(เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น) อิฐเก่าเล่าตำนาน ตอนอวสาน (๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๓๗๔)  (อ่าน 39546 ครั้ง)

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ขออนุโมทนาบุญด้วยคนนะคะเรื่องบวช

สงสัยวิญญาณยังไม่ไปผุดไปเกิดก็เพราะจิตผูกพันกับคำว่า"รัก" หรือเปล่า

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
ขออนุโมทนากับคนเขียนด้วยค่ะ
===
 :laugh: ด้วงมีการเบื่อผีด้วย
ในภาคอดีต ทั้งสองคนจะได้กลับมาตอบคำถาม/ฟังคำตอบไหมหนอ
 :pig4:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สงสัยยังไม่ทันเสร็จ ไม่ทันได้พูดความในใจแน่เลยอะ สงสารคุณพี่ทองไชยจังเลย  :monkeysad:

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งตามมาอ่าน สนุกมากเลยค่ะ ภาษาสวยมากๆ อ่านแล้วลื่นไหลดีจัง  :m4: :m4: :m4:

สงสารพี่ทองไชยจัง เมื่อไหร่จะได้ยินคำว่ารักจากปากน้องด้วงเนี่ย รึที่ไปเกิดไม่ได้เพราะไม่มีโอกาสได้ยิน  :dont2: :dont2: :dont2:

ออฟไลน์ kanunsak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ทองไชยรุกหนักขนาดนี้  เมื่อไหร่หนอ.. น้องทองด้วงจะเอ่ยคำว่า " รัก " ออกมาซะที   :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ ๖

ผมมาทำงานอย่างงัวเงียเหมือนเช่นเคย ก็จะไม่ให้งัวเงียได้อย่างไรในเมื่อผมได้เดินทางย้อนยุคไปสองร้อยกว่าปีทุกคืนๆ กว่าจะได้กลับบ้านก็เที่ยงคืนตีหนึ่ง แต่ยังไงๆผมก็ยืนยันอยู่ดีแหละว่ามันคุ้มกับเวลานอนที่ถูกเบียดบังไป
กลิ่นกาแฟหอมลอยมาจากห้องทำงานของพี่ยง ผมเหลือบมองไปยังนาฬิกาแขวนก็พบว่าวันนี้เหมือนพี่ยงจะมาเช้ากว่าปกติพอสมควร และไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรได้ต่อ พี่ยงก็เดินออกมาจากห้องด้วยสายตาที่แปลกไปจากทุกวัน
“เข้ามาคุยกันหน่อยสิด้วง”
“พี่ยงมีเรื่องอะไรหรอครับ”
พี่ยงไม่ได้ตอบคำถาม และสีหน้ายังคงเรียบเฉย ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในห้อง และนั่นยิ่งทำให้ผมแปลกใจระคนหวาดระแวงกับท่าทีนั้น
เจ้าของห้องนั่งลงบนโต๊ะ ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเข้าประเด็นสนทนา
“ด้วงเข้าไปในวัดทำไมตอนดึกๆ”
“อะไรนะครับ” ผมตกใจหน้าซีดเผือด เมื่อรู้ถึงประเด็นที่ถูกซักถาม
“พี่ถามว่า เราเข้ามาทำไมที่นี่ดึกๆ แล้วก็ห้ามปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ เพราะยามเขาบอกพี่แล้ว ว่าด้วงมาที่นี่ทุกคืน”
ผมกลืนน้ำลายอึก พลางนึกถึงคำโกหก และถ้าผมโกหกไม่เนียน นั่นหมายถึงตำแหน่งหน้าที่ที่หลุดลอยและอิสรภาพที่จะหายไปแถมต้องไปใช้ชีวิตในซังเตด้วย ไอ้คุณพี่ทองไชยก็หายไปไหนไม่รู้ เวลานี้ทำไมไม่มาช่วยผมบ้างเลยนะ
“ผมถามว่าคุณเข้ามาทำไมดึกๆดื่นๆ คุณไม่รู้หรือไงว่าที่คุณทำเค้าเรียกบุกรุก”
“เอ่อ .... ผม ผมไม่ได้เข้ามาขโมยหรือทำอะไรอย่างที่พี่คิดจริงๆนะครับ แต่...”
“แต่อะไร คุณจะอธิบายว่ายังไง” พี่ยงพูดด้วยเสียงดัง
“ผมขอโทษครับพี่ ผมเข้ามาที่นี่จริงๆนั่นแหละ”
“แล้วด้วงเข้ามาทำไม”
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกพี่ว่ายังไง แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายแน่ๆครับพี่ยง ผมยินดีให้พี่ค้นบ้านค้นตัว ตรวจสอบทุกอย่าง แต่ผมไม่รู้จะบอกเหตุผลที่ผมต้องมาที่นี่ไม่ได้จริง” ผมตอบด้วยน้ำตาที่รื้นแฉะและอับจนถ้อยคำ ไม่รู้จะอธิบายกับคนอื่นว่ายังไงว่ามาคุยกับผีทุกคืน
“ด้วง....” น้ำเสียงพี่ยงดูสงบลง “เอาเถอะ พี่ก็ไม่ได้คิดว่าด้วงจะเข้ามาทำอะไรอ่างนั้นหรอก เอาเป็นว่าพี่จะไม่ตรวจค้นหรือซักไซ้อะไรหรอก เพียงแต่อย่าทำอีกก็แล้วกัน
“ขอบคุณมากครับ พี่ยง”
“....อาทิตย์นี้พี่จะไปต่างจังหวัด และพี่หวังว่า ด้วงจะรักษาสัญญานะ”
ผมหันไปมองยังยอดปรางค์ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก .... มันรู้สึกใจหาย....เหมือนกับกำลังจะต้องล่ำลากับคนที่รู้สึก...ดีด้วยยังไงก็ไม่รู้
.
.
.
แสงสปอร์ตไลท์สาดทับยอดพระปรางค์เหมือนเช่นเคย พร้อมกับที่ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ต้องผิดคำพูดที่ให้ไว้กับพี่ยง แต่เอาเถอะ ครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ถึงอีตาพี่ทองไชยจะไม่ใช่คน แต่ผมก็อยากจะบอกลาแกซักหน่อยนะ ไหนๆแกก็รอคอยผมมาตั้งหลายร้อยปีนี่นา

ลมเย็นๆพัดวูบชวนขนลุกเหมือนเคยเป็นการบ่งบอกว่าอีตานั่นมาแล้ว ผมหันไปข้างหลังก็พบกับชายร่างหนายืนทำหน้าเศร้าอยู่
“พี่ทองไชย....คือผม”
“พี่รู้แล้ว ทองด้วงเอย”
“ผมมาลาครับ ผมคงไม่ได้มาหาพี่แบบนี้อีกแล้ว”
“พี่เข้าใจแล้ว .... แล้วเจ้าเล่าทองด้วง ยังอยากฟังเรื่องราวจากพี่อยู่ฤาไม่”
“เอ่อ.... คือผม... ช่างเถอะ ก่อนอื่นผมอยากรู้ว่า จากนี้ไป พี่จะเป็นอย่างไรต่อไป พี่จะต้องอยู่ที่นี่อีกเมื่อไหร่ แล้วอีกนานมั้ยกว่าที่พี่จะไปเกิด”
 “เจ้าจงอย่าได้ใส่ใจพี่เลย ทองด้วง อย่างไรเสียเราก็อยู่กันคนละโลก พี่ควรจะยอมรับในเรื่องนี้ตั้งแต่ที่พี่สิ้นลมเสียด้วยซ้ำ”
“พี่ทองไชย....”
“ลาก่อน ทองด้วง ยอดดวงใจของพี่”
“เดี๋ยวครับพี่ทองไชย” ผมร้องทักไว้ ก่อนที่พี่ทองไชยจะหันหลังให้ “ ....ช่วยเล่าให้ผมฟังต่อเถอะครับ”
“ทองด้วง..”
“หากผมจะทำให้พี่มีความสุขและพ้นจากสิ่งที่ทำให้พี่วนเวียนอยู่ที่นี่ได้ ผมยินดีที่จะทำครับ ขอเพียงแค่พี่บอกผมมา”
พี่ทองไชยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจเจ้ามาก” พลันทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผู้คนในเครื่องแต่งกายสมัยอยุธยาเดินไปมาขวักไขว่อยู่ในอาณาบริเวณที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นในเขตกำแพงเมือง หากแต่ครั้งนี้สีหน้าแต่ละคนดูไม่ค่อยมีความสุขนัก

“ทัพหงสาตีโอบเราทุกด้าน ไม่ว่าเราจะส่งทัพหลวงไปทางใดก็แตกพ่ายกลับมาทุกทาง และในเพลานั้น อโยธยาศรีรามเทพนครเหลือกลศึกเพียงประการเดียว นั่นคือกลน้ำหลากที่เคยใช้มาเช่นทุกครั้ง” พี่ทองไชยบอกด้วยใบหน้าเรียบ ก่อนที่บรรยากาศรอบตัวจะดำเนินไปเรื่อยๆ เราพากันเดินมาจนถึงเรือนหลังขนาดไม่ใหญ่โตนัก ข้างบนนั้นมีตัวผมในอดีตกับพี่ทองไชยที่วางห่อผ้ลงพลางนั่งลงบนระเบียงของเรือน

“เหนื่อยไหม ทองด้วงน้องพี่”
“ไม่ดอกขอรับ แต่ใจหายเสียมากกว่า ไม่รู้ว่าจะนานอีกสักกี่เพลากว่าจะได้กลับออกไปนอกกำแพงเมือง บ้านเรือนที่หัวรอทิ้งไว้นานๆคงจะทรุดโทรมจนน่าเศร้านัก”
“เป็นธรรมดาเมื่อถึงคราศึกสงคราม สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องพึงรักษาไว้รองจากอธิปไตยแห่งประเทศนั่นก็คือชีวิต แลที่สำคัญยิ่งยวดคือต้องดำรงไว้ทั้งสองอย่าง อดทนหน่อยเถิดทองด้วงน้องพี่”
ทองด้วงยิ้มรับเล็กน้อยก่อนจะเสมองออกไปนอกกำแพงเมือง พระยาไชยเดินตามมานั่งข้างๆพลางโอบคอจากด้านข้างก่อนจะขยับคนร่างบอบบางให้มาชิดกับตนมากขึ้นเอง
“แต่สิ่งดีๆก็ยังมีในยามสงครามเช่นนี้เหมือนกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่หาได้มีแต่ความกังวลไม่ในเพลานี้ ทว่าพี่กลับรู้สึกอิ่มเอมอยู่ไม่น้อยที่ได้อยู่เคียงข้างเจ้าเช่นนี้”
“พี่ทองไชยช่างพูดเอาแต่ได้ หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้หาใช่เวลาที่จักคิดเยี่ยงนั้นนะ”
“มิได้ดอกน้องพี่ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก แลความสุขนั้นสำหรับบางคนก็เหมือนกับความฝันที่ไม่อยากตื่นมารับรู้ความจริง แต่สำหรับพี่นั้น กลับเหมือนเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ความฝันอันสูงสุดของพี่ได้เป็นจริง แล้วเจ้าเล่าทองด้วง คิดอ่านตรงกับดวงใจพี่ฤาไม่”
ทองด้วงกลืนน้ำลายลงลำคออย่างยากลำบาก ก่อนจะหันหนีไปทางอื่น
“นั่นหาใช่สิ่งสำคัญสำหรับตัวกระผม หากความสุขนั้นหาความจีรังไม่กระผมก็ขอเลือกที่จะไม่ทุกข์ไม่สุข แลไม่คิดอ่านมันเสียจะดีกว่า”
“พี่พร่ำบอกว่ารักเจ้านับหมื่นแสนโกฏิคำ แต่เจ้าเล่า มิใคร่จักเฉลยความในให้พี่ได้ฟังบ้างรึ”
ทองด้วงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมาตอบ
“หากพี่ใคร่ฟังในถ้อยคำที่หาประโยชน์ไม่ได้คำนั้นแล้วไซ้ ได้โปรดรอให้เสร็จศึกครานี้เถิด ข้าจักเฉลยคำนั้นเอง”


บรรยากาศรอบตัวกลับกลายเป็นซากปรักหักพังของวัดราชบูรณะดังเดิม ก่อนที่พระยาไชยจะปรายตามาทางผมด้วยแววตาที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก่อนจะตัดพ้อกับผม
“เจ้ารู้หรือไม่ ทองด้วง แม้ในเพลานี้บางครั้งตัวพี่ก็แอบซ่อนความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจต่อเจ้ามิได้”
“น้อยใจผม..?”
“หากเป็นอิสตรีทั่วแคว้นแดนถิ่นต่อให้ใจแข็งดั่งหิน ก็ยังมีวันกร่อน แต่กับเจ้าเพียงแค่ถ้อยคำสั้นๆคำเดียวนั้นก็แสนยากเย็นที่พี่จะได้สดับรับฟัง”

พระยาไชยยิ้มเล็กน้อยในขณะที่ผมเป็นฝ่ายนิ่งเงียบฟังต่อไป “บางครั้งพี่ก็คิดนะว่าความรักของพี่ประหนึ่งการออกแรงทุบหินผาหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะออกแรงสักเพียงใดแต่ภูผานั้นไซ้ก็หาสั่นไหวเลยสักน้อย ..... พี่แค่ใคร่อยากจะรู้ว่าเจ้ารักพี่บ้างหรือไม่ แค่คำเดียวเท่านั้นที่พี่ใคร่ได้ยิน”

ทั้งคนทั้งผีต่างนิ่งเงียบจนได้ยินเสียงจักจั่นเรไรอย่างชัดเจน บรรยากาศชวนอึดอัดนี้ทำให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดก่อนเสียเอง
“ถ้าผมในอดีตรอจะเฉลยความในใจหลังเสร็จศึกนั่นก็หมายความว่า....สิ่งที่ทำให้พี่ยังวนเวียนไม่ไปไหน นั่นก็คือ คำว่ารักจากผมงั้นหรอครับ”

วิญญาณของพี่ทองไชยไม่ยอมตอบผม แต่กลับนิมิตรอบตัวให้กลับสู่อดีตอีกครั้ง และตอนนี้เรามายืนอยู่บนกำแพงเนือง ด้านนอกนั้นน้ำเอ่อสูงอย่างน่ากลัวตามที่ในพงศาวดารกล่าวไว้ หากแต่หากมองไกลออกไปนั้น กลับมีเกาะกระโจมของกองทัพพม่ารายล้อมพระนครเต็มไปหมด
“กลศึกน้ำหลากนั้นหาได้ผลไม่ในการศึกครานี้ พวกพม่ารามัญคิดอ่านมาเป็นอย่างดีว่ากรุงศรีอยุธยาจักใช้ลูกไม้เดิมในการตั้งรับ พวกมันตั้งค่ายสูงและสร้างเป็นเกาะประดิษฐ์รอไว้ในฤดูน้ำหลาก รวมถึงมีทัพเรือล้อมรอบกรุงศรีเป็นจำนวนหลายลำ แม้เราจะได้เปรียบในเพลานั้น หากแต่เราก็ทำได้แค่ตั้งรับ เพราะไม่ว่าจะส่งกำลังไปตีพวกหงสาสักกี่กระบวนพลก็ถูกตีแตกพ่ายกลับมาหมด จนสิ้นฤดูน้ำหลาก” ตาทองไชยพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด กรามของเขาบดแน่นจนผมมองเห็นได้ชัด

.
.
เสียงดังราวกับโลกจะแตกดังขึ้นมาจากนอกกำแพงเมือง ชาวเมืองวิ่งหนีกันอย่างโกลาหลหลบกระสุนปืนที่ยิงข้ามมาจากปืนใหญ่ของทัพหงสาที่สร้างคันดินล้อมพระนครไว้ทุกด้าน กินเวลาเนิ่นนาน ก่อนที่เสียงปืนจะสงบลงทิ้งไว้แต่เสียงครวญครางจากผู้คนและทหารที่ได้รับบาดเจ็บ คละเคล้าเสียงร่ำไห้ของผู้คนที่สูญเสียคนที่รักไป

“ท่านหมื่น ช่วยหยิบไพลแลขมิ้นให้ที เสร็จแล้วท่านจงฝนไพลเพิ่มให้ข้าอีกสักหน่อย” เสียงคนที่น่าจะเป็นหมอออกคำสั่งท่ามกลางความโกลาหล ตัวผมในตอนนั้นรับคำพลางวิ่งวุ่นไปนั่นมานี่ และสิ่งที่ทำให้ทองด้วงต้องตกตะลึงจนแทบจะทิ้งยาสมุนไพรทั้งหมดลงพื้น นั่นคือร่างของพระยาไชยสุริเยนทร์ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด!!

“พี่ทองไชย!!!”
.
.
.
“ท่านขุนทิพโอสถขอรับ อาการของพี่...เอ่อ พระยาไชยสุริเยนทร์ไม่ดีขึ้นเลยหรือขอรับ” ทองด้วงถามขึ้นขณะที่นั่งดูอาการของคนเจ็บที่นอนอยู่บนแคร่
“ท่านพระยาเสียเลือดมาก ไม่เพียงเท่านั้น เพลานี้หยูกยาแลสมุนไพรต่างๆที่เราเหลือก็หาเพียงพอไม่สำหรับคนเจ็บเรือนพันเยี่ยงนี้”
“แต่กระผมปล่อยท่านพระยาให้ตายไม่ได้!!!” ทองด้วงพูดด้วยน้ำตาที่นองหน้า ก่อนจะปาดน้ำตาของตน ด้วยหลังมือ “ทุกคนฟังข้าให้ดี จงแต่งกำลังพลมาให้ข้าสักหยิบมือ เราจักไปหาสมุนไพรมารักษาเหล่าทหารหาญทั้งหลาย หากไม่มีพวกเขา อโยธยาศรีรามเทพนครก็เท่ากับนับถอยหลังรอวันปราชัย”
“แต่....”
“หากหามีผู้ใดจักไปกับข้าเพียงเพราะหวาดกลัวต่อทัพหงสา ก็จงจัดม้ามาให้ข้าเพียงตัวเดียว ข้าจักไปเพียงลำพังและจักกลับมาเป็นแน่ โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า”
ขุนทิพโอสถถอนหายใจ ก่อนจะแตะไหล่ทองด้วงเบาๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าฝากท่านหมื่นด้วย เอาล่ะ ทุกคนฟังข้า จงจัดทหารมือหนึ่งแลทหารแพทย์ตามท่านหมื่นไปสักยี่สิบนาย แลแต่งกายเป็นชาวบ้านอย่าให้พวกพม่ารามัญรู้ว่าเราจะลอบออกนอกกำแพงเมือง คืนนี้เราจักไปหาสมุนไพรมาสำหรับเป็นสเบียงแพทย์กัน”
.
.
.
การลอบออกไปหาสมุนไพรประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามวันต่อมาอาการของพระยาไชยรวมถึงทหารที่บาดเจ็บหลายๆคนก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าสมุนไพรที่มีนั้นก็ไม่เพียงพอต่อคนเจ็บที่มีมาอย่างต่อเนื่องอันเกิดจากการถล่มจากนอกกำแพงเมืองของทัพพม่าที่รุกรานอยู่ตลอด
“เราจักต้องไปหายามาเพิ่มอีก” ทองด้วงกล่าว
“แต่เพลานี้ไม่สมควรอย่างยิ่งเจ้าจักออกไป พวกพม่ารามัญยิงปืนใหญ่ข้ามกำแพงเมืองเข้ามาทุกวันๆ แลพวกทหารพม่าก็มีมากมายที่ประชิดติดพระนครอยู่ พี่เห็นว่า...”
“ท่านพระยาขอรับ กระผมเคยออกไปแล้วคราหนึ่ง ย่อมรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี อีกทั้งการช่วยชีวิตคนนั้นประเสริฐนัก บ้านเมืองยามศึกสงครามมิต้องการทหารหาญที่หวาดกลัวต่อความตาย แต่ท่านพระยาเชื่อผมเถิดว่ากระผมจักต้องกลับมาได้เหมือนเช่นคราก่อนเป็นแน่”
พระยาไชยมองลึกไปยังดวงตาของคนตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้
“เจ้านี่น่าดุด่าก็ตรงนี้แหละ ดื้อรั้นมิฟังใคร แลตั้งใจสิ่งใดก็หามีใครค้านได้ เอาเถิดคืนนี้พี่จักไปกับเจ้า จงไปแต่งไพร่พลให้พร้อมเถิด ทองด้วงเอย”
“ขอรับ พี่ทองไชย” ทองด้วงยิ้มพร้อมกับเรียกชื่อของคนตรงหน้าโดยไม่ได้ขานศักดินา

“ท่านพระยาขอรับ” เสียงทหารเลวนายหนึ่งร้องเรียกขึ้น
“มีอะไรรึ”
“ท่านออกญาเรียกพบในวังขอรับ”
พระยาไชยพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบ ก่อนจะหันมาทางทองด้วง
“พี่ขอตัวก่อนนะ แล้วค่อยพบกันคืนนี้”
.
.
.
พระยาไชยเปิดประตูไม้ออกช้าๆ พลางเข้าไปในห้องที่ออกญาผู้เป็นพ่อรอพบอยู่ สีหน้าของท่านดูเป็นกังวลเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมาทางลูกชาย
“มีเรื่องอันใดจึงเรียกหากระผมฤาครับท่านพ่อ”
“นั่งก่อนสิ”

พระยาไชยทรุดนั่งลงบนตั่ง ก่อนที่ออกญาจะเริ่มกล่าวต่อ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อาการคงดีขึ้นนะ”
“ก็ดีขึ้นขอรับ แล้วท่านพ่อเล่าครับ ได้ดูแลพ่ออยู่หัวในนี้ สุขสบายดีฤาไม่”
ผู้เป็นพ่อหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะทอดมองออกไปนอกพระราชวัง ขุนนางวัยชราไม่ได้ตอบคำถามหากแต่เลือกที่จะถามคำถามอื่น
“เจ้าคิดอ่านอย่างไรบ้างกับการศึกครานี้”
“ก็หนักหนาไม่น้อยครับ ท่านพ่อ”
ออกญาเพ่งมองผู้เป็นลูกด้วยแววตาจริงจัง ก่อนจะเค้าคำพูดที่จะกล่าวต่อไป
“สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะเป็นคำสั่งในฐานะของออกญาแห่งกรมวัง ขอให้เจ้าจงรับฟังและให้สัตย์ปฏญาณต่อข้าว่าจักปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด “
“ขอรับ ท่านออกญา” พระยาไชยรับคำ”
“ดีมาก ตามข้ามาสิ”
ออกญากรมวังเดินนำหน้าลัดเลาะไปตามทางเดินในพระราชวังฝ่ายใน ก่อนจะไขประตูที่ทำด้วยทองคำเข้าไปด้านใน และสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้านั้นก็ทำให้เจ้าพระยาหนุ่มอดตกใจไม่ได้ เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือทรัพย์สมบัติอันประกอบด้วยทองคำแลเพชรพลอยต่างๆวางเรียงรายอยู่ในห้อง และที่เด่นสง่าอยู่กลางโถงนั้นก็มีเครื่องราชกกุธทั้งห้าประดิษฐานอยู่
“ฟังให้ดีนะ พระยาไชยสุริเยนทร์ หากอโยธยาศรีรามเทพนครแตกพ่ายเมื่อไหร่ เจ้าจักต้องดูแลทรัพย์สมบัติแลเครื่องราชกกุธภัณฑ์เหล่านี้อย่าให้ได้ตกเป็นของพวกพม่ารามัญเป็นอันขาด”
“ขอรับ ท่านออกญา แต่ถ้าหากพวกหงสามันเข้ามาได้ ลำพังตัวกระผมนั้นจักปกป้องทรัพย์สมบัติเหล่านี้ได้อย่างไร กระผมหาได้หวาดกลัวต่อความตายไม่ แต่ความตายของกระผมคงมิสามารถปกป้องราชธานีแลทรัพย์ศฤงคารเหล่านี้ได้ ......หากอโยธยาศรีรามเทพนครแตกพ่ายจริงๆ”
ออกญาเดินไปยังหน้าแท่นวางเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ก่อนจะหยิบคัมภีร์ในลานเล่มหนึ่งยื่นให้พระยาไชย
“นี่เป็นมนต์ลับที่สืบทอดกันมาระหว่างรุ่นต่อรุ่น ที่ออกญาแห่งกรมวังรับช่วงสืบต่อกันมา ใช้สำหรับบังตามิให้ผู้ใดพบเห็น เจ้าจงเก็บไว้ แลท่องจำให้ขึ้นใจ หากพม่าบุกเข้ามาเมื่อไหร่ จงหนีไปให้ไกลแล้วนำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งห้าไปด้วย ข้าฝากให้ เจ้าจงรักษาไว้รอคอยให้ลูกหลานชาวอโยธยาผู้มีบุญญาบารมีเพียงพอและส่งให้คนผู้นั้น”
พระยาไชยรับคัมภีร์ใบลานมาไว้ในมือ ก่อนจะกลืนน้ำลายช้าๆ
“ท่านออกญากำลังหมายความว่า”
“ใช่ อโยธยาศรีรามเทพนครคงจะแตกพ่ายในไม่ช้า” ผู้เป็นพ่อตบบ่าลูกชายเบาๆ “และพ่อขอฝากหน้าที่นี้ให้กับเจ้าผู้เป็นคนหนุ่มฉกรรจ์ที่จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ดีกว่าคนแก่เยี่ยงพ่อ เจ้าคิดไม่ผิดดอก มนต์นี้จักต้องแลกด้วยชีวิตของข้าราชบริพารผู้เปล่งวาจาขานมนต์นั้น”

ออกญาแห่งกรมวังพูดด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาช้าๆ หากแต่สุรเสียงยังฟังดูน่าเกรงขาม
“ข้ายินยอมที่จะตกอเวจีมหานรกกับการที่ข้าได้กระทำเสมือนกำดาบฟันคอลูกชายตัวเอง แต่ข้าไม่ยอมให้เครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์เหล่านี้ต้องตกอยู่ในมือของพวกพม่ารามัญเป็นอันขาด เจ้าเข้าใจพ่อใช่ไหม ทองไชยลูกพ่อ”

พระยาไชยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หากแต่เขาก็ยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ
“ด้วยความเต็มใจยิ่งขอรับ”


อ๊ากกก เขียนตอนนี้เครียกดอะ ยาก แต่สนุกมาก ปล้ำอยู่สองวันเต็มๆ
ไม่รู้จะยังมีใครรออ่านอยู่มั้ย หลังจากหายไปเดือนกว่า
(ไปบวชเสียเกือบยี่สิบวันด้วย)

ยังไงซะก็ยังคิดถึงทุกคนและฝากติดตามอ่านด้วยนะครับ ตอนหน้าก็จะจบแล้วครับ สำหรับเรื่องนี้
 :L2:

tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
เครียด จัง ที่เเท้ก็ต้องมารักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี่เอง

ทำให้ไม่ได้ ฟังคำว่ารักจาก ทองด้วง หรือเปล่า ??

หรือทองด้วงตายก่อน เลยไม่ได้ฟัง

เฮ้อๆๆๆ ดราม่าใช่ไหมเรื่องนี้ เเต่ตอนจบเเล้วหรอ ชอบเรื่องนี้มาก

ยังไม่อยากให้จบเลย TT

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
 :เฮ้อ:

เครียดจริงเมื่อเดาจุดจบของเรื่องไปก่อนแล้ว 

หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง(555)

เรื่องรักคงเป็นรองหน้าที่ซะแล้วงานนี้

 :กอด1:

บวกเป็ด

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26

Mio

  • บุคคลทั่วไป
กลายเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไปเลย  :a5:
สามคำ>>>ชอบ เรื่อง นี้  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
หน้าที่อันยิ่งใหญ่ การรักษาทรัพย์แผ่นดิน
+1

ออฟไลน์ akihito

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
พี่ทองไชย สละชีพเพื่อชาติ บ้านเมือง สมเป็นชายชาติทหาร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ว่าแต่พี่ท่านเฝ้าเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งห้ามาเป็นร้อย ๆ ปี แล้วภาระอันยิ่งใหญ่นี้จะจบสิ้นเมื่อใดล่ะ ?
อยากให้ พี่ทองไชย-ทองด้วง ครองรักกันสุขสม ไม่ชาตินี้ก็ชาติภพไหนสักทีเถอะ...  :impress:

คุณทิดหนิง กลับมาแล้ว กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลยค่ะ... :กอด1:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
อั้ยยะ พี่ทองไชย คุณพี่สุดยอดมากกกกกกกจริงๆๆ

ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
ตอนที่ ๗

ผมเริ่มรู้สึกหน้าซีดและมือเย็นเฉียบ เรื่องราวที่ผมได้เห็นได้รับรู้รับฟังนั้นโหดร้ายเกินกว่าที่คิดนัก ความน่ากลัวของสงคราม การรับรู้ถึงความสูญเสีย มันเจ็บปวดและหวิวโหวงในหัวใจยิ่งกว่าการดูภาพยนตร์สงครามสักเรื่องนัก
“เพราะเรื่องนี้หรอครับพี่ทองไชย พี่ถึงได้ไม่สามารถไปไหนได้”
“เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หาใช่เหตุผลทั้งหมด ทองด้วงน้องพี่” ตาทองไชยหันมายิ้มให้ผม ก่อนที่จะนิมิตให้ผมได้เห็นประวัติศาสตร์ที่ดำเนินต่อไปในครั้งนั้น
.
.
.
พระยาไชยและทองด้วงรวมถึงไพร่พลที่แต่งไว้อยู่ในชุดพรางสีดาเพื่ออำพรางตัวในความมืดกำลังตระเตรียมข้าวของสำหรับลอบออกไปหาหยูกยาสำหรับการรักษาไพร่พล ทั้งคู่สบตากันอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้น
“รีบไปเถิด ทองด้วง พี่ไม่อยากจะกลับมาสายนัก”
“ได้ขอรับ”

ม้าศึกถูกควบออกไปช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง กำลังพลที่เคลื่อนไปนั้นค่อยๆเดินทางมาเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณหัวรอ ซึ่งเป็นบริเวณที่ทองด้วงนำไพร่พลมาเก็บสมุนไพรจากคราวก่อน ทั้งหมดผูกม้าไว้ตามภูมิประเทศก่อนจะกระจายกำลังไปทำงานของแต่ละคน
“พี่ทองไชย ดูนั่นขอรับ” ทองด้วงชี้ไปยังฟากหนึ่งของชายป่า ซึ่งมีแสงไฟและควันไฟลอยขึ้นฟ้าเป็นการแสดงว่า มีการตั้งกองกำลังของพวกหงสาอยู่บริเวณนั้น
“พวกพม่ารามัญ” พระยาไชยบดกรามแน่น “มันตั้งกองไพร่พลล้อมรอบกำแพงนครถึงเพียงนี้เชียวรึ”
“พ่ออยู่หัวแลแม่ทัพน้อยใหญ่ในกำแพงพระนครทราบหรือไม่ขอรับพี่ทองไชย ว่าพวกหงสาตองอูนั้นมันหาญกล้าถึงเพียงนี้”
“พี่ไม่ทราบได้ ทองด้วงน้องพี่”
“ถ้าเช่นนั้น กระผมเห็นว่า เราควรจักไปสอดแนมพวกมัน ว่าพวกหงสานั้นมันกำลังคิดอ่านประการใดต่อไป”
“ทองด้วง!!! เจ้าหาใช่นักรบไม่ หากพลาดพลั้งขึ้นมา มิเพียงแต่ข่าวสารที่เจ้าจักเอากลับไปไม่ได้ แม้แต่ชีวิตของเจ้าก็จักต้องทิ้งไว้ที่นี่” พระยาไชยเอ่ยห้าม
“ในยามสงครามหากคร้ามเกรงต่อความตายก็มิสมควรที่จักเรียกตนว่าเป็นชายชาตรี พี่ทองไชยอย่าได้หวาดกลัวเลยขอรับ ยามนี้ก็ค่ำมืดยากนักต่อการที่พวกพม่ารามัญจักสังเกตเห็นเราได้ อีกทั้งป่านี้ก็รกชัฏอยู่ไม่น้อย”
ทองด้วงกล่าวพร้อมกับเดินนำพระยาไชยโดยไม่สนใจฟังคำทักท้วง จนอีกคนต้องตามมาด้วยความเป็นห่วง และภาพเบื้องหน้านั้นก็ทำให้ทั้งคู่ตกใจไม่น้อยอันเนื่องจากความอหังการ์ของทหารหงสา กองดินขนาดใหญ่สูงท่วมหัวเทียมกำแพง ด้านบนของกองดินนั้นมีปืนใหญ่ของพวกพม่ารามัญตั้งอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจนั่นก็คือ ดินพวกนั้นถูกขุดขึ้นมาจากโพรงดินที่มีทหารพม่าหลายคนทยอยเดินเข้าเดินออกในโพรงดินขนาดมหึมานั้น

“พวกมันคิดจะทำอะไร” พระยาไชยพูดกับตนเองอย่างพิจารณา
“แต่เมื่อเพ่งพินิจดูแล้ว กระผมใจมิค่อยดีเลยครับ กลศึกของมันช่างแปลกประหลาดพิสดารนัก”

ทั้งสองคนเพ่งมองอยู่นานพอสมควร ก่อนที่เชลยของพวกพม่าจะนำดินสีดำจำนวนมหาศาลเดินลงไปในโพรงนั้นทีละคนๆ และนั่นเป็นภาพที่ทำให้พระยาไชยตาเบิกโพลง
“นั่นมัน ดินระเบิด!!!”
“ถ้าเช่นนั้น ก็หมายความว่า....”
“เราต้องรีบไปแจ้งข่าวแก่เหล่าแม่ทัพนายกองในกำแพงเมืองบัดเดี๋ยวนี้ ทองด้วงน้องพี่!!!”
“ข..ขอรับ” ทองด้วงรับคำ และด้วยความที่ไม่ได้ระวังตัว เขาก็เสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้น แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้เหล่าทหารพม่านั้นรู้ตัวแล้วว่ามีคนซุ่มดูอยู่
“วิ่ง!! ทองด้วง”
ข้อมือบางของทองด้วงถูกพระยาไชยคว้าไว้แน่น ก่อนจะพาวิ่งอย่างไม่ได้มองหลัง แต่ทว่าทหารพม่าจำนวนไม่น้อยที่ลาดตระเวนอยู่นั้นก็ตามมาล้อมทั้งคู่ไว้ทัน
เกิดการปะทะกันแบบสิบต่อสองโดยพระยาไชยและทองด้วงถูกล้อมไว้ทุกทาง และเพียงไม่นานการโรมรันก็เกิดขึ้น เสียงดาบปะทะกันดันเปรี้ยงปร้างประหนึ่งอัสนีบาตที่ฟาดฟันลงมายังพื้นดิน แม้จำนวนคนนั้นทั้งคู่จะเป็นรอง แต่โชคยังดีที่หน่วยลาดตระเวนนั้นเป็นเพียงทหารเลวปลายแถว หากแต่ถูกประวิงเวลานานกว่านี้ หน่วยสนับสนุนของพวกพม่าคงจะมาถึงในอีกไม่ช้า
“พี่ทองไชยระวัง!!!” ทหารพม่านายหนึ่งเงื้อดาบหมายจะฟันพระยาไชยจากด้านหลัง หากแต่ทองด้วงนั้นไสดาบไปรับไว้ทันหาก ทว่าดาบของทองด้วงที่ไม่ได้กำไว้มั่นก็หลุดมือของนักกวีหนุ่ม และด้วยสัญชาตญาณแห่งความจงรักภักดี เขาผลักตัวไปหมายจะรับดาบนั้นและใช้ข้อมือตนเองรับไว้จนถูกฟันขาดกระเด็น....
“อ๊ากกก”
“ทองด้วงงงง!!!” พระยาไชยสุริเยนทร์คำรามก้องอย่างบ้าลือด ก่อนจะกระโดดฟันคอทหารพม่าคนนั้นจนขาดสะพายแล่งจนเลือดสาดกระเซ็นเต็มใบหน้า ก่อนที่พระยาไชยจะไล่ฆ่าทหารเหล่านั้นจนหมดในเวลาไม่นาน
 “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ทองด้วง”
“ข้ามิเป็นไรขอรับ” ทองด้วงยิ้มพลางรับคำด้วยเสียงสั่นๆ พระยาไชยห่อผ้าที่นำมาสำหรับเก็บสมุนไพรมาฉีกเป็นริ้วและพันห้ามเลือดไว้ “เราต้องรีบไปแล้ว”
“พี่จะรีบพาเจ้าไปรักษา อดทนเอาหน่อยเถิดนะ ทองด้วงน้องพี่”

เสียงปืนคาบศิลาดังไล่หลังทำให้ทั้งคู่ต่างพากันรีบวิ่งกึ่งลากกึ่งจูงมายังม้าที่ผูกอยู่ พระยาไชยผูกผ้าพันร่างของทองด้วงไว้กับแผ่นหลังของตน ก่อนจะควบม้าห้อตะบึงกลับไปยังกำแพงเมือง และเสียงปืนก็ยังดังเปรี้ยงปร้างไม่ขาดสายประหนึ่งฟ้าจะถล่ม
.
.
.
“ท่านจงไปแจ้งข่าวแก่บรรดาแม่ทัพนายกอง ว่าพวกพม่ารามัญมันกำลังจะเผารากของกำแพงเมืองทางฝั่งหัวรอ จงบอกพวกเขาให้เตรียมรับมือ ณ จุดๆนั้นเถิด” พระยาไชยตะโกนออกคำสั่งเมื่อมาถึงโรงหมอ หากแต่ไม่นานนัก เสียงครืนครามระคนเสียงโห่ร้องของทหารพม่าก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงตะโกนของทหารอโยธยา

“กำแพงเมืองถล่มแล้ว กำแพงเมืองถล่มแล้ว!!!”

หากแต่พระยาไชยหาได้สนใจต่อเสียงนั้นไม่ เขาแกะผ้าที่พันตนออกก่อนจะนำร่างของทองด้วงที่อยู่ด้านหลังมา และเขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าร่างบางของชายผู้เป็นที่รักนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดยิ่งกว่าตอนแรก
“ทองด้วง เจ้าถูกยิง!!!”
เจ้าของร่างชุ่มเลือดยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ท่านจงไปสมทบกับพวกทหารเถิดขอรับ เพลานี้อโยธยาศรีรามเทพนครถึงคราคับขันแล้ว อย่าได้ใส่ใจกระผมเลย”
“พี่จักทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้” พระยาไชยเอ่ยด้วยน้ำตานองหน้า
“อย่าได้เศร้าโศกไปเลยขอรับ ข้าดีใจแล้วที่เกิดมามิเสียชาติเกิด ที่ได้เกิดเป็นชายแลได้ตายเพื่อชาติ” ทองด้วงเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะสำลักเลือดออกมา
“ทองด้วง เจ้าจักเป็นอะไรมิได้ เจ้าลืมสัญญาที่เจ้าให้ต่อข้าแล้วรึ พี่ยังใคร่ได้ยินคำว่ารักจากเจ้านะ”
ทองด้วงสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตั้งแต่กระผมเกิดมายังไม่เคยทำผิดสัญญาสักครั้ง แต่เห็นทีครานี้หากต้องรอให้เสร็จศึกคงจักไม่ได้ทำดังที่บอกพี่ทองไชยไว้...”
ร่างชุ่มเลือดนั้นถูกคนร่างกำยำผวากอดทั้งน้ำตา “พี่ไม่ใคร่ได้ยินในเพลานี้ เจ้าจงรอให้อโยธยาได้รับชัยชนะในศึกสงครามครั้งนี้เสียก่อน ดังนั้นเจ้าห้ามเป็นอะไรทั้งนั้น เจ้าได้ยินพี่หรือไม่!”
“กระผมคงต้องบอกพี่เสียตอนนี้แล้วล่ะครับ ผม....ร....”
ทองด้วงพูดอย่างยากลำบากด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา ก่อนที่พระยาไชยจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ขาดหายไปที่ข้างพวงแก้มของตนเอง
“ทองด้วง!!!!”
พระยาไชยตะโกนสุดเสียง หากแต่เสียงนั้นกลับถูกกลบกลืนด้วยเสียงปืนใหญ่ของฝั่งพม่าที่ระดมยิงเข้ามา ผู้คนเริ่มวิ่งหนีอย่างโกลาหล วัดเวียงและพระราชวังเริ่มถูกเพลิงเผาไหม้และระเบิดเสียหายเป็นจำนวนมาก เสียงโห่ร้องโรมรันอันเกิดจากการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายดังโหวกเหวกน่ากลัวประหนึ่งอเวจีมหานรก หากแต่เหตุการณ์ทั้งหมดมิได้ทำให้พระยาไชยพรั่นพรึงแม้แต่น้อย เขารู้สึกประหนึ่งโลกหยุดหมุน มีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบาของตนกับลมหายใจที่สิ้นสุดลงของชายผู้เป็นประหนึ่งดวงใจซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า

เสียงปืนใหญ่แลเสียงโห่ร้องยังอึงมี่ไปทั่วอโยธาศรีรามเทพนคร พระยาไชยกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพาร่างไร้วิญญาณของทองด้วงผู้ไว้กับหลังตนอีกครั้ง แล้วควบม้าไปยังพระบรมมหาราชวัง ....เพื่อทำในสิ่งที่ต้องทำก่อนจะสิ้นลมหายใจของตน
.
.
.
เมื่อมาถึงห้องพระคลัง พระยาไชยรีบเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งหมดลงยังห่อผ้าที่เตรียมมาด้วย ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากพระราชวังท่ามกลางเสียงหวัดร้องของสนมแลข้าราชบริภาร และเมื่อเขาก้าวออกมานอกวัง ก็พบกับทหารพม่าจำนวนไม่น้อยไล่ฆ่าฟันชาวอโยธยาอย่างไร้ความปราณี และอีกจำนวนไม่น้อยที่พุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายพระยาแห่งกรมวัง

“ย้ากกกก” พระยาไชยคำรามเรียกความห้าวหาญให้ตนเอง ก่อนจะก้าวขึ้นควบม้าบึ่งทะยานหนีไปอย่างไม่คิด แต่ไม่ว่าจะไปทางไหน ก็มีแต่ทหารพม่ารามัญที่อยู่เต็มไปหมด

“ฮี้!” เสียงม้าที่พระยาไชยควบอยู่ร้องเสียงหลง ก่อนจะล้มลงกับพื้นทั้งคนทั้งม้า และพระมหาพิชัยมงกุฎทองคำนั้นก็กลิ้งหลุดไปจากพกผ้า เมื่อพระยาไชยจะเอื้อมไปหยิบก็ถูกหารเลวของพม่าใช้เท้าเขี่ยไปทางอื่นพลางเงื้อง่าหมายจะฟัน ทำให้พระยาไชยตัดสินใจพาตนเองและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือหลบหนีจากพวกทหารพม่า และวิ่งอย่างทุลักทุเลไปยังพระปรางค์เจดีย์เจ้าอ้ายและเจ้ายี่พระยาที่กำลังถูกไฟเผา ทองคำบริสุทธิ์ที่ก่ออยู่ด้านนอกของพระปรางค์ค่อยๆหลอมเหลวหลุดออกมาช้าๆ หากแต่ทหารที่ไล่ขับพระยาไชยมาก็หากลัวไม่เพราะพวกมันรู้ว่าคนที่มันกำลังไล่ตามนั้นมีสมบัติติดตัวมาด้วยและกำลังหมดทางสู้

“พลั่ก!!!” ทหารพม่าที่อยู่หน้าขบวนบนบันไดขึ้นพระปรางค์ถูกถีบตกบันไดและล้มระเนระนาดจนเสียกระบวนทั้งหมด พระยาไชยยิ้มอย่างมีชัย ก่อนจะโยนห่อผ้าทั้งหมดลงไปในปล่องของพระปรางค์ พลางยกมือพนมและกล่าวมนต์กำบังกาย

“นะโมพุทธายะ ปะลิยะติ จักขุนะ จักขุโก จักขุพุธโธ นะโกหากุ ปะลิยะติ”

เลือดไหลออกจากทวารทั้งห้าของพระยาไชย ก่อนที่เขาจะล้มหงายหลังทิ้งตัวลงในปล่องพระปรางค์
“ลาก่อน ทองด้วงยอดดวงใจของพี่ พี่เศร้าใจนักที่พี่ทำได้แค่ทอดกายทิ้งร่างไร้วิญญาณอยู่เคียงข้างเจ้าที่นี่ แต่หากพี่มีวาสนาเพียงพอ ขอให้ชาติภพหน้าเราจงได้ครองรักกันอย่าได้มีอุปสรรคใดด้วยเถิด”

พระเพลิงเผาผลาญพระปราง์ช้าๆท่ามกลางสายตาแห่งความละโมบของพวกพม่ารามัญ หากแต่ภายในความเสียหายนั้น ...กลับเป็นเพียงการเริ่มต้นของตำนานบทหนึ่งที่ล่องลอยข้ามสายธารแห่งกาลเวลาจวบจนปัจจุบัน
.
.
.
ภาพเบื้องหน้าผมค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟสีขาวนวลที่สว่างอยู่ทั่วห้องพร้อมกับกลิ่นคละคลุ้งที่ผมไม่คุ้นนักที่ฉุนจนผมต้องยู่จมูกเบาๆ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบว่า คนที่นั่งฟุบอยู่ข้างๆเตียงที่ผมนอนอยู่นั้น คือพี่ยง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
พี่ยงสะดุ้งตื่นมั่วได้ยินเสียงของผม ก่อนที่พี่แกจะทำหน้าดุและถอนหายใจเสียงดัง
“พี่ต่างหากที่ต้องถามด้วง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ด้วงกลับไปที่วัดตอนดึกๆทำไม “

ความทรงจำผมเริ่มวนกลับมา เมื่อคืนนี้ผมไปพบกับพีทองไชย แต่ไหงผมถึงมานอนแหม่บอยู่ที่โรงพยาบาลได้
“ถ้าพี่ไม่โกหกเราจะรู้มั้ย ว่าสุดท้ายเราก็เป็นคนเชื่อคำพูดไม่ได้ ด้วงขึ้นไปทำอะไรที่พระปรางค์คนเดียว แล้วไหนจะ...พูดคนเดียวแบบนั้น แล้วจู่ๆ ด้วงก็ล้มพับไป”

ความทรงจำของผมค่อยๆกลับมา เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงตอนที่ตัวเองขาดใจตาย ผมก็เริ่มมือเย็นไร้ความรู้สึก ก่อนที่ภาพที่ผมมองเห็นจะขาวโพลนเมื่อพี่ทองไชยทิ้งตัวลงไปในพระปรางค์ที่กำลังลุกไหม้ มันโหดร้ายจริงๆกับการต้องมองดูชีวิตคนที่ต้องตายทีละเป็นร้อยเป็นพันคนแบบนั้น และนี่แหละมั้งคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเป็นลมหมดสติไป
“พี่ถามว่าทำไมด้วงถึงต้องทำแบบนี้ มีเหตุผลอะไร” พี่ยงยังคงถามย้ำในคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ทำไมถึงต้องทำให้พี่เป็นห่วง รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วงน่ะ ด้วง”
“ผม....”
“พี่แคร์ด้วงนะ”
“อย่าเพิ่งบอกอะไรผมตอนนี้เลยครับ ขอผมอยู่คนเดียวก่อนได้มั้ย!”
ผมพลิกตัวหันหลังให้พี่ยง เสียงเรียกของพี่ยงไม่มีความหมายกับผมในเวลานี้เลย หากแต่ในใจนั้นผมกลับครุ่นคิดถึงแต่คนๆนั้น ....คนที่ทอดร่างอยู่ในพระปรางค์วัดราชบูรณะ
.
.
.
ผมถูกพักงานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อทำการสอบสวนเป็นการภายในในข้อหาที่ผมบุกรุกโบราณสถานยามวิกาล แต่ผมก็ยังคงเข้ามาเที่ยวในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่งได้ในตอนกลางวัน ..... และผมมาที่นี่ทุกวัน ด้วยความลึกๆว่าจะได้พบกับพระยาไชยสุริเยนทร์ ....อีกครั้ง

“ที่นี่มันมีอะไรให้ด้วงต้องค้นหามากกว่าข้อมูลในหนังสือหรอด้วง” พี่ยงถามขึ้นในวันหนึ่งที่ผมมาเที่ยวที่นี่
“ประวัติศาสตร์มันก็เป็นเพียงการบอกเล่าของคนๆหนึ่ง เหมือนเส้นตรงที่ไม่มีมิติ หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีหลายด้านหลายมุมเสมอไม่ใช่หรอครับ” ผมตอบพลางเหม่อมองไปยังดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆลับเหลี่ยมเจดีย์
“ด้วงพูดเหมือนกับรู้อะไรมากกว่าในตำรา”
ผมยิ้มให้กับพี่ยง ก่อนจะพูดต่อ “พี่ยงจำสมัยที่วัดแห่งนี้ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากกรมศิลปากรได้ไหมขอรับ ยุคที่เขาเรียกว่ายุคกรุแตก ทรัพย์สมบัติของชาติถูกพวกโจรใจทรามมาขุดเอาไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ โดยเฉพาะที่นี่ พระเครื่องเอย เครื่องทองโบราณเอย ถูกขุดขโมยไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลย”
“ใช่ แต่ยังดีที่เราจับพวกโจรพวกนั้นได้ เลยยึดของคืนกลับมาได้เป็นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระเจ้าเอกทัศน์ที่ขุดพบในพระปรางค์แห่งนี้ แม้พระมหาพิชัยมงกุฎทองคำจะถูกนำออกไปได้ก็เถอะ แต่อย่างน้อยอีกสี่ชิ้นเราก็ยังเก็บไว้ได้” พี่ยงสำทับ
“ความจริงต้องพูดว่า มีคนที่เขาดูแลรักษาไว้ครับ เขารอวันที่จะส่งต่อให้กับลูกหลานคนไทยต่อไป”
“พี่เชื่อนะ ว่าคงมีวิญญาณบรรพบุรุษที่ดูแลรักษาสมบัติของชาติเหล่านี้เอาไว้ไม่ใช้พวกคนใจชั่วมันมาขโมยไป ว่าแต่...มันเกี่ยวอะไรกับที่ด้วงไม่ยอมบอกเหตุผลที่ต้องแอบเข้ามาที่นี่ตอนกลางคืนทุกคืนๆกันล่ะ” พี่ยงคาดคั้น
ผมยิ้มเล็กน้อยพลางมองไปยังปรางค์ประธานด้านในอีกครั้งด้วยความหวังจะได้พบกับคนๆนั้นอีกครั้ง
“ผมก็ไม่รู้สิครับว่ามันเกี่ยวกันยังไง ผมก็แค่พูดไปตามความรู้สึกของอิฐเก่าๆที่มันบอกเล่าเรื่องราวเท่านั้นเอง”

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ผมเหลียวมองไปยังปรางค์ประธานในวัดอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังให้ด้วยความรู้สึกหดหู่
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อน ด้วง”
“ครับ”
“พี่ขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิครับ”
พี่ยงดูเก้ๆกังๆ เมื่อรั้งตัวผมไว้ ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เหมือนเรียกความมั่นใจอะไรบางอย่าง
“พี่จะไม่ถามเรื่องเหตุผลของด้วงอีกแล้ว แต่ตอนนี้ที่พี่อยากรู้คือ ....เอ่อ จะพูดยังไงดี เหมือนพี่จะรู้สึกดีกับด้วง...แหะๆ ยังไงไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆคือ พี่แคร์ด้วงมากนะ พี่ถึงได้ตามด้วงไปคืนนั้นไง ...ด้วงเข้าใจพี่มั้ย”
ลมกรรโชกราวกับพายุจะมา หากแต่ไร้ซึ่งกลิ่นลมฝน มีเพียงกลิ่นหอมที่เกือบจะฉุนของดอกแก้วที่จู่ๆก็อบอวลคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ พร้อมกับที่พี่ยงล้มตัวหมดสติลงตรงนั้น
“พี่ยง!!!”
“อย่าได้ตกใจไปเลยทองด้วงน้องพี่ พี่หาได้ทำให้มันถึงกับตายดอก” เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับที่ผมเริ่มปล่อยโฮ
“หายไปไหนมา ฮะ ไอ้. ... ไอ้... ผีบ้าเอ้ย มาเข้าฝันก็ยังดี”
ตาทองไชยอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าคิดถึงข้ารึทองด้วง”
“นึกว่าไปเกิดในท้องหมาแล้วต่างหาก”
“ปากร้ายนัก .... แล้วใครกันเล่าที่ร้องไห้อยู่คนเดียวตอนที่ไม่ได้เจอพี่”
“นี่!!! แสดงว่าแอบไปหาแต่ไม่ยอมให้เห็นใช่มั้ย” ผมพ้อ
พี่ทองไชยยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะลูบแก้มผมเบาๆ “พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้าสิ้นสติในวันนั้น เรื่องราวมันคงจะโหดร้ายเกินไปแลพี่คงพาเจ้าท่องนิมิตนานเกินกว่าที่ร่างกายแลจิตใจเจ้าจะรับไหว เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวพี่นั้นรู้สึกผิดสักเพียงใด”
“ผมไม่ได้โกรธพี่เลย พี่ทองไชย ...ผมโกรธที่พี่ไม่มาให้ผมเห็นต่างหากล่ะ”
“เจ้าขาดพี่ไม่ได้ถึงเพียงนั้นเชียวรึ?”
“อย่ามาเล่นลิ้นนักได้มั้ย พี่อ่านใจผมออกนี่ว่าผมคิดอะไรยังไง....โอเค ผมรักพี่ โอเคมั้ย แล้วจากนี้ไปอย่าหายไปไหนอีกนะ”
พี่ทองไชยทำตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะยิ้มให้ผม....เป็นครั้งสุดท้าย
“คำว่ารักของเจ้านั่นออกมาจากใจเจ้าจริงๆรึ หาใช่เพียงสงสารดวงวิญญาณผู้ทุกข์ทรมาณเช่นพี่ดอกนะ”
ผมหน้าแดงเมื่อโดนผีแกล้งตีรวน งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเผลอไปสารภาพรักกับผีได้ยังไง แต่แค่แวบแรกที่ได้เจอผมก็รู้สึกเหมือนกับผูกพันกันมาเนิ่นนาน ยิ่งได้มารับรู้รับฟังเรื่องทั้งหมด ผมยิ่งแน่ใจว่าหัวใจของผมนั้นได้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาเพื่อรอคอยวันนี้อย่างแน่นอน
“ข้าได้ยินเสียงในใจเจ้าทั้งหมดแล ทองด้วงเอย ....พี่ดีใจยิ่งนักแม้พี่จะยังไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ....เจ้าจำได้หรือไม่ว่าพี่เคยบอกกับเจ้าว่า มีสองสิ่งที่ผูกมัดรัดรึงพี่ไว้ที่ภพนี้ พี่จักเฉลยให้เจ้าฟัง สิ่งแรกนั่นก็คือ พี่จักต้องปกปักรักษาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพ่ออยู่หัวไว้ให้แก่ผู้มีบุญญาธิการได้ครอบครองต่อไป และพี่นั้นก็ได้ทำสำเร็จเมื่อเหล่าข้าราชบริภารของพ่ออยู่หัวยุคปัจจุบันมาขุดเอามันไปได้สำเร็จ ....แลอีกข้อนั้น เพิ่งจะลุล่วงไปเมื่อสักชั่วเคี้ยวหมากแหลกนี้เอง สิ่งนั้นก็คือ ....พี่เพียงใคร่อยากได้ยินคำว่ารักจากเจ้า ....เพียงสักครั้ง”
“แล้วพี่จะเป็นอย่างไรต่อไปหรอครับ” ผมพูดด้วยความรู้สึกจุกในอก เมื่อเดาผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
“ไม่ผิดจากที่เจ้าคิดดอก ทองด้วง พี่คงต้องละดวงจิตไปจากภพนี้เสียที”
“ไม่ ผมไม่ยอม ในเมื่อผมบอกรักพี่ทองไชยแล้วพี่จะหนีผมไปไหนอีก” ผมกล่าวทั้งน้ำตา
 “พี่ขอโทษ ยกโทษให้แก่ความเห็นแก่ตัวของพี่เถิด ยอดดวงใจของพี่ แต่เจ้าจงเข้าใจเสียเถิดว่าถึงอย่างไรเราก็อยู่กันคนละภพ”
“เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่มั้ย”
“หากเราทั้งคู่ยังมีวาสนาต่อกัน เราคงได้เกิดมาคู่กันอีก”
คำพูดสุดท้ายของพี่ทองไชยทำผมสะอื้นจนตัวโยนพร้อมทั้งโผเข้ากอดร่างหนานั้นอย่างไม่อาย หากแต่ผมกลับคว้าได้เพียงอากาศก่อนที่ร่างนั้นจะฟุ้งกระจายเป็นฝุ่นผงสีทองลอยลิ่วขึ้นไปบนท้องฟ้าช้าๆทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของดอกแก้วจางๆ
“ลาก่อน ทองด้วง ....ยอดดวงใจของพี่”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ขออีดิทตอนจบทิ้งไว้ก่อนนะครับ




จบแล้วครับ
เป็นอีกตอนที่ปล้ำอยู่นาน
เรื่องนี้พยายามจบปลายเปิด (ให้จินตนาการต่อเอาเอง)
ไม่รู้ว่าสำเร็จหรือเปล่า (แต่ผมว่ายังไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่มั้ง  :เฮ้อ: )

แต่ก็พยายามให้มันเป็นเหมือนบทละครเต็มที่นะครับ ไม่รู้ว่าอ่านๆกันแล้วจะรู้สึกได้มั้ย
เกือบจะถอดใจตัดจบตรงคำว่าลาก่อนแล้ว  :laugh:

แต่คงจะโหดร้ายไปหน่อย (ไม่อยากจบแบบเจ็บๆเหมือนตาอ๊อดกะตาปอง)
สุดท้ายหวังว่าจะชอบกันนะครับ

จากนี้ก็คงได้ไปวุ่นกับพี่เมฆกะน้องโนจริงๆจังๆเสียที เพื่อจะได้คลอดนิยายที่แพลนไว้เรื่องแรกแต่ไม่ได้เขียนเสียที

นั่นคือ....
"เพทุบายในสายหมอก"

เร็วๆนี้ครับ
ทิดหนิงหน่อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2012 09:56:50 โดย ลำนำบุหลันครวญ »

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
ขอบคุณสำหรับความสนุก :L2:
อยากบอกว่าดำเนินเรื่องน่าติดตามตลอด
แต่มาเสียความรู้สึกตรงบทสรุป 2655
rewrite ซักนิดได้มั้ยเอ่ย
+1
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2012 00:36:48 โดย Horizon »

ออฟไลน์ wittawattrk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

supery

  • บุคคลทั่วไป
โธ่ ไม่ได้เกิดมาคู่กันใหม่หรือคะ รอกันมาตั้งนาน

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-03-2012 06:39:15 โดย PetitDragon »

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆภาษาสวยๆเรื่องนี้นะคะ

รอติดตามผลงานต่อๆไปค่ะ

บวกเป็ด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






tonkhaw

  • บุคคลทั่วไป
อ้าวไง ตอนจบไปคุ๋กับผู้หญิงซะงั้นละ

แต่สนุกดีเน้อะ

เเล้วทองด้วงไม่ได้คู่กับพี่ยงหรอ


ออฟไลน์ ลำนำบุหลันครวญ

  • Most Wanted!!!
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +377/-1
บทอวสาน

คุณเคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ
ลิขิตที่เบื้องบนกำหนดไว้ ว่าคนที่คุณรอคอยนั้นจะต้องได้เจอในสักวันที่ไหนสักแห่ง

สำหรับผม พรหมลิขิตของผมอาจจะอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังแห่งโบราณสถานแห่งนี้ก็เป็นได้....
ไม่สิ ผมคิดว่า .... มันเป็นอย่างนั้น
แล้วทำไมผมถึงเชื่อมั่น?

ก็ถ้าคุณได้ยินเสียงเรียกของเขาทุกวัน
ถ้าคุณฝันเห็นเขาทุกคืน

คุณก็คงจะรอคอยที่จะมาพบเจอกับเขาแบบผมนี่แหละ
.
.
.
ผมชื่อดารากร เป็นจิตรกรอิสระจนๆคนหนึ่งในศตวรรษที่ 22 ท่ามกลางยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ด้วยความที่เทคโนโลยีมันไปไกลนี่แหละ ทำให้มีคนหวนรำลึกถึงอดีตกันน้อยลง และอาชีพอย่างผมเลยไม่ค่อยฟู่ฟ่าเท่าไหร่ รูปภาพโบราณสถานเก่าๆที่ผมวาดเลยไม่ได้มีคุณค่าทางจิตใจมากมายเกินไปกว่าศิลปะประดับผนังเท่านั้น

แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนักกับเรื่องนั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงนั่นก็คือ ผมเฝ้ารอคอยคนที่อยู่ในความฝัน ที่ผมหลงรักและเฝ้ารอคอยมาตลอดทั้งชีวิต
เขาชื่อทองไชย

เขาเรียกชื่อผมทุกคืนในความฝัน ด้วยชื่อที่ผมไม่คุ้นหู แต่ผมกลับคุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนกับเป็นชื่อของตนมานมนาน และคืนแล้วคืนเล่า ที่เราเจอกันเพียงในความฝัน ก็ทำให้ผมเลิกล้มที่จะตามหาใครสักคนในโลกแห่งความจริง เป็นการเฝ้ารอคนที่ชื่อทองไชย ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่หรือไม่บนโลกใบนี้

มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ ว่าคนๆนี้แหละ ที่ผมจะต้องเจอกับเขาในสักวัน
แม้เวลาจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็เถอะ
.
.
.
พระอาทิตย์สาดแสงจ้าจนรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าแม้ผมจะนั่งลากดินสออยู่ใต้ร่มโพธิ์ภายในอาณาบริเวณของวัดราชบูรณะ ผมร่างแบบคร่าวๆลงบนแผ่นกระดาษที่ขึงอยู่บนพอร์ท ก่อนจะเริ่มจรดดินสอสีลงรายละเอียดของอิฐเก่าๆที่ซ้อนเรียงกันเป็นเจดีย์ที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า
“วาดสวยจังครับ”
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมต้องหันตามไป และใบหน้าของเจ้าของเสียงนั้นเหมือนกับทำให้นาฬิกาทั้งหมดในโลกหยุดเดิน ...ผมทำได้เพียงอุทานเบาๆ
“พี่ทองไชย”
“ทองไชย? คุณหมายถึงผมหรอครับ” ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เอ่อ.... ผมจะพูดยังไงดี ช่างเถอะครับ” ผมเรียกสติคืน แม้ลึกๆแล้วจะดีใจมากแค่ไหนที่ได้พบเจอกับคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคนที่รอคอยถึงเพียงนี้
“เป็นชื่อที่เพราะดีครับ และมีความหมายใกล้เคียงกับชื่อของผมด้วยละมั้ง ผมชื่อไชยสุวรรณ ....” ชายคนนั้นแนะนำตัว “ขอโทษนะครับที่เข้ามารบกวน จริงๆผมแอบมองอยู่นานแล้ว คุณวาดภาพสวยดีนะ”
“ไม่ได้รบกวนหรอกครับ ....อ้อ ผมชื่อดารากร จะเรียกด้วงก็ได้นะครับ”
“ด้วงงั้นหรอ ....” ชายหนุ่มกลอกตานึก “เป็นชื่อเล่นปรกติๆ แต่ก็แปลกนะ ผมเพิ่งรู้จักคนชื่อด้วงเป็นคนแรกในชีวิต”
 “บางทีเบื้องบนอาจจะอยากให้คุณรู้จักผมเป็นด้วงคนแรกของโลกก็ได้มั้ง” ผมยิ้มและหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงย่าม “เคยมาที่นี่มั้ย สนใจไปเดินเที่ยวกับผมหรือเปล่า เดี๋ยวผมพาทัวร์เอง”
“เหมือนจะเคยมาทัศนศึกษาตอนเด็กๆครับ แต่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศเสียนานเพิ่งกลับมา เลยถือโอกาสมาเที่ยวเสียหน่อย”
“แล้วทำไมถึงเลือกที่นี่ล่ะครับ” ผมถามในขณะที่เดินนำลูกทัวร์ร่างหนาไปตามทางเดิน
เขายิ้มบางๆก่อนจะตอบ “ไม่รู้สิครับ”
ผมพยักหน้าเบาๆ พลางนึกถึงตัวเอง หากผมไม่ใส่ใจในความฝัน หากผมไม่ได้รับรู้ มันคงจะดีกว่านี้เหมือนกัน ...การรอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมันทรมาณไม่น้อยเลย

“คุณด้วง ...เจดีย์ใหญ่ๆตรงนั้นคือ...?”
“ปรางค์ประธานของวัดราชบูรณะครับ ในอดีตเป็นที่ที่เก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งถูกขุดค้นพบในช่วงกรุแตก โชคยังดีที่อาภรณ์เหล่านั้นไม่ได้ถูกขโมยไป ไม่งั้นสมบัติของชาติก็คงตกเป็นของพวกต่างชาติ”
“แล้วตอนนี้มีอะไรข้างในหรือเปล่าครับ”
“มีภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นรูปชุมนุมทวยเทพและบอกเล่าเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ครับครับ สนใจจะเข้าไปดูมั้ยล่ะ” ผมชวน
“เข้าไปดูได้หรอครับ”
“ในส่วนนี้เข้าไปดูได้ครับ”
“งั้นก็ไปสิครับ”
.
.
.
ผมเดินนำคุณไชยสุวรรณลงไปตามบันไดราวเหล็กที่สร้างลึกลงไปในตัวพระปรางค์ประธาน กลิ่นอับๆฉุนจมูกและอากาศที่บางเบาทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“เดินระวังๆนะครับ” ผมเตือน พลางหันหลังไปหาลูกทัวร์
“ครับผม” เขาตอบรับภายใต้แสงไฟสีส้มที่เปิดไว้ส่องทางเป็นระยะตามทางเดิน

เพียงชั่วอึดใจ เราก็มาถึงด้านในที่แสดงภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านล่าง หนุ่มนักเรียนนอกหมุนตัวชมจิตรกรรมรอบๆตัวก่อนจะยิ้มและยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้
“น่าเสียดายนะครับ ทรุดโทรมไปเยอะ”
“ใช่ คนสมัยใหม่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอดีตเท่าไหร่ ทั้งที่หากความจริงเราเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต เราก็จะเข้าใจอนาคตได้อย่างถ่องแท้” ผมตอบ
“คุณด้วงพูดเหมือนเป็นนักโบราณคดีเลยนะครับ” ไชยสุวรรณพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนที่จู่ๆ แสงสว่างในพระปรางค์ก็ดับลง

“เฮ้ย!!!” ผมอุทานพร้อมกัน
“เอาไงดีวะเนี่ย”
“เรารีบขึ้นไปเถอะครับ อยู่ที่นี่นานๆเดี๋ยวจะเป็นอะไรไป อากาศข้างในนี้มันน้อยกว่าปกตินะครับ” ผมบอก ก่อนจะกางมือควานหาลูกทัวร์ ทว่ากลิ่นอับรอบตัวเราทั้งสองคนกลับพลันจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกแก้ว
และแสงสว่างๆเล็กๆคล้ายๆเทียน ก็สว่างวาบขึ้น เบื้องหน้ามีภาพที่ปรากฏเหมือนกับจอภาพยนตร์และดำเนินเรื่องราวเหมือนกับในความฝันของผม

“ทองด้วงเอย พี่เห็นใจเจ้านัก แต่พี่ก็ยังปรารถนาให้เจ้าเอ็นดูดวงใจพี่เหมือนเช่นในอดีต” เสียงพระยาไชยดังมาจากข้างหลัง ทองด้วงหันไปตามเสียงก่อนจะเบนหน้ากลับไปมองริมฝั่งน้ำดังเดิม
“ข้าสงสารทุกคน ทั้งตัวข้าเอง พี่ทองไชย แลคุณหญิงด้วย เธอไม่รู้เรื่องอันใดเลย”
“ความรักความเสน่หาเป็นสิ่งที่ยากแก่การเข้าใจ หากพบพานคนที่ใช่แล้วดวงใจจักตอบได้เอง เหมือนที่พี่รู้สึกกับเจ้าตั้งแต่ที่พี่แตกเนื้อหนุ่มนั่นแล”
“แต่มันผิดจารีต พี่ทองไชยก็น่าจะรู้ดี”
“ใครเล่าเป็นผู้สร้างขนบเหล่านั้นขึ้นมา ทองด้วงของพี่ “พระยาไชยลูบพวงแก้มของทองด้วงอย่างทนุถนอม “เจ้ารู้หรือไม่ หากพี่ย้อนเวลากลับไปได้ พี่จักไม่ขอรับยศแลศักดินาใดๆเลยเพื่อแลกกับการได้ใช้ชีวิตกับเจ้าอย่างสุขสันโดษ”
ทองด้วงหลับตาลงช้าๆก่อนที่หยาดน้ำตาจะค่อยไหลรินลงที่หางตา แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุขับผิวนวลของเขาให้เด่นขึ้นมาหากแต่คราบน้ำตาทำให้หน้าขาวของเขาดูเศร้าหมองลง พระยาไชยถอนหายใจอย่างอาดูรกับภาพตรงหน้าก่อนจะโน้มศีรษะของกวีหลวงให้ซุกลงบนแผงอกของตนใต้แสงเหลืองนวลของดวงบุหลัน
.
.
.
 “ทองด้วง เจ้าถูกยิง!!!”
เจ้าของร่างชุ่มเลือดยิ้มอย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ท่านจงไปสมทบกับพวกทหารเถิดขอรับ เพลานี้อโยธยาศรีรามเทพนครถึงคราคับขันแล้ว อย่าได้ใส่ใจกระผมเลย”
“พี่จักทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ในเมื่อเจ้าเป็นเช่นนี้” พระยาไชยเอ่ยด้วยน้ำตานองหน้า
“อย่าได้เศร้าโศกไปเลยขอรับ ข้าดีใจแล้วที่เกิดมามิเสียชาติเกิด ที่ได้เกิดเป็นชายแลได้ตายเพื่อชาติ” ทองด้วงเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะสำลักเลือดออกมา
“ทองด้วง เจ้าจักเป็นอะไรมิได้ เจ้าลืมสัญญาที่เจ้าให้ต่อข้าแล้วรึ พี่ยังใคร่ได้ยินคำว่ารักจากเจ้านะ”
ทองด้วงสูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตั้งแต่กระผมเกิดมายังไม่เคยทำผิดสัญญาสักครั้ง แต่เห็นทีครานี้หากต้องรอให้เสร็จศึกคงจักไม่ได้ทำดังที่บอกพี่ทองไชยไว้...”
ร่างชุ่มเลือดนั้นถูกคนร่างกำยำผวากอดทั้งน้ำตา “พี่ไม่ใคร่ได้ยินในเพลานี้ เจ้าจงรอให้อโยธยาได้รับชัยชนะในศึกสงครามครั้งนี้เสียก่อน ดังนั้นเจ้าห้ามเป็นอะไรทั้งนั้น เจ้าได้ยินพี่หรือไม่!”
“กระผมคงต้องบอกพี่เสียตอนนี้แล้วล่ะครับ ผม....ร....”
ทองด้วงพูดอย่างยากลำบากด้วยลมหายใจที่แผ่วเบา ก่อนที่พระยาไชยจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ขาดหายไปที่ข้างพวงแก้มของตนเอง
“ทองด้วง!!!!”
พระยาไชยตะโกนสุดเสียง หากแต่เสียงนั้นกลับถูกกลบกลืนด้วยเสียงปืนใหญ่ของฝั่งพม่าที่ระดมยิงเข้ามา ผู้คนเริ่มวิ่งหนีอย่างโกลาหล วัดเวียงและพระราชวังเริ่มถูกเพลิงเผาไหม้และระเบิดเสียหายเป็นจำนวนมาก เสียงโห่ร้องโรมรันอันเกิดจากการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายดังโหวกเหวกน่ากลัวประหนึ่งอเวจีมหานรก หากแต่เหตุการณ์ทั้งหมดมิได้ทำให้พระยาไชยพรั่นพรึงแม้แต่น้อย เขารู้สึกประหนึ่งโลกหยุดหมุน มีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบาของตนกับลมหายใจที่สิ้นสุดลงของชายผู้เป็นประหนึ่งดวงใจซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า

“ลาก่อน ทองด้วงยอดดวงใจของพี่ พี่เศร้าใจนักที่พี่ทำได้แค่ทอดกายทิ้งร่างไร้วิญญาณอยู่เคียงข้างเจ้าที่นี่ แต่หากพี่มีวาสนาเพียงพอ ขอให้ชาติภพหน้าเราจงได้ครองรักกันอย่าได้มีอุปสรรคใดด้วยเถิด”
.
.
.
หลังจากที่เราเดินออกมาจากพระปรางค์ เราต่างคนต่างนิ่งเงียบและมานั่งพักกันที่ใต้ต้นโพธิ์ต้นเดิมที่เราเจอกัน
“คุณด้วง ....คุณเห็นเหมือนกับผม...ใช่มั้ย”
“ครับ”
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย คุณถึงเรียกผมว่า พี่ทองไชย” ไชยสุวรรณถามย้ำด้วยใบหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ผม...ผม...” ผมจนด้วยถ้อยคำ ผมก็ไม่รู้จะบอกกับเขาว่ายังไง ว่าผมฝันถึงเขามาตลอด
“ถ้าผมบอกว่าผมฝันถึงพระยาไชยสุริเยนทร์ที่หน้าตาเหมือนคุณมาตลอดที่ผมจำความได้ ถ้าผมบอกว่าผมเฝ้ารอเขามาตลอด คุณจะเชื่อผมหรอครับ!!!” ผมพูดทั้งหมดออกมา ก่อนจะระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ “เอาเถอะ ผมบอกคุณหมดแล้ว คุณจะลืมๆมันไปก็ได้ ก็แค่นิยายน้ำเน่าเรื่องหนึ่งที่คุณบังเอิญได้ยินได้ฟัง”

ผมเดินหันหลังให้ด้วยดวงตาที่คลอน้ำใสๆ การรอคอยของผมสิ้นสุดลงแล้ว และความเจ็บปวดทั้งหมดก็ถูกทิ้งไว้ภายใต้ความทรงจำของผม....คนเดียว

“จะไปไหน!!!”

ผมถูกคว้าไหล่ตัวจากด้านหลังให้หันหลังกลับไป และพริบตานั้นร่างกายทุกส่วนของผมก็อยู่ในวงแขนของเขา
“ใช่นายจริงๆด้วย ทองด้วง ... คนที่ผมฝันถึง....ตลอดมา“



สายลมเย็นเยียบพัดโชยทำให้ใบโพธิ์แก่สีน้ำตาลอ่อนอ่อนปลิดใบไปทั่วบริเวณ
มือเล็กๆของคนในอ้อมกอดเอื้อมไปคว้าแผ่นหลังของอีกคนแน่นราวกับดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง
....และอสงไขยเวลาก็ถึงคราสิ้นสุดลง ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม จุลศักราช ๑๔๗๔


เข้ามาแก้ตอนจบ โดยเพิ่มตอนอวสานไป

ก่อนอื่นขอเล่าตอนจบเดิมคร่าวๆก่อน

คือหลังจากที่พระยาไชยสุริเยนทร์หลุดพ้น เหตุการณ์ก็ข้ามมาถึงร้อยปีต่อมา
โดยผมตั้งใจให้เป็นนิยายปลายเปิดว่า ชายหญิงสองคนนี้ คือพี่ทองไชยกับทองด้วงกลับชาติมาเกิดหรือไม่ ซึ่งพอมันขาดการอธิบายหลายๆอย่าง ทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่า เอ๊ย พี่ทองไชยไปเอาน้องนีหรอเนี่ย

และอีกอย่าง นี่เป็นเรื่องแนว Boys love ดังนั้นผมจึงแก้ไขเป็นตอนจบแบบนี้
(ซึ่งผมรู้สึกว่าชอบกว่าแบบเก่า และน่าจะตรงใจกับใครหลายๆคน)

ปล. ปลายเปิดคงเป็นตอนจบที่ยากเกินความสามารถของผมไปสักหน่อย ขอโทษทุกคน มา ณ ที่นี้ด้วย
และขอโทษที่มาแก้ช้าไปนิด เพราะงานรัดตัวจนถึงวันนี้เลย
(นี่ก็แอบอู้มาเขียน ฮาๆ)

เอาเป็นว่า นี่จะเป็นตอนจบจริงๆแล้วครับ
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามตลอดมาครับ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ภาษาสวยๆ ที่มอบให้กันครับ จะรอเรื่องต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
จบแบบนี้ชอบค่ะ เป็นคนไม่ค่อยมีจินตนาการ ไม่ชอบตอนจบแบบปลายเปิด

ออฟไลน์ Horizon

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-22
ขอบคุณสำหรับตอนอวสานใหม่ :L2:
ชอบเวอร์ชั่นนี้ รสชาติกลมกล่อมมากกว่า
เป็นกำลังใจสำหรับเรื่องหน้า
+1

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
จบแบบใหม่ค่อยยังชั่วหน่อย ขอบคุณมากค่ะ  :bye2: :bye2: :bye2:

stupidchild

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ MiSS-U

  • {^o^} {^3^}
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2800/-11
ชอบค่ะแฮปปี้ทุกฝ่าย

+1และเป็ด

ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
จริง ๆ เข้ามาอ่านทันตอนจบแบบเก่า แต่เห็นว่าจะ edit เลยขอรออ่าน"ตอบจบของจริง"ก่อนล่ะกัน 
ซึ่งก็แต่งออกมาได้เจาะลึกและซาบซึ้งกว่าจริง ๆ ทั้งในด้านอารมณ์และรายละเอียดปลีกย่อย
ตอบโจทย์ในเรื่องความรัก ความผูกพันที่ลึกซึ้งถึงแก่นของวิญญาณได้โรแมนติกชะมัดเลย   :m1:

เราชอบตรงที่ชี้เฉพาะเจาะจงว่า พี่ทองไชย-น้องทองด้วง คนเดิม ๆ กลับมาหากันจนเจออีกครั้ง
เพราะมีการ Flashback ย้อนรอยความทรงจำให้ดูด้วย รับประกันไม่มีการผิดตัวแน่นอน  :m23:
ประหนึ่ง สวรรค์เมตตาประทานโอกาสให้ทั้งคู่มาสานต่อความรักในยุคที่ไม่ต้องมีจารีตใด ๆ มากีดกั้น
การรอคอยอันแสนยาวนานนับอสงไขยได้สิ้นสุดลงแล้ว เป็นตอนจบที่สว่างไสว เรืองรองจริง ๆ ค่ะ ( ซึ้ง o7 )

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
จบสวยกว่าเดิมมากๆครับ

เอา+เป็ดไปเลย

 o13


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด