(เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา  (อ่าน 33236 ครั้ง)

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
เรื่องสั้นของเมศที่ยาวย๊าวยาวค่ะ ไม่สั้นเลย (๒๗หน้า) ไหนๆเขียนไว้สามเรื่อง เคยลงเเล้วสอง เอาอีกเอาให้หมดสตอค หึหึหึ

อาจเเบ่งฉากสั้นไปหน่อย เพราะต้องบีบไม่ให้เกินกว่านี้นะคะตอนเเบ่งก็มึนๆ หึหึหึหึ  

ขอคำชี้เเนะด้วยค่ะ
:a4: :a10: :a11: :a14: :เตะ1:


ปล.เรื่องนี้เขียนไว้นานมากเเล้ว ว่าจะส่งไปสนพ.ที่เขารับต้นฉบับเรื่องสั้น คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า เพราะหน้าเราเกินกว่ากำหนดไปเยอะ เเถวเขาห้ามลงเวบไหนมาก่อนด้วย เลยเอามาลงที่นี่ดีกว่า หึหึหึหึหึ

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


จันทราพันธะสัญญา...เราจะพบกันเมื่อจันทร์เพ็ญ

          การประชุมแผนวางแผนการรับมือแคว้นตะวันออกกำลังเคร่งเครียด  เหล่าขุนศึกและเจ้าหน้าที่ยุทธการต่างปรึกษาหารือกันอยู่รอบโต๊ะทรายซึ่งถูกจัดให้มีลักษณะเหมือนภูมิประเทศในยุทธภูมิทุกประการ  ในกระบะทรายนั้นมีแผ่นไม้เล็กๆทาสีแตกต่างกันวางอยู่กระจายทั่วไป  ผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นชายผู้มีเส้นผมสีดำสนิทยาวขมวดมุ่นไว้เฉกเช่นชายอื่นๆที่มักนิยมไว้ผมเช่นนี้และเสื้อผ้าที่นุ่งห่มอยู่นั้นก็เฉกเช่นคนอื่นๆในห้อง  แต่สิ่งที่ทำให้เขาดูแตกต่างคือความสง่างามด้วยร่างกำยำสูงใหญ่ ดวงหน้าคมสันซึ่งเครื่องหน้าทุกชิ้นล้วนเหมาะเจาะสวยงามทำให้ดูสมเป็นชายชาตินักรบ  โดยเฉพาะดวงตาสีดำสนิทอันคมกล้าที่ทอดมองโต๊ะทรายอย่างใช้ความคิด   บุคลิกดังกล่าวช่างขัดกับชายอีกคนที่นั่งเยื้องไปด้านหลังของเขาโดยสิ้นเชิง

         ชายหนุ่มร่างสูงพอประมาณหากดูโปร่งบาง  ผมยาวสีดำสนิทยาวเป็นมันระยับสวยรัดไว้มิให้รุ่มร่ามด้วยเชือกหนัง ทำให้เป็นหางม้าพวงสวย  ดวงหน้านั้นแม้จะตรากตรำทำศึกมามากหากมิได้เปลี่ยนเป็นสีทองแดงเช่นคนอื่น  แต่คงความขาวไว้เป็นสีนวลสวยราวทอง รับกับดวงตาสีอำพันที่ทอประกายแห่งความเฉยชาไว้สม่ำเสมอ  

"เจ้าคิดเห็นอย่างไรศศิธรสุราลัย" เสียงห้าวๆของฤทธิรงค์ผู้เป็นนายถามชายที่นั่งเยื้องไปด้านหลังของตน  ดวงตาสีอำพันจ้องมองโต๊ะทรายอยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากอิ่มสวยจึงเอื้อนเอ่ย

"ข้าคิดว่า เราไม่ควรเข้าปะทะตรงนะขอรับ  เพราะกำลังของเราน้อยกว่า  แต่เรามีความชำนาญด้านพื้นที่มากกว่า โดยเฉพาะด้านที่เป็นทิวเขา ถ้าเราสามารถล่อให้ฝ่ายนั้นเข้าไปในเขตที่ราบด้านหน้าทิวเขาได้ คาดว่าเราน่าจะกอบกำชัยชำนะได้มากกว่า"  เหล่าแม่ทัพและเจ้าหน้าที่ยุทธการต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ชาญฉลาดนั้น  ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่หัวโต๊ะยิ้มเพียงบางเบาที่ริมฝีปากอย่างพึงพอใจ

"ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่?"

"เห็นด้วยขอรับ"ทุกเสียงตอบเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะเริ่มปรับแผนใหม่

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
"เข้ามาศศิธรสุราลัย"เสียงห้าวจัดของ 'นายท่าน' เรียกชายร่างโปร่งบางจากหลังม่าน  แสงเทียนทำให้เห็นเงาคนข้างในเป็นเพียงเงาดำ

"นั่งลงตรงนี้  ข้าจะนอนอ่านหนังสือสักหน่อย"  

         ศศิธรสุราลัยนั่งลงใกล้ผู้เป็นนาย นิ้วเรียวสวยนั้นจัดเสื้อที่ตนนุ่งห่มซึ่งในตอนนี้เหลือเพียงเสื้อตัวในสีขาวนวลเข้ากับสีผิวเท่านั้น   ศีรษะหนักปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำนอนลงบนตักของร่างโปร่งบาง  พลางเปิดหนังสือในมือออกอ่าน  แต่ในความจริงแล้วเขาไม่ได้อ่านมันเลยแม้แต่น้อย ดวงหน้าสวยหวานต้องแสงเทียนทำให้รู้สึกอยากสัมผัสแตะต้องเครื่องหน้านั้นเสียเหลือเกิน


"คืนนี้เจ้าจะออกไปชมจันทร์หรือ?"

"ขอรับ"

"ทำไมถึงชอบจันทร์เพ็ญนัก"

"ข้าเพียงเเค่รู้สึกว่าจันทร์เพ็ญงามดีเท่านั้นเองขอรับ"

"เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยไป ให้ข้าเข้านอนก่อน" ผู้รับคำสั่งเพียงแต่รับคำเบาๆ  รอเวลาให้นายท่านเข้าไปยังห้องด้านในเพื่อพักผ่อน ก่อนที่เขาจะออกมาจากเรือนนั้น  แล้วลัดเลาะไปตามเงาไม้  เดินไปจนถึงศาลาหลังน้อยริมผาที่เก่าโทรมจนไม่รู้ว่าเมื่อใดที่มันจะพังทลายลง  ณ ที่แห่งนั้นมีชายคนหนึ่งรออยู่แล้ว   ศศิธรสุราลัยยิ้มให้ชายผู้ซ่อนกายอยู่ในเงามืดที่แสงจันทร์มิอาจส่งถึงอย่างยินดี

"มาแล้วหรือ  ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาพบเสียแล้ว" เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นกล่าวขึ้นในเงามืดของศาลาหลังน้อย

         ศศิธรสุราลัยก้าวเท้าเข้าไปในศาลาหลังน้อยนั้นอย่างใจเย็น  รู้สึกถึงลมที่รำเพยพัดอย่างแผ่วเบา  มืออุ่นแข็งแรงเข้าสวมกอดจากด้านหลัง ทำให้สองร่างที่ความสูงต่างกันชัดเจนหากเหมาะสมแนบชิดกันในความมืดมิดนั้น  ศศิธรสุราลัยหันไปมองเจ้าของอ้อมแขนอบอุ่นนั้น  ดวงตาสีอำพันมีร่องรอยของความพอใจที่ได้พบคนๆนี้  ชายดวงหน้าคมสันคล้ายผู้เป็นนายของตน  หากมีความอ่อนละมุนอบอุ่นอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนั้นทำให้เขารู้สึกราวกับจะหลอมละลายไปกับความอบอุ่นที่อบอวนอยู่นั้น

"จันทร์เพ็ญคืนนี้ยังงาม" เสียงอ่อนหวานชมจันทร์เบื้องนอกศาลานั้น

"จันทร์สวรรค์คืนนี้ก็ยังงามเช่นกัน" เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นกล่าวกระซิบอยู่ที่ริมหู  ศศิธรสุราลัยดวงหน้าร้อนผ่าวขึ้นสีเรื่อ

"ท่านก็พูดไป  ท่านเกษตริน"

"ข้าพูดจากใจจริงต่างหาก" จมูกโด่งสวยเริ่มซุกซนระรานไปตามซอกคอขาวนวลๆหอมอ่อนจางนั้นอย่างย่ามใจ

"เดี๋ยวก่อน...!" มือบางรีบตะปบมือที่ซุกซนซึ่งผ่านเนื้อผ้าเข้าไปสัมผัสผิวกาย  ริมฝีปากอุ่นจัดจูบลงที่ต้นคอขาวแล้วหัวเราะ

"ห้ามข้าไม่ได้หรอก จันทร์สวรรค์ของข้า" เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นอีกหลังจากพูดจบ  หลังจากนั้นก็มีเพียงเสียงครวญเบาๆดังมาตามสายลมเป็นระยะ จนน้ำค้างหยดลงต้องผืนพสุธาจึงเงียบลง

"มีความสุขไหม?" เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นยังกระซิบที่ริมหู  ร่างสองร่างกึ่งนั่งกึ่งนอนพลางมองดวงจันทร์งามกระจ่างซึ่งบัดนี้ได้เคลื่อนคล้อยไปจากเดิมมากแล้ว

"ขอรับ  ตอนนี้ข้ารู้สึกเป็นสุขอย่างน่าประหลาด" ร่างบางในอ้อมแขนตอบพลางซบศีรษะลงกับอกแข็งแกร่งนั้น  มือแข็งแรงลูบผมดำขลับสวยนั้นอย่างเบามือ

"เจ้าจวนจะต้องกลับแล้วสินะ  มาสิ..ข้าจะรวบผมให้"มือใหญ่แข็งแรงนั้นจัดแจงรวบเส้นผมดำสวยนั้นอย่างเบามือและเรียบร้อยยิ่ง  ศศิธรแตะศีรษะตนเองอย่างพอใจ

"ท่านล่ะ?"

"ไม่ต้องหรอก  ข้าเห็นเจ้าชอบใจก็เป็นสุขมากแล้ว" รอยยิ้มระบายอยู่ที่มุมปากหยักสวยนั้นทำให้ศศิธรสุราลัยชื่นใจ  รอยยิ้มที่เปรียบดั่งสายฝนฉ่ำเย็นอันโปรยปรายลงบนผืนแผ่นดินอันแห้งผาก

"จันทร์คล้อยแล้ว  ข้าคง...ต้องไป" ดวงตาสีอำพันงามมองชายผู้เป็นเจ้าของหัวใจอย่างเศร้าสร้อย  เช่นเดียวกับเกษตรินที่มองร่างบอบบางนี้อย่างเสียดายสุดซึ้ง

"มาเถอะ"มืออบอุ่นนั้นทอดมาเบื้องหน้าให้มือนวลนั้นแตะเพียงปลายนิ้ว ก่อนจะกุมไว้อย่างสุภาพ

"ขอให้องค์มหาเทพทรงปกปักคุ้มครองท่านให้ผ่านพ้นเคราะห์กรรมใดๆที่แผ้วพานไปโดยปลอดภัย" ริมฝีปากอิ่มสวยเอื้อนเอ๋ย ขณะที่คนทั้งคู่เดินกุมมือกันมายังทางเดินหน้าศาลาหลังน้อยนั้น
"เจ้าเองก็เช่นกัน" ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสหน้าผากมนเบาๆ ราวกับจะตราตรึงห้วงวินาทีไว้ทุกลมหายใจ   มือบางบีบมือแข็งแรงนั้นเบาๆก่อนพละจาก  ศศิธรสุราลัยก้มคำนับให้อย่างงดงาม  ก่อนคนทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปคนละทาง ฝ่าความมืดและหนาวเหน็บของดวงใจกลับไปยังที่ของตน  มีเพียงพันธะสัญญาข้อเดียว  เราจะพบกันเมื่อคืนจันทร์เพ็ญ....


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
      
         ยามบ่ายคล้อยของวันหนึ่ง  อากาศภายนอกแจ่มใสราวกับมิได้รับรู้ถึงการนองเลือดในหุบเขา  ทหารมากมายพลีชีพ ณ ที่แห่งนั้น  ร่างโปร่งบางของศศิธรสุราลัยเดินตามนายท่านของเขาขึ้นมาบนเรือนยุทธการณ์  ดวงหน้าขาวใสนั้นแตะแต้มไปด้วยสีแดงของโลหิตมนุษย์เช่นเดียวกับคนอื่นๆ มือเรียวสวยแดงฉานไปด้วยโลหิตอันมิได้หลั่งมาจากเลือดเนื้อของตนเอง  หากมาจากผู้อื่น   นายท่านของเขากำลังโมโหโกรธา อันเป็นวิสัยปรกติหากไม่ได้ดั่งใจ  ที่ดวงหน้าคมสันน่าเกรงขามนั้นมีรอยเลือดกระเซ็นมาถูกเช่นกันทำให้ดวงหน้านั้นน่ากลัวขึ้นไปอีก เสื้อเกราะมีคราบเลือดแห้งกรังจนน่าสงสัยว่าต้องขัดเท่าไหร่คราบนั้นจึงจะหมดไป

"ทำไมบ่ายขนาดนี้แล้วมันยังไม่ถอยอีก"

"ฝ่ายเกษตรินเสียกำลังไปพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่ถอยกลับอีก มันน่าแปลก..."เสียงหารือกันในห้องยุทธการเงียบลงเมื่อเห็นว่าใครมาถึงหน้าห้อง นายท่านก้าวเข้าไปมองโต๊ะทรายที่ขณะนี้แผ่นไม้หลายสีขยับไปจาก
เดิมมาก

"ว่าต่อไปสิ"เสียงกระด้างแข็งของนายท่านสั่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ยุทธการอึกอัก

"ผ...แผนของเรามิได้มีข้อผิดพลาด  แต่กองทัพของเกษตรินยังไม่ล่าถอยทั้งที่สูญกำลังพลไปพอสมควรแล้ว  ถ้ายังปะทะดันทุรังต่อไป ฝ่ายที่จะเสียกันเสียก็มีแต่ฝ่ายนั้นเท่านั้น"

"แล้วทำไมไม่ลองคิดว่าเขามีแผนอื่นเช่นกัน"นายท่านถามเสียงห้าว เจ้าหน้าที่ยุทธการภายในห้องต่างรีบหมอบคำนับนิ่ง  ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็วิ่งมาตามระเบียงอย่างรีบร้อน

"รายงานพิเศษขอรับ  กองทัพเกษตรินตีขึ้นเนินเขาตะวันตกได้แล้วขอรับ" นายท่านขบกรามแน่นดวงตาวาวโรจน์  มือใหญ่แข็งแรงนั้นเลื่อนแผ่นไม้สีเหลืองเข้าไปในเขตพื้นที่ปะทะ   ก่อนจะแตะแผ่นไม้สีน้ำเงินสองแผ่นเคลื่อนขยับเข้าใกล้กลุ่มแผ่นไม้สีแดงที่ตำแหน่งของเนินเขาตะวันตก

"ส่งข่าวให้กองธงน้ำเงินที่3และ8 ขยับขึ้นไปตั้งรับถ่วงเวลาไว้  กองธงเหลืองจะเข้าปะทะภายใน2ชั่วโมง"

"แต่เพิ่งจะถอนกำลังออกมานะขอรับ!" เสียงเจ้าหน้าที่ยุทธการคนหนึ่งประท้วง

"เราจำเป็น  เราจะอ้อมขึ้นสันเขา ถึงช้าหน่อยแต่ได้เปรียบหลังจากนั้นค่อยโจมตีใส่พวกที่อยู่พื้นล่าง  ศศิธรสุราลัยไป!" นายท่านพูดจบก็หันหลังออกจากห้องยุทธการไปทันที


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
      

         ศศิธรสุราลัยยื่นผ้าชุบน้ำหมาดให้นายท่านซึ่งกำลังนั่งพักอยู่ในเต้นท์หนังสัตว์รอให้สับเปลี่ยนกำลังพลให้เรียบร้อย  มือใหญ่ของนายท่านรับผ้านั้นมาเช็ดคราบเลือดออกจากดวงหน้าคมสันหากเคร่งเครียดนั้นอย่างไม่ค่อยใส่ใจ  ก่อนจะจุ่มมือลงในอ่างน้ำทองเหลืองที่ผู้ติดตามอย่างศศิธรสุราลัยถือไว้  

"ขออนุญาตขอรับ"เสียงเรียบกล่าวก่อนจะหยิบผ้าหมาดๆนั้นเช็ดลงบนดวงหน้าของผู้เป็นนายอย่างเบามือ เพื่อล้างเอาคราบเลือดแห้งกรังที่เกาะอยู่ให้ออกไปจนหมดจด   ดวงตาคมกล้ามองดวงหน้าหวานหากเย็นชานั้น  ก่อนมือนวลบางนั้นจะถูกคว้าไว้  ดวงตาสีอำพันมองสบกับดวงตาสีนิลของนายท่านนิ่ง  ไม่มีอาการของความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

"ล้างมือก่อนเถอะขอรับ" เสียงเรียบนั้นกล่าวแล้วจุ่มมือลงในอ่างทองเหลือง ช่วยล้างคราบเลือดออกจากมือใหญ่แข็งแรงอย่างเบามือจนสะอาดแล้วจึงใช้ผ้าสะอาดซับ

"จันทร์เพ็ญคืนก่อนงามนักหรือ?"เสียงห้าวนั้นถามแผ่วเบาราวกับเสียงนั้นมิได้ออกมาจากปากหยักงามของนายท่านผู้เกรี้ยวกราด   ดวงตาสีอำพันช้อนขึ้นมองอย่างสงสัย

"เจ้าหายไป เกือบทั้งคืน"อ้อมแขนแข็งแกร่งโอบรอบเอวบางให้ขยับเข้าชิดใกล้

"ข้างนอกคงพลัดกำลังกันเรียบร้อยแล้วล่ะขอรับ"เสียงเรียบที่ฟังดูเย็นชากล่าว ทำให้นายท่านยอมปล่อยแต่โดยดี


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
      

         ในสนามรบศศิธรสุราลัยมองเห็นแต่สีแดงฉานของโลหิตที่สาดกระเซ็นซ่านไปทั่ว  รอบกายมีแต่ภาพของเหล่าทหารเลวบาดเจ็บหรือไม่ก็ตาย  เห็นเศษอวัยวะมนุษย์มากมายเต็มไปหมด   เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาอยู่ในสนามรบ  แต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้งสิ่งเหล่านั้นกลับเกิดขึ้นรอบกาย  หากไม่เข่นฆ่า  ชีวิตตนก็จะหาไม่เช่นกัน

      

         แต่เดิมศศิธรสุราลัยเป็นเด็กกำพร้ามิมีพ่อแม่  อาศัยอยู่ในอารามนางชีทางตอนเหนือตั้งแต่แรกเกิดได้สามวันจนถึงอายุได้แปดปี   ในกลางฤดูหนาวที่หนาวเหน็บที่สุดของปีนั้นศศิธรสุราลัยกำลังเดินทางกลับจากการเดินเล่นชมจันทร์เพ็ญแถบอารามนั้นเอง  เสียงควบม้าดังสั่นหวั่นไหวมาจากทิศทางหนึ่งในความมืด  ม้าที่ควบมาอย่างเร็วสามตัววิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็วปานเจ้าวายุ  ด้วยความมืดในจังหวะของเมฆที่เข้าบดบังจันทร์เพ็ญกระจ่างทำให้ชายบนหลั่งม้ามิอาจมองเห็นชายผู้ชราที่กำลังเดินข้ามฟากกลับมาจากธารน้ำเพื่อจะเข้าไปหลบลมหนาวในกระท่อมของตน  ม้าตัวหน้าสุดจึงผงาดยกขาหน้าขึ้นในอากาศด้วยความตกใจแล้วพยศเสียยกใหญ่  กระทืบเอาชายชราคนนั้นจนสิ้นชีวิต ศศิธรสุราลัยอยู่ในที่แห่งนั้นรีบวิ่งไปหาชายชราผู้หายใจรวยรินอยู่ที่พื้นอย่างตกใจ


      

         เขารีบเข้าประคองคนเจ็บเข้าไว้ในอ้อมแขน  ดวงตาสีอำพันมองบุคคลทั้งสามอย่างโกรธแค้น  ชายผู้มีอายุน้อยสุดในหลุ่มปลดผ้าคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นดวงหน้าแม้จะเยาว์วัยหากคมสัน  โดยเฉพาะดวงตาเป็นประกายเจิดจ้านั้นคล้ายจะเยาะเย้ย


"เจ้าชื่ออะไร?"

"ศศิ"เสียงเล็กกว่าตอบห้วน

"แล้วพวกเจ้าล่ะเป็นใคร  คิดว่าทำร้ายท่านลุงผู้นี้แล้วจะหนีหายไปดื้อๆหรือ"

"ข้าเป็นใครไม่สำคัญแต่ท่านลุงผู้นี้ขวางทางม้าข้า  ดังนั้นข้าไม่ผิด"ดวงตาสีอำพันเป็นประกายกร้าวอย่างมีโทสะ

"ท่านนั่นแหล่ะที่ผิด ท่านลุงผู้ชรามากแล้วจะทานน้ำหนักม้าของท่านได้อย่างไร  รีบไปแจ้งคนในบ้านท่านลุงผู้นี้เสีย" เด็กหนุ่มผู้มีดวงหน้าคมสันโคลงศีรษะอย่างหงุดหงิดก่อนจะยอมเดินไปทางกระท่อมเดี่ยวที่จุดไฟไว้สลัวๆ

"ข้าทำเพราะเห็นแก่ความกล้าเจ้านะ  แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่าอารามนางชีไปทางไหน"เด็กหนุ่มคนนั้นกล่าวหลังจากจัดการเรื่องชายชราผู้นั้นเรียบร้อย  ศศิธรสุราลัยโกรธเสียจนตัวสั่นเทิ้ม  ไม่เข้าใจว่าชายคนนี้มีหัวใจหรือไม่  ถึงได้จัดการเรื่องถึงเป็นถึงตายราวกับเป็นการซื้อผักหญ้าในตลาด...แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องไม่เช่นนั้นท่านแม่ชีในอารามจะลงโทษเขา

"ขึ้นเนินนั่นไป อยู่ทางซ้าย"เสียงเล็กตอบห้วนๆเช่นเคย  บุคคลทั้งสามจึงขึ้นม้าก่อนจะควบจากไป      

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


เคร้ง!!



         เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นต่อหน้า ใบดาบนั้นกระทบกันห่างจากใบหน้าของศศิธรสุราลัยไปเพียงคืบเดียว   เขากระพริบตาถี่ๆขับไล่ความงวยงงเรียกสติกลับมา  นายท่านรั้งบังเหียนม้าให้ม้าวกกลับมาแล้วแทงทวนลงที่ร่างของทหารเลวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของทหารคนนั้นดังกล่าวก้องอยู่ในโสต  เลือดอุ่นๆกระเซ็นถูกตัว ศศิธรสุราลัยกลืนน้ำลายหนืดลงคอตน พลางเตือนสติตัวเอง

"ในที่รบเหม่อได้หรือ"เสียงกร้าวของนายท่านตักเตือนก่อนจะกระตุ้นม้าลึกเข้าไปในพื้นที่อันตราย ศศิธรสุราลัยทำได้เพียงตามเข้าไป

      


         ทหารฝ่ายเกษตรินเริ่มล้าถอยเนื่องจากความเหนื่อยล้าหิวกระหายมิอาจทานแรงกับกองทัพที่มีเรี่ยวแรงสมบูรณ์พร้อมได้  ในที่สุดจึงต้องเป็นฝ่ายถอยลงมาที่ตีนเนินตะวันตก  นายท่านสั่งตรึงกำลัง ไว้ในเขตพื้นที่ดังกล่าวก่อนจะถอนกำลังออกในตอนพลบค่ำ   ศศิธรสุราลัยตามนายท่านเข้าประชุมในห้องยุทธการจะถึงสองยาม  ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าทำให้แทบมิอาจลืมตาขึ้นได้แต่เขายังต้องปฎิบัติหน้าที่ คอยดูแลนายท่านเตรียมน้ำอาบ ผลัดเสื้อ เตรียมที่นอน สารพัดจนในที่สุดก็เสร็จสิ้นตอนเกือบยามสาม

"เจ้าอยู่ก่อนศศิธรสุราลัย"ดวงตาสีอำพันฉายประกายเหนื่อยอ่อน อยากกลับเข้าห้องพักนอนเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป..แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งได้

"คืนนี้เจ้านอนที่นี่"ดวงตาคมกล้ามองร่างบางที่กำลังรินน้ำมันหอมใส่จอกดินเผาขนาดเล็ก  ช่วงที่ก้มกายลงวางจอกนั้นสร้อยเส้นหนึ่งซึ่งคล้องแหวนเงินราคาถูกไว้ก็โผล่ออกมา  มือใหญ่แข็งแรงนั้นคว้ามันเข้าไว้ในกำมือ

"ปล่อยเถิดขอรับ"เสียงราบเรียบที่ได้ฟังกี่ครั้งก็รู้สึกว่าเย็นชาเหลือเกินกล่าวเรียบๆ ด้วยเสียงแผ่วเบา

"ทำไม?  ของนี่มีค่ากับเจ้ามากงั้นสิ"ดวงตาสีดำสนิทแฝงแววแห่งความเหยียดหยาม มองสบกับดวงตาสีอำพันอันว่างเปล่าราวห้วงอากาศธาตุนั้น

"แหวนวงนี้เป็นเพียงแหวนเงินราคาถูกๆเท่านั้น  มิควรค่าให้ท่านแตะต้องหรอกขอรับ"

"เจ้าตอบไม่ตรงคำถาม"

"แหวนนี่ แม่ชีที่อารามคล้องคอให้ข้าเมื่อยังเล็ก  ท่านว่าเป็นของต้องสาปผู้ที่สวมมันจะโชคร้าย"

"งั้นเจ้าก็โชคร้ายงั้นสิ"มือใหญ่แข็งแรงข้างที่ว่างเว้นจากแหวนเงินวงนั้นหยิบบางอย่างออกมาจากใต้หมอน  ความเงาของโลหะทำให้ศศิธรสุราลัยชะงัก

"ไม่หรอกขอรับ ข้าไม่เชื่อเรื่องแบบนั้นแต่ถึงจะเชื่อข้าก็คงไม่โชคร้าย เพราะมิได้สวมมัน"

"ดี!" ปลายแหลมของมีดเงินอันสลักเสลาไว้งดงามตัดสายสร้อยจนขาดลงสิ้น  นิ้วใหญ่นั้นสำรวจแหวนอยู่ครู่หนึ่งก็จับมันแยกออกเป็นสองวง

"ข้าจะเก็บไว้วงหนึ่ง เจ้าจะว่าอย่างไร?"

"ท่านคือประกาศิต ข้าเป็นเพียงข้าทาส  ท่านเห็นดีเช่นไรก็เอาเถิด"ศศิธรสุราลัยหมอบคำนับลงกับพื้น  เสียงโลหะตกกระทบพื้นไม้ ดวงตาสีอำพันลอบมองแหวนอีกวงที่เพิ่งถูกโยนลงพื้น ซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้กับอก

"รู้เช่นนั้นก็ดีแล้ว  ข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า  เป็นเจ้าของกายเจ้า"มือใหญ่แข็งแรงนั้นกระชากแขนของคนที่หมอบคำนับอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น  แล้วประทับริมฝีปากลงไปตามร่างกายอ่อนบางอย่างถือสิทธิ์  


ท่านเป็นเจ้าชีวิตของข้า ถูกแล้วที่กายของข้าย่อมเป็นของท่าน...แต่หัวใจนั้น  ข้าได้มอบมันให้ใครอีกคนหนึ่งไปเสียแล้ว  มันจะเป็นสิ่งเดียวที่ท่านมิอาจไขว่คว้า...ต่อให้แลกด้วยวิญญาณ



๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


         
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างจ้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง  ดวงตาสีอำพันมองจันทร์เพ็ญนั้นอย่างดื่มด่ำอยู่ในอ้อมกอดของคนๆหนึ่ง   ดวงตาสีน้ำตาลมองร่างบางในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ปนเอื้อเอ็นดู  เขาอดไม่ได้ที่จักลอบสูดกลิ่นหอมจางจากแก้มเนียนนั้น   ในอ้อมแขนนี้เขาได้โอบประคองจันทร์สวรรค์ของเขาไว้แนบอก  เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกินกว่าจะได้เวียนมาบรรจบ  นาน...เสียจนเกรงว่ากาลเวลาจะฉุดคร่าความหอมหวานของมันไปสิ้น

"ท่านเกษตริน...ข้ากลัว"เสียงอ่อนหวานอย่างที่น้อยคนนักจะได้ยินกล่าวพลางจับมือแข็งแรงของเจ้าของอ้อม
แขนแล้วไล้ปลายนิ้วลงไปอย่างแผ่วเบา

"ข้ากลัวว่า...จันทร์เพ็ญคราหน้าเราจะมิได้เวียนมาบรรจบ" ริมฝีปากอุ่นจุมพิตแผ่วเบาที่ขมับของศศิธรสุราลัย

"อย่ากลัวไปเลย  ณ ที่แห่งนี้จะยังมั่งคงด้วยสัญญาแห่งจันทร์เพ็ญ  ต่อให้ข้าแตกสลายเป็นวิญญาณ  ข้าจะมารอเจ้าอยู่ที่นี่"

"อย่าพูดเช่นนั้น  ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นท่านจากไป  แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเราต่างเป็นสิ่งที่สุดท้ายมิอาจเคียงคู่"เสียงถอนใจหนักจากผู้ที่แนบชิดทำให้ศศิธรสุราลัยก้มหน้าลงมองหุบเหวเบื้องล่างอันเต็มไปด้วยหิน และสูงชัน  หากก้าวพลาดเพียงนิด  ชีวิตก็จะหาไม่

"ความรักเพียงสิ่งเดียว มิอาจทำให้เคียงคู่กันได้  ข้าเข้าใจดี  แต่เรายังยึดมั่นในรักที่เราต่างหยิบยื่นให้แก่กันได้มิใช่หรือ?"

"ข้ามั่นคงในความรักเสมอ  และรอคอยเพียงท่านแต่เพียงผู้เดียว"เสียงอ่อนหวานหากหนักแน่นทำให้เกษตรินรู้สึกวางใจ

"จันทร์สวรรค์ของข้า  ข้าขอเจ้าสักอย่างได้ไหม?" เกษตรินถามด้วยเสียงไม่ดังไปกว่ากระซิบ  เขารู้ว่าร่างบอบบางในอ้อมแขนนี้เป็นคนของฝ่ายไหน  คำขอของเขาอาจทำเพื่อชัยชำนะในการศึกด้วยการให้คนในอ้อมแขนไปสังหารคนสำคัญ  เพียงเท่านั้นทุกอย่างจะยุติ  ทหารนับหมื่นนับเเสนจะถูกส่งกลับมาตุภูมิ และความสงบจะกลับมาอีกครั้ง

"ได้ขอรับ  ข้าจะทำให้ทุกอย่าง....."เสียงหวานหยุดไปอึดใจหนึ่ง

"หากสิ่งนั้นมิใช่สิ่งขัดต่อมโนสำนึกของข้า" เกษตรินเงียบไป  เขาคาดไว้ไม่ผิดเลยศศิธรสุราลัยแบ่งหน้าที่และความรักได้อย่างชัดเจน  หากเขาขอในสิ่งที่ให้ไม่ได้ ไม่แน่มืออ่อนบางคู่นี้อาจจะเป็นฝ่ายปลิดชีพเขาก็เป็นได้


...แต่สิ่งที่เขาจะขอ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้าที่  มันเกี่ยวกับหัวใจของเขาโดยแท้...


"ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ใดที่ทำร้ายจิตใจเจ้าเสียมากมาย  ข้าขอเพียงสิ่งเดียว  ขอเจ้าอย่าได้คิดสั้น  ข้ายังอยากให้เจ้าอยู่บนโลกแห่งนี้ตราบสิ้นอายุขัย แม้จะไม่มีข้าอยู่เคียงใกล้" ร่างในอ้อมแขนพลิกกายกลับมาสบตาคู่สีน้ำตาลนิ่ง

"ทำไมถึงพูดเช่นนั้น?" เสียงหัวเราะแห้งๆจากฝ่ายถูกคาดคั้นไม่อาจแก้ให้ความขุ่นมัวจางหายไป

"เราต่างอยู่ท่ามกลางสงคราม ตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้  ชีวิตไม่แน่นอนหรอกจันทร์สวรรค์ของข้า ข้าแค่อยากบอกเจ้าไว้เท่านั้น แล้วเจ้าจะรับปากหรือไม่เล่า?"ดวงตาสีอำพันสบมองอยู่นาน ริมฝีปากบางจึงเอ่ย

"ข้า..สัญญา" ริมฝีปากอุ่นจัดแตะแต้มด้วยรอยยิ้มทาบลงบนริมฝีปากอ่อนบางอย่างอ่อนหวาน ราวกับตราตรึงลงในวิญญาณ

"ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากจะมอบให้ท่าน"เสียงอ่อนหวานกล่าวขณะที่หน้าผากของคนทั้งสองสัมผัสกัน  ดวงหน้าของคนทั้งคู่หากกันเพียงไม่ถึงคืบจนรู้สึกได้ถึงความอุ่นในลมหายใจของอีกฝ่าย

"อะไรล่ะ?"  มือน้อยแบออก แหวนเงินที่เคยประสานกับอีกวงเป็นวงเดียวบัดนี้โดดเดี่ยวอยู่ในมือคู่นั้น

"ท่านอย่าสวมมันจะดีกว่า  แต่นิ้วท่านก็ใหญ่เกินจะสวมได้อยู่ดี"เสียงหัวเราะคิกคักทำให้เกษตรินเม้มปากแกล้งทำเป็นโมโหแล้วแย่งแหวนเงินทำท่าจะสวม

"อย่านะ!"เสียงห้ามอย่างตกใจทำให้เกษตรินหยุดแกล้ง

"มีอะไรหรือ?"เสียงนุ่มนวลถามอย่างปลอบขวัญ

"แหวนวงนี้เล่ากันว่าเป็นแหวนต้องสาป ผู้ที่สวมมันจักโชคร้ายตลอดไป"

"อ้าว แล้วทำไมให้ข้า"

"ข้าแค่อยากให้ท่านเก็บไว้ แล้วระลึกถึงข้าทุกครั้งที่เห็นมัน  มาเถอะข้าจะทำสายคล้องให้"



      
         ศศิธรสุราลัยเหลียวหาบางอย่างที่พอจะทำเป็นสายคล้องคอได้  แต่ก็ไม่มีสิ่งให้ที่จะยาวพอดี  จึงหยิบมีดสั้นที่พกติดกายตัดผมปอยหนึ่งออกมา  เกษตรินร้องห้ามเสียงหลงแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว  ความคมของมีดสั้นตัดเส้นผมยาวเป็นมันสวยขาดสะบั้น  แต่เจ้าของดูจะไม่ได้สนใจกับสิ่งที่กระทำเลยแม้แต่น้อย  แต่กลับเอาใจใส่กับการมัดมันอย่างตั้งใจด้วยเศษด้ายจากเสื้อของตน

"ท่านจับด้านนี้ไว้"เกษตรินได้แต่ทำตามอย่างงวยงง  มือขาวนวลค่อยแบ่งปอยผมนั้นเป็นสามส่วนแล้วถักเป็นเปียขนาดเล็กไปจนสุด แล้วคล้องแหวนเข้าไป

"คล้องให้ข้าสิ"เกษตรินบอกทันทีที่ทำเสร็จ

"ไม่ได้หรอกขอรับ  ข้ามิบังอาจ ท่านคล้องเองเถอะ"

"น่านะ เจ้าคล้องแหล่ะ  เจ้าเป็นคนให้ก็ต้องเป็นคนคล้องให้ด้วย"ศศิธรสุราลัยต้องยอมทำตามนั้นเพราะไม่อาจทนต่อสายตาออดอ้อนนั้นได้

"ต่อไปข้าคงไม่ต้องนอนสะดุ้งเพราะฝันเห็นจันทร์สวรรค์ของข้าตกเป็นของคนอื่น"ดวงตาสีอำพันสลดวูบลงเมื่อได้ฟัง  แต่ก็กลบเกลื่อนไว้ได้สนิทก่อนที่เกษตรินจะจับความรู้สึกได้

"ข้าคงต้องกลับแล้ว"น้ำเสียงทอดหวานหากฟังระห้อยหานั้นทำให้เกษตรินรู้สึกแบบที่เป็นทุกครั้ง..คือเสียใจ  ที่มิอาจรั้งศศิธรสุราลัยให้อยู่กับเขาไปได้ตลอดกาล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยออกปากขอให้จันทร์สวรรค์มาอยู่กับเขา  เคยแม้แต่จะวางแผนพาหนี  แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาทุกครั้งคือความซื่อสัตย์ของศศิธรสุราลัย

'นายท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อข้า จะให้ข้าทิ้งท่านไปเสียเฉยๆ ข้าก็เกรงจะเนรคุณ'

'แต่คนผู้นั้นข่มเหงเจ้า เจ้าเองก็รู้ดียังจะนับมันเป็นนายอีกหรือ'

'นายท่านมีสิทธิ์จะสั่งให้ข้าทำอะไรก็ได้ ที่ข้าเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ก็เพราะนายท่าน'

'แต่..'

'ท่านเกษตริน  ท่านจะรออีกสักหน่อยมิได้หรือ  รอจนกว่าทุกอย่างจะสงบ  รอเวลา..จนกว่าฟ้าจะประทานพรให้แก่เรา ให้เราได้อยู่เคียงกันตลอดไป'

      
         ในวินาทีนั้นเกษตรินมิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้  แม้จะมีคำพูดมากมายอัดอั้นในอก  สุดท้ายการรอคอยยังคงดำเนินมาเรื่อยจนสองปีล่วงผ่าน  และการรอคอยนั้นยังคงดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า ราวกับจงใจกลั่นแกล้งกันทั้งอย่างนั้น       เกษตรินมองร่างโปร่งบางที่เดินหายไปในเงาไม้อยากสะเทือนใจ  อะไรหนอ..ที่พัดพาให้คนสองคนมาพบพาน  อะไรหนอที่ลิขิตให้คนสองคนชาตินี้มิอาจเคียงคู่.....รักของเราแม้หวานหากขมปร่าไปด้วยความเจ็บปวด  และมืดมนเงียบเหงาไปด้วยความอับสิ้นในโชคชะตา...

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

"ศศิธรสุราลัยเข้ามา"เสียงห้าวของนายท่านเรียกจากห้องด้านใน ทำให้ศศิธรสุราลัยมิอาจเลี่ยงได้ 

         ภายในห้องนั้นนายท่านกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนที่นอนหนานุ่ม รอบกายท่านมีแผนที่มากมายวางไว้ระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ  ข้างหัวนอนมีกาเหล้าสีขาวสะอาดตาเขียนลายนกกระยางงดงาม  จังหวะที่นายท่านยกจอกขึ้นจิบสุรานั้น สายสร้อยยาวที่ถูกพันไว้หลายทบสำหรับคล้องแหวนเงินราคาถูกๆนั้นก็โผล่ออกมาจากชายเสื้อ ศศิธรสุราลัยหมอบคำนับนิ่งอยู่กับพื้น ดวงตาสีอำพันลอบมองมือนั้นไม่วางตา

"เงยหน้าขึ้น แล้วรินเหล้า"นายท่านสั่งห้วนๆเช่นเคย พลางมองแผนที่ตรงหน้าไม่เหลือบแลมาทางเขาแม้แต่น้อย

"หมู่นี้ฝ่ายเกษตรินฮึกเหิมนักเจ้าว่าไหม?"เสียงเปรยมิอาจทำให้ศศิธรสุราลัยรินเหล้าให้นั้นเอ่ยสิ่งใดออกมา
ได้

"เริ่มจากตีเนินตะวันตก ถึงจะไม่สำเร็จแต่สามวันต่อมาก็ตีได้สำเร็จ  ต่อมายึดแนวพื้นที่ราบด้านหน้าไปได้ส่วนหนึ่ง   แล้วเจ็ดวันต่อมาเข้าโจมตีคลังแสงน่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ"ศศิธรสุราลัยแอบสะดุดใจกับคำพูดของนายท่าน

"เจ้าล่ะคิดอย่างไร?"

"ข้า...คิดว่าการที่กองทัพเข้มแข็งขึ้นอาจมีปัจจัยจากหลายอย่าง  อาจมีการสับเปลี่ยนกำลังพล  หรือการส่งเสบียงใหม่ทำให้ทหารมีกำลังใจ..."

"แล้วเจ้าไม่คิดหรือว่าจะมีหนอนบ่อนไส้กับฝ่ายเรา"มือบางชะงักงันพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง


"ไม่คิดหรือว่าหนอนบ่อนไส้ตัวนั้นจะอาศัยความงามไปแจ้งข่าวในคืนจันทร์เพ็ญ"ศศิธรสุราลัยตกใจปล่อยกาเหล้าหล่นแตกกับพื้น รีบหมอบคำนับอย่างรวดเร็ว ราวกับลืมไปแล้วว่ามีเศษอันแหลมคมอยู่ที่พื้น

"มิบังอาจขอรับนายท่าน  ข้ามิบังอาจ"

"เจ้าอย่าได้คิดไปว่าสิ่งที่เจ้าทำมิมีใครรู้เห็น   ทหาร!!!" เสียงจากหลังม่านทำให้ศศิธรสุราลัยรู้ในทันที

"ลากเจ้าหนอนบ่อนไส้ตัวนี้ออกไป ขังในคุกมืดสั่งผู้คุมว่าให้สอบสวนไม่ต้องละเว้น"

"นายท่าน!  นายท่าน!  ข้ามิบังอาจ  ข้ามิบังอาจ!!!"ศศิธรสุราลัยตะเกียกตะกายไขว่คว้าเมื่อทหารหลายนายรุมกันลากร่างบอบบางนี้ออกไป   นายท่านมองร่างบางนั้นอย่างสังเวช  เมื่อทุกคนออกไปแล้วมือแข็งแรงนั้นก็ยกจอกเหล้าขึ้นจิบ  ดวงตาสีนิลที่คมกล้าฉายประกายบางอย่างที่ไม่มีใครเข้าใจ



๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

(ยังมีต่อ เเต่ไว้ก่อนนะคะ)
/meเอาโป้งเเปะคนอ่าน

detective Q

  • บุคคลทั่วไป
สนุกดี
ไหนว่าเรื่องสั้นอะ
ยาวจัง

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
:m23: เมศก็สงสัยเหมือนกันค่ะว่า เรื่องสั้นประสาอะไรทำไมยาวนัก ที่ปรึกษา(เหยื่อผู้โชคร้าย)บอกว่า เรื่องสั้น ต้องบีบเอาเเต่เนื้อๆ  เเต่ไหง๋ เขียนไปเขียนมาเหมือนเรื่องยาว55+

เอาน่า....เรื่อง(พยายามจะ)สั้น เป็นครั้งเเรกที่เขียนเรื่องสั้น  อ่านเอาขำๆนะคะ  มีอะไรเเนะนำได้นะคะ 

เอาล่ะ เเปะต่อดีกว่า



*****************************************************************************************************************




"ลากตัวมันเข้ามา"เสียงห้าวออกคำสั่งให้ลากร่างของศศิธรสุราลัยเข้ามา  ร่างโปร่งบางที่บางอยู่แล้ว  บัดนี้ผ่ายผอมลงจนน่าใจหาย  ดวงหน้างามซูบลงจนเห็นโหนกแก้มชัด  เสื้อที่สวมมีรอยเลือดจากการถูกเฆี่ยนมากมายจนแทบจะยอมเสื้อสีขาวนั้นเป็นสีน้ำตาลแดงไปเสียทั้งตัว

         ศศิธรสุราลัยก้มลงหมอบคำนับอย่างงดงามเช่นทุกครั้ง แม้บาดแผลทั่วร่างกายจะร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดมากมาย  แม้ร่างกายแทบแหลกสลายแต่ดวงตาสีอำพันนั้นยังทอประกายเช่นเดิม  คือความว่างเปล่า....ราวกับดวงตานั้นมิได้ถูกสร้างมาให้ทอดมองชายผู้อยู่เบื้องหน้านี่เลย   นายท่านกำหมัดแน่น มองร่างบางที่แทบสลายหายไปกับพื้นเบื้องหน้า  ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาฟังรายงานจากผู้คุมเกี่ยวกับร่างบอบบางนี้ทุกวัน  ศศิธรสุราลัยรับการสอบสวนทุกอย่างเช่นนักโทษอุจฉกรรณ์ได้รับ โดยไม่มีการขัดขืน คำถามที่ถูกถามได้คำตอบเพียงความเงียบกับเสียงครางอย่างเจ็บปวดที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอเพียงแผ่วเบาเท่านั้น  อาหารที่ถูกส่งเข้าไปไม่ได้รับการแตะต้องมีเพียงน้ำดื่มเท่านั้นที่ถูกบังคับให้ดื่มเข้าไปซึ่งกว่าจะสำเร็จก็นานหนักหนา

"สองอาทิตย์ของเจ้าเป็นความทรงจำที่ดีใช่ไหม?"ความเงียบยังคงเป็นคำตอบทั้งหมดอยู่ดี

"ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่า เจ้าบอกอะไรกับเกษตริน"ร่างโปร่งบางยังคมเงียบงันไม่มีคำตอบ  นายท่านค่อยผ่อนลมหายใจออกเบาๆ  หวังอยากให้ริมฝีปากงามที่บัดนี้แห้งแตกเป็นสะเก็ดออกปากอะไรก็ได้ออกมาสักคำ  อะไรก็ได้...แม้แต่ก่นด่าเขา....มิใช่เงียบงันราวไร้ชีวิตเช่นนี้

"ไม่ตอบอย่างนั้นหรือ ผู้คุม เฆี่ยน!"เสียงไม้กระทบเนื้ออย่างหนักจนร่างบางไม่อาจหยัดกายขึ้นได้ด้วยเพราะอ่อนระโหยโรยแรง

"พอ เงยหน้าขึ้น  เจ้าจะพูดได้หรือยัง" ผู้คุมจับร่างบางที่ปวกเปียกเหมือนตุ๊กตาผ้าขึ้นนั่ง จิกดึงเส้นผมดำสนิทนั้นให้ดวงหน้าเงยขึ้น  ดวงตาสีอำพันยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม และแน่นอนว่าไม่มีเสียงดังเปล่งออกมาจากลำคอนั้น  นายท่านลุกขึ้นจากที่นั่ง ตรงเข้าไปหาร่างโปร่งบางที่หายใจรวยรินแล้วจิกทึ้งเส้นผมให้สบตา น้ำเสียงเหี้ยมออกจาปากหยักสวยเบาแทบเป็นกระซิบ

"ที่เจ้าปิดปากเงียบมาถึงเพียงนี้ เพราะเจ้ารักมันมากนักใช่ไหม  ช่างบังอาจนัก!"

"นายท่าน  ข้ามิบังอาจ"เสียงแหบพร่าดังเพียงกระซิบออกมาจากริมฝีปากนั้น   ดวงตาสีดำสนิทมองจ้องลึกลงไปในดวงตาสีอำพันนั้น

"ถ้าเช่นนั้นก็พูดเสียสิว่าเจ้าบอกอะไรกับมันบ้าง"

"นายท่านเป็นนายแห่งข้า  ข้ามิบังอาจเนรคุณ"

"นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้ามิได้ทรยศอย่างนั้นหรือ?" นายท่านถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจดี

"สุดแท้แต่นายท่านจะพิจารณา   ข้ามีเพียงคำพูดเดียว..."เสียงแหบพร่านั้นหายไปเปลี่ยนเป็นการไออย่างรุนแรงก่อนจะหายใจอย่างเหนื่อยหอบ

"ความรักมิอาจห้าม" ดวงตาสีดำสนิทเกรี้ยวกราด  มือใหญ่ผลักไสศรีษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีดำสนิทยาวระพื้นโดยแรงจนร่างนั้นล้มลงนอนตะแคง

"ดี!  พวกเจ้าออกไปให้หมด"สิ้นเสียงสั่ง  ทุกคนทยอยเดินออกจากห้องเหลือเพียงนายท่านและศศิธรสุราลัยซึ่งพยายามลุกขึ้นนั่งจนสำเร็จ

"อีกสามคืนจะถึงวันเพ็ญ  ข้าจะให้โอกาสเจ้าแสดงความซื้อสัตย์ออกไปชมจันทร์เป็นครั้งสุดท้าย"  มีดสั้นประจำกายของศศิธรสุราลัยที่ถูกปลดออกจากตัวเมื่อครั้งที่ถูกลากเข้าไปขังไว้ถูกนายท่านยื่นออกมาให้

"รับไปเสีย  จันทร์เพ็ญคราหน้าต้องตัดหัวเกษตรินมาให้ข้า"ดวงตาสีอำพันเบิกโพลงอย่างตกใจ

"ข....ข้า มิอาจทำได้  นายท่านได้โปรด  ฆ่าข้าเสียเถอะ"น้ำตาค่อยๆไหลลงอาบแก้มอย่างช้าๆ   ตลอดหลายปีที่ศศิธรสุราลัยติดตามเขามาไม่เคยได้เห็นแม้แต่รอยยิ้มอ่อนหวาน  แต่บัดนี้ดวงหน้าสวยที่ทรุดโทรมเต็มทีกำลังหลั่งน้ำตา ดวงตาสีอำพันงดงามกำลังทอประกายของความเจ็บปวดทรมานที่กรีดก้องอยู่ในอก....แต่ไม่ใช่เพื่อเขา

"นายท่าน  ฆ่าข้าเถอะ  ฆ่าข้าเสียให้จบๆกันไป  ถือเสียว่านี่เป็นคำขอร้องเดียวในชีวิตข้า ฆ่าข้าซะ"

"เลิกร่ำไห้น่าสังเวชเสียที  คำสั่งข้าคือประกาศิต เจ้าต้องทำ!"

"นายท่าน  นายท่าน ข้าทำไม่ได้  ได้โปรดฆ่าข้าเสีย"มือบางไขว่คว้าตะเกียกตะกายเช่นครานั้น คว้าเอาฝักของมีดสั้นในมือนายท่านออกแล้วจ่อคมมีดเข้าที่คอตัวเอง

"เจ้าปรารถนาความตายเช่นนั้นหรือ?"ดวงตาสีอำพันแน่วแน่มองนายท่านนิ่งแม้น้ำตายังคงไหลอาบดวงหน้า

"หึ   สิ่งที่เจ้าปรารถนาข้าจักช่วงชิงมันมาให้สิ้น"นายท่านกล่าวแล้วกระชากมือกลับเก็บมีดสั้นใส่ฝักดังเดิมแล้วยัดเยียดให้ศศิธรสุราลัยที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ ณ ที่แห่งนั้น


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



         ศศิธรสุราลัยนั่งอยู่ริมหน้าต่าง  เฝ้ามองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ากว้าง  ดวงจันทร์ทอแสงเป็นสีเงินงามตระการบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่ใกล้คืนวันเพ็ญเข้าไปทุกที  น้ำตาใสวิ่งลงจากหางตาคู่สวยมาตามโครงหน้าก่อนจะหยาดหยดลงบนหลังมือซึ่งกุมมีดสั้นนั้นไว้ในมือ   ศศิธรสุราลัยสูดลมหายใจเข้าลึกๆชักมีดสั้นนั้นออกจากฝักแล้วยกมันขึ้นพิศมองราวกับมิเคยพบเห็นมาก่อน  ใบมีดจากโลหะชั้นดีตีจนบางเฉียบแล้วลับคมจนสามารถตัดทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย  ศศิธรสุราลัยทาบใบมืดลงที่ข้อมือตัวเอง  พลางนึกไปว่าในวินาทีที่คมมีดกรีดเฉือนเข้าไปในเลือดในเนื้อจักเจ็บหรือไม่หนอ?.......


         ข้อมือขาวบางหงายขึ้นรอให้ใบมีดคมกล้านั้นฝังเข้าไปในเลือดเนื้อนั้น  เสียงลมหายใจที่ขัดทำให้รู้สึกตัวว่าร่ำไห้มามากเสียจนน้ำตาแทบจะไม่มีให้รินไหลอีกต่อไปแล้ว  ภาพที่เห็นเบื้องหน้าพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง  ก่อนหยดน้ำจะหยดลงถูกแขนอีกข้างที่หงายรอไว้  คำพูดในของใครคนหนึ่งกลับเข้ามาในห้วงคิดอีกครั้งราวกับหลอกหลอน

'ไม่ว่าจะเจอเหตุการณ์ใดที่ทำร้ายจิตใจเจ้าเสียมากมาย  ข้าขอเพียงสิ่งเดียว  ขอเจ้าอย่าได้คิดสั้น  ข้ายังอยากให้เจ้าอยู่บนโลกแห่งนี้ตราบสิ้นอายุขัย แม้จะไม่มีข้าอยู่เคียงใกล้'

"จะให้ข้าทำอย่างไรท่านเกษตริน  นายท่านบังคับข้าให้สังหารท่าน  ข้า...จะลงมือสังหารหัวใจตนได้อย่าง
ไร...แต่มันคือหน้าที่  หน้าที่ต่อผู้มีพระคุณของข้า  ท่านบอกข้าหน่อยได้ไหม  บอกข้าว่าควรทำฉันใด...."เสียงพร่านั้นกล่าวเพียงกระซิบอยู่ที่ริมฝีปาก  ได้เพียงเเต่หวังว่าสายลมจะพัดพาคำถามจากหัวใจที่ปวดร้าวไปถึงใครอีกคน    ก่อนความมืดอันหนาวเหน็บจะหอบพัดเอาสติที่เบาบางนั้นหายไปพร้อมกับสายลม


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

         เงาร่างโปร่งบางของใครคนหนึ่งที่แสนคิดถึงเดินฝ่าเงามืดของแมกไม้ออกมา  ดวงตาสีอำพันงามที่ดูร่าเริงแต่แฝงแววเศร้าอย่างปิดมิมิด  เกษตรินยื่นมือออกไปรับร่างบางเข้าไว้กับอก  เมื่อสัมผัสก็รับรู้ได้ทันทีว่า  ร่างนี้ผ่ายผอมลงไปจนน่ากลัว  นิ้วมือเรียวสวยแตะหน้าคมสันของเกษตรินอย่างแผ่วเบา  ดวงหน้าซูบซีดยิ้มให้อ่อนจาง  เกษตรินสำรวจร่างเล็กในอ้อมกอดอย่างใจหาย  อะไรที่ทำให้จันทร์สวรรค์ทรมานถึงเพียงนี้

"ศศิธร...."นิ้วมือเรียวรีบแตะลงที่ริมฝีปากหยักสวยมิให้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก

"ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน"ริมฝีปากบางกล่าวคำหวานเบาๆ แล้วสวมกอดบุคคลอันเป็นที่รักเอาไว้แน่น

"ข้าขอโทษที่จันทร์เพ็ญคราก่อนข้ามิอาจมาได้"

"เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?  เหตุใดจึงผ่ายผอมลงจนน่าใจหายเช่นนี้" นานกว่าจันทร์สวรรค์จะตอบกลับ

"ข้าป่วยเท่านั้นเอง...แต่ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว"ดวงตาสีอำพันงามเสมองไม่สบกันดวงตาสีน้ำตาลของเกษตริน

"เจ้าแน่ใจหรือ?"ศรีษะเล็กๆของคนในอ้อมแขนพยักหน้ารับ

"ท่านเกษตรินข้ารักท่านนะ   รักมากจนไม่อาจเอ่ยรำพันถึงมันได้หมด"ริมฝีปากอุ่นจุมพิตริมฝีปากบางที่พึมพำรำพันรัก  แล้วเลื่อนไปจุมพิตซอกซอนที่ต้นคอขาว

"ข้ารู้...ข้ารู้  เพราะตัวข้าเองก็เช่นกัน" 

"ข้าก็รู้ว่าท่านรักข้า....แต่อีกไม่นานเราก็ต้องแยกห่าง  ห่างกันไกล เกินกว่าจะเอื้อมมือถึงกัน"

"เจ้าจะไปไหน?"เสียงกระซิบข้างหูที่เบาหวิวทำให้ใจของศศิธรสุราลัยวิบโหวง

"นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน   ต่อไป  ข้าจะต้องไปไกลเกินกว่าใครจะไขว่คว้า ไกลเกินกว่าใครจะคาดเดา"ร่างบางจูบตอบเขาอย่างร้อนเร่า

"แต่ขอให้ท่านระลึกไว้เสมอ  ว่าหัวใจของจันทร์สวรรค์จะไปกับท่านทุกที่ ต่อให้เป็นวิญญาณ"ร่างของศศิธรสุราลัยถูกทาบทับอยู่ใต้ร่างหนาราวกำแพงของเกษตริน เขากำลังงวยงงกับรสรักที่ร่างบางนี้มอบให้  มือบางข้างหนึ่งจับที่สร้อยอันคล้องแหวนเงินที่เคยมอบให้เอาไว้ในมือ  ขณะที่เจ้าของมันในปัจจุบันกำลังดื่มด่ำกับร่างขาวนวลที่ต้องแสงจันทร์อย่างหลงไหล

"จันทร์สวรรค์ของข้า  ข้าขอนะ..."ศศิธรสุราลัยแย้มริมฝีปาก

"ตามแต่ใจท่านเถอะ ข้าคงมอบให้ท่านได้เพียงเท่านั้น" ดวงตาสีอำพันทอประกายพึงพอใจเมื่อมือแข็งแรงนั้นโอบประคองร่างตน  เพียงชั่วครู่มันก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองสลดวูบ

เพื่อหน้าที่.....ข้าจำเป็นต้องยอมสละชีวิตจิตใจของตัวเอง....ข้าขอโทษ


         เงามันปราบของโลหะต้องแสงจันทร์ไม่อาจหยุดยั้งการกระทำอันเร่าร้อนเอาแต่ใจของเกษตรินได้  เขายังคงดื่มด่ำอย่างหลงใหลกับร่างงามเบื้องล่าง  โดยไม่รู้เลยว่าเหนือกายตนขึ้นไปคือมีดสั้นเป็นเงาปราบที่พร้อมจะจ้วงแทงเอาชีวิตเขา   ศศิธรสุราลัยพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหล   หากเพียงทิ้งมือลง ท่านเกษตรินก็จะหมดสิ้นซึ่งลมหายใจ  เพียงทิ้งมือลงเท่านั้นง่ายเพียงนิดเดียว  เพียงอึดใจเดียวจริงๆ.....มือเรียวขาวหากผอมแห้งเงื้อง่าขึ้นสูง ดวงตาสีอำพันหลับลงไม่อยากมองไม่อยากรับรู้  ก่อนจะทิ้งให้คมมีดแหวกอากาศลงสู่เป้าหมาย

"ข้า..ทำไม่ได้  ทำไม่ได้จริงๆ"  แขนเรียวขาวที่ในมือกำอาวุธมีคมไว้แน่นทิ้งลงข้างตัว แล้วปล่อยมีดสั้นนั้นออกจากมือ  น้ำตามากมายไหลล้นจากดวงตาคู่งาม  จนเกษตรินเห็นจึงเลื่อนกายขึ้นมองดวงหน้านั้น

"เป็นอะไรไปหรือ?"น้ำเสียงอบอุ่นหากพร่าไปด้วยแรงอารมณ์ถามแล้วขบที่ใบหูเบาๆ

"ไม่เป็นไรขอรับ  ทำต่อเถอะ"ศศิธรสุราลัยซ่อนดวงหน้าของตัวเองไว้หลังมือทั้งสอง  ปล่อยให้เกษตรินทำเท่าที่อยากทำ  เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย

"ข้าแค่จะบอกท่านว่า  ข้ารักท่านมากกว่าอะไรทั้งหมด....."


         เมื่อความร้อนเร่าสิ้นสุดท้องฟ้าในยามนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด จันทร์เพ็ญที่เคยกระจ่างกลับเร้นกายอยู่หลังเงาเมฆเห็นเป็นพระจันทร์สีเลือดที่ย้อมท้องฟ้ายามราตรีกาลเป็นสีแดงไปทั่ว    คนทั้งสองยังคงอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน   ศศิธรสุราลัยกอดผู้เป็นเจ้าของหัวใจตนไว้แน่น  ดวงตาสีอำพันงามมองดวงหน้าคมสั้นที่อบอุ่นนั้นไว้ราวกับจะให้ภาพนั้นติดตาเป็นจนถึงลมหายใจสุดท้ายพลางสดับฟังเสียงฝนที่ร่วงหล่นจากฟาหฟ้ากระทบกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง   ความสุขในศาลาหลังน้อยครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย และต่อไปย่อมไม่มีอีกต่อไปแล้ว  ต่อให้โหยหาถึงกันสักเพียงไหน  เพราะเมื่อกลับไปจันทร์สวรรค์ดวงนี้คงแตกสลายแน่แท้ 

"ท่านเกษตริน  ข้ารักท่านนะ  รักเสียจนไม่อาจขาดจากท่านได้"เกษตรินก้มลงมองคนรักในอ้อมแขนอย่างแปลกใจ

"วันนี้เป็นอะไรไป  ทำไมถึงพร่ำรำพันรักมิหยุดปาก  ปรกติกว่าจะพูดออกมาได้สักคำข้าต้องออกแรงแทบตาย"ศศิธรสุราลัยซุกหน้าร้อนผ่าวลงกับอกแข็งแรงนั้น

"เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย"เสียงที่ตอบแผ่วเบาราวกับเป็นเพียงเสียงลมหายใจ หากคำพูดนั้นกรีดแทงเข้าไปในหัวใจคนฟัง

"เจ้าจะไปไหน?" มือขาวนวลแตะลงบนดวงหน้าคมสันอย่างแผ่วเบา ดวงตาสีอำพันแสดงความรู้สึกรักอย่างลึกซึ้งออกมา

"ข้าตอบแล้วว่าข้า...ต้องไปในที่ไกลแสนไกล ณ เวลานี้  ณ ที่แห่งนี้ จะเป็นที่สุดท้ายและครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบเพื่อมอบความรักให้แก่กัน" เสียงอ่อนหวานกระซิบที่ข้างหูแข่งกับเสียงฝนตกปรอยๆ  ท้องฟ้าเริ่มครวญพร้อมกับแสงแปลบปลาบ

"เจ้าจะไปไหนข้าไปด้วยดีไหม  เราจะไปด้วยกัน"

"ท่านเกษตรินอย่าพูดเอาแต่ใจเช่นนั้น  คนของท่านอีกมากมายยังต้องกลับบ้าน  เขายังต้องการผู้นำเป็นหลักชัย  ท่านไม่เหมือนข้าที่ไร้ญาติมิตร ต่อให้หายไปตลอดกาลก็คงไม่มีใครหวนไห้หา  และคงไม่มีใครรู้หรอกว่าข้าได้แตกสลายไปแล้ว" ทั้งคู่เงียบไปนานต่างคิดเรื่องของตัวเองอยู่ในหัว มีเพียงเสียงฝนที่เริ่มลงเม็ดถี่และแรงขึ้น

"ท่านต้องสัญญากับข้าบ้าง  แค่สองข้อเท่านั้น....ได้ไหม?"เกษตรินกระชับอ้อมแขนก่อนจะพยักหน้าหนักแน่นมองเข้าไปในดวงตาสีอำพันอย่างจริงจัง

"ท่านต้องสัญญาว่า จะไม่ออกตามหาข้า  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ไม่ว่าท่านจะได้ข่าวอะไร  แต่ต้องไม่...ตามหาข้า  สัญญาสิ..เร็วเข้า"เกษตรินมองเข้าไปดวงตาคู่งามอย่างค้นหาและไม่เข้าใจในที่สุดเขาก็ยอมรับปาก

"ข้าสัญญา"ศศิธรสุราลัยลุกขึ้นนั่ง  แล้วคำนับอย่างงดงาม เส้นผมเป็นเงามันเลื่อนไหลจากหลังมาด้านหน้า

"ขอบคุณท่านเกษตรินมากขอรับ"

"แล้วข้อต่อไปล่ะ?"ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองริมฝีปากอิ่มสวยอย่างรอคอย แสงจากฟ้าผ่าทำให้ดวงหน้านั้นเหมือนรูปสลัก

"ขอให้ท่านลืมเลือนเรื่องของเราไปเสียให้สิ้น   ลืมศาลาหลังน้อยแห่งนี้  และลืมข้า  ลืมว่าเราต่างรักกันที่นี่  ลืมให้หมด  ให้ความทรงจำเหล่านั้นไหลไปพร้อมกับสายฝนนี้....ได้โปรดลืมให้หมด"ศศิธรสุราลัยกลืนก้อนสะอื้นลงคอ  น้ำตาที่เก็บกลั้นหยาดหยดลงอีกครั้ง  ในอกรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน  เจ็บจนอยากจะหนีไปเสียให้พ้นๆ

"จันทร์คล้อยมากแล้ว  ข้าต้องไปแล้ว" มือบางใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองแล้วแสร้งยิ้มออกมา  ก่อนจะก้มลงคำนับให้อีกครั้งแล้วลุกยืน ก้าวออกจากศาลาหลังน้อยแห่งนี้ด้วยความอาลัยอย่างสุดซึ้ง  ฝนที่ตกค่อนข้างแรงตกลงปะทะใบหน้าและร่างกายจนเปียกปอน ร่างโปร่งบางนั้นกำลังจะหายไปกับเงาไม้อีกครั้ง

"เดี๋ยวก่อน!" อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดจากทางด้านหลัง ศศิธรสุราลัยชะงัก 

"ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้ายถึงเพียงนี้ จะให้ลืมได้อย่างไร  จะให้ข้าลืมหัวใจตัวเองได้อย่างไร จันทร์สวรรค์ของข้า เจ้าช่างใจร้ายนัก" น้ำตาไหลออกมาปะปนกับสายฝนจนไม่อาจแยกแยะได้  รู้สึกทรมานอย่างที่มิเคยพบพานมาก่อน ทรมานเสียยิ่งกว่าบาดเจ็บจากสาตราวุธหลายร้อยเท่านัก

"ท่านเกษตรินปล่อยข้าเถอะ"เสียงแผ่วเบานั้นกล่าวแทบจะไม่ได้ยิน

"อย่าไปเลย  อยู่กับข้าเถอะนะ" 

"ท่านขอในสิ่งที่ข้าให้ไม่ได้  ถึงข้าจะอยากทำสักแค่ไหน...ปล่อยมือจากข้าเสียเถอะ"อ้อมกอดที่อบอุ่นค่อยคลายออกเหลือเพียงรอยสัมผัส  ศศิธรสุราลัยรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาทันทีความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง....ทรมาน

         เมื่อศศิธรสุราลัยหันกลับไปเบื้องหลังอีกครั้ง  เกษตรินได้หายไปจากที่นั้นแล้ว  มีเพียงเสียงย่ำน้ำอยู่ไกลๆที่ค่อยๆจางหายไปกับเสียงฝนตกและฟ้าร้อง  ร่างโปร่งบางหมดสิ้นเรี่ยวแรงซวนเซแล้วทรุดกายลง   มือขาวบางยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง  อยากให้สายฝนนี้ช่วยชำระความโศกเศร้านี้ไปเสียให้หมด แต่คงทำไม่ได้

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


         ศศิธรสุราลัยเดินเข้ามาในห้องของนายท่านอย่างเงียบๆ  ดวงตาสีอำพันงามช้ำจากการร้องไห้  และแน่นอนว่าร่างกายก็ช้ำเช่นกัน   ศศิธรสุราลัยทรุดกายลงนั่งแล้วหมอบคำนับนิ่งนานกว่านายท่านจะสั่งให้เขาขยับเข้าไปใกล้  ดวงตาสีนิลนั้นมองร่างบางที่บางเสียจนพร้อมจะแตกหักได้ทุกเวลาด้วยประกายตาแห่งความเวทนา

"ทำไม่สำเร็จสินะ" ศศิธรสุราลัยไม่ตอบ

"รู้ใช่ไหมว่าโทษของการทำไม่สำเร็จคืออะไร"ศศิธรสุราลัยยังคงหมอบนิ่งอยู่กับพื้น

"เจ้าหน้าที่" ร้องเท้าหนังดำมายืนอยู่ต่อหน้าเขา  ดวงตาสีอำพันลอบมองมันอย่างเงียบๆ  เขารู้ได้ทันทีว่าโทษของเขามีสถานเดียวจากลักษณะการวางเท้าเช่นนั้น  ศศิธรสุราลัยจึงเงยหน้าขึ้น  รับห่อกระดาษแดงมาจากเจ้าหน้าที่

         เมื่อคลี่กระดาษออกมีดขนาดเล็กแค่คีบเดียวอยู่ในกระดาษนั้น  มือขาวนวลไล้นิ้วลงไปแผ่วเบาก่อนจะแย้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย  น้ำตาไหลลงช้าๆจากตาข้างหนึ่งซึ่งบัดนี้มันไม่สำคัญอีกแล้วว่ามันจะไหลออกมาจากไหน  ไม่ว่าจะเป็นดวงตาที่แสบเสียจนไม่อยากมองสิ่งใดอีก  หรือจากหัวใจที่แตกสลาย  ไม่มีสำคัญอีกแล้ว...   

"ข้าขอโทษที่ต้องผิดสัญญา  แต่ในเมื่อข้าทำงานไม่สำเร็จ  ข้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต" คมมีดบาดลึกเข้าไปในเนื้อ  ไม่มีความรู้สึกใดๆอีกแล้ว  เพราะความรู้สึกเจ็บนั้นอัดแน่นอยู่ในอกนี้  และมันจะไม่มีสิ่งใดที่เจ็บไปกว่านี้อีกแล้ว

"ท่องกฎของผู้ติดตาม"

"ข้อหนึ่ง  ข้าจักจงรักภักดีต่อนายแต่เพียงผู้เดียว..."เสียงที่ลอดจากริมฝีปากแผ่วเบา

"ดังอีก!"ศศิธรสุราลัยก้มกายลงคำนับอย่างงดงามแล้วท่องต่อไปด้วยเสียงที่ดังขึ้น


"ข้อสอง  ข้าจักทำงานสนองพระเดชพระคุณให้ด้วยชีวิต  ข้อสามข้าจักสัตย์ซื่อต่อหน้าที่ตราบสิ้นลมหายใจ....."ศศิธรสุราลัยเปล่งเสียงท่องอยู่เช่นนั้นแล้วคำนับหนึ่งครั้งเมื่อจบหนึ่งจบ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนไปเวียนมาอยู่เช่นนั้นตราบจนรู้สึกว่าโลกนั้นมืดสนิทไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆอีกต่อไป  ในห้วงแห่งมรณะนั้นริมฝีปากบางพึมพำแผ่วเบา

"ข้าขอโทษที่ผิดสัญญา  ข้าขอโทษ...."




         ร่างโปร่งบางที่เลือดไหลออกจากข้อมือมิขาดสายทรุดลงกองกับพื้น ดวงหน้าซีกหนึ่งจมลงในกองเลือดของตัวเองเมื่อใกล้รุ่งสาง   นายท่านหยัดกายขึ้นยืนมองร่างโปร่งบางที่บัดนี้เสื้อสีขาวที่สวมถูกย้อมด้วยโลหิตจนแดงฉานไปทั้งตัว  นายท่านใช้เท้าเขี่ยให้ร่างนั้นหงายขึ้น แล้วส่งเสียงขึ้นจมูก


"หึ...เจ้าโง่  ตามหมอ"


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
ดวงตาสีอำพันลืมขึ้นช้าๆ รู้สึกแสบราวกับดวงตาทั้งคู่กำลังจะมอดไหม้ จึงค่อยหลับตาลงอีกครั้ง  แล้วลองลืมขึ้นใหม่  ภาพเบื้องหน้าเลือนลางเหลือเกินหากแต่คุ้นเคย  หลังจากกระพริบตาถี่ๆขับไล่ความขุ่นมัวพล่าเบลออกไปได้สำเร็จแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง  เส้นผมดำยามสยายเต็มแผ่นหลัง  ดวงตาสีอำพันมองไปรอบห้องพักของตัวเองที่คุ้นเคย  ศศิธรสุราลัยยกข้อมือข้างที่ถูกพันแผลไว้ขึ้นมา ริมฝีปากสีซีดเม้นเข้าจนแน่นมือเรียวสวยฉีกกระชากผ้าพันแผลออกราวกับโกรธแค้น  ร้อยแผลที่เพิ่งจะสมานกันได้ไม่นานเริ่มมีเลือดซึม   ริมฝีปากบางแตะลงบนแผลยาวนั้นแผ่วเบา  น้ำตาร่วงลงอีกครั้งอย่างสุดจะหักห้าม ไม่สนใจกับเสียงเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาของชายคนหนึ่ง

"เรียนท่านศศิธรสุราลัย นายท่านให้ข้ามาตามไปพบทันทีที่ท่านฟื้น"


         นายท่านกำลังร่ำสุราอยู่ในห้องพัก  ดวงหน้าคมสันนั้นแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้า  ศศิธรสุราลัยเมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็ก้มลงหมอบคำนับนิ่ง   รอจนกว่านายท่านจะอนุญาตให้เงยหน้าขึ้น   ช่วงเวลาอันน่าอึดอัดผ่านไปอย่างช้าๆ  ก่อนจะหมดลงด้วยเสียงแก้วแตก   ศศิธรสุราลัยลอบมองเห็นเลือดสีแดงสดไหลจากมือแข็งแรงนั้น   เขาจึงเงยหน้าขึ้นรีบขยับกายเข้าไปใกล้ แล้วหยิบผ้าขาวที่อยู่ใกล้มือที่สุดกดลงห้ามเลือดให้นายท่าน   ดวงตาสีนิลจ้องมองดวงหน้างดงามหากขาวซีด  เมื่อร่างโปร่งบางทำท่าจะถอยไป มือใหญ่แข็งแรงนั้นก็คว้าแขนไว้

"เราน่ารังเกียจนักหรือ?"ดวงตาสีอำพันฉายประกายงวยงง

"ทำไมเจ้าถึงไม่รักข้าบ้าง  ทั้งๆที่ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้"

"นายท่าน  ท่านเมาเสียแล้ว  เอนหลังลงหน่อยข้าจะประคอง"ศศิธรสาราลัยยิ้มบางๆที่มุมปาก และปรนนิบัติราวกับไม่เคยเกิดเรื่องราวใดๆขึ้น

"ข้าด้อยกว่าเกษตรินตรงไหนหรือ ทำไมเจ้าถึงไม่รักข้า"แขนแข็งแกร่งนั้นดึงร่างโปร่งบางเข้ามาแนบอก ศศิธรสุราลัยอึกอัก  แต่ก็มิอาจขัดขืน

"ท่านไม่ได้ด้อยกว่าท่านเกษตรินตรงไหน   เพียงแต่ฟ้ามิได้ลิขิตมาให้ข้ามีจิตปฎิพัตน์ต่อท่าน  แต่ลิขิตให้ข้ามาเป็นข้าบาทรับใช้ท่าน  ข้าเชื่อว่าต่อไปคงมีคนอีกหลายคนที่พร้อมจะมอบชีวิตให้ท่าน  และเหมาะสมกับท่านมากกว่าข้าอีกมากนัก"

"แต่ข้ารักเจ้าคนเดียว  จะให้ทำอย่างไรเจ้าก็ไม่ออกไปจากใจข้า"เสียงอ้อแอ้ของเด็กเอาแต่ใจทำให้ศศิธรสุราลัยยิ้มน้อยๆอย่างเอ็นดู แล้วห่มผ้าให้อย่างเบามือ 

"ทำไมวันที่ข้าสั่งจับเจ้า  ทำไมเจ้าถึงไม่สู้ทั้งที่ทหารพวกนั้นมิอาจแม้แต่จะแตะต้องเจ้าได้  ทำไมถึงยอมทรมาน  ทำไมถึงยอมให้ข้าทำร้ายเจ้า"ศศิธรสุราลัยเงียบงันไปนาน

"เพราะท่านเป็นนายของข้า  ท่านมีสิทธิ์จะสั่งให้ข้าเป็นอะไรก็ได้  แม้แต่สั่งให้ข้าตาย"ศศิธรสุราลัยยิ้มเศร้าให้ตัวเอง

"พักผ่อนเถอะขอรับ  ข้าจะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่าท่านจะหลับ"มือน้อยกุมมือใหญ่แข็งแรงไว้  แล้วรอจนกว่าคนตัวใหญ่ที่เมาหลับมิรู้เรื่องราว


         ศศิธรสุราลัยทอดมองนายท่านด้วยสายตาอบอุ่นแหมือนมองน้องน้อย  อันที่จริงแล้วศศิธรสุราลัยอายุมากกว่านายท่านสองปีได้  แต่น่าแปลกที่ตัวเล็กกว่ามาก  ดังนั้นช่วงเวลาที่ติดตามนายท่านมาทั้งหมดจึงเปรียบตัวเองเหมือนเป็นพี่เลี้ยง  ดวงหน้าคมสันที่หลับสนิททำให้เขารู้สึกเอ็นดู  แต่เมื่อใดที่ลืมตาตื่น ดวงหน้านั้นจะห้าวหาญน่าเกรงขาม    ศศิธรสุราลัยรู้อยู่แก่ใจแล้วว่านายท่านคิดเกินเลย  แต่เขาไม่มีสิทธิ์คัดค้านอันใดได้จึงได้แต่ปิดปากเงียบตลอดมา  แล้วภาวนาให้เรื่องเหล่านี้จบสิ้นลงอย่างสงบ  ให้นายท่านเจอใครสักคนที่เพียบพร้อม  พบใครสักคนที่เป็นดั่งเนื้อหัวใจโดยแท้จริง   แต่สิ่งที่เขาภาวนาอยู่ในใจขณะนี้มิใช่เรื่องนี้อีกสืบไปแล้ว  ห้วงคิดของเขาถูกตรึงอยู่กับการศึกที่ร้อนระอุคุกรุ่น  หวังและภาวนาว่าอย่าให้นายท่านและท่านเกษตรินต้องประมือกันซึ่งๆหน้าเลย   เพราะเขามิอาจทนเห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีวิตลงต่อหน้าต่อตา


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

         เกษตรินกำลังประชุมปรึกษาหารือกับเหล่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายยุทธการณ์ถึงแผนรบต่อไป  แผนที่ขนาดใหญ่ที่ถูกตรึงหมุดเหล็กไว้แข็งแรงเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆมากมาย  นายทหารคนหนึ่งเข้ามาในกระโจมแล้วทรุดกายลงคำนับอย่างรวดเร็ว  เกษตรินมองก็รู้ทันทีว่าจะรายงานเรื่องอะไร แม้สีหน้าจะเรียบเฉยแต่ในใจร้อนรุ่ม  เพราะทหารคนนี้ไว้ใจได้เพราะเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาใช้ให้สืบข่าวศศิธรสุราลัยโดยเฉพาะ  รีบร้อนมาเช่นนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องด่วนเกิดขึ้น  เขานึกถึงคราวที่แล้วที่เกิดเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้ขึ้น  ครั้งนั้นเขาได้รับรายงานศศิธรสุราลัยถูกจับในข้อหากบฏ  ร่างบอบบางนั้นกอดเขาแล้วบอกว่าตนเองป่วยทั้งที่เขารู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่เป็นความจริง

"รายงานขอรับท่านเกษตริน"  เกษตรินพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นเดินแยกออกไปจากกลุ่มคน 

"ว่าไป"

"เมื่อคืนนี้ ท่านศศิธรสุราลัยถูกสั่งลงโทษประหารด้วยลหุวิธีขอรับ"  ดวงหน้าคมสันถอดสี จ้องมองผู้รายงานตาไม่กระพริบ
"ลหุวิธี"เสียงนั้นทวนคำเบาๆ


"ขอรับ  หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้ข่าวว่านำร่างไปไว้ที่ไหน" นานกว่าเกษตรินจะเอ่ยสิ่งใดได้

"ไม่จริง!!"เสียงนั้นอุทานอยู่เพียงแค่ริมฝีปาก  ดวงหน้าคมสันที่ขาวซีดนั้นเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดอยู่เพียงพริบตาก็กลับเป็นปรกติ

"กลับไปสืบข่าวให้แน่" ดวงตาสีน้ำตาลสวยฉายประกาศปวดร้าวแล้วหลุบตาลง กลบเกลื่อนมันไว้จนสิ้น

"แต่..."

"ถ้าเป็นจริงดังเจ้าว่า  จงเชิญจันทร์สวรรค์กลับมาหาข้า  อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วน" อย่างน้อยให้ข้าได้บอกลาเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี    ร่างสูงใหญ่นั้นพยายามสะกดตัวเองมิให้พ่ายแพ้ต่อความโศกเศร้า แม้น้ำตาจะรื้นขึ้นเพียงใด  แม้ในอกจะปวดร้าวจนแทบจะระเบิดออกมา ก็ต้องเก็บมันไว้  เก็บไว้กับอกนี้อย่าได้แสดงออกมา

"เจ้าไปได้แล้ว  จงอย่าลืมว่า อย่าให้จันทร์สวรรค์มีแม้แต่รอยขีดข่วน"เกษตรินลูบหน้าตัวเอง หวังให้ความรู้สึกในอกจางหายไป  เสียงเรียกอย่างนอบน้อมจากเจ้าหน้าที่ยุทธการอาวุโสทำให้เขาต้องกลับไปสนใจกัน 'หน้าที่'  ที่บัดนี้ เขาเกลียด 'มัน'  เพราะมันเป็นสิ่งที่ช่วงชิงเอา 'ความรัก' ให้โบยบินจากไป  แต่ก็มิอาจละทิ้ง....เพราะหน้าที่ต้องมาก่อนความรักเสมอ...เขาเฝ้าบอกกับตัวเองเช่นนั้นตลอดมานับหมื่นนับแสนครั้ง

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


         ศศิธรสุราลัยทอดมองโต๊ะทราย  เขาได้กลับมาเป็นผู้ติดตามของนายท่านอีกครั้ง ท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้ของทุกคน  แม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์พร้อม แต่วันนี้เขาต้องกลับเข้าสนามรบอีกครั้ง  เสื้อเกราะที่เคยใส่  ต้องลดความหนักลง เนื่องจากร่างกายยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ต้องการการพักฟื้น แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีเวลาให้ทำเช่นนั้นได้  เขาจำต้องใส่เกราะน้อยชิ้นลง นั่นเท่ากับเสี่ยงมากขึ้น  แต่ขณะนี้ทัพของท่านเกษตรินฮึกโหม  โจมตียึดดินแดนไปได้มาก  ดินแดนแห่งนี้สำคัญ เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เป็นแนวยุทธภูมิที่ดี  หากฝ่ายใดได้มาครอบครองย่อมเกิดประโยชน์แก่ตนเอง แผนรบที่อยู่เบื้องหน้ากำลังถูกซึมซับเข้าสู่สมอง เขาได้เสนอความคิดเห็นบ้างหากนายท่านอนุญาต  และในความเห็นของเขา  ถ้าท่านเกษตรินยึดเนินสองแปดสองที่อยู่ทางทิศตะวันตกได้สำเร็จ  การปะทะจะรุนแรงมากอย่างแน่นอน  ศศิธรได้แต่หวังและภาวนาในใจอย่างเงียบเชียบว่าอย่าให้นายท่านและท่านเกษตรินปะทะกันโดยตรงเลย

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

         วันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบเอ็ดเวลาสองยามทหารเกษตรินบุกยึดเนินดังกล่าวได้สำเร็จ  นายท่านสั่งจัดทัพบุกขึ้นตีเนินนั้นในเวลายามสาม  ศศิธรสุราลัยเข้าในเขตพื้นที่ปะทะพร้อมกับนายท่าน  จันทร์เพ็ญคืนนี้งามสมกับที่รอคอย  หากแต่รอบกายบัดนี้คือทะเลเลือด  เสียงกรีดร้องของผู้คนที่ถูกคมศาตราวุธกรีดก้องอยู่ในโสต  เลือดอุ่นๆกระเซ็นมาถูกตามเนื้อตัวจนไหลชโลมชุ่มร่าง  กลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นเหียนมีอยู่ทุกแห่งหน  นายท่านอยู่เบื้องหน้ากำลังเข้าต่อตีกับฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าเลือดโดยมีศศิธรสุราลัยทำหน้าที่ระวังหลัง    เสียงโลหะกระทบกันอย่างแรงขับดันให้ความเหนื่อยล้าของร่างกายที่บาดเจ็บอย่างหนักเพิ่มทวี  ในห้วงความคิดสับสน  ดวงตาสีอำพันมองจันทร์เพ็ญงามเบื้องหน้า ขณะที่ในอกรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง




      


         เกษตรินในชุดออกศึกควบม้าเข้าเข่นฆ่าศัตรูอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย  คมดาบแหวกอากาศถูกเข้าที่ส่วนสำคัญของร่างกายศัตรูอย่างแม่นยำและรวดเร็วยิ่ง  ดวงตาสีน้ำตาลมองกวาดไปรอบบริเวณ พยายามมองหาใครสักคน ด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าจันทร์สวรรค์จะยังมีชีวิตมิได้แตกสลายเช่นที่รายงานเข้ามา เขาไม่อยากรับรู้รับฟังสิ่งใดที่รายงานเข้ามาอีกแล้ว  เพราะทุกถ้อยคำล้วนกรีดแทงเข้าไปในหัวใจ มันดับความหวังอันริบหรี่ของเขาให้หม่นวูบลงไปเรื่อยๆ ในเมื่อรับรู้แล้วเจ็บปวด เขาขอโกหกตัวเองเช่นนี้เรื่อยไปเสียยังดีกว่า  พลันสายตาคมกริบปะทะเข้ากับดวงตาสีนิลคู่หนึ่งที่ราวกับจะเชือดเฉือนเขาให้แดดิ้นไปเสียตรงหน้า  ฤทธิรงค์...นายท่านของศศิธรสุราลัย

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

         ศศิธรสุราลัยพลัดหลงกับนายท่าน ฝุ่นตลบจางๆทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงแม้คืนนี้จันทร์จะสว่างเสียจนเจิดจ้าก็ตาม  รอบกายมีแต่ทหารเลวที่กำลังสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตาย  ศศิธรสุราลัยพะว้าพะวง นายท่านคลาดคล้อยไปจากสายตาเสียแล้วในอกรู้สึกเกรงกลัวเหลือเกิน กลัวต่อสิ่งที่ตนเองก็ไม่แน่ใจ   เลือดอุ่นๆกระเซ็นมาถูกจากการที่เขาใช้ดาบคมกล้าแทงสวนตัดศีรษะของศัตรู  เลือดที่ฉีดพุ่งนั้นกระเซ็นเข้าตาจนแทบมองไม่เห็น    หัวใจเต้นระส่ำอยู่ในอก ราวกับจะวิ่งออกมาเสียให้ได้  ความรู้สึกกลัวต่อบางสิ่งยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก  ยิ่งมองหาเท่าไรฝุ่นควันและสีแดงฉานของเลือดยิ่งบังตา  ยิ่งพะว้าพะวงศัตรูยิ่งเข้ารายล้อม  ยิ่งหวาดกลัวสิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้น



ขออย่าให้ลางสังหรณ์ของข้าเป็นจริงเลย...


             ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

         ชายสองคนรูปร่างแข็งแกร่งทัดเทียมกันประมือกันอย่างโดดเดียวในป่าไผ่ที่หนาทึบราวกับคุกที่ขวางกั้นมิให้ใครเข้าออก  พวกเขาต่างเร้นกายออกจาสนามรบอันนองเลือดเพื่อประมือกันที่นี่  ในคืนนี้ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดับดิ้นจึงเลิกรา  ชายคนหนึ่งดวงตาสีนิลดำสนิทมีวิธีดาบที่แข็งแกร่งดุดัน  หากชายอีกคนผู้มีดวงตาสีน้ำตาลมุ่งมั่นมีวิธีดาบที่พลิ้วไหว หากเข้มแข็ง  ทั้งสองคนจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมต่อกัน  เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นป่าไผ่ที่เคยเงียบสงบ  มีเพียงเสียงสายลมรำเพยพัดกระซิบราวกับจะยุแยง  จน ใบไผ่ร่วงกราว

"เจ้าจะสู้กับข้าไปทำไม  ในเมื่อเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าศศิธรสุราลัยเป็นของข้า"

"เจ้าอย่าได้ผยองพองขนมากไป จันทร์สวรรค์แม้กายเป็นของเจ้า  แต่หัวใจนั้นเป็นของข้า"

"ข้าเป็นนายมัน  ข้ามีสิทธิ์ในทุกอย่าง"แรงปะทะจากทั้งสองคนทำให้ต่างพละออกจากกันอีกครั้ง

"เจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกจันทร์สวรรค์ขอข้าอย่างหยาบช้าเช่นนั้น"คมดาบกรีดผ่านอากาศเข้าถูกต้นแขนแข็งแรงของอีกฝ่าย  เลือดแดงฉานไหลออกจากปากแผลอย่ามิปราณี

"เจ้าไม่มีสิทธิ์ห้ามข้า  ศศิธรสุราลัยจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากข้า  ข้าจะเรียกอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้า"

                         คมดาบจ้วงแทงเข้าถูกบริเวณไหล่ของเกษตริน   เขาต้องกัดฟันแน่นเมื่อดาบนั้นถูกเจ้าของดึงกลับ แล้วหมายจะจ้วงแทงซ้ำ  เกษตรินเบี่ยงกายออกหาจังหวะฟันเข้าที่ช่วงเอว คมดาบฝังลึกเข้าไปในเนื้อแม้สวมเกราะป้องกันแต่ก็มิอาจทานแรงได้  ฤทธิรงค์โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันทียกดาบเข้าจู่โจมหมายเอาชีวิต   เกษตรินเร้นกายลับเข้าหลังดงไผ่  ด้วยพละกำลังอย่างคนหนุ่มที่มากมายมหาศาลทำให้ต้นไผ่สูงล้มลงทันที เกษตรินโจมตีกลับอย่างว่องไวเรียกเลือดสดจากร่างศัตรูได้มากมาย  แต่ก็เหมือนฟ้าดินกลั่นแกล้ง  เกษตรินพลาดท่าล้มลง  ช่วงวินาทีที่คมดาบจะฝังลงในร่างเขาเบี่ยงกายหลบอย่างว่องไวอีกครั้งรอดพ้นไปได้อย่างหวุดหวิด  เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเข้าโจมตีทางด้านข้างทำให้ฤทธิรงค์หลบจนเสียหลักล้มลงบ้าง

"ข้านับถือในความกล้าของท่าน  ท่านฤทธิรงค์ แต่มันก็ได้เท่านี้แหล่ะ"

                      เกษตรินยกดาบด้วยสองมือขึ้นเงื้อง่ากะฟาดฟันเข้าเต็มแรงดับชีวิตศัตรูผู้พลาดท่าเสียให้สิ้น  โดยไม่รู้เลยว่าฤทธิ์รงค์คอยอยู่แล้ว  เมื่อไหร่ที่เกษตรินค้อมกายก้มลงคมดาบในมือเขาจะเสียบแทงทะลุเข้าตัดขั้วหัวใจในทันที  วินาทีนั้นช่างยาวนานราวกับเชื่อกัลป์ คมดาบทั้งสองแหวกอากาศอย่างมุ่งร้ายพุ่งตรงเข้าสู่ร่างเหยื่ออย่างไร้ปราณี

สวบ!


       เสียงคมดาบทั้งสองแทงทะลุของแข็งอย่างแรง  ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่ง  สายลมรำเพยพัดกระพือเสียจนเส้นผมสีดำสนิทที่ถูกตัดขาดปลิววะว่อนไปทั่วบริเวณ  ร่างโปร่งบางที่งดงามคั่นกลางระหว่างคนสองคน  ดวงตาสีอำพันสวยมีหยดน้ำเอ่อคลอ ดวงหน้านวลเมื่อต้องแสงจันทร์งามบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด  ริมฝีปากเผยออ้าราวกับจะพูดบางอย่างหากแต่มันไร้ซึ่งเสียงใดเล็ดรอด   

                ศศิธรสุราลัย!!


          ชายทั้งสองชักดาบกลับอย่างลืมตนในทันที  ร่างโปร่งบางที่เคยผมยาวสวย บัดนี้คมดาบได้ตัดเส้นผมที่ดำมันราวไหมชั้นดีลงจนสิ้น   ร่างบอบบางนั้นทรุดกายลงกับพื้น ดวงตาสีอำพันงามทอประกายปวดร้าวน้ำตาใสๆวิ่งลงจากหางตาคู่สวยช้าๆ  ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้มากจากบาดแผลที่จุดสำคัญทั้งสองแห่ง  หากแต่มาจากหัวใจ  ใจหนึ่งคือหัวใจแห่งความภักดี  ส่วนอีกใจหนึ่งมาจากหัวใจรักที่สุดจะหักห้าม   ศศิธรสุราลัยอ้าปากออกพยายามให้ร่างกายนั้นรับเอาอากาศเข้าไป แต่มันไม่เป็นผลเลย  เลือดในกายรินไหลออกมาราวกับจะย้อมแผ่นดินเบื้องล่างให้แดงฉานไปทั่ว  เรี่ยวแรงทั้งหลายทั้งมวลพลันสลายไปเหลือเพียงอากาศธาตุ     ศศิธรสุราลัยถูกดึงให้หงายหน้าขึ้น  ดวงตาสีอำพันงามฉายประกาศเจ็บปวดเจียนตาย  น้ำตาไหลอาบแก้มนวลที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต ทั้งจากของตนเองและผู้อื่น ริมฝีปากบางสวยขยับพูด

"ข...ข้า ขอโทษที่มิอาจห้ามเหตุการณ์เช่นนี้ได้   แต่บัดนี้ข้าได้รับเคราะห์กรรมแทนพวกท่านแล้ว"เสียงแผ่วเบานั้นกล่าว ดวงตาสีอำพันงามมองดวงหน้าคมสันทั้งสอง

"อย่าพูดอีกเลยจันทร์สวรรค์ของข้า  เจ้าเจ็บมากแล้ว  ยิ่งเจ้าพูดจะยิ่งเจ็บ" ดวงหน้างามที่ขาวซีดแย้มยิ้มบางๆ

"ให้ข้าพูดเถอะ  ต่อไปข้าคงไม่ได้พูดอีกแล้ว.....นายท่าน....นายท่าน"เสียงนั้นเรียกหาเบาๆ ฤทธิ์รงค์รีบจับมือบางนั้นที่ยกขึ้นไขว่คว้าเอาไว้

“นายท่าน  ข้าขอโทษที่ไม่อาจติดตามท่านต่อไปได้แล้ว"เสียงนั้นเงียบหาย

"ไม่เป็นไรๆ เจ้าอย่าพูดอะไรอีกเลย" มือแข็งแรงนั้นพยายามกดห้ามเลือดที่หลั่งไหลออกมาจากร่างบางนี้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

"นายท่าน...พอแล้ว  ข้ารู้ชะตาของข้าดี  อย่าพยายามอีกเลย  วันนี้อย่างไรเสีย...จันทรสวรรค์ก็มิอาจรอดชีวิตออกไปจากที่แห่งนี้ได้  เลือดของท่านต่างหากที่ไม่ควรหลั่งรดแผ่นดิน"ศศิธรสุราลัยพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นไว้ รู้สึกถึงห้วงลมหายใจตนเองที่ตื้นและถี่ขึ้นเป็นลำดับ ดวงตาสีอำพันงามกลับมามองดวงหน้าคมสันของผู้เป็นดั่งเนื้อหัวใจอีกครั้ง  ดวงตาคู่งามนั้นแลกเปลี่ยนความรู้สึกต่อกัน

"ท่านเกษตริน.....ข้าขอโทษที่มิอาจอยู่เคียงคู่"คำพูดเหล่านั้นกลืนหายไปกับลำคอแห้งผากของศศิธรสุราลัย  นานกว่าร่างนั้นจะพูดต่อ ด้วยเสียงเพียงแค่แผ่วเบาราวกับกระซิบครั้นนี้มันเบาจนชายทั้งต้องโน้มกายลงฟังใกล้ๆท่ามกลางสายลมที่เงียบสงบ ศศิธรสุราลัยรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆตกลงใส่หน้าตนเอง

"อย่าร้องไห้เลย  จันทร์สวรรค์มิมีค่าพอให้พวกท่านหลั่งน้ำตา"

"มีสิ เจ้าเป็นดั่งดวงใจของข้า"เกษตรินตอบเสียงสั่นในขณะที่นายท่านของเขาทอดสายตามอง  ดวงตาคู่นั่นบอกเล่าความรู้สึกทั้งปวงที่เคยเก็บซ่อนไว้จนหมดสิ้น  ศศิธรสุราลัยรู้สึกเลือนลางเต็มที

"เวลาของข้า...ก...ใกล้เข้ามาแล้ว   จันทร์สวรรค์ต้องขอลา....มิรู้อีกกี่ชาติภพจึงจะ....พบพาน ขอให้ท่านทั้งสอง...มีความสุข"

                      ดวงหน้างดงามพยายามแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน  ก่อนลมหายใจจะสะดุดและติดขัดก่อนจะนิ่งงันไป  มีเพียงเสียงสายลมพัดเอื่อยๆส่งเสียงราวสะอื้นไห้ท่านกลางแสงจันทร์วันเพ็ญ ที่เงียบเหงาว้าเหว่วังเวงจำ  เกษตรินลูบไล้ดวงหน้านั้นอย่างแผ่วเบาราวกับเกรงว่าตนจะรบกวนเวลาพักผ่อนอันสงบของร่างบอบบางในอ้อมแขนนี้  ฤทธิรงค์สัมผัสมือเรียวสวยนั้นอย่างถนอม แล้วประทับริมฝีปากลงบนหลังมือนวลที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน อยากตราตรึงสัมผัสนี้ไว้ตราบนานเท่านาน

             
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

         คืนจันทร์เพ็ญงามกระจ่างท่ามกลางเมฆาใหญ่น้อยที่รายรอบ ส่องแสงเงินงามทอประกายฟุ้ง แสงสงบเย็นนั้นทอทอดลงมาสู่ศาลาหลังน้อยริมผาซึ่งวันนี้กลับมาอบอุ่นอีกครั้งทำให้ศาลาหลังน้อยนี้งามราวภาพฝันเเห่งสรวงสวรรค์  ดอกไม้นานาพันธุ์ที่ซ่อนกายเร้นกลีบไว้ใต้ใบหนาต่างผลิบานเริงรับส่งกลิ่นหอมกำจายหวาน   ชายคนหนึ่งนั่งจิบสุรากลิ่นหอมจางๆอย่างสบายใจ  ดวงตาสีนิลคมกล้านั้นมิได้ละไปจากดวงหน้าสวยกระจ่างที่นั่งบรรเลงเพลงพิณแว่วหวาน ขับขานคู่กับเสียงขลุ่ยผิวจากชายอีกคนหนึ่ง ผู้มีดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่น  ทอดมองส่งกระแสนั้นให้ร่างโปร่งบางเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทราวไหม  ดวงตาอำพันงามกำลังจ้องมองพิณเพื่อบรรเลงอย่างแม่นยำ  นิ้วมือเรียวกรีดไปตามทุกสายเสียงอย่างเชี่ยวชาญริมฝีปากบางหากดูอิ่มสวยได้รูปขับลำนำอ่อนหวาน

แสง จันทร์วันนี้นวล ใครชวนให้น้อง เที่ยว
จะให้ เหลียวไป แห่ง ไหน
ชล ใสดูในน้ำ เงาดำนั้นเงา ใด อ๋อ ไม้ ริม ฝั่ง ชล
สวยแจ่ม แสง เดือน หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล
สวย แจ่ม แสง เดือน
หมู่ ปลา เกลื่อนดู เป็น ทิว
ฉันชม ลม ริ้ว จอด เรือ อาศัย เงา ไม้ ฝั่ง ชล
[เพลง  : เงาไม้/ท่านผู้หญิงพวงร้อย (สนิทวงศ์)  อภัยวงศ์)]






จบ  :m23:

three

  • บุคคลทั่วไป
โหยน้ำตาท่วมจอเลยครับผม :sad2:
ซึ้งจังเลย o7

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
จะว่าเป็นความโรคจิตของคนเขียนก็เป็นได้ค่ะ ที่ดีใจที่คนอ่านอ่านเเล้วน้ำตาท่วม  เพราะเมศเป็นคนชอบอ่านเรื่องเศร้าๆละมั้ง  หึหึหึ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเเรกที่เขียน"เรื่องสั้น"ซึ่งมันสั้นไม่จริง หึหึหึหึ  เพราะคุมความยาวเรื่องไม่ได้ สุดเเต่บุญกรรมมากๆ ๕๕๕

เลยไม่กล้าเขียนเรื่องสั้นอีก เพราะมันมักยาวเสมอ (เป็นคนน้ำเยอะ ๕๕)เอาไว้มีไอเดียก่อนเเล้วจะลองใหม่

/meเขียนเองบอกเอง น้ำเน๊า~น้ำเน่า  :m23:

กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป



ที่ว่าน้ำเยอะ . .  .เยอะจริงดิ๊


สนุกดีครับ . . .  ชอบเรื่องสั้น  เพไม่มีเวลาอ่านยาว ๆ

นิลวัฒน์

  • บุคคลทั่วไป
 :impress: :impress: :impress:
แต่งดีมากๆ เลยครับ เศร้า ซึ้ง ประทับใจ
แต่อยากรู้ ตกลงไม่ตายใช่ไม๊ครับ ตอนจบ
 :m28: :m28: :m28:

kik_guide

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณมากมายคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
« ตอบ #9 เมื่อ: 19-02-2008 19:16:22 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






chalerm

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #10 เมื่อ30-06-2008 18:51:00 »

ขอบคุณจ้า

Plabu

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #11 เมื่อ08-10-2008 01:21:58 »

เศร้า... :sad2:
ตาพร่าเลย..ห้ามน้ำตาไว้ไม่ทัน o7 o7
 :pig4: :pig4:
 :bye2:

Peridot_Garnet

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #12 เมื่อ10-10-2008 02:10:46 »

ตามมาซาบซึ้งค่ะคุณเมศ

ตัวละครชื่องามตลอดเลยแฮะ  :L1:

[W]olf[T]ricky

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #13 เมื่อ22-04-2009 16:01:21 »

เป็นอะไรที่สนุกมากๆๆๆเลยคร้า แบบว่าตัวะครชื่องามตามคห.ล่างจริงๆเลย
ฮึกๆๆ ไม่อยากให้ตายเลยอ่ะ แบบว่าอยู่กัน 3 คนฮ่าๆๆๆ
จะติดตามผลงานอื่นๆต่อไปนะคะ o13

patz

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #14 เมื่อ23-04-2009 07:33:43 »

อ่านแล้ว จินตนาการสภาพแวดล้อมตามที่บรรยายมาได้เลยอะครับ ว่างดงามเพียงได้  :L2:

Ramika

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #15 เมื่อ31-12-2009 16:41:31 »

ขอบคุณครับ

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #16 เมื่อ11-01-2010 01:48:18 »

ขอบคุณครับคุณเมศ

ศศิธรสุราลัย  เกษตริน

เราจะพบกันเมื่อคืนจันทร์เพ็ญ

ดีใจที่จันทร์ทำให้ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้ง

บางเห็นใจนายท่านผู้มีดวงตาสีนิลด้วยครับ

เพลง เหงาไม้

เพลง 東風破 dong feng po

ผมแอบอ่านนานแล้วในบอร์ดเด็กดี   จริงอ่านเรื่อง Intermezzo บัวขาว เรื่องนี้แล้ว ก็ อ้างฟ้าอ้างฝน

เป็นกำลังใจให้เสมอ

ฝันดีครับ :man1:


CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #17 เมื่อ12-01-2010 02:05:44 »

รอได้และเป็นกำลังใจให้เสมอ

ฝันดีครับ :man1:

ออฟไลน์ aiwjun

  • aiwjun
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #18 เมื่อ12-01-2010 21:33:38 »

ฮือๆ...

น่าสงสารมากเลย....

ร้องไห้ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ....ไม่อยากให้จบแบบนี้

แต่เนื้อเรื่องสวยงามมากเลย....

....ขอบคุณจากใจจริง.....

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #19 เมื่อ13-01-2010 03:48:50 »

สวัสดีครับ :man1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
« ตอบ #19 เมื่อ: 13-01-2010 03:48:50 »





CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #20 เมื่อ14-01-2010 02:02:40 »

 :man1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #21 เมื่อ15-01-2010 03:24:51 »

ฝันดีครับ

เป็นกำลังใจให้เสมอ :man1:

V_we

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #22 เมื่อ15-01-2010 07:37:39 »

ความรักกับหน้าที่   :เฮ้อ:
เศร้า ซึ้ง ประทับใจ อ่านแล้วอิ่มในภาษา ชอบบรรยากาศของเรื่อง ถึงฉากส่วนใหญ่จะอยู่ในสงครามแต่ก็ยังมีมุมที่ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่นำเรื่องสนุกๆ อย่างนี้มาแบ่งปันให้อ่าน เป็นกำลังใจให้จ้า  :L2: :L2: :L2:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #23 เมื่อ16-01-2010 01:38:52 »

เป็นกำลังใจใหัเสมอครับ
ฝันดีนะครับ
 :man1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #24 เมื่อ17-01-2010 00:44:57 »

ฝันดีครับ :man1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #25 เมื่อ20-01-2010 00:26:06 »

 :man1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #26 เมื่อ20-01-2010 21:44:49 »

ฝันดีครับ :man1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #27 เมื่อ22-01-2010 01:51:58 »

เป็นกำลังใจให้เสมอ
ฝันดีครับ :man1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #28 เมื่อ23-01-2010 01:38:38 »

ราตรีสวัสดิ์ครับ :man1:

CaroL

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น)จันทราพันธะสัญญา
«ตอบ #29 เมื่อ24-01-2010 02:15:14 »

เป็นกำลังใจให้ครับ ฝันดีครับ :man1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด