[MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [MOMENT] The Series - UPDATE เรื่องรวมเล่มค่ะ!  (อ่าน 61330 ครั้ง)

ออฟไลน์ kabung

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 468
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-3
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #60 เมื่อ29-01-2012 23:41:32 »

ไอ้เราก็แอบไ่ม่ชอบน้องทรายไปด้วย แบบนี้นี่เอง 5555

อยากให้มีตอนพิเศษอีกจังค่ะ ทุกเรื่องนั่นแหละ อิิอิ

ปล. ฝากความคิดถึง ถึงพี่นาเมฮ์ด้วยนะคะ (เป็นแฟนกระทู้พี่เอพี่ป่านค่ะ)  :กอด1:

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #61 เมื่อ01-02-2012 22:07:06 »

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาคุยกันค่ะ ขอบคุณมากๆด้วยที่ชอบ

คุณ TeaCafe ดีใจมากค่ะที่จำกันได้ และยังชอบงานเขียนของนิ้วไขว้เหมือนเดิม ติดตามกันไปเรื่อยๆนะคะ เราเองก็จะหมั่นเขียนอะไรแบบนี้ไปเรื่อยๆเหมือนกัน

คุณ kabung บอกนาเมฮ์ไปแล้วนะคะว่าคุณฝากความคิดถึงไปให้ ^^

ยังมีอีกหลายๆท่านเลยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่นิ้วไขว้ยังจำได้ค่ะว่าเคยติดตามอ่านงานกันมา ขอบคุณมากนะคะ ^^

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #62 เมื่อ02-02-2012 08:41:27 »

ชอบทุกตอนเลย ^^

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [MOMENT] The Series - เรื่องสั้น 8: Plan - UP!!!
«ตอบ #63 เมื่อ02-02-2012 16:33:34 »

3 เรื่องรวด
เรื่องที่ 6 แล้วนินจะนอนหลับไหม เท็ตสึจะช่วยยังไง
เรื่องที่ 7 กับที่ 8 ชอบแบบพอดีๆชอบ

รออ่าน NC ของคุณนิ้วไขว้นะคะ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
มาค่ะ... ถึงเวลาที่จะต้องลงเรื่องใหม่กันอีกคราวแล้ว ไอ้ครั้นจะทิ้งช่วงไปนานๆ ก็เกรงใจคนอ่าน แต่... แต่เรื่องนี้มันจะยาวกว่าเรื่องอื่นๆไปสักนิด ดังนั้น ขออนุญาตแบ่งเป็นสองตอนค่ะ

ปกติแล้ว นิ้วไขว้ก็มีเข้าไปอ่านฟิกของคนอื่นบ้างอะไรบ้างน่ะนะคะ  และเหตุผลใหญ่อย่างหนึ่งในการหันมาเขียนนิยายหรือฟิกนอกจากความชอบในการเขียนเนี่ย ก็คือเป็นคนเลือกมากค่ะ กว่าจะหาฟิกที่ถูกใจอ่านได้มันช่างยากเย็น ก็เลยเขียนให้ตัวเองอ่านเอง แต่โชคดีว่ามีคนมาชอบงานเขียนของเรา ก็เลยไปกันใหญ่โตอย่างที่เห็น

แน่นอนค่ะ พล็อตที่เห็นบ่อยๆก็เห็นจะต้องรวม พล็อตแวมไพร์ผีดูดเลือดเข้าไปด้วย และสำหรับเรื่องสั้นเรื่องที่ 9 ก็นี่ล่ะค่ะ ก็เลยขอเอากับเขาบ้าง... ขอลองแต่งเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ดูเสียหน่อยซิ ว่าจะเวิร์กไหม พอเขียนจบก็... มีแอบชอบเบาๆอยู่เหมือนกันค่ะ หวังใจนะคะว่า คนอ่านเองก็จะชอบด้วย ถือว่านี่เป็นงานเขียนเชิงทดลองของนิ้วไขว้อีกชิ้นก็แล้วกันค่ะ

ยังไง ก็ลองไปอ่านพาร์ตแรกของ เรื่องสั้นเรื่องที่ 9 กันดูค่ะ อีกไม่นานเกินรอจะเอาตอนจบมาลงให้ได้อ่านกันแน่นอน

อ่านให้สนุกนะคะ

---------------------------------
เรื่องสั้น 9: Eternity Part I

อีกครึ่งชีวิตของเขา สูญสลายไปนานแล้ว
   
ตอนที่หมอนั่นยังอยู่ เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งไม่ใครก็ใครจะต้องเป็นฝ่ายจากไปก่อน เพราะความเป็น“อมตะ” ในเผ่าพันธุ์ จึงไม่เคยคิดถึงวันที่เขาต้องกลับมาอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ในรอบห้าร้อยปี
   
ห้าร้อยปี ก็ห้าศตวรรษพอดี
   
เขามีชีวิตอยู่นานเป็นพันปี นานมากจนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี แต่ที่ผ่านมามักจะมีคู่เคียงข้างอยู่ตลอด และอลันน่าจะเป็นคู่ที่อยู่กับเขามานานกว่าใครเพื่อน พออยู่ด้วยกันไปนานๆ มันจึงเกิดเป็นความผูกพันที่เหนียวแน่นกว่าครั้งไหน และเมื่อถึงวันที่ลาจากมันจึงเจ็บปวดกว่าทุกครั้ง ความรู้สึกแบบนี้ ต่อให้อยู่มานานแค่ไหน ต่อให้นี่ไม่ใช่คู่คนแรก ก็ยังไม่เคยชินสักที
   
แต่ก็ต้องยอมรับว่า สามเดือนที่ผ่านมานี้ ความโหยหาที่เคยมีนั้น บรรเทาเบาบางลงไปมาก
   
ชายหนุ่มในวัยที่ไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้ว่าอายุอานามเท่าไหร่กันแน่ นั่งมองท้องฟ้ากระจ่างใสนอกหน้าต่าง แน่ล่ะเขาอาจจะดูเหมือนชายหนุ่มอายุไม่เกิน 27 หรือ 28 ปีก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอะไรบางอย่างที่ฉายแววออกมาทางดวงตาและสีหน้าที่นิ่งขรึมนั้น บอกเป็นนัยว่า เขาได้ผ่านการใช้ชีวิตมานานเหลือเกิน ผิวที่อาจจะขาวซีดเกินไปสักหน่อย กับดวงตาที่มีประกายประหลาดในบางเวลา อาจจะทำให้เขาดูโดดเด่นแปลกตาอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว เขาก็ดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาดีๆนี่เอง
   
การเป็นแวมไพร์น่ะไม่ได้แย่นักหรอก ถ้าไม่นับเรื่องที่ว่าต้องเหนื่อยหาเหยื่อในวันที่ทนหิวไม่ไหว ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บวกกับที่ไม่รู้ว่าระยะหลังมานี้คนเลวมันมีมากกว่าคนชั่วหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ทำให้ความรู้สึกสงสารที่เคยมีอย่างแต่ก่อน กลับลดน้อยถอยลงจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรไปแล้วน่ะนะ แต่ไอ้ที่ทำให้แวมไพร์ยังเหมือนกับมนุษย์อยู่มาก ก็เห็นจะเป็นเรื่องความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เกินจะทนนี่ล่ะ
   
ต่อให้เขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้นานเป็นสิบๆปี แต่สุดท้าย ก็หนีไอ้อาการรู้สึกโหยหาอะไรบางอย่างที่ว่านี่ไม่ได้สักที แวมไพร์จึงต้องมีคู่เอาไว้บ้าง หากไม่ใช่แวมไพร์ฤาษีที่ชอบอยู่ตามถ้ำ หรือแวมไพร์นักพรต ซึ่งขนาดแวมไพร์ที่อยู่มาก็นานปีดีดักอย่างเขาก็ยังไม่เคยเห็นแวมไพร์ประหลาดแบบที่ว่านี่เหมือนกัน ว่าแต่มีด้วยเหรอแวมไพร์ที่อยากถึงนิพพานเนี่ย
   
แต่ถึงอย่างนั้น อลันก็จากเขาไปนานหลายปีแล้ว จำได้ว่าเคยบอกกับตัวเองเอาไว้ว่า เขาจะขออยู่แบบไร้คู่ไปอีกสักพักใหญ่ เพราะยิ่งผูกพันกับคู่ตัวเองลึกซึ้งมากเพียงไร ความเจ็บปวดในแบบที่เขาไม่อยากจะสัมผัสนักก็มักจะรุนแรงขึ้นเท่านั้น คนธรรมดาคนหนึ่งเจอไปครั้งหนึ่งยังแทบรับมือไม่ไหว นับประสาอะไรกับแวมไพร์พันปีอย่างเขาที่เลี่ยงไปเถอะ อย่างไรก็หนีไม่พ้น
   
แต่แล้วเขากลับรู้สึกพิเศษในแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับมนุษย์คนไหนมาก่อนเข้าจนได้
   
ที่ผ่านมา คู่ของเขามีทั้งแบบที่พึงใจกันอยู่แล้วในฐานะที่เป็นแวมไพร์ทั้งคู่ และในแบบที่เป็นมนุษย์และกลายเป็นแวมไพร์ด้วยฝีมือของเขาบวกกับความสมยอมของมนุษย์คนที่ว่า แต่นี่... เป็นครั้งแรกที่เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าหมอนั่นอยากจะเป็นแวมไพร์ไหม รู้แต่อยากจะอยู่กับหมอนั่นไปเรื่อยๆเฉยเลย
   
เป็นแวมไพร์ไม่ได้นึกจะปิ๊งใครก็ปิ๊งขึ้นมาง่ายๆหรอกนะ เพราะถ้าเทียบกันแล้วมันไม่ต่างอะไรกับคนรุ่นบรรพบุรุษมาแอบชอบเด็กยุคดิจิตอลนั่นล่ะ แต่กรรมอย่างหนึ่งของแวมไพร์คือ พอได้มีใจให้ใครไปแล้ว ก็จะผูกติดอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน จนกว่าอีกฝ่ายจะตายจากไป ซึ่งไอ้กรรมข้อนี้มันไม่สนหรอกว่า คนคนนั้นมันจะมีใจตอบรับกลับมาไหม
   
สามเดือนที่แล้ว เขาให้บังเอิญไปเจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าระหว่างล่าเหยื่อ นึกแปลกใจเหมือนกันที่จู่ๆก็เกิดมาสนใจมนุษย์สักคนขึ้นมา ถ้ามนุษย์คนที่ว่า ไม่ได้ให้บรรยากาศที่มืดมนและเยือกเย็นขนาดนั้น แต่แปลกที่ในขณะเดียวกัน ก็มีอะไรบางอย่างในตัวมนุษย์คนที่ว่า เชิญชวนให้เขาอยากเข้าไปใกล้ชิดเหลือเกิน ช่างแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นมากมายที่เขาได้พบ
   
มนุษย์สิ้นคิดที่อยากจะกลายเป็นแวมไพร์เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าพิเศษกว่าใคร
   
เป็นแวมไพร์ไม่ใช่เรื่องง่าย อยากจะตะโกนบอกมนุษย์บางคนให้ได้เข้าใจเป็นบ้า ใครกันหนอไปสร้างภาพให้แวมไพร์ดูเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มืดดำ แต่รูปงามและน่าหลงใหล แถมยังมีชีวิตเป็นอมตะอีกต่างหาก ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็ใช่หรอกนะ แต่มันมีรายละเอียดอะไรอีกตั้งมากมาย ที่นอกจากแวมไพร์เท่านั้นแหละจะรู้ แถมไอ้ประเภทแวมไพร์มือใหม่ที่ไม่อาจปรับตัวกับการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ ถึงขนาดฆ่าผู้สร้างหรือคู่ของตัวเองทิ้งก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่มี เขาถึงไม่เคยหาคู่แบบซี้ซั้วแล้วก็ไม่ได้เที่ยวไปสนองนี้ดแบบแปลกๆให้กับมนุษย์บ้องตื้นพวกนั้นอย่างไรเล่า

***************************
   
   
“นี่ยังอยู่อีกหรือ” เสียงอันคุ้นเคยเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบฟังมันเหลือเกิน แก้วตาสีประหลาดที่ดูจะหยอกล้อกับแสงอาทิตย์ได้อย่างงดงามและน่าพิศวงคู่นั่นเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง ก่อนจะยกมุมปากยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ห้องของผมแคบอย่างกับรูหนู คุณจะมาขลุกอยู่แบบนี้ทั้งวันไม่ได้หรอกนะ” น้ำเสียงนั้นเจือแววรำคาญไม่ปิดบัง แต่กลับเรียกรอยยิ้มนั้นให้กว้างขึ้นอีก ยั่วอารมณ์คนพูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ
   
“คุณเป็นแวมไพร์ประเภทไหนกัน! ถึงเที่ยวได้ยุ่งกับคนอื่นทั้งที่เขาไม่ได้เต็มใจสักนิด”
   
แหม... เขาล่ะชอบบทสนทนาแบบนี้เป็นบ้าเลย ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆนะ มนุษย์ที่คุยเรื่องแวมไพร์กับแวมไพร์ราวกับเป็นเรื่องปกติแบบนี้ได้ แม้ว่าบทสนทนาทำนองนี้จะเกิดขึ้นตลอดสามเดือนที่ได้รู้จักกันมาก็เถอะ
   
“ฉันก็เป็นแวมไพร์ปกติธรรมดานี่แหละ”
   
มันมีด้วยเรอะ แวมไพร์ปกติธรรมดาเนี่ย
   
“แล้วคุณจะมาเฝ้าผมทำไม นี่มันสามเดือนเข้าไปแล้วนะคุณ”
   
“รำคาญเหรอ”
   
“เออ! รำคาญ!” ร่างขาวซีดกว่าปกติแต่ก็ยังดูเหมือนมนุษย์... อาจจะดูดีกว่ามนุษย์ทั่วไปมากอยู่สักหน่อยหัวเราะชอบใจออกมาอีกครั้ง
   
“เจเจ ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมไม่ได้อยากจะเป็นแวมไพร์” เด็กหนุ่มพูดก่อนจะโยนกระเป๋าไปที่มุมหนึ่งของห้อง
   
“ไม่อยากก็ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่ได้บังคับขืนใจเธอสักหน่อย”
   
“แล้วทำไมไม่เลิกตอแยผมสักที”
   
“ฉันชอบดูเธอ มันสบายใจดี”
   
“แต่ผมไม่ชอบ มันอึดอัด” โดยเฉพาะกับมนุษย์รักสันโดษอย่างเขาด้วยแล้ว การที่มีคนหรือแวมไพร์... นั่นแหละ จะคนหรือแวมไพร์ก็ช่างมาสุงสิงด้วยแบบนี้ เป็นเรื่องชวนอึดอัดสำหรับเขาสิ้นดี
   
“ก็คิดเสียว่าฉันไม่มีตัวตนก็ได้”
   
เกิดมาเขาไม่เคยสนทนากับใครโดยไม่จำเป็นมาตลอดยี่สิบสองปี ก็คือตั้งแต่เกิดมานั่นแหละ แต่ตั้งแต่ที่แวมไพร์หน้าทนตนนี้เข้ามาในชีวิตเขา ดูเหมือนจะทำให้เขากลายเป็นคนช่างพูดไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เขากลายเป็นคนขี้บ่น ช่างพูด ช่างต่อปากต่อคำขนาดนี้ อาจจะไม่นับเรื่องปากคอเราะร้ายช่างประชดประชันผิดกับหน้าตานั่นด้วย แต่ให้ตายเถอะ เท่าที่จำความได้ ไม่เคยมีใครเทียวไล้เทียวขื่อตอแยกับเขาได้มากถึงขนาดนี้เหมือนกัน บทจะมีโผล่มาก็ดันกลายเป็นแวมไพร์ไปเสียนี่
   
“จะให้คิดได้ไงวะ ก็นั่งหัวโด่คับห้องเสียขนาดนี้” ดวงตากลมโตฉายแววเกรี้ยวกราดไปยังร่างสูงสง่าที่นั่งยิ้มให้เขาแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว
   
“อเล็กซ์” เสียงนั้น เรียกชื่อเขาอย่างอ่อนโยน “วันนี้หัวเสียอะไรมาหรือ” แม้จะรู้สึกดีที่มีใครสักคนแสดงความเอื้ออาทรให้กับเด็กหนุ่มตัวคนเดียวที่ไม่ค่อยน่าคบนักอย่างเขา แต่ความที่มนุษย์สัมพันธ์กับคนรอบข้างเป็นศูนย์ เขาจึงทำตัวไม่เคยถูก และใช้วิธีรับมือกับมันด้วยความกราดเกรี้ยวอยู่บ่อยครั้ง
   
“เพื่อนในคลาส กวนตีน” ใจจริงอยากจะบอกว่า กวนตีนเหมือนคู่สนทนาในตอนนี้อยู่เหมือนกัน เพื่อความสะใจ แต่แวมไพร์ตนนี้ไม่ได้เลวเหมือนเพื่อนกลุ่มนั้น เขาจึงยั้งปากไว้ได้ทัน
   
“ชีวิตผมนี่มันก็แปลกนะ มืดมนไม่เลิก” เกิดมาปุ๊ป พ่อแม่ตายเลยเป็นการประเดิม แถมลุงกับป้าที่รับไปเลี้ยงแบบเสียไม่ได้ ก็เอ็นดูเสียจนแทบจะทนรอที่จะเตะโด่งเขาให้ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเสียทีไม่ไหว ก่อนไปก็ขอซ้อมให้น่วมเป็นการส่งท้ายสักนิด ราวกับว่าที่ลงมือลงเท้ากับเขามาตั้งแต่เด็กมันยังไม่สะใจพอ ก็สมเหตุสมผลแล้วที่เขาจะเป็นคนมืดมนชวนหดหู่ ไม่น่าเข้าใกล้ เพราะนิสัยเกลียดมนุษย์ฝังหัว แม้ใบหน้าจะขัดกับบรรยากาศรอบตัวไปหน่อยก็เถอะ พอจะสมองดีกว่าคนวัยเดียวกันเข้าหน่อย ก็ถูกพวกมันตั้งท่ารังเกียจ ตั้งแง่อิจฉาไปเสียนี่ ไอ้พวกเวร! พวกมันมีครอบครัวอบอุ่นยังไม่พอใจ ยังอุตส่าห์จะมาอิจฉาคนที่มีดีแค่สมองอย่างเขาเสียอีก หรือเพราะมัวแต่อิจฉาคนอื่นเขา เลยโง่ดักดานกันอยู่แบบนี้ พระเจ้านี่บางทีก็เหมือนเล่นตลกแฮะ!
   
“ใครบอก” โดยไม่ทันได้รู้ตัว แวมไพร์ช่างตื๊อมายืนลูบศีรษะเขาเพื่อปลอบใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “นายเป็นคนที่สว่างไสวกว่าใครที่ฉันได้รู้จักเลย”  อเล็กซ์มองหน้าเหมือนอยากจะถามว่า อยู่มานานจนสมองฝ่อหรือไร ถึงได้มาเห็นอะไรสว่างไสวในตัวเขาก็ได้ด้วย แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาททำลายความหวังดีที่อีกฝ่ายมอบให้ อย่างน้อย ช่วงสามเดือนที่รู้จักกันมา แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่ก็ได้เรียนรู้ว่า แวมไพร์หน้าหล่อช่างตื๊อตนนี้จริงใจ เชื่อถือได้ดีทีเดียว
   
เด็กหนุ่มปัดมือใหญ่คู่นั้นออกไปอย่างคนที่ไม่ชินกับการถูกแตะเนื้อต้องตัวนัก
   
“แต่ถึงผมจะไม่ได้มีชีวิตสวยงามอะไร ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะกลายเป็นผีดูดเลือดนะ บอกไว้ก่อน” เจเจหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่กับบทสรุปทื่อๆนั่น
   
“ฉันรู้มาตั้งนานแล้วล่ะน่า”
   
“รู้แล้วทำไมยังมาวนๆเวียนๆอยู่อีก ไม่ไปหาคู่ที่อื่นล่ะ” อเล็กซ์พ่นลมหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะว่าต่อ “ผู้หญิงก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ตัวเองก็ไม่ได้เฉียดคำว่าขี้ริ้วอะไร ทำไมยังตามผมไม่เลิก”
   
“ฉันไม่ได้สนใจว่าคู่จะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉันชอบใครฉันก็อยากอยู่กับคนนั้น” เมื่อเห็นสายตาจากเด็กหนุ่มที่จ้องมองกลับมาอย่างสงสัยเต็มที เขาจึงยิ้มก่อนจะหันออกไปมองวิวที่นอกหน้าต่างอพาร์ตเม้นต์โทรมๆแห่งนี้ “ฉันอยู่มานานจนเพศสภาวะไม่ใช่เรื่องสำคัญมาตั้งนานแล้ว คำว่า ‘คู่’ ของสิ่งมีชีวิตอย่างฉันน่ะมันลึกซึ้งกว่านั้นหลายเท่า” ใบหน้าหล่อคมและดูเหมือนจะเปล่งประกายอะรบางอย่างออกมาอยู่ตลอดเวลานั้น หันกลับมามองอเล็กซ์อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “และที่สำคัญ พวกเราถ้าได้รู้สึกผูกพันกับใครแล้ว ก็ยากจะถอนตัวออกมา”
   
อเล็กซ์อึ้งกับคำอธิบายนั้น ก่อนจะเบือนหน้าออกไปมองวิวนอกหน้าต่างบ้าง
   
“แบบนั้นไม่แฟร์เลย” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆ ด้วยน้ำเสียงติดจะขมขื่น เต็มไปด้วยอารมณ์อันยากจะอธิบาย “ถ้าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณ คุณก็ตัดใจจากผมไม่ได้งั้นหรือ ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน”
   
“จนกว่าเธอจะตายจากไป” คำตอบนั้นเรียบๆเรื่อยๆราวกับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ก่อนจะหันมายิ้มหน้าเป็นจนน่าต่อยแล้วโพล่งออกมาว่า “เท่เนอะ คำตอบแบบนี้”
   
อยากกระโดดถีบแวมไพร์ผิดไหมนะ
   
“ทำไมต้องเป็นผมก็ไม่รู้ คนอื่นมีตั้งเยอะ” อเล็กซ์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นหลังปล่อยให้เกิดความเงียบปกคลุมอยู่เป็นนาน
   
เจเจยิ้ม เขาส่ายหน้า เงียบไป ทำท่าเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แล้วก็เงียบไปอีกเป็นครู่ จนอีกฝ่ายคิดว่าคงจะไม่ได้ยินคำตอบอะไรเสียแล้ว
   
“หัวใจของแวมไพร์มันซับซ้อนนะ” หนนี้ใบหน้านั้นไม่ได้มีแววล้อเล่นอีก สายตาคมกริบมองไกลออกไป ทำเอาเด็กหนุ่มใจหาย
   
อเล็กซ์สะดุ้งอีกครั้งเมื่อมือใหญ่คู่นั้นวางลงเบาๆบนศีรษะเขา หนนี้เขาไม่ได้คิดไปเองว่า ความเย็นเยือกของฝ่ามือมันกลับอบอุ่นอย่างประหลาด
   
“ไว้จะแวะมาหาอีกก็แล้วกัน” เสียงนั้นเอ่ยอย่างติดตลก “แล้วก็เลิกทำหน้าบึ้งเถอะ เดี๋ยวไม่น่ารักนะ”
   
“เดี๋ยวสิ...” เพียงเสี้ยววินาที ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาเขามาตลอดสามเดือนก็หายวับไป แม้จะเริ่มชินชาแต่ก็อดที่จะบ่นออกมาเบาๆไม่ได้ว่า “ทำไมชอบทำแบบนี้นักก็ไม่รู้”

********************************
   
“เฮ้ย มนุษย์ถ้ำมีราชรถมาเกยอีกแล้วโว้ยพวกเรา” เสียงที่อเล็กซ์ให้คำจำกัดความว่า เสียงเห่า ดังขึ้น พร้อมกับเสียงฮือฮาอื้ออึงของเหล่านักศึกษาที่นั่งอยู่แถวนั้น “น้ำหน้าอย่างมัน กูว่าต้องเสร็จเขาไปแล้วแน่ๆ”
   
ที่ผ่านมา ไม่ว่าเสียงนั้นจะเห่าออกมาแค่ไหน เขาไม่เคยจะเก็บมาใส่ใจ แต่ครั้งนี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไรความรู้สึกโกรธจึงได้ท่วมท้นเสียจนแทบระเบิดออกมาทีเดียว อเล็กซ์ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโกรธที่โดนดูถูกศักดิ์ศรีหรือว่าโกรธเพราะคนในรถที่ถูกพาดพิงกันแน่เหมือนกัน นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่ ‘มนุษย์ถ้ำ’ ในสายตาของคนอื่น หันกลับไปมองหน้าคนพูด ก่อนจะเดินเข้าไปหาแบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
   
“พูดใหม่อีกทีซิ” อเล็กซ์เอ่ยด้วยเสียงเรียบที่เก็บกลั้นความโกรธเอาไว้อย่างเต็มที่
   
เงียบ... ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอยู่เป็นครู่ ด้วยไม่คิดว่าไอ้มนุษย์ถ้ำมันจะรู้สึกรู้สมอะไรเป็นเหมือนกับคนอื่นเขาด้วย
   
“ฉันบอกว่าให้พูดใหม่อีกที”
   
“คนที่มีดีแค่หน้าตาอย่างมึง ถ้าไม่เอาตัวเข้าแลก ใครที่ไหนจะมาสนใจวะ จริงๆมึงก็น่าจะทำไปตั้งนานแล้ว ชีวิตจะได้สบาย แล้วก็เป็นผู้เป็นคนขึ้นบ้าง...” ทันทีที่พูดจบ เสียงพลั่กแบบเนื้อกระทบเนื้อก็ดังขึ้นโดยไม่มีใครคาดหมาย
   
ร่างที่สูงใหญ่กว่าถึงกับหน้าหัน และเสียการทรงตัวจนกระทั่งลงไปนั่งกองกับพื้น ด้วยไม่คิดว่า ร่างที่เล็กกว่านั้นจะเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงขนาดนี้ เลือดถึงกับกลบปาก หน้าตาแดงก่ำอารามทั้งโกรธ ทั้งตกใจ ทั้งเสียหน้าปนเปกัน
   
“โดนซะบ้าง จะได้รู้ว่าปากไม่ได้มีไว้เห่าอย่างเดียว” อเล็กซ์กำมือแน่น แม้ความรู้สึกจะชาด้านอยู่ในตอนนี้ แต่เขาแน่ใจว่ามันจะต้องเจ็บเอาเรื่องทีเดียว แต่ก็คุ้มค่า เพราะมันทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเป็นอักโข
   
“ไอ้เหี้ยอเล็กซ์!... มึง!”
   
“ทำไม พวกมึงจะหมาหมู่รึไง!” อเล็กซ์เอ่ย เมื่อเห็นพวกที่เหลืออีกสี่ห้าคนทำท่าจะเอาคืนแทนเพื่อน “เวลาเก่งก็เก่งแต่ปาก พอจะแสดงความเป็นลูกผู้ชายขึ้นมา ก็เสือกทำแบบหมาหมู่ ต่อให้กูไปเอากับใครจริงๆ ยังไม่ทุเรศเท่าพวกมึงเลย”
   
เจ็บแสบเสียจนคนที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบแทบจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยจะเข้ามาช่วยคนตัวคนเดียวแถมยังเป็นตัวประหลาดอย่างเขาแน่นอน ก่อนที่หมัดลุ่นๆจากใครคนหนึ่งจะซัดเข้าที่ใบหน้างามๆที่ยืนรอรับอย่างไม่สะทกสะท้าน กำปั้นสากๆนั้นก็ถูกมือข้างหนึ่งรับไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะทันที
   
“เฮ้ย! มาจากไหน!?!?!” และก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ เจ้าของกำปั้นก็พลันกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงของอาคารเรียนเข้าอย่างจัง ร่วงลงแบบไม่ต้องรอให้ใครมาช่วยนับน็อค เพราะหลับไปแล้วเรียบร้อย
   
“ใครมีปัญหากับอเล็กซ์” น้ำเสียงทุ้มนั้นราบเรียบแต่ช่างทรงพลังอย่างยิ่งในความรู้สึก บวกกับรูปลักษณ์ที่สูงใหญ่สง่างาม และใบหน้าที่ดูงดงามราวกับไม่ใช่มนุษย์ ก่อให้เกิดความเงียบชนิดที่เข็มตกสักเล่มยังได้ยินขึ้น
   
“มึงเป็นใคร!?!?”
   
เจเจหันไปมองหน้าอเล็กซ์ ก่อนจะเอ่ยโดยไม่มองหน้าใครอื่นอีกว่า “คนของอเล็กซ์” ถ้าตาไม่ฝาดเกินไป ดูเหมือนว่าแววตาที่ปกติเป็นสีทองวับวาวล้อกับแสงอาทิตย์จะเปลี่ยนเป็นสีเงินเย็นเยียบขึ้นมาโดยพลันก่อนจะเอ่ยว่า “ใครก็ห้ามแตะต้องคนคนนี้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะไม่เอาไว้สักคน!” ดวงตาคู่นั้นกลับมามีประกายที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อหันกลับมามองร่างๆเล็กที่อยู่ข้างตัวเขา เจเจหยิบกระเป๋าโทรมๆที่ตกอยู่ขึ้นมา ก่อนจะผายมือเล็กๆ เป็นการเชื้อเชิญให้เด็กหนุ่มเดินนำหน้าไปยังรถเก๋งคันหรู และขับออกไปแบบไม่สนใจใครอีก

--------------------------- To be continue --------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-02-2012 22:52:51 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
“คนของอเล็กซ์” :-[
ยอมเจเจไปเหอะนะอเล็กซ์ คนอ่านเชียร์เต็มที่  :laugh:

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาอีกที ยอดวิวเกินสองพันแล้ว ดีใจมากเลยค่ะ สองพันสำหรับนักเขียนคนอื่นนิ้วไขว้ไม่ทราบค่ะว่ามากหรือน้อย แต่สำหรับนิ้วไขว้แล้วมันเยอะมาก แล้วก็มีคุณค่ามากๆเลยเชียว ต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านนะคะที่แวะเข้ามาอ่านและติดตามกันอยู่เสมอ

มาค่ะ มาต่อคู่ของเจเจ กับอเล็กซ์ให้จบ เรื่องนี้อ่านครึ่งแรกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ครึ่งหลังดาร์กหักมุมน่าดู ยังดีที่จบแบบแฮ็ปปี้ แค่เป็นแฮ็ปปี้เอนดิ้งที่หม่นๆหน่อย ลองเข้าไปอ่านกันค่ะ ส่วนตัวเราชอบคาแร็กเตอร์ของอเล็กซ์มาก แต่ก็สนุกกับคาแร็กเตอร์ของเจเจเหมือนกัน

ก่อนจะลงตอนต่อ ขอแจ้งเอาไว้ตรงนี้นิดนึงนะคะว่า เรื่องต่อไปเป็น NC เบาๆ ... ที่จริงแบบไหนเรียกว่าเบาแบบไหนที่เรียกว่าแรง นิ้วไขว้ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยเอา NC อะไรมาลงกับเขาเลย แอบเขินอยู่เหมือนกัน พอดีมีเพื่อนนักอ่านเขาฝากเพื่อนของนิ้วไขว้มาอีกทีว่า ช่วยเขียนฟิคเต๋าคชา AF8 หน่อยได้ไหม ซึ่งก็พอดีเขียนเอาไว้แล้ว เขียนเรื่องแรกก็จัดหนักเลย แต่... แต่และแต่... ที่ผ่านๆมา แม้จะได้รับแรงบันดาลใจจากคนที่มีตัวตนจริงๆในชีวิตจริง ทุกครั้งที่นำแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาเขียนนิยาย นิ้วไขว้จะเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ เพราะว่ายังไงก็ยังเคารพ แรงบันดาลใจเหล่านั้นอยู่... เป็นความเชื่อส่วนตัวน่ะค่ะ  เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่จะคิดน่ะเนาะ แต่สำหรับนิ้วไขว้ จะขอเอาไว้สักนิด หวังว่าคนอ่านจะไม่เสียอรรถรสไป เพราะเข้าไปอ่านดูยังไงก็รู้ค่ะว่า ตัวละครต้นแบบมาจากไหน เพราะคาแร็กเตอร์ชัดเจนเสียขนาดนั้น

เพราะฉะนั้น เรื่องหน้า เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคาแร็กเตอร์ของ เต๋ากับคชา ค่ะ ใครเป็นแฟนน้องและชอบอ่านฟิก ก็เชิญเข้ามาทัศนากันได้ ใครไม่ใช่แฟนหรือไม่รู้จักว่าเต๋ากับคชาเป็นใคร ก็นึกเสียว่า เข้ามาอ่านเรื่องราวของคู่ใหม่เอาเพลินๆเสียก็แล้วกัน รับรองว่า สนุกไม่แพ้เรื่องก่อนหน้าแน่นอน

ว่าแล้วก็มาต่อเรื่องที่ 9 ตอนจบกันนะคะ

---------------------------------

เรื่องสั้น 9: Eternity Part II (จบ)

“ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องมารับ เป็นแวมไพร์ประสาอะไรขับรถเฉยเลย” อเล็กซ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะไม่สบอารมณ์นัก
   
“อ้าว กลางวันแสกๆ จะให้ฉันเหาะมาหรือไง แตกตื่นกันพอดี”
   
“ผมไม่ได้ขอให้คุณมารับ หรือดูแลนะ” เสียงนั้นแว้ดออกไปอย่างเอาเรื่อง
   
“แล้วไปมีเรื่องชกต่อยได้ยังไง ปกติฉันไม่เคยเห็นเธอใส่ใจหรือของขึ้นกับคนพวกนี้สักที”
   
อเล็กซ์เลือกที่จะเงียบมากกว่าต่อปากต่อคำอะไรอีก เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงได้ระเบิดอารมณ์ออกไปขนาดนั้น
   
“คุณนี่ใช้ชีวิตยังไงกันนะ” จู่ๆเด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาแวมไพร์ที่ทำหน้าที่เป็นพลขับถึงกับเลิกคิ้วขึ้น
   
“นึกยังไงถึงสนใจขึ้นมา”
   
“เปล่า ผมแค่อยากรู้”
   
“ฉันก็ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ แค่เป็นแวมไพร์เฉยๆ” เขาตอบแบบสบายๆ อารมณ์โกรธมนุษย์ที่ทำร้ายอเล็กซ์จางหายไปมากแล้ว
   
“คุณโดนแสงแดดได้ ขับรถขับราได้ ไปไหนมาไหนได้ พูดจาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกเรา คุณทำได้ยังไง”
   
“เธอคิดว่าแวมไพร์จะเหมือนอย่างในหนังงั้นรึ” เขาหัวเราะออกมาเบาๆอย่างสบายอารมณ์ “ขนาดหนังแต่ละเรื่องยังทำออกมาไม่เหมือนกันเลย”
   
ข้อนี้มีเหตุผล
   
เขาหรี่เสียงเพลงจากวิทยุในรถให้เบาลงไปอีก
   
“แวมไพร์ก็เคยเป็นมนุษย์นะ เมื่ออยู่ไปนานๆก็ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เวลาเรามีเหลือเฟือ ก็ศึกษาไปสิ พอเป็นแวมไพร์ไปนานๆ แสงสว่างก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเราอีก ปรับตัวได้ก็จบ ได้โบนัสมาเป็นการปรับตัวอยู่กับความมืดมาเพิ่มด้วยเสียอีก เราไม่ได้บอบบางตายง่ายเหมือนในหนังขนาดนั้น”
   
“แล้วคุณทำมาหากินอะไรเนี่ย”
   
“ฉันก็ต้องมีสมบัติติดตัวมาบ้างล่ะถูกไหม หัดเอาไปลงทุนอะไรบ้าง ก็พอจะมีเงินงอกเงยมาให้ใช้จ่ายได้เหมือนกัน เงินเนี่ย ถึงจะเป็นแวมไพร์ แต่ถ้าคิดจะใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์ ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่เหมือนกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ก็เถอะ ว่าแต่...” เขาหันไปมองร่างที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ “คิดยังไงถึงถามขึ้นมาล่ะ”
   
“เปล่า... แค่คิดว่า รู้จักกันมานาน ผมไม่ค่อยรู้เรื่องคุณสักเท่าไหร่เลย ไหนๆก็ดูเหมือนว่าจะไม่เหลือใครให้คบอีกต่อไปแล้ว ก็รู้เอาไว้บ้าง ไม่เสียหายหรอก”
   
“นึกว่าเกิดอยากเปลี่ยนใจมาเป็นพวกฉันขึ้นมา”
   
“ผมชอบเป็นคนนะ” อเล็กซ์สวนกลับทันทีพร้อมกับมองตาขวาง ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆอย่างอารมณ์ดี
   
“ฉันรู้แล้วน่า” เขาตอบยิ้มๆขณะที่ดวงตายังคงมองดูถนนเบื้องหน้า
   
“สมมุติ...” อเล็กซ์เงียบไปเป็นครู่ ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป “สมมุติ ถ้าคุณอยากให้ผมไปอยู่กับคุณ โดยที่ผมไม่สมัครใจ คุณทำได้ไหม”
   
“ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่เลือนหายไปสักนิด
   
“ผมรู้ว่าคุณไม่ทำ แต่ถ้าจะทำ คุณทำได้ไหม”
   
“ได้โดยที่เธอไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ”
   
“แล้วทำไมถึงไม่ทำ” เด็กหนุ่มหันไปมองเสี้ยงหน้าของอีกฝ่ายเต็มๆ
   
“ฉันไม่ชอบบังคับใจใคร เรื่องแบบนี้มันต้องเกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่ายด้วยเหมือนกัน ฉันอาจจะเป็นแวมไพร์หัวเก่า ที่ยังมีความเชื่อแบบมนุษย์อยู่มากล่ะมังนะ” ประโยคสุดท้ายราวกับเขาจะเอ่ยกับตัวเองมากกว่า “อีกอย่าง แวมไพร์เองก็มีกฏในหมู่แวมไพร์อยู่บ้างเหมือนกัน นี่ก็เป็นหนึ่งในกฏนั้น ซึ่งฉันว่าดี”
   
“นั่นสิ” อเล็กซ์ว่า “ไม่อย่างนั้นเกิดใครอยากบังคับใคร ก็คงแย่น่ะนะ”
   
ในรถยังคงมีเสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆดังอยู่ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาเป็นนาน
   
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
   
“หมายความว่าไง ทำยังไง”
   
“ผมไม่ยอมเป็นแวมไพร์ คุณเองก็มองหาคู่ นี่สามเดือนแล้ว คุณจะทำยังไงต่อ”
   
“ก็ไม่ทำยังไง ก็เป็นเพื่อนเล่นกับเธอไปเรื่อยๆ”
   
“เฮ้ย... ได้ยังไงกัน”
   
“ฉันมีเวลาชั่วกัลปาวสานเลยนะอเล็กซ์ เธอไม่ต้องห่วงหรอก” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆด้วยเอ็นดูเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ “ใครจะไปรู้ ฉันอาจจะอยู่ไปอย่างนี้จนกว่าเธอจะสิ้นอายุขัยเลยก็ได้”
   
“อย่ามาพูดเล่นน่า” เจ้าตัวทำเสียงฮึดฮัดแบบไม่สู้จะชอบใจนัก... ที่จริงจะบอกว่า ไม่ชอบใจก็คงจะไม่ใช่เสียทีเดียวหรอก
   
“ส่งผมลงที่ร้านก็แล้วกัน” อเล็กซ์หมายถึงร้านอาหารที่เขาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ทุกวันหลังเลิกเรียนนั่นเอง
   
“แล้วฉันจะมารับนะ” ไม่ทันที่จะรอคำตอบ แวมไพร์หนุ่มก็ขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ให้มนุษย์ที่เพิ่งลงจากรถอดนึกไม่ได้ว่า แวมไพร์ยุคใหม่จะเป็นแบบนี้กันหมดเลยหรือเปล่าหนอ

**************************

หรือเขาจะคิดมากเกินไป ไม่หรอก ก็แค่หลอกตัวเองว่าคิดมาก ทั้งๆที่สัญชาติญาณของแวมไพร์อย่างเขาแน่นอนมากพอๆกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกเลยทีเดียว
   
จู่ๆเขาก็รู้สึกแปลบที่หน้าอกอย่างรุนแรง มันไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นความรู้สึกวูบหายที่หัวใจอย่างรุนแรง และเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดจากอะไร
   
อเล็กซ์... มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับอเล็กซ์อย่างแน่นอน
   
เจเจไม่ขับรถ การเคลื่อนไหวแบบแวมไพร์รวดเร็วกว่าหลายเท่านัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเร็วไม่พอ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้
   
เขาแทบจะคลั่งเมื่อเห็นร่างที่แสนจะคุ้นตา นั่งพิงกำแพงที่อยู่ห่างจากร้านอาหารที่เขาเพิ่งแวะส่งอเล็กซ์เมื่อตอนเย็นไม่กี่ร้อยเมตร ไม่ใช่แค่กลิ่นอันแสนคุ้นเคยของเด็กหนุ่มเท่านั้นที่แตะกับสัมผัสประสาทที่ไวเกินมนุษย์หลายเท่า แต่ยังเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยยิ่งกว่า เป็นกลิ่นที่หอมหวนในยามที่ท้องหิว แต่มันกลับชวนให้ตื่นตระหนกเหลือเกินเมื่อมันผสมผสานเข้ากับกลิ่นกายที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของแบบนี้
   
อเล็กซ์นอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่ตรงนั้น
   
“อเล็กซ์! เป็นยังไงบ้าง” เจเจคว้าร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่เต็มไปด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เลือดไหลออกมาจากช่องท้องหลายจุด ร่างกายเห็นได้ชัดว่าฟกช้ำไปทั่วตัว กระดูกหักหลายที่ อเล็กซ์สำลักเลือดตัวเองจนปากคอแดงฉานไปหมด สติที่พอจะมีอยู่นั้นเริ่มที่จะเลือนลางเต็มที แต่เด็กหนุ่มยังจำสัมผัสอันคุ้นเคยได้ คนเดียวเท่านั้นที่จะสัมผัสเขาแบบนี้
   
“เจ... “ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เลือดก็มีอันทะลักออกมาอีก มือข้างหนึ่งกำเสื้อนอกของแวมไพร์หนุ่มเอาไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด
   
“อเล็กซ์ ไม่เป็นไรนะ เธอไม่เป็นอะไรหรอก” แต่เขารู้ว่าเขาโกหก
   
“ผม...”
   
“ชู่ว... เธอไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
   
“ผมกำลังจะตายนะ” ร่างอันปวกเปียกเอ่ยออกมาในที่สุด “และก่อนจะตาย ผมอยาก... รู้” เลือดจำนวนมากทะลักออกมาอีก
   
“ว่ามาเลยอเล็กซ์”
   
“คุณยังอยากจะอยู่กับผมหรือเปล่า” เจเจยิ้มทั้งที่น้ำตายังคลอหน่วย เขาพยักหน้า
   
“ทุกลมหายใจ ตลอดเวลาเลย”
   
“ถ้าผมอยากอยู่กับคุณ คุณจะยอมไหม”
   
“อเล็กซ์”
   
“ผมไม่ได้พูดเพราะกำลังจะตาย แต่ผมรักคุณจริงๆ” เจเจน้ำตาไหลออกมาอย่างหยุดไม่ได้ “ถ้าเป็นก่อนหน้า ผมคงอยากจะตายให้พ้นๆไป แต่ตอนนี้ผมมีคุณ...” อเล็กซ์พยายามต่อสู้สุดชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย “ผมไม่อยากตาย ผมอยากอยู่กับคุณ คุณเป็นความหวังเดียวในชีวิตที่ผมมี”
   
เจเจยังคงร้องไห้เงียบๆ
   
“ผมจะดีใจกว่า ถ้าชีวิตที่ได้รับมาของผมจะเป็นของคุณ”
   
อเล็กซ์ดึงเสื้อของเจเจไว้แน่น เขาเหลือลมหายใจไม่มาก แต่ดวงตากลับเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง และเมื่อมันประสานกับดวงตาคู่สวยอีกคู่ เขาก็พยักหน้า
   
ความรู้สึกของเด็กหนุ่มลางเลือน วูบหนึ่งในวาระสุดท้ายของเขานั้น แน่ล่ะ มันช่างเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ เจ็บปวดมากเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งได้ประสบ แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่เหมือนหล่นวูบลงไปในหุบเหว ทั้งที่ใกล้จะตาย แต่กลับรู้สึกว่าตัวเบาเหมือนขนนก ความเจ็บปวดที่เคยมีปลาศนาการไปจนหมดสิ้น
   
เขาตายลงแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ... ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และดูเหมือนว่าจะได้ชีวิตใหม่มาแทนที่ ชีวิตที่เขาเลือกด้วยตัวเอง และมั่นใจว่า นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด น่าหัวเราะที่ตอนที่เขายังเป็นมนุษย์ เขากลับรู้สึกมืดมน เหมือนมีชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมิด แต่เมื่อเขากลายเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป กลับรู้สึกว่า โลกมันกลับสว่างไสวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
   
เพียงเพราะมือคู่เดียวที่ยื่นออกมาจับเขาไว้ และที่แน่ๆมือคู่นี้จะเป็นของเขาตลอดไป

***************************
   
“ทำอะไรอยู่” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนพอดิบพอดี อากาศคืนนี้เย็นสบายดีทีเดียว น่าแปลกใจที่แม้แต่สิ่งมีชีวิตอย่างแวมไพร์ก็ยังมีความรู้สึกอะไรหลายๆอย่างไม่ต่างกับมนุษย์ปกติธรรมดา ร่างที่เล็กกว่ายื่นหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดให้กับร่างที่ทรุดตัวลงนั่งอยู่ข้างๆ
   
“ตายปริศนา 5 ศพ... สภาพศพฟกช้ำและกระดูกหักทั่วร่างกาย... ไม่เหลือเลือดในร่างกายซักหยดอีกต่างหาก อือฮึ” เขาพึมพำกับตัวเองอยู่พักใหญ่ แล้วจึงพับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นวางลงอย่างไม่ไยดี
   
“แค่ดูดเลือดก็พอ ไม่เห็นต้องเล่นงานพวกนั้นขนาดนั้นเลย”
   
“พวกมันฆ่าเธอนะ” เขาว่าลอยๆ “ถึงแม้เธอจะไม่ตายอีกต่อไป แต่การที่มันทำให้เธอต้องเจ็บปวดขนาดนั้น จะให้ฉันปล่อยไปไม่ได้หรอก” แววตาของคนพูดเป็นประกายขึ้นวูบหนึ่งด้วยโทสะจางๆ
   
อเล็กซ์ยังจำได้ดี เพียงวันเดียวหลังจากที่เขากลายเป็นแวมไพร์ เจเจ ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจเจโกรธเกรี้ยวขนาดนั้น ดวงตาเป็นสีแดงเพลิงลุกโชน การเคลื่อนไหวรวดเร็วเหลือเชื่อ แล้วก็เลือดเย็นได้ชนิดน่าขนลุกทีเดียว
   
เจเจบอกเขาว่า ปกติแล้วเลือดคนเพียงหนึ่งคนก็เหลือเฟือที่จะทำให้แวมไพร์หนึ่งตนอิ่มท้องไปได้หลายวัน แต่คืนนั้น เจเจหักคอพวกมันทิ้งจนหมด เขาดูดเลือดพวกนั้นแบบทิ้งๆขว้างๆจนตายสนิทหลังจากที่อัดพวกมันจนเละเทะไปหมด และไม่รีรอที่จะทำให้เขาได้ดูดเลือดมนุษย์เป็นครั้งแรก
   
“ดื่มซะ สำหรับแวมไพร์เกิดใหม่ยิ่งได้ดูดเลือดเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้มีพลังแข็งกล้ามากขึ้นเท่านั้น” อเล็กซ์ฝังเขี้ยวลงที่คอของหนึ่งในคนที่ทำร้ายเขาคืนก่อนหน้าชนิดไม่อิดออด เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่มีเรื่องชกต่อยกับเขาที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง ถ้าไม่นับว่าเขาเกลียดไอ้พวกนี้อยู่แล้ว ก็ต้องบอกกันตรงๆว่าเขาไม่ได้ชอบมนุษย์สักเท่าไรนักหรอก ขนาดตอนเป็นมนุษย์ก็เห็นดีเห็นงามกับการที่แวมไพร์ดื่มเลือดมนุษย์อยู่แล้วเป็นปกติ พอมาเป็นเสียเอง เขาจึงไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะต้องมาคำนึงถึงมนุษยธรรมอะไรนั่นอีก
   
ยิ่งมาอยู่ในสภาพที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการดื่มเลือดแบบนี้ด้วยแล้ว
   
“รู้สึกยังไงบ้าง” เจเจ ถามด้วยความเป็นห่วง “ดูเหมือนว่าฉันจะรวบรัดอะไรเธอหลายอย่าง จนลืมไปว่าเธอเองก็ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่เหมือนกัน”
   
“รู้สึกดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” รอยยิ้มของเด็กหนุ่มยืนยันคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี “เบา สบาย ไม่มีพันธะ อิสระ รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้มากกว่าตอนเป็นมนุษย์ธรรมดาเยอะ”
   
“ตั้งแต่เป็นแวมไพร์มา ฉันไม่เคยเจอใครที่ชิงชังการเป็นมนุษย์อย่างเธอมาก่อนเลย” เขายิ้มออกมาบ้าง
   
“ผมไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มีความสุขอะไรนี่” ดวงตากลมโตของอเล็กซ์เป็นประกายระยับน่ามองอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนยามที่เขายังเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา
   
“ไปกันเถอะ” แม้จะนึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เมืองนี้ไม่เหลืออะไรที่น่าสนใจอีกต่อไปแล้วสำหรับพวกเขา “โลกใบนี้มีอะไรให้เธอได้เรียนรู้อีกเยอะทีเดียว”
   
ร่างที่เล็กกว่ายื่นมือให้กับอีกฝ่าย เขาจับมือข้างนั้นเอาไว้แน่นราวกับจะเป็นการบอกว่า ไม่มีวันที่จะยอมปล่อยมือข้างนี้ไปไหนแน่นอน
   
เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ บนดาดฟ้าที่สูงลิบของอาคารแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก
   
ร่างสองร่างกลืนหายไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

----------------------------- END -------------------------

เช่นเคยค่ะ ชอบมาก ชอบน้อยยังไง ช่วยบอกเล่าเก้าสิบคนเขียนสักนิด จะขอบคุณมากเลยล่ะค่ะ ^^

ออฟไลน์ NONSENSE

  • เพ้อฝัน ไปวันวัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 644
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-2
ชอบมากๆๆๆๆๆ เลยค่ะ
ทุกเรื่องเลยยยยย

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
ตอนแรกนึกว่าจะจบเศร้าซะแล้ว

ชอบค่ะ แอบคิดว่าชีวิตจริงน่าจะมีแบบนี้มั่งเนอะ ฮ่าๆๆ

รอเรื่องต่อไปค่ะ ชอบทุกเรื่องเลย ^^

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
เข้าสู่สัปดาห์ใหม่กันแล้วนะคะเพื่อนๆนักอ่านทุกท่าน ซึ่งก็แปลว่า เรื่องสั้นในสต๊อกของนิ้วไขว้ เหลืออยู่น้อยนิดเต็มทีแล้ว... เพลียเลื้อเกิน เพราะมันแปลว่า ใกล้จะต้องทำสัญญาให้ทุกท่านร่วมโหวตตอนพิเศษแล้วด้วยเหมือนกัน หวาดเสียวเบาๆค่ะ เพราะไม่รู้จะแจ็กพ็อตเรื่องไหน  :z2:

ก่อนจะไปไกล กลับมาที่ซีรี่ของเรากันต่อค่ะ ถึงวันนี้ก็เรื่องที่ 10 แล้ว 10 เรื่อง 10 คู่ เยอะนะคะ กว่าจะคิดชื่อคิดพล็อตได้แต่ละที ไมเกรนจะถามหาเอา สำหรับเรื่องนี้ก็มีเกริ่นไปบ้างแล้วเล็กน้อยเมื่อคราวเอาเรื่องที่ 9 มาโพสต์ ที่จริงก่อนหน้านั้นนาเมฮ์เพื่อนเลิฟแอบมาบิ๊วเบาๆว่า ไม่คิดจะแต่งเรื่องยาว (แรงบันดาลใจจาก) เต๋าคชา บ้างหรือ สารภาพว่า ไม่คิดเลย เพราะว่าการแต่งเรื่องยาวมันใช้พลังชีวิตเยอะมากค่ะ เลยลังเลแบบสุดๆ แต่ก็มีคิดอยากเขียนเรื่องสั้นอยู่เหมือนกัน ซึ่ง... ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่า เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับน้องหนแรก ก็จัด NC เบาๆมาเลย แอบเขินนิดๆค่ะ  :-[

เพราะฉะนั้น ก็... นะคะ... เรื่องที่ 10 ขอเชิญทุกท่านทัศนากันได้เลยตามอัธยาศัย และแน่นอนค่ะ อยากรู้จริงๆว่าจะชอบกันไหม เพราะฉะนั้น ถือว่าขอกันตรงๆเป็นครั้งแรกเลยตรงนี้นะคะว่า... ช่วยคอมเม้นต์นิดนึงได้ไหม เพราะอยากรู้ค่ะ นี่เป็นการลง NC ครั้งแรกของคนเขียน มันแอบไม่มั่นใจจริงๆนะ ไม่แน่ค่ะ ถ้าเข้ามาอ่านหนนี้อาจจะได้รู้กันไปเลยว่า ควรเขียนอีก หรือไม่ควรเขียนอีกต่อไป T T ฮื้ยยย... กดดันตัวเองโว้ยยยย...  :sad4:

ตามไปอ่านกันนะคะ

---------------------------------
เรื่องสั้น 10 Skinship
      
ถ้าจะบอกว่าที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนที่เสพติดการสัมผัสคนอื่น จะมีใครเชื่อเขาไหมเนี่ย
   
ก็คงจะเชื่ออยู่หรอก ถ้าไม่ใช่เวลาที่เขาอยู่กับเจ้าคนหน้ามึนที่ดูจะไม่ค่อยหืออือกับสถานการณ์รอบข้างสักเท่าไหร่อย่างหมอนี่ เขาก้มลงมองร่างที่อาศัยตักของเขานอนงีบหน้าตาเฉยมาครึ่งค่อนชั่วโมงแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า คนอะไรวันๆเอาแต่ทำหน้านิ่งๆ คิดอะไรคนเดียวเงียบๆ เผลอหน่อยไม่ได้ เป็นต้องหลับ เด็กน้อยเหลือเกิน
   
อันที่จริงตรีรู้จักคทาได้ไม่นาน จะให้นับจริงๆก็น่าจะสักสามเดือนเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกถูกชะตากับเพื่อนใหม่คนนี้นัก จำได้ว่าตอนนั้นเป็นวันรับน้องพอดี เขาเองที่เป็นเด็กเฟรชชี่กำลังรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการที่ได้เข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ใหญ่โต เพื่อนใหม่ รุ่นพี่ และกิจกรรมที่แทบจะเรียกได้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมด้วยซ้ำ
   
แล้วจู่ๆขณะที่กำลังเล่นเกมที่รุ่นพี่ต่างสรรหามาให้รุ่นน้องได้ร่วมสนุกเพื่อกระชับความสัมพันธ์กันในวันแรกนั้น จู่ๆเขาก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาเดินเข้ามาร่วมวงด้วยพร้อมกับเด็กคนอื่นๆอีกหลายคน และถึงแม้จะมีหลายคน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสายตาของตรีจึงจับอยู่ที่คนคนนั้นเพียงคนเดียว จนถึงตอนนี้ก็น่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่เขายังจำได้ ความประทับใจแรกที่ตรีมีต่อคนที่กำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนในไม่ช้า ก็คือคนอะไรหน้าตาน่ารักเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่น แต่นิ่งได้ใจเหลือเกิน
   
ตรีจับตามองร่างที่ดูยังไงก็ผอมเกินไปในสายตาเขา จนกระทั่งร่างนั้นรับป้ายชื่อตัวเองมาแขวนคอ เอาไว้เหมือนกับเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆที่นั่งล้อมวงทำกิจกรรมกันอยู่ ‘คทา’ ชื่อแปลกดีแต่ก็จำง่าย มารู้เอาตอนหลังนี่แหละว่ามาจากชื่อเต็มของเจ้าตัวที่ชื่อ คทาธร
   
วันรับน้องวันแรก ตรีจำได้แค่ว่าเขาเฝ้ามองหาแต่คทามากกว่าอย่างอื่น
   
อะไรหนอที่ทำให้ตรีรู้สึกว่าสายตาของตัวเองถูกดึงดูดถึงเพียงนั้น ร่างสูงกว่า เจ้าของผิวขาวสะอาดจนเกือบซีดก้มลงมองใบหน้าที่ยังคงหลับใหลไม่ยอมตื่น ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากของอีกฝ่ายออกไปพลาง ลูบศีรษะกลมๆนั้นไปพลางอย่างเพลิดเพลินโดยให้แน่ใจว่าจะไม่เผลอทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน
   
คทาไม่รู้หรอกว่า วันแรกที่ตรีรู้ว่าคทาเรียนคลาสเดียวกับเขา และยังลงเรียนคลาสเหมือนๆกันอีกหลายวิชาน่ะ เขารู้สึกดีแค่ไหน ด้วยความสงสัยใคร่รู้ แน่ล่ะ รวมไปถึงความที่อยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หน้านิ่งคนนี้ให้มากขึ้น ในคลาสสนทนาภาษาอังกฤษเบื้องต้น ตรีจึงถือโอกาสจับคู่กับคทาตามคำสั่งของอาจารย์เสียเลย และตอนนั้นเองที่เขาได้เรียนรู้ว่า เพื่อนใหม่ของเขาแม้จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาไม่เก่งเท่าไรนัก แต่ลึกๆแล้วก็เป็นคนนิสัยเข้าท่ามากคนหนึ่ง
   
เขายิ่งถูกชะตากับเพื่อนใหม่คนนี้มากขึ้นไปอีก ขนาดที่ว่าชวนไปทานข้าวด้วยกัน เรียนด้วยกัน เตะบอลด้วยกัน และลามปามมาถึงขั้นแวะมานอนด้วยกันที่ห้องของเขาได้แล้วภายในระยะเวลาแค่เดือนสองเดือนเท่านั้น ที่สำคัญก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็จะเออออห่อหมกไปด้วย ไม่ปฏิเสธ ไม่แสดงทีท่ารังเกียจรังงอน หรือผลักไสรำคาญเลยสักนิด
   
อะไรหนอที่ทำให้ตรีถูกใจคทา และทำให้คทาติดตรีหนึบอย่างที่ไม่เป็นกับใครมาก่อน
   
จะให้เขาสารภาพดีไหมนะว่า ไม่ใช่แค่ถูกชะตาเพื่อนคนนี้ ลึกๆแล้วหลายครั้งเขารู้สึกเอ็นดูเพื่อนตัวเล็กกว่าที่นอนหลับแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่นี่อย่างเหลือเกิน คทาอาจจะดูมีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพที่ไม่ค่อยน่าเข้าใกล้แม้จะมีหน้าตาโดดเด่นก็จริง แต่เมื่อคนอย่างคทาให้ความไว้วางใจกับใคร นิสัยขี้อ้อนก็จะปรากฏขึ้นมากพอๆกับความห่วงใยใส่ใจที่พร้อมจะมอบให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ชนิดไม่มีอิดออด
   
ตรีเอ็นดูคทา ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าคทาห่วงใยใส่ใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นไปในแบบผู้ชายที่ไม่พูดอะไรมาก แค่แสดงออกมาตรงๆเท่านั้น แต่ก็ทำให้ตรีรู้สึกอุ่นใจ วางใจ และสบายใจทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
   
แถมอาการหัวใจกระตุกบ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเวลาที่ได้สัมผัสตัวกันอยู่ทุกวี่วันแบบนี้เข้าไปด้วยก็แล้วกัน
   
ตรีจำไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ระยะห่างระหว่างเขาและเพื่อนหน้านิ่งคนนี้มันลดน้อยถอยลงไปทุกวัน เขาหมายถึงระยะห่างจริงๆซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าคทากับเขาตัวติดกันทุกครั้งเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะกิน นั่ง เดิน ยืน หรือนอน แทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างกันมาได้พักใหญ่แล้ว
   
เขาชอบแบบนี้
   
เขาชอบเวลาที่คทาสัมผัสเขาเบาๆที่หลัง ที่ต้นแขน ที่เอวบ้าง ชอบเวลาที่เวลาเจ้าตัวเล็กเนือยๆเพลียๆแล้วเอาแขนมาท้าวที่ไหล่เขาบ้าง พิงซบเขาบ้าง ไม่ก็มานอนหลับบนตักของเขาแบบนี้บ้าง ตัวเขาเองก็ชอบกอดคทา ชอบเอามือขยี้ผมนุ่มๆนั่นเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะดึงเข้ามากอด ชอบให้คทามานอนข้างๆ หลายครั้งเขาชอบนวดให้คทา ต้องขอบคุณฝีมือการนวดที่พอจะมีติดตัวอยู่บ้างของเขานี่แหละ
   
แม้ว่าในทางตรงกันข้ามแล้ว ฝีมือการนวดของคทาจะไม่ค่อยได้เรื่องก็เถอะ นวดให้เขาทียังกะโดนแมวตะปบ ไม่ว่าตรีจะสอนหรือนวดให้เป็นตัวอย่างเท่าไร ก็เหมือนเดิม บางทีตรีแอบสงสัยว่า เจ้าตัวเล็กมันแกล้งเขาหรือเปล่า แต่หันไปดูหน้าซื่อๆมึนๆที่มองตาแป๋วกลับมานั่นทีไร ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ซักที ก็เลยยอมให้คทานวดแบบนั้นให้ต่อไป แม้จะไม่หายเมื่อยเท่าไหร่ แต่มันก็อุ่นในหัวใจไม่เบาล่ะ
   
แล้วคทาจะรู้สึกเหมือนเขาไหมหนอว่า ยิ่งใกล้กับคทามากเท่าไหร่หัวใจเขาก็ดูจะเต้นผิดจังหวะมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่มั่นใจนักว่าเริ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ครั้งที่แน่ชัดที่สุด น่าจะเป็นวันที่คทามานอนที่ห้องของเขาเหมือนหลายๆครั้งหลังจากเตะบอลจนดึก เขาอาจจะหลับๆตื่นๆ แต่ก็พอจะจำได้ลางๆว่า คทาลุกขึ้นมาห่มผ้าให้ตอนดึกจนแทบจะเรียกว่าเป็นกิจวัตรเวลาที่นอนด้วยกัน ก่อนจะตื่นขึ้นตอนเช้าแล้วรู้สึกอุ่นจัดที่หลัง รู้ตัวอีกทีคทานอนดิ้นมากอดเขาเอาไว้แน่น ปลุกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น เขาจะทำอะไรได้ นอกจากให้เจ้าตัวเล็กยืมหลังของเขากอดไปอย่างนั้นแหละ แล้วก็ด้วยความที่เมื่อย ก็เลยจำเป็นต้องพลิกตัวกลับมาแต่คทายังคงหลับขี้เซาและกอดเขาเอาไว้ต่อ จะให้ทำอย่างไร เขาก็ต้องกอดเจ้าตัวเล็กนอนไปทั้งอย่างนั้น และคงเพราะสบายมากหรืออะไรก็ไม่รู้ เจ้าตัวแสบดันซุกหน้าลงแผ่นอกของเขาและกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้นไปอีกด้วยต่างหาก
   
แน่นอนว่า หัวใจเขาก็เลยพลอยเต้นแรงขึ้นด้วยเหมือนกัน บ้าจริงๆเลย

ตรีก้มลงมองใบหน้าที่หลับสนิทไม่สนโลกของคทา ก่อนจะหยิกที่แก้มเบาๆอย่างนึกมันเขี้ยวขึ้นมาเฉยๆ ส่วนหนึ่งก็เห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องปลุกคนขี้เซาเสียทีได้แล้ว

“อื้อ...” คิ้วคู่นั้นขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาปรือๆขึ้นสลับกับปิดตาอยู่อย่างนั้นเป็นครู่ แล้วจึงเปลี่ยนมานอนหงาย แน่นอน ศีรษะก็ยังคงหนุนตักขาวๆที่ทำหน้าที่เป็นหมอนจำเป็นอยู่อย่างนั้น “คทาหลับไปนานไหม” เสียงัวเงียถามขึ้น

“นานพอที่จะทำให้ขาตรีเป็นเหน็บไปแล้วเรียบร้อย” หมอนมีชีวิตเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะวางมือลงบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “เตะบอลมาหมดแรงเลยสิท่า”

“โธ่ เบาๆ... เมื่อคืนนอนดึกหรอก” น้ำเสียงนั้นทุ่มเถียงอย่างไม่สู้จะจริงจังนัก “หลับสบายมากเลย” คทาเหยียดแขนบิดขี้เกียจ “แต่ยังไม่ได้อาบน้ำนี่สิ”

“งั้นไปอาบน้ำ จะได้นอน” ว่าพลางดุนไหล่ดุนหลังอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะลุกขึ้นบ้างอย่างทุลักทุเลและเพราะอาการเหน็บชาที่กัดกินขาทั้งสองข้าง ทำเอาตรีเซจนแทบเสียหลัก น่าแปลกที่คนที่เพิ่งจะตื่นและกำลังงัวเงียอยู่แท้ๆ ยื่นมือคว้าเอวของเขาเอาไว้ได้ทันพอดีจังหวะเดียวกับแขนของตรีที่เกาะเกี่ยวคอของคทาเอาไว้ทันควันเหมือนกัน

“ไวไม่เบานะเราเนี่ย” ตรีร้องขึ้น

“แน่น้อน...” คทายักคิ้วให้ ก่อนจะเดินเกาะเกี่ยวกันไปทั้งอย่างนั้น

**********************************

“ไม่ง่วงแล้วเหรอคทา” ตรีหันไปถามร่างที่ยังนั่งใส่หูฟังเพลงพร้อมกับโยกตัวเบาๆ
   
คทาส่ายหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ยังนิ่งสนิทแต่หลับตาด้วยเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงที่ได้ยิน
   
“พอล้างหน้าแปรงฟันก็ไม่ค่อยง่วงแล้ว”
   
ตรีหย่อนตัวลงนั่งซ้อนคทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ราวกับจะเป็นหน้าที่ไปแล้วที่เจ้าตัวจะต้องยกมือขาวสะอาดแข็งแรงขึ้นวางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะกดน้ำหนักลงไปอย่างมีจังหวะจะโคน คทาหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย พลางยกมือดึงหูฟังส่วนตัวสีขาวออก
   
“ทำยังไงคทาจะนวดเก่งแบบนี้บ้าง” คทาเอ่ยเบาๆแกมหงุดหงิด ทำเอาคนนวดยิ้มขันออกมา ตอนที่ได้ยินคทาเรียกแทนตัวด้วยชื่อเล่น แรกๆก็มีรู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง แต่ในใจนึกชอบอยู่ไม่น้อย มีเพื่อนผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันไม่มากนักหรอกที่จะเรียกชื่อตัวเองแทนตัวเวลาพูดคุยกันแบบนี้ เขารู้สึกว่ามันน่าเอ็นดูน้อยอยู่เมื่อไหร่
   
“มันก็ต้องฝึกไป ตรีนวดให้คนตาบอดมาตั้งนาน ก็ต้องคล่องกว่าเป็นธรรมดา”
   
“ใจบุญแบบนี้นี่เอง” ว่าแล้วร่างที่ดูผ่อนคลายของคทาก็พิงกับร่างเขาเสียอย่างนั้น ทีแรกตรีคิดว่า มีแค่เขาเสียอีกที่ชอบการสัมผัสตัวแบบนี้ ยิ่งคทายิ่งนึกไม่ถึงเพราะดูเหมือนคนเงียบๆที่ไม่น่าจะชอบสุงสิงกับใครแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าตัวเล็กนี่ชอบคลอเคลียกับสัมผัสของเขาเสียจริง
   
คนนวดอดใจไม่ให้กดจมูกลงบนเส้นผมหนานุ่มนั้นไม่ได้จริงๆ โชคดีที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอะไรทำนองนี้ ที่จริงก็คือมันเริ่มกลายเป็นความเคยชินไปแล้วต่างหาก

ตรีได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนกลิ่นสบู่ผสมกับกลิ่นแชมพูที่แสนคุ้นเคยกรุ่นออกมาจากร่างที่พิงเขาอยู่นี่ ตั้งแต่คทามานอนที่ห้องของเขาบ่อยๆ ดูเหมือนว่าตรีจะคุ้นชินกับกลิ่นนี้เสียแล้ว ถึงขนาดที่ว่ายังไม่เห็นตัว แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วนั่นล่ะ ยิ่งนั่งชิดตัวติดกันแบบนี้ กลิ่นที่ว่าก็ยิ่งให้ความรู้สึกที่ดีมากจนบอกไม่ถูกทีเดียว
   
เขานวดไหล่สักพักก่อนจะเลื่อนมือนวดเบาๆที่ต้นคอ ปลายนิ้วกดลงตรงท้ายทอย
   
“อือ” เสียงครางเบาๆบ่งบอกว่า คงนวดโดนจุดเข้าแล้ว
   
“เมื่อยไหม” ตรีกระซิบถาม
   
“นิดหน่อย ถ้าไม่นวดก็คงไม่รู้” เสียงครางหนักกว่าเดิมดังขึ้นอีกเมื่อน้ำหนักมือเพิ่มขึ้น “ดีจัง” คทาเอ่ยเบาๆ
   
ไม่รู้เป็นเพราะร่างกายที่แนบชิดกันเสียจนไม่เหลือช่องว่าง หรือเสียงลมหายใจสลับเสียงพูดเนิบแผ่วของอีกฝ่าย หรือเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นจมูก หัวใจของตรีกระตุกอยู่เป็นระยะ และถ้าไม่คิดไปเองเขาว่าหัวใจเขาเต้นแรงกว่าปกติ ร่างกายก็ดูจะอุ่นร้อนขึ้นอย่างรู้สึกได้ แม้ระดับความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องอยู่ในระดับที่สบายพอดีก็ตาม
   
ตรีดึงร่างของคทาให้พิงเขาเหมือนเดิม ปลายคางของเขาวางอยู่บนไหล่ข้างหนึ่งของเจ้าตัวเล็ก ในขณะที่มือนวดเบาๆที่ต้นแขน สีข้าง ไปจนถึงเอวด้านหลัง ตรงนั้นเองที่เมื่อกดน้ำหนักมือลงไป ร่างนั้นก็แอ่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะครางออกมาเบาๆ
   
“เส้นตึงมาก” ริมฝีปากของตรีแตะอยู่ที่ใบหูของคทา ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกไปเอง เขาคิดว่าคทาตัวร้อนขึ้น หูแดงขึ้นทันทีอย่างน่าตกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
   
“ซี้ด... เปล่า... ตรงนั้น อย่า...” แปลว่าอะไร ‘อย่า’ ตรีนึกฉงน
   
“ตรงนี้น่ะหรือ” ตรีกดลงไปตรงจุดเดิม คทาพยายามบิดร่างหนีมือคู่นั้นทั้งที่รู้ว่าทำไม่ได้ และห้ามใจอย่างมากที่จะไม่ส่งเสียงวาบหวามอะไรออกมาอีก
   
“อย่า... มัน รู้สึก... แปลก” แปลกจริงๆด้วยเมื่อเขาก้มลงมองใบหน้าที่ก้มงุดอยู่ตรงซอกคอของเขา คทาหน้าแดงพลางกัดริมฝีปากตัวเอง ราวกับพยายามจะหักห้ามความรู้สึกอันยากจะอธิบายนั้นอย่างเต็มที่ ตรีสาบาญได้ว่า ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าและอาการจากคนหน้าเดียวอย่างเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดของเขาในตอนนี้เลยจริงๆ
   
ตรีกดมือลงไปอีกครั้ง และอีกครั้ง ครั้งนั้นเองที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสเบาๆที่ซอกคอของคทา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นซุกไซ้คลอเคลียชนิดไม่ยอมห่าง
   
“บ้าแล้ว ตรี... ทำอะไร... “ เขาคงจะหยุดมือไปแล้ว ถ้าเสียงร้องห้ามมันจะมีพลังมากกว่านี้สักหน่อย แต่นี่ฟังอย่างไรมันก็ดูเชิญชวนเหลือเกิน สองมือของเขาจึงฉวยโอกาสเลื่อนมือขึ้นมาสอดเข้าไปในเสื้อยืดตัวเก่งที่อีกฝ่ายใส่นอนอยู่เป็นประจำ

“อือ”
   
“ถ้าไม่ชอบ ขอแค่คทาบอก คำเดียว” ตรีกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูอีกฝ่าย คทาส่ายหน้าเบาๆ ยากจะตีความได้ว่าให้หยุดหรืออย่าหยุดกันแน่ รู้แค่ร่างกายมันช่างยากจะควบคุม ยิ่งเมื่อปลายนิ้วนั้นลากไล้อยู่บนตุ่มไตบนแผ่นอกอยู่อย่างนี้ เลือดในร่างกายมันพลุ่งพล่านสูบฉีดรุนแรงเหลือเกิน ตรีเองก็เถอะ อยากจะหยุดตัวเองเพื่อที่อะไรมันจะไม่เกินเลยมากไปกว่านี้ แต่พอได้เห็นอาการของเจ้าตัวเล็ก ก็ไม่อาจจะหยุดได้เสียแล้ว ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งได้เห็น ยิ่งได้สัมผัส ก็ยิ่งยากจะหักห้ามหัวใจตัวเองได้จริงๆ
   
มือขาวๆคู่นั้นลูบไล้ลงต่ำ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่กึ่งกลางลำตัวของคทา ความตื่นตัวของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขายิ่งเต้นแรง คทารู้สึกมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาให้รู้สึกประหลาดใจแต่ก็สมใจอยู่ในที ตรีกดน้ำหนักมือลงไปเบาๆแต่หนักแน่น เรียกเสียงครางจากร่างที่ศิโรราปให้กับเขาออกมาอีกครั้งอย่างสุดจะหักห้าม
   
“ตรี...” คทาจับแขนตรีเอาไว้ แต่เสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูนั้น ทำให้เรี่ยวแรงของเขาละลายหายไปจนหมด
   
“ให้ตรีช่วยนะคทา” ไม่รอคำตอบ มือทั้งสองข้างสอดหายเข้าไปในบ๊อกเซอร์ของอีกฝ่ายทันที คทาสะดุ้งในขณะเดียวกันความรู้สึกร้อนรุ่มซาบซ่านก็ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งๆที่จะสะบัดให้หลุดออกจากอ้อมแขนนี้ก็ได้ง่ายๆแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่ทำก็ไม่รู้เหมือนกัน
   
ตรีเองก็หัวใจเต้นแรงไม่แพ้กัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แค่สัมผัสเพียงเท่านี้จะทำให้อีกฝ่ายร้อนรนได้ขนาดนี้ ตัวเขาเองก็เถอะ เป็นฝ่ายทำเขาแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะทะลุออกมานอกอกเลยทีเดียว ยิ่งคทาหายใจหอบแรง โดยขยับร่างกายเป็นจังหวะพร้อมกับมือที่หายไปในบ๊อกเซอร์ของเขาด้วยแล้ว เรียกว่าเขาถึงกับแทบจะระเบิดออกมาเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ
   
“คทา... เป็นยังไงบ้าง” ไม่มีคำตอบใดจะชัดเจนมากไปกว่าสีหน้าของคทาในยามนี้ ใบหน้าที่ปกติจะนิ่งสนิท บัดนี้เป็นสีชมพูเรื่อ คิ้วที่ขมวดบ้างคลายบ้างบ่งบอกอารมณ์แทนดวงตาที่ปิดสนิท รับกับจมูกโด่ง ริมฝีปากที่เจ้าตัวกัดเอาไว้เบาๆ บางครั้งก็เผยอออกหลุดเสียงลมหายใจหนักๆออกมา หนักมือเข้าก็เผลอส่งเสียงครางออกมาเป็นระยะ
   
ตรีขยับมือถี่เร็วขึ้น พอๆกับร่างที่หยัดตัวเองขึ้นพร้อมกับบิดเกร็งไปมาอย่างเหลืออด ตอนนั้นเองที่ร่างของคทากระตุกเบาๆ เสียงหอบหายใจถี่ชัด ก่อนจะร้องครางออกมาอีกครั้ง เป็นการบอกว่าเจ้าตัวถึงกาลทะลักทลายเกินจะห้ามอะไรได้อีกต่อไป มือทั้งสองข้างที่ยึดแขนของตรีเอาไว้แน่นค่อยๆคลายความแข็งเกร็งลงจนแทบจะเรียกได้ว่าอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแต่เสียงลมหายใจที่คลายความร้อนรุ่มลงไปได้บ้างแล้ว
   
ตรีก้มลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากเนียนของอีกฝ่าย แล้วจึงแนบแก้มของตัวเองเข้ากับของคทาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
   
“เหมือนจะตาย” เสียงอันแหบโหยเอ่ยขึ้นในที่สุด แม้ว่าใบหน้าจะยังซุกอยู่กับซอกคอขาวๆของตรี
   
“เหมือนกัน” ตรีหมายความตามนั้นจริงๆ
   
“จะเหมือนได้ยังไง...” ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบ ตรีก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
   
“ก็... เรียบร้อยไปแล้วเหมือนกัน” ใบหน้าของอีกฝ่ายผละออกมาก่อนจะเงยขึ้นมองอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
   
“เป็นไปได้ยังไง”
   
“ก็เป็นไปแล้ว เห็นอาการคทาแล้วมันเป็นไปเอง”
   
“ตรี หื่นว่ะ” คทาว่าเอาตรงๆ ทำเอาคนฟังฮาแตกออกมาตรงนั้น “มีอย่างที่ไหน ทำกับเพื่อนตัวเองหน้าตาเฉย แล้วทีนี้จะยังไงล่ะเนี่ย”
   
“ก็ไม่ยังไง ทำไปแล้วนี่”
   
คทาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
   
“ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาโดนเพื่อนผู้ชายทำอะไรแบบนี้ให้”
   
“ไม่ชอบเหรอ”
   
“ถ้าเป็นคนอื่นคงต่อยไปแล้ว”
   
“ก็แสดงว่า ถ้าเป็นตรีไม่ว่าอะไรงั้นสิ” คทานิ่วหน้า ด้วยไม่แน่ใจว่าไอ้คนพูดมันหมายความไปไกลถึงไหน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะนอนหนุนไหล่ตรีเหมือนเดิม
   
ตรีขยับตัวนอนตะแคง ปล่อยให้ร่างที่เอนทับตัวเขาอยู่เลื่อนลงนอนบนเตียงแทน เพื่อที่เขาจะได้นอนกอดอีกฝ่ายได้อย่างถนัดมือมากขึ้น มือข้างเดียวกันนั้นเลื่อนลงตรงบั้นเอวของคทาอีกครั้ง หนนี้แค่สัมผัสเบาๆ ไม่ได้กดเค้นน้ำหนักอันใดลงไปอีก
   
“นวดให้แทบจะทุกวัน ไม่เคยรู้เลยว่ามีจุดอ่อนอยู่ตรงนี้”
   
“ตอนแรกก็ไม่รู้ มารู้ตอนหลังๆนี่แหละ”
   
“แล้วทำไมไม่บอก”
   
“นี่ขนาดไม่บอก แล้วเป็นไงล่ะ?” คทากระชากเสียงฉุน ก็ไม่ใช่เพราะรู้หรอกรึ ถึงได้เลยเถิดกันไปถึงขนาดนี้
   
“คทา” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นหยุดคิดอยู่เป็นครู่ “เป็นตรีได้จริงๆหรือ”
   
คนถูกถามเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง ก่อนจะพลิกตัวนอนคว่ำหนุนแขนตัวเองหันหน้าไปทางตรี ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่ายชนิดไม่วางตา
   
“ถ้าเป็นตรี และต้องเป็นตรีเท่านั้น” คทาว่า “คทาไม่ได้ชอบผู้ชาย... แบบนั้น”
   
ตรียิ้มกว้างขวางกับคำตอบอันหนักแน่นของอีกฝ่าย
   
“ตรีเองก็เถอะ ทำไมถึงต้องเป็นคทา” ดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา “นอกจากจะเป็นผู้ชายแล้ว คทาไม่ใช่คนน่าคบหา ตรีก็รู้ หน้าตานิ่งสนิทตลอด ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร คุยไม่เก่งเลยด้วย ทำไมถึงเลือกจะอยู่กับคทา”
   
“นั่นสินะ” ตรีรำพึงราวกับว่าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เขาเขยิบเข้าไปใกล้ๆคทาก่อนจะใช้แขนข้างหนึ่ง ดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พร้อมกับลูบเส้นผมที่อ่อนนุ่มนั้นอย่างเพลิดเพลิน “คทาเป็นคนน่ามอง ทั้งที่ดูไร้อารมณ์แบบนั้นแหละ แต่กลับดึงดูดใจบอกไม่ถูก”
   
“ว่าต่อไปสิ” เสียงงึมงำนั้นเตือนให้อีกฝ่ายพูดต่อ
   
“แล้วเมื่อเทียบกับคนอื่น ตรีก็ไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรมากมาย ก็เลยยิ่งสังเกตเห็นคทาได้ง่าย ตอนที่ไปชวนคุย ก็ไม่คิดว่าคทาจะคุยกลับมาแถมยังยิ้มให้ด้วย ทุกวันนี้ยังจำรอยยิ้มของคทาได้อยู่เลย ก็เลยบอกตัวเองว่า อยากทำทุกอย่างให้คทายิ้มให้ได้เยอะที่สุด”
   
“อะไร คทาก็ยิ้มนะ” เสียงนั้นประท้วงขึ้น
   
“ไม่เยอะเท่าเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้คทามีชีวิตชีวามากกว่า หรือเป็นเพราะเราสนิทกันแล้ว อันนี้ไม่รู้”
   
“ก็คงอย่างนั้น”
   
“ถ้าคทาไปสนิทกับคนอื่น จะเป็นแบบนี้ไหม”
   
“ก็คงเป็น คทาคุยเก่งกว่าถ้าได้อยู่กับเพื่อนๆที่สนิทกัน”
   
“ห้ามสนิทมากกว่าตรีนะ” น้ำเสียงนั้นติดจะเหมือนเด็กขี้อิจฉายังไงพิกล
   
“ได้ยังไงล่ะ ก็พวกนั้นสนิทกับคทาก่อนเราเจอกัน”
   
“ไม่รู้ล่ะ สนิทได้ แต่ห้ามเกินกว่าตรี”
   
“เอ๊า... เอาแต่ใจจริง” คทาพ่นลมหายใจออกอย่างติดจะอ่อนใจ
   
“ไม่ได้สิ ไม่ยอมนะ” เสียงตรีเอาแต่ใจไม่ยอมลดรา
   
“เด็กน้อยเอ๊ย” คทาว่าติดตลก
   
แววตาตรีเป็นประกายก่อนจะกระซิบข้างหูเจ้าตัวเล็กว่า
   
“เด็กน้อยน่ะ เขาไม่ทำกันแบบเมื่อกี้หรอก”
   
“ไอ้บ้า!” ไวเท่าคำพูด คทาซัดผัวะลงบนต้นแขนขาวๆดังลั่นห้อง แม้จะไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย แต่ก็ทำเอาตรีร้องโอยออกมาได้เหมือนกัน   
   
“เอาน่า... นอนเหอะ เวิ่นเว้อมากๆ เดี๋ยวมีพลาดพลั้งเสียทีกันอีก ทีนี้จะยาว” พูดเสร็จเหมือนจะรู้ ก่อนจะรีบเอาแขนแข็งแรงทั้งสองข้างรัดเจ้าตัวเล็กไม่ให้ออกฤทธิ์ออกเดชได้อีก คทาดิ้นขลุกขลักได้ไม่นานก็ยอมแพ้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆทีหนึ่ง แล้วก็นิ่งไป
   
“ตรี”
   
“หือ”
   
“อย่าเนียน”
   
“อะไรเล่า”
   
“...........”
   
“ง่วงแล้วนะคทา”
   
จนกระทั่งเหลืออด คทาจึงโพล่งออกมา
   
“ลุกไปเปลี่ยนกางเกง เลอะเทอะหมดแล้ว จะนอนได้ยังไง!”
   
วงแตกในที่สุด

----------------------- END -----------------------

เด็กผู้ชายมันเกรียนกันเบาๆค่ะคุณ อย่าลืมบอกเล่าเก้าสิบกันนิดนึงนะคะว่าคิดเห็นเป็นอย่างไร คนเขียนอยากรู้ค่ะ  :o8:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2012 19:44:49 โดย fingerscrossed »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
สำหรับคู่นี้.....จิ้นไปแล้วๆๆๆพี่น้องล่านักฝัน อั๊ยยะห์

อืม.....หื่นเบาๆ น่ารักอ่ะคู่นี้

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
หวานละมุนละไมกับสัมผัส

ออฟไลน์ ❝CHŌN❞

  • เหงา เหงา :(
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-3
เอ็นซีเบาๆ น่ารักๆ มากเลยค่ะ ไหลลื่นไม่สะดุดเลย

เรื่องนี้ก็น่ารักอีกแล้ว อ่านแล้วเขินนนน ><

ปล.จะมีคนแอบมองเราแบบนี้บ้างเปล่าน้า

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
แอบลุ้นว่าจะไปถึงไหน แหะๆ

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
แวะเข้ามาหนนี้ ไม่ได้มาแปะนิยายค่ะทุกท่าน แต่จะแวะเข้ามาอัปเดตเล็กๆแค่นั้นเอง

จำได้ใช่มั้ยคะ ที่นิ้วไขว้เคยบอกเอาไว้ว่า พอใกล้จะหมดนิยายในสต๊อกก็จะให้ร่วมโหวต เรื่องสั้น THE MOMENT ในดวงใจกัน วันนี้ได้ที ก็เลยจะมาอัป 10 คู่รัก จาก 10 เรื่องเตือนความจำกันไปก่อน อันได้แก่

1. ฟ้า กับ วินด์ จาก Coffee
2. ฮาน กับ บลู จาก Courage
3. นิล กับ เบน จาก Friendship
4. เคน กับ ฮารุ จาก Touch
5. เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian
6. นิน กับ เท็ตสึ จาก Insomnia
7. กันย์ กับ อันดา จาก Postcards
8. นท กับ เจฟ จาก Plan
9. เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternity
10. ตรี กับ คทา จาก Skinship

ซึ่งตอนนี้เหลือเรื่องสั้นในสต๊อกอีก 1 เรื่อง และถ้าพอจะมีเวลาอาจจะแต่งเพิ่มได้อีก 1 เรื่องค่ะ อย่างไรก็ตาม ที่มาอัปทวนให้คราวนี้ก็เพื่อให้ทุกท่านได้มีเวลาตัดสินใจว่าจะเลือกโหวตให้คู่ไหนจากเรื่องใด เป็นเรื่องที่อยากให้มีตอนพิเศษมากที่สุดนั่นเอง ก็ เก็บเอาไว้ในใจกันก่อนก็แล้วกันนะคะ จนกว่าจะลงเรื่องสุดท้ายเสร็จ ถึงตอนนั้นจะเริ่มให้เข้ามาโพสต์โหวตกัน โดยนิ้วไขว้จะแวะเข้ามานับคะแนนอัปเดตทุกวัน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ (ที่คิดเอาไว้ตอนนี้นะคะ) หลังจากนั้น จะขอเวลาอีก 1 สัปดาห์ สำหรับแต่งตอนพิเศษให้ค่ะ แล้วก็จะเอามาลงให้ได้อ่านกันในนี้เลยด้วย

คิดว่า หลังจากลงจนครบแล้ว ก็น่าจะมีการรวมเล่มกัน (อันนี้อาจจะต้องโยนหินถามทางกันก่อนว่าอยากจะได้กันมากน้อยแค่ไหน) โดยแน่นอนค่ะว่า รวมเล่มจะมีเรื่องพิเศษความยาว 2 ตอนจบเพิ่มเข้าไปให้ด้วย ซึ่งเรื่องพิเศษที่ว่านี้ ไม่คิดจะเอาลงแน่นอนค่ะ เพราะ NC แบบจัดหนักเลย มีให้อ่านเฉพาะรวมเล่มเท่านั้นจริงๆ

ก็ถ้าใครแวะมาก็ ลองเก็บไปคิดดูนะคะว่า คู่ไหนเป็นคู่รักในดวงใจของคุณ ถึงเวลาก็เอามาแชร์กันค่ะ นิ้วไขว้เองก็อยากจะรูเหมือนกันว่า คู่ไหนที่จะเป็นที่ฮ็อตฮิตที่สุด ใครที่จำเรื่องไหนไม่ได้ ก็ย้อนกลับขึ้นไปอ่านได้เลยค่ะ เพื่อประกอบการตัดสินใจ ถือว่ามาร่วมสนุกกันนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ ^^

breath

  • บุคคลทั่วไป
คู่สุดท้ายที่ ตคช แอดเลิฟสินะ อิอิ > <

ออฟไลน์ you13

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
เด๋วตอนเย็นมาโหวตนะค่ะ

 :pig4:

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ายยยย... ยังค่ะ อย่าเพิ่งโหวต เพราะยังเหลือคู่ 11 อีกคู่นึง ยังไม่ได้เอาลงค่ะ รอลงคู่ที่ 11 เมื่อไหร่ เดี๋ยวจะอัปเดตลิสต์คู่รักให้ครบอีกที แล้วเดี๋ยวเรามาโหวตกันนะคะ ใจเย็นๆค่า ^^'''

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
หวานละมุนละไมมาก ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ White

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
คทา น่ารักจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ silverphoenix

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +347/-3
เพิ่งอ่านได้ 5 เรื่องเอง

แต่ละเรื่องๆนี่นะ  อยากได้เป็นเรื่องยาวชะมัด  สนุกมากๆ
โดยเฉพาะเรื่องของนายแบบฮารุอ่ะ  อยากอ่านต่อมากๆ
คนเขียนไม่สนใจทำเป็นเรื่องยาวบ้างหรือคะ  อิอิ

+1 ให้จ้า
แล้วเดี๋ยวจะมาอ่านต่อใหม่  ตอนนี้ขอตัวไปสอบก่อนล่ะกัน

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
 :กอด1:ชอบทุกเรื่องเลย

fingerscrossed

  • บุคคลทั่วไป
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เป็นอะไรที่น่าตกใจพอสมควรเชียวค่ะสำหรับหน้าเพจนี้ เพราะว่า ยอดเพจวิวเพิ่มขึ้นเยอะกว่าปกติเหลือเกินค่ะ ถึงตอนนี้ทะลุสามพันเข้าไปแล้ว ซึ่งอันนี้ สารภาพตามตรงเลยค่ะว่า รู้สึกซาบซึ้งใจเพื่อนนักอ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน บางท่านก็เสียสละเวลาคอมเม้นต์ให้คนเขียนด้วย ต้องขอขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ถึงวันนี้ก็เข้าสู่ตอนที่ 11 ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเรื่องสุดท้ายที่มีอยู่ในสต๊อกแล้ว T_T เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน แอบกดดันเล็กๆ ที่เดี๋ยวจะต้องขอให้ช่วยกันโหวตคู่ที่ชอบจากเรื่องที่ชอบกันแล้ว แต่ก่อนที่จะเปิดให้มีการโหวต แนะนำว่า เข้าไปอ่านคู่ที่ 11 กันก่อนดีกว่าค่ะ ในบรรดาทุกตอนที่ผ่านมา คู่นี้ NC เยอะที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบกันเลยทีเดียว ไม่รู้แต่งได้ยังไงเหมือนกัน

ซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งล่ะค่ะว่า เพื่อนนักอ่านน่าจะชอบกัน มาถึงขั้นนี้ 11 เรื่องแล้วอ่ะนะคะ ถ้าไม่มีใจให้กันบ้าง ก็คงไม่ติดตามกันมาขนาดนี้ นิ้วไขว้ขอแอบเข้าข้างตัวเองเบาๆก็แล้วกันค่ะ

ไปค่ะ ไปอ่านเรื่องที่ 11 กันให้สนุกดีกว่า แล้วอย่าลืม เข้ามาติดตามความเป็นไปเรื่อยๆนะคะ เพราะว่า มันจะยังไม่จบแค่นี้แน่นอนค่ะ ^^

----------------------------
เรื่องสั้น 11: Breathless
   
เสียงหอบหายใจอย่างไม่อาจจะหักห้ามอารมณ์ที่ตื่นเต้นได้นั้น แม้จะได้ยินกันแค่สองคนแต่เหมือนกับมันดังมากเหลือเกินในความรู้สึก ห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำขนาดนี้ ไม่อาจจะลดความร้อนแรงของร่างที่แนบแน่นรวมกับจะผสานกันเป็นหนึ่งเดียวบนเตียงขนาดใหญ่ยี่ห้อดังที่ทั้งสบายและหนานุ่มนี่ได้เลย
   
“อือออ...” เสียงครางที่เจ้าของพยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่นั้น หลุดออกมาแสดงถึงความปราชัยต่อคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอก ทั้งที่ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ทุกวัน แต่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบกับเสียงในแบบที่ทำให้อารมณ์ของเขากระเจิดกระเจิงได้ถึงเพียงนี้
   
“ถ้ารู้สึกมากๆ จะร้องออกมาดังๆก็ได้นะ” ฝ่ายที่เห็นได้ชัดว่ากำลังรุกล้ำเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายด้วยนิ้วมือแข็งแรงของตัวเอง เอ่ยขึ้นเบาๆด้วยเสียงกระซิบแหบโหยด้วยเพราะตัวเองก็พยายามอย่างหนักที่จะอดกลั้นอย่างที่สุดอยู่เหมือนกัน ภาพของร่างขาวๆที่กำลังขยับไปมาด้วยอารมณ์ปรารถนาอยู่ด้านล่าง บวกกับสีหน้าในแบบที่คงมีแต่เขาเพียงคนเดียวเดียวเท่านั้นที่จะได้เห็น ทำเอาอารมณ์ของเขาแทบจะกระเจิดกระเจิงอยู่แล้ว
   
“อย่า... หยุดก่อน... อา...” แม้จะรู้ดีว่าร้องห้ามไปก็ไม่เป็นผล อีกทั้งตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่อยากให้มืออันช่ำชองข้างนั้นหยุดกิจกรรมที่ทำให้เขาแทบสำลักความสุขอยู่นี่เลยสักนิด
   
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จากแค่การเป็นเพื่อนร่วมห้องกันเฉยๆจะเลยเถิดไปไกลถึงเพียงนี้ จะบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่น่าจะพูดได้เต็มปากนัก เพราะทั้งจินและเขาต่างก็มีเพื่อนกลุ่มของตัวเองอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่เขาเลือกจินมาเป็นเพื่อนร่วมห้องด้วยก็เพราะชอบที่หมอนี่ไม่ใช่คนเรื่องมาก อีกทั้งไม่ใช่คนจุ้นจ้าน และยังติดจะเป็นคนง่ายๆอะไรก็ได้ แม้จะได้ยินชื่อเสียงในเรื่องของความเป็นคนเฉยๆ และนิ่งจนติดจะเย็นชาของอีกฝ่ายมานาน แต่กลับเป็นอะไรที่ลงตัวเหนือความคาดหมายเมื่อต้องมาแชร์ห้องอยู่ด้วยกันแบบนี้
   
เก้าเดือนแล้วสินะที่ทั้งภูและจินเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน แต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ภูทำในสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องทั่วไปไม่ทำกันกับจิน ด้วยเหตุผลสั้นๆก็คือ แค่ต่างคนต่างก็ได้ปลดปล่อยอารมณ์กันไปก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านั้น
   
เขาไม่เคยถามจินว่าเพราะอะไร มันเริ่มขึ้นตอนไหนเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจ จำได้แค่ว่า คืนหนึ่งขากลับมาที่พักที่เป็นคอนโดขนาดสองห้องนอนที่มีห้องนั่งเล่นและห้องครัวในตัว ที่ทั้งเขาและจินพักอยู่ด้วยกันและช่วยกันแชร์ค่าห้องอยู่ทุกเดือน แต่แทนที่คืนนั้นจะเดินเข้าห้องของตัวเอง ดันผ่าเดินเข้าห้องของจินด้วยความเมา และถ้าจำไม่ผิดเจ้าของห้องเองก็ดูท่าจะเมาๆอยู่เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์เหล้า หรือเพราะไปอัดอั้นกันมาจากไหน คืนนั้นทั้งเขาและจินจึงมีความพันธ์ทางด้านร่างกายที่เลยเถิดกันไปไหนต่อไหน
   
ที่น่าประหลาดใจก็คือ เช้าของอีกวัน เขาตกใจแทบบ้าเมื่อเห็นว่า ร่างที่นอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างๆคือเพื่อนร่วมห้องอีกคน ซึ่งดูจากสภาพแล้ว โดนเขา ‘ฟัด’ ชนิดร่องรอยที่ปรากฏบนผิวขาวๆนั่นฟ้องชัดจนเขาเถียงไม่ออก แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า ก็คืออีกฝ่ายที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พูดอะไรมากไปกว่าแค่ “ไม่เป็นไร ฉันแฮ็ปปี้ นายแฮ็ปปี้ แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องใส่ใจหรอก” ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ แล้วก็ไปเรียนตามปกติ ทำเอาอีกฝ่ายงงตึ้บไปเลย เพราะไม่รู้จะช็อก จะโล่งใจ หรือจะอะไรดีเหมือนกัน
   
สงสัยอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมเขาที่ไม่เคยมีวี่แววจะชอบเพศเดียวกันเกินเพื่อน ถึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือตะขิดตะขวงใจเลยสักนิดก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยนึกไม่มั่นใจในตัวเองถึงขนาดมองหน้าเพื่อนๆผู้ชายกลุ่มเดียวกัน แล้วลองจินตนาการไปได้ไกลแค่ว่าได้จูบปากกับไอ้เพื่อนพวกนี้ ทำเอาเขาออกอาการกระอักกระอ่วนไม่สบายท้องขึ้นมาทุกที
   
แล้วทำไมกับ จิน จึงได้แตกต่างออกไป
   
นั่นคือครั้งแรกซึ่งเกิดจากความเมา ครั้งต่อๆมา เขามั่นใจว่าหลายๆครั้งเขาห่างจากอาการเมาไปหลายขุม แต่ทำไมเขาจึงยังเต็มใจมีอะไรกับเพื่อนร่วมห้องคนนี้อยู่เรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะไม่มีการพูดอะไรกัน แค่เขาเดินเข้าไปกอด หรือสัมผัสเบาๆเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าไฟก็พร้อมจะติดได้ทันที แต่นอกเหนือจากเวลานั้นไป พวกเขาก็คือเพื่อนร่วมห้องธรรมดาที่พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป จะยกเว้นก็แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น  ที่ไม่เคยพูดกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียที
   
“โอะ.. โอ๊ย...” เสียงร้องของร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ร้องขึ้นเบาๆ เมื่อท่อนเนื้อส่วนล่างของอีกฝ่ายที่สูงใหญ่กว่า พยายามที่จะรุกล้ำเข้าไปแทนนิ้วมือที่เปิดทางเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้แล้ว
   
“เจ็บเหรอ” เสียงทุ้มนั้นกระซิบถามและพยายามที่จะไม่ฝืนทำให้อีกฝ่ายเจ็บมากเกินไป
   
“ไม่เป็นไร... ไม่เป็นไร... ฉันทนได้ ทำเถอะ” ภูแทบจะระเบิดออกมาตรงนั้นเมื่อได้ยินเสียงแหบโหยนั้นดังขึ้น ความรู้สึกของเขาวูบไหว และตื่นเต้นเหลือเกิน ถ้าไม่โกหกตัวเองจนเกินไป ยิ่งทำแบบนี้บ่อยครั้งขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ
   
เสียงครวญครางด้วยอารมณ์อันปั่นป่วน บวกกับเสียงเนื้อที่บดเบียดกระทบกันนั้น ดูเหมือนจะยิ่งช่วยกระตุ้นให้ความพลุ่งพล่านสูงจนแทบทะลุ ภูเร่งจังหวะขยับตัวด้วยความเร็วถี่ขึ้นและกระแทกกระทั้นหนักหน่วงขึ้น ในขณะที่จินเคลื่อนไหวร่างกายโต้ตอบราวกับเป็นบทเพลงเดียวกัน เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยพยายามสะกดอารมณ์อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะขยับเน้นๆอีกสองสามครั้ง ทุกอย่างก็ถึงแก่กาลทะลักทลายออกมาแทบจะพร้อมกันทั้งคู่
   
ภูใช้ริมฝีปากสัมผัสที่ต้นคอของจิน ก่อนจะประทับจูบลงไปอย่างหนักหน่วง เขาได้ยินเสียงทอดถอนใจของร่างที่เขานอนทาบทับเอาไว้อย่างแนบแน่น ก่อนจะผละออก เปลี่ยนมานอนตะแคงโดยไม่ลืมใช้แขนข้างหนึ่งรวบเอวเล็กแต่แข็งแรงนั้นดึงมากอดเอาไว้ เหงื่อชื้นๆยังเกาะอยู่บางๆบนผิวขาวละเอียดที่นุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นผิวกายของผู้ชาย อาจจะเป็นเพราะมาจากครอบครัวที่มีฐานะก็ได้ ทำให้จินราวกับได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ส่งผลถึงรูปร่าง หน้าตา และผิวพรรณที่พลอยดูดีไปด้วย เขาเดาเอาว่าอย่างนั้น เพราะหาไม่แล้ว จินคงจะไม่สามารถช่วยจ่ายค่าห้องอีกครึ่งหนึ่งร่วมกับเขาได้อย่างแน่นอน
   
ที่จริงเขาไม่ค่อยถามเรื่องส่วนตัวกับจินมากนัก เพราะแม้จะเป็นเพื่อนร่วมห้อง แต่ก็ยังดูจะมีความเกรงใจกันอยู่ในที ซึ่งก็ยิ่งเข้าใจยากหนักเข้าไปอีก เพราะถ้าเกรงใจกันจริง จะมาลงเอยกันที่เตียงของเขาบ้าง ของจินบ้าง หรือบางทีก็เป็นห้องนั่งเล่นอยู่เรื่อยๆแบบนี้ได้ยังไง
   
ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกดีจริงๆ
   
และเพราะกิจกรรมแบบนี้นี่แหละ ทำให้จินมีหน้าที่ทำอาหารมื้อดึกอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่เพราะฝีมือการทำอาหารของเขาเข้าขั้นสุนัขยังเมิน หน้าที่นี้ของเขาจึงต้องตกไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ภูมองจินที่ใส่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงผ้าขายาวที่ยืนทำอะไรสักอย่างส่งกลิ่นหอมอยู่หน้าเตา ก่อนจะนึกสงสัยว่า ทำไมผู้ชายที่ดูดีอย่างหมอนี่ ถึงได้เออออห่อหมกไปกับเขาได้ขนาดนี้
   
“จิน ทำไมนายถึงไม่มีแฟนวะ” คนถูกถามหันมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าฉายแววประหลาดใจเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยืนพิงเคาน์เตอร์พร้อมกับกอดอก
   
“ผู้หญิงพวกนั้นน่ารำคาญ” คำตอบตรงไปตรงมาเหลือเกินจนคาดว่าถ้าผู้หญิงที่มาแอบหลงรักหมอนี่มาได้ยินเข้า คงถึงกับอยากฆ่าตัวตายไปเลยทีเดียว “ฉันเคยมีแฟนอยู่คนนึง ไม่ไหว ก็เลยเลิกและไม่คิดจะมีอีก”
   
“นายก็ชอบผู้หญิงนี่หว่า... แล้วทำไม” ผมกึ่งถามกึ่งรำพันขึ้นด้วยความสงสัย
   
“ฉันไม่ใช่คนตายด้านนี่ ถึงจะได้ไม่รู้สึกอะไร” ภูประเมินไม่ออกเลยว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาคิดอะไรจากสีหน้านิ่งเฉยตลอดเวลาของเจ้าตัว อาจจะยกเว้นเฉพาะเวลานั้นไว้หน่อยก็ได้ “นายเสนอมา ฉันก็สนอง ต่างคนต่างวิน สบายตัวกันทั้งสองฝ่าย” แทนที่ฟังแล้ว จะรู้สึกโล่งใจ แต่ทำไมมันถึงรู้สึกจี๊ดอยู่ในความรู้สึกก็ไม่รู้ ถึงอย่างนั้นภูก็ไม่ได้เก็บมาคิดอีก จินกลับไปจัดการกับมื้อดึกของพวกเขาต่อ ก่อนจะลงมือทานกันด้วยความหิวโดยโดยไม่พูดกันถึงเรื่องนี้อีก

**************************

ภูคิดว่า ชอบผู้หญิงคนนี้

ตั้งแต่เลิกกับแฟนเก่าไปตั้งเป็นปี เขาก็ไม่เคยรู้สึกดีกับผู้หญิงคนไหนได้เท่ากับคนนี้อีก เขาเป็นคนที่โดดเด่นในคณะก็จริง แต่ก็
เป็นที่รู้กันว่าเลือกมากน่าดู โดยเพื่อนๆของเขาชอบแซวอยู่บ่อยๆว่า เขาเป็นพวกหล่อเลือกได้ แต่เขาไม่ใช่คนที่เห็นว่าตัวเองเป็นที่หมายปองของเพศตรงข้ามแล้ว จะใช้โอกาสแบบนี้ไปทำระยำตำบอนกับผู้หญิงที่ไหนก็ได้เมื่อไหร่กัน เขาให้เกียรติผู้หญิงเสมอนั่นแหละ
   
แต่ผู้หญิงคนนี้แตกต่างออกไป ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้เขารู้สึกดีกับเธอถึงเพียงนี้ เวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆมันช่างให้ความรู้สึกที่คุ้ยเคยและสบายใจเหลือเกิน
   
เขานั่งมองเธอเขียนนั่นเขียนนี่อย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตา จมูก ปาก หรือแม้แต่เส้นผมที่ดำขลับนั่น ล้วนดึงดูดเขาไปเสียหมด เขายังไม่มีโอกาสบอกเธอถึงความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ อะไรบางอย่างห้ามภูเอาไว้ไม่ให้ด่วนได้ใจเร็วจนเกินไป ทั้งที่เขามองเธอทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจมานานนับเดือนแล้ว แต่ก็ไม่ลืมที่จะแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาสนใจเธออยู่อย่างแน่นอน
   
“ไอ้ภู ตกหลุมรักครั้งใหญ่แล้วเพื่อน” เพื่อนสนิทในกลุ่มแซวเมื่อเห็นภูออกอาการเหม่อลอยไปทางเด็กสาวรุ่นน้องอีกครั้ง
   
“น้องเขาสวยน่ารักขนาดนั้น” เด็กหนุ่มว่าเพ้อๆ
   
“ไม่ไปสารภาพกับเขาล่ะวะ”
   
“ให้ข้ามั่นใจกว่านี้อีกหน่อยซี่ พวกเอ็งจะเร่งไปไหนวะ”
   
“โห... ไอ้สุภาพบุรุษ มาแบบนี้อีกแล้ว เดี๋ยวก็ ม.ค.ป.ด. หรอกครับมึง!” ไว้เท่าความคิด ทันทีภูยกขาขึ้นข้างหนึ่ง วงเพื่อนก็แตกฮือทันที พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจที่เรียกความสนใจให้เด็กสาวที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่อีกมุม แอบหัวเราะคิกคักออกมาในที่สุด

*********************
   
ถ้าความรู้สึกของเขาไม่ผิดไปจากที่คิด ภูรู้สึกได้เองว่า ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่เขามีอะไรกับจินนั้น ดูจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นมากทีเดียว ไม่ได้รุนแรงในแง่ของร่างกาย แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ที่ดูจะร้อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่เขาสัมผัสจิน ความตื่นเต้นนั้นดูจะทวีความรุนแรงขึ้น เวลาที่เขาจูบหรือใช้ริมฝีปากของเขาหยอกเย้ากับร่างกายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะดึงดูดเขาได้ขนาดนั้น หัวใจของเขาเต้นแรงชนิดไม่เป็นส่ำ เวลาที่เขาได้ยินเสียงร้องครวญครางด้วยอารมณ์หฤหรรษ์ของอีกฝ่าย อกของเขาแทบระเบิดออกมา ยิ่งเมื่อร่างกายของเขากับจินประสานเป็นหนึ่งเดียว เขาก็แทบจะลืมทุกอย่างในโลกนี้
   
ความรู้สึกยิ่งทวีรุนแรงขึ้นอย่างไม่อาจจะเข้าใจได้
   
เขาไม่อาจจะละสายตาจากร่างที่เพิ่งนอนหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้เลย แม้ร่างนั้นจะลุกขึ้นสวมเสื้อและเดินออกจากห้องไปหลังผ่านพ้นกิจกรรมที่แทบจะกลายเป็นกิจวัตรของทั้งคู่ไปแล้ว ค่าที่ว่ามันถี่เหลือเกิน
   
เพราะอะไรหนอ เขาจึงไม่อาจจะสลัดความคิดที่ว่านั้นออกไปได้เสียที

***************************
   
“ไอ้ภู มีคนมาหาโว้ย” เสียงเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเขาตะโกนขึ้นปลุกเขาออกจากภวังค์หลังจากที่นั่งมองรุ่นน้องที่เขาคิดว่า ‘ชอบเธอ’ เมื่อหันไปมอง วินาทีนั้นเอง ภูไม่เข้าใจว่าทำไมหัวใจถึงได้เต้นผิดจังหวะอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ร่างที่เดินมาหาเขานั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ต่างคณะที่เขาพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเองแท้ๆ
   
ร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เดาไม่ออกว่าคิดหรือรู้สึกยังไงกันแน่ ก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้กับเขา
   
“รายงานของนาย ลืมได้ยังไง วันนี้ต้องส่งไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มน้อยๆที่ปรากฏขึ้นทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก แต่ยังพอจะมีสติเอื้อมมือไปรับของที่อีกฝ่ายยื่นมาได้
   
“ขอบใจนะ นายมาถูกได้ยังไงเนี่ย” ที่ถามเพราะคณะของเขามันใหญ่โตนัก ใช่ว่าจะถามหาใครก็จะบอกได้ง่ายๆเมื่อไหร่กัน
   
“นายน่ะคนดัง ใครเขาไม่รู้จักบ้างล่ะ” จินกระตุกยิ้มขึ้นอีกครั้ง “ฉันกลับคณะก่อนล่ะ”
   
“เดี๋ยวสิ... เดี๋ยวก่อน” ขนาดตัวเองออกปากยั้งอีกฝ่ายไว้แท้ๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไร “เดี๋ยวแนะนำให้นายรู้จักเพื่อนฉันก่อน”
   
นี่น่ะหรือเพื่อนร่วมห้องของไอ้ภู กลุ่มเพื่อนๆของเขาไม่เคยพบจินมาก่อน จึงได้แต่ประหลาดใจที่เห็นว่าเพื่อนร่วมห้องของเพื่อนตัวนั้นเป็นผู้ชายที่ดูดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากคำว่าดูดี อะไรบางอย่างที่สะกิดใจหลายๆคน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครนึกออกเท่านั้นเอง
   
“ไอ้ภูมันกำลังตกหลุมรักครับ” หนึ่งในเพื่อนของภูจู่ๆเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้น “นี่มันแอบมองเขามาเป็นเดือนแล้ว ยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย” พูดจบก็ทำท่าพยักเพยิดให้ดูเด็กสาวหน้าตาดีเอามากๆคนหนึ่งที่นั่งรวมอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเธอ ภูรู้สึกอยากจะกระทืบเพื่อนปากมากเป็นกำลัง และถ้าหากสังเกตสักนิด เขารู้สึกใจหายไปวูบหนึ่ง ไม่รู้เพราะอะไรเรื่องของสาวน้อยที่เขาชอบแอบมองอยู่ทุกบ่อยนั้น จึงเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากให้เพื่อนร่วมห้องคนนี้รับรู้เลย
   
“ต้องไปจริงๆแล้ว” จินหันไปสบตากับภูครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “เดี๋ยวมีเรียน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆและเดินผละไป
   
ภูมองตามร่างนั้นไปด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร มาหลุดจากภวังค์อีกที ก็ตอนที่หนึ่งในกลุ่มเพื่อนตัวแทบของเขาตบหัวเข่าฉาด ราวกับว่าปริศนาที่ขมวดเป็นปมมานานได้รับการคลี่คลายเสียที
   
“นึกออกแล้ว!”
   
“อะไรของมึงวะไอ้สรรค์ ตกใจหมดไอ้นี่” ภูหันไปด่าเพื่อน
   
“ก็รูมเมตมึงไงไอ้ภู กูคิดอยู่ตั้งนานว่าเหมือนใครวะ กูไม่เคยเจอแต่คุ้นหน้าฉิบ”
   
“เออ... นั่นสิวะ กูก็คิดอยู่ แต่เหมือนติดๆอยู่ตรงนี้ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก”
   
“เหมือนน้องกิ่งไงมึง” เขาหมายถึงเด็กสาวที่ภูเฝ้ามองมาตลอดทั้งเดือน เท่านั้นเองเพื่อนๆที่ถ้าไม่ขัดใจกันหรือกวนเท้ากันวันละสิบรอบด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง จู่ๆก็ต่างเห็นฟ้องไปในทิศทางเดียวกันจนหมด รวมไปถึงตัวต้นเรื่องอย่างภูด้วยเช่นกัน
   
ตอนนั้นเองที่อะไรบางอย่างในใจของเด็กหนุ่มที่มืดมัวอยู่นานเป็นเดือน ก็พลันเหมือนจะสว่างชัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาหันไปมองเด็กสาวที่ชื่อกิ่งทีหนึ่ง ก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจจะห้ามได้อีกต่อไป ทำเอาเพื่อนฝูงที่นั่งอยู่ถึงกับงงเต้กไปพร้อมๆกันแบบไม่ได้นัดหมาย พอถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะ และไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้อีก
   
นอกจากความคิดที่ว่า กว่าจะเข้าใจตัวเองได้ หลงโง่อยู่ตั้งนาน

****************************
   
สมาธิในการทำงานของจินถูกทำลายลงเมื่อจู่ๆ สัมผัสจากริมฝีปากอุ่นๆประทับอยู่บนขมับของเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว และที่ยิ่งประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ เจ้าของสัมผัสนั้นคือเพื่อนร่วมห้องของเขานั่นเอง เพราะนอกจากเรื่องเซ็กส์แล้ว ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นหมอนี่ทำอะไรทำนองนี้กับเขาเลยสักครั้ง
   
“มานี่หน่อย” ภูดึงแขนของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟายาวตรงห้องนั่งเล่น สีหน้าจริงจังเสียจน จินอดกระตุกยิ้มออกมาไม่ได้ และก่อนที่จะได้ทันถามอะไรออกไป ภูก็ดึงตัวเขาเข้าไปกอด ก่อนที่จะใช้ริมฝีปากคลอเคลียอยู่ตรงนั้นตรงนี้อย่างอ้อยอิ่ง อดที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปด้วยไม่ได้
   
“ก่อนที่ฉันจะหยุดตัวเองไม่ได้...” เสียงนั้นกระซิบ “ฉันอยากจะบอกนายว่า... ฉันหลงรักนายเข้าอย่างจังเลย”
   
“รู้แล้ว” เสียงนั้นตอบมาอย่างนึกขัน ทำเอาภูถึงกับนิ่วหน้า ก่อนจะผละออกจากร่างที่กอดอยู่ และมองหน้าอีกฝ่ายราวกับต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้
   
“รู้มานานแล้ว แต่เพิ่งแน่ใจวันนี้แหละ” จินว่าพลางยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าผากออก
   
“ได้ยังไงกัน” ภูครางอย่างไม่สบอารมณ์ เขาอุตส่าห์ดีใจที่รู้สึกชัดเจนกับตัวเอง แต่กลายเป็นว่าคนคนนี้กลับอ่านเขาทะลุหมดไปเสียนี่
   
“เห็นหน้าสาวสวยคนนั้นแล้วถึงรู้ ให้อารมณ์เดียวกับฉันเลยนี่ ใช่ไหม” จินถามกลับด้วยน้ำเสียงติดจะแหย่ด้วยความนึกสนุก
   
“ถึงว่าสิว่า ทำไมฉันถึงไปติดใจเขาเข้าขนาดนั้น แต่ดันไม่ยักมีอารมณ์อย่างว่าเหมือนเวลาอยู่กับนายเลย” ภูสารภาพตามตรง “เพราะเห็นเขาแล้วนึกถึงนายนี่เอง”
   
“ก็เลยมาลงเอากับฉันนี่” จินส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบาๆ “นายนี่มันความรู้สึกช้าเป็นบ้า”
   
“ทำยังไงดี”
   
“ทำยังไงอะไร?”
   
“เกิดมาไม่เคยตกหลุมรักผู้ชายด้วยกันเลย” ภูทำหน้าแบบจนตรอก “ทำตัวไม่ถูก”
   
“ฉันก็ไม่เคย”
   
“พูดเล่นหรือเปล่า” หนนี้ภูถึงกับตกใจออกมาจริงๆ จินส่ายหน้ายิ้มๆ “แล้วทำไม...”
   
จินหนุนศรีษะบนมือข้างหนึ่งในท่านอนตะแคงก่อนจะครุ่นคิดกับตัวเองเป็นครู่
   
“ตอนแรกก็เพราะเมานั่นแหละ แต่ตอนหลังมันรู้สึกดีมากจนรู้สึกหยุดไม่ได้แล้ว ก็เลยปล่อยเลยตามเลยก็แล้วกัน” ภูถึงกับหัวเราะพลางส่ายหน้าให้กับอารมณ์อันเฉยเมยของเพื่อนร่วมห้องที่ไม่เหมือนใครเลยจริงๆของเขา
   
“ถ้างั้นฉันชอบนายได้ใช่ไหม”
   
“มาถึงขนาดนี้แล้วนี่ ฉันก็ไม่ได้ติดอะไรนะ” ดูเอาเถอะ คนอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้ แต่เขาก็หลงรักไปแล้วชนิดโงหัวไม่ขึ้นเลยล่ะ
   
“งั้น...”
   
“อื๊อ...” จินร้องออกมาเพราะมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายจู่โจมเข้ากลางลำตัวโดยไม่ทันให้เขาได้ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มทำได้แค่กัดริมฝีปากและใช้มือข้างหนึ่งยึดแขนแข็งแรงแต่เกเรข้างนั้นเอาไว้ “ทำอะไร...”
   
“ห้ามถาม นายทำให้ฉันเป็นถึงขนาดนี้แล้ว คืนนี้ยาวแน่นอน”
   
ริมฝีปากอ่อนนุ่มของจินเอ่ยออกมาได้แค่ “ไอ้บ้า...” ก่อนจะถูกปิดสนิท เสียเวลาจะพูดอะไรออกไปอีก สู้ทำไปเลยน่าจะง่ายกว่า
   
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนัก

------------------------- END -----------------------

สังเกตดูเถอะค่ะ คู่รักของนิ้วไขว้เนี่ย ถ้าไม่โรแมนติกมาก มันก็เกรียนใส่กันตลอดเวลาเลย ซึ่งก็หวังเหลือเกินค่ะว่า คนอ่านจะชอบ เพราะอย่างที่เคยบอก นิ้วไขว้ไม่ชอบสร้างตัวละครอ่อนแองอแง ชอบแบบแมนๆมากกว่าน่ะค่ะ

ลงมา 11 เรื่องแล้ว ก็ช่วยคอมเม้นต์กันสักนิดนะคะ บางทีแวะเข้ามา ไม่เห็นมีใครทักทายอะไรมาเลย ไอ้เราก็แอบใจหายนิดๆ นึกว่าไม่มีคนชอบ อาศัยยอดเพจวิวที่โชว์อยู่ก็พอจะอุ่นใจได้บ้างว่า มีคนเข้ามาอ่านอยู่เหมือนกันนะ ซึ่งก็ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งจากใจจริงๆค่ะ

ไว้จะแวะมาบอกกล่าวเพิ่มเติมกันอีกนะคะ ตอนนี้ขอเชิญทุกท่านอ่านให้สนุก หลงลืมคู่ไหนไปก็ลองย้อนกลับไปอ่านดูใหม่ได้ เพราะอีกสักพักจะให้ทุกท่านตัดสินใจโหวตคู่รักในดวงใจเสียที และคนเขียนก็ใจร้ายมากพอที่จะให้โหวตแต่คู่เดียวเท่านั้นด้วยอีกต่างหาก

ขอบคุณนะคะ ^^
   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2012 19:47:10 โดย fingerscrossed »

ออฟไลน์ you13

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ชอบๆๆๆ เจเจ กับ อเล็กซ์ จาก Eternity
ดูอบอุ่นดี :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
หึหึหึ :haun4:

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
พึ่งอ่านจบไปทั้ง 11 เรื่องค่ะ... อ่านยาวเลย

ชอบในหลายเรื่องที่คุณนิ้วไคว่เขียนนะคะ (ชอบอ่านเรื่องสั้นอยู่แล้วด้วย) โดยเฉพาะลักษณะตัวละคร เป็นแบบสเป๊กเลยคือไม่หวานเกิน ไม่งอแงคล้ายผู้หญิงมีความเป็นผู้ชาย แบบนี้แหละค่ะ กรี๊ดดดดมาก~~~
เรื่องล่าสุด เขินมาก

  แล้วถ้าให้โหวดจริงๆ  ก็เลือกไม่ถูก เพราะมีเรื่องที่ชอบมากกว่าหนึ่งเรื่อง

zhai

  • บุคคลทั่วไป
อย่าเพิ่งท้อใจนะคร๊าบบบ
เรื่องสั้นแบบนี้ ถูกใจ โดนใจ ทันใจ (จบในตอน)

ชอบทุกตอนอ๊ะ 
แต่ขอคัดที่ช๊อบชอบ แหละกัน

นิล กับ เบน จาก Friendship
เหมือนต้องลุ้น และก็ happy ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

นท กับ เจฟ จาก Plan
เนื้อเรื่องหักมุมดีอ๊ะ

มาแต่งต่อเรื่อยๆ น่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ลงชื่อโหวตสองเรื่องได้มั้ยเนี่ย
ตอนแรกชอบ เชษฐ์ กับ โซ่ จาก Guardian เป็นอันดับหนึ่ง

แต่พออ่าน Breathless ทั้งสองคนกระแทกใจมาก
เราชอบนิสัยของสองคนนี้มากเลยอ่ะ

เลือกไม่ได้เลยว่าชอบเรื่องไหนมากกว่า

ออฟไลน์ silverphoenix

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +347/-3
อ่านจบหมดทุกคู่แล้วแหล่ะ  เย้  555

ตอนเรื่องที่สิบ  รีบๆนิดหน่อยเพราะอ่านก่อนไปสอบ  ฮา
เลยไม่ได้อ่านที่ทอล์ก 
พออ่านจบ...เอ  มันคล้ายใครสองคนที่เราจิ้นอยู่นา

....กลับมาอ่านทอล์กอีกรอบ  ชัดเลยจ้าาา  เต๋าคชาจริงๆด้วย  555

แต่ถ้าเราเลือกเราเลือกเรื่องที่11 นี่แหล่ะ 
ไม่ใช่เพราะมันทีเอนซีเยอะนะ  555
แต่ชอบทั้งพระเอกนายเอก  ไม่ซึนดี  ชอบ 
ตรงไปตรงมาแบบนี้เพิ่งเคยเจอ

+1 ให้จ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด