รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 17 จบ] 6 พ.ย. 55 หน้า 15
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รอยรัก... จำหลักใจ [บทที่ 17 จบ] 6 พ.ย. 55 หน้า 15  (อ่าน 329122 ครั้ง)

ออฟไลน์ หัวเเม่มือ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 804
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
สนุกมากเลย รออ่าน่ะค่ะ ชอบมาก

ออฟไลน์ chompoonut139

  • สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
เห้อจะเป็นไงต่อไปน่ะ

เรื่องนี้ควรสงสารใครดี

ออฟไลน์ coon_all

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ค้างอ่ะ เรื่องมันดูวุ่นวายแต่น่าค้นหาอ่ะ
รูปลงวันที่และเวลาก่อนตายด้วยอ่ะ
อยากรู้ใจจะขาด
มาต่อไวๆนะคะ

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
จีเหมือนจะงานเข้าทุกตอน ตอนหน้าสงสัยระเบิดคงลงจีแน่เลย สงสารจัง

ธรรมนูญ คิดไรกับจีเปล่าอ่ะ...

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
ถึงว่า อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนคลื่นลมสงบ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้านี่เอง !!!

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
อ่านแล้วยังคิดไม่ออกว่าจะรักกันยังไง
มีปมให้คิดเยอะมากๆ   มาลงเร็วๆนะค่ะค้างๆคาๆใจ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เราแอบสงสัยอาหญิงกับนายชงเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
โอ้ยยย  ตื่นเต้นๆๆ  อยากรู้ความจริง

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
คิดถึึงค้าบ

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
ใกล้จะได้รู้ความจริงแล้วสิ จีจะโดนอะไรอีกมั้ยเนี่ย  :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ menano

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-0
ความจริงมันเป็นยังไงกันแน่อยากรู้จัง

bluebird

  • บุคคลทั่วไป
ฮือ มาตามอ่านช้าอีกแล้วค่ะ >.<
ภวิลนี่ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่านิสัยหล่อจังนะ 55+ ,,ถึงจะแอบทำเป็นโหดก็เถอะ
รู้สึกตากระตุกตอนตัวละครหญิง(ที่ไม่ใช่แม่และย่า)โผล่มา กร๊ากกก
รแอบคิดว่าเธอจะต้องมามีบทบาทอะไรแน่ๆ แล้วก็ท่าจะมีจริงๆด้วย
รออ่านตอนต่อไปค่ะ ^^ อยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตแล้ว ตื่นเต้นๆ

ออฟไลน์ silverphoenix

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +347/-3
เริ่มมีปมมาให้คลายแล้ว...

จิยังนอนป่วยอยู่เลย 
ถ้าจะไปสืบหาความจริงก็รอไปพร้อมกันซะเลยสิคุณพระเอก   

ปลื้มเรื่องนี้จังเลย  +1 ให้ค่ะ 
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ  มาไวๆนะคะ

ออฟไลน์ coon_all

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
รอๆๆๆๆๆๆ
คิดถึงเรื่องนี้จังเลย

silent_loner

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ  o13
เขียนได้น่าติดตามมาก
พระเอกดูเหมือนจะมาแก้แค้นให้น้องชาย
แต่ก็เป็นคนที่มีเหตุผลและความสุขุมพอสมควร(มั้ง?)
และนายเอกที่น่ารักของเราเป็นคนที่ต้องทำตัวเข้มแข็ง
แต่ภายในดูเปราะบาง น่าสงสาร  :monkeysad:
ภวิลเจอหลักฐาน แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปนะ และก็อย่ารุนแรงกับหนูจีนักหละ
+1 จ้ารอให้คนเขียนมาคลายปมอยู่นะค่ะ

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 6

ภวิลเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋ากางเกง แล้ววางหนังสือเข้าชั้นอย่างเดิม
 
เขาก็เป็นมนุษย์ปุถุชน... ปฏิเสธไม่ได้ว่าใจหนึ่งอยากจะกระชากตัวคนที่ยังนอนไม่รู้เรื่องอยู่ขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่แขกเหรื่อเต็มบ้าน คุณย่าก็ยังอยู่ข้างนอก แถมเมื่อครู่ผู้จัดการการเงินท่าทางเป็นห่วงเป็นใย เดี๋ยวคงได้เข้ามาดูอีก

จิรัฐต้องตอบคำถามเขาแน่... แต่ไม่ใช่ที่นี่

ภวิลขึ้นไปห้องทำงาน ดึงแฟ้มออกจากตู้มาพลิกหาที่อยู่จดเก็บไว้ เทียบรูปในแฟ้มกับรูปที่อยู่ในมือ... บ้านไม้กึ่งตึกหลังเดียวกันแน่ชัด รูปถูกสอดไว้ในหนังสือเล่มนั้น แสดงว่าควรต้องสร้างในสมัยไล่เลี่ยกันกับบ้านหลังนี้

แต่สำหรับเขาแล้ว มันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ‘ที่เกิดเหตุ’
 
เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้ความจริงเข้าไปทุกขณะ กุญแจสำคัญคือ ‘เพื่อน’ คนนั้นอย่างที่คิดไว้ เมื่อรู้ว่าจิรัฐจงใจปิดบัง เขาโกรธ... โกรธตัวเองที่เผลอใจอ่อน โกรธที่อีกนิดเดียว... คงโดน ‘หลอก’
 
ภวิล วิรัชภาคย์ ไม่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักธุรกิจชั้นแนวหน้าด้วยการจับสลากหรืออาศัยแต่วงศาคณาญาติ เกือบมาพลาดด้วยเรื่องแค่นี้ ไม่สมกับเป็นเขาเลย
 
แต่ที่โกรธนั้น... โกรธแทนน้องที่สุด เพราะเขารู้ว่ายูทุ่มเทแค่ไหน จริงจังขนาดไหนกับมิตรภาพต่อกัน พอคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีความจริงใจตอบกลับมาในขณะที่กฤตวัตไม่เคยเกี่ยงงอนใดๆ ทำให้ยากจะรับได้จริงๆ

แม้ภวิลแน่ใจว่าสนิทกับน้องพอจะไม่มีความลับต่อกัน แต่สมมติว่ายูมีเรื่องที่บอกพี่ชายไม่ได้ เขาก็จะไม่ผูกใจกับจิรัฐสักนิดหากการปิดบังนั้นเป็นไปเพราะเห็นแก่เพื่อน แต่ดูจากรูปการณ์แล้วก็ไม่เห็นจะให้ผลดีกับใครกระทั่งคนปิดบังเอง จิรัฐยินดีปล่อยให้เรื่องคลุมเครือทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองก็โดนหางเลขไปไม่ใช่น้อย ก็เหลือเหตุผลเดียวที่เขาพอจะคิดออก

คือความจริงนั้นยังร้ายแรงกว่าการคาดเดาทั้งหลายมากนัก

ภวิลสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาเข้าไปในงานอีกครั้ง พบกับสายตาที่จ้องจับมาของธรรมนูญอย่างที่นึกเอาไว้ไม่มีผิด รุ่นพี่ของจิรัฐยังมองเลยไปข้างหลังราวจะให้ทะลุถึงห้องหนังสือแต่ก็ยังปลีกตัวไปในทันทีไม่ได้ ภวิลเดินลิ่วตรงไปหาคุณย่า ท่านยังคุยอยู่กับมทนาอย่างออกรส เงยหน้ามาเห็นเขาเข้าก็ว่า

“เมื่อกี้แขกในงานบอกวินลื่นลงสระบัวแล้วเลยขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อ เรียบร้อยดีแล้วเหรอลูก ไปทำยังไงเข้าถึงได้ตกน้ำตกท่า ดีว่าสระมันก็ลึกเพียงอกเพียงเอวเท่านั้นเอง”

พอมานึกดูแล้วสระบัวก็ตื้นจริงๆ ภวิลขมวดคิ้วเมื่อจำได้ว่าเมื่อสักครู่เขาเพิ่งกลัวอีกคนที่ตกไปพร้อมกันจะจม ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ยิ่งตอนนี้เขาก็ไม่คิดจะห่วงใยสวัสดิภาพของคนที่เห็นแก่ตัวเองขนาดนั้นสักนิด
 
ถ้าคุณย่าถามแบบนี้น่าจะนึกว่าเขาตกคนเดียว พวกเจ้ากรมข่าวลือทั้งหลายอาจไม่ทันสังเกตอีกคนหนึ่งที่ธรรมนูญพาออกไปแล้วโดยเร็ว เขาเพิ่งเห็นคุณประโยชน์ของผู้จัดการการเงินก็ตอนนี้ ภวิลรีบเอ่ย
 
“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับคุณย่า ไม่มีอะไร เออ... จิรัฐ... ไม่สบาย”

“ให้เขาพักก่อนเถอะ เรื่องคุยกับย่า เมื่อไหร่ก็ได้” ท่านยิ้มอย่างไม่ติดใจอะไร ภวิลฝืนยิ้มตอบ
 
“หุ้นส่วนวินป่วยเหรอ ให้หมัดไปดูไหม” มทนาขันอาสา
 
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกวนหมัดหรอก เห็นว่าได้ยาแล้ว” ภวิลบอกปัด
 
เขาเอ่ยแกมแนะว่าคุณย่าอาจจะเหนื่อยเพราะชักดึก ท่านก็เห็นด้วย ตรงกับที่คาดไว้ พอเจ้าของงานกลับแขกเหรื่อก็พากันทยอยกลับตามรวมทั้งมทนากับครอบครัว ภวิลเรียกให้ธรรมนูญมาดูแลความเรียบร้อยต่อ อ้างว่าจะไปส่งคุณย่า เมื่อเรือเทียบ ท่านลงจนเรียบร้อยพร้อมกับผู้ติดตามแล้วตัวเองก็วกกลับเข้าข้างใน ตรงไปห้องหนังสือ

จิรัฐวางถ้วยยาลงพร้อมกับประตูเปิด เขาหันมอง ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่เข้ามา

เมื่อครู่ได้เช็ดหน้าตาเนื้อตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งที่ธรรมนูญเอามาให้ หัวหนักไปหมดแต่พอนอนไปแล้วก็ค่อยยังชั่ว ลุกมาอีกทีเห็นถ้วยยาวางอยู่ คงเป็นฝีมือรุ่นพี่อีกตามเคย เพราะหลังจากเสนอให้กินคราวแรกพอเขาบอกว่าดีขึ้นก็ได้ยานี้ทุกครั้งที่อาการกำเริบ

จำได้ว่าปวดหัวหนักจนเบลอ มองอะไรก็เป็นแสงวิ้งๆ ไปหมด ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายแล้วจึงรู้ว่าตัวเองคงตกลงไป แต่ยังรับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นที่จับต้นแขนและหัวไหล่ไว้อย่างมั่นคง

เมื่อลืมตาขึ้น ถึงจะยังพร่ามัวอยู่บ้าง แต่ก็แน่ใจว่าเป็นวงหน้าของคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา ตอนนั้นภวิลมองเขาอย่างตกใจนิดๆ ปนกังวล เป็นสีหน้าแบบที่จิรัฐไม่เคยเห็นมาก่อน

ถึงตอนนี้แล้ว เขาก็แน่ใจว่าเมื่อครู่คงตาฝาดไปจริงๆ
 
... ภวิลที่หลุมฝังศพน้องดูต่างกับเมื่อแรกเข้ากว้านซื้อหุ้นใหญ่... กลับคล้ายภาพพี่ชายที่กฤตวัตเคยเล่าให้ฟัง แต่ภวิลที่ยึดห้องทำงานของเขาคนนั้นก็ไม่เหมือนคนที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ และภวิลคนนี้... คงไม่แสดงสีหน้าอะไรแบบที่เขาได้เห็นผ่านตาไปที่สระบัวเป็นแน่
 
ภวิลเดินกลับไปเปิดประตู และเปิดค้างเอาไว้เหมือนจะให้อีกฝ่ายออกไปก่อน จิรัฐรีบลุก ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน อาการปวดหัวยังมีอยู่บ้างแต่ก็นับว่าดีขึ้น เจ้าภาพอย่างภวิลคงไม่พอใจที่เขาทิ้งงานทิ้งการมาอู้อยู่ในนี้ คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณยายจะเรียกหาอีกด้วย แต่เมื่อเดินออกไปก็พบว่าแขกแทบจะกลับกันหมดแล้ว พนักงานก็เริ่มเก็บข้าวของ

เขาขยับจะขอโทษ แต่อีกฝ่ายนำลิ่วไปที่ท่าเรือ จิรัฐมองอย่างงงเต็มที “ผมต้องอยู่ดูทางนี้ต่อ ถ้าคุณภวิลจะกลับก็...”

“คุณกับผม... เรามีธุระต้องไปจัดการ” ภวิลบอกเสียงเรียบ สายตาบ่งชัดให้จิรัฐก้าวตามมา

“คุณยายให้ไปที่บ้านหรือครับ”

ภวิลไม่ตอบ ซึ่งความจริงไม่ใช่เรื่องประหลาด และปกติเวลาอีกฝ่ายนิ่งก็เท่ากับไม่ปฏิเสธ ดังนั้นจิรัฐจึงลงไปในเรือ พยายามคิดว่าธุระเร่งร้อนอะไรที่คุณยายจะต้องการตัวเขาโดยด่วนขนาดให้ตามไปพบส่วนตัวที่บ้านในเวลานี้ จริงๆ แล้วก็รู้สึกชอบกลอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าให้นับตระกูลที่สมาชิกต่างดำรงความเป็นเอกลักษณ์อย่างที่คนภายนอกอาจจะมองว่า ‘แปลกอยู่สักหน่อย’ จิรัฐก็แน่ใจว่าวิรัชภาคย์ต้องติดอันดับ ยิ่งกับคนที่นั่งประจันหน้ากันเงียบๆ อยู่ในเรือนี่แล้วใหญ่ ใช้เหตุผลธรรมดาด้วยไม่ค่อยจะได้

นอกเหนือไปจากนี้... วันนี้เป็นวันเกิดของคุณยาย ท่านคงคิดถึงหลานคนเล็กที่เคยจัดงานให้ทุกปีๆ เมื่อก่อนเขาเองก็เคยคุยเป็นเพื่อนท่านจนดึกอยู่บ่อยๆ เวลายูชวนไปกินข้าว หลังเกิดเรื่องจึงถอยห่างออกมา ตอนนั้นเขาก็คิดแค่ว่าไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรกระทบใจท่านอีก เพราะรู้ดีว่าคุณรงรองผู้เป็นมารดาของกฤตวัตไม่ต้องการจะเห็นหน้าเขาในบริเวณบ้านแน่ๆ

เมื่อคิดว่าคุณยายยังคงเมตตาเขาเป็นหลานคนหนึ่งอยู่เสมอ จิรัฐก็สะท้อนขึ้นในอก ต่อให้คุณยายเรียกให้ไปหาไกลถึงไหนเขาก็จะไม่อิดออดเลย

ภวิลมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย จิรัฐดูจะไม่ระวังตัวอะไร แค่เข้าใจว่าคุณหญิงไพจิตรให้ไปพบเท่านั้นก็ตามมา มีแวบหนึ่งเขายังเชื่อเสียด้วยว่าจิรัฐตั้งใจไปเพื่อคุณย่าของเขาจริงๆ ไปเพราะหวังจะให้ท่านสบายใจขึ้น บางทีก็ทำตัวเหมือนคนไร้เล่ห์เหลี่ยมไม่มีลับลมคมในเสียอย่างนั้น แต่เขารู้แน่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด จงใจไม่บอกด้วย เล่นละครเก่งจนน่าส่งชิงตุ๊กตาสังกะสี
 
‘... ผมก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่มากไปกว่าคุณ’ งั้นหรือ โกหกทั้งเพ
 
ภวิลชักโมโหตัวเองขึ้นมาอีกที่ปล่อยให้ความตั้งใจแต่ต้นสั่นคลอนเสียได้ พ้นจากเรือถึงลานจอดรถเขาก็กระชากประตูเปิดแถมปิดกระแทกจนจิรัฐขมวดคิ้ว

“คาดเข็มขัดด้วย” คนเข้าประจำที่นั่งคนขับบอกเสียงเย็น “ผมไม่อยากให้ตำรวจเรียกก่อนเราจะเสร็จธุระ”


ธรรมนูญดูจนพนักงานเก็บจานสุดท้าย พับผ้าปูโต๊ะเตรียมส่งซักแล้วจึงเดินกลับไปห้องหนังสือ เขาเห็นภวิลออกไปส่งคุณหญิงไพจิตรแล้วไม่ได้กลับเข้ามาอีกจึงเข้าใจว่าคงกลับไปพร้อมกัน ระหว่างทางเห็นทักษ์โผล่ออกมาจากครัว ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง

ธรรมนูญยิ้ม ยกมือขึ้นให้ไฮไฟฟ์ ทักษ์ก็ยกแขนมาแปะมือกับเขาเผียะก่อนครางอูย “เมื่อยไปหมดทั้งตัว ไม่ได้ทำเองหมดทุกจานก็จริง แต่วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดทุกสเตชั่น เชฟลูกมือพลาดก็ต้องแก้ เหนื่อยโคตรเลยว่ะ”

“ทุกอย่างออกมาดี แขกชอบ เจ้าของวันเกิดชอบ จีก็ชอบ” ธรรมนูญว่า “หายเหนื่อยได้แล้ว”

“แล้วอาร์มชอบหรือเปล่า” ทักษ์ถามเขา อมยิ้มแก้มตุ่ย

“เอาตามตรงนะ วิ่งไปวิ่งมาเหมือนกัน กินอะไรแทบไม่รู้รสหรอก” ธรรมนูญพูด ไม่ทันสังเกตสีหน้าสลดลงของเชฟ “นี่ชักหิวอีกแล้ว”

“แสดงว่าไม่ค่อยได้กินน่ะสิ เดี๋ยวหาให้...”

เดินคุยกันมาจนหยุดหน้าห้องหนังสือพอดี ธรรมนูญเปิดประตูเบาๆ ลดเสียงลง “จีปวดหัวมานอนในนี้ เผื่อตื่นแล้วจะหิวเหมือนกัน”
เขาชะงักค้าง เก้าอี้ยาวว่างเปล่า ในห้องไม่มีใครสักคน

ธรรมนูญหมุนตัวกลับมาโดยเร็วจนเกือบชนเชฟที่พยายามชะโงกหน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พูดรัวเร็วด้วยความร้อนใจ

“จีไปไหน เห็นบ้างหรือเปล่า... แต่อยู่ในครัวตลอดคงไม่เห็น ไปไหนของเขา...”

ทักษ์ดึงแขนเพื่อนร่วมงานไว้ก่อนอีกฝ่ายจะผลุนผลันเดินไป “ตอนออกมาเข้าห้องน้ำเห็นแวบหนึ่ง แต่คิดว่าทั้งสองคนไม่ทันมองมาทางนี้ คงรีบ...”

“เห็นเหรอ” ธรรมนูญหยุด ก่อนทวน “สองคน สองคนอะไร จีอยู่กับใคร”

“ก็... คุณ... จีเดินตามคุณภวิลออกไปทางท่าน้ำ...”

ใจคนฟังหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ธรรมนูญตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเขากลัวอะไร แต่ก็ออกวิ่งตามไปทางทิศนั้นตั้งแต่ทักษ์ยังพูดไม่จบประโยค ทิ้งอีกคนยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก

... อุตส่าห์ระวังแล้วแต่ก็ยังหลุดรอดสายตาไปจนได้ ที่นึกห่วงเอาไว้ก่อนนั้น ไม่ได้เกินความจริงเลยสักนิดเดียว!


จิรัฐเหลือบมองคนที่ขับรถไม่พูดไม่จาแวบหนึ่งแล้วจึงมองตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม ภวิลคงแค่ขับไปส่งเขาให้พบคุณยายแล้วก็จบ ‘ธุระ’ กัน ขากลับสงสัยต้องเรียกแท็กซี่ รู้อย่างนี้เอารถตัวเองมาก็ดี แต่ท่าทางอีกฝ่ายดูจะไม่ยอม เพราะคุณยายมอบหมายละมัง

แต่บรรยากาศกดดันแบบที่เขาเผชิญมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่ภวิลเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่รวมทั้งได้อำนาจบริหารจัดการเกือบหมดกำลังกลับมา จิรัฐเริ่มรู้สึกว่าเขาคงคิดไปเองเรื่องที่พักหลังเหมือนจะ... หายใจคล่องขึ้นอีกหน่อย เหมือนบางที เมฆหนาทึบก็อาจลอยสูงขึ้นอีกนิด

รถยนต์ทำหน้าที่ได้ดีสมกับยี่ห้อและราคา มันพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างไม่สั่นไหว ร่องรอยเดียวที่พอจะบ่งบอกได้ว่าคนขับเหยียบคันเร่งโดยไม่ออมแรงคือทัศนียภาพรอบข้างที่เลยลับไปโดยรวดเร็วขึ้นทุกทีจนให้ความรู้สึกคล้ายถูกแรงดึงมหาศาลฉุดกระชากผ่านภาพวาดสีน้ำ

... ลางเลือน... มืดทะมึน... ไร้จุดสิ้นสุด

“คุณภวิล ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้มังครับ” ที่จิรัฐอยากพูดจริงๆ คือ เดี๋ยวจะไม่ถึงที่หมาย แต่พากันถึงฆาตก่อนทั้งคู่

“วันนั้นคุณขับเท่าไหร่... ร้อยยี่สิบ... ร้อยสี่สิบ... ร้อยหกสิบ...?”

จิรัฐมองเข็มวัดความเร็วที่กระดิกขึ้นตามคำพูดจนตอนนี้เกินร้อยแปดสิบไปแล้วอย่างตกใจ เขาพยายามตั้งสติ

“ผมไม่เคยชน...”

“ไม่ได้ถามว่าชนไหม ถามว่า ขับ เร็ว หรือ เปล่า”

“... เปล่า”

“... ใจเย็นจริง...” ยิ้มแบบที่เขาไม่อยากเห็นกลับมาอีกครั้ง แบบที่บอกว่าคนฟังไม่คิดว่าอะไรที่ได้ยินนั้นมีค่าควรเชื่อแม้แต่น้อย “ตอนพาน้องผมไปส่งโรงพยาบาล ก็ยังใจเย็นอยู่สิ คงไม่ต้องรีบ” 

จิรัฐนิ่ง ผ่านไปอีกห้านาที คนขับไม่มีท่าทางจะผ่อนความเร็ว ...ให้คาดเข็มขัดเพราะไม่อยากถูกตำรวจเรียก แต่ขับขนาดนี้ก็เสี่ยงด่านตรวจเหมือนกัน ไม่นับเรื่องความปลอดภัย ยิ่งเป็นเส้นออกนอกเมืองด้วยแล้ว

... ออกนอกเมือง?

“คุณภวิล คุณยายอยู่ไหน” จิรัฐพยายามทำใจดีสู้เสือ “ทางนี้ไม่ใช่ทางไปบ้านคุณนี่”

“ไปบ้านสิ...” อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากอีกนิดหนึ่ง “แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปบ้านผม”

เขารู้ว่าภวิลหมายถึง ‘บ้าน’ หลังไหนโดยไม่ต้องบอก จิรัฐรู้สึกเหมือนเลือดในกายจะกลายเป็นน้ำแข็ง ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกใกล้เคียงคือตอนที่...

“คุณอย่าทำอย่างนี้เลย มันไม่มีประโยชน์หรอก ไม่มีประโยชน์กับใครทั้งนั้น” เขาคิดว่าพยายามบังคับตัวเองให้พูดออกไปอย่างปกติ แต่เสียงที่หลุดรอดออกมากลับไม่ดังกว่าเสียงกระซิบ

“หยุดเสียทีเถอะ!” ภวิลเสียงดัง จับพวงมาลัยแน่น

จนถึงป่านนี้แล้วจิรัฐก็ยังจะดึงดันอยู่ได้ ทั้งๆ ที่เห็นว่าเรื่องโกหกปิดบังทั้งหลายแหล่กำลังพังทลายลงไปต่อหน้า

... สัญชาตญาณปกป้องตัวเองของมนุษย์คงแรงกล้านัก

“ให้เรื่องค้างคาอยู่แบบนี้ ให้น้องผมตายอย่างมีเงื่อนงำไปตลอดมีประโยชน์กว่างั้นหรือ”

ไม่มีคำตอบจากคนนั่งคู่กันอยู่ แต่ภวิลเห็นจากกระจกว่าจิรัฐมองเขาอย่างเสียใจ เสียใจแบบที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งเจอกันหน้าหลุมศพน้อง และเชื่อว่าเป็นความจริงทั้งหมดมาแล้ว ที่ผ่านมาเขาพยายามทำใจเป็นกลางแม้จะยากยิ่ง พยายามให้โอกาสอีกฝ่ายเพราะน้องคงไม่อยากให้เพื่อนรักที่สุดถูกพี่ชายปรักปรำ

... แต่บางที เสียใจกับละอายคงไม่ต่างกันมากนัก

“คนที่มีชนักติดหลังอยู่น่ะ... มันเจ็บ... แต่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด เพราะความลับไม่มีในโลก จะช้าจะเร็วเรื่องก็ต้องแดงออกมา เพียงแต่เรื่องนี้... มันเร็วหน่อยเท่านั้นเอง”

เขาหักเลี้ยวเข้าถนนสายเล็กติดป้ายส่วนบุคคล แล้วจึงจอดพรืดลงที่สุดทางจนอีกฝ่ายหัวจะคะมำ ดีที่ได้เข็มขัดที่คนขับบอกให้คาดตั้งแต่ต้นทางนั่นแหละรั้งไว้ ภวิลปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงรถไปดึงประตูฝั่งผู้โดยสารเปิดออก จิรัฐยังนั่งนิ่งอยู่ พยายามคิดแต่คิดอะไรไม่ค่อยจะออกในเวลานี้... การนั่งรถที่ขับด้วยความเร็วแทบทะลุมาตรวัดมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนก็ไม่ได้ช่วยเลยสักนิด
   
ข้างหน้าเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้แบบเก่า ดูเหมือนจะทิ้งร้างมานานเนื่องด้วยประตูหน้าต่างปิดทึบทั้งหมด ทอดเงาทะมึนผ่านส่วนที่เคยเป็นสนามแต่บัดนี้หญ้าขึ้นรกเรื้อ

ภวิลไม่ได้สั่งให้เขาลงมา แต่จิรัฐรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนัก เขาพยายามอีกเป็นครั้งสุดท้าย

“คุณภวิล... อย่าเข้าไปเลยนะ” 

ภวิลคว้าต้นแขนคนข้างหน้าขึ้นด้วยเริ่มจะหงุดหงิดเป็นกำลัง จิรัฐสะดุ้งขืนตัวไว้โดยอัตโนมัติ และเมื่อนั้นภวิลจึงสังเกตว่าคนที่จับไว้ตัวสั่นอยู่นิดๆ

ที่แปลกคือภวิลไม่คิดว่าเพราะจิรัฐกลัวเขาโดยตรง อาจจะมีอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่สาเหตุแรกแน่ๆ ให้ตาย... เขาไม่คิดว่าเพราะกลัวเจ็บตัวด้วยซ้ำ

... กลัวอย่างอื่นมากกว่า

“ถ้าไม่บอกเรื่องทั้งหมดตรงนี้ ก็เข้าไป... ผมมีสิทธิ์จะเห็นไม่ใช่รึ ในเมื่อยูเป็นน้องผม... ‘ที่เกิดเหตุ’ น่ะ”

ภวิลจับแขนอีกฝ่ายไว้มั่นแล้วออกเดินไปทางตัวบ้าน จิรัฐพยายามดึงกลับเต็มที่ เขาก็ไม่ได้บอบบางขนาดกระชากแขนทีหนึ่งก็ปลิว แต่ภวิลไม่ยอมปล่อย

สัมผัสครั้งนี้แตกต่างกับที่สระบัวลิบลับ

ประตูไม่ได้ลั่นดาล เพียงแต่ปิดไว้เฉยๆ เจ้าของคงไม่มีของมีค่าหลงเหลืออยู่ในบ้านแล้ว ภวิลทิ้งประตูแง้มไว้พอให้แสงภายนอกลอดเข้ามาได้บ้างเพราะในบ้านมืดเกือบสนิท เขาคลำหาสวิตช์แต่ไฟไม่ติด คงไม่มีใครอยู่มานานแล้วจริงๆ

จิรัฐดึงแขนหลุดจากการเกาะกุมจนได้ก่อนสืบเท้าเข้าใกล้ประตู ภวิลหันมาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้หนี ยังบอกเหมือนเดิม

“กลับออกไปกันเถอะ ผมหาทางกลับเองก็ได้ แต่คุณต้องกลับ...”

ภวิลอยากตีความว่าจิรัฐไม่อยากอยู่ในที่เกิดเรื่อง พาลจะทำให้นึกถึงอะไรที่ทำเป็นลืมไปได้แล้วขึ้นมา แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านั้น เขาก้าวเข้าไปหา พูดช้าๆ

“วันนั้นผมบินไปต่างประเทศ แต่ยูโทรหาก่อนเครื่องขึ้นแป๊บเดียว ผมเห็นเวลาที่นัดแล้ว พอคุยกับผมเสร็จ ต้องเจอคุณเลย แล้วมาที่บ้านหลังนี้ด้วยกัน เครื่องลงผมเข้าโรงแรมทำงานต่อ ได้โทรศัพท์... แจ้งข่าวหลังจากนั้นไม่นาน แสดงว่าน้องผมอยู่กับคุณมากสุด ไม่เกินสี่ชั่วโมง คุณพายูไปส่งโรงพยาบาล บอกว่าไม่ทัน... ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าไปจากนี่เลยหรือเปล่า แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย... เท่ากับว่า ‘เรื่อง’ ต้องเกิดภายในชั่วโมงที่สามที่ยูมาเจอคุณ”

จิรัฐฟังอีกฝ่ายเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยลำคอตีบตัน ภวิลพูดถูกทุกอย่าง แต่เพราะคนเป็นพี่ชายใคร่ครวญเรื่องนี้มานานขนาดไหน คงไม่มีวันใดหลังจากวันนั้นที่ไม่คิดถึงเลย แบบนี้... ทิ้งบาดแผลหนักหนาไว้ในใจของทุกคน จะเป็นคนที่รู้หรือว่าไม่รู้... ก็ทรมานไม่ต่างกัน

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...”

คราวนี้น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายชอบใช้ไม่สามารถปกปิดความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดเอาไว้ได้ ภวิลก้าวเข้าไปอีกก้าว และจิรัฐก็รู้สึกว่าคนที่บังคับพาเขาเข้ามาในบ้าน คนช่างประชดเปรียบเปรยในรถไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มีแต่พี่ชายของเพื่อนที่รักน้อง คนที่รีบพาแม่เขาไปส่งโรงพยาบาลได้ทัน คนที่พยายามหาวิธีรับมือกับความตายกะทันหันของคนในครอบครัว เพื่อที่ตัวเองจะได้รับการปลดปล่อยเช่นกัน...

... พี่วิน...

เสียงเอี๊ยดลั่นดังมาจากข้างบน จิรัฐร้องเสียงหลง
 
“คุณภวิลระวัง...!”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2012 18:49:01 โดย เดหลี »

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 6 (ต่อ)

ถนนจากฝั่งตรงข้ามโรงแรมนั้นเป็นถนนให้รถวิ่งทางเดียว ธรรมนูญจึงไม่มีปัญหากับการขับตามมาเรื่อยๆ แต่เมื่อถึงทางแยกก็ชักลังเล เขาโทรเข้ามือถือจิรัฐไม่ได้ พยายามเหลียวซ้ายแลขวาหารถที่จะเป็นของรุ่นน้องหรืออีกคนก็ไม่เจอ
 
ธรรมนูญไม่คิดว่าตัวเองเป็นกระต่ายตื่นตูม เพราะถือคติกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้ เขานึกไม่ออกว่าภวิลพาจิรัฐไปทำอะไรป่านนี้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าคนอย่างภวิลคิดอะไรอยู่บ้าง อาจจะนึกอยากใช้งานรุ่นน้องให้คุ้มทุกบาททุกสตางค์ กระทั่งจะหาเรื่องแกล้งอย่างอื่นเขาก็คิดว่าคงไม่เกินความสามารถ แต่คงไม่ใช่พาไปขับรถกินลมเล่นยามดึกแน่

พอจะหาเรื่องปลอบใจตัวเองอยู่ได้บ้างอย่างเดียวคือการที่ทักษ์บอกว่าจิรัฐเดินตามไปด้วยเฉยๆ ก็แสดงว่าคงไม่น่าจะไปโดยไม่สมัครใจ รุ่นน้องเป็นคนฉลาดก็จริง... แต่ฉลาดแบบซื่อตรง แบบที่มองคนในแง่ดีไว้ก่อน แบบที่นึกว่าถ้าตัวเองเล่นตามกติกาแล้วคนอื่นก็คงเหมือนกัน แต่ในโลกนี้ คนที่เล่นทีเผลอแอบชกใต้เข็มขัด ใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาเปรียบกันมันมีมากกว่าเท่านั้นเอง

เขาตัดสินใจเสี่ยงลองเลี้ยวซ้ายดู ขับไปก็นึกอยากให้ตัวเองมีตารอบหัวเป็นสับปะรด จะได้มองได้ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง แต่ไม่นานก็ต้องเหลียวจนคอแทบเคล็ด

ตอนนี้ค่อนข้างดึก รถแล่นผ่านไปมาน้อย แต่มีคันหนึ่งสวนไปด้วยความเร็วสูง ธรรมนูญค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นรถของภวิล
 
เขารีบกลับรถตามทันที


ภวิลลองเอี้ยวตัวดู นอกจากยอกเล็กน้อยที่หลังกับเจ็บแปลบๆ ตรงข้อศอกที่ไปกระแทกพื้นเข้าแล้วเขาก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอย่างอื่น ส่วนคนที่สลับไปขับรถก็ตั้งหน้าตั้งตาขับ ปากเม้มแน่น

ขากลับดูเหมือนทุกอย่างจะกลับตาลปัตรตามไปด้วย จิรัฐลากเขาออกมาจากบ้านด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ ยืนยันว่าต้องไปโรงพยาบาลให้จงได้ แน่นอนว่าเขาบอกไม่จำเป็น แต่อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับคำปฏิเสธใดๆ

ก็แค่คานไม้ร่วงลงมา... ไม่โดนใครด้วยซ้ำ

เอาล่ะ ความจริงอาจจะโดนเขา แต่จิรัฐโถมเข้าใส่ทั้งตัวจนพ้นวิถี เอวกับข้อศอกที่เจ็บๆ อยู่นี่ก็เป็นผลตามมาด้วยเอาศอกลงก่อน... ศอกกระแทกพื้นก็ยังดีกว่าโดนคานไม้ฟาดหัวเอา

ตอนแรกภวิลไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนตัวเองหงายลงไปแล้วมีอีกคนทาบทับอยู่ ใกล้จนเห็นเพียงแพขนตา เสียงไม้ร่วงกระทบพื้นดังก้องไปทั้งบ้านเก่า ฝุ่นฟุ้งขึ้นกระจาย

จิรัฐรีบดึงเขาให้ลุกด้วยมือเย็นเฉียบ ในแสงสลัวยังเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าซีดเป็นกระดาษ ซีดกว่าตอนเพิ่งขึ้นจากสระเสียอีก

ใครๆ ก็ดูจะคิดว่าจิรัฐเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ บางทีเจ้าตัวก็อาจจะมองตัวเองอย่างนั้นเพราะทุกคนพากันบอก คนเราย่อมเห็นตัวเองผ่านคนอื่นด้วยทางหนึ่ง ที่ไม่อยากเข้ามาในบ้านก็เพราะจะทำให้คิดถึงตอนที่ไม่ใช่ ใครบ้างจะอยากได้สิ่งย้ำเตือนถึงตอนที่เราทำตัวเป็นคนดีได้น้อยกว่าภาพที่พยายามจะเป็น ใครบ้างจะอยากมองดูด้านที่ไม่โสภานักของตน

แต่ท่าทางไม่สบายใจตอนแรกนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสีหน้าตอนนี้ และภวิลก็นึกรู้ว่า ถ้าบ้านหลังนี้มีความทรงจำเลวร้าย ก็ตอนเมื่อกี้นั่นแหละที่ทำให้คิดถึง... ไม่ใช่แค่คิด จิรัฐทำหน้าราวเพิ่งได้ ‘เห็น’ เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นผ่านไปกับตา

เขายังงุนงงไม่หายจนได้แต่ปล่อยให้จิรัฐลากออกมาจากบ้าน เอ่ยถามแต่อีกฝ่ายก็เหมือนไม่ได้ยิน แม้จะสังเกตเห็นว่าจิรัฐเหลือบดูเขาผ่านกระจกเป็นระยะ

ภวิลมองเข็มวัดความเร็ว และพบว่าไม่ต่างจากที่เขาขับตอนขามามากนัก

‘... ถามว่าขับเร็วหรือเปล่า’

‘... เปล่า’


แต่ถ้านี่ไม่เร็วก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร จิรัฐขับราวมีชีวิตหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย และทุกนาทีคือความเป็นความตาย

... ความเป็นความตายของใคร... เหมือนวันนั้น... ใช่หรือไม่...

ใจเขากระตุกเมื่อจิรัฐเอ่ยเป็นครั้งแรกตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านมา แต่น้ำเสียงนั้นจวนเจียนจะร้องไห้

“คุณพูดกับผมไปเรื่อยๆ นะ จะด่าจะว่าก็ได้ แต่อย่าเงียบนะ...”


ธรรมนูญสบถเบาๆ ภวิลจะขับเร็วไปถึงไหน รู้หรอกว่ารวย รถแรง อะไรก็ช่าง เพียงแต่เจ้ารถกระป๋องของเขาเหยียบเกินร้อยยี่สิบก็ชักแกว่งแล้ว ถ้าทิ้งระยะแบบนี้ต่อไปท่าจะตามไม่ทัน

โชคยังดีที่ดูเหมือนรถคันข้างหน้าจะชะลอความเร็วลงบ้างในที่สุด แต่ธรรมนูญต้องใจหายวูบอีกครั้งเมื่อเห็นว่าที่ชะลอนั้นเพื่อเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล

ความคิดแรกของเขาคือจิรัฐเป็นอะไรอีกหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งจะปวดหัวจนตกน้ำตกท่ามาหยกๆ ยังไม่ทันได้พักให้เต็มตาก็ต้องออกไปอีกแล้ว เขาเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลตาม และทันได้เห็นว่าคนที่ลงจากฝั่งคนขับไม่ใช่เจ้าของรถ แต่เป็นรุ่นน้อง จอดหน้าแผนกฉุกเฉินด้วย

ธรรมนูญรู้สึกผิดคาดไม่น้อย เขารีบหาที่จอดแล้ววิ่งเข้าไปในอาคาร จิรัฐอยู่สุดทางเดินหน้ายุ่ง ได้ยินเสียงแว่วๆ ธรรมนูญพยายามจะเดินไปหาแต่ติดทางเดินที่มีเตียงเข็นกันวุ่นวาย

“ผมยืนยันให้สแกนสมอง...”

“คนไข้รู้สึกตัวดี ไม่มีอาการสับสนมึนงงอะไร ไม่เห็นภาพซ้อน ไม่อาเจียน ปกติเราจะไม่ทำซีที...”

ภวิลมองจิรัฐเถียงกับหมอ ความจริงโดยทั่วไปเขาก็รู้สึกปกติดีทุกอย่าง แต่ภาพเบื้องหน้าทำให้เริ่มสะกิดใจ ปะติดปะต่ออะไรบางอย่างได้รางๆ

“คุณหมอไม่เข้าใจ...” เสียงอีกฝ่ายแทบจะเป็นอ้อนวอน “ตอนแรก... เพื่อนผมก็... อย่างนี้ หมอเช็คเถอะ เช็คให้ละเอียด อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก...”

ในหัวพลันสว่างวาบ ภวิลค่อนข้างแน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านวันนี้คล้ายคลึงกับเมื่อวันนั้น และคนตรงหน้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ถึงเขาจะยังไม่รู้รายละเอียดนักก็ตาม

... จิรัฐอาจจะมองเขาอย่างกังวลใจ เป็นห่วง หรืออะไรก็ตามที่ใกล้เคียง แต่แท้จริง... คงนึกถึงเพื่อน นึกถึงเพื่อนที่จากไปแล้ว และตอนนี้เมื่อเห็นเขาที่เพิ่งประสบเหตุคล้ายกัน

... ก็เหมือนเห็นยู

“กรณีนี้ตรวจซ้ำชั่วโมงแรกแล้วค่อยอยู่ดูอาการต่ออีกยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรก็ถือว่าไม่เป็นไร กลับบ้านได้”

“ความจริงตอนล้มไม่โดนหัวด้วยซ้ำ” ภวิลลุกขึ้น “ผมก็รู้สึกสบายดี กลับเลยแล้วกัน”

“คุณภวิล!” จิรัฐร้อง คว้าแขนเขาไว้อย่างลืมตัว “กลับตอนนี้ไม่ได้!”

ภวิลไม่เคยคิดว่าความเป็นตายของตัวเองจะมีผลอะไรกับจิตใจอีกฝ่าย ถึงจะเป็นแค่วันนี้... ถึงจะเพราะเห็นภาพซ้อนของเพื่อนในตัวเขาก็ยังอยากให้จิรัฐพูดเรื่องทั้งหมดออกมา แม้จะย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่คนที่ยังอยู่ก็ต้องมีชีวิตต่อไป และทั้งเขาและจิรัฐคงไม่มีใครเดินต่อจากตรงนี้ได้ถ้ายังไม่สะสางเรื่องให้เรียบร้อยเสียที

... ดังนั้นเขาจึงวางไพ่ใบสุดท้ายในมือ

“ขอเวลาแป๊บนะครับ” ภวิลบอกหมอแล้วหันหลังมาพูดเบาๆ กับจิรัฐที่รีบปล่อยแขนเขาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ผมมีข้อแลกเปลี่ยน... ถ้าจะให้ผมค้างดูอาการที่นี่ คุณต้องเล่าเรื่องทั้งหมด”

จิรัฐนิ่งอึ้ง ข้อแลกเปลี่ยนนี้มีราคาสูง... แต่สูงเท่าชีวิตคนคนหนึ่งที่อาจจะเสียไปเพราะไม่ถึงมือหมอ ไม่ได้ตรวจเช็คทุกอย่างให้ทันการณ์หรือไม่... ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก เขาคงไม่มีหน้าจะอยู่แล้วจริงๆ

ภวิลเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งก็ตัดใจทำท่าจะเดินออกมา ถ้าจิรัฐไม่คิดว่าชีวิตเขายังพอจะมีน้ำหนักมากกว่าการปิดบังเรื่องราวไว้อยู่บ้าง ก็ถือเสียว่าเขามองพลาด เดิมพันพลาดก็แล้วกัน

จิรัฐเอ่ยเบาตามหลัง “...ได้ แต่คุณต้องอยู่ให้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ”

ธรรมนูญเพิ่งจะหาทางฝ่าความวุ่นวายมาถึงตัวรุ่นน้อง จิรัฐดูจะสภาพแย่กว่า ‘คนเจ็บ’ เสียอีก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“พี่อาร์ม” จิรัฐแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นผู้จัดการในที่นี้ “มาได้ยังไง”

“ก็... เอ้อ ไม่เห็นในห้อง เลยลองขับรถออกมาดู” ธรรมนูญตอบแบบที่ตัวเองได้ยินยังคิดว่าฟังดูมั่ว แต่ช่างเถอะ

ภวิลกลอกตาก่อนหันไปบอกหมอ “ตกลงว่าผมอยู่ให้แน่ใจก็ได้ครับ”

“ถึงไม่ค้างยังไงหมอก็แนะนำให้อยู่รอตรวจซ้ำในอีกชั่วโมงอยู่แล้ว ถ้างั้นจะมีหมอเข้าไปดูภายในชั่วโมงแรกแล้วนางพยาบาลคงปลุกดูอาการตอบสนองเป็นระยะ แต่ระหว่างนั้นพักได้นะครับ...”

เมื่อนั้นแหละธรรมนูญจึงได้หันมาสนใจผู้บริหาร แต่ถึงถามไปก็ไม่ได้รับคำตอบ จนกระทั่งเข้าห้องพักผู้ป่วยในเรียบร้อย หมอเฉพาะทางมาตรวจอีกครั้งและยืนยันว่าไม่ต้องส่งสแกนสมองจริงๆ จิรัฐจึงได้นั่งลง ธรรมนูญก็ตามเข้ามาด้วย ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูออกว่าจิรัฐคงไม่กลับตอนนี้แน่ๆ

ภวิลมองคนที่นั่งไหล่ลู่ประสานมือไว้ที่หัวเข่า จิรัฐดูราวจะแบกน้ำหนักมหาศาลที่มองไม่เห็นเอาไว้ แบบที่เขาไม่แน่ใจว่าถึงให้ออกปากเล่าแล้วจะบรรเทาได้บ้างหรือเปล่า
 
เขาไม่ต้องเอ่ยเตือนอะไร จิรัฐก็เงยหน้าขึ้นบอกผู้จัดการ

“พี่อาร์มซื้อกาแฟให้หน่อยได้ไหม... ไม่ต้องรีบนะ พอดีผมกับคุณภวิลมีธุระคุยกันค้างอยู่”

ธรรมนูญยังมองเขาด้วยสายตาระแวงแบบเดิมแต่ภวิลคร้านจะสนใจ สุดท้ายคงตัดสินใจได้ว่าแม้จิรัฐจะออกไปด้วยกันแต่คนต้องเข้าโรงพยาบาลถูกล่ามสายน้ำเกลือกลับกลายเป็นเขาอยู่ดี ก็เลยยอมเดินออกไปตามคำขอของรุ่นน้อง

ในห้องยังมีแต่ความเงียบอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนภวิลตัดสินใจเริ่มขึ้นก่อน

“เรื่องวันนี้... มันเหมือนเมื่อวันนั้นใช่มั้ย”

จิรัฐนิ่งไปครู่แล้วจึงพยักหน้า

“เหมือนกันทุกอย่าง... ยกเว้นแต่ว่า ยูเป็นคนช่วยผม ผมก็ไม่ทันเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นแต่ไม้ร่วงลงมาใกล้... ไม่เห็นว่าโดนยูหรือเปล่า แต่ยูบอกไม่เป็นไร ออกมาจากบ้านแล้วก็ยังปกติ ความจริง มันคงดีเสียกว่าถ้าเราไม่เข้าไปที่นั่น...”

ภวิลนิ่งฟัง ปล่อยให้อีกฝ่ายเล่าไปเรื่อยๆ โดยไม่ขัดจังหวะ

“ปกติถ้าไปดูที่เก่าจะต้องระวังเป็นพิเศษเพราะไม่รู้ไม้ผุตรงไหนบ้าง ต้องใส่หมวกนิรภัย หรือไม่ก็คุยกับเจ้าของ บางทีวางเงินดาวน์แล้วคุมช่างเข้าไปเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยก่อน แต่ยูตื่นเต้นกับบ้านหลังนี้มาก ผมคิดว่าคงไม่มีปัญหาเพราะเราก็เคยดูกันมาหลายที่”

นี่แหละยู บางทีเห็นอะไรถูกใจก็ไม่ค่อยจะคิดหน้าคิดหลัง ภวิลถอนใจเบาๆ

“พอเกิดอุบัติเหตุนั้นแล้วยูเร่งให้ออกมา บอกผมทีหลังว่าตอนเข้ามาครั้งแรกเคยโดนคนไล่มาแล้ว อาจจะเป็นญาติเจ้าของที่อยู่แถวนั้นก็ได้ เขาขู่จะแจ้งข้อหาบุกรุกถ้าเห็นยูอีก คานไม้หล่นลงมาเสียงไม่เบา ดีไม่ดีจะหาว่าเราทำลายทรัพย์สินเสียด้วย ผมก็ตกใจ นึกว่ายูคุยกับเจ้าของเรียบร้อยแล้วเขาถึงให้มาดู ยูยังบอก ถ้าพี่... เอ่อ คุณรู้เข้า ต้องโดนตำหนิแน่ๆ”

คงไม่ใช่เรื่องดีนักถ้าทายาทวิรัชภาคย์ถูกแจ้งข้อหา ไม่ว่าจะเป็นข้อหาอะไรก็ตาม จิรัฐพูดต่อด้วยเสียงที่เริ่มสั่นนิดๆ

“เราขึ้นรถ ผมเป็นคนขับ ยูว่าให้ไปหาอะไรกินกัน แล้วเขาก็บอก... เวียนๆ หัว คลื่นไส้นิดหน่อย อยากนอน ผมก็... ปล่อยให้นอน เพราะปกติยูชอบเมารถ ขึ้นรถก็หลับอยู่แล้ว”

เรื่องนี้เขาที่เป็นพี่ชายก็รู้ดี ลองไม่ได้ขับเอง กฤตวัตหลับในรถตลอดไม่ว่าจะใกล้ไกล บอกว่าถ้าไม่ได้เป็นคนขับก็พาลจะเวียนหัวเมารถเสียอย่างนั้น ไม่แปลกที่คนเป็นเพื่อนจะไม่ผิดสังเกต

“ตรงทางแยกใกล้ถึงร้าน ผมไม่แน่ใจทาง... เรียกยู เขาไม่ตื่น... ผม... เรียกแล้วเรียกอีก เขย่ายังไงก็ไม่...”

คนฟังอย่างเขายังเจ็บราวมีมีดมากรีดลงกลางใจเมื่อคิดถึงชั่วโมงสุดท้ายของน้อง... แล้วคนเล่าที่คล้ายต้องย้อนกลับไปวันนั้นใหม่ ขุดคุ้ยความทรงจำทั้งหมดขึ้นมา

... ไม่รู้จะเจ็บสักปานใด

“ผมผิดเองที่ไม่ทันเฉลียวใจสักนิด ยูช่วยผมมาไม่รู้กี่ครั้ง รวมทั้งครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ยู คนที่เจ็บตัว หรืออาจจะตายไปแล้วก็คงเป็นผม แต่ผมกลับ... ช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้เลย”

ภวิลมองจิรัฐตาแดงจมูกแดงไปหมด แต่ไม่ยอมปล่อยน้ำตาให้ไหลต่อหน้าเขา ความเงียบในรถที่ขับมุ่งไปโรงพยาบาลวันนั้นคงทรมานนัก อีกฝ่ายจึงได้บอกให้... อย่าเงียบ ถ้ายังพูดได้ ถามได้ ก็แปลว่า... ยังมีชีวิตอยู่

ที่จิรัฐพูดมาคือทุกอย่างเท่าที่รู้จากมุมมองตัวเอง ที่เคยบอกว่าอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่มากไปกว่าเขา ก็จริง... ภวิลคิดว่าอีกฝ่ายคงพยายามคิดหาคำตอบของเรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับเขามาตลอด แต่ยังยากจะระบุแน่ชัดได้ว่ายูจากไปเพราะอะไร

“เรื่องนี้... ที่จริงมันเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมพูดอะไรเลย ไม่พูดให้คนอื่นฟังยังพอว่า แต่ไม่ยอมบอกผมที่เป็นพี่เขาแท้ๆ ทำไมกัน...”

จิรัฐนิ่งไปอีกก่อนว่า “ยูนับถือคุณมาก พูดว่าคุณเป็นวีรบุรุษสำหรับเขาก็คงไม่เกินความจริง”

ภวิลไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้ทำไม จิรัฐพูดต่อ

“เราย่อมอยากเป็นคนดีที่สุดต่อหน้าวีรบุรุษของเรา เป็นคนที่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้องตลอดเวลา... ยูขอผมไว้ตอนขึ้นรถ ขอให้สัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่เขางัดบ้านคนอื่นเข้าไป ถึงแม้ว่าตอนนั้นเขาจะแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่ และคิดว่าบ้านถูกทิ้งร้างไว้จริงๆ ก็ตาม โดยเฉพาะ... อย่าบอกคุณ”

ถึงไม่มีคนอยู่จริงในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าเจ้าของจะกลับมาเมื่อไหร่ ถึงจะถูกทิ้งร้างแต่ก็อาจเป็นสมบัติส่วนตัวของใครสักคนหนึ่งอยู่ดี ไม่ใช่จู่ๆ จะเข้าไปโดยพลการได้ เขามุ่งแต่จะพาจิรัฐเข้าไปในที่เกิดเรื่องเพื่อถามเอาความจริง เข้าใจเอาเองว่าจิรัฐคงได้บ้านมาเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว เขามองอีกฝ่ายยิ้มเศร้าๆ

“ตอนนั้นผมยังคิดว่าแทบไม่ได้เจอได้พูดกับพี่ชายเขาเลย คงยากที่คุณจะรู้จากผม แต่ยูให้ผมสัญญา ผมก็สัญญา... แลกกับการที่เขาจะไม่ทำแบบนี้อีก”

ออฟไลน์ เดหลี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +254/-3
บทที่ 6 (ต่อ)

ภวิลเพิ่งตระหนักว่าทำไมจิรัฐจึงบอกว่าการตามล่าหาความจริงทั้งหมดเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์ เพราะแท้จริงแล้วน้องชายของเขาเองนั่นแหละที่ไม่อยากให้รู้ ถ้ารู้รายละเอียดตรงนี้แล้ว การจะโยงไปถึงว่าแท้จริงบ้านหลังที่กฤตวัตเข้าไปกับเพื่อนยังมีเจ้าของอยู่ และได้รู้ว่าน้องชายเลือกใช้วิธีไม่เข้าตามตรอกออกตามประตูก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย

ที่ประตูไม่ได้ลั่นกลอน ก็เพราะตอนกลับออกมาครั้งที่สองนั้นรีบจนลืม ไม่อยากให้ใครเข้ามาเจอเนื่องจากได้ยินเสียงโครมครามในบ้านนั่นเอง จิรัฐบอกเขาแต่ว่าอย่าเข้าไป ให้กลับ เพราะถ้าบอกว่าบุกรุกก็เท่ากับบอกว่าเมื่อครั้งที่กฤตวัตเข้าไป ก็ใช่เช่นเดียวกัน 

ในวิรัชภาคย์ไม่มีคนเคยพัวพันกับการทำผิดกฎหมายมาก่อนไม่ว่าจะเล็กน้อยสักปานใด มีเจ้าทุกข์หรือไม่ ถ้ามีเรื่องขึ้นแม้สักเล็กน้อยคงกระเทือนจิตใจคุณย่า จิรัฐเลือกให้ทุกอย่างจบลงที่ตัวเอง ยอมให้คนว่าทั้งๆ ที่โยนโทษใส่เพื่อนเสียก็จบ จริงอยู่ปากคนยาวกว่าปากกา ถึงไม่รู้ความจริงก็ใช่ว่ากฤตวัตจะรอดพ้นสมบูรณ์จากการคาดเดา แต่นินทาคนตายจะไปสนุกอะไรด้วยอีกฝ่ายไม่รับรู้แล้ว

ผลกระทบทั้งหมดจึงตกกับจิรัฐโดยตรง แต่ก็ยัง... รักษาสัญญา... ยิ่งเป็นสัญญาครั้งสุดท้าย และคงรักษาตลอดไปถ้าวันนี้เขาไม่เกือบเจ็บตัว และใช้มันมาต่อรอง

จิรัฐยอมผิดสัญญาในที่สุดเพราะไม่อยากให้เขาตามยูไปอีกคน

ภวิลอดรู้สึกผิดนิดๆ ไม่ได้ ด้วยออกจะแน่ใจว่าที่ตัวเองล้มนั้นไม่น่าจะกระเทือนทางสมองได้เลย ถ้าจิรัฐไม่ช่วย... อย่างที่น้องเคยช่วยเพื่อนเมื่อวันนั้นเสียอีก เขาอาจจะเจ็บหนักมากกว่านี้

เขาเอนหลังพิงหมอน ระบายลมหายใจยาว

“คุณเป็นลูกคนเดียว...”

จิรัฐมองเขาอย่างสงสัย “ใช่...”

“ความจริงผมก็เป็นลูกคนเดียว แต่ผมคิดว่ายูเป็นน้องแท้ๆ มาตลอด พี่น้องนะ สุดท้ายยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ยังไง... เลือดก็ข้นกว่าน้ำ ผมไม่รู้คุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่ผมไม่เคยผิดหวังในตัวยู... คงไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมผิดหวังในตัวเขาได้”   

“ผม... ขอโทษ ถ้าทำให้เข้าใจผิดว่าคุณไม่ใช่พี่ที่ดี ยูพูดบ่อยๆ ว่าคุณเป็นพี่ชายที่ดีที่สุด... ในโลก เขาแค่ไม่อยากให้คุณมองเขาไม่ดีเท่านั้นเอง”

“ก็เลยให้ผมมองคุณไม่ดีแทน”

“อะไรนะ...” จิรัฐฟังไม่ถนัด

“เปล่า... แค่คิดว่ายูก็มีเพื่อนดีเหมือนกัน”

จิรัฐมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ หลายครั้งแล้วที่ต้องตีความเอาว่านี่ใช่คำชมหรือเปล่า เขาพูดเบาๆ

“แต่เพราะช่วยผม ยูถึงได้...”

“ยูทำก็เพราะยูเป็นยู” ภวิลพูดช้าๆ “อาจจะไม่ทันคิดด้วยซ้ำ ปฏิกิริยาแบบนั้น ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง”

จิรัฐนิ่ง ภวิลถอนใจ ก็ถ้ายูเห็นเพื่อนอยู่ในอันตรายแล้วไม่ช่วยน่ะสิ เขาถึงจะรู้สึกว่าไม่รู้จักน้องแล้ว ความเป็นความตายห่างกันแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ แต่ในช่วงเวลานั้นแหละที่สร้างความแตกต่างขึ้น

... ถ้าเราห่วงใคร เราจะยื่นมือออกไป... 

เขาเคยคิดว่าถ้ายูไม่เจอเพื่อนคนนี้ ก็อาจจะไม่ต้องจากไปเร็วอย่างนี้ แต่ชีวิตเป็นของน้อง จะตัดสินใจทำอะไร ตัดสินใจคบใคร เขาไม่มีสิทธิจะบังคับได้ และถ้าให้อยู่ไปจนถึงร้อยปีโดยไม่มีเพื่อนรักที่ไว้วางใจได้สนิทเลยสักคน คงเป็นชีวิตที่ว่างเปล่าน่าดู
 
นางพยาบาลเคาะประตูเข้ามาวัดความดันและสัญญาณชีพอื่นๆ พร้อมทั้งบอกให้นอนพักบ้าง แต่ในระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมา เขาก็ยังเห็นจิรัฐ...

มารู้สึกตัวเต็มที่อีกทีเมื่อนางพยาบาลขอวัดไข้ตอนเช้า และได้ยินเสียงธรรมนูญดังแว่วๆ

“จีไม่ต้องรู้สึกรับผิดชอบขนาดนี้ก็ได้ คุณภวิลเขาไม่เป็นอะไรหรอกก็เห็นอยู่”

“พี่อาร์มเบาๆ ผมแค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ต้องเฝ้าระวังอาการแล้ว”

“อีกตั้งนานเถอะ หมอก็บอกไม่ใช่เหรอว่าถ้าพ้นชั่วโมงสองชั่วโมงไปแล้วอาการคงที่ตลอดก็ไม่เป็นไร จีดูตัวเองบ้าง จะเฝ้าเขาให้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่จีไม่ได้นอนมาทั้งคืนนะ ไม่ยิ่งปวดหัวใหญ่เหรอ”

“ก็... มีนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก”

ภวิลขยับตัวจะลุกแต่ติดสายน้ำเกลือ เขาเผลอดึงอย่างรำคาญจนเสาเลื่อนส่งเสียงดังแกรก

จิรัฐหันมา และภวิลจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางย่ำแย่อยู่ไม่น้อย สมควรที่จะต้องเป็นห่วง ความจริงเมื่อมาคิดดูแล้ว กลายเป็นว่าถ้าจิรัฐยอมเล่าเรื่องราวทั้งหมดง่ายๆ เพียงแค่เขาถามที่หลุมฝังศพน้อง คงเป็นเพื่อนที่เก็บความลับไม่ได้เอาเลย

“คุณกลับเถอะ” เขาว่า “ขอบคุณมาก...”

ธรรมนูญขมวดคิ้วกับคำขอบคุณแบบไม่เฉพาะเจาะจงว่าเรื่องอะไร แต่จิรัฐก็ดูจะเข้าใจดี ถึงจะอยากรู้แต่ธรรมนูญไม่คิดว่าใช่ที่ของตัวเองที่จะไปคาดคั้นรุ่นน้อง อยากเล่าคงเล่าเอง แค่จิรัฐไม่เป็นอะไรมากไปกว่าอดนอนก็ดีแล้ว

“หายเร็วๆ ครับ” ธรรมนูญว่าตามมารยาท ก่อนบอกคนข้างๆ “จีไม่ได้เอารถมาใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ผม... อยู่ต่ออีกหน่อยดีกว่า เผื่อมีอะไร...”

ภวิลมองคนพูดที่ท่าทางจะพับได้ทุกเมื่อ ต้องบอก “เดี๋ยวเพื่อนผมมา หมอมทนาน่ะ”

เขาพูดก็เพราะนึกขึ้นได้เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลที่ปลอกหมอนผ้าปูที่นอนชัด เผอิญคราวนี้จิรัฐพาเขามาโรงพยาบาลในเครือที่ครอบครัวมทนาบริหารอยู่พอดี ภวิลมีเรื่องอยากจะถามหมอ เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขาเองตอนนี้ และถ้าต้องเป็นอย่างนั้น ก็ขอคุยกับหมอที่เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ แถมรู้จักน้องดีกว่า ความจริงยังไม่ได้โทร แต่ไม่น่าจะมีปัญหา

จิรัฐชะงักไปนิด แล้วพูดเสียงเบา “อ้อ ครับ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”

ภวิลมองเพื่อนน้องเดินคู่ไปกับผู้จัดการก่อนลับหายออกจากห้องแล้วจึงถอนใจ

เขามาที่บ้านพระยาเพื่อค้นหาความจริง และตอนนี้ก็ได้รู้แล้ว เคยคิดว่าเมื่อรู้... คงดีขึ้นราวได้ยกภูเขาออกจากอก แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ตัดกันขาวดำเช่นนั้น สุภาษิตที่ว่าความจริงย่อมมีราคาของมันนั้นไม่ผิดหรอก เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องกังวลเรื่องที่พี่จะคิดยังไงมองยังไงมากขนาดนี้ ที่ร่าเริง บางทีก็เพราะไม่อยากให้ห่วงใช่หรือเปล่า

แต่ภวิลก็ดีใจ... ที่อย่างน้อยกฤตวัตยังมีเพื่อนที่แน่ใจว่าจะไม่ตัดสินตัวเองและพร้อมจะรับฟังทุกอย่างอยู่ข้างๆ จนถึงวันสุดท้าย
 
เขาขอให้นางพยาบาลต่อสายถึงคุณหมอมทนา แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จักลูกสาวของผู้บริหารใหญ่ ไม่นานมทนาก็มารับสาย น้ำเสียงออกจะตกอกตกใจ

“วิน เป็นไรหรือเปล่า ทำไมโทรมาจากโรงพยาบาล...”

“ไม่เป็นไรหรอก หมัดว่างแวะมาแถวนี้หน่อยได้มั้ย”

“วินนอนโรงพยาบาลเหรอ” มทนาพูด จากตกใจกลายเป็นแปลกใจ คงนึกได้ว่าถ้าเขายังพูดโทรศัพท์ได้คล่องขนาดนี้ก็ไม่น่ามีอะไรร้ายแรง “ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยป่วย”

“ก็ยังไม่ได้ป่วย” ภวิลว่า “ตกลงหมัดมานะ”

“เดี๋ยว วิน...”

“ไว้คุยกันตอนหมัดถึงแล้วละกัน” ตัดบทแล้วภวิลก็วางสายเลย ก่อนมทนามาถึงเขาอยากทบทวนรายละเอียดทุกอย่างให้ดี ไม่อยากให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น

ไม่นานมทนาก็มาถึง บ่นกระปอดกระแปด “คุณพ่อจิกหมัดประชุมเรื่อย ไอ้เราก็อยากจะราวนด์คนไข้ เรียนมาไม่ต้องใช้มันละ รักษงรักษา... แล้วนี่วินเป็นอะไรเนี่ย”

“ก็... หกล้ม คนที่ทำงานเขาตกใจ เลยให้มาดูที่โรงพยาบาลให้แน่ใจ” ภวิลตอบเลี่ยง 

“แก่แล้วเหรอไง เดี๋ยวหกล้มเดี๋ยวเดินตกน้ำ อย่าใจลอยนักสิคะ”

“หมัดอย่าเริ่ม อายุเท่ากันนะ...”

มทนาหัวเราะ ก่อนคว้าชาร์ตไปดูแล้วว่า “พรุ่งนี้เช้าก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ที่จริงจะออกค่ำๆ วันนี้เลยก็ได้ ไม่มีอะไรน่าห่วง ก่อนออกให้หมอดูเสียอีกที”

“ออกเที่ยงคืนนั่นแหละ” ภวิลว่าโดยไม่คิด ไม่ต้องให้หมอบอกเขาก็รู้ว่าไม่เป็นไร ที่อยู่โรงพยาบาลนี่ก็เพราะสัญญากับอีกคนไว้ว่าจะต้องให้ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน “ไม่ได้เชิญให้มาดูอาการหรอก เชิญมาคุยเรื่องอื่น”

“ก็ว่าอยู่แล้ว ตามตัวมาขนาดนี้มีเรื่องอะไรล่ะ”

ภวิลเล่ารายละเอียดช่วงก่อนน้องจะถึงโรงพยาบาล พยายามไม่ให้ตกหล่นโดยบอกแค่ว่าเพิ่งได้คุยกับเพื่อนคนที่พาไปส่ง มทนานิ่งคิดแล้วว่า

“หมัดไม่ฟันธงนะเพราะไม่มีผลชันสูตร... แต่เท่าที่ฟังมา ใกล้เคียงกับทอล์คแอนด์ดายซินโดรมที่สุด”

“อะไรนะ”

ทอล์คแอนด์ดาย... พูดแล้วก็ตายอย่างนั้นหรือ ก่อนจะปลุกไม่ได้ จิรัฐก็เล่าว่ายูดูปกติ ยังคุยอยู่...

“มีกรณีที่กระทบกระเทือนทางศีรษะมา ไม่แสดงอาการอะไร แต่พอมีอาการ อย่างปวดหัว หมดสติ ก็ช่วยไม่ทันแล้ว...”

“เพราะอะไร...” ภวิลถามแทบจะกลั้นใจ แต่น้องหลับไปก่อน ก็คงไม่เจ็บ ขอให้ไม่เจ็บ...

“หลายสาเหตุนะ อาจจะมีเลือดออกระหว่างกะโหลกกับก้านสมอง ออกช้าๆ ไปเรื่อยๆ เลือดออกเหนือหรือใต้เยื่อหุ้มสมอง ก็ได้” มทนาค่อยๆ พูด คงเห็นสีหน้าเพื่อนไม่สู้ดีนัก “ไม่ก็... อาจจะมีการฉีกขาดข้างในผนังหลอดเลือดตรงลำคอ ทำให้มีลิ่มเลือดขึ้นและเกิดสโตรคได้ หมายถึงสมองขาดเลือดไปเลี้ยงเพราะการอุดตันในเส้นเลือด ถ้าเกิดสโตรคในก้านสมองก็จะไปเร็วมาก ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นได้เพราะการกระทบกระแทกที่ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

“หมายความว่า... ตอนแรกจะดูปกติ”

“ถ้ามีอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนศีรษะ ถึงได้ต้องเฝ้าดูอาการกันอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมงไง ถ้าหมอให้กลับบ้านได้ก่อนหน้านั้น ญาติก็ต้องคอยดูอาการผิดปกติไว้ ถ้าเริ่มมึนหรือว่าอาเจียน ก็ต้องรีบส่งสแกนแล้ว ยิ่งจำอะไรไม่ได้ หมดสตินี่อันตรายเลย”

ภวิลพยักหน้า แต่เพราะน้องหลับในรถอยู่แล้ว เลยสังเกตยาก คนไปส่งคงโทษตัวเองอยู่เสมอมาที่เพื่อนอาการหนักนั่งอยู่ข้างๆ แต่กลับไม่รู้ ปกติเขาไม่เชื่อในเรื่องสุดวิสัย แต่เรื่องนี้คง... เป็นข้อยกเว้น

“ถ้าเลือดออกในสมองช้าๆ แบบนี้ มักจะเสียชีวิตเพราะถึงมือหมอไม่ทัน นึกว่าไม่เป็นไร อย่าว่าแต่คนรอบข้าง เจ้าตัวมักจะไม่ยอมไปหาหมอเองด้วยซ้ำเพราะไม่ได้มีแผลเลือดออก อาจจะปวดหัวบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยืนยันว่าปกติดี นี่หมัดพูดจากกรณีศึกษาน่ะ...”

มทนาถอนใจเบาๆ

“ไม่รู้ว่าเรียกหมัดมาจะช่วยให้วินสบายใจขึ้นหรือตรงกันข้าม แต่ถึงแม้จะเกิดเลือดออกในสมองบ้าง ก็ไม่ใช่ต้องไปทุกคน... โดยเฉพาะถ้ายังอายุน้อย จะฟื้นตัวเร็ว แต่แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเลือดแข็งตัวเร็วกว่าปกติ ถ้าเกิดลิ่มเลือดก็แย่ บางคนเลือดหยุดไหลยากกว่าปกติ เลือดออกในสมองก็แย่ เป็นปัจจัยที่ทำให้อาการทรุดลงเร็วจนช่วยไม่ทันได้ ของน้องยู... เราอาจจะไม่มีทางรู้”

ภวิลเลิกถามคำถามประเภทที่ว่าทำไมคนอื่นที่เจอเรื่องคล้ายกันถึงได้หาย แต่น้องกลับต้องจากไปนานแล้ว เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไร และที่สำคัญกับเขาก็ไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคอย่างต้องรู้เฉพาะเจาะจงว่าน้องตายเพราะเลือดออกในสมองส่วนไหน บนหรือว่าใต้เยื่อหุ้มสมองกันแน่ เขาเพียงอยากแน่ใจ เรื่องที่เกิดกับน้องหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ช่วยไม่ทันจริงๆ ถ้าคำตอบคือใช่ บางที... เขาคงปล่อยน้องไปได้ในที่สุด
 
ภวิลเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นคลับคล้ายโดมิโน ยูถูกใจบ้านหลังนั้น ปักใจถึงขนาดเข้าไปโดยไม่รอขออนุญาตก่อน อยากให้เพื่อนได้เห็นด้วย ก็ลากไปดู โชคร้ายที่คานไม้หล่นลงมา น้องย่อมต้องช่วยเพื่อน แล้วยังคิดว่าตัวเองไม่เป็นไร ขึ้นรถหลับเหมือนเคย แต่ตอนนั้นเลือดคงเริ่มออกช้าๆ...

เขาเข้ามาในชีวิตเพื่อนคนที่ว่าเพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับน้อง ด้วยหวังว่าคงให้ความกระจ่างอะไรขึ้นได้บ้าง เกือบถอยห่างออกไปเพราะหาหลักฐานไม่ได้ จนมาเจอสิ่งที่ทำให้แน่ใจว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดในวันที่เกิดเรื่องขึ้น แต่ถ้าคานไม้ไม่ร่วงหล่นลงมาเหมือนเมื่อวันนั้น เขาก็คงไม่สามารถทำให้จิรัฐเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาได้

คำพังเพยฝรั่งบอกว่าสายฟ้าย่อมไม่ฟาดลงที่เดิม... แต่อุบัติเหตุเหมือนเดิม เกิดขึ้นที่เดียวกัน ในเวลาที่คนคนหนึ่งไปอยู่ที่นั่นทั้งสองครั้ง

... จิรัฐ...

ภวิลเริ่มรู้สึกว่า เขาคงออกไปจากชีวิตเพื่อนของน้องคนนี้ไม่ได้ง่ายๆ เหมือนตอนเข้ามาเสียแล้ว


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คุณ *~ กอ.อู.~* คุณพระเอกก็เป็นคนมีเหตุผลบ้างไรบ้าง เหวี่ยงแต่พอประมาณ 55
คุณ pattybluet ฮีก็พยายามหักห้ามใจไม่ให้ด่วนสรุปอยู่นะ (เหรอ) แต่เจอของขนาดนั้นก็เสียศูนย์ไปบ้าง ขอบคุณที่เชียร์จีมาตลอดเช่นเคยค่า
คุณหัวแม่มือ ขอบคุณมากนะคะ บทที่ 6 มาแล้วน้า
คุณ chompoonut139 จริงๆ เลย เรื่องนี้น่าสงสารหลายคน แต่เขาจะเยียวยาจิตใจกันและกัน หวังว่าอย่างนั้นนะ
คุณ coon_all มาแล้วน้า ได้รู้แล้วนะ อิอิ ขอบคุณมากที่ติดตามค่ะ
คุณ berlyn ระเบิดลงไปย่อมๆ (มั้ง) แต่ก็ไม่ถึงกับทำลายล้างมาก แหะ ส่วนเรื่องคุณธรรมนูญนี่ก็ดูกันต่อไป ดูกันยาวๆ 55
คุณ Cherry Red คลื่นสงบเป็นช่วงคุณภวิลลังเล แต่แกก็เป็นคนไม่ยอมถอยอะไรง่ายๆ หรอกน่า
คุณ janamanza บางทีมันต้องเคลียร์เรื่องคาใจก่อนแล้วมันถึงจะไปสู่ขั้นต่อไปได้ 55 ก็ยังมีปมอยู่อีกหน่อยนั่นแหละ มาแล้วนะคะ
คุณ yeyong แต่อาหญิงเป็นแม่แท้ๆ ของยูนะ เอาไงดี...
คุณ j4c9y มาแล้วค่า
คุณ uknowvry มาแล้วนะค้า
คุณ @Iriz โดน... นิดหน่อย เพิ่งคิดได้ว่าจริงๆ แล้วเรื่องจำเลยรักก็น้องชายตายแหะ แต่เราไม่สนับสนุนการทรมานนายเอก (จนเกินจำเป็นนัก กร๊าก)
คุณ menano มาแล้วนะคะ ฝากด้วยค่า
คุณ bluebird ช่วยจินตนาการให้แกหน้าหล่อด้วยได้มั้ยคะนอกจากนิสัยหล่อแล้ว 555 ทุกคนมีบทที่สำคัญของตัวเองในเรื่องทั้งนั้นเลยค่า
คุณ silverphoenix ไม่ต้องห่วง คุณพระเอกลากไปพร้อมกันแน่นอน ไปคนเดียวก็ไม่มัน?สิ ฝากต่อด้วยนะคะ
คุณ silent_loner ขอบคุณมากเลยค่ะ ใช่เลยพระเอกนายเอกเราเป็นคนเช่นนั้นแล ไม่นะเราไม่สนับสนุนความรุนแรง (อีกและ) ฝากต่อด้วยนะคะ

มาแล้ว อย่างยาววว เคลียร์ทุกปมปัญหาคาใจ (เสียงใครบอกช้า และยังมีให้คาอยู่ หันซ้ายหันขวา 555) ต้องขอโทษด้วยถ้ารอนะคะ อย่างที่เคยบอกสำหรับคนเขียนเรื่องนี้เขียนยากอยู่ ถึงจะวางพล็อตและโครงไปแล้วแต่รายละเอียดจริงๆ เราก็รู้แทบพร้อมคนอ่านนี่แหละ เขียนไปค้นไป เหอ ขอบคุณมากๆๆ สำหรับการอ่านและการติดตาม และการเชื่อมั่นว่าจีของเราไม่ผิด เอิ๊ก ขอบคุณคนอ่านทุกท่านจริงๆ ค่ะ ไว้พบกันใหม่นะคะ  :กอด1:

ปล. talk and die syndrome ที่ดังๆ ก็ภรรยาของเลียม นีสัน ดาราดัง ไปเล่นสกีลื่นหกล้ม ยืนยันว่าไม่เป็นไร ยังพูดคุยได้เหมือนปกติ กลับโรงแรมไปพักหนึ่งบ่นปวดหัว พาบินเข้าไปที่โรงพยาบาลก็สมองไม่ทำงานแล้ว เศร้าเนอะคะ... แต่จริงๆ มันก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากนะ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2012 03:52:48 โดย เดหลี »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย ใจระรัว

ออฟไลน์ naiin

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2421
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-9
  ออกไปไม่ได้ก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสียสิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ chompoonut139

  • สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
เห้อ ในที่สุดดูเหมือนวินจะเข้าใจอะไรบ้างอย่างแล้ว

=,.=

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
กระจ่างแล้วสินะ ^^

dawnthesky

  • บุคคลทั่วไป
กระจ่างแจ้งทุกปมปัญหา แต่สงสัยว่าที่จีปวดหัวบ่อย ๆ จะเป็นเพราะอะไร?

ออฟไลน์ @Iriz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-2
โอยย อ่านไปก็ลุ้นไป พอรู้ถึงสาเหตุที่ยูตายแล้วยิ่งสงสารจี..คงรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา   :เฮ้อ:
โชคดีที่ภวิลเป็นเป็นคนมีเหตุผล เข้าใจอะไรง่าย ไม่งั้นจีต้องแย่กว่านี้แน่ๆเลย
ปล.มาช้าก็รอได้ค่ะ เพราะแต่ละตอนคุ้มกับการรอจริงๆ ขอแค่อย่าทิ้งเรื่องนี้ไปก็พอ อิอิ
+1+เป็ด เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า  :L2:

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
เนื้อเรื่องน่าติดตบมมากค่ะ
พลาดมากที่เพิ่งจะมาอ่าน

ออฟไลน์ coon_all

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ค่อยโล่งอกหน่อย
จิเป็นคนดีอ่ะ รักเพื่อนมากเลย ยูไม่น่าตายเลยเฮ้อๆๆๆ เสียดาย
รอตอนต่อไปนะคะ ลุ้นว่าเมื่อไหร่จิกับวินจะลงเอยกันสักที

LUCKY STAR

  • บุคคลทั่วไป

แม่ยูกับคนสวนยังน่าสงสัยอยู่นะ


ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ตอนนี้เคลียร์แล้ว แต่รอถึงตอนที่เขาจะรักกันน่ะนะคนเขียน 55+
ไหนๆก็รู้ความจริงหมดแล้ว  ก็จัดให้เขาหวานบ้างก็ดีเน้อ

bluebird

  • บุคคลทั่วไป
ดีใจ ที่ในที่สุดภวิลจะได้เลิกคิดถึงจิรัฐในแง่ร้ายซะที
โอย แต่สงสารเจ้าตัวจังเลย ไปเจอเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำอีกรอบ
ฮึ่มๆๆ คุณพระเอกต้องรับผิดชอบค่ะ >.<

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
ลุ้นโคตรๆ

สนุกมากครับ

 o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด