มันดูกว้างขวาง โปร่งสบาย และสดชื่นกว่าหลายเท่าตัวทีเดียว แน่ล่ะ ถึงจะหนาวไปสักหน่อยสำหรับช่วงปลายปีแบบนี้ก็เถอะ   
   
นินหยิบกระป๋องชาอุ่นๆที่เขาแวะซื้อจากตู้กดระหว่างทางขึ้นมากุมเอาไว้ในมือ ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาเลิกงานแล้วไม่มีที่จะไปต่อ หรือเวลาที่อยู่ในห้องแล้วนอนไม่หลับหนักเข้ามากๆ เขาเป็นต้องมานั่งเล่นอยู่ที่นี่คนเดียวเสมอ บนชิงช้าตัวนี้ แล้วก็ต้องถือเครื่องดื่มอะไรสักอย่างเอาไว้ในมือ ค่อยๆจิบมันไปช้าๆ ดูดาวบ้าง มองอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง คิดอะไรไปเรื่อยๆบ้าง เป็นการฆ่าเวลาที่กลายเป็นเหมือนพิธีกรรมบางอย่างของเขาไปแล้ว
   
อากาศดี บรรยากาศเงียบสงบ เสียอย่างเดียวมันเหงาไปหน่อย ยิ่งบวกกับไอ้อาการนอนไม่หลับของเขาด้วยแล้ว ความเหงาที่มีอยู่ก็ดูเหมือนจะหนักหนาเพิ่มมากขึ้นไปอีกโขทีเดียว แต่ก็จนปัญญาจะทำอะไรกับมันได้ ที่จริงเขาควรจะทำตัวให้คุ้นชินกับมันมาได้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ไอ้ความเหงาที่ว่านี้มันเป็นต้องผุดขึ้นมาตอกย้ำเขาอยู่ร่ำไปนี่สิ
   
จู่ๆ ขณะที่ความคิดกำลังครอบงำเด็กหนุ่มอยู่นั้น เขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำอยู่บนถนนมาแต่ไกล เสียงนั้นเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่า มันหยุดลงไม่ไกล้ไม่ไกลจากสวนที่เขานั่งฆ่าเวลาอยู่นี้เอง
   
นินเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างที่เขาเองก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายยืนนิ่งอยู่ ราวกับชะงักไปที่ได้เห็นร่างของคนนั่งอยู่ในสวนแห่งนี้โดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้คาดคิด ไม่กี่วินาทีถัดมาร่างนั้นก็ค่อยๆเดินตรงมาทางนิน เด็กหนุ่มหรี่ตาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงชิงช้าอีกตัวที่ว่างอยู่ข้างๆเขา ก่อนจะได้ยินเสียงเอ่ยออกมาว่า
   
“ถ้าไม่คิดว่าเป็นการรบกวน ผมขอนั่งด้วยคนได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถามเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างสุภาพเกินกว่าที่คนมาก่อนแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้จะตอบปฏิเสธ
   
“ถ้าไม่กลัวรำคาญก็เชิญครับ”
   
นินมองตามร่างที่กำลังทรุดตัวลงนั่งชิงช้าตัวข้างๆอย่างพินิจพิเคราะห์ ผู้ชายญี่ปุ่นที่ยังดูหนุ่มแน่น ท่าทางดูดีเกินกว่าจะเป็นพวกร่อนเร่ และดูมีสติมากกว่าจะเป็นคนเมา เสี้ยวหน้าด้านข้างดูคมคาย ดวงตากลมสวย คิ้วหนา ผมดกดำ ดูโดยรวมแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด และน่าจะเป็นเพราะสายตาที่ติดจะประเมินอีกฝ่ายอยู่นานเกินไปนี่เอง ทำให้ใบหน้านั้นหันมาสบตากับเขาอย่างติดจะประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออก ทำเอานินรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้โขแต่ก็ออกอาการขัดเขินเล็กน้อยที่ถูกจับได้ว่ากำลังแอบมองอีกฝ่ายอยู่
   
“มีอะไรติดอยู่ที่หน้าผมหรือเปล่าครับ” เขาถาม
   
“เปล่าครับ ขอโทษที” นินเอ่ยขอโทษที่เขาเสียมารยาท “ผมแค่แปลกใจ ไม่คิดว่าดึกคื่นอย่างนี้จะมีใครอยู่แถวนี้ แถมยังคิดมานั่งเล่นในสวนแบบผมอีกต่างหาก”
   
“ผมคงไม่รบกวนคุณนะ”
   
“ไม่เลยครับ ตามสบาย” นินหยุดไปเป็นครู่ “แค่ผมไม่ค่อยชินเวลามีคนอื่นอยู่ด้วยแค่นั้นเอง”
   
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ นินก็ชะงักไปกับอาการของคนตรงหน้า ที่จู่ๆยื่นอะไรมาให้เขาสักอย่าง
   
“น้ำส้มอุ่นๆหน่อยไหมครับ ผมซื้อติดมาหลายกระป๋องเลย” แสงที่พอจะสว่างอยู่บ้างทำให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นมิตรจากคนร่างสูง ทำให้นินไม่อาจจะปฏิเสธน้ำใจเล็กๆน้อยๆอันนั้นได้
   
“ขอบคุณครับ” นินยิ้มตอบกลับไปก่อนจะวางกระป๋องน้ำชาที่เย็นชืดไปนานแล้วลงข้างๆและหันไปรับน้ำกระป๋องใหม่จากแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาถือเอาไว้ในมือ อุ่นดีเหลือเกิน
   
ทั้งคู่เงียบไปเนิ่นนาน ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาก่อน ราวกับเกรงว่ามันจะเป็นการทำลายความเงียบสงบรอบข้างลงไปเสียอย่างนั้น
   
“ผมไม่ทำให้คุณอึดอัดนะครับ” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากนินออกมาจนได้
   
“ผมคงเป็นเพื่อนคุยที่แย่มากเลยใช่ไหม” เขาออกตัวกับอีกฝ่ายเป็นนัยว่า ตัวเองเป็นคนที่พูดไม่เก่งเอาเสียเลย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยิ้ม เหมือนกับจะรอให้เขาพูดต่อ นินจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้บ้าง “ผมมักจะมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียวเสมอครับ ก็เลยรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่จู่ๆก็เกิดจะมีเพื่อนคุยขึ้นมา แต่อย่าเข้าใจผิดว่าผมจะรำคาญนะครับ เปล่าเลย”
   
“แล้วทำไมถึงได้ชอบมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะครับ” ร่างสูงใหญ่นั้นชวนคุย
   
“ผมอยู่คนเดียว ไม่ค่อยได้ออกไปดื่มเที่ยวกับใครที่ไหน ห้องที่อยู่มันก็เล็กแล้วก็อุดอู้ ไม่เหมือนกับบ้านผมที่จากมา”
   
“คุณเป็นคนที่ไหนหรือ”
   
“ผมเป็นคนไทย”
   
“คุณไม่ใช่คนญี่ปุ่นหรือครับ” หนนี้ สีหน้าของเจ้าของใบหน้าคมนั้นแสดงความประหลาดใจออกมาอย่างจริงจัง “ผมเข้าใจว่าคุณเป็นคนญี่ปุ่นมาตลอดเลยนะ”
   
“หน้าผมเหมือนคนญี่ปุ่นนักหรือครับ” นินถามติดตลก
   
“ก็ ที่จริงออกจะดูดีกว่าคนญี่ปุ่นไปเยอะเลย” เขาสารภาพ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากนินได้อีกครา “แล้วคุณก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้ดีมากด้วย”
   
“แค่บทสนทนาทั่วๆไป ก็พอไหวครับ” นินถ่อมตัว รู้สึกว่าอุ่นขึ้นกว่าเดิมเยอะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระป๋องน้ำส้มอุ่นๆนี่ หรือเพราะคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันกันแน่ “ว่าแต่... คุณมาจากไหนครับ ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณเลย”
   
“ผมแค่... นึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ก็เลยเดินเรื่อยเปื่อยมาเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายหรอก”
   
“ไม่ได้อยู่แถวนี้หรอกหรือครับ”
   
“เปล่าครับ” เขานิ่งไปเป็นครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ “แต่กำลังคิดอยู่ว่า น่าจะแวะมานั่งเล่นแถวนี้ให้บ่อยขึ้น” รอยยิ้มนั้นดูรื่นเริงผิดปกติอย่างไรพิกล แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไป อีกฝ่ายก็ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน “คุณเองก็เถอะ ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่กลับไปพักผ่อนล่ะครับ”
   
“ผมนอนไม่ค่อยหลับ” นินว่าอย่างอ่อนใจกับโรคที่เขาเองก็ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดีนี่เหมือนกัน
   
“อะไรกัน ยังหนุ่มแน่น ทำไมนอนไม่หลับ”
   
“นั่นน่ะสิครับ ผมก็ยังไม่แก่สักหน่อยนี่นา ทำไมถึงนอนไม่หลับได้ก็ไม่รู้”
   
“เป็นมานานแล้วหรือ”
   
“เป็นปีๆแล้วครับ เป็นตั้งแต่ทำงาน จนออกจากงาน ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ยังไม่หาย”
   
“แล้วแบบนี้ร่างกายไม่เป็นไรหรือครับ”
   
“ก็... ผมก็ยังโอเคอยู่นะ” นินว่าอย่างไม่แน่ใจ “ก็อาจจะมีนอนน้อยนิดหน่อย แต่ก็ ไม่ถึงกับทำให้สุขภาพย่ำแย่อะไร” นินยักไหล่พลางก้มลงมองกระป๋องน้ำในมือ “แต่มันทรมาณมากกว่า เวลาที่ต้องตื่นอยู่ตลอดขณะที่คนอื่นๆเขาหลับกันไปแล้วแบบนั้น” ราวกับจะเป็นการรำพึงกับตัวเองมากกว่าเล่าให้อีกฝ่ายฟัง
   
ร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่เห็นได้อย่างชัดเจนในยามที่ฟ้าเปิดยามค่ำคืนเช่นนี้ เขานึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่จู่ๆคืนนี้ก็นึกอยากจะเดินเข้ามาแถวนี้ ในยามค่ำคืนแบบนี้ อีกใจหนึ่งก็เฝ้าถามตัวเองว่า ทำไมจึงไม่ค้นเจอสถานที่แบบนี้ให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย เพราะมันช่างเงียบสงบและที่สำคัญ... อบอุ่น... ดีเหลือเกิน เขาหันกลับไปมองเด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าที่นั่งกุมกระป๋องน้ำส้มของเขา จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เด็กหนุ่มคนนี้จะรู้บ้างไหมหนอว่า ตัวเองช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจเขาอย่างประหลาด ใบหน้าขาวสะอาดเหมือนน้ำนมที่ถ้าบอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นเขาก็คงจะเชื่อแบบไม่สงสัยอะไรเลย ดวงตากลมโตคมสวยแบบคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นล่ะที่พอจะทำให้เชื่อได้บ้างว่าเป็นคนต่างชาติ เส้นผมดำขลับที่ยาวระต้นคอโดยข้างหนึ่งเจ้าตัวทัดหูเอาไว้เป็นการตัดรำคาญกลับขับให้ดวงหน้านั้นอ่อนโยนและอ่อนหวานได้อย่างเหลือเชื่อ
   
จู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นที่ใบหน้า ก่อนจะก้มลงมองน้ำกระป๋องในมือของตัวเองบ้าง ราวกับมันมีความสำคัญอะไรหนักหนา ความรู้สึกแบบนี้มันอะไรกันนะ
   
“คุณมานั่งที่นี่บ่อยๆเลยหรือ”
   
“ก็ แทบจะทุกวันก่อนกลับที่พักน่ะครับ อาจจะไม่ดึกขนาดนี้ เพราะวันนี้ที่ร้านเลิกดึกกว่าปกติ” ดวงตาของชายหนุ่มเลิกขึ้น นินจึงอธิบายต่อ “ร้านอาหารไทยที่ผมทำงานพิเศษอยู่ วันนี้ลูกค้าคึกคักกว่าทุกวัน” อีกฝ่ายจึงพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ
   
“งั้น... ผมมานั่งดื่มอะไรเป็นเพื่อนคุณบ่อยๆได้ไหม”
   
หนนี้ทำเอานินหันขวับมาแบบไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังได้ยินนัก ก่อนจะหรี่ตาแสดงความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน
   
“ผมอยากมีเพื่อนนั่งดื่มนั่งคุยแบบนี้บ้าง”
   
“คุณไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้วหรือครับ ถึงได้อยากจะมารู้จักกับคนแปลกหน้าอย่างผมเนี่ย” นินถามอย่างติดจะสงสัยขึ้นมาจริงๆ
   
“มี... ผมมีเพื่อนเยอะแยะ” เขาหันไปมองหน้านินให้ชัดขึ้น “แต่ผมไม่เคยเจอใครแบบคุณ”
   
นินเอียงคอพลางจ้องมองตอบเหมือนกำลังรอคำอธิบายที่ชัดเจนกวานี้
   
“ผมมีแต่เพื่อนที่ชวนกันไปดื่ม เพื่อนที่พูดคุยกันแต่เรื่องธุรกิจ เพื่อนที่จำเป็นต้องรู้จักเพราะความจำเป็นทางสังคม” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยเรื่อยๆ “ผมไม่มีเพื่อนที่จะนั่งลงคุยกันแบบสบายๆได้เหมือนที่ผมกำลังคุยกับคุณอยู่นี่เลย ผมอยากจะมีชีวิตที่ธรรมดาดูบ้าง”
   
“คุณนี่...” นินมองติดจะประเมินอะไรบางอย่าง “ประหลาดดีนะครับ” ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
   
“เพราะฉะนั้น ถ้ามันไม่ทำให้คุณรำคาญนักล่ะก็ ให้ผมมาเป็นเพื่อนคุยด้วยบ่อยๆได้ไหม”
   
นินหรี่ตาข้างหนึ่งไปยังอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยอะไรบางอย่างที่ทำเอาอีกฝ่ายเกือบหลายหลังตกชิงช้า
   
“คุณไม่ได้หวังจะมาหลอกเอาอะไรจากผมใช่ไหม ผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอกนะบอกไว้ก่อน” ชายหนุ่มถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับหัวข้อในการพูดคุยที่พลิกผันไปมาแบบนี้
   
“สัญญาเลยเอ้า ว่ามาผมแค่อยากจะมาพูดคุยกับคุณจริงๆ” เขาว่าพลางยื่นนิ้วก้อยออกไป เรียกร้อยยิ้มจากอีกฝ่ายได้กว้างขวาง ก่อนที่จะยื่นนิ้วก้อยของตัวเองมาเกี่ยวเอาไว้เหมือนเด็กๆ
   
“แค่นั้นก็พอแล้ว” นินเอ่ย “ผมเองก็ไม่มีเพื่อนคุยแบบนี้มานานแล้ว ถึงแม้จะนั่งอยู่คนเดียวก็สบายดี แต่ถ้ามีเพื่อนด้วย มันน่าจะดีกว่าเหมือนกัน”
   
“ขอบคุณครับ” เอ่ยออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า ไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วหนอ
   
นินก้มลงมองนาฬิกา ก่อนจะหันไปมองอีกฝ่าย
   
“ตีหนึ่งแล้วครับ ไม่รู้เลยว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วแบบนี้” เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ “ผมต้องไปแล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหว”
   
“เรียนอยู่หรือครับ” ชายหนุ่มถามพลางลุกขึ้นยืนพร้อมกับอีกฝ่าย
   
“ผมเรียนภาษาอยู่ครับ แล้วก็กำลังมองอยู่ว่าจะเลือกเรียนอะไรต่อดี” นินหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อมายืนอยู่ด้วยกันแบบนี้ ร่างตรงหน้าสูงใหญ่กว่าเขาชนิดที่ต้องเงยหน้าขึ้นมองนั่นแหละ “ถ้างั้น... ผมกลับก่อนนะครับ”
   
“กลับไปแล้ว จะนอนหลับหรือเปล่า”
   
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” นินส่ายหน้าตอบไปตามตรง
   
“ขอให้นอนหลับนะครับ”
   
นินพยักหน้า ก่อนจะโค้งให้อีกฝ่ายน้อยๆเป็นการบอกลา
   
“เดี๋ยวครับ...” เสียงทุ้มใหญ่นั้นเรียกเขา นินหันไปมอง “ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย”
   
จริงสิ คุยกับมาตั้งนาน เขายังไม่รู้ชื่ออีกฝ่ายเลย
   
“ผมชื่อนิน คุณล่ะครับ”
   
“เท็ตสึยะ ผมชื่อเท็ตสึยะ เรียกผมว่าเท็ตสึก็ได้”
   
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อ้อ... แล้วก็...” นินว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำส้มครับ”
   
เด็กหนุ่มหันไปมองอยู่หลายครั้งกว่าภาพของชายหนุ่มที่ยืนโค้งน้อยๆอยู่เป็นระยะให้เขาจะลับตาไป พลางคิดกับตัวเองว่า ถึงแม้คืนนี้จะนอนไม่หลับเหมือนคืนก่อนๆ อย่างน้อยเขาก็มีอะไรให้เขียนถึง ที่แน่ๆมันคงไม่รู้สึกเงียบเหงาเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวท่ามกลางไอเย็นของอากาศยามค่ำคืนที่น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขานึกถึงในตอนนี้
   
----------------------------- END -------------------------

จบแล้วอย่าลืมบอกกันสักนิดนะคะว่าชอบหรือเปล่า ^^

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
«ตอบ #41 เมื่อ15-01-2012 20:49:10 »

ชอบบบบบค่ะ
แต่ต้องจิ้นเองต่อ

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
«ตอบ #42 เมื่อ15-01-2012 21:12:01 »

มักหลายค่าาาาาาาาาาาาาาาา :m1:

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
«ตอบ #43 เมื่อ16-01-2012 19:42:48 »

+1 น่ารักอีกแล้วอ่ะตอนนี้  :o8:
อ่านจบแล้วอยากให้มีตอนต่อไปจัง

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
«ตอบ #44 เมื่อ16-01-2012 20:27:51 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 6: Insomnia - UP!!!
«ตอบ #45 เมื่อ16-01-2012 21:06:13 »

ชอบจ้า o13

น่ารัก :-[

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #46 เมื่อ23-01-2012 19:11:08 »

กลับมาแล้วค่า... ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกท่านจริงๆที่หนนี้มาช้า เนื่องจากติดภารกิจงานแต่งของน้องชาย และต่อด้วยตรุษจีนทันที กว่าจะได้แวะเข้ามาอีกที ก็ขึ้นสัปดาห์ใหม่ไปแล้วเรียบร้อย

ไม่น่าเชื่อนะคะว่า เรื่องที่จะเอามาลงคราวนี้เป็นเรื่องที่ 7 เข้าไปแล้ว ซึ่งแปลว่า มีคู่รักเกิดขึ้นทั้งหมด 7 คู่แล้ว อย่าลืมนะคะ อ่านแล้ว ชอบคู่ไหนในใจ เดี๋ยวอีกสักพักใหญ่ๆ เรามาโหวตกันค่ะ

เรื่องนี้ ขอบอกไว้ก่อนว่า นายเอกของเรื่องมีต้นแบบที่ชัดเจนมากในหัว อ่าบจบแล้วถ้าใครเดาได้ ก็ลองเดาดูค่ะว่า ต้นแบบของนายเอกเป็นใคร ว่าแล้วอย่ารอช้า ตามไปทัศนากันโดยพลัน ^^

อ่านให้สนุกนะคะ

------------------------------------
เรื่องสั้น 7: Postcards
   
นี่เป็นแผ่นที่สิบแล้วสินะ
   
ชายหนุ่มพลิกโปสการ์ดในมือไปมา เขายิ้มก่อนจะอ่านข้อความสั้นๆที่เขียนด้วยตัวหนังสืออ่านง่ายนั้น นึกเดาเอาเองว่า เจ้าของตัวหนังสือน่าจะเป็นคนเนี้ยบทีเดียว ดูจากตัวหนังสือที่เรียงกันเป็นระเบียบ การเว้นช่องไฟ รวมถึงการที่ไม่มีข้อความที่เขียนผิดจนต้องขีดฆ่าเลยแม้แต่นิดเดียว

          ดอกซากุระกำลังบานสวยมาก
          ใช้เวลาที่สวนอุเอโนะมาเกือบครึ่งวัน ไม่เบื่อเลย
          ซากุระดูบอบบาง ร่วงโรยก็ง่าย
          แต่ก็สวยจับใจ ตอนที่ลมพัดแล้วกลีบร่วงลงมา
          แทบจะร้องไห้ ดอกไม้อะไรทำไมมีเสน่ห์ขนาดนี้
            อันดา
         2 เม.ย. 11 @ Ueno
กันย์อ่านซ้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ วันที่เขาได้รับโปสการ์ดใบนี้คือวันที่ 18 เมษายนเข้าไปแล้ว โปสการ์ดก็แบบนี้ กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลานานเหลือเกิน ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า ผ่านไปตั้งเกือบสองสัปดาห์ คนเขียนในตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ
   
สารภาพตรงนี้เลย กันย์ไม่เคยรู้จักคนชื่ออันดานี่หรอก หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่เคยเห็น จำได้แค่ว่า ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนที่แล้ว เขาก็เริ่มได้รับโปสการ์ดจากญี่ปุ่นที่ลงท้ายด้วยชื่ออันดาอยู่เกือบจะแทบทุกวัน จำได้ว่าโปสการ์ดใบแรกทำเอาเขาประหลาดใจไปหลายตลบ นึกไม่ออกว่ามีเพื่อนคนไหนที่ชื่ออันดา แถมตอนนี้ยังอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยอีกต่างหาก ตอนนั้นเขาเกือบนำไปส่งคืนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคอนโดมิเนียมแห่งนี้ไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้เปลี่ยนใจ ตัวหนังสือเพียงไม่กี่บรรทัดสั้นๆ มันช่างดึงดูดใจเขายิ่งนัก เมื่อพลิกอ่านดูที่อยู่ที่จ่าหน้าเอาไว้ ถึงได้เห็นว่า คนเขียนน่าจะจำเบอร์ห้องผิดไป จาก 2101 เป็น 2107 เป็นแน่ ทีแรกเขาไม่แน่ใจว่าเพราะเขียนเลข 1 แล้วอาจจะดูคล้ายกับเลข 7 หรือเปล่า แต่หลังจากที่ได้รับใบต่อๆมา เขาก็เริ่มแน่ใจว่าคนเขียนน่าจะจำเบอร์ห้องผิดไปจริงๆ
   
กันย์เคยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าห้อง 2101 มีคนอยู่หรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกได้เพียงว่ามีเจ้าของแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าย้ายเข้ามาแล้วหรือยัง เพราะคอนโดมิเนียมแห่งนี้เพิ่งจะเปิดใหม่ได้ไม่นาน จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด หากเจ้าของห้องจะยังไม่ย้ายเข้ามาอยู่ทันที ดูอย่างเขานี่ก็ซื้อขาดไปเลย ไม่ได้แค่เข้ามาเช่าอยู่เหมือนบางห้อง กว่าจะเลือกที่พักที่ถูกใจได้ กันย์จำได้ว่าตัวเองต้องเลือกอยู่นานมาก และกว่าจะมาลงตัวที่นี่เขาก็ตระเวณหาห้องพักที่ใช่อยู่นานทีเดียว แม้ราคาจะสูงกว่าหลายๆแห่ง แต่เมื่อประเมินดูแล้ว เขาก็ถูกใจมากกว่าที่อื่น ถึงตอนนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ประมาณห้าเดือนแล้ว
   
ห้าเดือนที่ผ่านมาไม่เพียงแต่จะรู้สึกได้ว่า คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขายังรู้สึกว่ามีความสุขมากขึ้น และมีเวลาเหลือพอที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นมากขึ้นด้วย ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่มาอยู่ที่นี่ แต่ที่ทำให้รู้สึกชัดเจนยิ่งกว่าก็คือ ความรู้สึกอุ่นวาบในใจตั้งแต่ได้รับโปสการ์ดประหลาดใบแรก และกลายเป็นการรอคอยที่มีความหมายมากขึ้นเมื่อได้รับโปสการ์ดใบต่อๆมา
   
เขาอยากจะเจอหน้าเจ้าของโปสการ์ดที่ชื่ออันดาสักครั้ง อยากรู้ว่าคนที่สามารถเขียนถึงอะไรสั้นๆสักอย่างแต่กลับเต็มไปด้วยความหมายอันท่วมท้นได้นั้นจะเป็นคนอย่างไร เขาเดาไม่ออกว่าอันดาเป็นชื่อของผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สน มันไม่สำคัญเท่ากับว่าคนแบบไหนกันที่สามารถเขียนอะไรที่อ่านแล้วอบอุ่น ชวนให้โหยหาอยากทำความรู้จักได้มากถึงเพียงนี้
   
แต่ก็จนใจ
   
กันย์เปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้บนโต๊ะอยู่เป็นนาน งานที่ควรจะเริ่มทำตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ยังไม่ได้เริ่มเลยแม้เพียงนิดเดียว นั่นเพราะโปสการ์ดใบล่าสุดที่ถืออยู่ในมือได้ดึงความสนใจในวันนี้ของเขาไปจนหมดแล้ว อากาศเบื้องนอกในตอนนี้อบอ้าวอย่างยิ่ง เขาอดคิดไม่ได้ว่าที่ญี่ปุ่นในตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ เดือนเมษายนแบบนี้อากาศน่าจะยังเย็นอยู่ เพราะยังเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่จริงเขาไม่ได้สนใจว่าอากาศที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้างมานานมากแล้ว หลังจากที่ไปเที่ยวมาครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แต่โปสการ์ดเหล่านี้ทำให้เขานึกสนใจอยากรู้ขึ้นมาติดหมัด เพียงเพราะว่าคนที่ชื่ออันดาอยู่ที่นั่นในตอนนี้เท่านั้นเอง
   
เขาส่ายหน้าก่อนจะยกกาแฟหอมกรุ่นในมือขึ้นจิบ สายตาละจากภาพทิวทัศน์กรุงเทพฯที่ดูสวยแปลกตาใบอีกแบบเมื่อมองมุมสูงจากชั้น 21 แบบนี้ ก่อนที่จะไปหยุดอยู่บนโปสการ์ดปึกหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน กันย์เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวโปรด คว้าโปสการ์ดใบหนึ่งขึ้นอ่าน เขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าอ่านไปแล้วกี่รอบ แต่ก็ยังชอบที่จะอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่นเอง

   โอไดบะตอนกลางคืนสวยแปลกตา
   อากาศเย็นเยือกกว่าเมื่อตอนกลางวันมาก
   เหงานิดหน่อยที่ต้องยืนดูวิวสวยๆแบบนี้คนเดียว
   แต่ลึกๆก็มีความสุขนะ
            อันดา
         25 มี.ค. 11 @ Odaiba

กันย์ยิ้มเมื่ออ่านข้อความสั้นๆที่เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบคุ้นตาจบลง เขาเคยไปโอไดบะ เมืองที่ถูกสร้างขึ้นจากการถมขยะในทะเล แต่กลับสวยและมีระเบียบจนน่าตกใจ ไปคนเดียวด้วย แต่กลับไม่ได้รู้สึกอะไรลึกซึ้งแบบนี้เลยสักนิดในตอนนั้น คิดแค่ว่าวิวทิวทัศน์ก็สวยดี บรรยากาศก็ค่อนข้างโรแมนติกอยู่สำหรับคนที่เป็นคู่รักกัน เขายืนมองดูน้ำพุเต้นระบำที่โชว์ให้ผู้คนได้ชมกันอย่างตื่นตาตื่นใจตรงอ่าวโตเกียว ก่อนจะตัดสินใจไปหาอะไรทานเพราะหิว ความทรงจำเกี่ยวกับโอไดบะของเขาจบลงเท่านั้นจริงๆ
   
เขาวางโปสการ์ดเรียงกันตามวันที่เขียนกำกับเอาไว้ ศาลเจ้าเมจิ อนุสาวรีย์ฮาจิโกะที่ชิบุยะ ร้านคิโนะคุนิยะที่ตึกทากาชิมายะ และยังมีอีกหลายที่ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่เที่ยวทั่วๆไป แต่วิธีการเขียนถึงแต่ละแห่งในมุมมองของคนเขียนนี่สิ ที่น่าค้นหานัก
   
ทำยังไงดี เขาอยากเจอ และอยากจะรู้จักคนที่ชื่ออันดานี่เหลือเกิน
   
กันย์เท้าคางพลางถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ที่ผ่านมาก็ได้แต่แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ตรงล็อบบี้ว่า หากเจ้าของโปสการ์ดจากห้อง 2101 มาถามถึง ก็ให้แจ้งไปยังห้อง 2107 ได้ทันที และนี่คงจะเป็นเพียงแค่โอกาสเดียวที่เหลืออยู่ของเขาจริงๆ แต่จะให้เขาทำอะไรมากไปกว่านี้ได้อีกเล่า อันดาเป็นใครยังไม่รู้ อย่าว่าแต่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเลย รูปร่างหน้าตายิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วเป็นเจ้าของห้องที่ว่าหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ จะเข้ามาที่คอนโดมิเนียมแห่งนี้บ้างไหมก็ไม่มีใครบอกได้
   
ชายหนุ่มวางโปสการ์ดรวมกลับไปเข้าไว้ในกองของมันอย่างเบามือ ถอนหายใจออกมาเบาๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ ควรจะเริ่มลงมือทำงานได้เสียที อย่างน้อยความฝันเล็กๆที่เข้าขั้นลมๆแล้งๆของเขา ก็พอจะทำให้วันทำงานของเขามีความหมายอยู่บ้าง แม้จะเล็กน้อยไปสักนิดก็ตามที

*******************************
   
“คุณกันย์ครับ”
   
ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะรูดคีย์การ์ดเพื่อขึ้นลิฟท์ไปเหมือนอย่างทุกเมื่อเชื่อวันที่ปฏิบัติตามปกติ
   
“น้าชาญ ว่ายังไงครับ” เขายิ้มกว้างขวางให้กับเจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่ทำหน้าที่ประจำอยู่เคาน์เตอร์ประจำล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมแห่งนี้ แม้อายุจะเข้าเลขสี่ไปหลายปี แต่น้าชาญที่ชายหนุ่มเรียกชื่อจนติดปากก็ยังดูแข็งแรง และกระฉับกระเฉงดี ที่สำคัญน้าชาญของผู้ที่มาพักอยู่ที่นี่ยังเป็นคนอัธยาศัยเป็นเลิศ ชวนให้ใครต่อใครรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้พูดคุยทักทายด้วย
   
“ดูเหมือนว่าห้อง 2101 จะมีคนย้ายเข้ามาอยู่แล้วนะครับ”
   
“จริงหรือครับน้า” ไม่รู้ทำไม หัวใจของกันย์ถึงได้เต้นแรงถึงเพียงนี้ แค่ได้ยินว่าห้อง 2101 กำลังจะมีคนข้ายเข้ามาอยู่เท่านั้น มันเหมือนกับว่า จู่ๆโลกที่เคยหมุนไปแบบเรื่อยๆเอื่อยๆเฉื่อยๆของเขา มันเกิดจะหมุนเร็วขึ้นมาเสียอย่างนั้น และทำเอาหัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปจนรู้สึกได้เลย “แล้ว...” เจ้าตัวเกิดอึกอัก ไม่รู้จะถามอะไรออกไปดีไปเสียฉิบ
   
“ที่จริงก็สองสามวันแล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสเจอคุณกันย์เสียที”
   
“ใครเป็นเจ้าของห้องหรือครับ” ถามออกไปจึงได้รู้ตัวว่าเป็นการละลาบละล้วงเกินไปเสียแล้ว “เอ่อ ขอโทษครับที่เสียมารยาท ผมไม่ควรสอดรู้แบบนั้นเลย คนไม่ได้รู้จักกัน น้าจะบอกผมได้ยังไง ไม่เหมาะแน่ๆ” กันย์เอ่ยราวกับจะพูดเตือนตัวเองไปด้วย
   
ชายวัยกลางคนยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
   
“คุณอันดา...”
   
“ครับ?... อะไรอีกทีนะครับน้า” แค่ได้ยินชื่อที่ออกจากปากอีกฝ่ายก็แทบทำให้กันย์หูอื้อจนแทบไม่ได้ยินว่าน้าชาญพูดว่าอะไร
   
“คุณอันดา เจ้าของห้อง 2101 ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามา ถามผมเรื่องโปสการ์ดครับ” น้าชาญยิ้มอย่างใจดีให้กับชายหนุ่ม “คงเพราะเปิดตู้แล้วไม่เจอ”
   
“น้าชาญบอกเขาไปว่ายังไงครับ” เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นเต้น
   
“ผมบอกว่า คุณที่อยู่ห้อง 2107 น่าจะเก็บเอาไว้ให้ เพราะหน้าโปสการ์ดจ่าไว้เป็นห้อง 2107 ทุกใบเลย”
   
กันย์บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือตกใจ แหงล่ะ ก็เขาไม่ได้เตรียมใจเอาไว้เลยสักนิด
   
“น้าชาญบอกเขาไปแล้วหรือครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า “แล้วเขาว่ายังไงบ้าง”
   
“เขาก็ขอบคุณ แล้วก็ไม่ได้ว่ายังไงต่ออีก”
   
“ขอบคุณน้าชาญมากครับ” เขายกมือไหว้แบบงงๆ ก่อนจะเดินขึ้นลิฟท์ไปอย่างไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่

**********************************
   
กันย์ไขกุญแจเข้าไปในห้อง เขาเปิดไฟ ก่อนจะเดินไปถอดรองเท้า แล้ววางข้าวของประดามีไม่กี่ชิ้นลงบนโต๊ะ ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบห้อง แล้วจึงเดินไปเปิดม่าน ภาพทิวทัศน์ภายนอกที่ปรากฏอยู่ในสายตา ทำให้เขาอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ เขารักห้องนี้จริงๆด้วยสินะ
   
โปสการ์ดที่วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะเรียกสติเขาให้กลับคืนมาอีกครั้ง
   
จะทำอย่างไรดีหนอกันย์
   
ตอนที่คิดอยากเจอก็อยากเจอเหลือเกิน แต่พอโอกาสมารออยู่ตรงหน้า กลับรีรอเสียอย่างนั้น
   
ก็จะให้เขาทำอย่างไรเล่า จะเริ่มต้นอย่างไรก็ยังไม่รู้ หรือจะรอไปก่อนดี แต่เจ้าของเขาก็รู้แล้วว่ามีคนเก็บโปสการ์ดไว้ให้ ถ้าไม่รีบเอาไปคืนก็เสียมารยาทอีก แต่ถ้าจะคืน เมื่อไหร่ถึงจะเหมาะล่ะ เขาหันไปมองนาฬิกาบนผนัง เพิ่งจะหกโมงเย็น เวลาแบบนี้ปกติก็ต้องเป็นมื้อเย็นหรือเปล่า เขาก็ไม่แน่ใจเสียด้วยสิ หรือจะรอสักสองทุ่มดีนะ จะดึกไปไหม
   
หรือว่าจะลองโทรไปดี ชายหนุ่มหันไปมองโทรศัพท์ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวนุ่ม พลางชั่งใจอยู่เป็นนาน ราวกับตัดสินใจได้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดหมายเลข 0 ลงไป เพื่อติดต่อโอเปอเรเตอร์ให้ต่อสายให้อีกที
   
เสียงสัญญาณเรียกปลายสายดังขึ้นเป็นจังหวะ หัวใจของเขาเต้นแรงไม่แพ้เสียงนั้น เขากลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น มือบีบหูโทรศัพท์แน่น ก่อนจะหลับตา ในที่สุดก็ตัดสินใจวางหู หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นเป็นครั้งที่เจ็ด
   
ไม่มีคนอยู่
   
ความรู้สึกโล่งใจเข้ามาแทนที่ความกดดันที่พุ่งสูงปรี๊ดเมื่อครู่ เหมือนเป็นการต่อชีวิตเขาออกไปอย่างไรอย่างนั้นทีเดียว ดีเหมือนกัน ขอสงบสติอารมณ์ลงเสียหน่อยเถอะ หัวใจดูจะทำงานหนักเกินไปเสียแล้ว
   
กันย์สะดุ้งกับเสียงเคาะประตูเบาๆแต่หนักแน่น ก่อนจะกลายเป็นความประหลาดใจ ตั้งแต่ย้ายเข้ามาพักอยู่ที่นี่ เขาไม่เคยได้รับแขกเลยสักคน หรือว่าจะเป็นน้าชาญกันนะ ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่ประตู เขามองทะลุผ่านช่องตาแมวออกไป จึงเห็นว่าเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก แต่เห็นไม่ชัดเจนเอาเสียเลย
   
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตาแมวนี่จะมีเอาไว้ทำไม หากมองลอดออกไปแล้วเห็นคนไม่รู้จัก แต่ก็ยังอยากจะเปิดประตูอยู่ดี แล้วกันย์ก็เปิดประตูออกไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ
   
เขาชะงักมือ เมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนจ้องเขาตาแป๋วอยู่ตรงนั้น เรียกว่าแทบจะลืมหายใจคงจะไม่ผิดนักกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้าในตอนนี้
   
ร่างนั้นสูงไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแน่ๆ แต่ที่นอกเหนือไปจากรูปร่างเล็กและผิวที่ขาวจัดนั้น ผมยาวเป็นลอนสลวยที่ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่นั่นต่างหากที่ดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่เขาคิดว่าใครสักคนจะงดงามได้ถึงเพียงนี้ ใบหน้าขาวสะอาดนั้นประกอบไปด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายที่รับกับคิ้วได้รูป จมูกโด่งสวย รับกับริมฝีปากรูปกระจับสีชมพู ที่แน่ๆใบหน้าไม่มีเครื่องสำอางอะไรเลย นานๆจะเห็นผู้หญิงที่ดูเป็นธรรมชาติแบบนี้สักที
   
“ครับ?” เขายังพอมีมารยาทที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรออกไปบ้าง ทั้งที่ยังยืนตกตะลึงอยู่แบบนี้นี่แหละ
   
“คือ... ผมชื่ออันดา”
   
นี่คือผู้ชาย! สาบาญได้ว่านี่คือผู้ชาย ผู้ชายอะไรสวยอย่างกับผู้หญิง กันย์เพิ่งจะมีโอกาสได้มองสำรวจร่างเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง อันดาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเนื้อบาง ทับเสื้อยืดขนาดพอดีตัวที่ใส่อยู่ข้างใน ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์แบบพอดีตัว และรองเท้าผ้าใบ สายตาของชายหนุ่มเลื่อนขึ้นมองตรงหน้าอกเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ผู้ชายจริงๆเสียด้วย
   
“เห็นข้างล่างบอกว่า คุณเก็บโปสการ์ดของผมเอาไว้ใช่ไหมครับ”
   
“เอ่อ... อ๋อ...” สติเพิ่งจะกลับมาก็ตอนนี้นี่เอง “ผมเก็บเอาไว้เองครับ คือ... ต้องขอโทษจริงๆ ผม... “ กันย์เลิ่กลั่ก หันรีหันขวางเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี “ผมไม่รู้จะเอาไปคืนใคร คือ ผมน่าจะเอาไปใส่คืนในกล่อง แต่... ผมขอโทษนะครับ คือ... มัน... ว้า” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรก สีหน้าปั้นไม่ถูก ได้แต่หันซ้ายหันขวา ยิ่งไปเจอสายตาที่จ้องเขม็งเข้ามาอีก ทำเอาเขาไปไม่เป็นและเซ็งตัวเองขึ้นมากระทันหัน
   
อันดาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยไม่คิดว่า ผู้ชายตัวโตหน้าตาดูเป็นคนมาดขรึมแบบนี้ จะทำท่าน่ารักขนาดนี้ได้ด้วย
   
“ไม่เป็นไรครับ... “ และเพราะเสียงหัวเราะที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ลำบากใจที่กันย์กำลังประสบอยู่นั่นเอง ทำให้สติสตังค่อยกลับคืนมาได้บ้าง “ผมแค่จะมาถามดู ถ้าคุณเก็บไว้ให้ ผมก็ขอบคุณมากๆเลยที่ไม่ทิ้งขว้างมันไป...”
   
“ผมจะทิ้งได้ยังไงกัน” กันโพล่งสวนออกไปแบบไม่ทันคิด “คือผมหมายถึง ผมชอบน่ะครับ” คิ้วที่ประดับอยู่บนดวงตากลมโตคู่นั้นเลิกขึ้นข้างหนึ่งอย่างประหลาดใจ “ผมชอบอ่านข้อความในโปสการ์ดที่คุณเขียนมาก” กันย์สารภาพออกไปตามตรง “เพราะฉะนั้นผมจะทิ้งไปได้ยังไง”
   
“ขอบคุณครับ” ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยคำพูดที่น่าชื่นใจนั้นยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ “ถ้าอย่างนั้นผมขอคืนได้ไหม”
   
“อ๋อได้สิครับ... รอเดี๋ยวนะ” กันย์ก้าวขาคู่ยาวไปยังโต๊ะที่วางโปสการ์ดเอาไว้ เขาหยิบมันขึ้นมา ก้มลงมอง พลางไตร่ตรองอะไรอยู่เป็นครู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าไปเต็มที่ก่อนจะระบายมันออกมา เขาเดินกลับไปหาแขกเพียงคนเดียวที่มีนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ จ้องมองกลับไปราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยออกไป
   
“รู้ไหมครับ ตั้งแต่ที่โปสการ์ดใบแรกถูกส่งมา ผมก็เฝ้าแต่รอว่าเมื่อไหร่จะมีโปสการ์ดใบอื่นๆส่งมาอีก” เขาก้มลงมองโปสการ์ดสลับกับเงยหน้าขึ้นมองแขกยามวิกาล “ผมอ่านโปสการ์ดพวกนี้ทุกวัน วันละหลายรอบ เฝ้าถามตัวเองว่าใครหนอที่เป็นเจ้าของข้อความที่อบอุ่นเหล่านี้ เขาเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง แล้วผมจะได้เจอเขาหรือเปล่า”
   
กันย์ยื่นโปสการ์ดให้กับเจ้าของ “ต่อไปนี้ผมจะไม่มีข้อความจากโปสการ์ดให้อ่านทุกวันอย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เป็นไปได้ไหม...” เขายังพูดต่อไป “ถ้าผมจะแวะไปคุยกับคุณบ้าง ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้จริงๆนะครับ”
   
ที่ผ่านมา อันดา รู้ดีว่าเพราะรูปร่างหน้าตาแบบนี้ของตัวเอง มักจะดึงดูดให้เพศเดียวกันเข้ามาหาอยู่บ่อยๆและหลากหลายรูปแบบ สร้างความลำบากใจให้เขามาก็ไม่น้อย แต่นี่น่าจะเป็นครั้งแรกกระมังที่ใครสักคนมาพูดอะไรแบบนี้กับเขา บอกถึงความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา และที่สำคัญชอบในสิ่งที่เขาถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ อันดาประหลาดใจ แต่ก็แน่ล่ะ ก็รู้สึกประทับใจมากไม่แพ้กัน
   
เขาชอบในสิ่งที่ได้เห็น และพอใจในสิ่งที่ได้ยิน ที่ผ่านมาเขาก็พยายามใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน จะเป็นไรไปเล่าหากเขาจะเชื่อในสัญชาติญาณของตัวเองอีกสักครั้ง
   
“ถ้าอย่างนั้น...” ความเงียบเพียงชั่วครู่ทำเอากันย์แทบหยุดหายใจ “ขอผมเข้าไปดื่มอะไรเย็นๆสักแก้วได้ไหมครับ”
   
กันย์ยิ้มออกมาอย่างแช่มชื่นใจได้เป็นครั้งแรก หัวใจยังคงเต้นแรงแต่ดูจะหนักแน่นขึ้นเป็นอักโขทีเดียว เขาเปิดประตูออกกว้าง เป็นการเชื้อเชิญแขกคนแรกในชีวิตเข้าสู่รังแสนรักของตัวเอง
   
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ”

------------------ END ------------------------

อ่านจบชอบอะไร ยังไง ตรงไหน ก็วานแจ้งแถลงไขให้คนเขียนได้รับรู้บ้างสักนิดนะคะ ^^

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #47 เมื่อ23-01-2012 19:41:40 »

น่ารักอ่ะ หลงรักตัวอักษรโดนกับเรื่องที่ 7 เพราะชอบเขียนโปสการ์ด ^^

ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #48 เมื่อ23-01-2012 20:11:55 »

 :laugh: อ่านตอนเจ็ดภาพนายเอกชัดมากอ่ะ คนที่เราก็รู้ว่าใครน่ารักมาก
อยากให้เขียนยาวเลยนะเนี่ย ตอนนี้กำลังปลื้มเขามากอ่ะคนเนี่ย
แต่ก็ต้องคู่กับคนของเขานะค่ะ 555

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #49 เมื่อ23-01-2012 20:12:18 »

+1+เป็ดค่า ประทับใจอีกแล้ว  :L2:
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น แล้วก็ทำให้ยิ้มได้ทั้งเรื่องเลยค่ะ
อ้างถึง
ผมยาวเป็นลอนสลวยที่ล้อมกรอบใบหน้ารูปไข่
คนแรกที่นึกถึงคือพี่ซิน ซิงกูล่าร์อ่ะค่ะ แบบว่ารู้จักผู้ชายแบบนี้แค่คนเดียว   :-[
ไม่รู้ตรงกับต้นแบบที่ผู้แต่งวางไว้รึเปล่านะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-01-2012 20:12:18 »





ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #50 เมื่อ23-01-2012 21:09:45 »

นายเอกเป๊ะมาก  :laugh:
เรื่องนี้อบอุ่นดีนะคะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #51 เมื่อ23-01-2012 21:40:23 »

+1+เป็ดค่า ประทับใจอีกแล้ว  :L2:
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น แล้วก็ทำให้ยิ้มได้ทั้งเรื่องเลยค่ะ คนแรกที่นึกถึงคือพี่ซิน ซิงกูล่าร์อ่ะค่ะ แบบว่ารู้จักผู้ชายแบบนี้แค่คนเดียว   :-[
ไม่รู้ตรงกับต้นแบบที่ผู้แต่งวางไว้รึเปล่านะคะ

ตรงเป๊ะล่ะค่ะ แบบไม่ต้องสืบเลย ^^

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #52 เมื่อ23-01-2012 23:20:43 »

พอบอกว่าผมลอนก็พอจะนึกออกแระ ๕๕๕

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 7: Postcards - UP!!!
«ตอบ #53 เมื่อ23-01-2012 23:33:55 »

ชอบนอนไม่หลับมากค่ะ
อ่านแล้วหวังให้นินหลับฝันดี
มันเหมือนมีอะไรซักอย่างสำหรับวันพรุ่งนี้ น่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในวันถัดไป

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #54 เมื่อ29-01-2012 19:26:41 »

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆนะคะ... รู้ตัวอีกที ก็ดูเหมือนถึงเวลาที่จะต้องเอานิยายตอนใหม่มาโพสต์อีกแล้วอยู่เรื่อยเลย...

แถมนี่ยังเป็นเรื่องที่ 8 แล้วอีกด้วยต่างหาก บอกตรงนี้เลยค่ะว่า เรื่องสั้นที่เขียนเอาไว้เนี่ย ใกล้จะหมดสต๊อกเต็มทีแล้ว ระยะนี้ก็แทบไม่ได้คิดพล็อตเรื่องใหม่เลยด้วย เพราะว่ามีงานเข้ามาแทรกตลอดเวลาเลยจริงๆ แล้ว... ขอแอบบอกอะไรสักหน่อยเถอะนะคะ ค่าที่ว่า เอานิยายมาลงหลายเรื่องหลายตอนแล้ว นักอ่านบางท่านก็คุ้นเคยชื่อของคนเขียนอยู่บ้างประมาณนึง

คืองี้ค่ะ ปกติแล้วนิยายของนิ้วไขว้เนี่ย ไม่เพียงแต่จะฟีลกู๊ดเป็นส่วนใหญ่ (แม้บางทีจะแอบดราม่าหนักหน่วงไปบ้างในนิยายเรื่องยาว) พล็อตและเรื่องราวยังออกแนวใสๆ น่ารักๆด้วย อันนี้พอจะรู้ แต่ทีนี้หลังจากที่ได้เริ่มเขียนเรื่องสั้นไปพักนึง ก็เกิดอยากลองของขึ้นมา นั่นก็คือการเขียนพล็อตที่ติดเรต หรือไอ้ที่เขาเรียกว่า NC นั่นแหละค่ะขึ้นมา ก็เลยลองเขียนดู ปรากฏว่าพอเอาให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ตัวลองอ่าน ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจนน่าตกใจ ไอ้เราเลยพลอยประหลาดใจตัวเองด้วยว่า เอาจริงๆก็เขียนได้นี่นะ  :o8:

ทีนี้... มันแอบเขิน เพราะตั้งแต่เอานิยายลงเว็ป ไม่เค้ยไม่เคยลงแบบที่เป็น NC เลย คนเขียนเกิดอาการประหม่าจนน่าถีบ (แอบไปบอกเพื่อนนาเมฮ์ นางถึงกับหัวเราะชอบใจขึ้นมาทีเดียว) ก็เลย... คิดว่า อีกไม่นานล่ะค่ะ คงจะได้เอามาลงให้อ่านกัน เพราะเรื่องที่อยู่ในสต๊อกที่ว่าใกล้จะหมดแล้วเนี่ย เป็น NC ไปเสียสองสามเรื่องทีเดียว ซึ่งก็หวังเอาไว้พอสมควรว่า คนอ่านของนิ้วไขว้อาจจะชอบก็ได้ ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ ก็... รออ่านก็แล้วกันนะคะ ^^  :-[

มาค่ะ มาถึงเรื่องที่ 8 กันแล้ว เข้าไปอ่านกันได้เลย ชอบไม่ชอบยังไง คนเขียนก็ยังอยากจะทราบฟีดแบ็กจากเพื่อนนักอ่านเหมือนเดิมนะคะ... อ่านให้สนุกกันเช่นเคยค่ะ

----------------------------------
เรื่องสั้น 8: Plan
   
อากาศเย็นเยือกทั้งที่สวมเสื้อแขนยาวแบบนี้ นับเป็นเรื่องที่ผิดคาดจริงๆสำหรับหน้าหนาวหลงฤดูในเมืองใหญ่ที่ปกติอากาศจะร้อนอบอ้าวจนชวนให้หงุดหงิดเป็นส่วนใหญ่แห่งนี้ อากาศแปรปรวน เขาว่ากันอย่างนั้น แม้จะเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่เขาชอบอากาศแปรปรวนแบบนี้ และไม่รังเกียจเลยหากมันจะแปรปรวนต่อไปอีกอย่างน้อยสักสัปดาห์หนึ่ง
   
ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวในสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนั้นกระชับเสื้อให้แน่นขึ้น ราวกับว่ามันจะช่วยปัดเป่าความหนาวเย็นให้บรรเทาเบาบางลงได้บ้าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตจ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่นอนอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์บนม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปโข
   
โทรศัพท์มือถือที่เปิดเป็นระบบสั่นส่งเสียงครืดคราดอยู่ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว เจ้าตัวล้วงออกมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วกดรับ
   
“ว่าไง” เขากรอกเสียงลงไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
   
“ไอ้หอกนท มึงหายหัวไปไหน!!!” มธุรจวาจาจากปลายสายเดาได้ไม่ยาก เพื่อนสนิทที่คณะของเขานั่นเอง
   
“เออ แล้วจะทำไม” นททำเสียงรำคาญขึ้นมาอย่างไม่ปิดบัง
   
“น้องทรายเขามาหามึงที่คณะ มารอมึงอยู่เนี่ย!”
   
เออหนอ... ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้ เขาไม่เคยตกลงปลงใจจะคบหากับเด็กสาวต่างคณะคนนี้สักหน่อย แต่เพราะไอ้เพื่อนกลุ่มนี้นี่แหละที่หาเรื่องมาให้เขา เดือนก่อนไอ้พลเพื่อนในกลุ่ม เกิดไปปิ๊งสาวคณะบัญชีชื่อวาเข้า แต่สาวเจ้ากลับตั้งแง่ว่า ถ้าพลอยากคบหากับเธอ จะต้องให้เพื่อนที่ชื่อทรายได้มาทำความรู้จักเขาด้วยเสียอย่างนั้น
   
สรุปก็คือ ไอ้พลที่อยากคบกับน้องวา ต้องพยายามทุกทางเพื่อให้น้องทรายมาทำความรู้จักกับนท หาไม่แล้ว สาวเจ้าจะไม่ยอมตกลงปลงใจคบกับมันนั่นเอง
   
เดือดร้อนนทที่อย่าว่าแต่รู้จักมักจี่ ขนาดหน้าตายังไม่รู้จัก ต้องมาตกบันไดพลอยโจนไปด้วย อันที่จริง นทไม่พอใจด้วยซ้ำที่เพื่อนทำแบบนี้ แต่ด้วยเห็นว่ามันชอบผู้หญิงเขาจริงๆ นทก็เลยไม่อยากจะพูดจาตัดรอนให้เสียน้ำใจ นี่ถ้าไม่เห็นแก่เพื่อนนะ เขาอยากจะบอกจริงๆว่า คนเราถ้ามันจะชอบใคร ก็หัดมีความกล้า เป็นตัวเองหน่อย ไม่ใช่ใช้วิธีมัดมือชกกันแบบนี้ แล้วคิดว่าอีกฝ่ายจะชอบน่ะเหรอ ฝันไปเหอะ ต่อให้หยาดฟ้ามาดินเหมือนทรายก็เถอะ เขาไม่เอาด้วยแน่นอน
   
ก็เลยใช้วิธีหนีไปให้ไกลๆเสียเลยดีกว่า กันการกระทบกระทั่ง เจอกันครั้งสองครั้ง พูดคุยกันตามมารยาทน่ะก็พอไหวอยู่หรอก แต่จะให้ร่วมวงสนทนาด้วยคงไม่ไหวจริงๆ
   
“กูมีธุระ ไอ้พล แค่นี้นะ” ก่อนจะกดตัดสายโดยไม่สนใจจะฟังอะไรจากปลายสายอีก
   
ระยะหลังเขาจึงไม่ค่อยอยากแกร่วอยู่ที่คณะของตัวเองมากนัก สองสามวันก่อนเขาจึงตัดสินใจเดินเรื่อยเปื่อยเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา อารามว่าอากาศไม่ร้อนสักเท่าไร เลยเดินเพลินๆมายังสวนสาธารณะแห่งนี้ สารภาพตามตรงว่าเขาชอบมันมากจนถึงขั้นเรียกได้ว่าติดใจ ยิ่งอากาศเย็นสบายอย่างช่วงนี้ เขาก็ยิ่งชอบ
   
และให้สารภาพจริงๆ อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาอยากจะกลับมาที่นี่เรื่อยๆ ก็เพราะไอ้ร่างสูงยาวที่นอนไม่สนโลกภายนอกใดๆ นั่นด้วยแหละ ที่จริงเขาคงจะไม่สังเกตเห็นหรอกถ้าหมอนั่นมันจะไม่โดดเด่นเสียขนาดนั้น
   
ก็จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เด็กลูกครึ่งต่างคณะที่มีเสียงร่ำลือและเล่าอ้างว่าหล่อเทพที่สุดในสามโลกจากสาวๆหนุ่มๆทั่วมหาวิทยาลัย แน่ล่ะ ใช่ว่าจะมีเด็กลูกครึ่งหน้าตาดีแบบนี้มาเรียนกันบ่อยๆเมื่อไหร่ ไม่จำเป็นต้องอยู่คณะเดียวกันเขาก็พอจะเดาได้อยู่หรอก เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้เท่านั้นเอง
   
ที่จริงมองจากกระยะไกลๆแบบนี้ ก็พอจะเดาได้ไม่ยากหรอกว่าหน้าตามันดีจริงๆ ผมสีน้ำตาลนั้นขับให้ผิวขาวๆแบบชาวตะวันตกยิ่งดูโดดเด่นขึ้น เขาไม่เห็นหรอกว่าหมอนั่นมีดวงตาสีอะไร รู้แค่ว่า ดวงตากลมโตในเบ้าตาลึกกว้างคู่นั้นส่งเสริมให้ใบหน้าเข้ารูปนั้นสมบูรณ์แบบ ไหนจะจมูกโด่งเฟี้ยว บวกกับริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปนั่นอีก ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า เออหนอ หล่อแบบเทพบุตรมันเป็นแบบนี้นี่เล่า
   
แล้วที่มันน่าแปลกก็คือ เวลาที่เขาได้มองร่างนั้นนอนอยู่อย่างสงบแบบนี้ จิตใจก็เลยพลอยสงบไปด้วยเหมือนกัน โชคดีว่าจากมุมที่เขานั่งอยู่นี้ อีกฝ่ายไม่น่าจะจับสังเกตได้ว่ามีใครกำลังจับตามองอยู่
   
ร่างขาวๆของนทสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะผวาลุกขึ้นและยกข้อมือขึ้นดูเวลา บ่ายสามโมงครึ่งแล้วหรือนี่ เผลอหลับไปนิดเดียวแท้ๆ เขาไม่ลืมจะหันไปมองม้านั่งยาวที่คุ้นตา และพบว่าไม่มีร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่ตรงนั้นแล้ว
   
ถึงเวลากลับไปที่คณะเสียที

**************************
   
“ไอ้นท” เออหนอ เห็นทีจะหนีไม่พ้นจริงๆแน่แล้ว
   
“ว่าไงพล” นทหันไปทางต้นเสียงอย่างเสียไม่ได้
   
“มึงหายไปไหนมาวะ โทรไปก็ไม่รับสาย น้องทรายเขามารอมึงโคตรนาน มึงปล่อยให้เขารอมึงเก้อแบบนี้ได้ยังไง” พลต่อว่าเขาเสียงดังกว่าปกติ คงเพราะฉุนที่เพื่อนตัดสายแถมปิดโทรศัพท์เสียอีก
   
“จะไปไหนแล้วมันเรื่องอะไรของใครวะพล มึงเป็นพ่อกูเหรอ ถึงต้องคอยรายงานเวลาจะไปไหนมาไหน” นทสวนกลับอย่างเหลืออด ที่ระยะหลังไอ้เพื่อนคนนี้ชักจะล้ำเส้นเขาอยู่บ่อยๆ
   
“ผู้หญิงเขามาหา ปล่อยให้เขาคอยได้ไงวะ”
   
“กูขอให้ใครมาคอยกูเหรอ เขาเป็นอะไรกับกู”
   
“ไอ้นทมึงทำงี้ได้ไง ถ้าทรายไปฟ้องน้องวา กูจะทำยังไง”
   
“ไอ้ห่าพล กูถามมึงจริงๆ ถ้าน้องวามึงจะไม่คบมึงเพราะกูไม่ยอมคบน้องทราย มึงจะทำไงวะ” นทถามไปตรงๆพร้อมสะกดอารมณ์ต็มที่
   
“โถ่ ไอ้นท เห็นแก่เพื่อนเถอะวะ กูชอบน้องวาเขาจริงๆนะ ถ้ามึงไม่ช่วยกู ใครจะช่วย กูขอล่ะนะ มึงไปคุยกับน้องทรายเขาบ้างเถอะ แค่นี้น้องเขาก็ดีใจแล้ว ถือว่าทำเพื่อกูนะนท” พลใช้ไม้ตาย ยกมือไหว้ท่วมหัว ทำหน้าตาเหมือนคนอับจนหนทางเต็มที่ ใจแข็งอย่างนทก็มีอันใจอ่อนจนได้
   
“กูไม่รับปากนะเว้ยพล กูไม่ชอบทำอะไรฝืนใจมึงก็รู้ แค่นี้มึงก็ทำกูลำบากใจจะแย่” นทขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
   
“เอาน่านท ช่วยกูนิดนึง”
   
ร่างสูงเพรียวของนทผละจากพลมาได้ ก็บังเอิญเจอกับทราย สาวงามประจำคณะที่มานั่งรอเขาเป็นชั่วโมงที่เดินสวนมาพอดี อะไรมันจะพอดีไปหมดขนาดนี้นะ
   
“พี่นท ทรายมารอตั้งนานน่ะค่ะ” เออหนอ ผู้หญิงก็สวย แถมมามีใจให้ด้วยแบบนี้ เป็นผู้ชายคนอื่นอาจจะตีปีกด้วยความดีใจไปแล้ว แต่นี่เขาไม่เพียงจะไม่ได้ชอบ ขนาดพูดคุยกันยังนับครั้งได้ แล้วจะให้เขาชื่นชมยินดีกับการที่จู่ๆมีผู้หญิงมานั่งเฝ้าเทียวไปเทียวมาอย่างนี้ได้ยังไงกัน
   
“ครับ พลมาบอกแล้ว”
   
“ทรายจะมาชวนพี่สองคนไปดูหนังกัน วาก็ไปนะคะ”
   
แค่มาชวนไปดูหนัง ต้องถึงกับมารอเขาอยู่ที่นี่เลยหรือเนี่ย
   
“คือพี่... “
   
“ไปด้วยกันนะคะ ทรายไม่อยากให้พี่พลเขาผิดหวัง” แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาวะเนี่ย ผู้หญิงนี่บางที่ก็ทำอะไรเข้าใจยากเสียจริง “นะคะ”
   
“ไปก็ไป” รับปากไปเพื่อตัดปัญหา และถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้พลด้วย ต่อไปมันจะได้เลิกใช้เขามาเป็นข้ออ้างเสียที   
   
“ถ้างั้นวันอาทิตย์นี้ เที่ยง เจอกันนะคะ” ทรายบอกสถานที่นัดพบก่อนจะบอกลาอย่างติดจะร่าเริงเกินปกติไปสักหน่อย

***************************
   
แรงเขย่าเบาๆนั่นทำให้ร่างขาวๆของนทสะดุ้งตื่น
   
ตายล่ะวา นี่เขาเผลอนอนหลับเข้าไปได้ยังไง หลับลึกเสียด้วย พอจะตั้งสติได้ก็เพิ่งจะสังเกตว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวเหมือนทุกครั้งเสียแล้ว และแทบจะตกเก้าอี้เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าที่อยู่ห่างจากเขาไม่กี่นิ้วนั้น เป็นใบหน้าของร่างที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดีมาหลายวัน เพียงแต่วันนี้มันไม่ได้ทิ้งระยะห่างเหมือนทุกครั้ง แต่อยู่ตรงหน้าเขาแค่นี้เอง
   
“นาย เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มใหญ่นั้นถามอย่างติดจะเป็นห่วงอยู่ในที
   
“ทำไม...” นทยังไม่แน่ใจนักกว่าเกิดอะไรขึ้น
   
“นายนอนหลับไปนานมากผิดปกติ คิดว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เลยตัดสินใจเดินมาปลุก”
   
“ฉันหลับไปนานแค่ไหนเนี่ย” นทถามราวกับรำพึงกับตัวเอง
   
“สองชั่วโมงล่ะมั้ง”
   
“นานขนาดนั้นเชียวหรือ” นททำตาโต ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองราวกับกำลังพยายามเรียกสติให้กลับมา ก่อนจะเบิกตามองร่างสูงใหญ่ข้างตัวเขาอีกครั้ง “แล้วนายมาได้ยังไงเนี่ย”
   
“อ๋อ... ก็...” ใบหน้าหล่อคมแบบลูกครึ่งยิ้มออกมา “ฉันเห็นนายมานั่งที่นี่เกือบทุกวัน”
   
“นายเห็นฉัน ทุกวันเลยหรือ”
   
“ก็ทุกครั้งที่นายมานั่นแหละ” ภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยะชนิดที่ว่าถ้าหลับตาฟังก็คือคนไทยพูดดีๆนี่เองพรั่งพรูออกมา สร้างความประหลาดใจให้กับนทอย่างยิ่ง อันที่จริงในหัวของนทตอนนี้ นอกจากจะยังไม่หายมึนกับการสะดุ้งตื่นแบบปุบปับ เขายังงงไม่หายกับการที่จู่ๆคนที่เขาเฝ้ามองมาหลายวันมานั่งอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้ แถมยังพูดไทยได้ชัดแจ๋วเสียด้วย ทำไมไม่ค่อยทยอยมากันทีละอย่างวะเนี่ย มันรับไม่ทันจริงๆ
   
“ฉันชื่อเจฟ” เสียงนุ่มนั้นเอ่ยแนะนำตัว ก่อนจะยื่นมือออกไป
   
“นท ยินดีที่ได้รู้จัก” ว่าพลางยื่นมือออกไปจับ
   
“ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการเสียทีนะ” นทเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเต็มที่ ทำเอาเจฟยิ้มกว้างขวางออกมา
   
“ฉันเห็นนายจากตรงนั้นทุกวัน ไม่บ่อยหรอกที่จะเห็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันในที่แบบนี้ มันก็ต้องสะดุดตาเป็นธรรมดา”
   
“แต่ฉันรู้อยู่แล้วว่านายเป็นใคร” นทยิ้มออกมาได้บ้าง “นายออกจะดัง แล้วก็สะดุดตาเสียขนาดนี้”

“งั้นหรือ ฉันดังขนาดนั้นเชียว” บรรยากาศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้เจฟนั่งลงบนม้านั่งยาวข้างคู่สนทนาอย่างไม่ถือเนื้อถือตัวอันใดอีกต่อไป
   
“ปีนึงจะมีลูกครึ่งเข้ามาเรียนซักกี่คนกัน”
   
ไม่น่าเชื่อว่า การพบกันเป็นครั้งแรกจะมีเรื่องราวให้พูดคุยถามไถ่กันถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มสนทนากันอย่างออกรสอยู่เป็นนาน ชนิดที่รู้ตัวอีกทีก็ห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว
   
“คงต้องกลับเสียที” นทเอ่ยขึ้น
   
“ใจจริงฉันอยากจะชวนนายไปหาอะไรง่ายๆทานแถวนี้อยู่เหมือนกัน แต่เผอิญมีธุระเสียก่อน” เจฟว่า “วันนี้ก็วันศุกร์แล้วด้วย เอาไว้โอกาสหน้านะ”
   
นทพยักหน้ารับง่ายๆพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ ก่อนจะแยกย้ายกันตรงนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ที่แน่ๆหัวใจมันพองฟูอย่างไรพิกล

*************************
   
หัวใจมันช่างแห้งเหี่ยวเมื่อนทตื่นรับอรุณในวันอาทิตย์ จะดีกว่านี้ไหมนะ ถ้าวันนั้นเขาไม่รับปากทรายไป ไม่เอาอีกแล้วความรู้สึกแบบนี้ วันนี้เขาจะบอกทรายไปตรงๆว่า เขาคิดอย่างไร และไม่อยากจะฝืนใจอีกต่อไปแล้ว ไอ้พลมันจะไม่นับเป็นเพื่อนอีกก็ช่างมัน จะเสียเพื่อนเพราะเรื่องแบบนี้ก็ให้มันรู้ไป
   
ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะจับรถไฟฟ้าไปตามนัดที่ทั้งไอ้พลและน้องทรายย้ำนักย้ำหนาว่ายังไงเขาก็ต้องมาให้ได้ ดูเอาเถอะ แฟนก็ไม่ได้มีกับเขาเป็นตัวเป็นตน พอมีคนมาชอบ ก็ดันเป็นเสียแบบนี้ นี่เขาก็พยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองนะว่า ตัวเองไม่ใช่คนขี้เหร่ เพื่อนฝูงคนรู้จักก็ชมว่าหน้าตาดี แล้วก็ตบท้ายทุกครั้งว่า แล้วทำไมไม่มีแฟน
   
ก็มันไม่เจอคนที่ชอบจะมีได้ไงวะ แฟนนะเว้ยไม่ใช่ไอแพด แค่เจอก็ชอบได้เลยแบบนั้น
   
“ไอ้นท” คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมอง ถึงได้เห็นว่า เพื่อนซี้จับมือสาววาแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้แน่น ท่าทางก็เหมาะสมกันดี จะไม่ปลื้มก็อีตรงเงื่อนไขประหลาดนี่แหละ ถ้าน้องวาบอกเลิกไอ้พลด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่ยอมคบน้องทราย งานนี้จะยุให้เพื่อนเลิกสาวแน่นอน เป็นไงเป็นกันสิน่า
   
ทรายเดินทางตามมาติดๆ ครบองค์ประชุมพอดี เห็นหน้าตาแช่มชื่นมีความสุขของเพื่อนก็ให้สะท้อนใจ หลงสาวอาการหนักจริงๆ พลเอ๋ย
   
“เดี๋ยวให้พี่พลกับวาไปร้านอาหารก่อนก็แล้วกันนะ ทรายมีอะไรจะบอกพี่นทนิดหน่อย” ทรายเอ่ยขึ้นหลังจากที่คู่รักเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะไปทานมื้อเที่ยงกันที่ไหนดี
   
นทนิ่วหน้าอย่างไม่สู้จะเข้าใจนัก แต่ก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีเหมือนกัน ที่จะได้พูดคุยกับเด็กสาวให้เข้าใจเสียที เพราะสารภาพตามตรง เขาไม่ได้มีอารมณ์อยากจะไปกินข้าวกับใครนักหรอก
   
“ทราย พี่...” ทรายยกมือขึ้นห้ามก่อนจะลากเด็กหนุ่มให้เดินตามไป
   
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยค่ะพี่นท ทรายเข้าใจ ตอนนี้ทรายขอแค่พี่ตามทรายมาแป๊ปเดียวนะคะ”
   
นทไม่เอ่ยอะไรอีก ได้แต่เดินตามทรายไปแต่โดยดี ในใจคิดสงสัยแค่ว่าหมายความว่าอย่างไรที่เด็กสาวบอกว่าเข้าใจ จะเข้าใจได้ยังไง คุยกันนับครั้งได้ขนาดนี้ ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเสียจริง ทรายจับข้อมือของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหน พลางตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างไม่สนใจใคร
   
เด็กสาวพาเขาเดินข้ามมาอีกฝั่งที่เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แล้วจึงพาเดินลงบันไดเลื่อน เดินต่อไปอีกนิด ก็ถึงร้านกาแฟชื่อดังตั้งอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน ทรายหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มแล้วโพล่งออกไปว่า
   
“ทรายไม่ได้ชอบพี่นท” คนฟังได้แต่ทำตาโตกับคำพูดของเด็กสาวที่เอ่ยออกมาแบบไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว “หมายถึงไม่ได้ชอบพี่นท แบบนั้น... แบบพี่พลชอบวาน่ะค่ะ”
   
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังทำหน้างงไม่เลิก ทรายก็พูดต่อชนิดไม่มีจังหวะให้ได้แทรก
   
“ทรายขอโทษที่มัดมือชกพี่นท สร้างเงื่อนไขที่ทำให้วากับพี่พลลำบากใจ ทรายไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
   
“แล้วทรายทำไปทำไม พี่ยังไม่เข้าใจเลย” นทถามออกไปแบบงงๆ
   
“มีคนขอร้องทรายมา”
   
“มีคนขอร้อง? ใครขอร้องอะไรประหลาดแบบนี้ครับ”
   
“พี่ชายทราย”
   
“หา!?!?” งงเป็นไก่ตาแตกเลยทีนี้
   
“ทีแรกเขาจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่วันก่อนเขามาบอกทรายว่า พอจะมีหวัง”
   
“ทรายครับ... คือว่า... พี่... “ พี่ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น นทอยากจะบอกออกไปใจจะขาด
   
“พี่ชายทรายบอกว่า ในที่สุดพวกพี่ก็ได้คุยกันแล้ว” เด็กสาวหันเข้าไปมองในร้าน นทมองตามก่อนที่จะอ้าปากค้าง เมื่อร่างอันคุ้นตานั้นหันมาทางเขากับทราย ก่อนจะลุกออกมา
   
“หวัดดีนท” เสียงทุ้มหูนั่นเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปบอกแก่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้องสาวว่า “ขอบใจนะทราย ขอโทษที่ต้องให้ทำอะไรแบบนี้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
   
“เจฟเหรอ?” ปากเรียกชื่อไปอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าสมองจะยังตามอะไรไม่ทันนัก
   
“พี่นท อย่าไปโทษพี่พลกับวานะคะ ทรายขอเขาไว้เอง ทรายไปก่อนนะ พวกพี่คุยกันให้เข้าใจนะคะ” ก่อนที่จะมีใครได้ทันพูดอะไรออกไป เด็กสาวก็เดินผละออกไป
   
“นาย... ตกลงมันเป็นยังไงไปยังไงเนี่ย งงไปหมดแล้ว”
   
“ไปนั่งคุยกันตรงนั้นไหม” ร่างสูงใหญ่กว่า ชี้ไปยังโต๊ะที่เขานั่งครอบครองอยู่ก่อนแล้ว นทเดินตามไปนั่งพร้อมกับคำถามมากมายที่ตีกันอยู่ในหัว
   
“ฉันรู้จักนายมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ แล้วฉันก็อยากจะรู้จักนายให้มากขึ้น” เจฟโพล่งออกมาชนิดไม่รอให้นทได้ทันตั้งตัว “คิดหาวิธีที่จะเข้าไปคุยกับนายอยู่นาน จนกระทั่งวันนึงเกิดโชคดีอะไรขึ้นมาไม่รู้ ไปเห็นนายที่สวนสาธารณะใกล้มหาวิทยาลัย ฉันก็คอยมองนายมาตลอด ก่อนหน้านั้นก็ไหว้วานทรายให้ช่วย ก็จังหวะที่เพื่อนนายมาขอคบเพื่อนน้องสาวฉันพอดี ก็เลย... ขอโทษนะที่ใช้วิธีแบบนี้” เขาก้มหน้าขอโทษเป็นการสำนึกผิด “วันก่อนฉันเห็นนายนอนนิ่งไปนาน เป็นห่วงก็เลยลองปลุกดู ฉันดีใจนะ ที่นายรู้จักฉัน แล้วก็คุยกับฉันแบบนั้น”
   
“เดี๋ยวนะ...” นทยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามอะไรสักอย่าง “นายกำลังบอกว่า นายสนใจฉัน เหรอ?”
   
“ฉันอยากคบกับนาย”
   
สมกับเป็นลูกครึ่ง ตรงเป็นบ้าเลย
   
“นายเป็นผู้ชายนะเว้ย ฉันก็เป็นผู้ชาย”
   
“เออ รู้ ทีแรกถึงไม่กล้าไง” เจฟว่าอย่างหงุดหงิด “แต่พอได้คุยกัน ฉันว่าฉันชอบนายจริงๆ นอกเสียจาก...”
   
“นอกจากอะไร”
   
“นอกจากนายจะรังเกียจฉัน”
   
“ใครจะไปรังเกียจนายวะ!” โพล่งออกไปเร็วกว่าที่ใจคิด ถึงรู้ว่าเสียท่าเข้าให้แล้ว
   
“นายไม่รังเกียจฉัน?”
   
นทถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน คำถามมันจะต้องเจาะลึกขนาดไหนวะเนี่ย เกิดมาไม่เคยมีใครมาขอคบด้วยตรงๆขนาดนี้ ยิ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
   
“ไม่เคยรังเกียจเลย”
   
“แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับตอนนี้” นทเห็นรอยยิ้มโล่งใจปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย
   
“น้องทรายกับนายเป็นพี่น้องกันจริงๆหรือ” เขาถามโพล่งออกไปด้วยความสงสัยมากกว่าจะคาดคั้นจริงจัง
   
“พ่อเขาแต่งงานกับแม่ฉัน” ตั้งแต่เรายังเด็กๆแล้ว เป็นพี่น้องกันมาสิบกว่าปี จนลืมไปแล้วว่าเราไม่มีความผูกพันทางสายเลือดกัน” เจฟยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนเมื่อพูดถึงน้องสาวคนละพ่อคนละแม่ “ก็โตมาด้วยกันนี่นะ”
   
“ฉันแอบไม่ชอบน้องเขามาตั้งนาน เพราะไอ้เรื่องมัดมือชกนี่แหละ” นทว่าขึ้นลอยๆ “คงต้องมองน้องเขาใหม่แล้ว”
   
“เขารักพี่เขาไง”
   
“นายนี่ หน้าตาดี แต่ไหงหลงตัวเองจัง” นทเอ่ยหน้าตาเฉย เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากอีกฝ่ายได้ชนิดฟังชัด
   
“หิวแล้ว หาอะไรกินกันนะ”
   
“ต้องไปร้านเดียวกับไอ้พลกับน้องวาด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
   
“ไม่เอา เรื่องอะไร” เจฟรีบส่ายหน้าก่อนจะจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตากรุ้มกริ่มที่นทรู้สึกตะหงิดๆว่า น่าถีบมากกว่าน่าชม “อุตส่าห์ได้เดตกับนายครั้งแรกทั้งที”
   
“หน้าตาไม่เหมาะพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้เลย” คนฟังพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะอยากให้อีกฝ่ายได้ยิน
   
เจฟลุกขึ้นยืนพลางพยักเพยิดให้อีกฝ่ายลุกขึ้นบ้าง เขาให้นทเดินนำออกไปก่อน แล้วจึงเดินตามไปติดๆ
   
และคนรอบคอบอย่างเขาถ้าไม่ทำอะไรให้ชัดเจนจนแน่ใจเสียแล้วล่ะก็ มันจะติดอยู่ในใจแบบนี้แหละ ว่าแล้วก่อนจะเดินออกจากร้าน เขายื่นหน้าเข้าไปเพื่อนกระซิบให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆว่า
   
“เราคบกันอย่างเป็นทางการแล้วนะ”
   
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยตอบรับอะไรออกไป แต่ท่าทางเสียอาการบวกกับใบหูที่ร้อนจนแดงฉ่านั้น เป็นการยืนยันว่า เขาไม่ได้เป็นฝ่ายตกหลุมรักข้างเดียวอย่างแน่นอน

------------------------ END ---------------------

เรื่องนี้ใช้เวลาเขียนค่อนข้างสั้น อารมณ์จะคล้ายกับอ่านหนังสือการ์ตูนบอกไม่ถูก แต่มันก็เรียบง่ายไปอีกแบบนะคะ ^^

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #55 เมื่อ29-01-2012 20:14:45 »

แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ให้ความรู้สึกว่า end จริงๆ ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องก่อนๆ หน้านี้ค่ะ
แอบชอบทั้งคู่เลยนะเนี่ย

zhai

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #56 เมื่อ29-01-2012 21:57:50 »

ชอบทุกเรื่องเลยอ๊ะ
อ่านแล้วได้บรรยายกาศแบบ...

เห็นภาพ 
อบอุ่น
ไม่เวิ่นเว้อ 

 :pig4: :pig4: :pig4:



ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #57 เมื่อ29-01-2012 22:42:20 »

อ่านแล้วนึกถึงเมื่อก่อน ชอบไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะใกล้โรงเรียนตอนเย็นๆเหมือนกัน
ได้เพื่อนเป็นเด็กๆต่างชาติเพียบ เล่นด้วยกันจนสนิท แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องก็เหอะ  :laugh:
+1+เป็ด รออ่านเรื่องต่อไปค่า แนวไหนได้หมด ขอไม่มาม่าตอนจบก็พอ  :กอด1:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #58 เมื่อ29-01-2012 23:12:33 »

น่ารักมากๆๆๆๆๆๆอมยิ้มแก้มตุ่ย ><

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #59 เมื่อ29-01-2012 23:13:57 »

เพิ่งแอบเห็นว่าคุณ fingerscrossed ลงเรื่องสั้น

เราชอบสไตล์การเขียนของคุณตั้งแต่เรื่อง เพลงรักแล้วค่ะ ชอบมาก เป็นนิยายในดวงใจเลย

เรื่องสั้นที่ลงเราก็ชอบทุกเรื่องเลย

มาต่อบ่อยๆนะคะ ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด