(เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)  (อ่าน 39545 ครั้ง)

chantana

  • บุคคลทั่วไป
+1 ให้จ้า

รอมานานนับอสงไขย  อยากอ่านต่ออะ   :impress3:

รอนะ :call: 

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
 :z2: มีนิยายดีๆ ภาษาสวยๆมาให้อ่านกันอีกแล้ว
ขอหวานเยอะๆ ขมนิดเดียวนะจ๊ะ

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
ว้าว  ย้อนมิติกันแล้ว  อิอิ

กระต่ายชมจันทร์

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ะ เรื่องโบราณล่ะ~

สู้ ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ เข้าใจตอนบอกว่ากว่าจะคลอดแต่ละตอนเพราะต้องหาข้อมูลนี่ลำบากขนาดไหนเลยค่ะเพราะต่ายเองก็แต่งเรื่องนึงที่ต้องค้นข้อมูลเหมือนกัน - -' 

แอบขำชื่อนายเอกนิดหน่อยค่ะ ทองด้วง...เห็นชื่อใหม่ก็ด้วงตอนแรกนึกว่ากลายเป็นพดด้วงเสียอีกนะเนี่ย 555+

มีคำผิดนิดหน่อยแต่ง่วง ๆ เลยลืมก๊อปมาเสียสนิท มันจะมีอย่างไม่ได้กดชิพด้วยน่ะค่ะ เช่น ก้ อะไรแบบนี้

ชอบกลอนจังเลยค่ะ แต่งเองหรือเปล่าคะเนี่ย?

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ ๓

แสงสีทองค่อยๆลอดผ่านม่านตาเมื่อผมปรือเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ ซากปรักของวัดราชบูรณะแปรเปลี่ยนเป็นพัทธสีมาสีทองอร่ามวับวาม พี่ทองไชยแย้มยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะแตะไหล่พาผมเดินดูรอบๆบริเวณ
“ที่นี่คงเป็น...”
“ใช่แล้ว ภาพที่เจ้าเห็นคืออโยธยาศรีรามเทพนคร รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าสุริยาศน์อมรินทร์ วัดราชบูรณะเป็นอารามหลวงเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าสามพระยา”พระยาไชยตอบก่อนจะหันมาทางผม “งดงามใช่ไหม ทองด้วงน้องพี่”
“ครับ งดงามมาก วิจิตรดังวิมานบนสวรรค์”
“วัดเวียงวังในชอบชัณฑ์อโยธยานั้นงดงามดั่งปราสาทบนทิพยมานบนสรวงสวรรค์ พวกฝรั่งมังฆ้องแลบาทหลวงชาวต่างชาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ พระยาไชยหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ที่เจ้าเห็นนั้นล้วนแต่ก่อสร้างด้วยทองคำทั้งสิ้น หากกรุงศรีอยุธยาไม่แตกพ่ายในวันนั้น ความงดงามที่เจ้าเห็นคงจักดำรงอยู่สืบไปให้ลูกหลานได้ยินยล พี่เศร้าใจนักที่ความวิจิตรเหล่านั้นถูกเผาผลาญด้วยพระเพลิงแห่งสงคราม”
“ผมก็เศร้าใจไม่แพ้พี่ทองไชยหรอกครับ เพราะเหตุนี้ผมถึงมาเป็นนักโบราณคดีไง...ว่าแต่ ทำไมผมถึงมองเห็นภาพเหล่านี้ พี่ทำยังไงถึงได้”
“พี่เนรมิตให้เจ้าเห็นเองด้วยบุญบารมีแลกฤษดาภินิหารของพี่ “
“แล้วที่พี่อยากให้ผมเห็น คงไม่ใช่ประวัติศาสตร์กรุงศรีหรอกใช่ไหมครับ”
“ทองด้วงเอ๋ย ความคิดแลสติปัญญาของเจ้ายังคงหลักแหลมมิเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเลย สมภารขาวแลพระเจ้าเอกทัศน์ถึงได้โปรดปรานเจ้านัก .... เอาเถิด พี่ดีใจที่เจ้ามิได้ตกอกตกใจเมื่อได้พบพี่เช่นนี้ พี่จะเล่าขานให้เจ้าฟังผ่านนิมิตของพี่เอง เจ้าทองด้วง”
ภาพปราสาทราชวังสีทองอร่ามเลือนหายไปอย่างรวดเร็วดังกระพริบตา ก่อนที่รอบข้างผมจะเปลี่ยนไปเป็นวัดแห่งหนึ่งที่ไม่ได้งดงามเหมือนวัดราชบูรณะในสมัยกรุงศรีอยุธยา
“แล้วที่นี่คือที่ไหนล่ะครับ”
“ที่นี่คือวัดหัวรอ ที่พี่กับเจ้าเคยศึกษาเล่าเรียนกับสมภารขาวตั้งแต่เด็กๆ”
พระยาไชยพาผมก้าวขึ้นไปยังศาลา ด้านบนมีเด็กๆไว้ผมแกละผมจุกจำนวนไม่น้อยนั่งเรียงราย ในมือของเด็กเหล่านั้นมีกระดานชนวนขนาดเล็กๆ และเบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับผมไม่มีผิด?! เขากำลังสอนให้เด็กๆเหล่านั้นท่องหนังสืออยู่
“เฮ้ย!!” ผมอุทานเสียงหลง เมื่อมาพบกับแฝดคนล่ะฝาในสมัยอยุธยาเช่นนี้
“มิต้องตกใจไปดอก ทองด้วง นั่นก็คือเจ้า...ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และภาพที่เจ้าเห็นนั้นก็เป็นเพียงนิมิตที่พี่อยากให้เจ้าเห็นเท่านั้น”
เด็กหนุ่มคนที่หน้าเหมือนผมสอนเด็กๆด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทรงผมทรงมหาดไทของเขาทำให้ผมนึกขำอยู่ในที มันทำให้ผมนึกถึงสมัยอยู่มัธยมต้นที่ต้องไว้ผมทรงนักเรียนกะลาครอบยังไงอย่างนั้น
“สมภารขาวเอ็นดูเจ้ามาก เพราะเจ้านั้นแตกฉานในวิชาอ่านเขียนนัก ถึงขั้นไว้วางใจให้ช่วยสอนการอ่านเขียนแทนท่านได้ หากแต่พวกไพร่ทาสในเรือนกลับพากันอิจฉาในวาสนาของเจ้า เพราะด้วยความสงสารที่แม่ของเจ้านั้นตายไปตั้งแต่เจ้ายังเด็ก อีกทั้งนางก็เป็นนางต้นห้องของแม่พี่ตั้งแต่สาวๆ ท่านเลยเอ็นดูเจ้ากว่าใครๆ พี่ก็ไม่คิดหรอก ว่าความน่าเอ็นดูของเจ้าจะขจรขจายมาถึงพี่ด้วย จนวันหนึ่ง พี่ถึงเพิ่งมาได้สติว่า ตัวพี่นั้น สิเน่หาเจ้าเยี่ยงบุรุษเพศที่มีต่ออิสตรีเสมอกัน “
ผมฟังคำบอกเล่าของพี่ทองไชยอย่างไม่เชื่อตัวเองนัก รักร่วมเพศมันมีมาตั้งแต่ยุคนั้นเชียวหรือ หากแต่ด้วยมารยาทผมกลับทำได้แค่ยิ้มเขินๆให้ดวงวิญญาณตรงหน้า
“ทองด้วงเอย แม้นการเป็นวิญญาณเยี่ยงพี่จักทำให้พี่ไม่มีเลือดเนื้อกายหยาบเหมือนมนุษย์เช่นเจ้า หากแต่พี่นั้นก็ได้ยินเสียงคำพูดในห้วงมโนของเจ้านะ เจ้าคิดอ่านประการใดก็จงพูดออกมาเถิด พี่ไม่ถือโทษโกรธเจ้าดอก “พระยาไชยยิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน
“เอ่อ.... ผมขอโทษครับ”
“พี่หาได้ถือโทษโกรธเจ้าดอก ทองด้วง พี่เข้าใจเจ้าดีว่าเจ้าคงจะงงงวยอยู่ไม่น้อย แลกาลเวลาที่ผ่านไปนับร้อยวสัตฤดูก็คงจะทำให้เจ้าลืมเลือนเรื่องราวของพี่กับเจ้าไป ด้วยเหตุนี้พี่ถึงได้รอคอยเจ้าที่นี่ พี่ปรารถนาเพียงให้ได้เจอเจ้าแลให้เจ้าได้ระลึกถึงเรื่องราวทั้งหมดระหว่างพี่กับเจ้าเท่านั้นแล น้องพี่”
“อะ...เอ่อ ครับพี่ทองไชย”

ทองด้วงในนิมิตก้าวลงจากศาลาเมื่อเขาสอนหนังสือแก่เด็กๆเสร็จ ผมพิจารณาร่างกายตัวเองในอดีตชาติก็พบว่า ทองด้วงดูผอมแห้งมากเมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์วัยเดียวกันในสมัยนั้น รวมถึงผิวพรรณที่ค่อนไปทางขาวเนียนเหมือนผู้หญิง

“นั่นแล น้องพี่ เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้ ความงามของเจ้าไม่แพ้หญิงใดในอโยธาเลยในสายตาพี่ อีกทั้งร่างกายเจ้าก็อ้อนแอ้นจนแทบจะแบกน้ำผ่าฟืนไม่ไหว หากไม่ได้ว่าคุณหญิงแม่พี่ท่านเอ็นดูเจ้าประหนึ่งลูกในไส้เสียแล้วล่ะก็ เจ้าคงเป็นบ่าวที่ไม่ได้ความที่สุดในอโยธยาศรีรามเทพนครเลยเทียว”
“พี่ทองไชยแอบอ่านใจผมอีกแล้ว” ผมพ้อ ด้วยความรู้สึกเหมือนขาดอิสระทางความคิด เพราะไม่ว่าจะคิดอะไร วิญญาณของพระยาไชยก็รู้เช่นเห็นชาติไปเสียหมด
“พี่มิได้ตั้งใจ ทองด้วงน้องพี่ ได้โปรดอย่าถือสาพี่เลย พี่แต่หยิกหยอกเจ้าเท่านั้น”
“เฮ้อ... ช่างมันเถอะครับ” ผมตัดบท ไม่อยากเอาชนะคะคานกับผี
“ทองด้วง เจ้ารู้ไหม” พระยาไชยเปลี่ยนเรื่อง “สมัยเด็กๆนั้นเจ้าก็โดนล้อเช่นนี้แล ด้วยความอ้อนแอ้นของเจ้า ทำให้พวกเด็กวัดชอบหาเรื่องแกล้งเจ้าบ่อยนัก หากไม่ได้พี่ช่วยขับไล่พวกอันธพาลเหล่านั้นไป เจ้าก็คงจะร้องไห้โยเยอยู่ท่ามกลางเด็กๆเหล่านั้นจนสายัณห์ต่ำคล้อยเลยเทียว”
“แหม ... เหมือนนิยายเล่นละสองบาทเลยนะครับ” ผมประชดอย่างไม่จริงจังนัก
“พี่ไม่รู้จักค่าอัฐของยุคเจ้า แต่พี่อยากจะบอกเจ้าว่า ทุกครั้งที่พี่นึกถึงภาพเหล่านั้น พี่ปลาบปลื้มใจนักที่ได้ปกป้องดูแลคนที่พี่นั้นรักจนหมดหัวใจ”
“เอ่อ...” ผมอึ้งกับคำพูดที่ซื่อตรงของพี่ทองไชย ถึงแม้นพี่ท่านจะเป็นผี แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่มาจากคำพูดและแววตาของเขา
ตัวผมในอดีตก้าวขึ้นเรือนหลังหนึ่งไป บนเรือนทีบ่าวไพร่มากมายทำงานต่างๆกันขวักไขว่ และเมื่อทองด้วงมาถึง ชายหนุ่มหน้าเหมือนพี่ทองไชยที่นั่งอยู่บนเรือนก็ส่งเสียงร้องเรียกทองด้วงที่เพิ่งขึ้นมาทันที
“ทองด้วงน้องพี่!!!”
“ขอรับ พี่ทองไชย พี่จะส่งเสียงดังแบบนั้นเพื่อการใดเล่า”
“อะพิโธ่ น้องพี่ ก็พี่ใจหายนี่นา ประเดี๋ยวพอพรุ่งนี้เช้าไก่ขัน ตัวพี่ก็ต้องเข้าไปทำงานรับใช้ใต้ฝ่าพระบาทแล้ว คงไม่ได้พบเจ้าอีกหลายเพลา”
“น้อยๆหน่อยเถิด ตาทองไชย แม่นั่งเป็นหัวตออยู่ตรงนี้ไม่ใคร่คิดบ่นหา กลับคร่ำครวญว่าจะขาดเพื่อนเล่น เราก็ไม่ได้เป็นเด็กๆแล้วนะ มันน่าจับเฆี่ยนเหมือนสมัยตีนเท่าฝาหอยจริงๆ” คุณหญิงพุดซ้อนตำหนิลูกชายด้วยรอยยิ้ม
“โธ่ ... แม่ก็ ก็ผมเอ็นดูเจ้าทองด้วงมันเหมือนท่านแม่นั่นแหละ ดูสิ ถ้าผมไม่อยู่ ใครจะคอยขับไล่ไอ้พวกเด็กวัดที่มันมารังแกน้องของกระผมเล่าขอรับ”
“กระผมโตแล้วนะขอรับพี่ทองไชย ไม่ได้เป็นเด็กน้อยไว้จุกเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีเด็กวัดที่ใดมารังแกได้ดอกท่านพี่ ขอให้พี่จงไปทำงานรับใช้พ่ออยู่หัวอย่างสบายใจเถิด ส่วนคุณหญิงนั้น กระผมจักดูแลท่านด้วยชีวิต ขอท่านพี่อย่าได้กังวลทางนี้เลย”
“ทองด้วงเอย เจ้าฤาจะปกป้องใครได้ ข้านึกไม่ใคร่เห็นว่าเจ้าจะทำได้เช่นนั้น แต่เอาเถิด ข้าปีตินักที่ได้ยินน้องรักของพี่พูดเช่นนี้ แท้จริงแล้วข้ามิได้ห่วงอันใดหรอก .... หากจะให้ตอบตามตรง ข้ามีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวมากกว่าในเพลานี้”
“อะไรฤา พี่ทองไชย”
แววตาของทองไชยหม่นลง ก่อนจะยิ้มให้กับน้องชายต่างสายเลือด “ไม่มีอันใดดอก ทองด้วงน้องพี่ .... เอาเป็นว่า คืนนี้พี่ขอร้องให้เจ้ามาอ่านกลอนให้พี่ฟังก่อนที่พี่จะไม่ได้ฟังอีกนานก็แล้วกัน น้องพี่ เจ้าติดขัดประการใดฤาไม่”
“ไม่มีขอรับ กระผมยินดี” ทองด้วงก้มหน้ารับช้าๆ “กระผมขอตัวไปช่วยงานในครัวก่อนนะขอรับ”
.
.
.
บรรยากาศรอบๆตัวผมค่อยๆมืดลง บ่าวไพร่เบื้องหน้าขยับกายว่องไวเหมือนหนังที่ถูกกด Fast Forward ก่อนที่บรรยากาศจะกลับคืนสู่ปกติช้าๆ เบื้องหน้าผมเป็นห้องชนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ พี่ทองไชยในนิมิตนุ่งกางเกงแพรสีกรมท่า เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผงอกและกล้ามท้องที่สมส่วนและผิวพรรณที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีสกุล พลางนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่ว่างเปล่า ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาเถิด ทองด้วงน้องพี่ พี่หาได้ขัดกลอนไว้ไม่”
ทองด้วงผลักบานประตูเข้ามาตามที่เจ้าของห้องสั่ง พร้อมด้วยกระดานชนวนในมือ ก่อนจะขัดกลอนประตูไว้
“ทิวานี้ช่างมืดหม่นนัก พี่เฝ้ามองหาดวงจันทร์และหมู่ดาราที่หนใดบนท้องฟ้าแต่ก็หาพบไม่”
“ก็วันนี้เป็นวันแรมนี่ขอรับ พี่ทองไชยจักหาความสุกสกาวจากดาวดวงใดได้เล่า”
“แต่พี่ใคร่อยากให้คืนสุดท้ายของเรานั้นเป็นคืนที่น่าจดจำที่สุด”
“คืนสุดท้ายที่ไหนกันขอรับ กระผมแลพี่ทองไชยหาได้ตายจากกันไปเลยเสียที่ไหน”
 “เอาเถิด ทองด้วงน้องพี่ พี่คร้านจะต่อความกับเจ้า พี่ไม่เคยจะอัปราชัยสักครั้งหากเราได้ถกเถียงกันด้วยถ้อยคำ .... ทองด้วงน้องพี่ พี่อยากฟังบทกวีของเจ้าเสียแล้วในเพลานี้ เจ้าจะเริ่มเลยฤาไม่”
“ได้สิขอรับ” ทองด้วงรับคำ ก่อนจะเริ่มเอื้อนเอ่ยขึ้น

“ขอลาแล้วแก้วตาดวงใจ   พี่จะไปรับใช้พ่ออยู่หัว
อยู่แนวหลังสั่งไว้อย่าได้กลัว   ประเดี๋ยวผัวกลับมามิช้านาน
ฝากพ่อแม่ด้วยหนาแก้วตาเอ๋ย   อย่าละเลยเฉยชานะตาหวาน
ระวังใจห้ามใครมาแผ้วพาน   อยู่ทางบ้านรอผัวตัวกลับมา
เพลานี้พี่ใคร่เป็นคนธรรพ์   ห้ามตะวันผุดแสงมาส่องหล้า
ให้วันพรุ่งหามีไม่ในโลกา   ให้ตัวข้ากอดเจ้าไว้ใต้แสงจันทร์
ไก่จะขันเสียแล้วแก้วตาจ๋า   สูรย์จะมาเยือนโลกพี่โศกศัลย์
ถึงพี่ไกลใจอยู่คู่ลาวัลย์   แม่จอมขวัญคอยหน่อยเถิดกลอยใจ”

“บทกวีของเจ้ายังไพเราะจับจิตเช่นเดิมนะทองด้วง ยิ่งทำให้ข้าอดใจหายไม่ได้ที่อีกนานกว่าข้าจะได้ยินได้ยลอีกครา”
“ขอบคุณขอรับพี่ทองไชย พี่อย่าได้ทอดถอนใจไปเลย เกิดเป็นชายชาติทหารนั้นมิควรมาหลงใหลในความงดงามของโคลงฉันท์กาพย์กลอนดอกพี่ หน้าที่ของชายชาตรีคือการดูแลปกป้องบ้านเมืองถึงจะบังควร” ทองด้วงเสตามองไปยังฟ้าหม่นเบื้องหน้า “พี่ทองไชยรู้หรือไม่ ว่าข้านั่นอิจฉาท่านนัก ทั้งชาติกำเนิดดท่านก็สูงส่ง ร่างกายก็กำยำสมกับเป็นชายชาติทหาร ในขณะที่ตัวข้านั้นกลับอ้อนแอ้นเยี่ยงสตรีเช่นนี้”
“ทองด้วงน้องพี่ เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธชะตาวาสนาตนเองเช่นนั้น ถึงเจ้าจะไม่ได้เป็นเหมือนพี่ แต่สวรรค์ก็ส่งความสามารถอันประเสริฐในร้อยกรองให้แก่เจ้ามิใช่ฤา -- น้องพี่ ฟังพี่นะ ไม่มีผู้ใดที่เพียบพร้อมไปเสียหมดดอก”
“ข้ารู้สัจธรรมข้อนั้นดี พี่ทองไชย .... แต่ข้ากลับคิดว่าบางทีพี่ชายของข้าผู้นี้อาจจะเป็นข้อยกเว้นของสัจธรรมข้อนั้นก็เป็นได้นะขอรับ” ทองด้วงยิ้มให้
“หามิได้ ทองด้วงน้องพี่ พี่มิได้สมบูรณ์เพียบพร้อมเช่นนั้นดอก”
“แล้วพี่ทองไชยยังใฝ่หาสิ่งใดเล่า”
“ความรักนั่นไง ทองด้วงน้องพี่”ทองไชยยิ้มมุมปากทว่าแฝงความรู้สึกเศร้าๆอยู่ลึกๆ
“อะพิโธ่  กระผมก็นึกว่าเรื่องอันใด พี่ทองไชยจักรีบร้อนไปไย พี่เองก็เพิ่งบวชเรียนมาไม่นาน จะรีบร้อนมีคู่ครองไปเพื่อเหตุใดเล่า”
“หาได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดดอก ทองด้วง ความจริงแล้วไซร้ พี่ชายของเจ้าคนนี้มีวาสนาความรักที่น่าสงสารกว่าที่เจ้าคะเนมากนัก”
“แล้วมันเป็นเช่นไรฤาขอรับ พอจะเฉลยให้กระผมเข้าใจได้ไหม”
“ความรักของพี่คงมิอาจเป็นไปได้”
“เพราะอะไรฤาขอรับ ด้วยศักดินาของท่านออกญาแลคุณหญิงก็น่าจะไปสู่ขอลูกสาวบ้านไหนๆได้ทั่วราชธานีอโยธยาศรีรามเทพนคร แล้วไฉนเลยพี่ทองไชยถึงได้กล่าวกับข้าเช่นนี้”
ทองไชยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมามองทองด้วง “เจ้าอยากรู้จริงๆฤา”
“หากพี่ทองไชยประสงค์อยากให้น้องชายคนนี้รับรู้”
ลูกชายออกญายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวางมือลงบนเตียง
“ขึ้นมานั่งข้างๆพี่สิ น้องรักของพี่”
ทองด้วงทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนที่ทองไชยจะใช้มือข้างเดียวกันนั้นแตะที่อกข้างซ้ายของบ่าวในเรือนคนนี้
“นั่นเพราะข้าปรารถนาในร่างกายแลหัวใจของเจ้าอย่างไรเล่า ทองด้วงเอย”
“คุณพระ!!!” ทองด้วงอุทาน “พี่ทองไชยมิควรจะพูดจาบัดสีหยอกกระผมเยี่ยงนี้ พระพรหมท่านจะทรงฟาดอสุนีบาตมาสู่เราทั้งคู่ได้”
“ข้าขอโทษ ทองด้วงน้องพี่ หากแต่พี่ยืนยันว่าที่ตัวพี่พูดทุกถ้อยคำนั้นล้วนกลั่นถ้อยร้อยวจีมาจากดวงใจที่แท้จริงของพี่ ข้ารักเจ้านัก และรักเจ้ามานานแล้ว ทองด้วงเอย”
“พี่ทองไชย!!!”
“พี่รู้ดี ความรักของพี่นั้นผิดจารีตประเพณีหากแต่ขึ้นชื่อว่าความรักแล้ว มักจะหาเหตุผลมารองรับไม่ใคร่ได้นัก เหมือนที่โบราณท่านว่าความรักทำให้คนหูตามืดบอดกระนั้นแล”
“พี่ทองไชยกำลังหูตามืดบอด จนเผลอพูดจาผิดปกติไปแล้วแน่ไซร้ ข้ามั่นใจเช่นนั้น”
“เจ้าพูดถูก ทองด้วงน้องพี่ และแม้ว่าตัวพี่จักปรารถนาให้เจ้านั้นคิดเช่นเดียวกับพี่ หากแต่พี่ก็ไม่ใคร่ฝืนใจเจ้าได้ดอก เพียงแต่พี่ประสงค์เพียงอยากจะขอร้องเจ้าสักหนึ่งประการเท่านั้น”
“อะไรฤาขอรับ”
“พี่ต้องการให้เจ้านอนกับพี่คืนนี้ ขอให้พี่ได้มีเจ้าอยู่ข้างกายในอ้อมกอดของพี่ เพียงเท่านั้นจะได้ไหมเล่าทองด้วงน้องพี่”
“เอ่อ... พี่ทองไชย”
ทองไชยหลุบตาต่ำ อย่างรู้สึกผิด “พี่ขอโทษที่ขอร้องเจ้าบัดสีเช่นนั้น เอาเถิด เจ้ากลับเรือนของเจ้าไปได้แล้ว วันพรุ่งค่อยพบกัน น้องพี่”
ทองด้วงหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้นมา “ดับไฟเสียเถิด พี่ทองไชย ประเดี๋ยววันพรุ่งเราคงตื่นสายกันพอดี”
บ่าวหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างอายๆ พลางเสตาหนีไปทางอื่น และจากกริยาท่าทางของทองด้วงนั้น ก็ทำให้ทองไชยฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณบ่าวผู้นั้น
“พี่ขอบคุณเจ้ามาก น้องรักของพี่”
เปลวไฟจากตะเกียงเจ้าพายุถูกหรี่จนดับลง ก่อนที่ทองด้วงจะค่อยๆยกเท้าขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงของลูกชายออกญา อึดใจเดียวร่างกายของเขาก็ถูกโอบกอดด้วยวงแขนแกร่งของทองไชย เสียงลมหายใจของทั้งคู่แว่วชัดในความเงียบ เจ้าของเตียงหลับใหลลงในเวลาไม่นานในขณะที่คนที่อยู่ในอ้อมกอดกลับนอนตาแป๋วอย่างครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้ตัดสินใจทำลงไป ....อีกทั้งความอบอุ่นที่ได้รับจากชายผู้นี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่า เหมือนตัวเขาต้องการมันมากกว่าแค่คืนนี้
.
.
.
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์พร้อมกับที่รอบๆตัวผมกลับกลายเป็นซากปรักหักพังของวัดราชบูรณะดังเดิม หากแต่พระยาไชยสุริเยนทร์ยังยืนยิ้มให้ผมอยู่
“ใบหน้าของเจ้ายามหลับตาลงยังน่ายลเหมือนอดีตไม่มีผิด ทองด้วงน้องพี่”
“เป็นนิมิตที่งดงามและน่าเศร้ามากเลยครับพี่ทองไชย ครั้งหนึ่ง ผมกับพี่ทองไชยเราเคย....เอ่อเป็นแบบนั้นกันจริงๆหรอครับ”
“ถ้าพี่บอกว่าจริงเจ้าจะเชื่อไหมเล่า .... ทำไมเจ้าไม่ฟังเรื่องราวที่พี่อยากให้เจ้าเห็นต่อไปล่ะ เจ้าจะได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ถ่องแท้ขึ้น”
“ถ้าอย่างนั้นก็ ช่วยนิมิตให้ผมเห็นอีกสิครับ” ผมยิ้ม เรื่องราวความรักของผมในอดีตชาติก็น่าตื่นเต้นไม่น้อยหรอก หากแต่ความเป็นนักโบราณคดีของผมทำให้ผมรู้สึกว่า ภาพเหล่านั้นเหมือนกับหนังสืออ้างอิงชั้นดีที่จะทำให้ผมมองเห็นภาพประวัติศาสตร์ในอดีตชัดเจนขึ้น
“เจ้าดูเป็นคนที่เฉโกขึ้นด้วยนะ ทองด้วง” พระยาไชยสุริเยนทร์ยิ้มขัน ก่อนจะพูดต่อ “แต่ไม่เป็นไรดอก เพราะข้าเองก็ปรารถนาจะให้เจ้าเห็นแลเข้าใจทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ราตรีนี้คงจะดึกเกินไปที่เจ้าจะได้พบเห็นเรื่องราวต่างๆต่อไป เจ้าจงกลับเคหะสถานของเจ้าไปก่อนเถิด ทองด้วงน้องพี่ แล้วคืนวันพรุ่งพี่จะเล่าให้เจ้าฟังอีกครั้งหนึ่ง”
“เล่าให้หมดเลยวันนี้เลยไม่ได้หรอครับ พี่ทองไชย”
“มิได้ดอก ทองด้วงเอย การถอดจิตไปดูอดีตชาติเป็นเวลานานๆนั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อกายหยาบของเจ้านัก น้องพี่จงกลับไปพักผ่อนเสียเถิด พี่สัญญาว่าเราจะได้เจอกันอีกแน่นอนตราบที่เจ้าปรารถนาอยากจะพบพี่ที่อารามหลวงแห่งนี้”
“ก็ได้ครับ พี่ทองไชย เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ผมรับคำอย่างเสียดาย ก่อนจะก้าวออกจากประตูวัดไป
ผมหันหลังกลับมาอีกครั้งก็พบว่าพี่ทองไชยโบกมือให้ผมช้าๆอยู่บนปรางค์ประธาน ถึงภาพนั้นจะทำให้ผมขนลุกอยู่เล็กน้อย แต่ผมก็เลือกที่จะโบกมือลาพี่ทองไชยก่อนจะก้าวขึ้นรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน 


ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
เขียนเรื่องนี้เหนื่อยแต่สนุกมากกว่าเพราะได้ใช้คำหรูหราสะใจดี
ขอบคุณที่ชมว่าใช้คำสวยด้วย
ส่วนคำว่าอสงไขย นั้น ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่า ผมค่อนข้างจะใช้พร่ำเพรื่อในนิยายเรื่องนี้มาก นั่นเพราะผมก็ชอบมากเหมือนกัน

ส่วนที่ว่าเขียนดีมั้ยนั้น ผมว่าผมยังเขียนไม่ดีเท่าไหร่หรอกครับ
(มีพีเอ็มมาท้วงหลังไมค์พอสมควรเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่าง)
แต่ไม่โกรธจริงๆนะครับ ขอบคุณเสียด้วยซ้ำ ที่ทำให้นิยายเรื่องนี้สมจริงยิ้งขึ้น

อ้อ ในตอนแรก แอบไปแก้ไขตามที่มีคนท้วงมาเรื่องการนับวันเดือนปีสมัยอยุธยานะครับ
คือ สมัยนั้นเค้าจะบอกเป็นวันข้างขึ้นข้างแรม ปีนักกษัตริย์ ร่วมกับจุลศักราช
ไม่ใช่บอกเป็นเดือนมีนาเมษาเหมือนปัจจุบัน
(เราเพิ่งมีเดือนมีนาเมษาตอนสมัย จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม)
ดังนั้น ในวันที่ 7 เมษายน จศ. 1129 นั้น ผมเลยแก้ไขเป็น
วันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน จุลศักราช 1129 ครับ

อ้อ ส่วนหัวเรื่องอัพเดท เผื่อมีคนงง จุลศักราช 1374 มาจาก พศ. 2555 นั่นเองครับ
(มาจาก 2555 ลบด้วย 1181 ดามวิธีการนับ จุลศักราช)

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
ส่วนเศร้าไม่เศร้า ไม่ขอสปอยครับ  :laugh:

เพิ่งมาอ่านเจอ ฉันท์ที่พ่อทองด้วงเขีนในตอนที่ 2 กับนิราศในตอนที่ 3 นั้น ผมแต่งเองครับ
แต่เพลงในบทแรกเป็นเพลงของ พ่อชินกร ไกรลาสครับ ชื่อเพลงอิฐเก่าเล่าตำนาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2012 21:14:02 โดย Glorious »

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อยากรู้สาเหตุที่ทองไชยต้องรอคอยมานานานขนาดนี้
รออ่านน๊า

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
นับถือในการหาข้อมูลและการใช้ภาษาจริงๆค่ะ o13

ทองไชยต้องทำให้ทองด้วงน้อยเข้าใจผิดและตายจากก่อนจะรู้ความจริงแน่ๆเลย

รอติดตามตอนต่อๆไปค่ะ

+1และเป็ด

tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
พี่ทองไชยดูเป็นคนอบอุ่นจัง

เนื้อเรื่องสนุกมาก รออ่านอยู่เน้ออ


ออฟไลน์ Allure-Q

  • Just the way you are
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 267
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
โอ้ววววว....ย้อนยุค o13
ติดตามตอนต่อไป :z2:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
เศร้า ไม่เศร้า พระเอก-นายเอก ก็พลัดพรากจากกันแต่ชาติก่อน บัดนี้ก็อยู่กันคนละภพ คนละชาติเองเนอะ  :m23:
การที่พี่ทองไชยยังอยู่แบบนี้คงมีเรื่องค้างคาอะไรสักอย่าง ลุ้นให้พี่บรรลุจุดมุ่งหมาย
เพื่อจะได้ไปเกิดชาติภพใหม่ได้ครองคู่กับน้องทองด้วงสักที... (แต่ชาตินี้ไม่น่าทันนะ  :m21: )
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2012 19:03:34 โดย Cherry Red »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
แล้วความรักของทั้งสองคนในชาติก่อน จบลงแบบไหนแต่คงไม่แฮปปี้ล่ะมั้ง

ดำเนินเรื่องด้วยภาษาเก่าๆ แบบนี้เพราะดีนะคะ 

wdaisuw

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วใจหวิวๆ น้ำตาปริ่มๆ
ชอบบรรยากาศแบบนี้จังค่ะ

แล้วการเกี๊ยวกันในสมัยก่อนก็งดงามหวานซึ้งผิดกับยุคปัจจุบัน
พออ่านทีไรก็ทำให้เขินได้ตลอดเลยค่ะ :o8:

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ ๔

ผมมาทำงานในตอนเช้าด้วยความกระสับกระส่ายเล็กน้อย แสงอาทิตย์สาดส่องข้ามยอดปรางค์วัดราชบูรณะทำให้ผมนึกถึงเรื่องเหนือธรรมชาติเมื่อคืน และคืนนี้ ผมก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าผมจะไปฟังเรื่องราวจากพระยาไชยสุริเยนทร์อีก แม้ว่าจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งเร้นลับก็ตาม ผมออกจะตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ไม่รู้สึกหวาดกลัววิญญาณตนนั้นเลย น่าแปลกที่ ลึกๆแล้วผมกลับรู้สึกมีความผูกพันกับพี่ทองไชยอย่างประหลาด เรื่องเล่าจากนิมิตของท่านนั้นอาจจะเป็นความจริงก็ได้
“อรุณสวัสดิ์ ด้วง” พี่ยงทักทายผมในตอนเข้า ก่อนจะมานั่งลงข้างๆ
“ครับพี่ กินข้าวหรือยังครับ”
“เรียบร้อยแล้ว เราล่ะ มาแต่เช้าเลยนะวันนี้”
“ครับ ก็ทำตัวเหลวไหลมานี่นา ก็ต้องทำดีเอาหน้าเสียหน่อย”
“ช่างเจรจานะเรา เอาเถอะ พี่ขอตัวก่อนแล้วกัน”

พี่ยงจากไปเงียบๆเหมือนเคยก่อนที่ผมจะกลับครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ผมนั่งค้นคว้าจากหนังสือเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาสมัยก่อนกรุงแตกเพื่อหาชื่อของพระยาไชยสุริเยนทร์ในนั้น แต่ก็ไม่เจอ
สาเหตุที่ผมอยากรู้เรื่องราวของพี่ทองไชยให้มากกว่านี้ นั่นก็เพราะผมอยากรู้ปูมหลังของวิญญาณตนนั้นบ้าง บางทีการฟัง อย่างเดียวก็ทำให้ผมอึดอัดอยู่ไม่น้อย เหมือนคนที่อยู่ในที่มืดกับที่แจ้ง ที่ผมไม่สามารถล่วงรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย

ผมตั้งใจทำงานให้ช้าลงกว่าปกติ จนได้เวลาเลิกงาน พี่ยงก็มาทักผมเหมือนทุกวัน
“ไม่กลับบ้านหรอเรา ฮึ”
“อ่า งานยังไม่เสร็จเลยครับ”
“งั้นหรอ.... พี่ให้งานเยอะไปหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่หรอกครับพี่ ผมคงทำช้าไปหน่อย พี่กลับบ้านเถอะครับ ผมขอเคลียร์งานอีกหน่อยก็จะกลับแล้ว”
“อืม งั้นดูแลตัวเองด้วยนะ พี่กลับแล้ว”

พี่ยงทิ้งผมไว้เบื้องหลังลำพังตามที่ผมตั้งใจไว้ ก่อนที่ผมจะหลับตาลงช้าๆ รอคอยให้ตะวันตกดิน
.
.
.
“พี่ทองไชย พี่ทองไชยครับ ผมมาแล้ว” ผมส่งเสียงเรียกกลางโถงประธานวัดราชบูรณะตอนเวลาราวสองทุ่มกว่า ไม่นานนักลมเย็นยะเยียบก็พัดผิวกายของ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกคุ้นหูจากทางด้านหลัง
“พี่มาแล้ว ทองด้วงน้องพี่ พี่ดีใจนักที่เจ้ารักษาคำมั่นว่าจักมาให้พี่ในคืนวันนี้”
ผมหันไปตามเสียงพูดของวิญญาณตนนั้นที่กำลังยิ้มให้ผมจากด้านหลัง พร้อมกันนั้น ดอกแก้วกลีบขาวสะอาดก็ปรากฏขึ้นมาเหนือฝ่ามือของพี่ทองไชย กลิ่นของมันหอมฟุ้งขจรขจายจนผมเผลอหลับตาดอมดมกลิ่มนั้นอย่างลืมตัว
“เมื่อก่อนนั้น ทั้งพี่แลเจ้าต่างชมชอบในกลิ่นรัญจวนของดอกแก้ว จนเจ้านั้นปลูกต้นของมันไว้รอบเรือนเลยเทียว”
“แต่มันก็หอมจริงๆนะครับ พี่ทองไชย”
พี่ทองไชยคว้ามือผมขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะวางดอกแก้วดอกนั้นลงบนฝ่ามือของผม บรรยากาศรอบๆตัวแปรเปลี่ยนกลับไปในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง ก่อนที่พระยาไชยจะสบตาผมด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ถัดไปด้านหลังของพระยาไชย ตัวผมและพระยาไชยในอดีตชาตินั่งอยู่ในเรือนริมน้ำ โดยตัวพี่ทองไชยกำลังนอนหนุนตักของผมอยู่
“ข้าคิดถึงเจ้านัก ทองด้วงน้องพี่ เจ้าจะรู้บ้างหรือไม่ว่าดวงใจของพี่นั้นแทบจะแยกออกเป็นสองซีกยามที่พี่พึงทำได้แค่จินตนาการถึงใบหน้าของเจ้าบนนภายามราตรี”
“พี่ทองไชยขอรับ พี่มิควรจะเอื้อนเอ่ยเช่นนั้นนะขอรับ ท่านคงจะเคยได้ยินโบราณท่านว่า หน้าต่างมีหูประตูประตูมีตา หากบ่าวไพร่มาได้ยิน พวกมันคงจะนำไปนินทากันสนุกปากแท้ๆเทียว”
“แต่เพลานี้หามีใครไม่ ทองด้วงยอดดวงใจของพี่ ไฉนเลยเจ้าต้องถือโทษโกรธพี่ที่พี่นั้นได้ระบายความสิเน่หาที่เอ่อล้นอุราของพี่ เอ็นดูพี่สักหน่อยเถิด หากมิให้พี่ได้เอื้อนถ้อยร้อยวาจาออกมา พี่คงจะอกแตกตายเป็นแน่ไซร้”
“ความรักของพี่ทองไชยเปรียบเหมือนมะม่วงสุกที่ออกผลใต้พื้นพสุธาที่หามีไม่ในสากลโลก ตรองดูสักหน่อยเถิด กระผมคิดว่าหากเราจะหยุดสิเน่หาต่อกันไว้เพียงเท่านี้...”
“สิเน่หาต่อกัน...?.” พระยาไชยยิ้มอย่างมีความสุข “นั่นหมายความว่า ทองด้วงน้องพี่มีความในเข่นเดียวกับที่พี่รู้สึกต่อเจ้าใช่หรือไม่ ทองด้วงเอย”
ทองด้วงถอนหายใจ พลางทอดสายตามองระลอกน้ำสีดำทะมึนยามราตรี “นั่นหาใช่สาระสำคัญดอกขอรับพี่ทองไชย กระผมคิดว่าเราควรจะหยุดมันไว้แค่ตรงนี้ที่เราพอจักหักห้ามมันลงได้เสียแต่เนิ่นๆ”
“ได้โปรดเถิด ทองด้วงน้องพี่ อย่าได้เอื้อนเอ่ยวาจาเช่นนั้นเลย เพราะมันทำให้ดวงใจของพี่ร้าวรานดังถูกมีดกรีดลงตรงกึ่งกลาง .... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พี่ขอให้คำสัจจาธิษฐานต่อเจ้า ต่อหน้าเจ้าพระยามหานที ว่าความรักของพี่ที่มีต่อเจ้านั้นจักมั่นคงประหนึ่งเสาเอกแห่งพระบรมมหาราชวัง แลจักคงไว้นิรันดร์ตราบอสงไขยเวลา”
“มิมีดอกพี่ สิ่งใดที่จักอยู่นิรันดร์ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้แลแสดงให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้รู้ได้เห็นแล้วว่า ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แลดับไป “
ทองไชยลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะลูบหัวของทองด้วงเล่นอย่างเอ็นดู “พี่คงไม่สามารถจะเอาชนะเจ้าได้สักเรื่องเลยสินะ ทองด้วง แม้แต่ดวงใจของพี่ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แล้วนี่เจ้ายังทำให้พี่อับจนถ้อยคำอีกแล้ว”
“หามิได้ดอกขอรับ พี่ทองไชย กระผมเพียงแต่พูดให้ฟังด้วยเหตุผลเท่านั้น”
“แต่พี่ยืนยัน ว่าพี่นั้น....รักเจ้าเสมอหนึ่งชีวิตของพี่ รองจากบ้านเมืองแลบิดรมารดา ข้ายกให้เจ้าเป็นคนสำคัญเหนือใครทั้งปวงในอโยธยาศรีรามเทพนคร”
“เอาเถิดพ่อ กระผมเองก็คร้านจะห้ามพี่ทองไชยแล้ว”
“เจ้าก็ควรที่จะปล่อยให้พี่....แลตัวเองทำตามความรู้สึกนึกคิดบ้าง”
“หากกระผมมิตามใจพี่ คืนนั้นพี่ทองไชยคงได้นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง”
“แล้วดวงใจของเจ้าเล่าน้องพี่ เจ้าได้ปล่อยให้มันคิดอย่างอิสระแล้วหรือยัง”
ทองไชยคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไปแนบหน้าอกของตน ก่อนจะคว้าตัวเขาเข้ามากอดไว้แน่น “ หากเจ้าเชื่อมั่นในสัญญาของชายชาติทหารเยี่ยงพี่ ขอให้เจ้าจงปล่อยใจอย่าได้ยึดติดกับจารีตต่างๆเลย หากว่าดวงใจของเจ้านั้นคิดอ่านเช่นเดียวกันกับตัวพี่ แลพี่ขอให้เจ้าอดทนรออีกสักหน่อย พี่สัญญาว่าเราทั้งคู่จักได้ใช้ชีวิตร่วมกันดังคู่ผัวตัวเมียในที่ที่ๆไกลแสนไกลโดยที่เจ้ามิต้องเกรงกริ่งว่าจะมีผู้ใดมาครหาเจ้า พี่ขอให้คำมั่น”
ทองด้วงค่อยผละกายออก ด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดาอารมณ์เบื้องลึก “พี่ทองไชยขอรับ ได้โปรดอย่าคิดอ่านดังนั้นเลย พี่เป็นบุตรชายคนเดียวของท่านออกญา หากท่านทำดังเช่นที่ท่านให้คำมั่นแล้วไซร้ ผู้มีพระคุณของกระผมทั้งสองคนคงจะแช่งชักตัวกระผมจนต้องตกนรกอยู่ในอเวจีมหาโลกันต์เป็นแน่”
“แล้วพี่เล่า ทองด้วงเอย เจ้ามิเห็นใจพี่บ้างฤา”
ทองด้วงถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านได้ยลแลได้กลิ่นของพุ่มดอกแก้วรอบๆเรือนของกระผมหรือไม่ขอรับ”
“กลิ่นของมันช่างหอมจรุงใจนัก น้องพี่ ว่าแต่ เจ้าปลูกต้นแก้วเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พี่ไม่ยักสังเกตเห็น”
“มินานเท่าไหร่ดอกขอรับ แท้จริงแล้วกระผมปลูกต้นแก้วเหล่านี้ไว้เพื่อเตือนใจตนเอง ถึงกลิ่นของมัน”
“กลิ่นของดอกแก้ว?”
“ขอรับพี่ทองชัย....กลิ่นของดอกแก้วจักหอมจัดตอนราตรี เหมือนเช่นตัวพี่แลตัวกระผมที่เราจักได้มาพบกันแค่ในเพลานี้เท่านั้น ในยามกลางวันเรากลับต้องประพฤติตนต่อกันได้เพียงนายกับบ่าว .... พี่ทองไชยคิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสัมพันธ์ที่สามารถดำเนินไปจนนิรันดร์แลอสงไขยดังที่พี่เอ่ยวจีได้ฤา”
“ทองด้วงน้องพี่!”
“ความรักต้องห้ามนั้นจักได้ประโยชน์อันใดเล่าพี่ รังแต่จะทำร้ายจิตใจเรื้อรังประหนึ่งแผลผุพองที่ไร้ทางรักษา กระผมถึงใคร่เตือนเราทั้งคู่ว่าเราควรจักหยุดมันไว้ตั้งแต่ยังเป็นเพียงสะเก็ดแผลเล็กๆ มิควรปล่อยให้มันลุกลาม”
“อันความเสน่หานั้นไซร้หาใช่แผลร้ายดังที่เจ้าคิด พี่ดีใจนักที่เจ้าเองก็มีไมตรีจิตเช่นเดียวกับที่พี่คิดอ่าน ขอให้น้องพี่อดทนแลเชื่อใจพี่เถิด สักวันหนึ่งพี่จักทำให้เจ้าแจ้งชัดว่ารักของพี่นั้นยิ่งใหญ่ปานใด”
“กระผมคร้านจะจำนรรจ์กับพี่ทองไชยแล้ว กลับเรือนไปเสียเถิดขอรับ นี่ก็หลายยามแล้ว”
ทองด้วงหันหลังให้ทองไชย และนั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถือโอกาสประทับรีฝากลงบนแก้มนวลที่หอมแป้งร่ำอ่อนๆของบ่าวหนุ่มผู้นั้น เจ้าของปรางหันมาค้อนอีกฝ่าย หากแต่เขาก็ต้องอ่อนท่าทีลงเมื่อเห็นแววตาหม่นๆของผู้เป็นนาย
“ทองด้วงเอย พี่ใคร่อยากจะอยู่กับเจ้าเสียที่นี่ในคืนนี้นัก แต่เอาเถิด เพื่อความสบายใจของเจ้า พี่จักกลับเรือนไปบัดเดี๋ยวนี้”

.
.
“พี่ทองไชยในตอนนั้นน่ากลัวจังแฮะ” ผมพูดอย่างหวาดๆ เมื่อบรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนกลับมาสู่ยุคปัจจุบันอีกครั้ง คำพูดของผมทำให้วิญญาณเบื้องหน้าย่นคิ้วอย่างสงสัย
“พี่น่ากลัวเยี่ยงไรฤา พี่หาได้แหวกอกถลกตาให้เจ้าดูรึก็ไม่”
“ไม่ใช่อย่างนั้นพี่ คือแบบยังไงดีล่ะ พี่ดูตรงไปตรงมาต่อความรู้สึกจนน่ากลัว ผมคิดว่าผมเข้าใจทองด้วงตอนนั้นนะ เขาคงอึดอัดไม่น้อยที่ถูกพี่พูดจากับเขาแบบนั้น”
“ความซื่อตรงของพี่นั้นน่ากลัวอย่างนั้นเลยรึทองด้วง พี่ไม่เข้าใจนัก”
“ไม่รู้สิครับ ผมคิดว่าทองด้วงคงต้องการเวลาในการถามตัวเองสักหน่อย สังคมสมัยนั้นไม่ได้เปิดกว้างในเรื่องรักร่วมเพศเท่ากับสมัยนี้”
“จุลศักราชนี้บุรุษเพศสามารถที่จะรักกันฉันท์สวาทกันได้แล้วรึ ทองด้วงน้องพี่” แววตาของพี่ทองด้วงดูตื่นเต้นเมื่อได้ยินผมพูด
“เอ่อ.... ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กันอย่างหลบๆซ่อนๆเหมือนเมื่อก่อน ตุ๊ด...เอ่อ คือผู้ชายใจหญิงที่แต่งตัวเลียนแบบผู้หญิงก็มีให้พบเห็นเยอะแยะในยุคนี้น่ะครับ”
“จริงรึ น่าตกใจนัก .... แล้วเจ้าล่ะ ทองด้วงน้องพี่ ในชาติภพนี้เจ้า เอ่อ....สิเน่หาในบุรุษเพศเหมือนดั่งกาลก่อนหรือไม่“
“เอ่อ” คำถามของพระยาไชยทำเอาผมสะดุ้ง “ไม่รู้สิครับ อาจจะก็ได้มั้ง “
ผมเลือกจะตอบอ้อมๆ ถ้าตาพระยาไชยนี่เป็นคนล่ะก็ ผมอาจจะโดดถีบเลยก็ได้ที่มาถามกันแบบนี้ แต่เผอิญเป็นผี ผมเลยออกลูกเกรงใจไปหน่อย
พระยาไชยอมยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้าลืมไปแล้วฤา ว่าพี่ได้ยินเสียงในใจเจ้า”
“ไอ้บ้า!” ผมสบถอย่างลืมตัวว่ากำลังต่อคารมกับผีอยู่
“ภพนี้เจ้าก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบนะ ดูกระโดกกระเดกเหมือนแม่แปรกท้ายตลาด”
“ผมไม่รู้ว่าที่พี่ทองไชยพูดหมายความว่ายังไง แต่ผมพอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่อะไรที่ดีแน่ๆ”
“อย่าโกรธาไปเลยน้องพี่ อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเป็นเจ้าที่พี่เฝ้ารอมานานนับอสงไขยนะพ่อ ”
“ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า ผมอยากฟังต่อไปแล้วล่ะครับพี่ทองไชย”
พระยาไชยยิ้ม ก่อนจะปรายตาไปรอบๆอีกครั้ง และบรรยากาศรอบตัวก็แปรเปลี่ยนเป็นพระบรมมหาราชวังอันงดงามสีทองสุกสกาวไปทั่วอาณาบริเวณ
“แล้วที่นี่คือ...”
“พระบรมมหาราชวังของพ่ออยู่หัวสุริยาศน์อมรินทร์”
ผมหมุนตัวมองรอบๆ ก่อนจะอุทานอย่างลืมตัว “งดงามจริงๆครับพี่ทองไชย”
พี่ทองไชยไม่ได้ตอบผม ไม่นานนัก พระยาไชยในนิมิตก็พูดขึ้น
“สวัสดีขอรับ ท่านขุนนรลักษณ์อักษร”
“ไหว้พระเถิด ท่านหมื่นทองไชย” ชายวัยกลางคนๆหนึ่งรับไหว้ พลางมองลอดมาด้านหลัง “แล้วนั่นพาใครมาด้วยรึพ่อ”
“น้องชายเกล้ากระผมเองขอรับ ชื่อเจ้าทองด้วง – ทองด้วง เข้ามากราบท่านขุนท่านสิ”
ทองด้วงในชุดโจงกระเบนสีน้ำตาลกับเสื้อคอกลมสีฟ้าหมอบคลานมาหาท่านขุท่านนั้น ก่อนจะกราบแสดงความเคารพ
“น้องเจ้านี่หน้าตาจิ้มลิ้มดีนะ ท่านหมื่น”
“เอ่อ .... ท่านหมื่นก็กล่าวเกินไปขอรับ อันที่จริงแล้ว กระผมเป็นเพียงบ่าวในเรือนของคุณหญิงพุดซ้อนเท่านั้น”
“แต่กระผมก็เอ็นดูบ่าวคนนี้เสมอน้องชายร่วมอุทรณ์ขอรับท่านขุน แลด้วยเหตุนี้กระผมจึงพามันมาฝากตัวกับท่านเพราะเห็นหน่วยก้านของมันน่าจะเป็นที่พอใจของพ่ออยู่หัว ฝีมือร้อยกรองของเจ้าทองด้วงนั้นเพราะพริ้งจับใจนัก ข้าเลยอยากให้ท่านเมตตาอุปการะมันสักหน่อย”
“ท่านหมื่นอุตส่าห์เสียแรงมาโฆษณาถึงที่นี่ เห็นทีข้าคงต้องให้พ่อหนุ่มหน้ามนคนนั้นเสดงฝีมือเป็นประจักษ์ตาข้าเสียแล้วล่ะ เอาเถิดพ่อ” ขุนนรลักษณ์อักษรยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไหนเจ้าลองนิพนธ์ร้อยกรองให้ข้าได้แจ้งในฝีมือของเจ้าสักบทเถิด พ่อหนุ่ม”
“ได้ขอรับ ท่านขุน” ทองด้วงยิ้มอย่างแน่วแน่ ก่อนจะจรดดินสอหินลงบนกระดานชนวนเป็นบทร้อยกรอง

“นภากาฬรานร้าวข้าเศร้าจิต   ดั่งชีวิตใกล้ยุดสุดจะฝืน
บุหลันนวลครวญคร่ำข้ากล้ำกลืน    ความขมขื่นคืนนั้นยังฝังใจ
ครวญคะนึงถึงคนเคยบ่นว่า   โอ้ชะตาน่าฉงนชวนสงสัย
ใยขีดพามาพบปะช้าเกินไป   หวังวาดไว้ปลิวหายกับสายลม
บทเพลงยาวร้าวรานในคืนเศร้า  ฟ้าสีเทาเฝ้าอาลัยใจขื่นขม
วอนบุหลันฟังคำวอนอ่อนระทม   เพียงสายลมยังกรีดใจให้ร้าวชา
สุรารินลงจอกดั่งบอกกล่าว   พอรุ่งเช้าสูรย์ลอยโปรดรู้ว่า
ต่อจากนี้รักที่เคยสร้างมา  จักต้องลาลืมเลือนเหมือนลืมกัน   
จูบอำลาสุดท้ายตอนใกล้สาง   ยังมิจางรสขื่นสะอื้นศัลย์
รอยน้ำตารินไหลในวันวาน   ยังสะท้านทรวงอยู่มิรู้คลาย
บทเพลงยาวบทนั้นยังฝังอยู่   ข้าแหงนดูฟ้าดำย้ำใจหาย
ในราตรีที่แสงโสมโลมผิวกาย    คืนสุดท้ายจำมั่นบุหลันครวญ   “

ทองด้วงเอื้อนเอ่ยร้อยกรองบทนั้นเป็นทำนองเสนาะ และเมื่อจบลง ขุนนรลักษณ์ฯก็ยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับตบมือให้เป็นการชมเชย
“ไม่เลวทีเดียว พ่อหนุ่ม เจ้าชื่อทองด้วงใช่ไหม”
“ขอรับ ท่านขุน”
“เอาล่ะ เอาเป็นว่า จากนี้ต่อไป เจ้าจักได้เป็นคนของฝ่ายใน คอยดูแลรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ฝ่ายของกรมเวียง เบื้องต้นเจ้าควจะศึกษาราชพิธีฝ่ายในไว้เสียบ้างนะ ทองด้วงเอย”
“ท่านขุน ท่านหมายความว่า” หมื่นทองไชยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ข้าตกลงรับเจ้าทองด้วงเข้ามาอยู่กับข้าในวังแล้ว ท่านหมื่น”
“ขอบพระคุณมากขอรับ” หมื่นทองไชยดีอกดีใจจนออกนอกหน้าเจ้าตัว “ทองด้วงน้องพี่ ขอบคุณท่านขุนเสียสิ”
“ขอบพระคุณมากขอรับ”
.
.
.
บรรยากาศรอบตัวผมกลับมาสู่ยุคปัจจุบันอีกครั้ง ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา พระยาไชยยังยิ้มให้ผมอยู่ในอิริยาบถเดิม ก่อนจะพูดต่อ
“กลับไปก่อนเถิดน้องพี่ เพลานี้ก็ดึกดื่นค่ำค่อนแล้ว”
“ว้า.... หมดเวลาสนุกแล้วหรอเนี่ย” ผมพูดติดตลกพลางยิ้มตาหยี
“อีกไม่นานดอกน้องพี่ เรื่องราวของเราสองคนจักไม่หฤหรรษ์เหมือนดั่งที่เจ้าเห็น”
“งั้นหรอครับ” สีหน้าผมเจื่อนลง “มันจะเศร้ามากไหมครับเนี่ย”
“มากของเจ้านั้นพี่เองก็ไม่รู้ว่าจักหาหน่วยใดมาเทียบเคียง หากแต่เรื่องราวเหล่านี้ก็ผูกมัดรัดรึงดวงวิญญาณของพี่ไว้ ณ ที่แห่งนี้”
“ผมอยากรู้ครับ พี่ทองไชย อย่าเกรงใจผมเลย ผมยินดีและอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมดจริงๆ พี่จะนิมิตให้ผมเห็นทั้งหมดในคืนนี้เลยก็ได้”
“มิบังควรดอก พี่เตือนเจ้าไปแล้วนี่ว่าการหักโหมท่องนิมิตในอดีตชาติเป็นเวลานานๆนั้นจักเป็นอันตรายกับเจ้าเพียงใด จงกลับไปก่อนตามที่พี่บอกแก่เจ้าเถิดน้องพี่”
“เฮ้อ...ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ผมกล่าวอำลา
“พี่ควรจะกล่าวกับเจ้ามากกว่า ทองด้วงเอย อันตัวพี่นั้นหาต้องการการพักผ่อนนิทราดังเช่นเจ้าไม่ หากแต่การพักผ่อนของพี่นั้นหมายถึงการหลุดพ้นจากโลกภูมิมนุษย์ต่างหากเล่า น้องพี่”
ผมแอบใจหายเล็กๆเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ทองไชย จนอดถามไปตามความรู้สึกไม่ได้
“แล้วพี่ทองไชยจะไปสู่สุคติเมื่อไหร่หรอครับ”
วิญญาณตรงหน้ายิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะตอบผม “อีกไม่นานดอกน้องพี่ ตั้งแต่ที่พี่พบเจ้า ณ ที่แห่งนี้ เพลาแห่งการจากไปของพี่ก็นับถอยหลังลงเสียแล้ว แลไม่เพียงแต่เจ้าหรอกที่ใจหาย ตัวพี่เองนั้นก็สะท้อนใจไม่แพ้เจ้าแม้พี่จะเฝ้ารอให้เพลานี้มาถึงนานเนิ่นอสงไขย ยิ่งพี่ได้มาพบเจ้าเพลานี้ ยังทำให้ตัวพี่อยากอยู่กับเจ้าให้นานอักโข แต่พี่ก็มิอาจทำได้เช่นใจปรารถนาเพราะพี่ได้บิดเบือนกฎของสวรรค์มานานเกินไปเสียแล้ว”
“ถ้าผมเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้พี่ทองไชยได้ไปสู่สุคติจริงๆ ผมก็ดีใจที่เป็นเช่นนั้นครับพี่ อย่ากลัวการจากลาเลย เพราะถ้าไม่มีการจากลาก็จะไม่มีการเริ่มต้นนะครับ”
“แม้เพลาจะผ่านไปหลายร้อยปีแต่คำพูดของเจ้าก็ยังน่าสดับรับฟังเสมอ ทองด้วงเอย ขอบใจเจ้ามาก กลับไปพักผ่อนเถิด”


แอบเหนื่อยกับการสรรหาคำ  :sad4:

พี่ทองไชยยังเล่าๆ แบบกั๊กๆ ไม่ไปไหนต่อไหน แต่น่าจะใกล้แล้วล่ะครับ

อ้อ ผมแก้ไขเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นแล้ว คิดว่าอีกไม่กี่ตอนน่าจะจบครบถ้วนสมบูรณ์

เพราะลองๆเจียนดูแล้วนี่มันก็ใกล้จะไคลแมกซ์แล้วล่ะ

เลยสรุปให้มันกลายเป็นเรื่องสั้นมากกว่าจะเป็นนิยายขนาดสั้น (ต่างกันตรงไหน  :really2:)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2012 14:43:17 โดย Glorious »

tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
มาม่าอ่ะ เขารับไม่ได้
ให้สองคนอยู่ด้วยกันได้ไหม
ให้พี่ทองไชยมาเกิดใหม่ก็ได้
เขากลัวจิตตกอ่ะ

แต่ยังไงก็รออ่านน่ะ เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
 :กอด1:

พี่ทองไชยก็กั๊กจริงๆคนอ่านเลยยังไม่ได้รู้ซะที

ว่าเพราะอะไรทั้งคู้ถึงแยกจากกัน  ทองไชยต้องรอ

ทองด้วงนานขนาดนั้น

+1และเป็ด

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เรื่องสนุกดีครับ  ชอบๆๆๆๆๆ :3123:

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
เป็นนิยายที่อ่านแล้วรื่นหูมากกก
อ่านเรื่อยยย ๆ ไพเราะมาก

a-mee-ra

  • บุคคลทั่วไป
รอตอนต่อไปคร่าาา กำลังสนุกเลย  o13

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
ถึงจะเป็นความรักที่จำต้องซ่อนเร้น เก็บงำ และ ปิดบังให้ลับที่สุด
แต่ประโยคที่พี่ทองไชยเอื้อนเอ่ยแสดงความรักและเสน่หาต่อน้องทองด้วงนั้น ประหนึ่งได้อ่านเพลงยาว
ด้วยสำนวนโวหารที่ไพเราะ ลึกซึ้ง แต่ก็ตรงไปตรงมา และ แจ่มชัดในความหมายยิ่งนัก
สมกับเป็นผู้ชายสมัยกรุงศรีเหลือเกิน ทำเอาคนอ่านแทบละลาย :m3:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2012 21:42:45 โดย Cherry Red »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ต้องใช้คำสละสลวย เวลาอ่านนิยายเรื่องนี้อดไม่ได้ต้องอ่านออกเสียง
 ได้อารมณ์ไปอีกแบบ :laugh:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ชอบค่ะ  ใช้คำได้สละสลวย o13

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ ๕

เงากระจกที่สะท้อนภาพของผมนั้นทำให้ผมตกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นใบหน้าของตัวเองที่ดูหมองลงอย่างน่าใจหาย การพักผ่อนที่น้อยลงคงจะเริ่มกระบวนการทำให้ผมต้องโทรมลงแบบนี้ แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่แลกมาผมก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่ กับการได้ท่องไปในลำนำประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำบอกเล่าจากพงศาวดารใดๆ
ระหว่างที่ผมได้ดูเรื่องราวของตนเองในอดีตนั้น สายตาของผมมักจะลอบมองดูรอบๆเพื่อศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีรวมถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้น และนี่แทบจะเป็นหัวใจสำคัญของการที่ผมยอมอดตาหลับขับตานอนทำแบบนี้ร่วมเดือน ส่วนอีตาไชยสุริเยนทร์นั่น....ช่างผีมันเถอะ หลังๆมานี่ผมก็แอบๆเบื่อมันเหมือนกัน ไม่รู้มันจะอะไรนักหนา พาไปดูแต่ฉากพลอดรักกันอยู่นั่นแหละ ....
ถึงอย่างไรก็เถอะ พูดถึงตาคนนี้แล้ว ผมก็แอบรู้สึกถึงความรักมากมายที่ทำให้พี่แกยังวนเวียนสถิตอยู่ที่นี่เพื่อรอผม บางที ถ้าอีตาคนนี้มีลมหายใจล่ะก็ ผมอาจจะ...หวั่นไหวมากกว่านี้ก็ได้ot
.
.
.
“ช่วงนี้เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยด้วง ดูโทรมๆไปนะ” พี่ยงถามขึ้น ระหว่างกาแฟช่วงเช้าของเรา
“เอ่อ .... ผมติดละครน่ะครับ”
“ละคร? ก็ไม่ดึกเท่าไหร่นี่นา มันจบสี่ทุ่มกว่าๆไม่ใช่หรอ”
“พอจบแล้วผมก็ต่อซีรีส์เกาหลีน่ะครับ” ผมแถหน้าด้านๆ
“หืม? ขนาดนั้นเลยหรอ” สีหน้าของคนตรงหน้าดูกังวลและสงสัยอยู่ในที “ดูแลตัวเองหน่อยสิ”
“ครับพี่ขอบคุณครับ”
“เอ่อ... พี่...เป็นห่วงนะ”
“เอ๋ ....ครับพี่ ขอบคุณมากครับ” ผมกล่าวเก้อๆอีกครั้ง ก่อนที่คนพูดจะลุกจากไปอย่างงงๆ

กลิ่นกาแฟอุ่นๆเรียกความกระปรี้กระเปร่าให้ผมขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะก้มหน้าลงบนกองหนังสือต่อ ผมนั่งนึกถึงภาพชาวอยุธยาที่ได้ไปเห็นทุกคืนพลางนำภาพเหล่านั้นมาซ้อนทับกับเรื่องราวในหนังสือตรงหน้า ก่อนจะเขียนเป็นบทความสำหรับเผยแพร่ ผมอมยิ้มเมื่อนึกถึงที่มาของข้อมูล ว่านี่ผมจะต้องให้เครดิตอ้างอิงหนังสือเล่มไหน หรือจะต้องเขียนชื่อพระยาไชยสุริเยนทร์ลงไปเลยดีนะ
.
.
.
แสงสปอตไลท์ที่ฉาบทับกับยอดพระปรางค์ยามค่ำทำให้มองเห็นยอดปรางค์วัดราชบูรณะเปล่งประกายสีทองเด่นตระหง่าน ผมนั่งรอพระยาไชยอยู่ใต้ต้นไม้ในบริเวณของวัดอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกข้างๆกายอันเป็นสัญญาณว่าพี่ท่านมาหาผมแล้ว
“มาได้ซักทีนะครับ”
“ไม่เพียงแต่เจ้าดอก ทองด้วงเอยที่รอคอยให้สายันห์ตะวันลา พี่เองก็ใคร่อยากจะมีอิทธิฤทธิ์ผลักดวงอาทิตย์ให้ลับฟ้าไปเสียไวๆเพื่อให้ได้มาพบเจ้าเช่นกัน”
“พูดจาเยอะแยะมากมายเหมือนเดิม ถ้าพี่ทองไชยเป็นคนคงจะคอแห้งพิลึก เพราะพูดจาออกมาแต่ละอย่างนี่น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงมากๆ”ผมค่อนแคะ
“แม้ใจความคำพูดของพี่จะมีเพียงประหนึ่งน้อย หากแต่ครรลองถ้อยเหล่านั้นก็มาจากดวงใจแท้จริงของพี่”
“โอเคครับ โอเค ตอนนั้นผมอาจจะเป็นนักกวีเจ้าบทเจ้ากลอน แต่ตอนนี้ผมไม่ไหวจะจะต่อความกับพี่จริงๆ” ผมเอ่ยยอมแพ้ ก่อนจะชวนเข้าเรื่อง “ไปกันเลยไหมครับ”
พระยาไชยยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าผมเบาๆ มือของเขายังเย็นเยียบเหมือนเคย หากแต่แววตาหม่นเศร้าคู่นั้นดูหม่นลงกว่าที่เคยเห็น และรอยยิ้มที่ยะขึ้นนั้ก็คล้ายจะฝืนแสดงออกมาให้ผมรู้สึกดี
“มิมีปัญหา น้องพี่”
.
.
.
เรือนหลังเล็กริมน้ำรถครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณ ผมเห็นภาพของตนเองนั่งเหงาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ริมศาลาไม่ไกลกันนักด้วยแววตาที่เหม่อลอย กลิ่นดอกแก้วหอมขจรขจายอบอวลทั่วบริเวณในยามเย็นก่อนที่พี่ทองไชยจะเดินมาจากด้านหลัง
“ทองด้วงน้องพี่”
“ขอรับพระยาไชยสุริเยนทร์ มีเหตุอันใดฤาถึงมาในยามวิกาลเช่นนี้”
“น้องพี่ ไม่มีเหตุอันใดที่เจ้าจักเรียกชื่อพี่ด้วยยศศักดินาเช่นนั้น เพลานี้มีแค่เราเพียงสองคนเท่านั้น”
ตัวผมในภาพนิมิตก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะตอบไป “หามิได้ดอกขอรับ อย่างไรเสียท่านก็เป็นถึงพระยศพระยาแห่งกรมคลังแล้ว หาใช่เป็นหนุ่มฉกรรจ์ดังกาลก่อน อีกทั้ง....”
“พี่ยังเหมือนเดิม ทั้งร่างกาย....แลจิตใจ”
“แล้วมันจะหาประโยชน์อันใดได้เล่าขอรับ ท่านพระยา”
“ได้โปรดเถิด ยอดดวงใจของพี่ อย่าได้พูดจาหักหาญน้ำใจพี่เยี่ยงนั้น เพียงแค่เรื่องที่พี่เพียรครุ่นคิดเพลานี้ ดวงใจพี่ก็แทบจะราญรอนลงแล้ว ทองด้วงเอย”
“แต่นั่นมันก็เป็นความจริงที่เราต่างต้องเข้าใจและยอมรับ ว่าสิ้นพรรษานี้ ท่านพระยาจะต้อง....”
“ได้โปรดเรียกพี่ว่าพี่ทองไชยเหมือนก่อนเถิด อย่าให้ชายชาตรีเช่นพี่ต้องหลั่งน้ำตาเพราะวาจาของเจ้าเลย!”
ทองด้วงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะพูดต่อ “ก็ได้ขอรับ พี่ทองไชย.... แต่ไม่ว่าอย่างไร ความจริงก็คือความจริง ว่าสิ้นวสันต์นี้ พี่ทองชัยก็จักต้องเข้าพิธีวิวาห์กับคุณพุดซ้อน กระผมคิดว่า มันถึงเพลาที่เราควรจักต้องหักห้ามความสิเน่หาระหว่างเราลงแต่เพียงเท่านี้”
พระยาไชยหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆและคว้าตัวของชายหนุ่มเข้ามากอด “แต่เพลานี้ พี่ก็ยังเอ่ยจำนรรจ์กับเจ้าได้ ยังกอดเจ้าเช่นนี้ได้ไม่ใช่รึ”
คนในอ้อมกอดเริ่มมีน้ำใสๆคลอหน่วยตา ก่อนจะแข็งใจพูดออกมา “ปล่อยกระผมเถิดขอรับ ไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่เราจะพยายามรักษามันเอาไว้ทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่ามันจักต้องจบสิ้นลงในวันหนึ่ง ยิ่งเราต่างคิดเยี่ยงนั้นก็รังแต่ทำให้เราสองจักตัดขาดกันได้ย่างยิ่ง”
“ตัดขาด....น้องพี่ พี่ไม่มีวัน...”
“เราต้องทำได้ขอรับ ในเมื่อเราต่างเรียนรู้ที่จะผูกเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ แม้จักต้องเจ็บปวดดวงใจดั่งไฟเผาอุราก็ตาม”
“ทองด้วงน้องพี่!”
“ได้โปรดเถิดขอรับ หยุดมันไว้แต่เพียงเท่านี้เพื่ออนาคตของเราทั้งคู่”
พระยาไชยคลายอ้อมกอดลงก่อนจะมองลึกลงไปในแววตาของคนตรงหน้า เขากำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ที่ร้าวราน
“น้องพี่ หากเป็นเช่นนั้น บางทีพี่คงต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนสักหน่อย”
“พี่ไม่ควรคิดเช่นนั้น”
“เจ้าบอกพี่ว่าเมื่อเราเรียนผูกก็จักต้องเรียนแก้ แต่ที่พี่ได้รู้เห็นมานั้น การคลายเงื่อนตายนั้นหามีวิธีไม่”
“แต่สำหรับพี่ทองไชยแลกระผม กระผมไม่เห็นว่ามันจักเป็นเงื่อนตาย เรายังหยุดมันได้”
“มิได้ดอก พี่ไม่มีวันยอมเสียเจ้าไป และหากเงื่อนนั้นยังไม่แน่นพอ พี่จักรัดรึงมันให้แน่นขึ้นกว่านี้”
“พี่ทองไชยหมายความเยี่ยงไร”
พระยาไชยไม่ได้ตอบคำถามของหมื่นวิจิตรฉันท์ หากแต่รุกคืบไปประกบปากบางของเขาพร้อมกับออกแรงกดให้อีกฝ่ายนอนลงไปและเริ่มซุกไชร้ร่างของคนตรงหน้า เสียงอู้อี้ไม่สามารถลอดออกมาจากปากของคนที่กำลังพ้อต่อสิ่งผิดจารีตที่กำลังดำเนินไปด้วยความสิเน่หาและขาดการยับยั่ง พร้อมกับที่นิมิตนั้นค่อยๆจางหายไป


“ทองด้วงเอย พี่คงไม่สามารถให้เจ้าดูนิมัตรต่อจากนี้ไปได้ แม้เพลานั้นพี่จักสุขสมกับกิจนั้นมากมายนักก็ตาม” วิญญาณพระยาไชยยิ้มกรุ้มกริ่ม ในขณะที่ผมหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้เห็นบทเล้าโลมในอดีตชาติ
“พี่มันบ้า พี่มันหื่น!!!” ผมพ้อ
“แต่พี่ก็ทำเพราะความสิเน่หาล้นอุรา พี่ไม่ยอมให้เราจบลงเพียงเท่านั้น”
“แต่ตอนนั้นพี่ก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่หรอครับ”ผมถาม
พระยาไชยเสตาไปทางอื่น ก่อนจะเดินช้าๆไปตามทางเดิน “ถูกแล้ว ทองด้วงน้องพี่ หลังจากที่พี่ได้รับยศพระยาไชยสุริเยนทร์และเจ้าก็ได้เป็นหมื่นวิจิตรฉันท์ได้ไม่นาน  ท่านพ่อของพี่ก็ไปทาบทามแม่พุดซ้อนบุตรีของพระยาไกรสีหนาทเพื่อนรักของท่านมาเป็นสะใภ้ แม้พี่จักคัดค้านมานานหลายเพลา ท่านคิดอ่านว่า ทั้งศักดินาแลอายุอานามของพี่นั้นถึงควรแก่การออกเรือนแล้วในเพลานั้น ....และในที่สุด พี่ก็ไม่สามารถทัดทานได้ แม้ใจพี่นั้นจักอาลัยเจ้าสักปานใด”

ใบหน้าของพี่ทองไชยดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขาคือรักแท้ที่มีต่อตัวผมในอดีตชาติอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่าในนิมิตที่ผ่านมา แม้ทั้งพระยาไชยและเจ้าทองด้วงต่างไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ หากแต่ทองด้วงก็ไม่เคยเอ่ยคำว่ารักออกมาสักครั้ง มีเพียงสีหน้าที่เดาอารมณ์ได้ยาก และการยินยอมให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจ แม้นิมิตรสุดท้ายที่ผมได้เห็น ตัวผม...เอ่อ ก็เหมือนจะโดนข่มขืนอยู่ในทีเหมือนกัน
“ผม....ผมอยากรู้ว่าแล้วในตอนนั้น ผม....ผมรักพี่ทองไชยเหมือนที่พี่รักผมหรือเปล่าครับ”
พระยาไชยหันมามองผมช้าๆ ก่อนจะหลุบตาต่ำลง พร้อมๆกันนั้น บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปเป็นเรือนไทยที่มีบ่าวไพร่ในเรือนกำลังนั่งร้อยมาลัย บนลานกลางเรือนนั้น พี่ทองไชยนั่งอยู่บนตั่งข้างๆกับหญิงสาวที่ดูเป็นคนมีสกุล ทั้งคู่ต่างมีสีหน้ากังวลอยู่ในที

“ท่านพระยาคิดว่า ศึกครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดเจ้าคะ อิฉันฟังข่าวคราวบ้านเมืองแต่ละวันๆแล้วใจไม่สู้ดีเลย ทัพหงสารุกคืบเข้าพระนครไปทุกทีๆ แต่ทัพหลวงอโยธยากลับนิ่งนอนใจอยู่ในกำแพงเมืองเยี่ยงนี้” คุณหญิงพุดซ้อนพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “คุณพี่คิดว่า...”
“สถานการณ์บ้านเมืองเพลานี้ไม่ผิดแผกไปจากที่คุณหญิงปรารภไว้ดอก  พี่เองก็รู้สึกสงสารชาวบ้านบางระจันยิ่งนักที่สู้จนตัวตายโดยที่คนในพระนครหาได้เหลียวแลไม่ อีกไม่นานนักดอก คุณพุดซ้อน ทัพหงสารามัญคงจักมาประชิดพระนคร”
“แต่อีกไม่นานก็จักถึงฤดูน้ำหลาก ทัพหงสาเองก็คงจักแตกพ่ายกลับไปเอง ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ทางกลาโหมท่านก็ว่าอย่างนั้น แต่พี่ก็ยังไม่ไว้ใจบ้านเมืองยามศึกสงครามนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่พ่ออยู่หัวทรงอ่อนแอแลเสพแต่ความสุขสราญเช่นนี้”
“ท่านพระยา!!!” ทองด้วงที่นั่งอยู่ไม่ไกลส่งเสียงท้วง เมื่อพระยาไชยพูดจาหมิ่นพระบรมเดชา “มิบังควรเลยที่ท่านจะพูดถึงพ่ออยู่หัวเยี่ยงนี้”
“พี่หาพูดผิดไปดอก ทองด้วงน้องพี่ แลเหตุนี้เอง พี่ถึงได้มีเรื่องที่จำเป็นจักต้องแจ้งแก่พวกเจ้าให้รับรู้ว่าพี่นั้นคิดอ่านเห็นงามแล้วว่า พี่จักส่งคุณหญิงพุดซ้อนแลเจ้าทองด้วง ให้ไปอยู่กับญาติฝั่งแม่ของพี่ที่หัวเมืองจันทบุรี ที่นั่นจักปลอดภัยแก่พวกเจ้าแลบ่าวไพร่ ส่วนตัวพี่นั้น คงต้องอยู่ที่นี่คอยรับศึกหงสา”
พระยาไชยกล่าวแสดงปณิธานด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยว แวบหนึ่งของแววตาคู่นั้นพลันอ่อนโยนลงและเหลือบมามองทองด้วงที่มองอยู่อย่างไม่เข้าใจนัก
“เดี๋ยวก่อนขอรับท่านพระยา สำหรับคุณหญิงพุดซ้อนนั้น กระผมหามิได้ขัดข้องอันใดที่จะทัดทาน แต่ส่วนตัวกระผมหาได้เข้าใจว่าเหตุอันใดจักต้องไปที่หัวเมืองจันทบุรีด้วยเล่า”
“พี่ใคร่ขอร้องให้เจ้าไปช่วยดูแลคุณหญิง....แทนตัวพี่”
“ขออภัยด้วยนะขอรับคุณหญิง หากกระผมจักขอกล่าวตามจริง” ทองด้วงยกมือท่วมหัวไปทางคุณหญิงพุดซ้อน “ท่านพระยาช่างพูดเอาแต่ได้นัก เพลาศึกเช่นนี้พี่จักให้ตัวข้าทิ้งพ่ออยู่หัวไปได้เยี่ยงไร มิใช่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์รึ ที่เมตตากระผมจนผมได้เป็นหมื่นวิจิตรฉันท์ทุกวันนี้”
“อย่างเจ้ารึ จะช่วยอะไรได้ เพียงลมเหวี่ยงคันศรที่ไร้ลูกธนูเจ้าก็คงจักปลิวตามแรงลม เพลานี้โลกหาได้เป็นดั่งกวีกลอนที่เจ้าคิดจะรังสรรค์ขึ้นมาอย่างไรก็ได้ดอกนะ ยามนี้เป็นยามศึก และหากเจ้าตายนั่นย่อมหมายถึงความตายจริงๆ” พระยาไชยยืนยันหนักแน่น
 “อย่างไรเสียกระผมก็ทิ้งเจ้านายไปมิได้ดอก หากข้าบาทต้องตายก่อนเบื้องยุคลก็สมควรแล้วมิใช่รึขอรับ แม้กระผมอาจจะไม่กำยำดั่งชายชาติทหาร หากแต่จิตใจของกระผมก็หาได้ขลาดกลัวพวกพม่ารามัญไม่” ทองด้วงพูดชัดเจนทุกคำ ก่อนจะหันมากราบคุณหญิงพุดซ้อน “กระผมต้องขอโทษคุณหญิงด้วย ที่ไม่สามารถตามไปดูแลคุณหญิงได้”
“มิเป็นไรดอกจ๊ะท่านหมื่น ตัวอิฉันก็เห็นงามดั่งที่ท่านว่าทุกประการ ขอให้พ่อจงช่วยปกป้องอโยธยาศรีรามเทพนครแลพ่ออยู่หัวให้พ้นภัยจากพวกหงสาวดีเถิดจ๊ะพ่อ”
ทองด้วงยิ้มรับคำอวยชัย ก่อนจะกล่าวอำลา
“ขอบพระคุณมากขอรับคุณหญิงที่เข้าใจกระผม ถ้าเช่นนั้น กระผมขอตัวกลับเรือนก่อน”
.
.
แสงวาบไหวจากตะเกียงเจ้าพายุสาดทับแก้มนวลของทองด้วงให้เด่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด ชายหนุ่มขีดเขียนกาพย์กลอนลงบนกระดานชนวนคู่ใจตามประสาเช่นทุกวัน ก่อนที่เสียงกุกกักจากด้านหลังจะทำให้ชายหนุ่มหันมามอง
“ท่านพระยา!”
“ทำไมเจ้าถึงไม่ทำตามที่พี่สั่ง” พระยาไชยถามขึ้นทันทีที่ก้าวขึ้นมาบนเรือนหลังเล็กของทองด้วง
“กระผมคิดว่าผมแถลงไขแก่ท่าน...”
“พี่ทองไชย!”
“ขอรับพี่ทองไชย ผมคิดว่าผมแถลงไขไปแล้วสิ้นกระบวนความ และที่สำคัญ เพลานี้ท่านควรจักอยู่ที่เรือนใหญ่ .....กับคุณหญิงเธอ”
“นั่นหาใช่ประเด็นไม่ ทองด้วง ทำไมฤาเจ้าจึงไม่คิดจะเข้าใจเจตนาของพี่ พี่ขอสั่งอีกครั้งว่าเจ้าจักต้องไปอยู่ที่หัวเมืองจันทบุรีพร้อมคุณหญิง!!!!”
“ผมขอยืนยันตามปณิธานเดิม”
“พี่ไม่อนุญาต!!! เจ้าจง....” พระยาไชยออกคำสั่งเสียงกร้าว หากแต่ยังไม่ทันจะขาดคำ ทองด้วงก็ขัดขึ้นมา
“ท่านมีสิทธิ์อันใดขอรับ ท่านลืมแล้วฤาว่ากระผมเป็นคนของพ่ออยู่หัว หาได้เป็นบ่าวในเรือนของท่านไม่”
“สิทธิ์ของคนที่รักเจ้าเท่าชีวิตแลลมหายใจอย่างไรเล่า ทองด้วงน้องพี่ เพราะพี่นั้นรักเจ้าดังดวงใจพี่ถึงไม่อยากให้เจ้าต้องเผชิญกับสงคราม มันน่ากลัวกว่าที่เจ้าคิดนักนะ ทองด้วง”
พระยาไชยคว้าคนตรงหน้ามากอด ก่อนจะลูบผมมันขลับของคนในอ้อมกอดเบาๆ
“จงไปกับคุณหญิงเถิด พี่ขอร้อง”
คนในอ้อมกอดแน่นิ่งไร้สรรพเสียงใดๆ มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบงันยามราตรี
“แล้วพี่ทองไชยมิคิดบ้างรึขอรับ ว่ากระผมเองก็ห่วงพี่ทองไชยไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย”
“แต่เจ้าจักเป็นอันตราย หากยังอยู่ที่นี่”
“กระผมหาได้กลัวเกรงไม่ อย่างไรเสียกระผมก็เป็นชายชาตรีคนหนึ่ง ....อย่าห่วงเลยขอรับ พี่คงมิรู้ดอกว่ากระดานชนวนของกระผมนั้นหากได้ฟาดข้าศึกศัตรูก็ทำให้พวกหงสาตองอูบอบช้ำได้เช่นกัน”
ทองด้วงพูดพลางอมยิ้ม แต่ในขณะที่พระยาไชยไม่ได้ตลกด้วยเลย
“นี่หาใช่เรื่องล้อเล่นนะ ทองด้วง!!!”
“ให้กระผมได้อยู่ที่นี่เถิดขอรับ กระผมมิเป็นไรดอก กระผมยังจำได้ดีถึงเรื่องราวแลคำพูดเมื่อกาลก่อน พี่ทองไชยเคยบอกกระผมว่า พี่จักดูแลผมได้ไม่ว่าจักเกิดอะไรก็ตามมิใช่รึขอรับ”
“แต่ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก พี่จึง....”
“พี่ทองไชยนี่ช่างตระบัดสัตย์นัก” ทองด้วงยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะพูดต่อ “เอาเถิดขอรับ ความจริง พี่ทองไชยน่าจักรู้จักผมดีกว่าใครว่าตัวกระผมนั้น หากยืนยันแน่นหนักเป็นครั้งที่สองแล้วไซร้นั่นหมายความว่ากระผมจักไม่เปลี่ยนใจเป็นอันขาด”
พระยาไชยยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะจับไหล่สองข้างของทองด้วงเบาๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ทองด้วงน้องพี่ หากแต่....มีเรื่องหนึ่งที่เจ้ายังไม่เคยยืนยันคำมั่นกับพี่เลย”
“มีด้วยรึขอรับ”
“มีสิ.... ที่ข้าเคยถามเจ้าว่า เจ้ารักพี่เหมือนที่พี่รักแลเทิดทูนเจ้าบ้างหรือไม่”
“ผมเคยบอกพี่ไปแล้ว ว่าความรักของเรานั้นเป็นไปไม่ได้”
“นั่นหาใช่คำตอบไม่ น้องพี่ คำตอบของพี่มีเพียงใช่ฤาไม่ ....เท่านั้น”
ทองด้วงเผยยิ้มอย่างขวยเขินพร้อมทั้งหัวเราะเบาๆ เขาแหงนมองดวงจันทร์ที่เหลืองนวลในยามค่ำคืน ก่อนจะผละตัวให้ห่างจากชายตรงหน้า
“กระผมตามอารมณ์พี่ทองไชยไม่ทันจนรู้สึกวิงเวียนพิกล เห็นทีคืนนี้คงต้องขอตัวไปพักผ่อนเสียแล้วล่ะขอรับ “
“ทองด้วง.... พี่อยากอยู่กับเจ้าที่นี่...คืนนี้ ไม่สิ ข้าอยากอยู่กับเจ้า...ตลอดไป”
“ประโยชน์อันใดเล่าขอรับที่ท่านจักมานอนร่วมหมอนกับบุรุษเพศเช่นตัวกระผมให้บ่าวไพร่มันนินทาเอา ไม่ว่าอย่างไร กระผมก็ยังอยู่ในเขตขัณฑ์ของคุ้มพระยาไชยสุริเยนทร์อยู่แล้ว ....ตราบจนกระผมจักสิ้นลมหายใจ”
“ทองด้วง....เจ้ารักพี่บ้างหรือไม่”
เจ้าของเรือนถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะตอบ
“เอาเถิดขอรับ เพลานี้หาใช่เวลามาต่อเพลงยาวกัน แต่กระผมสัญญาว่า หากเสร็จศึกครานี้ กระผมจักตอบพี่ทุกอย่างที่พี่ทองไชยคับข้องแคลงใจ”
พระยาไชยยิ้มอย่างดีใจ ความขุ่นข้องจากเมื่อตอนแรกที่หุนหันมาที่เรือนหลังเล็กหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของเรือน
“พี่ใคร่จักขอร้องเจ้าอีกสักเรื่อง”
“อะไรรึขอรับ”
“ช่วยฝันถึงพี่ ....บ้างเถิดนะ คนดีของพี่ทองไชย”
[/i]


โห เปิดมาดูแล้วอึ้ง นี่ผมทิ้งไปสองอาทิตย์เลยทีเดียว  :sad4:
เอาเถอะนะครับ เห็นใจผมหน่อย ช่วงนี้งานเยอะมาก
เหมือนเค้ารู้ว่าผมจะไปบวช เลยประเคนงานกันใส่แบบไม่ยั้ง
(ผมบวชวันที่ 12 เดือนหน้า)

เอาเป็นว่าจะพยายามเข็นพี่เมฆ น้องโน กับพี่ทองด้วงกับพี่ทองไชยให้จบทั้งสองเรื่องนะครับ
ขอบคุณที่ยังตามอ่านนะครับ :L2:

(จะมีมั้ยน้อ  :laugh:)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2012 23:08:44 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
อนุโมทนาด้วยค่ะ

ก่อนจะไปบวชแต่งให้จบก่อนได้ป่าว  :really2:

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
แล้วจะเป็นยังไงต่อน้อ  ศึกครั้งนี้จะทำให้

ทั้งคู่แยกจากกันและพี่ทองไชยก็ไม่ได้ฟัง

คำรักจากปากทองด้วงรึเปล่า

กดบวกและเป็ด

tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
จะเป็นยังไงหลังสงครามนะ
จะมีใครตายหรือเปล่า

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
รออ่านตอนต่อไป
+1

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
พี่ทองไชยแกเจ้าบทเจ้ากลอน ยิ่งกว่าน้องทองด้วงซะอีก

wdaisuw

  • บุคคลทั่วไป
เกรงว่าหลังสิ้นศึกสงคราม
ทองด้วงจะมีโอกาสกล่าวความในใจหรือไม่? :monkeysad:

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
การที่พี่ทองไชยยังวนเวียนไม่ไปไหน เพราะ อยากฟังคำว่า "รัก" จากน้องทองด้วงหรือเปล่านะ ?
คิดว่าน้องทองด้วง น่าจะรักพี่ท่านเหมือนกัน แต่เจียมตัว เจียมตน ทนแบกรับจารีต จึงเอาแต่ปฏิเสธตัวเอง
ทั้งที่ความรักของพี่ทองไชย ออกจะ Passionate มากมาย ทั้งการกระทำและคำพูด จะบ่ายเบี่ยงได้ ต้องใจแข็งมาก ๆ เลย
เพราะ คนอ่านเจออนุภาพรักนั้น attack ไปแต่ละตอน จนจะละลายได้อยู่แล้ว (ทั้งคำหยอด คำหวาน  :give2: )

ป.ล. พี่ทองไชยไม่ให้น้องด้วงเห็นซีนมัดเงื่อนตาย แต่คนอ่านอยากเห็นบ้างอะไรบ้าง ทำไงดี ???  :interest:
 ( โดนคนเขียนโบก  :z6: )

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2012 18:56:39 โดย Cherry Red »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด